ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    { wonkyu storage }

    ลำดับตอนที่ #14 : Skeptical Pink

    • อัปเดตล่าสุด 30 ต.ค. 59


    SKEPTICAL PINK

    Siwon x Kyuhyun




    ชเวซีวอนเกลียดสีชมพู


    ถ้าไม่ติดว่าไอ้งานบันเทิงที่บังคับให้ผู้ร่วมงานแต่งกายด้วยสีชมพูนี่มันเป็นงานแต่งของเพื่อนสนิทที่เห็นกันมาตั้งแต่ยังเรียกแม่ไม่เป็น เขาสาบานว่าจะไม่มีทางเยื้องกรายเข้ามาในห้องบอลรูมนี่เด็ดขาด!


    “เฮ่ย ถ่ายรูปนะเว้ย ทำหน้าให้มันดีๆหน่อย” ไอ้เพื่อนตัวสั้นล่ำสันหันมาตบบ่าของเขา ก่อนจะผงกหัวไปทางช่างภาพหน้าจืดที่อยู่ในท่าทางงกเงิ่น เอาเถอะ... ต่อให้หน่ายใจสักแค่ไหน มันก็ไม่มีทางที่เขาจะพลาดงานของอีทงเฮไปได้หรอก คิดได้ดังนั้นจึงฉีกยิ้มจอมปลอมให้กับกล้องจนได้ภาพที่เจ้าบ่าวถูกใจ


    “ถ้าไม่ติดว่ากูใส่ซองไปเยอะ ป่านนี้กูกลับแล้ว”


    “โฮ่ย อย่าใจร้ายไปหน่อยเลย เมียกูชอบสีชมพูขนาดไหนมึงก็รู้” รู้สิ... รู้เลย... เพราะขนาดสูทของเจ้าบ่าวยังเป็นสีชมพอ่อนกริบขอบชมพูเข้ม และคงไม่ต้องพูดถึงเดรสฉุยฉายบนตัวของเจ้าสาวหรอกนะ เขาจ้องได้ไม่เกินสามวินาทีด้วยซ้ำ กลัวจะเผลออ้วกออกมาเสียก่อน


    “กูเกลียดสีชมพูขนาดไหนมึงก็รู้”


    “ขนาดเกลียดยังออร่าเลยนะครับ” มันตบตูดเขาด้วยรอยยิ้มอ้อล้อ ก่อนจะปลีกตัวไปหาแขกกลุ่มใหม่ที่เดินเข้ามา ทิ้งเขาไว้ตรงซุ้มทางเข้าประดับตุ๊กตาคิตตี้ที่มองแล้วไม่กล้าเอาตัวเดินลอดเข้าไปเลยจริงๆ


    เขาเดินอ้อมซุ้มเข้ามาด้านในงานซึ่งผู้คนจำนวนมากกำลังเปรมปรีดิ์อยู่กับบุฟเฟ่ต์หรูหรา ก้าวผ่านโต๊ะกลมของคนไม่คุ้นหน้าคุ้นตาเข้าไปจนถึงโต๊ะเกือบในสุด อันเป็นพิกัดที่กลุ่มเพื่อนสมัยมัธยมนัดแนะเอาไว้อย่างดีในกรุ้ปแชท แล้วก็ไม่ต้องเสียเวลากวาดลูกตาหาให้เมื่อยเลยสักนิด เสียงดังโดดเด่นของไอ้ฮยอกแจได้ตะโกนเรียกเขาแบบที่ทุกคนต้องหันมามองหน้ามันเป็นตาเดียว


    “ไอ้คุณชายยยยยยยยยยยย!!” 


    “ไอ้คุณชายยยยย”


    “ไอ้คุณชายยยยยยยยยยยยยย” 


    ซวยสะเด็ดตรงที่บนโต๊ะไม่ได้มีแค่ฮยอกแจน่ะสิ แต่มันดันมีมินโฮกับแทคยอนนั่งสุมอยู่ด้วย ซึ่งรู้เลยว่าต่อจากนี้สถานการณ์คงจะก้าวเข้าสู่ขาลงยิ่งกว่าตอนรู้ว่าต้องใส่สูทชมพูมาร่วมงานแน่ๆ


    “เออครับๆ ให้มันน้อยๆหน่อย” ขานรับไปแบบเรียบๆตามฉบับก่อนจะดึงเก้าอี้แล้วทิ้งตัวลงนั่งลงด้วยท่าทางเหมือนคุณชายอย่างที่พวกมันเรียก แหงล่ะ ใครมันจะเอ็ดตะโรได้ตลอดเวลา ยิ่งตอนนี้ เขายิ่งเป็นที่จับตามองในแวดวงธุรกิจอยู่ด้วย จะให้ทำตัวเป็นลิงค่างบ่างชะนีเหมือนแต่ก่อนก็คงไม่ได้อีกแล้วล่ะ


    “แหม่ ดังแล้วไม่เอะอะเลยน้าาา ไอ้ชเวที่มันชอบแหกปากเวลาเพื่อนส่งบอลให้มันไปไหนแล้วล่ะ” กะแล้ว ว่าไอ้มินโฮต้องเอาเรื่องเตะบอลมาล้ออย่างที่มันได้เคยลั่นวาจาเอาไว้ว่าอาการกลัวลูกบอลจนต้องแหกปากดังลั่นแล้ววิ่งหนีจะเป็นเรื่องเล่าที่ดีต่อลูกหลานของพวกเราทุกคนในอนาคต


    แม่ง นี่ขนาดยังไม่มีลูก มันยังคุ้ยมาแฉได้ทุกงาน สงสัยถ้าเขามีลูกมีเต้าขึ้นมา เพื่อนของลูกคงได้ร่วมรับรู้วีรกรรมครั้งนี้ไปด้วย


    “เงียบๆไปเถอะ เฮ่ย! กูไม่เจอมึงโคตรนาน กลับมาแล้วเหรอวะ” พอได้จังหวะเลยเปลี่ยนไปทักอีกหนึ่งชีวิตที่นั่งอยู่ข้างกัน ชางมินเป็นคนเดียวในกลุ่มที่เรียบร้อยและสงบปากสงบคำ่ที่สุด เพราะถ้าหลุดพูดอะไรออกมา คนปากมากอย่างไอ้ฮยอกแจยังต้องเงียบไปสามวันด้วยอาการจุกเจ็บ ทุกคนเลยลงความเห็นว่าให้ชางมินมันเงียบๆอยู่ในกลุ่มนั่นแหละดีแล้วเพราะถึงมันจะเงียบแต่ก็ใช่ว่าจะถูกลืมเสียหน่อย เพื่อนทุกคนรักมันกันทั้งนั้น ถึงเขาจะไม่แน่ใจว่าระหว่างชางมินกับสมุดการบ้านของมัน อะไรที่ได้รับความรักมากกว่าก็ตาม

    “อาทิตย์นึงละ”


    “ละต้องกลับไปอีกป่ะ?”


    “กลับๆ ปลายเดือน” ที่ว่ากลับไปกลับมานั่นหมายถึงกลับไปมาดริด ชางมินทำงานอยู่ที่กงศุลและจะได้กลับบ้านเกิดเพียงแค่ปีละครั้งเท่านั้น คราวนี้ถือว่าทงเฮมันโชคดี จัดงานได้ช่วงที่ชางมินอยู่บ้านพอดี 


    เขายังคุยกับชางมินไปเรื่อย สลับกับคนอื่นๆที่ผลัดกันยิงคำถามใส่ ส่วนมาเป็นเรื่องรางวัลธุรกิจสร้างสรรค์ที่เพิ่งไปรับมาเมื่อสองเดือนก่อน แม้จะโดนแซวบ้างเรื่องติดอ่างตอนก่าวสุนทรพนจ์แต่โดยรวมทุกคนก็ชื่นชมที่เขาไม่ทำธุรกิจของพ่อล่มไปกับมือ นอกจากนั้นก็เป็นเรื่องว่าใครไปทำอะไรกันมาบ้าง อย่างแทคยอนมันก็ไปเปิดร้านอาหารอยู่ที่บอสตัน ตอนแรกไม่มีลูกค้าจนกระทั่งมีดารามากิน หลังจากนั้นก็ขายดีเป็นเทน้ำเทท่าจนมีคนมาขอซื้อแฟรนชายส์ ฮยอกแจก็เอาดีทางด้านเต้น ได้ทำงานเบื้องหลังอยู่ในวงการ ส่วนมินโฮก็เป็นหัวหน้าหมวดพละ สมกับที่มันเคยฝันอยากเต๊าะเด็กมัธยมด้วยกีฬา ไม่รู้ว่าจริงแท้แค่ไหนเหมือนกัน แต่เห็นลือลั่นกันว่าแฟนของมันเป็นนักเรียนม.ห้าที่เรียนกับมันนั่นแหละ 


