คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : Coagulation I
{ Coagulation }
น้ำตาไหลลงมาเหมือนห่าฝน
แล้วก็ถูกลมหนาวแช่แข็ง
“เมื่อไหร่มึงจะเลิกเล่นอะไรบ้า ๆ แบบนี้สักทีวะ...”
“หืม ?”
“บอกเลิกคนนั้นคนนี้มันสนุกนักหรือไง ฮึ ?”
“อย่าขมวดคิ้วแบบนั้นสิ...” คนตัวเล็กกว่าเอื้อมมือขึ้นมาขยี้ที่หว่างคิ้วของเขาเหมือนจะบดขยี้รอยยับย่นให้หายไป แต่มันก็ไม่ได้ช่วยอะไรมากไปกว่าการทำให้ใบหน้าคมสันต้องเบี่ยงหลบสัมผัสหนักนั้นอย่างนึกรำคาญ ในขณะที่รอยย่นก็กลับขมวดเข้าหากันหนักยิ่งกว่าเดิมเสียอีก
“อี้ฟานอ่า...”
“...” เจ้าของชื่อไม่ขานรับเหมือนอย่างเคย เพราะตอนนี้อารมณ์บูดบึ้งมันไม่ได้ชวนให้เจ้าตัวอยากทำอะไรแบบนั้นเลยสักนิด แม้ว่าใบหน้าที่เหมือนกับลูกหมาลูกแมวน่ารักของพยอนแบคยอนกำลังใช้พลังงานบางอย่างจากดวงตากลมระริกคู่นั้นส่งผ่านมาร้องเรียกความสนใจก็ตาม
“ช่วยอะไรหน่อยสิ”
“...”
“ถ้าอี้ฟานช่วย ฉันก็จะไม่ทำแบบนั้นก็ได้นะ ไม่อยากให้ฉันบอกเลิกคนนั้นคนนี้ไม่ใช่หรือไง” ข้อเสนอประหลาดนั่นทำให้คนตัวสูงหูผึ่งขึ้นมาในทันที กระนั้นก็เป็นการผึ่งหูอย่างระมัดระวังเพราะพยอนแบคยอนหน่ะอันตรายมากกว่าที่ใครต่อใครเห็นอยู่หลายเท่า ผู้ชายที่หน้าตาน่ารักน่าชังคนนี้หน่ะ อย่าเชื่อเพียงภาพลักษณ์พวกนั้นเชียว
“อะไรหล่ะ... ถ้าฉันทำได้นะ”
“อี้ฟานทำได้อยู่แล้วหล่ะ...” ทั้งที่บอกให้เรียกว่าคริส แต่เจ้าตัวก็ยังคงพร่ำเรียกชื่อจริงของเขาด้วยน้ำเสียงน่ารักไม่ยอมเปลี่ยน
“...”
“โอเซฮุน นิติศาสตร์ปีสาม...” ชื่อคุ้นหูทำให้เขาเผลอตวัดสายตาเปี่ยมอารมณ์ของตัวเองไปยังเพื่อนสนิทที่ยืนเกาะแขนกระซิบเขาอยู่ ใบหน้าของแบคยอนแต้มแต่งไปด้วยรอยยิ้มที่ให้รู้สึกว่ามันเป็นเพียงการสังเคราะห์ขึ้นมาเท่านั้น แต่ก็ไม่ได้ชวนสนใจเท่ากับชื่อที่เปล่งออกมาจากริมฝีปากสีชมพูแม้แต่น้อย
“แค่ทำให้เขา เลิกรักคิมจงอินก็พอแล้วหล่ะ....”
มันเป็นงานที่ไม่มีทางสำเร็จเลยแม้แต่น้อย...
ไม่มีทางสักเส้นเลยจริง ๆ
- - -
ลมหนาวมักทำให้มือแข็งและขยับไปไหนลำบาก นั่นคือเหตุผลที่โอเซฮุนเกลียดฤดูหนาวที่สุดในบรรดาสามสี่ฤดูของประเทศเกาหลี เขาไม่ชอบพกโค้ทตัวใหญ่ แต่ใครบางคนก็มักจะสวมมันให้เสมอเพื่อกำบังลมเย็น ๆ ที่พัดวูบเข้ามาปะทะได้แบบไม่รู้ตัว เขาไม่ชอบสวมถุงมือเพราะมันรุงรัง แต่ใครบางคนคนนั้นก็ชอบยัดมันลงมาในมือของเขาทุกครั้ง แล้วมันก็เป็นเพราะใครบางคนคนนั้นที่ทำให้เขาต้องมายืนหน้าบึ้งอยู่ที่ริมฟุตบาทวันนี้
ข้อมือที่ถูกรัดเอาไว้ด้วยนาฬิกาสีขาวถูกพลิกขึ้นมาเพื่อดูเวลา ตอนนั้นเองที่เขาพบว่าตัวเองมาก่อนเวลานัดนานมากถึงครึ่งชั่วโมง นั่นหมายความว่าคงต้องยืนรออยู่ตรงนี้อีกประมาณ 1 ชั่วโมงหรืออาจจะชั่วโมงครึ่งถ้าพยอนแบคยอนกดเลื่อนนาฬิกาปลุกครบสามครั้ง... ความคิดนั้นทำให้เซฮุนเหยียดรอยยิ้มขึ้นที่มุมริมฝีปากเมื่อพบว่าเขาเริ่มจะรู้จักผู้ชายตัวเล็กผมสีน้ำตาลแดงคนนั้นมากขึ้นกว่าเดิมหลายเท่า
กวาดสายตามองหาม้านั่งสักตัวก่อนจะเดินตรงไปปัดเศษหิมะที่ทิ้งตัวนอนเรี่ยราดอยู่บนนั้นออกไป สะโพกกลมที่ถูกบุด้วยกางเกงลูกฟูกตัวหนาหย่อนลงอย่างเชื่องช้าราวกับกลัวว่าเจ้าเหล็กดัดจะพังทลายลงมา ก่อนจะเหยียดขายาวของตัวเองตรงไปข้างหน้าแล้วหยิบหูฟังที่พาดอยู่รอบลำคอขึ้นมาเสียบที่ใบหู
เสียงดนตรีอาจทำให้เขาสงบลงท่ามกลางการรอคอยที่เหมือนกับจะไร้จุดหมาย ไม่สิ... เป็นการรอคอยที่มองเห็นจุดหมายอยู่จางๆมากกว่า อย่างน้อยแบคยอนก็ไม่ใช่คนที่ลืมนัดใครได้ง่ายขนาดนั้น... ก็แค่มาสายเท่านั้นเอง
ลมเย็นพัดเข้ามาปะทะที่ใบหน้าให้รู้สึกชาวาบและมันทำให้ข้างในจมูกโด่งรู้สึกระแคะระคายเหลือเกินจนต้องซุกใบหน้าของตัวเองเข้าไปในปกเสื้อโค้ทตัวอุ่น แขนทั้งสองข้างของเซฮุนยกขึ้นมากอดรัดไว้ที่รอบอกเพื่อป้องกันตัวเองออกจากความเหน็บหนาวและการที่เขาก้มหน้าลงก็ทำให้ได้มองเห็นพื้นหิมะสีขาวกับรองเท้าของใครบางคนที่หยุดอยู่ตรงหน้า
“โอเซฮุน....”
