คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : Unconditionally
{ UNCONDITIONALLY }
Super Junior / Siwon x Kyuhyun / G / 16170 WORDS
NOTE SONG : UNCONDITIONALLY / KATY PERRY
https://www.youtube.com/watch?v=XjwZAa2EjKA
I will love you unconditionally.
บนโลกที่ไม่มีเงื่อนไขกางกั้น
บนโลกที่มีเพียงฉันและเธอ
ส่วนมากเขาตื่นขึ้นเพราะเสียงฝีเท้าหรือเสียงกระสุน หลังจากนั้นก็ต้องวิ่งตรงไปข้างหน้าอย่างไม่คิดชีวิตเพื่อความอยู่รอดและจุดจบของมันก็คือการตื่นขึ้นอีกครั้งแล้วพบเพดานสีขาวของโรงพยาบาลเดิมกับนายแพทย์คนเดิมที่เดินเข้ามาส่งยิ้ม เอาสเต็ตโตสโคปนาบลงกับแผ่นอกที่มีบาดแผลเจ็บร้าวไปถึงกระดูกสันหลังก่อนจะจับสายน้ำเกลือแล้วบอกว่าอีกสามวันก็กลับบ้านได้แล้ว...ถ้าแผลไม่อักเสบนะ
ทุกอย่างเกือบจะเหมือนเดิม เพียงแต่เช้าวันนี้เขาตื่นขึ้นเพราะกลิ่นหอมของนมที่ถูกเคี่ยวจนร้อน ลอยมาพร้อมกับเสียงนกและแสงแดดที่แยงทะลุผ้าม่านสีนวลผืนบางตรงหน้าต่างของห้องเพดานสีเทาที่เขาไม่คุ้นตา หัวหนักอึ้งเหมือนโดนอะไรทุบมาหันรีหันขวางซ้ายขวาสำรวจว่ามีโซ่ตรวนคล้องอยู่หรือไม่แต่สิ่งที่พบกลับเป็นแมวตัวอ้วนกลมขนปุยนอนนิ่งสนิทอยู่ในนิทราของมัน
มันผิดไปเสียหน่อยแต่ก็นับว่าปลอดภัย
ฝ่าเท้ายาวเบอร์สี่สิบสามถีบผ้าห่มสำลีออกจากตัว กลิ่นของมันไม่หอมแต่ก็ไม่ได้เรียกว่าเหม็น และเมื่อเทียบกับรังเก่าของเขามันดีกว่ามาก เสียงไม้เอี๊ยดอ๊าดดังขึ้นเมื่อฝ่าเท้าเปลือยเหยียบลงซึ่งมันทำให้คนที่ไม่ชินกับเสียงต้องชะงัก... ก่อนจะมองไปรอบกายและพบว่าวันนี้คงจะเป็นข้อยกเว้น
ดวงตาคมคายที่ยังเปิดปรือไม่สุดมองผ่านผ้าม่านผืนบางซึ่งโดนลมพัดตีรวนจนพองออกไป เบื้องหน้าของเขาคือทุ่งทานตะวันขนาดใหญ่ กว้างสุดรุกหูรุกตา หาจุดจบไม่พบ กลิ่นอายของแดดเวลาแปดโมงเช้าทำให้ร่างกายท่อนบนที่เปล่าเปลือยเพราะมีบาดแผลมากมายสัมผัสได้ถึงความอบอุ่น
มันเป็นครั้งแรกในรอบสิบกว่าปีที่ดวงตาของเขาสามารถปิดลงอย่างไร้ข้อกังขาเพื่อรับรู้ถึงการมีอยู่ของวัตถุที่ไม่ใช่กระสุนปืนหรือไม้หน้าสาม
กระนั้นไม่ห่างออกไปนักมีเสียงฝีเท้าแผ่วเบากำลังย่างเหยียบใกล้เข้ามา สัญชาติญาณของความเป็นนักฆ่าสั่งให้ร่างสูงเร้นกายเข้ากับสักที่และจุดที่เหมาะสมก็คงเป็นชั้นวางหนังสือคร่ำครึตรงมุมห้อง ร่างโปร่งไปหยุดอยู่ตรงนั้นในจังหวะที่ประตูผลักเปิดออกมาพอดี
“ไปไหนของเขานะ...” เสียงบ่นพึมพัมคุ้นหูทำให้คนตัวสูงเบาใจลงไปได้ว่าเจ้าของฝ่าเท้านั้นไม่ใช่ใครอื่นแต่เป็นบุคคลที่เขารู้จักดี เท้าเปลือยเปล่าตัดสินใจก้าวพาตัวเองให้พ้นมาจากที่ซ่อนเร้น ตรงหน้าเขาคือรอยยิ้มหวานที่ไม่ว่ามองกี่ครั้งก็ไม่สามารถเข้าถึงคำว่าเบื่อได้
ลมพัดโชยมาอีกครั้ง หอบเอากลิ่นวนิลาจากผิวกายขาวนวลมาแตะที่ปลายจมูก
“คุณหนู...”
“อ่า ซีวอน... นึกว่านายหายไปไหนซะอีก" รอยยิ้มหวานยังคงหยิบยื่นมาให้เขา ชเวซีวอนอยากจะยกมือขึ้นตบหัวตัวเองแรงๆสักครั้งเพื่อบอกให้ตื่นจากฝัน แต่กลิ่นวนิลาและแสงแดดยามแปดโมงเช้ามันชัดเจนเกินกว่าที่เขาจะได้ทันจินตนาการว่าตัวเองกำลังหลับใหลอยู่
- - -
เขายังจำรสชาติของกิมจิชิเกได้ว่ามันชวนแขยงลิ้นแค่ไหน กับการเป็นเด็กชายที่ถูกเลี้ยงมาด้วยอาหารแบบตะวันตกมาตลอดชีวิตยิ่งทำให้รสเผ็ดอมเปรี้ยวปนเค็มน่าแขยงหนักยิ่งกว่าเดิมและกว่าจะปรับตัวให้เข้ากับวัฒนธรรมอาหารเกาหลีได้ ตอนนั้นซีวอนก็พบว่าตัวเองเริ่มรู้จักการทำกิมจิแบบครบขั้นตอนเสียแล้ว
ที่ว่าโตมากับอาหารตะวันตกมันก็ไม่ผิดนักถ้าจะบอกว่าตนเองไม่ได้มีสัญชาติเกาหลี เขาอยู่ที่นั้นด้วยพาสปอร์ตเถื่อน ผนวกกับการเป็นอาชีพักฆ่า ถ้าจะพูดให้ถูกคือเขาอยู่ในเกาหลีใต้ด้วยพาสปอร์ตทั้งหมดสิบเจ็ดเล่ม และนั่นหมายความว่ามีคนหน้าพิมพ์เดียวกับเขาทั้งหมดสิบเจ็ดชื่อเช่นกัน ดังนั้นการมีตัวตนของเขาค่อนข้างผิดกฎหมาย
แต่ในเวลานี้... ความรู้สึกแบบนี้
ซุปฟักทองกลิ่นนี้
เพิ่งจะรู้ว่าการเป็นบอร์ดิการ์ดมีช่วงที่ได้พักร้อนกลับบ้านก็คราวนี้แหละ
แม้ว่าจะมีเจ้านายตามกลับมาด้วยก็เอาเถอะ
“ยังเจ็บแผลอยู่หรือเปล่า?”
