คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : Save
การกระทำที่ไม่มีเหตุผล
ไม่ได้หมายความว่าไร้ประโยชน์
เสียงโครมครามดังชัดเจนเมื่อบานประตูบ้านถูกผลักออกโดยฝีมือเจ้าของบ้านผิวเข้มซึ่งมีอุปกรณ์วาดภาพจำนวนมากติดไม้ติดมือมาด้วย
จงอินวางมันลงบนโซฟา ทำสัญญาณให้คนที่ติดตามมานั่งรอเงียบๆบนนั้นเช่นกัน ส่วนตัวเองก็ย่องเข้าไปในห้องครัวซึ่งเป็นต้นตอของเสียงดังสนั่น
“แม่! มาแล้ว” ร่างสูงโอบเอวของหญิงชราข้างหน้าด้วยความรักก่อนจะชะโงกไปกดริมฝีปากแนบข้างแก้มที่มีรอยลักยิ้มจางๆ
“ตัวแสบ! สปาเก็ตตี้เสร็จพอดี”
“มาๆแม่ เดี๋ยวช่วยยก” ตัวแสบคนเดียวของบ้านเดินไปคว้าจานมาจากชั้นวางสามใบแล้วตักสปาเก็ตตี้ขึ้นมาจากกระทะ
บีบซอสมะเขือเทศลงไปตามวิสัยของคนชอบกินรสจัด
ในขณะที่แม่ของตนก็เดินไปยังห้องนั่งเล่นแล้วได้พบกับใครอีกคนนั่งนิ่งอยู่บนโซฟา
“เอ่อ...สวัส...สวัสดีครับ”
“สวัสดีจ่ะ...” แม้จะงุนงงไม่น้อยแต่เธอก็ยิ้มรับคำทักทายของเด็กหนุ่มผิวขาว “จงอิน
แกไปหิ้วใครมาห๊า?”
“อ๋อ...เขาชื่อเซฮุนแม่ มี...ปัญหานิดหน่อยเลยพามาบ้าน”
“อ่อ ถ้างั้นก็ตามสบายเลยนะจ๊ะ” เธอสำรวจมองสภาพกระเซอะกระเซิงของเซฮุนตั้งแต่หัวจรดเท้า
ทั้งเส้นผมชี้ฟูและรอยยับย่นบนชุดสูท นั่นทำให้หญิงสาวมั่นใจว่ายังไม่ควรถามอะไรออกไปมากกว่านี้
มิเช่นนั้นดวงตาเรียวใสคู่สวยอาจจะบุสลายไปเสียก่อน
ปัญหาที่ว่าคงจะหนักหน่วงไม่น้อย
“ขอบคุณมากครับ ขอบคุณมากจริงๆ” และเพราะน้ำเสียงสั่นไหวนั่นจึงทำให้เธอตัดสินใจเอื้อมมือไปลูบกลุ่มผมสีบลอนด์สว่างสองสามครั้ง
ประจวบเหมาะกับที่จงอินยกจานสปาเก็ตตี้สามใบออกมาวางบนโต๊ะ ตามด้วยแก้วน้ำอีกสามใบ
“นายกินได้ใช่ไหม?” จงอินหันไปถามคนข้างกายให้มั่นใจ
“ได้ครับ” เซฮุนตอบรับเสียงแผ่วแล้วจึงเริ่มใช้ส้อมม้วนเส้นสปา-เก็ตตี้ในจานของตัวเอง
เด็กหนุ่มตักคำแล้วคำเล่าเข้าปากโดยไม่พูดเงยหน้าขึ้นพูดอะไรกับใคร
ความหิวโซจากการวิ่งหนีตลอดทั้งวันสูบเอาพลังงานที่มีไปทั้งหมด จนลืมตัวไปว่านี่ไม่ใช่บ้านของตัวเอง
ซึ่งกว่าจะรู้สึกตัวได้ สายตาทั้งสองคู่ก็จับจ้องมาที่เขาอย่างอึ้งๆเสียแล้ว