    คุยไปคุยมาจนกระทั่งได้เวลาขึ้นเวลาทีของเจ้าบ่าวและเจ้าสาว ทุกคนเหมือนรู้มารยาท รูดซิปปิดปากอย่างพร้อมเพรียง ตอนนั้นเองที่อาการหน่ายสีชมพูของเขากลับมาอีกครั้ง


    “ไปเข้าห้องน้ำแป้บ” ชางมินหันมากระซิบบอกแล้วค่อยๆลุกขึ้นเดินเบี่ยงไปด้านข้าง ซีวอนไม่ได้อะไร เขาหันหน้ากลับเข้าหาเวทีอีกครั้งเพื่อฟังคำกล่าวของเจ้าบ่าวไม่เอาไหน ทว่ามันกลับมีอะไรแปลกๆอยู่ตรงหางตา


    อดผงะไม่ได้เมื่อเห็นว่านอกจากเพื่อนบนโต๊ะแล้ว ยังมีใครบางคนนั่งอยู่ด้วยกันข้างๆมินโฮ แวบแรกซีวอนคิดว่านี่อาจจะเป็นเด็กที่แทคยอนมันเล่าให้ฟังหลังไมค์ แต่ถ้าเป็นแบบนั้นแล้วทำไมถึงนั่งห่างจากครูพละเหลือเกิน เขาเองก็ไม่ทันได้สังเกตด้วยว่าใครนั่งกันอยู่บ้าง ตอนหันไปคุยกับชางมินก็ไม่ทันได้มองเลยเพราะเอาแต่จ้องหน้ามัน 


    “ใครวะ” ความสงสัยฉุดไม่อยู่ เลยสะกิดถามแทคยอนที่นั่งอยู่ข้างๆ


    “เพื่อนชางมิน”


    “อ่อ” ผงกหัวรับ “เพื่อนแน่เหรอวะ?”


    “ไม่รู้ ชางมินมันบอกงั้น แต่น่าจะเพื่อนแหละ” แทคยอนหันไปสนใจเวทีต่อเมื่อทงเฮปล่อยมุกเสียวหยอดเจ้าสาวกลางงาน ส่วนเขาเองก็หัวเราะคลอไปด้วย ทว่าสายตากลับไม่สามารถละออกมาจากคนแปลกหน้าได้


    ชางมินกลับมานั่งที่ของตัวเองแล้วหันมาเลิกคิ้วใส่ประมาณว่าเขามีปัญหาอะไรหรือเปล่า ทำไมถึงจ้องกันแบบนั้น แทนที่จะถามสิ่งที่ตัวเองสงสัยซีวอนกลับส่ายหัวแล้วเบนสายตากลับไปบนเวที


    แว๊บหนึ่ง เขารู้สึกเหมือนตัวเองโดนจ้อง ใช่... เขาโดนจ้องโดยคนแปลกหน้าคนนั้น ที่แย่กว่าคืออาการร้อนๆหนาวๆวูบวาบไปทั้งตัวแบบหาสาเหตุไม่ได้ มันอาจจะเป็นเพราะแก้มอูมๆน่าหยิกนั่น หรือไม่ก็ดวงตากลมที่ช้อนขึ้นมามองกันอยู่แว๊บหนึ่ง


    แว๊บเดียวเท่านั้น ก่อนจะหลุบมองที่ใต้โต๊ะเหมือนเดิม 


    .


    โจวคยูฮยอน ผู้ชายคนนั้นชื่อ โจวคยูฮยอน 


    คยูฮยอนรู้จักกับทงเฮตอนไอ้ล่ำมันไปแลกเปลี่ยนที่ออสเตรีย เหมือนเป็นเพื่อนที่วิดทศสัมพันธ์แนะนำให้รู้จักกันว่ายูคือชาวเกาหลีสองคนในมหาวิทยาลัยแห่งนี้ เพราะฉะนั้นถ้าเดือดร้อนอะไรปรึกษากันไว้ก่อนก็ดี ความสัมพันธ์ระหว่างสองคนนั้นจึงงกๆเงิ่นๆในคราวแรก แถมทงเฮยังเป็นนักศึกษาสายสังคม ส่วนคยูฮยอนนั้นมาทางดนตรีแบบเต็มตัว เรียกได้ว่าแค่การใช้ชีวิตก็ต่างกันราวฟ้ากับเหวแล้ว


    ที่แย่ไปกว่านั้นคือภาษาเกาหลีของคยูฮยอนวัดระดับได้เท่ากับเด็กประถมสี่เพราะเจ้าตัวใช้ชีวิตอยู่ที่อเมริกาเป็นหลัก ทั้งบ้านมีคุณย่าคนเดียวที่ยังใช้ภาษาเกาหลี ส่วนที่เหลือนั้นพูดอังกฤษกันค่ล่องปร๋อ ซีวอนจึงไม่ประหลาดใจเท่าไหร่ตอนได้ยินอีกฝ่ายหันมากระซิบกระซาบกับชางมินเป็นภาษาสเปนบ้าง อังกฤษบ้าง ฟังแล้วปวดหัว


    ทั้งที่ควรจะแยกย้ายกลับบ้านหลังงานเลิก ฮยอกแจกับมินโฮดันเสนอให้มานั่งกินข้าวต้มรอบดึกรำลึกควมหลังกันก่อน ไม่มีใครปฏิเสธได้ยกเว้นทงเฮที่มีภารกิจต่อ เราจึงมาสุมหัวกันอยู่ริมถนนในชุดสีชมพูพริ้งพราวท่ามกลางอากาศหนาว คราวนี้เขามีโอกาสได้นั่งข้างคยูฮยอนจึงได้รู้ว่าเราใช้น้ำหอมยี่ห้อเดียวกัน


    “อันนี้คืออะไร” คยูฮยอนกันไปถามชางมินตอนคีบปลาหมึกผัดพริกขึ้นมามองด้วยสีหน้าเหยเก ทว่าชางมินกลังติดพันกับการเถียงตอบมินโฮถึงเรื่องการเลือกตั้งที่กำลังจะเกิดขึ้นในอเมริกา และแม้ว่าเสียงเล็กๆจะถามอขึ้นมาอีกครั้ง เพื่อนผู้มีใจให้กับรีพับบลิกันก็ยังคงเดินหน้าสนับสนุนคำพูดของตัวเองต่อไป


    “ปลาหมึกผัดใส่พริก” เขาหันไปบอกด้วยความหวังดี 


    “...ปลาหมึก?” คยูฮยอนหันหน้ากลับมา เลิกคิ้วใส่เหมือนไม่อยากเชื่อว่าสิ่งที่อยู่ตรงหน้าคือเนื้อปลาหมึก “ปลากหมึกที่มีแปดหนวด”


    “เปล่าๆ คนละแบบ แบบนี้มัน... ประมาณหมึกกล้วย”


    “อ้อ” หัวกลมขยับหงึกหงักแล้วเริ่มจ้องพินิจอีกครั้งขณะที่เขายืดแขนไปคีบผัดผักมาคลุกข้าว “มันเผ็ดมากไหม... เรากินเผ็ดไม่เก่ง”


    “เผ็ดไหมน่ะเหรอ... ก็เผ็ดนะ”


    “...”


    “แต่อร่อยนะ” คยูฮยอนเงยหน้าขึ้นมาขมวดคิ้ว ส่งสายตาเป็นคำด่าหาว่าเขาพูดจาย้อนแย้ง ซึ่งก็จะยอมรับนั่นแหละว่าตั้งใจ เพราะใจหนึ่งเขาก็อยากให้เพื่อนใหม่ได้ลองรสชาติเผ็ดซ่านแบบเกาหลี แต่อีกใจก็กลัวว่าจะทนเผ็ดไม่ได้


    แทนที่จะลองด้วยตัวเอง คนตัวขาวกลับเลือกกระทุ้งศอกใส่หลังของชางมินแล้วหันหน้าไปหาเพื่อนสนิทของตัวเองอย่างขอความช่วยเหลือ หนนี้ชางมินคงรู้สึกตัวถึงได้หันกลับมามองแล้วก็เริ่มบทสนทนาภาษาต่างดาวงุ้งงิ้งกันสองคน บทสรุปคือคยูฮยอนคีบมันเข้าปาก เคี้ยวหงุบหงับแล้วจ้องสลับระหว่างชามข้าวต้มกับเขา


    “...”