“?” สมองขาวโพลนเหมือนซากปาการังที่ตายไปแล้ว โอเซฮุนไม่รู้ว่าตัวเองควรจะพูดอะไรออกมาให้กับเจ้าของเสียงโทนเบสที่สอดตัวอยู่ในเสื้อโค้ทตัวหนา ใบหน้าที่เหมือนหลุดออกมาจากหนังสือการ์ตูนญี่ปุ่นและเส้นผมสีทองประกายนั่นทำให้รู้สึกว่าเสียงของตัวเองหล่นหายไปในกองหิมะ มันทำให้เขาได้แต่ใช้สายตาของตัวเองตั้งคำถามออกไป
“นายชื่อโอเซฮุนใช่ไหม”
“...”
“...”
“ครับ.... ผมชื่อโอเซฮุน”
“อ่า...”
“...”
“แบคยอนฝากให้ฉันมาหานายแทนเขา...” ร่างสูงไม่แน่ใจว่าตัวเองพูดอะไรผิดไปหรือเปล่า ดวงตาเรียวของเซฮุนถึงได้จ้องเขม็งมาที่ใบหน้าเหมือนของเขากำลังเล่นเกมส์จับผิดภาพแบบนั้น แต่ภายในไม่กี่วินาทีให้หลัง ริมฝีปากของผู้ชายตัวผอมที่ถูกทำให้ดูตัวหนาขึ้นเมื่ออยู่ในเสื้อโค้ทโคร่งๆ ก็คว่ำลงไปอย่างเห็นได้ชัด แววตาเมื่อครู่ถูกแทนที่ด้วยการก้มหน้าลงมองพื้นหิมะโดยไม่มีคำพูดอะไรเปล่งออกมา
“...ครับ”
“...”
“...”
“...อ่า... ฉันก็ไม่ได้เลวร้ายเท่าไหร่หรอก เชื่อสิ...” ฝ่ามือใหญ่วางลงบนกลุ่มผมสีบลอนด์ คล้ายจะปลอบเด็กน้อยที่กำลังผิดหวัง เซฮุนไม่เงยหน้าขึ้นมาเหมือนอย่างที่ใครต่อใครเป็นเมื่อโดนจับหัวแต่ร่างผอมกลับลุกขึ้นยืนจนเต็มความสูงทั้งๆ ที่ยังมีฝ่ามือของเขาวางอยู่บนนั้น
“ครับ... อย่างนั้นก็ได้” คนที่รู้สึกผิดหวังไปเล็กน้อยใช้พลังจำนวนมากในการดึงเสียงของตัวเองคืนมาหลังจากพบว่าฝ่ามือที่ไม่ได้สวมถุงมืออยู่ของอีกคนอุ่นมากจนแทบจะทำให้ใบหน้าสุกไหม้ ความเห่อร้อนที่แก้มทำให้เขาต้องเม้มริมฝีปากของตัวเองเข้าหากันซึ่งมันไม่ใช่ตัวเองที่เขาคุ้นชินเลย โอเซฮุนไม่ใช่ผู้ชายที่ต้องมาสะกดอารมณ์เพราะใครบางคนเสียหน่อย
แต่สุดท้าย เขาก็สูญเสียความจริงข้อนั้นไปแล้วหล่ะ...
- - -
“ทำไมพี่แบคยอนถึงให้คุณมาแทนครับ”
“เขาติดธุระนิดหน่อยหน่ะ”
“อย่างน้อยเขาก็น่าจะโทรบอกผมสักนิด...”
“...” น้ำเสียงตัดพ้อของคนที่ซ้อนอยู่หลังมอเตอร์ไซค์ทำให้เขาไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรออกไปต่อดี อู๋อี้ฟานก็ไม่ใช่คนที่เก่งเรื่องต่อปากต่อคำหรือให้คำตอบอะไรกับใครแบบนอกบทหรอกนะ แล้วในประโยคปลายเปิดแบบนี้หน่ะ พยอนแบคยอนก็ไม่ได้ให้บทอะไรกับเขามาเลยแม้แต่คำเดียวด้วยซ้ำ
“...” ในเมื่อไม่ได้รับคำตอบอะไร โอเซฮุนจึงเลือกที่จะปิดริมฝีปากลงแล้วเบนหน้าไปมองรอบตัวงแทน มันเป็นเส้นทางที่เขาไม่สามารถบอกได้ว่าตัวเองคุ้นเคยแต่ก็ใช่ว่าจะไม่เคยเห็นมันมาก่อนในชีวิต เพราะในทุกๆปีเขาจะต้องผ่านมา ณ ถนนสายนี้อย่างน้อยสักครั้ง และมันเป็นอย่างนี้มาสี่ห้าปีได้แล้ว
เซฮุนจำได้แทบทุกวินาทีว่าเรื่องนั้นมันผ่านไปนานแค่ไหนแล้วแม้รู้สึกว่าควรจะลืมและเลิกนับช่วงเวลาเหล่านั้นเกิดขึ้นในอกหลายต่อหลายครั้ง แต่น่าแปลกที่เจ้าของเสื้อโค้ทตัวโคร่งซึ่งเขาสวมใส่อยู่ตอนนี้ยังคงวนเวียนอยู่ในความทรงจำอย่างชัดเจน... ใครบางคนคนนั้นทิ้งอิทธิพลบางอย่างเอาไว้ในตัวของเขาอย่างห้ามไม่ได้
“ฉันไม่ค่อยชำนาญทาง... ใกล้แล้วช่วยบอกด้วย” เสียงทุ้มจากเจ้าของแผ่นหลังกว้างที่อยู่เบื้องหน้าตะเบงเสียงฝ่าลมออกมา และการที่คลื่นเสียงหลายร้อยเดซิเบลนั้นกระแทกเข้าที่โสตประสาทมันก็ทำให้โอเซฮุนสามารถกระเด้งหลุดออกมาจากความคิดของตัวเองได้ ดวงตากลมมองไปข้างกายอีกครั้งเพื่อหาว่าตอนนี้เขาอยู่ที่ไหนกันแน่ก่อนจะขานตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงค่อยที่ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายจะได้ยินมันหรือเปล่า
“ครับ”
“เกาะดีๆ หล่ะ ถ้าตกลงไปฉันจับไม่ทันนะ” เป็นอีกครั้งที่ฝ่ามืออุ่นของคนตัวสูงแตะลงบนตัวของเซฮุน รอบนี้ผู้ชายที่เขาลืมถามชื่อเอี้ยวแขนมาข้างหลังแล้วจับมือของเขาซึ่งถูกหุ้มด้วยถุงมือไปวางไว้ที่รอบเอวของตัวเองเหมือนต้องการจะทำให้เขาปลอดภัยมากกว่าการที่วางมือไว้บนหน้าตักแคบอย่างที่ทำอยู่
“เอ่อ... คุณชื่ออะไรครับ” เซฮุนกลั้นใจเอ่ยถามในสิ่งที่ตัวเองรู้ดีอยู่แล้วออกไป เขาเงี่ยหูฟังรอคำตอบจากริมฝีปากหยักได้รูปของอีกคนและมันก็ช่างประหลาดเหลือเกินที่เขาเจอความตื้นเต้นอยู่ในอกของตัวเอง... ตื่นเต้นกับสิ่งที่รู้อยู่แล้ว
“อู๋อี้ฟาน แต่เรียกคริสก็ได้ ง่ายดี” เจ้าของชื่ออู๋อี้ฟานสะดุดกับสิ่งที่ตัวเองพูดออกไปเล็กน้อยเหมือนว่ามีบางอย่างผิดพลาด กระนั้นริมฝีปากหยักได้รูปก็กระตุกรอยยิ้มขึ้นมา... อะไรกัน นี่โอเซฮุนลืมชื่อเหยื่อคนสำคัญของตัวเองไปเสียแล้วหรือไงนะ
“ผมต้องเรียกคุณว่าฮยองใช่ไหมครับ...”