“ในกระทะยังมีอีกนะลูก ค่อยๆกิน คงหิวมากเลยสินะเนี่ย ฮะๆ” คิมอินนาบอกด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะเมื่อเห็นริ้วแดงบนแก้มของเด็กหนุ่มผิวขาวซึ่งตอนนี้นั่งพยักหน้ารับอย่างประหม่าอาย
บรรยากาศบนโต๊ะอาหารกลับเข้าสู่ความเป็นปกติอีกครั้งเมื่อจงอินเริ่มบทสนทนาโดยการเล่าว่าวันนี้เข้าเมืองไปซื้อสี
แต่กลับโดนพ่อค้าหาว่าเป็นคนบ้าเพราะใส่เสื้อโค้ทขาดตั้งแต่รักแร้ถึงสีข้างเข้าไปทำด้อมๆมองๆอยู่แถวโซนขาตั้งภาพด้วยอยากจะหายี่ห้อที่เคยใช้แล้วถูกใจตั้งแต่สมัยเรียน
หวิดจะโดนไล่ตะเพิดออกมาอยู่หลายครั้ง แถมยังแอบเคืองอยู่ในใจที่ไม่มีใครทักเลยว่าเขาใส่เสื้อขาดรอยใหญ่ขนาดนี้ทั้งที่แวะคุยกับเพื่อนตั้งหลายคนก่อนไปถึงร้าน
ซึ่งแน่นอนว่าเรื่องเล่านี้ได้รับเสียงหัวเราะจากทั้งคนเป็นแม่และผู้มาเยือนคนใหม่
ที่แม้จะไม่ได้ระเบิดหัวเราะออกมาเสียงดังแต่เซฮุนก็รู้ว่าตัวเองยิ้มออก
บางอย่างในบ้านหลังนี้ทำให้เซฮุนรู้สึกอุ่นใจ ทั้งบรรยากาศรอบข้างที่เป็นสีน้ำตาลอ่อน
เครื่องประดับไม้ อากาศเย็นชื้น
หญิงมีอายุเจ้าของสัมผัสที่ให้ความรู้สึกเหมือนผ้านวมผืนหนา
โดยเฉพาะผู้ชายคนที่ยอมขับรถทิ้งช่วงเวลาพักผ่อนกลางทุ่งเพื่อช่วยชีวิตของเขาเอาไว้
คิมจงอินทำให้เขารู้สึกปลอดภัย
- - -
“มันรกหน่อยนะ”
“...”
“แต่คงพอแก้ขัดได้ล่ะมั้ง...” พอพูดจบมือของจงอินก็สะกิดโดน สวิชต์ไฟของห้องพอดี
แสงสีขาวอมเหลืองสว่างวาบไปทั่ว
เผยให้เห็นกระดาษวาดภาพกองเกรอะกรังปนอยู่กับหลอดสีนับร้อย เซฮุนกวาดตา มองไปรอบๆห้องซึ่งได้รับการประดับด้วยรูปวาดทั้งที่เป็นสีน้ำและลายเส้นดินสอ
ไม่ว่าจะเป็นกำแพงห้อง ประตู หน้าต่าง บนทีวี หรือชั้นหนังสือ
ทุกที่ล้วนเต็มไปด้วยรูปวาดและก็คงไม่ต้องเปลืองเวลาเดาว่าใครคือเจ้าของลายเส้นเหล่านี้
“แค่นี้ก็มากพอสำหรับผมแล้วครับ”
“เฮ้ ทางการไปไหม...ฮะๆ ความจริง ไม่เคยมีใครเคยเข้ามาในนี้เลย” จงอินใช้เท้าเขี่ยจานสีใช้แล้วให้หลบไปอยู่ใต้โต๊ะคอมพิวเตอร์ซึ่งมีของประเภทเดียวกันวางซ้อนอยู่อีกสองสามใบ “นายเป็นคนแรก มันเลยออกจะ...เอ่อ...ติดขัดไปสักหน่อย”
“ไม่ครับ ไม่เลย” เซฮุนทำตามจงอินบ้างด้วยการหยิบหลอดสีที่เปิดค้างเอาไว้ขึ้นมาปิดฝา (ฝาก็ร่วงอยู่ตามพื้นห้องนั่นแหละ) ไปเรื่อยทีละอันทีละอัน