    “โอเคไหมอ่ะ?” เห็นเงียบไปนานเขาเลยถามขึ้นมา ใจไม่ดีเมื่อเห็นว่าแก้มยุ้ยทั้งสองหยุดขยับเป็นพักๆ กลัวว่าพริกเมืองตะวันออกจะทำร้ายอีกคนเข้าให้


    “...อือ” 


    “เผ็ดมั้ย?” ปากถามไปแบบนั้นแต่มือได้เอื้อมไปคว้าขวดน้ำมาถือรอไว้เรียบร้อยแล้ว


    “เผ็ด” คราวนี้ตากลมใสช้อนขึ้นมา เห็นชัดเลยว่าใต้ตามีหยาดน้ำคลออยู่ ริมฝีปากชมพูก็บึนสูงก่อนจะแลบลิ้นสีแดงแจ๋ออกมาเป็นพยาน พร้อมโบกไม้โบกมือไปมา


    “อ่า... แย่ล่ะ” ยื่นน้ำเปล่าให้อีกฝ่ายกลอกอึกๆลงคอ คยูฮยอนล่อไปทีเดียวครึ่งขวด หยุดพักหายใจครู่หนึ่งแล้วอีกเกือบครึ่งขวดก็ไหลตามลงคอไป


    นั่นก็ดูน่าสงสารอยู่หรอก แต่ท่าทางลุกลี้ลุกลนโบกมือสลับแลบลิ้นไปมามันช่างน่าเอ็นดูจนเผลอหัวเราะให้โดนค้อนเหวี่ยงใส่กลางหน้า  เพื่อนใหม่ของเขาหันไปหาเพื่อนเก่าที่คราวนี้เปลี่ยนไปคุยเรื่องท่อส่งน้ำมันในแม็กซิโก ด่าทอต่อว่าด้วยภาษาอังกฤษ ใจความราวๆชางมินโกหก เป็นคนเลว อะไรทำนองนั้น แต่ชางมินก็ไม่ได้สนใจอะไรไปมากกว่าเรื่องที่ว่า ปีหน้าน้ำมันจะแพงขึ้นอีกหรือไม่


    ซีวอนเอื้อมแขนไปที่กลางโต๊ะอีกครั้ง เขาคีบหัวผักกาดผัดหวานมาใส่ในจานข้าวต้มให้อีกคนพร้อมกับโบกมือขอน้ำซุปร้อนที่น่าจะดับเผ็ดได้ คยูฮยอนหันมามองตาม สีหน้าไม่ไว้ใจแต่ก็ยอมกินทั้งหมดนั่นเข้าไป


    พออาการเผ็ดทุเลาลง เสียงหวานก็เอ่ยขอบคุณทั้งใบหน้าที่ยังเจือสีแดงอมชมพูจากรสปลาหมึก


    ซีวอนส่ายหัวบอกไม่เป็นไร... มองสีชมพูบนแก้มและริมฝีปากอิ่ม คิดขึ้นมาได้ว่านี่คงเป็นสีชมพูชนิดเดียวที่เขาชอบ




    ชางมินโทรมาหาเขาในเข้าวันอาทิตย์ มันทำให้เขาประหลาดใจเพราะนึกว่าเพื่อนงานยุ่งขึ้นเครื่องกลับสเปนไปแล้ว แล้วก็ต้องประหลาดใจหนักเข้าไปอีกเมื่ออีกคนบอกให้เขาช่วยหาไกด์ทัวร์หมู่บ้านศิลปะด้วยคำว่าขอรบกวนแต่น้ำเสียงประมาณว่ามึงต้องหา


    “ทำไมต้องกูวะ”


    (มึงดูเป็นการเป็นงานสุดแล้วในบรรดากลุ่มสันขวานของเรา) ชางมินตอบกลับมารวดเร็วอย่างกับได้เตรียมคำตอบไว้นานแล้ว 


    “ทัศนคติมึงจะได้พิสูจน์ก็วันนี้” เขาพูดกลั้วหัวเราะขณะคนแก้วกาแฟร้อนในมือ “แล้วจะไปเมื่อไหร่อ่ะ”


    (พรุ่งนี้... ขอแบบที่พูดอิ๊งแข็งๆนะ คยูฮยอนมันฟังเกาหลีไม่ค่อยออก)


    “อาฮะ” เดี๋ยวนะ-- “คยูฮยอน?”


    (อ่า คือที่จริงกูนัดว่าจะพามันไปแต่ดันต้องเข้าไปเจอหัวหน้าเก่าอ่ะ มันอยากไปมาก อีกอย่างนานๆจะได้มาแถบนี้ทีเลยคิดว่าคงต้องพึ่งไกด์) 


    “อ่อ” ซีวอนครางรับ เขายกกาแฟขึ้นจิบแล้วคิดหาว่ามีใครที่พอรู้จักบ้างหรือไม่ ใครสักคนที่รู้เรื่องศิลปะพื้นบ้านและสามารถพูดอังกฤษได้คล่อง “เออได้ เดี๋ยวกูจัดการให้”


    (ขอบคุณมาก ไว้มึงมาสเปนจะหาเมียรอไว้ให้เลย) ชางมินว่าก่อนจะตัดสายไปอย่างรวดเร็วตามนิสัย ปล่อยให้เขาหัวเราะค้างอยู่กับกาแฟดำร้อนๆ และเหตุผลที่ต้องวางงานเพื่อโผล่มายืนกอดอกอยู่ที่หน้าหมู่บ้านศิลปะกับคนตัวขาว


    คยูฮยอนแต่งตัวตลก เสื้อไหมพรมสีกรมท่าไม่ค่อยเข้ากับกางเกงห้าส่วนปล่อยชายสีขาวสักเท่าไหร่ และมันก็โคตรจะไม่เข้าท่าเมื่ออีกคนสวมหมวกบักเก็ตสีเทานั่นเลยสักนิด แต่ซีวอนกลับรู้สึกว่าอีกคนดูน่ารักสมกับเป็นนักท่องเที่ยวจากต่างเมืองเหลือเกิน


    “ชางมินบอกว่าจะมีไกด์”


    “ก็...ผมไง” คิ้วเข้มกำลังดีขมวดหลวมๆแล้วทำปากขมุบขมิบเหมือนไม่เชื่อ


    “ซีวอนน่ะเหรอ?”


    “อาฮะ”


    “ไม่แกล้งนะ?” ซีวอนไม่รู้ว่านั่นเป็นคำถามหรือเป็นประโยคร้องขอ เขายักไหล่ ส่งเสียงหัวเราะแล้วก้าวไปยืนขนาบข้างนักท่องเที่ยวประจำวัน ใช้ข้อศอกรุนแผ่นหลังให้อีกฝ่ายเดินไปยังทางเข้าได้แล้วก่อนที่เราจะเสียเวลาไปมากกว่านี้


    คยูฮยอนยังคงแสดงท่าทางออกมาชัดเจนว่าไม่เชื่อกันจนกระทั่งบัตรเข้าชมของเราถูกฉีกโดยพนักงาน รายนั้นถึงได้ยอมทำเป็นลืม หันไปสนใจโซนจัดแสดงบ้านเรือนของชาวเกาหลีแทนเรื่องไกด์ที่ชางมินจ้างมา ขายาวก้าวดุ่มๆไปที่เรือนไม้ ตากลมแสดงออกชัดเจนว่าสนอกสนใจ พลางชะเง้อคอแหงนอ่านป้านที่มีคำอธิบายว่ารูปแบบบ้านแต่ละหลังมีเอกลักษณ์โดดเด่นอย่างไรบ้าง


    “พวกนี้มันจะใช้กระเบื้องมุงหลังคา อ่า ที่จริงคือมันแบ่งเป็นสองส่วน ตัวบ้านอ่ะ ไม่ทำจากดินก็จากไม้ ในโซลส่วนมากจะเป็นไม้นะ แล้วอีกส่วนคือหลังคา ก็จะมีทำจากกระเบื้อง จากใบสน หรือไม่ก็เปลือกสน แต่ละแบบมันก็มีชื่อเรียกไม่เหมือนกัน ก็ตามที่เขาเขียนไว้” ซีวอนให้คำอธิบายเพิ่มเติมจากป้ายที่แปะอยู่ เขาเหลือบตามองตัวอักษรเหล่านั้นเช่นกันเพราะตัวเองก็ใช่ว่าจะเป๊ะเรื่องพวกนี้เสียเท่าไหร่


    ลูกทัวร์ของเขาไม่ได้พูดอะไรต่อจากนั้น คยูฮยอนยังตั้งหน้าตั้งตาอ่านข้อความจนจบ เขามั่นใจว่าจบก็เพราะตากลมเหมือนลูกแมวของอีกคนไล่ตามแต่ละบรรทัดได้อย่างใจเย็นจนมาถึงตัวอักษรสุดท้ายจริงๆ


    “แล้ว... เดี๋ยวนี้ยังมีให้เห็นอยู่ไหม?” ภาษาอังกฤษสำเนียงชัดเอ่ยอ้อมแอ้มขึ้นมาในจังหวะที่เราหมุนตัวเพื่อเดินเข้าไปสำรวจภายในตัวบ้านจำลอง “หมายถึง ยังมีแบบที่เขาอาศัยกันอยู่ไหม?”