“...”
“ซีวอนอ่า...”
“คุณหนูไม่ควรตามมาที่นี่" เจ้าของร่างสูงถอนหายใจออกมายาวเหยียดหลังพูดประโยคนั้นออกไป เป็นอีกครั้งที่โจวคยูฮยอน คุณหนูตัวขาว ผิวบาง และทำอาหารเก่งจ้องมองมาด้วยแววตาตัดพ้อ ริมฝีปากบางสีชมพูเหมือนกุหลาบแรกแย้มบิดคว่ำลงได้อย่างน่ารัก
พับผ่าสิ! พระเจ้าก็ไม่เคยช่วยให้เขาขึ้นมาจากหลุมรักนี่ได้เลยสักครั้งหล่ะ
“...”
“ที่นี่ผมจะทำอะไรคุณหนูก็ได้"
“...”
“ที่นี่ไม่ใช่ที่ของคุณ"
“งั้นก็เลิกเรียกว่าคุณหนูสิ"
“...”
“ก็ในเมื่อที่นี่คือที่ของนาย ก็เลิกเรียกผมว่าคุณหนูสิ...” ซีวอนถอนหายใจออกมายาวเหยียด วางช้อนลงในชามกระเบื้องสีขาวซึ่งยังมีซุปอีกครึ่งหนึ่งลอยตัวเท้งเต้งอยู่ในนั้น
ดื้อรั้นไม่มีที่สิ้นสุด... นี่แหละ โจวคยูฮยอน
“มันไม่ได้อยู่ในข้อตกลง"
“ไม่! ที่นี่ไม่มีข้อตกลง"
“...” การที่คยูฮยอนโพล่งออกมาแบบนั้นมันทำให้หัวใจที่เต้นไม่ค่อยถูกจังหวะอยู่แล้วกระตุกวูบ ถูกต้อง... ที่นี่ไม่มีข้อตกลงเพราะมันคือบ้านของเขาเอง มันอยู่นอกเหนือเขตสัญญาตามที่ได้เซ็นเอาไว้ ซีวอนมีหน้าที่รับผิดชอบชีวิตคยูฮยอนเฉพาะในเกาหลีใต้ ฮ่องกง และจีน นอกเหนือจากนั้นก็แค่ปล่อยเลยตามเลย
แต่ที่นี่คือบัลแกเรีย คือบ้านเกิดของผม คือแผ่นดินที่ผมมีหมายเลขประจำตัวประชาชนถูกต้องตามกฎหมาย
“อย่าไล่ผมเลยนะซีวอน...”
“...”
“...นอกจากคุณผมไม่เหลือใครแล้ว ผมไม่เหลือแล้วสักคนเดียว" เสียงหวานผะแผ่วเอ่ยขึ้นหลังจากที่ผมเงียบไปครู่ใหญ่ แววตากลมโตที่ใครต่อใครต่างเฝ้าทะนุถนอมราวกับเพชรที่มีอยู่เพียงเม็ดเดียวบนโลกหลุบต่ำลงมองโต๊ะไม้ขรุขระ หลบซ่อนความอ่อนแอทั้งหมดเอาไว้ภายในนั้น ผมนั่งนิ่งมองภาพตรงหน้าด้วยความรู้สึกประหลาด ควรดีใจที่ถูกร้องขอแต่เปล่าเลยตอนนี้มันไม่มีอะไรสักอย่างที่ระบุได้ว่ากำลังดีใจ
เจ็บ..เจ็บในอก
เจ็บมากกว่าแผลที่โดนยิงเมื่อสามวันก่อนเสียอีก
“เฮ้อ... คุณกำลังทำให้ตัวเองลำบาก"
“...”
“ผมมีสิทธิ์จะทำอะไรคุณก็ได้ แม้กระทั่งขืนใจแล้วขังคุณไว้ในห้องอย่างที่ใครต่อใครอยากจะทำ"
“ผมโอเค...”
“...” เป็นอีกครั้งที่ผมผงะเพราะคำตอบของเขา ดวงตากลมสุกคู่นั้นช้อนขึ้นมา มันเปรอะน้ำตาอยู่หน่อยๆซึ่งนั้นก็ทำให้ผมหัวเสียอยู่พอตัว ยิ่งทบกับคำตอบที่ดูเย็นชาของเขาแล้ว... ทุกอย่างยิ่งทำให้อารมณ์ของผมพุ่งสูงคล้ายปรอทจนแตะจุดเดือด
มันต้องมีอะไรสักอย่างที่ผมไม่รู้
ซึ่งผมเกลียดการไม่รู้อะไรก็ตามเกี่ยวกับโจวคยูฮยอน
“ถ้านายพอใจจะทำแบบนั้น...”