“อืม คริสฮยอง... แบบนี้ ?”
“คริสฮยอง...” ริมฝีปากบางเปล่งเรียกชื่อของใครอีกคนออกมาเหมือนต้องการให้ตัวเองทบทวนและจดจำชื่อเจ้าของช็อปเปอร์สีดำเข้าไปในสมอง โดยไม่รู้ตัวมืออีกข้างของเซฮุนก็วางลงบนเอวของคริสเสียแล้ว คล้ายว่าการรู้จักชื่อจะเริ่มทำให้เขาไว้ใจคนตรงหน้ามากขึ้นถึงขนาดที่ยอมวางมือลงแตะเอวของอีกคนได้
“ใส่ถุงมือนี่ไม่ร้อนเหรอ ?”
“ร้อนครับ”
“ถอดออกสิ... ฮยองรู้หรอกว่านายไม่ชอบใส่” เซฮุนเอนคอลงเล็กน้อยด้วยความสงสัยเมื่อพบว่าคำสั่งของคริสช่างต่างจากใครต่อใครที่เคยเจอมา และมันทำให้เขารู้สึกหวั่นใจเล็กๆกับความรู้ดีของผู้ชายร่างสูงจนต้องชักมือกลับมาที่หน้าตักของตัวเองเช่นเดิม
“ฮยองรู้ได้ยังไงว่าผมไม่ชอบใส่ถุงมือครับ ?”
“ก็นายขยับมือยุกยิกไปมา... ฮยองเองไม่ชอบใส่ถุงมือก็เลยรู้” อู๋อี้ฟานคนตัวใหญ่เอื้อทกลับมาจับมือซ้ายของเขาที่ชักกลับมา ก่อนจะดึงถุงมือเนื้อหนาออกแล้วจับมือเปล่าเปลือยของเขามาวางลงบนช่วงเอวของตัวเอง... “ถ้ามือแข็งก็สอดมือมาไว้ในกระเป๋าเสื้อนะ”
“ครับ...” เซฮุนขานรับออกมาด้วยเสียงเบาหวิวเหมือนเด็กน้อยที่ไม่แน่ใจว่าจะทำตามคำสัญญานั้นได้หรือเปล่าก่อนจะยกมือขวาขึ้นมาแล้วสลัดถุงมือหนาออกไป ฝ่ามือว่างเปล่าวางลงบนเอวอีกข้างของร่างสูง... ความเย็นที่มือเนื่องจากลมปะทะทำให้เขาต้องเบ้หน้าแล้วยอมสอดมือเข้าไปในกระเป๋าเสื้อโค้ทหนังนุ่มนิ่มของอีกคนตามคำบอก ถึงมันจะเป็นสิ่งที่ไม่เคยทำมาก่อนแต่ก็ให้ความรู้สึกดีกว่าการถุงมือคู่ใหญ่เอาไว้เหมือนทุกปี
บทสนทนาถูกพักไปเมื่อการตะโกนผ่านเสียงลมตีนั้นเป็นเพียงความพยายามงี่เง่าของคนสองคนที่เพิ่งจะเจอกันเป็นครั้งแรก ทั้งคู่ปล่อยให้ความเงียบนำตัวเองเข้าไปสู่ซอกหลืบแห่งความคิด คริสจดจ่อไปกับเส้นทางเบื้องหน้าที่ไม่คุ้นชิน ในขณะที่เซฮุนก็มองภาพถนนชินตาเหล่านั้นอย่างระมัดระวังมากขึ้น
“เดี๋ยวเลี้ยวตรงซอยข้างหน้าครับ....” เสียงหวานตะโกนบอกให้อีกคนชะลอรถแต่กลับไม่มีคำว่าช้าลงอยู่ในประโยคคำพูดเหล่านั้น ลำคอของอี้ฟานขยับไปในทิศทางที่เขามองไม่ชัดแต่การขยับนั้นก็บอกได้ว่าเจ้าของเอวที่เขาวางมือเอาไว้รับรู้แล้วว่าตัวเองต้องบังคับยานพาหนะเปิดประทุนไปทางไหน
ร่างบางเอี้ยวตัวตามเมื่อรถมอเตอร์ไซค์คันใหญ่หักเลี้ยวเข้ามาในซอย เส้นทางขรุขระทำให้เซฮุนค่อนข้างลำบากในการประคองตัวคร่อมอยู่บนเบาะโดยไม่ปริปากบ่น กระนั้นโอเซฮุนก็ทำมากสุดเพียงแค่ส่งเสียงสบถครางไปมาเมื่อสะโพกของตนกระแทกซ้ำเดิมไม่รู้จักพอ แต่ก็จำต้องปล่อยให้เป็นอย่างนั้นไปในเมื่อปลายทางที่อยู่ลึกเข้าไปในซอยนี้เต็มไปด้วยความสวยงามที่คุ้มค่าจะแลก
“...อ่า...” เหมือนได้กลับมาสู่พื้นผิวโลกอีกครั้ง อู๋อี้ฟานครางในลำคอด้วยความพอใจก่อนจะดับเครื่องยนต์ไว้ที่กลางทุ่งสีทองอร่าม ดอกหญ้าที่แห้งกรังจนแปรเป็นสีทองทั้งไร่ทำให้เขาคลี่รอยยิ้มออกมาเสียกว้างก่อนจะป่ายตัวลงมาจากยานพาหนะตามผู้โดยสารตัวผอมที่กำลังมีปัญหากับการถอดหมวกกันน็อค