“ซ้ายมือคือห้องน้ำ...ส่วนนั่นเตียงนอน อยู่หลังชั้นวางอันนั้นเห็นไหม?” จงอินชี้นิ้วบอกทางให้กับคนที่ไม่รู้จักอะไรสักอย่างในห้องของเขา
เซฮุนส่องสายตาสำรวจไปก่อน แม้แต่ในห้องน้ำของจงอินก็ยังมีรูปภาพแปะอยู่ที่กระจกบานใหญ่
อ่างล้างหน้าสีขาวเปรอะเปื้อนไปด้วยคราบสีเหมือนน้ำโคลน ไหลย้อยเป็นทางยาว
และที่ข้างก็อกน้ำก็มีพู่กันนับร้อยอันวางเสียบเป็นระเบียบคล้ายรั้วไม้ไผ่
หากมองออกมาจากห้องน้ำก็จะเห็นชั้นวางหนังสืออันใหญ่กั้นพื้นที่ตั้งแต่หลังโซฟาตัวสั้นออกไป
ดวงตาเรียวมองลอดช่องว่างบนชั้นแล้วก็พบกับฟูกนอนหนาปูแผ่บนลังไม้ขนาดใหญ่สี่อันต่อกัน
บนนั้นมีหมอนอีกสามใบกับผ้าห่มสำลีผืนใหญ่ม้วนขดอยู่ตรงปลายเตียง ดูเหมือนว่าตรงนั้นจะเป็นพื้นที่เดียวที่ปราศจากสี
รูปวาด พู่กัน หรือขาตั้งภาพ
“อ่อครับ...”
“มันกว้างอยู่นะ เราน่าจะแชร์ที่กันได้” จงอินเดินนำเข้าไปก่อน
พาเซฮุนมาหยุดอยู่ที่ปลายเตียงลังไม้ทำมือของตนเองแล้วนั่งลงให้ดู
จริงอย่างที่จงอินว่า เตียงเตี้ยๆนี่กว้างมากกว่าที่เซฮุนคิด เผลอๆมันอาจจะจุได้สามคนแบบสบายๆด้วยซ้ำ “ลองนั่งดูนะ...ฉันว่ามัน...สบายดีเวลามันเตี้ยแบบนี้
ตื่นมาไม่ต้องกลัวร่วง”
“ครับ...” จงอินชวนอย่างตะกุกตะกักเช่นไร เซฮุนก็นั่งลงมาอย่างตะกุกตะกักเช่นนั้น
ฟูกยวบลงไปตามน้ำหนักตัวของเซฮุน ในขณะที่จงอินแผ่กายลงนอนเต็มที่
เจ้าของผิวสีแทนเข้มทอดสายตามองออกไปจากบานหน้าต่างซึ่งฉายภาพท้องฟ้าสีดำทะมึนเป็นพื้นหลังของค่ำคืนที่หมู่ดาวหลบไปเล่นซ่อนหาหลังกลีบเมฆหนา
ความเงียบเข้าปกคลุมรอบกายเพราะต่างฝ่ายต่างกำลังใช้ความคิด จงอินคิด
เซฮุนคิด พวกเขาไม่ได้คิดเรื่องเดียวกันหากแต่คิ้วกลับขมวดเป็นปมเหมือนกัน
ยิ่งบรรยากาศเงียบลงเท่าไหร่ ความคิดของพวกเขาต่างก็ลอยไปไกลมากเท่านั้น
“นี่...เซฮุน” สุดท้ายก็เป็นเจ้าของห้องที่เปล่งเสียงฝ่าความเงียบขึ้นมา “นายมีอะไรอยากจะเล่าหรือเปล่า?” จงอินหันหน้ามองคนที่นั่งเงียบอยู่ข้างกาย
ใบหน้าหวานหันมาหาเขาแล้วเม้มริมฝีปากจนมันเป็นรอยซีดเส้นตรง เซฮุนจ้องมองราวกับจะค้นหาอะไรบางอย่างบนเส้นคิ้วของเขาแล้วค่อยๆหลุบดวงตาลงมองฟูกนอนสีขาวในที่สุด
“...ผมถูกตามล่า”
“...”