“บ้าสิ!!!” ร่างสูงลุกพรวดขึ้นมาจากเก้าอี้ของตัวเอง ตะโกนเสียงดังกึกก้องคล้ายท้องฟ้ากัมปนาทในฤดูฝนหรือไม่ก็พายุหิมะในฤดูหนาว ความเจ็บที่ริ้วขึ้นมาตามตัวทำให้ซีวอนขมวดคิ้วแต่เขาก็ไม่แยแสมัน ช่วงขายาวก้าวฉับอ้อมโต๊ะไม้ที่หั่นเกลาอย่างไม่ตั้งใจไปอีกฝั่งซึ่งคุณหนูตัวผอมของเขานั่งก้มหน้าตัวสั่นเป็นลูกนกอยู่ตรงนั้นแล้วยกแขนขึ้นสวมกอด รวบเรือนกายผอมบางเข้ามากระแทกกับอก ชนกับแนวแผลที่ยังอักเสบอยู่ของเขา
“มันทำอะไรคุณหรือเปล่า... พวกนั้นทำให้คุณเจ็บตรงไหนหรือเปล่า" เสียงทุ้มพร่าละล่ำละลักถามด้วยความกลัวที่อัดซ้อนกันจนเป็นก้อนอยู่ในอก หัวใจของซีวอนตกลงไปถึงจุดต่ำสุดเมื่อร่างผอมที่อยู่ภายใต้อ้อมแขนของเขาพยักหน้ารัวพร้อมกับความเปียกชื้นจากขอบตา แขนเรียวไร้เรี่ยวแรงยกขึ้นกอดตอบ สอดเข้าไปที่ข้างเอวซึ่งมีมัดกล้ามประดับเป็นริ้วสวย ซุกใบหน้าของตัวเองเข้ากับไหปลาร้าที่มีกลิ่นเหงื่ออ่อนๆอย่างไม่นึกรังเกียจ
“ฮึก..พะ พวก...ฮึก...พวกมัน...”
“...”
“พวกนั้น...ฮึก...มัน...จับผมไป..ฮึก"
“...”
“มันมัดผม...ฮึก..มัดผม...ฮือ...มัดผมไว้...แล้วเข้ามา...ฮึก...เข้ามา...จนสุด..ฮึก...”
“พอแล้ว...คยูฮยอน...พอ...พอแล้ว...” ซีวอนกดหัวกลมนั่นซุกเข้ามากับอกกว้างของตัวเอง ปล่อยให้น้ำตาเปียกชื้นไหลอาบลงไปบนผ้าก๊อซของเขาโดยไม่สนใจว่านั่นอาจจะทำให้แผลที่เป็นอยู่อักเสบเพิ่มขึ้นแบบที่เขานึกเกลียด แต่มันช่วยไม่ได้จริงๆในเมื่อเวลานี้เขาพบว่าคนในอ้อมแขนกำลังเจ็บปวด..
“ซีวอน...ฮึก...อย่าทิ้งผม...ฮึก...อย่าทะ...ทิ้ง...ฮือ...ผม...ไม่มีใคร...ฮึก...ผมไม่เหลือใครแล้ว...”
“...”
“อย่าไล่ผมเลยนะ...ฮึก...อย่าไล่ผม...” ปลายเล็บของคยูฮยอนจิกแน่นลงมาบนแผ่นหลังกว้างเสมือนต้องการตอกย้ำว่านี่คือที่พักพิงสุดท้าย ความเจ็บกระจายตัวไปเรื่อยแต่มันไม่อาจเทียบเท่าได้กับความเจ็บปวดที่เจ้าตัวได้รับมา ฝ่ามือใหญ่ลูบลงบนแผ่นหลังที่สั่นสะท้าน กดสันจมูกของตัวเองลงกับขมับนุ่มของอีกฝ่ายซ้ำๆแล้วโยกไกวประหนึ่งว่าเรือนกายกำยำคือเปลสานที่คอยกล่อมให้ใครต่อใครหลับใหล
“เด็กโง่...ที่นี่ไม่มีเงื่อนไข...”
“...”
“แต่ต่อให้ไม่มีมัน ฉันก็จะดูแลนายเอง...เด็กโง่...”
- - -
ตั้งแต่ถูกหมายเรียกให้ไปใช้ชีวิตในโซล เขาก็ลืมไปแล้วว่าดอกทานตะวันมีกี่กลีบ เก้าอี้โยกหน้าบ้านในเย็นวันจันทร์จึงทำให้ซีวอนได้ลองนับมันอีกครั้งจากที่ไกลๆ ในขณะที่ร่างกายเอนไหวไปตามแรงเหวี่ยงของมันอย่างเชื่องช้า เสียงกริ่งและลมที่พัดมาก็ชวนให้เขานึกคิดไปต่างๆนานาถึงชีวิตที่หลุดลอยไปไกลเกินกว่าแบบแผนของตน
ซีวอนจำได้ว่าเขาถูกส่งไปโรงเรียนประจำ ร้องไห้งอแงจนตัวสั่นตัวโยน แต่พอผ่านไปสองเดือนเขาก็ไม่ค่อยกลับบ้าน... กลับมาอีกครั้งมันก็ร้างไปเสียแล้ว พ่อแม่ของเขาหนีไปในสักแห่งที่ไกลแสนไกล ทิ้งไว้แต่กระท่อมหลังเล็กกลางเนินทานตะวันกับจดหมายสองฉบับซึ่งเก่าจนฝุ่นเกาะที่จนถึงตอนนี้เขาก็ยังไม่ได้อ่านมัน เพียงแต่พกติดตัวกลับไปและเผลอทำหายตอนย้ายออกจากโรงเรียนประจำก็เท่านั้น
หลังโควตาเรียนฟรีหมดลง ซีวอนได้เปลี่ยนไปเรียนในโรงเรียนซึ่งอยู่ห่างไกลออกไปไกลจากทุ่งทานตะวัน ที่นั่นเขาเจอกับเพื่อนคนหนึ่งที่ไม่คิดว่าจะคบกันได้จนถึงเมื่อเดือนก่อน ซีวอนรู้ว่าตัวเองไม่เคยมีเพื่อนที่คบได้นาน ส่วนมากคนพวกนั้นทนความสันโดษของเขาไม่ไหวและจำต้องบอกลาไปหาใครสักคนที่พร้อมเข้าสังคมมากกว่า ซึ่งสุดท้ายมันก็เป็นเพราะความสันโดดของเขานี่แหละที่ทำให้ยอมตาม คาเร็ท เพื่อนตาฟ้าตัวสูงมาที่เกาหลี