ฝ่ามือใหญ่วางลงกลางหมวกแล้วเคาะมันเบาๆเพื่อเรียกความสนใจของคนที่พยายามจะปลดล็อกมันด้วยนิ้วเรียวทั้งสิบของตัวเอง แรงกระเทือนนั้นได้ผลเพราะมันทำให้เซฮุนช้อนดวงตาเรียวขึ้นมามองใบหน้าของเขาพร้อมกับการตั้งคำถามผ่านการเลิกเรียวคิ้วเข้มของตัวเองขึ้น ซึ่งมันก็ทำให้คริสสบถออกมาเป็นรอยยิ้มกริ่มก่อนจะเคลื่อนมือของตัวเองลงมาแกะมันออกให้
“เป็นอิสระแล้ว” เขาแกล้งหยอกอีกคนด้วยถ้อยคำที่คิดว่าน่าจะทำให้ขำ แต่เซฮุนก็ทำเพียงแค่กลอกดวงตาของตัวเองไปมาอย่างไร้ความรู้สึก... ซึ่งก็ไม่น่าแปลกใจเลยว่าทำไมมันถึงเป็นเช่นนั้น
การจากไปของคิมจงอินก็คือการจากไปแห่งรอยยิ้มของโอเซฮุน
“เราเข้าไปกันเลยไหมครับ”
“ไปสิ...” เขาขานตอบคำเร่งของคนที่มีเป้าหมายแน่วแน่ในการมาเยือนทุ่งดอกไม้แห่งนี้อย่างไม่ลังเล แม้ว่าในเวลานี้ผู้ชายที่ชื่อว่าอู๋อี้ฟานจะยังค้นหาเป้าหมายของตัวเองไม่เจอในการขับรถทางไกลถ่อมาถึงที่นี่ก็ตาม กระนั้นมันก็ไม่ได้มีอะไรเสียหายที่จะใช้เวลาหนึ่งวันหยุดกับการเดินนำหน้าคนน่ารักหรือตามหลังในบางช่วงเวลา
“...”
“น่าเสียดายจังที่ใครบางคนก็เผลอหยิบรอยยิ้มของนายไปด้วย” ร่างสูงเกริ่นมันออกมาหลังจากที่โอเซฮุนหยุดฝ่าเท้าของตัวเองเอาไว้ที่ดอกไม้ดอกหนึ่งที่มีความสวยงามมากเกินบรรยายซึ่งเขาไม่แน่ใจว่ามันคือดอกอะไร คนที่ใช้ชีวิตแบบหยาบ ๆ คงไม่ได้ให้ความสลักสำคัญนักในการศึกษาชื่อดอกไม้หรอก เพียงแค่มองเจ้าพืชทรงสเน่ห์นั้นถูกเด็ดดึงด้วยฝ่ามือเรียวก็เพียงพอแล้วสำหรับอี้ฟาน
ใบหน้าเรียวผินมองมาทางเขาด้วยสายตาที่กำลังตั้งคำถาม แต่เพราะโอเซฮุนไม่ยอมพูดอะไรออกมาเขาจึงไม่ขอตีความว่าคำถามนั้นคืออะไรแม้จะพอเดาออกก็ตามที...
“...”
“...” ความเงียบแทรกซึมเข้ามาอีกครั้งท่ามกลางสายตาที่จ้องมองกันและกันไม่ห่าง มือบางเรียวนั้นหยุดชะงักการกระทำของตัวเองไปชั่วครู่ก่อนที่ร่างโปร่งจะยืดแผ่นหลังที่ฃมันค้อมต่ำลงไปขึ้นมา ปลายนิ้วกลางและนิ้วนางเกลี่ยบนกลีบดอกไม้สีสวยช้าๆเหมือนต้องการสัมผัสมันแต่ก็กลัวว่าฝ่ามือของตัวเองจะสร้างความบอบช้ำให้แก่กลีบอันอ่อนนุ่ม
อู๋อี้ฟานกดแววตาของตัวเองลงมองดอกไม้ในมือนั้นก่อนจะเป็นฝ่ายหลีกเลี่ยงการตอบคำถามด้วยการก้มลงไปเด็ดดอกหญ้าขึ้นมาไว้ในมือช่อใหญ่ และมันก็ทำให้เจ้าของช็อปเปอร์ได้เห็นว่าฝ่าเท้าของโอเซฮุนกำลังก้าวถอยกลับมายังเขาก่อนที่เจ้าตัวจะหันกายกลับหลังแล้วก้มตัวลงมองมาด้วยสายตาที่ไม่มีอะไรอยู่ในนั้น... ไม่มีเลยแม้สักอย่างเดียว
“แบคยอนฮยองส่งฮยองมาทำไมเหรอครับ....”
“...” คริสยันตัวขึ้นมาพร้อมกับดอกหญ้าช่อใหญ่ในมือ ริมฝีปากหยักยกยิ้มอีกครั้งเมื่อได้เห็นหน้าเรียวสวยในระยะประชิด “...นายถามในสิ่งที่ตัวเองรู้ มันไม่ดูแปลกๆไปหน่อยเหรอ ?”
“ผมถามในสิ่งที่ตัวเองไม่รู้ต่างหาก”
“ทำไมนายจะไม่รู้หล่ะ”
“ถ้าจะให้ผมลืมจงอินฮยองหน่ะ การส่งฮยองมาแทนเขามันหมายความว่ายังไงเหรอครับ...” มือบางเอื้อมไปรับเอาดอกหญ้าที่ถูกกกกุมอยู่ในฝ่ามือใหญ่มาถือเอาไว้เสียเอง ซึ่งคริสยอมปล่อยมันให้กับฝ่ามือนุ่มสะอาดนั้นอย่างตั้งใจแต่สิ่งที่เขาไม่ปล่อยไปก็คือดวงตากลมที่กำลังถูกตรึงเอาไว้ด้วยสายตาของเขาจนหมดทางรอด
“...”