“ลุงพยายามจะให้ผมแต่งงานแต่ผมไม่อยากแต่ง...” เสียงหวานสั่นเครือด้วยความหวาดระแวงเหมือนทุกครั้งที่ต้องพูดถึงปัญหาในครอบครัวสกุลโอ
เพราะถ้าหากมันแพร่งพรายออกไปนั่นหมายถึงการจบชีวิตตัวเอง “พวกเขาฆ่าพ่อกับแม่ เหลือแค่ผมในบ้านนั่น
ตอนนี้ลุงพยายามจะจับผมแต่งงานกับลูกของเขาที่เป็นน้องสาวผมเอง ผม...ผมไม่อยากแต่ง...พวกเขาจะฆ่าผมกับน้อง
เราเลยตัดสินใจหนีออกมา”
“...” จงอินไม่รู้จะพูดอะไร
แต่เขานึกก่นด่าตัวเองที่เมื่อตอนบ่ายลังเลใจจะช่วยเด็กคนนี้ อีกใจก็นึกโกรธพระเจ้าที่ยอมให้มีเรื่องประหลาดพรรค์นี้อยู่บนโลกอีก
“ผมวิ่งออกมาจากงานแต่ง แยกกับน้องไปคนละทาง... วิ่งไปตามถนน...จนมาเจอคุณ” แก้มขาวใสเคลือบไว้ด้วยน้ำเม็ดแล้วเม็ดเล่าขณะกล่าวถึงเรื่องนั้น
น้ำเสียงไม่สั่น ไม่ได้สะอื้น แต่น้ำตากลับไหลลงมาไม่หยุดราวกับลูกตาทั้งสองข้างเป็นตาน้ำในป่าลึก
จงอินคิดว่าโอเซฮุนคงจะเหนื่อยแสนเหนื่อยเหลือเกินกับการต่อสู้ในครอบครัวและการวิ่งหนีแบบไร้จุดหมาย
เขาพยายามจินตนาการสิ่งที่ผู้ชายคนนั้นแบกรับเอาไว้ หากเป็นตัวเองที่ต้องวิ่งหนีลูกกระสุนก็คงรู้สึกแย่จนหาคำอธิบายไม่ได้
บางทีอาจจะยอมแพ้ปล่อยให้คนพวกนั้นยิงทิ้งไปเลยด้วยซ้ำ เขาจึงใช้มือกร้านสากของตัวเองวางลงไปบนหลังมือขาว
เกลี่ยเบาๆแทนคำปลอบโยนเหมือนกับที่ได้รับเมื่อหกล้มเมื่อสมัยยังเด็ก
พลางคิดว่าถ้าเซฮุนเพียงแค่หกล้มมาก็คงจะดี
“นายน่าจะพักก่อน วันนี้เหนื่อยมากแล้วล่ะ" เสียงทุ้มกล่าวเบาๆจนเหมือนจะเป็นการกระซิบเสียมากกว่า
มือหนากร้านทว่าอบอุ่นเปลี่ยนตำแหน่งจากข้างแก้มไปวางไว้บนศีรษะที่ถูกคลุมด้วยกลุ่มผมเส้นเล็กแสนละเอียด
ลูบเบาๆแล้วดันให้อีกคนล้มตัวลงกับฟูกนอนเหมือนกัน
โอเซฮุนผู้ว่าง่ายเอนกายตามแรงรั้งจากฝ่ามืออุ่นบนหัว
ดวงตาเรียวที่บอบช้ำมาทั้งวันค่อยๆปิดลงจนโลกทั้งใบกลับกลายเป็นเพียงสีดำสนิท
หากแต่มันแตกต่างออกไปจากทุกครั้งเมื่อนิ้วของจงอินสอดเข้ามาลูบสางไปตามเส้นผม
แทรกสอดความอุ่นละมุนละม่อมที่แม้ว่าจะเก้กังไปสักนิดแต่ก็ยังคงอุ่นเหมือนได้พาตัวเองไปนั่งข้างกองไฟท่ามกลางพายุหิมะ
“คุณใจดีจัง”
“...”