    “ถ้าในโซลอ่ะ ไม่มีหรอก ก็มีแค่ที่นี่แหละ” ที่นี่ของซีวอนก็คือที่ๆพวกเขายืนอยู่ซึ่งเท่าทราบมามันเป็นกลุ่มบ้านโบราณหลังสุดท้ายแล้วที่ได้รับการอนุรักษณ์ให้เป็นแหล่งเรียนรู้และท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม “แต่ถ้านอกโซลน่ะ ถมเถเลย”


    คยูฮยอนพยักหน้าหงึกหงัก ทำเหมือนยังติดค้างอยู่ในความอยากเห็นของจริงจนเขาไม่กล้าขยับฝีเท้าเร็ว แต่เมื่อเราก้าวอืดอาดกันมาถึงประตูที่เชื่อมไปยังส่วนครัวและมีสาธิตการทำอาหารพื้นบ้าน รายนั้นก็วิ่งแจ้น นำลิ่วไปทันที


    ซีวอนได้แต่ยืนมองตามหลัง สอดมือเข้าไปในกระเป๋ากางเกงเหมือนคุณพ่อวัยหนุ่มที่มองลูกเล่นซน หัวเราะออกมาเมื่อเห็นอีกคนนั่งยองลงกับพื้นแล้วพยายามใช้ทักษะภาษาเกาหลีที่มีติดก้นขวดสื่อสารกับคุณป้าอายุคราวพ่อของเขา


    คยูฮยอนเหมือนเด็กน้อยจริงๆ


    เด็กน้อยสีชมพู



    บ้านโบราณไม่มีอะไรให้เดินเหินเยอะนัก เพียงครึ่งวันพวกเขาก็ไปได้ครบทุกจุด ซีวอนเลยพาอีกคนมานั่งแก่วอยู่ในรี้านกาแฟเจ้าประจำไม่ห่างจากออฟฟิศของเขานัก 


    คยูฮยอนสั่งชาเขียวร้อน เขาหงุดหงิดนิดหน่อยที่ได้รู้ว่าอีกฝ่ายชอบชาเขียวเพราะเขาดื่มมันไม่เป็น แต่ก็มองข้ามไปเมื่อได้รับกาแฟดำกลับมา คยูฮยอนเบ้หน้าบอกว่ากาแฟดำเป็นเครื่องดื่มของคนที่ใช้ชีวิตตึงไม่มีผ่อน เขาไม่เห็นว่ามันจะเกี่ยวกันแต่ก็เก็บคำพูดพวกนั้นมาคิดเสียนาน


    เราคุยสัพเพเหระไปเรื่อยด้วยเรื่องราวผิวเผิน ประมาณว่าตัวเองเป็นใครมาจากไหน ทั้งหมดนั่นเริ่มจากการที่อีกคนไปคว้าเอานิตยาสารธุรกิจเล่มหนึ่งขึ้นมาแล้วเปิดเจอบทสัมภาษณ์ของเขาพอดี คยูฮยอนถามว่าเขาเป็นคนดังเหรอ เขาก็ไม่รู้จะตอบยังไงเลยบอกว่าแค่เป็นที่รู้จักในแวดวงธุรกิจเพราะมรดกก้อนโตของพ่อ


    ซีวอนเล่าไปตามความจริงว่าเขาต้องสืบทอดกิจการ บังเอิญว่ามีหัวและดวงทางด้านนี้เลยหยิบจับอะไรก็ขึ้นมือไปหมด นั่นเป็นสาเหตุที่ทำให้เขาดังพลุแตกภายในระยะเวลาไม่ถึงสิบปีซึ่งสั้นมากเมื่อเทียบกับนักธุรกิจคนอื่นๆ สั้นมาก เมื่อเทียบกับการไต่เต้าในสายดนตรีที่อีกคนกำลังย่ำวนอยู่เช่นกัน


    คยูฮยอนเรียนขับร้อง เขาไม่อยากเชื่อเลยว่านที่เอาแต่พูดเสียงงุ้งงิ้งจะเอาดีทางสายที่ต้องใช้เสียง ซึ่งอีกฝ่ายก็เห็นด้วยเช่นกัน ตอนแรกเจ้าตัวจริงจังกับการเล่นไวโอลินมากกว่าแต่แล้วก็ถึงจุดพลิกผัน หันมาจับพลัดจับผลูในสายขับร้องแทน ตอนนี้ความรู้ด้านไวโอลินไม่หายก็จริงแต่ทุกคนก็จะจดจำคยูฮยอนว่าเป็นเสียงแห่งละครเวทีมากกว่า


    ชางมินโผล่มาในชีวิตคยูฮยอนตอนท้ายๆ แต่สนิทกันเป็นพิเศษเพราะช่วงหลังมานี้พวกเขาทำงานด้วยกัน ชางมินกำลังทำโครงการอยู่กับมูลนิธีส่งเสริมศิลปะ ประมาณว่าจัดหาคุณครูที่มีความรู้ทางด้านงานศิลป์หลากหลายแขนงมาถ่ายทอดความรู้ให้กับผู้สนใจ คยูฮยอนร่วมอยู่ในโครงการนั้นด้วย เขามีปัญหาเรื่องวีซ่าตอนบินไปติดต่องานที่อเมริกาและได้ชางมินมาช่วยไว้ทันเวลาพอดี


    “ประหลาดใจจะตาย ชางมินไม่เห็นแนะนำนาย ก็เลยนึกว่ามากับคนอื่น”


    “ฮะๆ ก็วันนั้นชางมินพูดชื่อเราสามรอบแล้ว ชางมินเลยบอกว่าพอคนที่สี่น่ะ จะไม่พูดอะไรแล้ว” คยูฮยอนหัวเราะ รอยยิ้มติดอยู่ตรงมุมปาก “ซีวอนมาเป็นคนที่สี่พอดี ชางมินไม่ชอบพูดอะไรซ้ำซาก” 


    เขาพยักหน้าเข้าใจ นึกไปถึงตอนสมัยเรียนที่ชางมินพยายามอธิบายการบ้านให้ทงเฮฟังแล้วหมอนั่นไม่เข้าใจสักที พอพูดไปสามหน ทงเฮก็ยังมึนตึ้บ เพื่อนสายโหดของเขาจึงจบบทเรียนนอกรอบด้วยการทุ่มสมุดใส่หัวทงเฮแล้วบอกว่าให้มันซึมเข้ากบาลนายเองเถอะ 


    ทงเฮสอบได้ที่สองของห้อง น้อยกว่าชางมินหนึ่งคะแนน


    “อันที่จริงเราก็ไม่ค่อยได้เจอนักธุรกิจแบบซีวอน” ชื่อของเขาถูกเอ่ยออกมาอ้อมแอ้ม “ใช่ไหม ซีวอน? ออกเสียงถูกไหม?” 


    “ถูกแล้ว... ให้ตายสิ นายควรเอาเวลาไปศึกษาภาษาเกาหลีบ้าง”


    “เรียนไปก็ไม่ได้ใช้”


    “พูดกับชางมินไง”


    “เดี๋ยวก็ไม่ได้เจอกันแล้ว” คยูฮยอนยกชาเขียวขึ้นจิบอีกครั้ง คราวนี้มันเป็นอึกสุดท้าย แก้วกระดาษเบาหวิววางลงบนโต๊ะตัวเตี้ยข้างหน้า “คราวนี้เราก็จะกลับออสเตรียแล้วล่ะ”


    “อ่า”


    “แต่เกาหลีก็ดีเหมือนกันนะ” ดวงตากลมทอดมองออกไปนอกหน้าต่าง มันไม่มีอะไรน่ามองเลยนอกจากรถคันหรูราคาแพงที่วิ่งผ่านหน้าร้านไป คยูฮยอนยังคงหันคอมองซ้ายมองขวา ทำให้เขาต้องเผลอมองตามหลายครั้ง เรากลับมาใช้ความเงียบคุยกัน 


    คยูฮยอนมองออกไปนอกหน้าต่าง ซีวอนมองใบหน้าด้านข้างของอีกคน


    “ดีก็มาเที่ยวสิ” เขาบอกแล้ววางแก้วเปล่าของตัวเองลงบนโต๊ะ เอนหลังพิงพนักโซฟาขณะรอใบหน้าหวานเอี้ยวกลับมามองกันชัดๆ


    “นี่คือการโปรโหมตการท่องเที่ยวหรือเปล่า?”