“...ไม่ว่าจะเพราะผมหรือเพราะแบคยอนฮยองสุดท้ายจงอินฮยองก็ตายอยู่ดี”
“...”
“ผมหย่าขาดจากเกมส์นั้นแล้ว... แบคยอนฮยองจะส่งเหยื่อของตัวเองมาให้ผมทำไมกันครับ...” อู๋อี้ฟานแค่นยิ้มออกมาในทันทีที่คนตรงหน้าพูดจบประโยคที่ระบุว่าตนเองเป็นเพียงก้อนเหยื่อ เขาเอื้อมมือไปเด็ดดอกหญ้าที่สูงเหนือต้นอื่นมาถือไว้ก่อนจะขยับฝ่าเท้าก้าวเข้าไปหาคนตัวผอมที่ยืนอยู่ตรงหน้า ดวงตาของเซฮุนนจ้องมองไม่ยอมวาง กระทั่งเมื่อปลายยอดของดอกไม้ริมทางที่เขาถืออยู่เกลี่ยเข้าที่ลำคอขาว ร่างบางถึงได้ลุกขึ้นมาพ้นภวังค์ของตัวเอง
ปลายยอดของดอกหญ้าลากขึ้นมาจากลำคอระหงแล้วเกลี่ยย้อนแนวกรามขึ้นไปบริเวณกกหู เขากดใบหน้าต่ำลงตามที่มือของตัวเองเลื่อนมันขึ้นมา ครั้นเมื่อยอดดอกหญ้าหยุดลงที่หลังหูก็เป็นจังหวะที่คริสกดริมฝีปากแนบลงไปกับปลายจมูกโด่งรั้นตรงหน้าที่ยังคงพ่นไอร้อนออกมาท่ามกลางความหนาวเหน็บจากสายลมซึ่งกำลังเห่กล่อมให้ทุ่งหญ้าเอนตัวลงนอนท่ามกลางแสดงแดดยามบ่าย
ริมฝีปากหยักลากลงมาบนกลีบปากนุ่ม คริสลังเลที่จะสัมผัสมันอย่างละลาบละล้วงแต่สุดท้ายก็โดนฝ่ามือของอีกคนที่ยอมปล่อยดอกหญ้าก้อนหนึ่งทิ้งลงบนพื้นมาประคองใบหน้าของเขาให้กดแนบลงมา เซฮุนปิดดวงตาเรียวสวยอันทรงสเน่ห์ของตัวเองในขณะที่เขาเองก็เลือกตัดการมองเห็นออกแล้วใช้ริมฝีปากสัมผัสความรู้สึกของอีกคนให้ได้มากที่สุด
รสจูบนั้นปร่าเสียจนเขาเผลอป้อนลิ้นเข้าไปเพื่อหวังจะลบล้างมัน หากแต่ยิ่งกวาดกว้านไปด้านในโพรงปากก็พบว่ามันมีแต่จะขมเฝื่อน... ท้ายที่สุดความขมของมันทำให้คริสต้องผละใบหน้าของตัวเองออกมาแล้วเปลี่ยนไปกดจูบที่หางตาเรียวแทนการเปิดเปลือกตาบางขึ้น
“พี่เป็นเหยื่อของนายต่างหากหล่ะ...เซฮุน” น้ำเสียงโทนเบสละมุนจนผิดมนุษย์ ต่อให้มันเป็นเพียงแค่เสียงกระซิบเบาบางโอเซฮุนผู้ถูกดึงความสนใจทั้งหมดออกไปกองรวมไว้ที่อู๋อี้ฟานก็รู้สึกได้ว่ามันหวานเกินกว่าน้ำผึ้งป่าชั้นเลิศ
“...”
“แต่นายฆ่าพี่ตายไปนานแล้วหล่ะ...” เขาฉีกยิ้มที่คิดว่ามันก็คงจะขื่นขมไม่แพ้กับรสจูบของโอเซฮุนออกมา “พี่หน่ะ ตายก่อนคิมจงอินเสียอีก.... ตายไปตั้งแต่นายบอกว่านายรักเขาแล้ว” น้ำเสียงทุ้มกล่าวออกมาอย่างเนิบนาบแล้วปล่อยให้ก้านดอกหญ้าโดดเดี่ยวในมือร่วงลงสู่พื้น อี้ฟานกดริมฝีปากของตัวเองลงบนหน้าผากของร่างตรงหน้าก่อนจะก้าวเท้าเดินห่างออกไปจากโอเซฮุนอย่างที่ควรจะทำ
“...”
“พี่จะรออยู่ที่รถจนกว่านายจะได้ดอกไม้นะ ตามสบายเลย...”
“ตามนั้น...ก็ได้ครับ” เสียงตอบรับจากร่างบางดังเข้ามาในหูก่อนที่เสียงสวบสาบจากการย่ำฝ่าเท้าห่างออกไปจะทำให้เขารู้ว่าตัวเองควรจะเดินไปที่รถได้แล้ว อู๋อี้ฟานไม่เข้าใจเลยว่าทำไมตัวเองถึงไม่กล้าหันกลับไปมองแผ่นหลังของอีกคนที่เดินห่างออกไปทั้งที่อยากจะทำแบบนั้นแทบตาย
โอเซฮุนจะสามารถทำให้เขาตายได้อีกกี่รอบกันนะ
- - -
(คิคิ ฉันบอกอี้ฟานแล้ว....)
“บอกอะไร...”
(บอกแล้วว่ามีแค่อี้ฟานที่ช่วยทำให้งานจบได้)
“อย่าคิดว่ากูไม่รู้เรื่องที่มึงพนันอะไรเอาไว้นะแบคยอน...” ก็ไม่แน่ใจว่าไอ้น้ำเสียงสลึมสลือแบบนั้นจะช่วยขู่เจ้าชายที่มีมารยาแปดร้อยเล่มเกวียนให้กลัวได้หรือเปล่า แต่สงสัยได้ไม่นานเท่าไหร่เสียงหัวเราะคิกคักของแบคยอนก็ทำให้เขารู้คำตอบว่ามันไม่ได้ผลเอาเสียเลย
(ที่รักพูดไม่ดีเลย)
“พยอนแบคยอน กูไม่ใช่ที่รักมึงนานมากแล้ว” เสียงทุ้มย้ำหนักๆเพื่อเตือนสติของคนที่ชอบแข่งขันเกมส์ประหลาด อี้ฟานไม่อยากปล่อยให้พยอนแบคยอนลอยไปไกลเกินคว้ากลับมาหรอกนะ
(ฮะ ๆ... ฉันไม่กวนแล้วดีกว่า ใช้เวลาให้คุ้มนะอี้ฟ่ร แล้วนายจะได้เป็นที่รักสักที)
“หึ... มันมีสักทางด้วยเหรอวะ”
(...อู๋อี้ฟานหาอะไรก็เจอไม่ใช่หรือไง ทางแค่นี้ทำไมหาไม่เจอหล่ะ)
“...”