“ถ้าวันนี้ไม่ได้เจอคุณ... ผมคงตายไปแล้ว” เซฮุนคงไม่รู้ตัวว่าขณะพูดประโยคนั้นน้ำตาของเจ้าตัวไหลพราก
ซึมผ่านเปลือกตาออกมาอย่างไม่มีทีท่าจะหยุด มันทำให้หัวใจของจงอินกระตุกวูบจนต้องพลิกตัวตะแคงเข้ามาแล้วใช้ปลายนิ้วโป้งปาดหยาดน้ำเหล่านั้นออกไป
หากแต่ยิ่งทำแบบนั้นมันกลับยิ่งไหลลงมาจนเขาเริ่มทำอะไรไม่ถูกและต้องเอื้อมเอาผ้าห่มที่กองขดอยู่มาเช็ดให้คนที่กำลังสะอื้นจนตัวสั่นตัวโยน
นานมากแล้วที่โอเซฮุนไม่ได้รับสัมผัสแบบนี้จากใคร ชีวิตที่มีเงินทองอู้ฟู่
สะดวกสบายในคฤหาสน์หลังใหญ่ไม่ได้ให้อะไรไปมากกว่าวัตถุสิ่งของและคนรอบข้างต่างหวังชิงเอาทรัพย์สมบัติโดยมิได้เห็นแก่จิตใจของเขาเลยแม้แต่น้อย แต่ชายแปลกหน้าคนนี้กลับพาเขาขึ้นรถ
ขับออกมาไกลแสนไกล ให้อาหาร ให้ที่พัก ให้ความอบอุ่นโดยไม่เรียกร้องสิ่งตอบแทนอะไรเลยสักอย่าง
“เซฮุนนา...ถึงฉันจะอายุสามสิบสองแต่ฉันก็ปลอบคนร้องไห้ไม่เป็นหรอกนะ”
“ฮึก...ฮือ...”
“ให้ตายสิ ถ้านายทำผ้าห่มเลอะขี้มูกเยอะ คืนนี้เราอาจจะต้องนอนหนาวจนขนร่วง”
“ฮึก...ฮะๆ...ฮึก...” คนที่มีผ้าห่มเป็นผ้าเช็ดน้ำตาชั่วคราวเผลอหลุดขำออกมาเมื่อได้ยินคำบอกกับสีหน้าอ่อนใจของจงอินขณะจับปลายผ้ามาซับน้ำตาให้กับเขา
แต่ถึงปากจะพูดเช่นนั้น ผ้าผืนเดิมก็ยังคงทำความสะอาดน้ำตาของเขาอยู่ซ้ำๆ
ท้ายที่สุดเซฮุนก็ตกไปอยู่ในอ้อมแขนแกร่งโดยไม่รู้ที่ไปที่มา
ใบหน้าหวานซุกลงกับแผ่นอกกว้างที่มีกลิ่นฉุนของใบยาสูบติดอยู่ มือกำชายเสื้อเอาไว้แน่น
แม้จะสามารถหยุดเสียงสะอื้นของตัวเองได้แล้วแต่เซฮุนก็ยังไม่พร้อมจะอยู่เพียงลำพังท่ามกลางความมืดใต้เปลือกตา
“คุณจงอิน...”
“ชู่ว...” เมื่อเซฮุนพยายามจะพูดอะไรบางอย่าง
เจ้าของอ้อมแขนกลับส่งเสียงห้ามและกดหัวของเขาให้ซุกกลับลงไป
“...”
“นอนเถอะเซฮุน... ที่นี่ปลอดภัยสำหรับนาย”
ไม่มีคำโต้เถียงใดจากริมฝีปากบางเฉียบหรือการขัดขัดขืนจากคนใต้อ้อมแขน
โอเซฮุนขยับตัวเล็กน้อย จัดท่าทางให้ตัวเองนอนได้สบายขึ้น มือบางยอมคลายออกจากชายเสื้อของอีกคนแล้วเคลื่อนไปวางบนช่วงเอวแกร่งที่ตะแคงมาเพื่อเขาโดยเฉพาะแทน
เซฮุนไม่รู้ว่าที่นี่ของอีกคนหมายถึงที่ไหน เพราะไม่ว่ามันจะเป็นบ้านหลังนี้หรือในอ้อมกอดของคิมจงอิน
เขาล้วนรู้สึกว่าตัวเองอยู่ในความปลอดภัยทั้งสิ้น
- - -
ภาพแรกที่เซฮุนเห็นคือผ้าม่านสีไข่ไก่กำลังพลิ้วไสวไปตามแรงลมจากด้านนอกกรอบหน้าต่าง
แสงอาทิตย์สว่างจ้าที่เบื้องหลังทำให้ต้องพลิกใบหน้าหนีหลบมาแล้วลองมองไปอีกฝั่ง ซึ่งเป็นชั้นวางหนังสือกับขาตั้งสำหรับวาดภาพ
และคิมจงอินที่กำลังนั่งตัดกระดาษอยู่
“อือ...”