    “เปล่า” เขาตลกความคิดแบบนั้น “แค่อยากให้กลับมา”


    “...”


    “อยู่กับคยูฮยอนก็ดีเหมือนกันไง” 




    หลังออกจากร้านกาแฟเขาขับรถพาอีกคนเดินห้างในเครือบริษัทเผื่อจะได้ของฝากติดไม้ติดมือกลับไปบ้าง ทว่าคยูฮยอนกลับเลือกเข้าร้านหนังสือแล้วซื้อนิยายติดมือมาสองเล่ม


    เขาเดินวนอยู่แถวโซนภาษา ได้แบบเรียนสอนภาษาเกาหลีสำหรับคนต่างชาติมาหนึ่งเล่ม เดินล่วงไปจ่ายเงินที่เคาท์เตอร์แล้วบอกให้ห่อของขวัญให้หน่อย หลังจากนั้นค่อยวกกลับมาตามหาคยูฮยอนแล้วพาอีกคนไปชำระเงิน


    ในฐานะเจ้าบ้าน เขาอาสาเลี้ยงข้าวเย็นอีกหนึ่งมื้อ คราวนี้มันไม่ใช่ร้านอาหารข้างทาง แต่ก็ไม่ได้อยู่ในห้างที่เขามีหุ้นส่วน เราเลือกร้านหม้อไฟธรรมดาตรงแถวย่านวัยรุ่น คยูฮยอนไม่ค่อยเข้าใจเรื่องการหย่อนอาหารใส่หมอและน้ำซุป คนเกาหลีจากต่างถิ่นงุ่นง่านยิ่งกว่าตอนไปกินข้าวต้มด้วยกันเมื่อคืนก่อน แต่สุดท้ายก็เริ่มเรียนรู้จนคล่องแคล่ว


    มันน่าประหลาดที่เขาพบว่าโจวคยูฮยอนเป็นคนที่คุยเก่งมากและสามารถเคี้ยวไปพูดไปได้อย่างชำนาญปนน่ารัก ไม่ได้ยึดธรรมเนียมห้ามพูดคุยขณะมีอาหารอยู่ในปาก แต่ยึดถือเอาว่าหากคิดเรื่องอะไรออกก็พูดมันออกมาเสียเดี๋ยวนั้น เราเลยคุยกันสารพัดสารพัน บางเรื่องอย่างการโหวตมิสเวิลด์ก็ถูกหยิบมาพูดได้แบบไม่มีที่ไปที่มา


    เราส่งท้ายค่ำคืนแสนสั้นด้วยการเดินวนไปในย่านการค้าสองรอบ ซื้อขนมกินแก้คาวกันคนละอย่างแล้วก็เริ่มหาเรื่องมาเปิดประเด็นอีกครั้ง คราวนี้มันเป็นเรื่องขั้วการเมืองแบบที่ชางมินขอบ เขาไม่ค่อยมีความรู้มากนักจึงวิเคราะห์ให้เป็นไปในแนวทางเศรษฐกิจ ส่วนคยูฮยอนบอกว่าถ้าหากเกิดการปะทะของมหาอำนาจจริง เราจะศูนย์เสียศิลปะและประวัติศาสตร์ไปมากมาย เขาเข้าไม่ถึงจุดนั้น แต่ก็สัมผัสได้ว่าเป็นเรื่องเศร้า


    พออาหารเริ่มย่อย (เกือยจะหิวอีกครั้ง) เขาก็อาสาขับรถไปส่งอีกคนกลับโรงแรม ตอนแรกคยูฮยอนปฏิเสธ บอกว่านั่นจะเป็นการรบกวนเกินไป แต่เขาก็แย้งไปว่าถ้างั้นก็จงรบกวนให้สุดไปเสีย เหมือนกับเวลาที่ทำอะไรแล้วก็ให้ทำเต็มไป อีกฝ่ายคงมีคำโต้แย้งมากมาย แต่ก็ไม่ทันเขาที่เดินมาหยุดอยู่ข้างรถ ทุกอย่างจึงเลยตามเลย


    เราไม่ได้พูดอะไรกันมากมายบนรถเพราะชางมินโทรมาถามไถ่กับเพื่อนสนิทว่าได้ตามที่ต้องการไหม คยูฮยอนส่งเสียงบอกไปว่าตัวเองได้ไกด์ห่วย เพราะไม่มีข้อมูลเรื่องบ้านเชิงลึก แต่ให้อภัยได้เพราะรู้จักร้านอาหารอร่อย ซีวินหมุนพวงมาลัยไปหัวเราะไป เขาคิดต่อไปอีกว่าโซลมีร้านไหนอร่อยอีกบ้าง


    คยูฮยอนเพิ่งจะสารภาพก่อนลงจากรถไม่กี่นาทีว่าที่สนใจเรื่องบ้านเกาหลีเพราะได้ดูละครพีเรียดแล้วเห็นบ้านเรือนที่น่ารักเหล่านั้นปรากฎอยู่ เขาเลยตั้งใจว่าจะต้องมาดูให้เป็นเรื่องเป็นราวเสียที แต่ปรากฎว่าความรู้ที่ได้ไปในวันนี้กลับเป็นเรื่องอาหารแทน ซึ่งมันก็ไม่ได้แย่เพราะการกินเป็นปัจจัยพื้นฐานของมนุษย์  อีกอย่างคือ ซีวอนเป็นคนจ่าย


    ไม่กี่อึดใจถัดมา รถของเขาก็จอดเทียบอยู่ที่หน้าโรงแรมมีชื่อเสียง คยูฮยอนบอกว่าไม่ต้องวนเข้าไปเพราะดูเหมือนจะไปต้องวนอีกหลายหนกว่าจะได้ออก เขาเลยจอดส่งอีกคนตรงด้านหน้า ใกล้กับป้ายเรืองแสงอันใหญ่แทน


    “ขอบคุณนะครับ”


    “อาฮะ”


    “กลับดีๆล่ะครับ” คยูฮยอนหอบถุงของรวบใส่มือ รวมทั้งถุงหนังสือภาษาเกาหลีเบื้องต้นที่เขาจงใจกองมันเอาไว้ด้วยกันกับสัมภาระของอีกคน 


    มือขาวเอื้อมไปเปิดประตูรถอย่างยากลำบาก เสียงกลอนสะเดาะลั่นแล้วแต่จู่ๆเจ้าตัวกลับหยุดนิ่งแล้วพลิกหน้ากลับมา เขาใจเต้นแทบแย่ คิดไปว่าอีกคนต้องเห็นของขวัญอันนั้นแล้วเอามันส่งคืนมาให้แน่ แต่ก็ไม่ใช่


    คยูฮยอนเอี้ยวทั้งตัวกลับมาทางเบาะคนขับ ใบหน้าหวานโน้มลงแตะริมฝีปากแนบบนแก้มของเขา ค้างอยู่อย่างนั้นราวสิบวินาทีแล้วผละออกมา 


    “สำหรับ?” เขาชิงถามขึ้นมาก่อนทั้งที่เสียงตัวเองก็สั่นจนควบคุมอะไรไม่ได้


    “ขอบคุณไงครับ... มันเป็นธรรมเนียมทางแถบยุโรป” ซีวอนพยักหน้าหงึกหงัก “ผมแค่อยากบอกว่าวันนี้สนุกมากๆเลย”


    นักธุรกิจหนุ่มยังคงพยักหน้ารับ เขาส่งยิ้มกว้างไปให้แล้วเอื้อมจับท่อนแขนของอีกฝ่ายรั้งเอาไว้ ซีวอนคิดว่าตัวเองต้องเป็นบ้าเข้าให้แล้ว เป็นบ้าเหมือนตอนเห็นสีชมพูเต็มงานของทงเฮไปหมด ต้องเป็บแบบนั้นแน่ๆ เขาเลยโน้มตัวลงไปกดจูบตรงกลางระหว่างคิ้วขมวดมุ่นของอีกคน


    คยูฮยอนอึ้งอ้าปากค้าง ดูช็อคคล้ายๆกับเมื่อครู่เป็นแผ่นดินไหว ไม่ใช่จูบ “


    “สะ-- สำหรับ?” เสียงหวานสั่นย้อนกลับมาด้วยคำถามเดิม


    “มันเป็นธรรมเนียม...”