เธอแนะนำให้เขารู้จักกับครอบครัวตระกูลโจว พวกเขาใจดีกันทั้งบ้านเพียงแต่อยู่ในสภาพแวดล้อมที่ไม่ปลอดภัยเท่าไหร่ ผมไม่รู้ว่าเธอรู้จักพวกเขาได้อย่างไรแต่นั่นไม่สำคัญเท่ากับที่เธอบอกว่ามีงานให้ผมทำ... บททดสอบของผมคือการฆ่าแมวขนปุยสีขาวของบ้านหลังใหญ่ในซอยแปดของถนนแดฮุน แน่นอนว่ามันไม่ยาก ผมก็แค่หาปืนดีๆสักกระบอกไปเป่าหัวมันแล้ววิ่งหนีออกมาเหมือนกับว่าตัวเองไปยิงตุ๊กตาให้ล้มลง
ตระกูลโจวรับผมเข้าทำงานพร้อมกับเงื่อนไขหนึ่งหน้ากระดาษในการดูแล โจวคยูฮยอน เด็กผู้ชายที่อายุห่างจากผมประมาณสิบปี
หลังจากดูแลเขาได้สักพักผมเพิ่งรู้ว่าในคติความเชื่อคนพุทธ การฆ่าแมวถือเป็นการฆ่าเณร
และยิ่งไปกว่านั้น โจวคยูฮยอน เป็นคนรักแมวแต่โดนแมวข่วนจนได้แผลนับไม่ถ้วนบนแผ่นหลัง
เขาทำแบบนั้นเพื่อมั่นใจว่าผมจะปกป้องโจวคยูฮยอนจากสิ่งที่เขารักได้ พร้อมที่จะทำร้ายทุกอย่างที่เข้ามาทำลายเขาแม้ว่าสิ่งนั้นคือสิ่งที่คยูฮยอนรักมากก็ตาม
มาถึงตรงนี้ผมนับกลีบดอกทานตะวันได้สามสิบเอ็ดกลีบและเผลอหัวเราะจากนั้นก็ต้องเริ่มนับใหม่อีกครั้งเมื่อพบว่าผมหลงลืมจำนวนของมันไปแล้วอย่างง่ายดายเพียงเพราะนึกถึงใบหน้าของคยูฮยอนที่ละม้ายคล้ายคลึงกับพวกลูกแมวขนนุ่ม
ทุกอย่างยังคงเหมือนเดิม... โจวคยูฮยอนยังคงเป็นคนที่ทำให้ซีวอนยอมทิ้งทุกเรื่องเพื่อหันกลับมาสนใจได้
“อยากออกไปไหนหรือเปล่า?” เรื่องทั้งหมดในสมองของซีวอนตัดฉับลงเมื่อเสียงหวานถามขึ้นขณะยกแก้วน้ำอุ่นออกมาวางให้บนโต๊ะ ขาเรียวคู่นั้นหยุดลงข้างม้านั่งของเขาเพื่อรอคำตอบ
ใบหน้าคมคายเงยขึ้นมองตามไอควันสีขาวหม่นที่ลอยคลุ้งสูงขึ้น ใบหน้าหวานดวงนั้นเป็นเหมือนพระจันทร์ในคืนเดือนมืดหรือไม่ก็กองไฟท่ามกลางลมหนาวและเขาชอบที่จะจ้องมองมันไม่ว่าจากมุมไหนก็ตาม นั่นเป็นความจริงที่เขาหลีกเลี่ยงที่จะไม่ยอมรับไม่ได้เลย คยูฮยอนยังคงเป็นเหมือนเกล็ดหิมะที่สวยที่สุดซึ่งหากสัมผัสเพียงแผ่วเบาก็พร้อมจะสูญสลายไปในพริบตา
“คุณอยากออกไปไหนหรือเปล่าหล่ะ...” มันกลายเป็นคำถามส่งย้อนกลับไปให้กับคนที่ยืนค้ำหัวเขาอยู่ แขนแกร่งเอื้อมไปข้างกาย ตวัดรวบให้อีกคนขยับมายืนอยู่ตรงหน้าก่อนจะยกแขนอีกข้างสอดประคองไว้ที่เอวคอดกิ่ว ดวงตาคมจ้องมองไปยังเกล็ดหิมะตรงหน้าแล้วคลี่ยิ้มจางๆออกมาเมื่อเห็นว่าคยูฮยอนกำลังครุ่นคิด
“หิมะไม่ตกแล้ว...”
“ใช่... มันไม่ตกแล้ว" ซีวอนแหงนหน้ามองท้องฟ้าที่มีแสงแดดอ่อนส่องผ่านเมฆออกมา ต้นเดือนมีนาคมเป็นช่วงเวลาที่วิเศษสำหรับเขา ปราศจากหิมะที่ให้ความรู้สึกหนาวไปถึงกระดูกแต่มีลมเย็นเอื่อยพัดหอบเอากลิ่นดินกลิ่นหญ้ามาปะทะที่ระเบียงหน้าบ้าน มันประกอบเข้าได้ดีกับแสงแดดอ่อนเหล่านี้เหลือเกิน
“ถ้าคุณอยากไปทุ่งทานตะวัน...”
“ฉันอยากไปทุ่งทานตะวัน" ซีวอนพูดแทรกขึ้นมาเพราะเขารู้ดีว่าคยูฮยอนไม่ยอมพูดออกมาตรงๆแน่ว่าตัวเองอยากจะไปที่ไหน มันเป็นนิสัยที่คยูฮยอนไม่เคยคิดแก้และถ้าหากแก้ก็คงแก้ไม่หาย บางทีคุณหนูของเขาควรจะพูดความต้องการของตัวเองออกมาซะบ้าง ไม่ใช่อมพะนำเอาไว้จนหลงลืมไปในวันหนึ่งอย่างที่กำลังเป็นอยู่
“งั้นพรุ่งนี้... เราจะไปทุ่งทานตะวันกันนะครับ"
- - -
พ่อบอกว่าเขาไม่ปลอดภัย... วันต่อมาพ่อบอกว่าบ้านของเราไม่ปลอดภัย และในอีกสองสามวันถัดมา... เขาก็ได้รับผลของความไม่ปลอดภัยนั้น
ซีวอนเป็นบอร์ดิการ์ดคนที่สองหลังจากคนแรกของเขาเสียชีวิตไปเมื่อปลายปีที่แล้วด้วยคมมีดของใครสักคนระหว่างดูแลเขาที่ฮ่องกงในย่านการค้า วันนั้นเป็นเพราะเขางี่เง่าเลยรั้นจะออกไปดูขบวนพาเหรดและสุดท้าย พาเหรดนั้นจบลงพร้อมกับชีวิตของคนที่พร้อมพลีเพื่อเขา
หลังจากนั้นคยูฮยอนไม่เคยอยากไปไหน..