(ฉันกับเซฮุนก็แค่สร้างเกมส์ขึ้นมาเล่นๆเท่านั้น ความรู้สึกพวกนั้นมันก็เล่นๆทั้งนั้นแหละ... โอเซฮุนแค่ยังหลงอยู่ในเกมส์บ้าบอของฉัน นายก็ขี่ม้าขาวเข้าไปพาเจ้าหญิงของนายออกมาสิ)
“...”
(มันก็แค่เกมส์ที่อยากจะเอาชนะกัน คิมจงอินแค่โง่ไปนิดเดียวเอง... พยอนมีที่ไหนความรักอะไรแบบนั้นหน่ะ รีบๆพาเจ้าหญิงของนายออกมาจากความฝันได้แล้วอี้ฟาน ภารกิจของนายยังไม่จบนะ ~)
“อืม...” เขาครางอื้ออึงในลำคอและพยายามตัดสินว่าจะพูดอะไรออกไปต่อดีแต่พยอนแบคยอนก็ตัดสายไปเสียแล้ว ฝ่ามือใหญ่สอดเครื่องมือสื่อสารกลับเข้าไปในกระเป๋ากางเกงของตัวเองก่อนจะลืมตาขึ้นแล้วก็ต้องตกใจเมื่อพบว่าร่างบางของใครบางคนนั่งขัดสมาธิอยู่ข้าง ๆ “มาตั้งแต่เมื่อไหร่...”
“ผมหลงทางเหรอครับ....” เขาจะคิดว่านั่นเป็นเป็นคำตอบแล้วกันนะ...
“แล้วนายคิดว่าไงหล่ะ...”
“ผมรักคิมจงอิน”
“ถ้าอย่างนั้นพี่ก็หลงทางเหมือนกัน” คริสยันตัวขึ้นมา ปัดเศษหญ้าที่เกาะอยู่ตามเสื้อผ้าของตนก่อนจะเอื้อมหยิบหมวกกันน็อคมายื่นให้อีกคนที่เพิ่งจะลุกจากพื้นตามมา เซฮุนใช้ดวงตาของตัวเองช้อนขึ้นขอคำตอบอีกครั้ง แววตาเรียวสุกที่ทอประกายความว่างเปล่าทำให้เขาต้องฝืนเหยียดยิ้มออกมาแทนน้ำตาที่กำลังจะไหล
“...”
“ฮยองก็รักโอเซฮุน” ร่างสูงตั้งใจตอบคำถามด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่น เขาจับหมวกกันน็อคครอบลงไปบนหัวของคนที่มีช่อดอกไม้อยู่ในมือแล้วจัดการกลัดล็อคให้มันเรียบร้อยก่อนจะเดินนำไปยังยานพาหนะแล้วขึ้นคร่อมมันเอาไว้ เสียงเครื่องยนต์สตาร์ทเรียกให้เซฮุนต้องเดินตามไปแล้วคร่อมลงบนพื้นที่ด้านหลังเหมือนเช่นเคย ผิดแต่ว่าในเวลานี้ฝ่ามือทั้งสองข้างได้ประคองดอกไม้เอาไว้ในมือของตัวเองแล้วเลือกที่จะไม่จับเอวของอีกคนเหมือนเมื่อตอนแรก
- - -
ที่นี่เคยเงียบยังไง วันนี้มันก็ยังคงเงียบสงบได้เช่นนั้น... กลิ่นดินลอยคลุ้งไปทั่วและมันก็ไม่ทำให้อู๋อี้ฟานรู้สึกดีเลยที่จะต้องเดินตามแผ่นหลังของอีกคนเข้ามา ฝ่าเท้าที่ถูกครอบไว้ด้วยบูทหนังสีน้ำตาลย่ำเหยียบลงไปบนพื้นดินแฉะที่เต็มไปด้วยต้นหญ้าเขียวชอุ่มปกคลุมอยู่ ทุกย่างก้าวล้วนเป็นไปอย่างระมัดระวังจนเขารู้สึกเกร็งตัวไปหมด
แผ่นหินสลักชื่อที่เรียงรายไปรอบกายทำให้คริสไม่สามารถมีรอยยิ้มออกมาได้ แค่หายใจให้เป็นปกติเขายังรู้สึกว่ามันเป็นเรื่องลำบาก อกกว้างรู้สึกอึดอัด และเจ้าของชื่อบนแผ่นหินเหล่านี้ก็คงจะรู้สึกเช่นเดียวกันกระมัง...
“ที่นี่แหละครับ” เสียงเรียกหวานสะกิดความรู้สึกของเขาก่อนที่เจ้าของใบหน้าหวานขื่นจะผินตัวออกไปเพื่อเว้นที่ข้างกายให้กับเขาก้าวเข้ามา ขาเรียวยาวก้าวไปหยุดยืนตรงหน้าแผ่นหินก่อนจะค้อมตัวลงเป็นการแสดงความเคารพ พลางทอดมองชื่อที่ถูกสลักเอาไว้ซึ่งมันก็ยังคงเด่นหราอยู่แม้จะผ่านมาแล้วหลายปี
เหมือนที่คิมจงอินยังคงชัดเจนเสมอในใจของโอเซฮุน
“คิดถึงฮยองจังเลยครับ” คนที่มีชื่อคิมจงอินประทับอยู่ในหัวใจเปล่งเสียงหวานของตัวเองออกมาพร้อมกับรอยยิ้มในขณะที่ตัวเองก็วางช่อดอกไม้ลงที่หน้าหลุมศพ เขาเพิ่งจะได้เห็นมันเป็นครั้งแรก.. รอยยิ้มของโอเซฮุนสวยเหมือนภาพวาดที่มครต่อใครหมายปองและมันก็คงหายากเหมือนกับภาพวาดที่หายไปเช่นกัน
“หนาวแล้วนะ... ผมใส่เสื้อโค้ทตามที่ฮยองบอกแล้ว..แล้วฮยองห่มผ้าอยู่ใช่ไหมครับ” คริสไม่เคยเข้าใจว่าว่าการพูดกับแผ่นหินจะทำให้คนที่ทอดตัวนอนยังสุขคติภูมิรับรู้ได้อย่างไร แต่ถ้ามันจะทำให้ใครบางคนที่ยังอยู่ในโลกมนุษย์รู้สึกดีก็ไม่ใช่สิ่งที่ควรขัด ดังนั้นเจ้าของร่างสูงจึงเลือกก้าวเท้าห่างออกมาแล้วปล่อยให้โอเซฮุนได้สร้างพื้นที่ของตัวเองสักครั้งในรอบหนึ่งปี...