    “...”


    “ธรรมเนียมของผมเอง...” 


    ใบหน้าขาวผ่องขึ้นสีชมพูแปร๊ดเหมือนสูทตัวที่เขาใส่ไปงานแต่งเพื่อนแล้วเราได้เจอกันครั้งแรก


    60%


    ชางมินไม่เข้าใจเลยว่าคยูฮยอนไปโดนของหรือโดนอะไรมา ปกติคนอย่างคยูฮยอนถ้าเห็นอาหารคงจะวิ่งโร่เข้าใส่ แต่นี่พอเขาชวนออกมาหาอะไรก่อนกลับไปจัดกระเป๋าเตรียมขึ้นเครื่องวันพรุ่งนี้ รายนั้นกลับมานั่งเอาตะเกียบเขี่ยเนื้อปลาแซลมอนสีส้มจนเสียของ ทำอย่างกับขยาดแขยงมันมากมายทั้งที่มันเป็นของโปรดตลอดกาลแท้ๆ


    “คือติดเชื้ออะไรหรือเปล่า กูจะได้พามึงไปหาหมอ ขอใบรับรองแพทย์” เอ่ยถามออกไปด้วยความหวังดีที่มีต่อท่าทางพิลึกกึกกือนั้นก่อนจะคีบเนื้อปลาโอเข้าปากเคี้ยวหงับๆระหว่างรอคำตอบ แต่ปรากฎการณ์ตรงหน้าทำให้ชางมินอยากจะฟันธงไปเลยว่าเพื่อนของเขาโดนเชื้อร้ายทำลายสมองไปแล้วเกินครึ่ง


    คยูฮยอนนั่งท้าวคางเหม่อมองถนนเมืองโซลอันเต็มไปด้สนความวุ่นวาย ละเลยคำถามของเขาราวกับมันเป็นอากาศหรือไม่ก็น้ำเปล่าไร้รสชาติ


    พระเจ้า! คนที่ประสาทไวยิ่งกว่ายุงลายนั่นกำลังเหม่อ บ้าจริง! เกาหลีมีโรคระบาดอะไรอยู่หรืออย่างไร


    “คยูฮยอน!”


    “ห๊า?” การตบโต๊ะฉาดใหญ่ช่วยได้หน่อย แต่ก็ต้องแลกมาด้วยการถูกมองจากสายตาของคนทั้งร้าน ชางมินขมวดคิ้วเป็นก้อนแล้วยื่นตะเกียบไปฉกแซลม่อนชิ้นโตมาจากจานข้าวของอีกคน ตอนนั้นเองที่โจวคยูฮยอนคนเก่าฟื้นคืนชีพ ยื่นตะเกียบมาฉกหนวดปลาหมึกในกล่องข้าวของเขาคืนบ้าง “ไอ้-- หัวขโมย”


    “ไม่ได้ป่วยแน่นะ?”


    “อะไรนะ?”


    “ไม่ได้ป่วยใช่ไหม นายดู... ลอยๆพิลึกนะวันนี้”


    “อ่า... เปล่าหรอก” ตะเกียบสีเงินยกขึ้นโบกในอากาสก่อนที่เพื่อนคอทองคำของเขาจะก้มลงพุ้ยข้าวในถ้วยขึ้นมาจ่อปาก “เหนื่อยๆนะ”


    “เดินหมู่บ้านวันนั้นทำนายเหนื่อยสองวันเลยเหรอ?” ชางมินถามไปตามความรู้สึก ก็ตั้งแต่ซีวอนพาคยูฮยอนไปเที่ยววันนั้น เพื่อนเขาก็กลายเป็นคนเหนื่อย(?) ไม่ค่อยตอบสนองสิ่งเร้ารอบกายเลยสักนิด ที่สำคัญยังเอาแต่นอนพลิกไปพลิกมา ขนาดเขามาชวนออกไปเดินแกลอรี่ศิลปะเมื่อวาน คยูฮยอนยังอิดออดกลิ้งเป็นก้อนอยู่บนเตียงนานสองนานกว่าจะยอมไปด้วยกันได้


    “เปล่าซะหน่อย แบบเหนื่อยสะสมอ่ะ”


    “ฮะ?”


    “เดี๋ยวจะกลับไปทำงานแล้วด้วยไง ก็เหนื่อยล่วงหน้า”


    “บ้าแล้ว ไอ้นี่” เอาปลายตะเกียบเคาะไปข้างขมับของเพื่อนแล้วกลับมาสนใจอาหารตรงหน้าต่อ โอเค ถ้ามันไม่ได้ป่วยจิตหลุดหรือเป็นอะไรเขาก็ไม่ห่วงแล้วล่ะ แต่อย่าเป็นแบบนี้ยาวไปถึงวันขึ้นเครื่องก็พอ เขายังไม่อยากต้องมารับรู้ว่าเพื่อนเขาขึ้นเครื่องบินผิดเที่ยวหรือจำเวลาผิดจนตกเครื่องให้เป็นเรื่องยุ่ง



    คยูฮยอนนอนมองเพดานห้องหลังจัดกระเป๋าเสร็จ สัมภาระของเขาเพิ่มขึ้นไม่มากก็จริงแต่เรื่องน้ำหนักนั่นใช่ย่อยเพราะส่วนใหญ่เป็นหนังสือตามประสาคนรักการอ่าน ยิ่งหนังสือที่นี่ราคาถูกกว่าที่ออสเตรียตั้งหลายตัง เลยซื้อแบบไม่ทันคิดว่าจะขนไปยังไง


    ชางมินแนะนำให้เอาบางเล่มออกแล้วใช้ส่งไปแทน มันน่าจะถูกกว่าต้องซื้อน้ำหนักกระเป๋าเพิ่มและดีกว่าการยอมแบกขึ้นเครื่อง คยูฮยอนเห็นด้วยกับวิธีนั้นเลยแยกกองออกมาทำตามคำแนะนำของเพื่อนก่อนจะลงมานอนเอาแรง สักชั่วโมงสองชั่วโมงก่อนไปสนามบิน


    แทนที่จะหลับ กลับกลายเป็นว่าเขาคิดอะไรเรื่อยเปื่อยแล้วก็คอยหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดเล่นไม่เลิก ทั้งนี้ก็เพราะหวังว่าจะมีใครบางคนส่งข้อความหรือโทรกลับมาหากันบ้าง ทุกครั้งที่คิดแบบนั้นเขาจะรู้สึกว่าตัวเองเพ้อเจ้อไม่เข้าท่า มันก็แค่คนสองคนที่ไปเที่ยวด้วยกันหนึ่งวันเท่านั้น จะไปหวังให้มันได้อะไรขึ้นมา


    แต่ก็อดคิดไม่ได้ อดคิดไม่ได้จริงๆเมื่อนึกถึงสัมผัสที่แตะลงมากลางหว่างคิ้วในคืนนั้น


    มันจะมีสักกี่คนกันเชียวที่กล้าจูบหน้าผากคนอื่นโดยไม่คิดอะไร ต้องเป็นคนประเภทไหนเหรอถึงกล้าทำแบบนั้นกับเขา


    แล้วเขาเนี่ย ต้องเป็นบ้าแค่ไหนถึงเก็บเรื่องนี้มาใจเต้นอยู่ได้!