ไม่มีมนุษย์คนไหนชอบความตาย ทั้งไม่อยากตายและไม่อยากเห็นใครตาย เขาเองก็เช่นกัน ก็ในเมื่อไม่มีอะไรปลอดภัย เขาจึงขออยู่แต่ในที่ที่ปลอดภัย อยู่ในบ้านหลังโตที่อารักขาด้วยหน่วยคุ้มกัน ใช้ชีวิตน่าเบื่อบนเตียงคิงไซส์กับหนังสือนิยายที่ใครบางคนซื้อมาฝาก
น่าเสียดายที่นั่นก็ยังคงไม่ปลอดภัยอีกอยู่ดี
การพบซีวอนครั้งแรกไม่ใช่เรื่องที่เขาประทับใจ... มันไม่สนุกหากต้องเดินไปไหนมาไหนโดยมีใครสักคนตามหลังเสมอ และมันก็เหมือนภาพหลอนที่คยูฮยอนถูกครอบงำว่าสักวันหนึ่งเขาจะทำให้ชเวซีวอนตาย
แววตาของเขาจำต้องสงบนิ่งเมื่อนึกอยากออกไปร้านหนังสือ
เขาจำต้องตอบไปว่าไม่อยากไปไหนทั้งที่ใจลอยไปไกลถึงห้างสรรพสินค้าหรือสวนสาธารณะที่เคยไปวิ่งเล่นสมัยเด็ก
และที่สำคัญเขาจำเป็นต้องทำตัวเหมือนคนที่ไม่พร้อมเปิดรับใครทั้งที่ใจจริงอยากจะรู้จักชเวซีวอนให้มากกว่าชื่อและหน้าที่
กระทั่งวันหนึ่งในยามบ่ายของฤดูหนาว ขณะที่มื้อน้ำชาของเขาจบลง ชเวซีวอนก็เดินเข้ามาพร้อมกับโอเวอร์โค้ทสีดำที่ต่อจากนั้นมันปลิวมาโปะอยู่บนหน้าตักของเขา แววตาที่มักซ่อนอยู่ใต้แว่นดำจ้องเขม็งมาทางเขาก่อนที่คำสั่งสั้นๆพร้อมคำอธิบายจะหลุดออกมาจากเรียวปากหยักได้รูป
“ใส่ครับคุณหนู เราต้องออกไปข้างนอก"
ระหว่างการเดินทางเขาเอาแต่เกาะขอบกระจกรถ มองบ้านเมืองที่ประดับไว้ด้วยโคมไฟหลากสีและฝูงชนพลุกพล่านเดินข้ามถนนยามสัญญาณไฟอนุญาต คยูฮยอนไม่แน่ใจว่าจุดหมายปลายทางของตัวเองคือที่ไหนแตาเขาก็ไม่คิดเอ่ยถามเพราะชเวซีวอนใช้คำว่าต้องนั่นหมายความว่าต่อให้อยากหรือไม่อยาก เขาต้องไป
ซึ่งภาพตรงหน้าค่อนข้างชวนให้งุนงงเล็กน้อย
ร้านหนังสือ... ร้านหนังสือหน่ะเหรอคือที่ที่เขาต้องมา?
“หมายความว่ายังไง?”
“วันนี้วันเกิดคุณหนู" คยูฮยอนไม่คิดว่านั่นคือคำตอบที่เขาอยากได้ ร่างบางขมวดคิ้ว เงยหน้ามองเจ้าของความสูงหนึ่งร้อยแปดสิบสามที่กำลังกวาดมองไปรอบกายและยกฮู้ดของโอเว่อร์โค้ทขึ้นมาคลุมหัวเขา
“...”
“ผมคิดว่านี่คือของขวัญที่ผมพอจะให้ได้"
“...”
“คุณควรออกมาข้างนอกบ้าง ไม่ต้องโกหกก็ได้ว่าไม่อยากมา" มันเหมือนประโยคจับผิด... คยูฮยอนไม่รู้เลยว่าบอร์ดการ์ดมีสิทธิ์พูดอะไรแบบนี้กับเจ้านายได้กระทั่งซีวอนทำมัน ซีวอนไม่ได้เพียงแค่กำลังสั่งสอนเขาแต่ซีวอนกำลังอ่านใจของเขา ยิ่งเมื่อฝ่ามืออุ่นนั่นออกแรงผลักให้ขาเรียวขยับก้าวเข้าไปด้านในร้านคยูฮยอนยิ่งรู้สึกว่าตัวเองกำลังพ่ายแพ้ต่อความพยายามตลอดชีวิตของตัวเอง
ทุกกำแพงที่เขาสร้าง พังทลายเพียงเพราะสัมผัสอุ่นๆที่วางลงบนไหล่ของเขา
และประโยคที่ทำให้อุ่นได้ยิ่งกว่าเสื้อกันหนาวตัวโคร่ง
“ผมจะไม่มีวันปล่อยให้อะไรมาทำร้ายคุณ แม้แต่ยุงสักตัวก็จะไม่มีทาง"
- - -
บนโลกที่ไม่มีเงื่อนไขกางกั้น
อากาศหนาวไม่เป็นผลต่อคำสัญญาในช่วงเย็นเมื่อวาน คยูฮยอนง่วนอยู่กับการเลือกเสื้อโค้ทนานกว่าที่ซีวอนคิดเอาไว้ แต่ทั้งหมดนั่นก็เป็นเพียงเพราะร่างผอมไม่ต้องการให้แผลของเขาปะทะลมเย็นแล้วแห้งแตกจนอักเสบอีกครั้ง นั่นก็คงเป็นเหตุผลที่ทำให้ตอนนี้ร่างกายที่มักจะเปล่าเปลือยถูกคลุมไว้ด้วยเสื้อยืดผ้าสำลีกับโค้มขนเป็ดอีกชั้น
ซีวอนไม่ชอบที่มันอึดอัดแต่กลิ่นวนิลาตรงปกเสื้อก็ทำให้เขาถอดมันออกไม่ลงจึงทำเพียงแค่แอบปลดซิปที่ถูกดันไปจนชิดปลายคางให้ร่วงลงมาอยู่ในระดับกลางอกในขณะที่คยูฮยอนกำลังกางแขนทั้งสองข้างรับลมเย็นท่ามกลางทุ่งดอกไม้สีทองอร่ามสุดลุกหูรุกตา
“ตรงนี้นอนได้หรือเปล่า?”