เสียงพูดคุยของเซฮุนยังคงลอยมาให้ได้ยินกับสายลม ซึ่งมันดูเหมือนจะมีความสุขหนักหนาแม้ว่าคิมจงอินจะไม่ได้ป้องปากตะโกนกลับมาตอบคำถามเหล่านั้นของคนตัวเล็ก... อี้ฟานไหวไหล่ของตัวเองเพราะต้องการจะขับไล่ความคิดวกวนออกไป เขาเดินห่างออกมามากพอจนถึงบริเวณที่ไร้แผ่นหินสักแผ่นก่อนจะหย่อนตัวลงนั่งบนรั้วไม้ที่มันดูแข็งแรงมากพอจะรองรับน้ำหนักหกสิบกิโลกกว่าได้ พลางทอดสายตามองท้องฟ้ายามเย็นที่ให้ความรู้สึกอบอุ่นขึ้นมาบ้าง
ริมฝีปากสวยแค่นยิ้มของตัวเองออกมาเมื่อเสียงหวานของอีกคนยังคงดังงุ้งงิ้งให้ได้ยิน บางทีเขาก็ไม่เข้าใจตัวเองเลยว่าจะตกลงรับปากกับแบคยอนทำไมกันในเมื่อเกมส์ของสองคนนั้นเขาเองไม่เคยมีส่วนได้มาตลอดอยู่แล้ว... มันน่าขันสิ้นดีที่รู้ดีเหลือเกินว่าทำไมคิมจงอุนถึงต้องนอนหนาวอยู่ใต้ดินก่อนเวลาอันควร เขารู้ดีว่าใครคือผู้ชนะ แต่กลับไม่เลือกที่จะพูดออกไปและปล่อยให้คนสองคนทำร้ายตัวเองและคนรอบข้างซ้ำไปซ้ำมา
เครื่องมือสื่อสารถูกหยิบออกมาจากกระเป๋ากางเกง อู๋อี้ฟานรัวนิ้วลงบนแป้นพิมพ์ผ่านระบบสัมผัสของมันเป็นข้อความขนาดไม่สั้นไม่ยาว ไปยังเบอร์ล่าสุดที่เขาโทรออก... พลางเหลือบสายตาไปมองเซฮุนที่ยังคงนั่งอยู่หน้าแผ่นหินเดิม
คุณกำลังส่งข้อความถึง.... พยอนแบคยอน
‘งานนี้มันมีกำหนดเวลาหรือเปล่า’
ฝ่ามือใหญ่เตรียมจะซุกเครื่องมือสื่อสารกลับไปที่เดิมแต่ก็ช้ากว่าแรงสั่นจากก้อนเหล็กในมือนั้น แบคยอนให้คำตอบเขาได้เร็วกว่าที่คิดและเขาก็ได้แต่หวังว่ามันจะเป็นคำตอบที่ดีมากพอในการออกไปจากเขาวงกตแห่งนี้
คุณได้รับข้อความจาก.... แบคยอน
‘จนกว่าเซฮุนจะลืมจงอิน... หรือไม่ก็จนกว่านายจะตาย (:’
เขาหัวเราะ... แม้จะไม่ได้หัวเราะร่าออกมาเสียงดังแต่มันก็ทำให้มีน้ำตาไหลปริ่มลงมาที่หางตาอย่างง่ายดาย มือหนาสอดโทรศัพท์ของตัวเองลงไปในกระเป๋าเหมือนเดิมแล้วก้มหน้าลงมองพื้นดินชื้นแฉะตรงหน้าพร้อมกับน้ำตาที่ทิ้งตัวตกลงไป
อู๋อี้ฟานยังตายได้อีกด้วยหรือ...
เพราะเอาแต่จมตัวอยู่กับความเศร้าจึงไม่ทันได้ยินเสียงฝ่าเท้าของอีกคนที่ก้าวเข้ามา รู้สึกตัวได้ก็ตอนที่เห็นรองเท้าผ้าใบสีแดงเลือดหมูของอีกคนอยู่ในกรอบสายตาแล้ว แต่มันก็ไม่ทำให้เขากล้าเงยหน้าชื้นน้ำตาของตัวเองขึ้นไปมองอีกคนหรอก... คริสได้แต่กุมมือแน่นและหวังว่าน้ำตาที่กลิ้งตัวไปมาจะสามารถหายไปได้ในเวลาไม่นานเกินไปจนทำให้เซฮุนสงสัย
“ฮยองเป็นอะไรไปครับ...” แต่สุดท้ายก็พ่ายแพ้ต่อฝ่ามือที่ประคองเอาใบหน้าของเขาขึ้นมา เซฮุนใช้แววตานิ่งสนิทมองเข้ามาในดวงตาคมคายแล้วเกลี่ยคราบน้ำตาที่ทิ้งตัวไปมาบนหน้าเนียนของอีกฝ่ายออกอย่างอ่อนโยน
“ฮยองคงจะต้องตายอีกรอบแล้วหล่ะ...” เขาให้คำตอบออกไปด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ
“...”