    คืนนั้นคยูฮยอนนอนไม่หลับ เขาดิ้นไปดิ้นมาอยู่บนเตียงเหมือนคืนแรกที่มานอนที่นี่ ภาพในหัวฉายอยู่แต่ใบหน้าของซีวอนที่พาเขาเที่ยวตะลอนมาทั้งวัน ยอมรับกับตัวเองตรงๆเลยว่าผู้ชายคนนั้นดูดีตั้งแต่วันแรกที่เจอในงานแต่ง ดีทั้งหน้าตา ฐานะ และคารม เป็นคนแบบที่คยูฮยอนมองแล้วรู้สึกอุ่นใจจนกล้าเปิดปากคุยด้วยเกินสองประโยค


    ปกติเขาไม่ชอบสุงสิงกับคนแปลกหน้าเท่าไหร่ เครียดแทบตายตอนเจอเพื่อนของชางมินในงานแต่ง แต่ละคนดูไร้สติ ไม่มีสมาธิ และเสียงดัง เป็นเพื่อนประเภทที่คยูฮยอนไม่คิดว่าชางมินจะคบด้วยและเขาเองก็คงไม่เลือกเพื่อนแบบนี้แน่ๆเพราะถ้าต้องอยู่ด้วยกันคงอึดอัดตาย ทว่าพอเป็นซีวอน ผู้ชายคนนั้นพูดมากตอนกินข้าวและแหย่เขาเรื่องปลาหมึกก็จริง ทว่าท่าทางกลับดูสุขุมและน่าไว้วางใจยิ่งกว่า


    แม้แต่ตอนที่เจอกันหน้าหมู่บ้านศิลปะ เขายังรู้สึกเลยว่าการได้มาเที่ยวกับชเวซีวอนก็เป็นอะไรที่ดีเหมือนกัน มันทำให้เขากล้าเผิดเผยตัวเองมากยิ่งขึ้นตอนเราคุยกันในร้านกาแฟ


    ซีวอนทำให้เขาประหลาดใจด้วยความสามารถ เขาดูเหมือนคนขี้เล่น เหมือนลูกไฮโซไม่เอาไหน แต่กลับบริหารฝีมือและโอกาสของตัวเองได้อย่างช่ำชองจนน่ากลัว


    แล้วคนที่ดีขนาดนั้นก็มาจูบกลางหน้าผาก อ้างว่าเป็นธรรมเนียมของตัวเองเนี่ยนะ ให้ตายสิ เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่านี่มันเรื่องล้อเล่นหรือจริงจังกันแน่ 


    ใจหนึ่งเขาคิดว่าอีกคนคงจะทำไปอย่างนั้นเพราะตั้งแต่แยกกันเราก็ไม่ได้ติดต่อกันอีก เขาส่งข้อความไปบอกให้อีกคนขับรถปลอดภัย และอีกฝ่ายก็ส่งตอบกลับมาว่าถึงบ้านแล้วก่อนจะบอกฝันดี แน่นอน เขาตอบกลับไปว่าฝันดี แล้วอีกคนก็ดันเงียบหายเข้ากลีบเมฆไปเลย โดยที่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าได้อ่านข้อความของเขาหรือยัง


    จนถึงตอนนี้ ให้นับกันจริงๆ เขามีเวลาอีกเพียงแค่ สี่ชั่วโมงเท่านั้น สี่ชั่วโมงชี้ชะตาว่าจะเอายังไงกับความรู้สึกบ้าบอที่มันผุดขึ้นมาเพราะเจ้าของรางวัลธุรกิจสร้างสรรค์คนล่าสุดกันแน่


    ซึ่งคำตอบสุดท้ายก็คือ...


    ปล่อยวาง... ปล่อยวาง คำนี้ล่ะมั้ง


    “อย่าลืมอะไรล่ะ”


    “อือ”


    “เออ ทำตัวให้มันมีสติด้วย ถึงแล้วส่งข้อความมาเคป่ะ?”


    “อือ รู้แล้ว ขอบคุณชางมินมากๆนะ” คยูฮยอนกอดเพื่อนตัวสูงโย่งแล้วกันไปหาตัวตั้งตัวตีที่ทำให้เขายอมบินข้ามทวีปมาได้ “ทงเฮ ~ มีความสุขมากๆนะ รักกันนานๆด้วยล่ะ”


    “ขอบคุณมากที่อุตส่าห์มานะ” เพื่อนตัวล่ำกอดเขาจนได้ยินเสียงกระดูกลั่นเลื่อนเป็นแถบ ทงเฮผละออกมาแล้วใช้หลังมือขยี้ตาตามประสาคนขี้แง เหมือนกับวันที่หมอนั่นต้องบินกลับประเทศตอนเป็นนักศึกษาไม่มีผิด “จะคิดถึงคยูมากๆเลย”


    “เหมือนกันแหละ ส่งข่าวคราวมาบอกด้วยล่ะ หวังว่าจะได้เห็นลีตัวเล็กเร็วๆนี้นะ” หันไปหยอกกับแฟนสาวของเพื่อนที่ยืนเหนีบมอยู่ไม่ห่าง คยูฮยอนคิดว่าเธอเหมาะกับทงเฮมากจริงๆ แต่ถ้าเธอได้แต่งกับชางมินคงจะเฉาตายไปเสียก่อนๆแน่ๆ


    “นายก็ด้วย ส่งข่าวบ้าง ไว้ถ้ามีงานจะโทรไปรบกวน”


    “ยินดีให้รบกวนเลย” เอื้อมมือไปตบที่บ่าชางมินอีกครั้ง คราวนี้คงเป็นครั้งสุดท้ายแล้วเลยถือโอกาสกระชับสายกระเป๋าแนบตัว “อย่าลืมส่งหนังสือตามมาให้ด้วยนะ”


    “เออ ซีวอนมันฝากมาบอกว่าให้เดินทางปลอดภัยด้วย มันอยากมาส่งแต่ติดประชุมอยู่ปูซาน”


    “อ่อ...”


    “ไปสนิทกันเมื่อไหร่วะ?” ทงเฮถามแทรกขึ้นมาด้วยสีหน้างุนงงสงัสย คยูฮยอนไม่ตอบ เขาโบกมือแล้วขอปลีกตัวเข้าไปด้านในเกท อ้างว่ากลัวจะไม่ทันแล้วจะได้ตกเครื่องขึ้นมาจริงๆ สองหน่อเลยไล่เขาเข้ามาข้างในแล้วทำเป็นลืมคำถามเมื่อครู่ไป


    คำว่าเดินทางปลอดภัยที่ชางมินบอกยังก้องอยู่ในหัว มันบ้ามากที่เขาจินตนาการได้ว่าชเวซีวอนจะพูดประโยคนั้นออกมาด้วยสีหน้าท่าทางแบบไหน แล้วก็ต้องยกมือเคาะกะโหลกตัวเองไปเสียทีเพราะดันคิดไปว่าคงเข้าท่าไม่น้อยหากอีกคนจูบหน้าผากเขาก่อนขึ้นเครื่อง


    คยูฮยอน! สติสิโว้ย!!





    กว่าหนังสือจะมาถึงห้องพัก มันกินเวลาเกือบสัปดาห์ เขานึกกร่นด่าชางมินในใจว่าทำไมอีกฝ่ายถึงไม่ยอมส่งเป็นพัสดุด่วนมาให้ รู้ทั้งรู้ว่าของพวกนี้มีมูลค่า ยอมจ่ายแพงสักหน่อยมันไม่ถึงกับล้มละลายหรอก


    การมาของหนังสือทำให้คยูฮยอนนึกขึ้นได้ว่าเขายังไม่ได้รื้อของอย่างอื่นออกมาจากกระเป๋าเลยนอกจากเสื้อผ้าที่ต้องซักมาใส่ ไหนๆวันนี้ก็เป็นวันหยุดแล้ว จึงถือโอกาสดึงกระเป๋าเดินทางที่ซุกไว้ใต้เตียงออกมาเทกองรวมกับบรรดาหนังสือที่เตรียมวางขึ้นหิ้ง


    นอกจากพวงกุญแจสองสามอันแล้วก็มีเสื้อกันหนาวที่ทงเฮซื้อให้เป็นของขวัญนี่แหละที่ดูจะถูกอกถูกใจอยู่บ้าง ส่วนพวกเครื่องสำอางค์บำรุงผิวหน้าที่ชางมินแนะนำนั้นมีเยอะแยะและฟังดูซับซ้อนเกินกว่าจะยอมให้ความพยายาม เขายอมเป็นสิวต่อไปดีกว่าต้องมานั่งไล่ว่าวันนี้ทาครีมครบตามตารางแล้วหรือยัง 


    นั่งรื้ออยู่ได้หลายชั่วโมง คยูฮยอนก็สะดุดตาเข้ากับห่อของขวัญประหลาดที่ใส่รวมอยู่กับถุงหนังสือ เท่าที่จำได้เขาไม่ได้ซื้อของขวัญมาฝากใครเลยสักคนแล้วเจ้านี่มันมาอยู่ในนี้ได้อย่างไร


    ห่อสีน้ำตาลถูกล้วงออกมาจากถุงพลาสติก ถูกพลิกวนจนครบทุกด้านเผื่อมันจะมีชื่อของใครสักคนหลงมา เขาลองเขย่าดูเผื่อข้งในจะบรรจุอะไรเอาไว้แล้วก็คาดการณ์ได้ว่ามันคงจะเป็นหนังสืออะไรสักอย่าง


    ความอยากรู้อยากเห็นทำให้เขาตัดสินใจแกะมันออกสำรวจดูอย่างเชื่องช้า บรรจงดึงสก็อตเทปที่แปะเอาไว้ออกทีละแผ่นกระทั่งหนังสือสอนภาษาเกาหลีเล่มใหญ่นั้นเป็นอิสระจากบรรจุภัณฑ์ ทันทีที่เห็นชื่อเรื่องที่ปรากฎอยู่ รอยยิ้มที่หายไปราวกับถูกทิ้งไว้บนแผ่นดินเกาหลีก็กลับมาอีกครั้ง


    คยูฮยอนตะกายขึ้นไปบนเตียงนอนเพื่อคว้าโทรศัพท์มือถือของตัวเองลงมาถ่ายภาพหนังสือเล่มดังกล่าว เขากดชัตเตอร์โดยไม่ได้ใส่ใจว่ามุมภาพใช้ได้หรือเปล่าแต่รีบสไลด์นิ้วไปที่กล่องข้อความ ตัดสินใจส่งมันให้กับคนที่เงียบหายไปนานจนไม่รู้ว่าถูกพายุที่ปูซานพัดหอบออกไปนอกชายฝั่งแล้วหรือยัง


    เขาว่ามันน่าอายที่พิมพ์ใต้ภาพไปแบบนั้น แต่ซีวอนมาทำให้คิดก่อนเอง


    kyuhyun sent a photo


    แล้ว... คุณครูอยู่ไหนล่ะครับ...