“นายนอนได้ทุกที่ถ้าไม่กลัวแมลง" จบคำตอบร่างผอมก็เอนลงไปกับกองหญ้าแสนนุ่ม แผ่นหลังแคบแนบลงไปกับทุกอณูของพื้นหญ้า คยูฮยอนเงยหน้าขึ้นสู้แดดอ่อนจัดพลางกวาดยิ้มออกกว้างราวกับว่านั่นจะช่วยให้เจ้าตัวสามารถสังเคราะห์แสงได้
คนเจ็บย่อตัวลงอย่างระมัดระวังไม่ให้บาดแผลต้องฟกช้ำไปมากกว่านี้ ซึ่งหลังสะโพกของซีวอนหย่อนลงบนพื้นหญ้า มืออุ่นทั้งสองข้างก็เลื่อนไปประคองศีรษะของอีกคนมาไว้บนหน้าตักของตัวเองแล้วใช้ปลายนิ้วสากกร้านสางไปตามเส้นผมนุ่มราวกับกำลังสางเส้นด้ายให้คลายปมออก
ลมพัดโฉบใบหน้าและร่างกายของพวกเขาไปนับสิบครั้ง มันไม่ได้ทำให้รู้สึกหนาว ยิ่งไปกว่านั้นทั้งคู่ต่างสัมผัสได้ถึงไออุ่นบางอย่างซึ่งมองไม่เห็น ไอนั้นเกิดขึ้นเมื่อคยูฮยอนเงยหน้ามองท้องฟ้าและพบว่าแม้แต่พระอาทิตย์ก็ยังไม่มีโอกาสได้โลมเลียผิวหน้าของเขาเพราะมีเงาของชเวซีวอนกำบังเอาไว้ ใบหน้าคมคายกับบาดแผลแนวนอนตรงสันกรามก้มลงมาจ้องเขาตอบ พวกเราปล่อยสายตาให้ประสานกันอยู่ท่ามกลางความเงียบก่อนที่ริมฝีปากจะแตะกันนั่นหมายถึงระยะห่างของพวกเขาไม่มีเหลือเล็ดให้ลมลอดผ่าน
คยูฮยอนเอื้อมมือขึ้นไล้จากขมับลงมาที่ปลายคางเรียวยาว ตอกย้ำว่าโครงหน้าของบอร์ดิการ์ดคนเก่งช่างงดงามราวกับประติมากรรมปั้น จำได้ว่าครั้งหนึ่งขณะนั่งอ่านหนังสือเรื่องรหัสลับดาวินชี่เขาแอบคิดว่าบางที ถ้าวันหนึ่งมีช่างภาพสักคนบังเอิญถ่ายรูปชเวซีวอนไปจัดแสดง บางทีภาพๆนั้นอาจจะได้เข้าไปอยู่ในพิพิธภัณฑ์ลูว์ฟเพราะใบหน้าของชเวซีวอนนั้นเหมือนถูกสร้างโดยเทียบเคียงมาจากสัดส่วนทองก็ไม่ปาน
ดังนั้นคยูฮยอนจึงแอบถ่ายภาพของซีวอนเอาไว้มากมายด้วยความหวังว่าจะมีคนจากพิพิธภัณฑ์ลูว์ฟมาเอามันไป
“อะไรทำให้นายกังวลใจอยู่เหรอ?” เสียงหวานเอ่ยถามขณะไล้มือลงไปที่ปลายคางสากเพราะไรหนวดของคนบนตักที่ขมวดคิ้วจนเป็นเส้นปม
“...” ไม่มีคำตอบจากคนที่ทำหน้าที่เป็นผู้ดูแลเขามาตลอดหลายปี ซีวอนเพียงช้อนดวงตาขึ้นมองเสียวใบหน้าหวานที่บดบังดวงอาทิตย์ไปกว่าครึ่งแล้วจดจ้องอยู่อย่างนั้นราวกับต้องการมั่นใจว่าคยูฮยอนจะไม่ละลายหายไปไหนหรือไม่ถูกสายลมพัดไปเหมือนดังกลีบดอกทานตะวัน
ไม่มีอะไรรบกวนใจของเขา...
ตักของคยูฮยอนนุ่มเกินกว่าสมองจะประมวลผลอะไรได้ต่อจากนี้ ซีวอนยิ้มออกมาบางๆแล้วปล่อยให้สายลมพัดโฉบร่างของเขาไปอีกครั้ง หากแต่ครานี้มือหนาเลื่อนขึ้นไปจิ้มเบาๆที่ปลายจมูกรั้นสวย กดลงเบาๆให้ความเย็นจากฝ่ามือแผ่ไปถึงผิวเนื้อสีขาวนวล
“นายอยากรู้อะไรไหมหล่ะ...”
“แล้วคุณอยากรู้อะไรไหมครับ?”
กลิ่นวนิลาจากผิวกายของคยูฮยอนทำให้ซีวอนตัดสินใจส่ายหน้าแทนคำตอบ เขาจับมือที่ซุกอยู่กับพื้นหญ้าขึ้นมาแนบที่ข้างแก้ม ใช้ริมฝีปากจูบเบาๆลงไปตามข้อนิ้วทั้งห้าอย่างทะนุถนอมก่อนจะสอดนิ้วเข้าไปประสานกุมเอาไว้เหมือนอย่างที่ครั้งหนึ่งพ่อเคยทำแบบนี้กับแม่ขณะที่เราทั้งสามเดินไปตามช่องว่างของทุ่งทานตะวันแสนกว้างโดยปราศจากคำถามหรือคำพูดใดๆแต่บรรยากาศนั้นอัดแน่นไปด้วยความสุข
“ผมถูกฝึกให้เป็นนักฆ่า"
“...”