“...ตื่นแล้วเหรอ?” เจ้าของผิวสีเข้มเงยหน้าขึ้นมาจากกรรไกรในมือ
ฉีกยิ้มกว้างให้กับเสียงครางอือของคนบนเตียง เซฮุนพยักหน้าสองสามครั้งด้วยอาการมึนงงก่อนจะซุกหน้าลงกับหมอนนุ่มแล้วค่อยเงยหน้าขึ้นมาอีกครั้ง
ท่าทางแบบนั้นทำให้จงอินอดหัวเราะออกมาไม่ได้
เหมือนลูกแมว
เซฮุนขดตัวเองเข้าไปอีกครั้งก่อนจะดีดตัวขึ้นนั่งอย่างรวดเร็ว
กลุ่มผมสีน้ำตาลชี้ฟูไม่เป็นทรงส่ายมองรอบตัวด้วยความรู้สึกไม่คุ้นชิน
โดยไม่รู้ตัวเลยสักนิดว่าคิมจงอินได้วางมือจากการตัดกระดาษแล้วกำลังเดินเข้ามาประชิดเรียบร้อยแล้ว
“อันนี้ชุดนาย...อาบน้ำก่อนแล้วเดี๋ยวลงไปกินข้าวกัน” เสื้อผ้าชุดใหม่วางแหมะลงบนตักของเซฮุนที่ยังเอามือขยี้ตาอยู่
อาการง่วงงุนทำให้การตอบสนองของคนบนเตียงช้าลงกว่าปกติหลายเท่า
กว่าจะลุกไปเข้าห้องน้ำได้ก็นานหลายนาทีจนจงอินนึกขบขัน แต่ก็บันทึกเข้าสมองเรียบร้อยแล้วว่าโอเซฮุนต้องใช้เวลาเซ็ทข้อมูลนานหน่อยหลังตื่นนอน
ชุดที่เซฮุนสวมอยู่เป็นเสื้อตัวเล็กไม่กี่ตัวที่จงอินมี
น่าจะตกค้างมาจากการโละเสื้อผ้าสมัยก่อนที่เขาจะเล่นกล้าม (สุดท้ายจากกล้ามก็กลายมาเป็นหน้าท้องนุ่มนิ่มเสียอย่างนั้น) แต่ถึงมันจะตัวเล็กแค่ไหน
เมื่อไปอยู่บนตัวของเซฮุนแล้วกลับกลายเป็นเสื้อตัวโคร่งขึ้นมาในพริบตา
ทั้งสองลงมานั่งกินข้าวกันเงียบๆในห้องครัว
เมื่อมื้อเช้าหมดลงจงอินก็เดินกลับเข้าห้องอีกครั้งโดยมีเซฮุนเดินตามหลังไปติดๆ
ร่างบางหย่อนตัวลงนั่งบนเก้าอี้ไม้อีกตัวที่มุมห้องเมื่อเห็นจงอินหยิบกระดาษขึ้นมาตัดเป็นรูปร่างแล้วแปะมันลงไปบนกระดาษอีกแผ่นบนขาตั้ง
ทำเช่นนั้นซ้ำไปเรื่อยๆกระทั่งเห็นถึงมิติบนแผ่นกระดาษแบนราบ
หลังจากเฝ้าดูอีกคนได้สักพัก
เซฮุนก็เริ่มมองไปรอบตัวที่รกระเกะระกะด้วยข้าวของมากมาย ส่วนมากเป็นอุปกรณ์ศิลปะอย่างสีอะครี-ลิค
พู่กัน เศษกระดาษ และอื่นๆที่เขาไม่รู้จักชื่อ
เซฮุนคิดว่าสิ่งที่ทำได้ดีที่สุดตอนนี้อาจจะเป็นการเริ่มจัดเก็บมันให้เป็นหมวดหมู่
ร่างบางก้าวลงจากเก้าอี้แล้วเริ่มหยิบจับข้าวของมากมายบนพื้นมาวางแยกกอง
แบ่งตามหมวดหมู่ เริ่มจากเก็บพู่กันมาแยกให้เป็นเบอร์จากเล็กไปใหญ่
ตามต่อด้วยการกวาดเอาหลอดสีมาวางสุมกันให้เป็นกอง