    ซีวอนหัวหมุนเหมือนน็อตโดนขัน ตั้งแต่วันที่เขาลางานพาคยูฮยอนไปเที่ยวแล้วโผล่หัวกลับเข้ามาที่บริษัทอีกครั้งก็แทบไม่มีเวลาได้ทำอะไรเลยสักอย่างนอกจากทำงาน กินข้าว และนอน พักหลังๆ นอน หายไปจากตารางชีวิตของเขาด้วยซ้ำ โดยเฉพาะก่อนหน้าที่จะต้องเดินทางไปนำเสนองานที่ปูซานแล้วใช้เวลาสองคืนเต็มๆเพื่อทำรายงานพร้อมสไลด์สำหรับนำเสนอ


    เขาอยากจะติดต่อคยูฮยอนใจจะขาด แต่ก็คิดไม่ออก (และไม่มีเวลาคิด) ว่าจะพิมพ์ข้อความแบบไหนส่งกลับไป แถมตัวเองยังทำบุ่มบ่ามไปจูบหน้าผากเขาหน้าตาเฉยจนอีกคนวิ่งพรวดออกไปจากรถโดยไม่บอกไม่กล่าว แล้วแบบนี้จะให้เขาตีความไปทางไหนกัน 


    บางทีคยูฮยอนอาจจะเหม็นขี้หน้า เหม็นขี้ฟันเขาไปหมดแล้วก็ได้


    แถมความตั้งใจว่าจะไปเคลียร์กับอีกคนถึงสนามบินยังล่มไม่เป็นท่าเพราะกลายเป็นว่าต้องอยู่ฟังสรุปการประชุมที่ปูซานต่อ เลยไม่ได้กลับขึ้นมาที่โซล ปัญญาตอนนั้นมีแค่ส่งข้อความผ่านไปทางชางมิน จะได้ดูไม่น่าเกลียดเกินไป อย่างน้อยก็ไมดูรุกแรงเหมือนบนรถคืนนั้น


    เขาปล่อยเรื่องนี้เป็นเรื่องหนักใจมาเป็นอาทิตย์ กระทั่งคืนนี้ หลังจากอาบน้ำเตรียมตัวจะเข้านอนเพื่อตื่นเช้า เดินทางไปยังสาขาลูกที่คังวอน จู่ๆโทรศัพท์ก็สั่นแรงสองครืด พร้อมกับหน้าจอสว่างวาบ ชื่อของคนที่กลับออสเตรียไปแล้วทำให้เขาถ่างตาฝ่าความง่วงงุนขึ้นมาตะครุบโทรศัพท์เครื่องบางของตัวเองทันที


    ...แล้ว... คุณครูอยู่ไหนล่ะครับ...


    ครั้งสุดท้ายที่เขายิ้มกว้างจนเอาเหงือกลงมาไม่ได้ก็ตอนที่เห็นพ่อกับแม่มางานจบการศึกษาทั้งที่บอกว่าตัวเองติดงานกันทั้งคู่ แต่ถ้านับจากเวลานี้ มันคงกลายเป็นตอนที่คยูฮยอนส่งข้อความมาถามหาคุณครูสอนภาษาเกาหลีเสียแล้วล่ะ เขายิ้มกว้างจนไม่รู้ว่าจะหุบลงมายังไง ขนาดเอามือตบแก้มตัวเองแล้ว ปากมันก็ยังจะคลี่ยิ้มออกมาจนได้


    ซีวอนไม่รอช้า รัวนิ้วใส่แป้นพิมพ์ตอบกลับไปบ้างทันที


    จะตั้งใจเรียนหรือเปล่าล่ะ


    ไม่นานเกินอึดใจ อีกฝ่ายก็ตอบกลับมาราวกับนั่งรออยู่หน้าจอเหมือนกับเขา


    ถ้ามีครูสอน ผมก็จะตั้งใจเรียนครับ


    ให้ตายสิ! มุมปากเขาจะแตะหูอยู่แล้ว ทำไมแม้แต่ตัวอักษร คยูฮยอนยังทำให้เขารู้สึกว่าเจ้าตัวน่ารักได้ขนาดนี้นะ


    คราวนี้นักธุรกิจหนุ่มจึงเอื้อมไปคว้าแว่นสายตามาสวมแล้วเซลฟี่แถมหน้าตัวเองติดไปด้วย


    คุณครูอยู่บนเตียง...


    siwon sent photo


    รู้สึกว่าข้อความมันแปลกๆ ค่อนข้างสองแง่สองง่าม แต่คยูฮยอนคงไม่ได้คิดอะไรล่ะมั้ง... เว้นเสียแต่ว่าแก้มกลมๆจะเห่อขึ้นเป็นสีชมพูโทนที่เขาชอบ ซึ่งถ้าเป็นอย่างนั้นก็คงโอเค






    ปล.


    ซีวอนยืนอยู่ที่สนามบินนานาชาติอินชอนพร้อมกับกระเป๋าเดินทางขนาดกลางหนึ่งใบ ด้านข้างเป็นเลขาสาวหน้าบู้ที่ไม่พอใจกับการเดินทางไกลกินระยะเวลาหนึ่งสัปดาห์ซึ่งทำให้เธอต้องรับหน้าที่หนักกว่าเดิมถึงสองเท่าแทนทีจะเป็นวันหยุดแสนหวาน


    “ส่งอันนี้ให้คุณปาร์ค แล้วก็แฟ็กซ์ชุดนี้ทั้งหมดให้มินเตอร์แดเนียล อ่อ... อย่าลืมเมลล์เอกสารประชุมมาให้ด้วยล่ะ”


    “ค่ะบอส” เธอขานรับเสียงเหนื่อย เหนื่อยทั้งงานที่ต้องเจอ เหนื่อยทั้งตอนนี้ที่เป็นเวลาตีสามแต่กลับต้องลุกจากเตียงมารับเอกสารจากบอสของเขาที่คราวนี้มาแปลก กว่าทุกครั้ง “จะว่าไปบอสก็เข้ากับสีชมพูเหมือนกันนะคะ” 


    “...หืม?” ซีวอนก้มลงมองเสื้อยืดไหมพรมโทนชมพูน้ำนมที่ตัวเองสวมอยู่ เขาได้มันมาเพราะคยูฮยอนเป็นคนช่วยเลือกให้ตอนถ่ายรูปส่งไปให้ดูเมื่ออาทิตย์ที่แล้ว เจ้านักร้องตาใสนั่นพนันว่าเขาไม่มีทางซื้อมาใส่แน่ๆหลังจากรู้ความจริงว่าเขาเอือมงานแต่งธีมบานเย็นของทงเฮมากแค่ไหน


    “หมายถึงบอสใส่ขึ้นน่ะค่ะ”


    “โอ้ ครั้งนี้ครั้งสุดท้ายแล้วล่ะ ฉันเกลียดสีชมพูจะตาย” ซีวอนว่า เงยหน้าขึ้นมองตารางไฟลท์บินขาออกที่แสดงอยู่บนหน้าจออันใหญ่ พอเห็นปลายทางเป็นเวียนนา ริมฝีปากก็ยกยิ้มขึ้นโดยอัตโนมัติ


    ฉุบคิดได้ว่า...


    “แต่จะว่าไป สีชมพูที่เวียนนาน่ะ เข้าท่าอยู่นะผมว่า” 


    FIN.



    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×