“ผมฆ่าทุกอย่าง ยกเว้นคุณ... ต่อให้มันมีเงื่อนไข่หรือไม่คุณจะเป็นเพียงข้อยกเว้นเดียวของผม" ซีวอนจูบลงไปที่นิ้วนางของมือข้างซ้าย ไซร้ปลายจมูกลงกับข้อนิ้วเรียว คลอเคลียไม่ไปไหน
“...”
“เพราะคุณคือดวงอาทิตย์ที่ดอกทานตะวัยอย่างผมต้องมองหาอยู่ตลอดเวลา... พระอาทิตย์ที่มีเพียงดวงเดียว"
“นายกำลังทำให้ผมอยากร้องไห้"
“...แย่จริง... ฝนตกตอนแดดออกหน่ะเหรอ ฮะๆ"
“...” คยูฮยอนอมยิ้มขำเมื่อซีวอนเปิดเปลือกตาขึ้นมาจ้องมองใบหน้าของเขาอย่างล้อเลียน ดวงตากลมหลุบมองนิ้วนางข้างซ้ายที่ยังคงแนบอยู่กับริมฝีปากหยักของชเวซีวอนก่อนจะโน้มตัวลงมากดจูบลงที่อีกด้านหนึ่งของนิ้ว ทิ้งค้างเอาไว้เนิ่นนานก่อนที่เจ้าตัวจะเป็นฝ่าดึงนิ้วนั้นออกไปเพื่อปล่อยให้ริมฝีปากทั้งสองแนบประกบกันอย่างไร้ข้อกังขา
สัมผัสนุ่มนั้นไม่ลุกล้ำกับไปมากกว่าที่เป็น กลีบปากแตะค้างเอาไว้เนิ่นนานกระทั่งลมหายใจที่กลั้นไว้ได้หมดลงพวกเขาจึงปละออกจากกันท่ามกลางรอยยิ้มที่ประดับบนมุมปาก ฃ
“ทานตะวันยังจะแหงนหน้าขึ้นตามหาพระอาทิตย์อีกไหม... ถ้าเกิดว่าดวงอาทิตย์ไม่ได้สว่างมากเท่าเดิมอีกแล้ว" นิ้วเรียวบรรจงเกลี่ยไปตามเส้นไรผมที่ร่วงลงมาปรกอยู่งบนหน้าผากสวยระหว่างรอคำตอบ
“...”
“ผมไม่ใช่คุณหนูที่บริสุทธิ์อีกแล้ว...”
“เด็กโง่" ทานตะวันหนุ่มรูปงามต่อว่าก่อนจะลงโทษด้วยการกัดที่ปลายจมูกรั้นของอีกคน ซีวอนรู้ดีว่าคยูฮยอนหมายถึงอะไร... ซึ่งอะไรที่ว่านั้นเกิดจากความบกพร่องของเขาเอง
เขาไม่รู้ตัวเลยว่าสายตาที่มองคยูฮยอนเปลี่ยนไปมากแค่ไหนเมื่อเทียบกับวันแรกที่เข้ามารับงานและเหมือนว่าผู้ใหญ่ในตระกูลโจวจะสัมผัสได้ เขาจึงถูกเรียกตัวเข้าไปพบอย่างกระทันหัน หากแต่เมื่อขึ้นรถของคนที่อ้างตัวว่าเป็นคนจากตระกูลโจวแล้วชเวซีวอนถึงได้สัมผัสได้ว่าคนที่นั่งขับอยู่ไม่ใช่คนของโจว... นั่นหมายความว่าเขาถูกหลอก
กว่าจะพาตัวเองออกมาจากยานพาหนะที่แล่นห่างไกลมาหลายกิโลเมตรก็เล่นเอาสภาพของเขาสะบักสะบอมพอตัว ซีวอนแทบจะคลานกลับไปเมื่อแผลที่แผ่นหลังมันทำให้เขาสูญเสียเลือดมากกว่าที่ควรจะเป็น อย่างไรก็ตามร่างสูงยังคงกัดฟันอดทนเพื่อพาตัวเองเข้าไปในบ้านหลังใหญ่ให้ได้
และสิ่งที่เขาเห็น... มันค่อนข้างเลวร้าย
ไม่สิ มันเลวร้าย มันหยาบทราม มันทรมานหัวใจของเขาเหลือเกิน
คยูฮยอนถูกคนพวกนั้นจับมัดไว้กับไม้อะไรสักอย่างและกำลังโดนเปลื้องผ้าออกทีละชิ้น ร่างกายของเขาอ่อนแอเกินไป ซีวอนทรุดลงหลังจัดการกับคนเลวพวกนั้นจนเหลือเพียงหัวหน้าของมันที่จับขอบกางเกงของคยูฮยอน บาดแผลตามตัวทำให้เขากลายเป็นชายหนุ่มสิ้นฤทธิ์ที่ทิ้งตัวท่ามกลางกองเลือดและกองน้ำตา
ขาเรียวที่ชีวิตนี้ไม่เคยได้สัมผัสปรากฎแก่สายตาของเขา ซีวอนอยากปิดเปลือกตาลงแต่เขาต้องการมั่นใจว่าโจวคยูฮยอนจะไม่โดนทำร้ายไปมากกว่าที่เป็นอยู่ ดวงตาทั้งสองข้างจึงพยายามเปิดค้างเอาไว้เช่นนั้นแม้ภาพทั้งหมดจะกลายเป็นสีดำ
เสียงครางคล้ายคนจะขาดใจทำให้หัวใจของเขาเจ็บปวด... เจ็บมากเกินกว่าจะนอนนิ่งดูดายอยู่เฉยๆ
กระสุนลูกสุดท้ายจึงถูกยิงทิ้งไป เขาได้แต่ภาวนาว่าประสาทการได้ยินที่มีจะแม่นยำพอในการส่งลูกกระสุนไปปักหัวสวะมนุษย์คนนั้นที่ทำร้ายคุณหนูของเขา...
อย่างไรก็ตามสติที่มีอยู่ดับวูบลงไปก่อนจะรู้ผลของการกระทำนั้น
“ทานตะวันไม่เคยมองอย่างอื่นนอกจากพระอาทิตย์"
“...”