อันไหนที่ถูกบีบจนบี้แบนหมดทุกหยาดหยดแล้วจะถูกแยกไปทิ้ง ทั้งหมดดำเนินไปโดยที่จงอินก็ยังคงสนใจชิ้นงานตรงหน้าและไม่ได้เหลือบมองความเป็นไปรอบกายเลยแม้แต่น้อย
คงเป็นเพราะพวกเขาทานมื้อเช้ากันไปเมื่อตอนเกือบเที่ยง
กว่าจะหิวอีกรอบก็เป็นช่วงที่แสงอาทิตย์น้อยลง ตอนที่จงอินคิดว่าตัวเองควรเดินไปเปิดไฟ
เขาตั้งใจกับงานมากเกินไปจนลืมด้วยซ้ำว่ามีโอเซฮุนนั่งอยู่ด้วยกันในห้อง
ครั้นเมื่อละสายตาออกมาจากกระดานตรงหน้า คิ้วเข้มก็เลิกขึ้นด้วยความประหลาดใจด้วยเห็นว่าห้องทำงานไม่ได้รกเละเทะเหมือนเดิมอีกต่อไปแล้ว
พู่กันถูกล้างจนสะอาดไม่มีคราบยางของสีติดอยู่ให้เห็นเหมือนเคย
หลอดสีถูกจัดวางอยู่ในตะกร้า ไล่สีตามโทนร้อนเย็นให้สะดวกต่อการเลือกใช้
ร่างสูงเหลือบมองเข้าไปในห้องน้ำที่มีเสียงกอกแกกอยู่และเขาก็พบว่าโอเซฮุนกำลังพยายามล้างฟองน้ำและเศษผ้าอีกหลายชิ้นอย่างขะมักเขม้นตรงอ่างล้างหน้า
“นึกว่าคุณจะเป็นลูกคุณหนูแบบในละคนที่ทำอะไรไม่เป็นเสียอีก” เจ้าของห้องอิงสะโพกไว้กับกรอบประตูขณะกวาดสายตาสำรวจมองห้องน้ำของตัวเองซึ่งมีสภาพเปลี่ยนไปราวกับรื้อสร้างใหม่ “ครั้งสุดท้ายที่เห็นห้องสะอาด ตอนนั้นน่าจะประมาณ สิบขวบได้มั้ง...ฮะๆ”
“ผมไม่ค่อยถนัดเรื่องการอยู่กับคนอื่นก็เลยเก็บห้องเองมาตลอดน่ะครับ” คนที่กำลังขะมักเขม้นกับการขัดจานสีอธิบายทั้งรอยยิ้มจางๆ “ฝีมือผมไม่ได้แย่ใช่ไหม?” เซฮุนขยับตัวหลบออกมาเพื่อให้จงอินได้เห็นห้องน้ำที่สะอาดขึ้นมากโขด้วยสองมือของผู้อาศัยคนใหม่
เจ้าของบ้านกวาดตาสำรวจไปรอบๆอีกครั้งแล้วยกนิ้วโป้งขึ้นให้อีกคนดูก่อนจะหัวเราะร่วน
“วิเศษเลยล่ะ”
ดวงตาของทั้งคู่สบกัน
จงอินคิดว่าเขาไม่อยากรู้แล้วว่าเซฮุนจะกลับบ้านเมื่อไหร่
x x x x x
แม่ของจงอินกลับมาในช่วงเย็นของวันและรีบออกไปพร้อมเสื้อผ้าสองสามตัวเนื่องจากมีญาติป่วยกะทันหันและต้องการคนไปเฝ้าที่โรงพยาบาล
ร่างสูงผละออกจากชามรามยอนของตัวเองขึ้นไปช่วยแม่เก็บกระเป๋าให้เรียบร้อยก่อนจะเดินไปส่งขึ้นรถที่มีคนขับเป็นอาของเขาเอง
สองแม่ลูกกล่าวอำลาด้วยการจูบที่ข้างแก้มสองครั้งตามธรรมเนียมแล้วจึงแยกย้าย
“เวลาแม่ไม่อยู่เรื่องเดียวที่น่ากังวลคือมื้อเช้ากลางวันเย็น...” จงอินกลับมานั่งบนโต๊ะอาหาร
เปิดบทสนทนาอีกครั้งด้วยคำพูดติดตลกที่ทำให้เซฮุนยิ้มออกมาด้วยเข้าใจความหมายนั้นดี