“อย่าฆ่าฮยองเลยนะ... แค่นี้ก็ทรมานจะตายแล้ว”
“ครับ... ผมจะไม่ทำแบบนั้น” แขนเรียวสอดเข้ามารอบเอวคอดก่อนที่เจ้าตัวจะเกยปลายคางวางลงบนบ่าพร้อมกับกระชับเรียวแขนของตัวเองแนบแน่น... ร่างบางไม่เข้าใจเจตนาของแบคยอนที่มีต่อเหยื่อรูปหล่อคนนี้เท่าใดนัก แต่ตอนนี้เซฮุนรู้แล้วว่าตัวเขากลายปืนในมือของแบคยอนที่จะใช้ปลิดชีพอู๋อี้ฟาน ไม่มีใครตายจริงในเกมส์ของความรักนอกจากคิมจงอิน มีก็แต่หัวใจที่จะค่อยๆหยุดทำงานไป... ซึ่งการอยู่แบบไร้ความรู้สึกพวกนั้นมันจะต่างอะไรกับตายหล่ะ
มีแค่โอเซฮุนเท่านั้นที่ฆ่าคริสได้
นั่นอาจเป็นเหตุผลที่แบคยอนเลือกให้คริสมาแทนในวันครบรอบการจากไปของคิมจงอิน
“...” อี้ฟานไม่รู้ว่าตัวเองควรจะเชื่อคำพูดนั้นอีกครั้งหรือเปล่า เขาเหมือนเด็กน้อยที่มีความรู้แค่ตัวอักษรกับคำศัพท์ไม่กี่คำ แต่การที่เรียวปากสวยนั้นกดลงมาแนบกับริมฝีปากหยักของเขามันก็ทำให้คนที่ตายซ้ำแล้วซ้ำอีกรู้สึกเหมือนได้ชุบวิญญาณ ฟันขาวที่ขบลงมาเบาๆเหมือนต้องการจะอ้อล้อทำให้ฝ่ามือหนาต้องยกขึ้นประคองท้ายทอยของอีกคนเอาไว้ไม่ให้เคลื่อนห่าง
คริสไล้ลิ้นชื้นขอตัวเองเข้าไปภายในอีกครั้ง น่าประหลาดที่มันหวานขึ้นกว่าเมื่อไม่กี่ชั่วโมงที่ผ่านมา... แต่โอเซฮุนก็ยังให้รสฝาดปร่าติดมาอยู่ดี กระนั้นเจ้าตัวก็เลือกที่จะไม่สนใจอะไรนอกจากเกี่ยวเรียวลิ้นของอีกคนเอาไว้แล้วดุนดูดมันตามที่ตัวเองต้องการจะทำ
เสียงหอบหายใจของคนที่เอาอ้อมแขนโอบรัดเขาไว้อยู่ทำให้เจ้าของริมฝีปากต้องยอมผละออกมาโดยไม่ลืมที่จะกดจูบย้ำลงไปที่มุมปากนุ่ม ดวงตาคมคายปรือมองร่างตรงหน้าและมันก็ทำให้หัวใจของเขาพองโตเมื่อริมฝีปากรสหวานฝาดนั้นกำลังยกรอยยิ้มจางๆให้พร้อมกับที่นิ้วเรียวยาวเลื่อนมาเกลี่ยที่มุมปากของเขา
“ถ้าผมเลือกได้... ผมก็ไม่อยากทำร้ายฮยองนะครับ”
- - -
พยอนแบคยอนยังคงเป็นหวัดในฤดูหนาวเหมือนเดิม แต่เจ้าตัวก็ช่างมีความพยายามในการดั้นด้นฝ่าพายุหิมะมาที่ตึกคณะได้อย่างน่ามหัศจรรย์ใจที่ไม่น่ามหัศจรรย์ไปกว่าท่าทีเหนื่อยหน่ายของเจ้าตัวซึ่งเหมือนจะไม่ได้หลับไม่ได้นอนมาทั้งคืนจนต้องมาทรุดกายเปลี้ยๆซบลงกับบ่าของเขา
“หมดสภาพ...”
“อื่ออออ ~” ปลายคางแหลมนั้นเกยอยู่บนบ่าและมันก็ทำให้รู้สึกรำคาญใจได้อย่างไม่น่าเชื่อเมื่อท่อนแขนเล็กเลื้อยมาโอบที่รอบเอวของเขาเอาไว้ พยอนแบคยอนผินใบหน้าของตัวเองขึ้นมองคนตัวโตที่ยังคงมีสีหน้านิ่งสนิทราวท้องทะเลไร้คลื่น.. ใบหน้านิ่งเฉยนั่นทำให้ร่างเล็กเบะปาก
“งานไม่สำเร็จเหรอ”
“ไม่รู้สิ...”
”น่าสงสารจังเลยอาฟาน คิคิ” กระนั้นเสียงหัวเราะยังคงเปี่ยมไปด้วยเล่ห์กลเหมือนเดิม ดวงตาคมกดลงมองเพื่อนตัวเล็กที่เลื้อยไปเลื้อยมาเหมือนเถาวัลย์แล้วแค่นลมออกมาจากจมูก ก่อนจะใช้ฝ่ามือใหญ่ของตัวเองจับให้หัวกลมๆนั้นฟุบลงไปกับโต๊ะเสียให้หมดเรื่อง
“คนรอบข้างนายใกล้จะตายครบแล้วนะพยอน..”
“อะไรกัน อี้ฟานจะทิ้งฉันไปอีกคนแล้วเหรอ ~”
“นายก็คงอยู่กับโอเซฮุนได้ไม่ใช่หรือไง”
“หมอนั่นไม่เล่นเกมส์กับฉันแล้วนี่นา...” คนช่างเจรจาต่อปากต่อคำไม่เลิกจนคริสหน่ายจะพูดต่อไป เขาก้มหน้าลงกดจมูกลงที่แก้มนุ่มของแบคยอนเหมือนเคยก่อนจะแนบใบหน้าของตัวเองลงไปกับหนังสือเรียนแล้วตะแคงมองเจ้าของโครงหน้าหวาน ริมฝีปากบางคลี่ยิ้มให้เห็นพร้อมกับเสียงหัวเราะคิกคักเหมือนที่เจ้าตัวชอบทำก่อนที่ดวงตากลมๆจะจ้องมองมาทางเขาเพื่อหาคำตอบของการแนบจมูกลงไปเมื่อสักครู่
“หยุดเป็นคนบาปได้แล้ว... ฆ่าจงอินหลอกฉัน แล้วก็หลอกเซฮุน...พระเจ้าจะไม่รักนายเอานะ” อี้ฟานพับนิ้วชี้ข้อบนของตัวเองลงแล้วใช้ด้านข้างเกลี่ยลงที่แก้มนุ่มนิ่ม เปลือกตาบางๆปิดลงก่อนที่เขาจะได้ทันสบมองเพื่อค้นหาคำตอบจากมันบ้าง พยอนแบคยอนหลบไวเสมอสินะ
“ฉันก็สารภาพบาปอยู่นี่ไง”
“...”
“ฉันก็ล้างบาปของตัวเองอยู่นี่ไงอี้ฟาน....นายอย่ากดดันฉันนักสิ” แบคยอนปรายสายตาอาบยาพิษลงมองเขา ดวงตาออดอ้อนที่ส่งมาก็ไม่ต่างอะไรจากมีดพกเล่มเล็กที่ใช้ลอบแทงเหยื่อให้ตาย ก็คงจะมีแค่คิมจงอินเท่านั้นแหละที่ตายเพราะดวงตาคู่นั้นของแบคยอน... แต่กับอู๋อี้ฟานมันไม่ใช่หรอก
คนที่ฆ่าเขาได้ด้วยสายตาแบบนี้ก็มีแต่โอเซฮุนเท่านั้นแหละ
To Be Continue…..
เรื่องนี้แต่ก่อนมันเคยเป็นวอนคยู เราเอามาแปลงใหม่นิดหน่อย ฟิคเก่าเล่าใหม่นะ
ความคิดเห็น