“แม้ในยามค่ำคืน มันก็ยังคงมองหาเพียงแต่ดวงอาทิตย์และนับรอเวลาเช้าเพื่อจะได้พบกัน"
“...”
“ผมยังยืนยันว่าคุณคือดวงอาทิตย์เพียงหนึ่งเดียวของผม เป็นดวงอาทิตย์ที่ต่อให้หมดแสงผมก็จะมองเพียงแค่คุณ" มืออันหยาบกร้านพยายามอย่างมากที่จะโอบประคองใบหน้าขาวเอาไว้อย่างทะนุถนอม น้ำตาของคยูฮยอนหยดแหมะลงมาที่กลางหน้าผากของเขาก่อนที่เสียงสะอื้นจะดังตามมา ซีวอนเจ็บไปหมดทั้งหัวใจไม่ใช่เพราะบาดแผลที่กำลังปริแต่มันเป็นเพราะเสียงสะอื้นของโจวคยูฮยอนที่เขาสบถสาบานกับตัวเองว่าจะไม่ทำให้มันเกิดขึ้นอีกเป็นอันขาด
กลิ่นวนิลาจากผิวกายของคยูฮยอนยังคงโดดเด่นท่ามกลางแสงแดด ซีวอนไม่อาจละสายตาออกไปจากดวงหน้าหวานได้แม้สักวินาทีเขาจึงปล่อยให้สายตาได้ทำในสิ่งที่ต้องการคือจ้องใบหน้าขาวเรื่อยไปราวกับเด็กน้อยที่กำลังละเลียมเนื้อไอศครีมอย่างเสียดายว่ามันจะหมด เขาเองก็เช่นกัน... เขาเองก็กลัวว่าสักวันคยูฮยอนจะหายไปไกลเกินกว่าอ้อมแขนจะคว้าไว้ได้เหมือนเช่นวันนั้น
และถ้ามันเกิดขึ้นอีกทั้งเขาและพระเจ้าก็จะไม่มีวันให้อภัยชเวซีวอนอีกเป็นอันขาด
“คุณชอบทำให้หัวใจผมเต้นแรงเพราะความหวัง" นิ้วเรียวแตะลงฃบนกลีบปากของซีวอนแล้วกดลงเบาๆเพื่อให้อีกฝ่ายหยุดพูด "สิ่งเดียวที่ผมกลัวคือเสียคุณไป...ไม่ว่าจะใครก็ตาม จะดีหรือแย่กว่าผม... ผมไม่ต้องการเสียคุณไปให้ใครสักคน"
“...เด็กโง่ขี้หวง"
“ไม่มีสักวินาทีเลย... ที่ผมหยุดรักคุณได้" นิ้วโป้งไล้ปาดไปที่ข้างแก้มของซีวอนซึ่งมีลักยิ้มปรากฎขึ้นมา ดวงตาคมคายปิดลงท่ามกลางลมเย็นที่พัดผ่านร่าวกายไป ซีวอนสัมผัสได้ถึงกลิ่นอุ่นของวนิลลาและปลายนิ้วเรียวของโจวคยูฮยอนที่มักจะปาดไป่ไปตามข้างแก้มของเขา
วินาทีนี้ไม่มีกระสุนปืน...
ไม่มีคำว่าอันตราย
ไม่มีคำว่าบ่าวเจ้านาย
สายลมพัดผ่านอีกครั้งแต่ไม่อาจแทรกผ่านรอยจูบที่ประสานกันได้
- - -
บนโลกที่มีเพียงฉันและเธอ
ฟูกนอนบนเตียงกว้างยับลงตามน้ำหนักของผู้มาเยือนที่ทิ้งกายลงมา คยูฮยอนละสายตาออกจากหนังสือและตัดสินใจวางมันลงเมื่อเห็นว่าชเวซีวอนกำลังเอื้อมมือมาตรงหน้าเพื่อเกลี่ยบนกลุ่มผมของเขา
“ทำไมยังไม่นอนอีก"
“รอซีวอนอยู่" คุณหนูตัวขาวตอบคำถามด้วยน้ำเสียงผะแผ่วพลางใช้ดวงตากลมโตใสแจ๋วจ้องมองบอร์ดการ์ดของตนเองที่คลี่ยิ้มอ่อนโยนออกมา... ยิ้มที่มีสิทธิ์ได้ครอบครองไว้เพียงแค่เวลาก่อนนอนเท่านั้น
“เหรอ...”
“ซีวอนค้างเรื่องทุ่งทานตะวันเอาไว้นี่... ซีวอนบอกจะเล่าให้จบคืนนี้"
“ฮะๆ เด็กน้อย... ทุ่งทานตะวันมันไม่มีตอนจบหรอก" ฝ่ามือนุ่มของคยูฮยอนถูกยกขึ้นมาใกล้ริมฝีปากหยัก ซีวอนกดจูบลงไปบนปลายนิ้วทั้งห้า กลิ่นวนิลลาติดตรึงที่ปลายจมูกของเขาเหมือนกับว่าตลอดชีวิตนี้เขาก็จะสูดดมได้เพียงกล่ินหอมนี้เท่านั้น
คิ้วเรียวของคยูฮยอนขมวดมุ่นด้วยความไม่เข้าใจ ร่างสูงจึงส่งเสียงหัวเราะแผ่วเบาออกมาแล้วโน้มหน้าลงกดจูบที่ปลายจมูกเรียว
“สักวันนะครับ"
“...”
“เราจะไปค้นหาตอนจบในนั้น"
คุณหนูยิ้มกว้างแล้วเอามือทั้งสองข้างแนบข้างแก้มสากไรหนวด หัวเราะเบาๆออกมาอย่างคนที่มีความสุขก่อนจะปล่อยให้ริมฝีปากของซีวอนแทะเล็มลงมาบนผิวแก้มของเขา
“เราจะไปหาตอนจบในทุ่งทานตะวัน... แค่คุณหนูกับผม"
- - -
คนที่อ่านฟิคเราบ่อยๆจะรู้ว่าเราชอบจบด้วยอดีต
แม้ว่ามันจะเข้าใจยากมากก็ตามที
55555555555555555555555
อย่าลืมไปทำบุญนะคะวันนี้ <3
ความคิดเห็น