“ผมกินง่ายนะ”
“ฉันก็คงไม่ทำอะไรยากหรอก…” ยิ้มมุมปากของจงอินทำให้คนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามระเบิดเสียงหัวเราะดังลั่น
ดูเหมือนว่าจงอินจะไม่ค่อยถูกกับการทำอาหารสักเท่าไหร่ เว้นแต่เมนูรามยอนง่ายๆแบบที่พวกเขากำลังกินอยู่
“ผมกินได้ทุกอย่างจริงๆ...” เซฮุนยืนยันแม้ริมฝีปากของเขาจะยังคงมีรอยยิ้มออกมาล้อเลียนเจ้าของบ้าน
“โอเคๆ...” จงอินพยักหน้ารับแล้วสูดเส้นเข้าปาก “นายจะเป็นคนแรกที่ได้กินรามยอนฝีมือฉันสามสี่วันติดเชียวนะ...”
“ผมต้องดีใจใช่ไหม?”
“มากๆเลยล่ะ เพราะนอกจากนายยังไม่เคยมีใครได้นอนค้างบ้านฉันเลยสักคน” คำพูดของจงอินทำให้เซฮุนชะงักมือที่กำลังยกช้อนขึ้นจ่อปาก
บ้าจริง...เขาลืมไปแล้วด้วยซ้ำว่าที่นี่คือบ้านของคิมจงอิน
คนแปลกหน้าที่เพิ่งจะรู้จักกันเมื่อวานขณะหนีตายออกมาจากงานแต่ง
และที่นี่ไม่ใช่ที่ที่โอเซฮุนจะอยู่ต่อไปได้ตลอดชีวิต
ปฏิกิริยาที่เปลี่ยนไปทำให้จงอินนึกขึ้นได้ว่าตัวเองไม่ควรพูดออกไปเช่นนั้น
เจ้าของผิวสีแทนขมวดคิ้วสบถด่าตัวเองเบาๆที่ใช้คำพูดไม่เข้าท่าจนทำให้คนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามวางช้อนลง
ยุติมื้ออาหารของตัวเองด้วยความรู้สึกไม่ดีที่เขาเป็นคนทำให้มันเกิดขึ้น
“จริงด้วยสิ... ผมคงอยู่กับคุณนานมากไม่ได้” เมื่อได้ยินเช่นนั้น จงอินก็นึกอยากจะเอาหัวจุ่มลงไปในชามรามยอน
ลงโทษตัวเองเสีย
“ฉัน...ฉันไม่ได้...เอ่อ...ไม่ได้หมายความแบบนั้น”
“ไม่หรอกครับ... ผมรู้ว่าคนเราหนีอะไรตลอดชีวิตไม่ได้”
บรรยากาศถูกเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือไปได้ในเวลาไม่กี่วินาที
ภายในห้องครัวหลงเหลือเพียงแค่ความเงียบงันและเสียงลมพัดเข้ามาจากบานหน้าต่าง
จงอินกลอกสายตาวอกแวกของตัวเองไปมาขณะเฟ้นหาคำแก้ต่างที่ฟังขึ้น
“ไม่ๆ...ฉันไม่ได้หมายความแบบนั้นจริงๆ”
“...”
“นายไม่ได้กำลังหนีอยู่” มือหนาวางตะเกียบลงและเอื้อมมือไปวางไว้บนศีรษะของเซฮุน เจ้าของเส้นผมนุ่มมือช้อนดวงตาที่เต็มไปด้วยคำถามมากมายขึ้นมอง “นายแค่กำลังหาที่ปลอดภัยและฉัน...ฉันว่าที่นี่มันก็ปลอดภัยดีสำหรับนาย”
- - -
LAST EDIT 25/01/16
#ฮายโฮป
แฮ่.....
ความคิดเห็น