ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [PRODUCE101] MA BAE - YONGGUK & JINYOUNG

    ลำดับตอนที่ #16 : MABAE 15

    • อัปเดตล่าสุด 20 ส.ค. 60


         

    \important
     

     

           “วันนี้ไปแข่งกี่โมงนะ” แพจินยองหมุนตัวกลับมามองคนด้านหลังที่เดินตามมาติดๆ

            “บ่าย”

            “แล้วได้ขึ้นวงที่เท่าไหร่”

            “ปิดท้ายอ่ะ”

            “ทำไมต้องไปแข่งไกลด้วย ผมไปไม่ได้อ่ะ” คิมยงกุกยกยิ้มพลางลูบหัวเด็กตรงหน้า 

            “ต่อให้ไปได้ฉันก็ไม่ให้ไป”

            “ทำไมล่ะ”

            “เดี๋ยวมีคนจีบ” จินยองคว่ำปากใส่กะว่าจะแกล้งน้อยใจแต่ก็ต้องยิ้มออกมาเพราะทนสายตาที่กำลังจ้องเขาอยู่ไม่ได้

            “ไม่ต้องมายิ้ม ใส่รองเท้าคู่นั้นมาเปล่า” จินยองพูดพลางก้มลงมอง ยงกุกเห็นแบบนั้นก็ยกรองเท้าโชว์คนถาม “อายปะ”

            “อายอะไร”

            “ที่มีชื่อพี่กับผมอยู่ไง” ตัวหนังสือสีขาวบนรองเท้าสีดำเย็บด้วยเส้นด้ายอย่างประณีตอยู่บริเวณขอบรองเท้าทั้งสองด้าน ถ้าไม่สังเกตก็ดูไม่ค่อยออกว่ามันเขียนว่าอะไรเพื่อไม่ให้คนใส่รู้สึกอับอาย แต่จินยองตั้งใจทำแบบนี้เพราะอยากให้อีกฝ่ายมีของใช้อะไรที่เกิดจากฝีมือเขาถึงจะดูไม่คูลแต่ยงกุกก็ไม่ได้ปฏิเสธอะไร ที่สำคัญเขาไม่ได้ทำให้อีกฝ่ายแค่คนเดียว ต่างกันตรงที่ว่าของจินยองเป็นรองเท้าสีขาวกับตัวหนังสือสีเขียวอ่อนออกแนวพาสเทลเป็นสีที่ยงกุกชอบ

            “นายก็ใส่ ไม่เห็นต้องอายเลย”

            “อย่างน้อยตัวผมไม่ไปรองเท้าก็ไป” จินยองทำหน้างอแงใส่ 

            “ไป เข้าไปเรียนได้แล้ว”

            “รายงานผมตลอดเลยนะ ว่าอยู่ไหนทำอะไรอยู่”

            “รู้แล้วครับเมเนเจอร์” ยงกุกเอื้อมมือยีหัวเด็กตรงหน้าด้วยความหมั่นเขี้ยวก่อนจะพยายามดันหลังให้เดินเข้าไปในโรงเรียนเพราะจินยองมัวแต่ตั้งคำถามใส่เขาบ้างก็กำชับให้ทำนู่นทำนี่จนกว่าจะได้ฤกษ์บอกลากันก็เกือบห้านาที วันนี้คิมยงกุกมีแข่งวงดนตรีที่ต่างจังหวัดแต่จินยองกลับไปไม่ได้จะโดดก็คงยากเพราะมีสอบสนทนาเลยต้องยอมปล่อยให้ยงกุกไปคนเดียว

     

    ____________
     

     

            สายตาจับจ้องแทบจะทุกการกระทำของเพื่อนคนสนิท อีแดฮวีค่อยๆยกน้ำขึ้นมาดื่มเมื่อรู้สึกอึดอัดกับสายตาของจินยอง เขาไม่รู้ว่าทำไมอีกฝ่ายถึงเอาแต่นั่งมองหน้าเขาขนาดนั้น

            “มองอะไรอยู่ได้”

            “มองคนมีความลับ”

            “ความลับอะไร ฉันไม่มีความลับอะไรกับนายสักหน่อย” แดฮวีปฏิเสธด้วยสีหน้าจริงจังแต่มันกลับดูมีพิรุธสำหรับจินยอง

            “เรื่องพี่ดงโฮ” คนโดนถามยกมือขึ้นเกาหัวตัวเองเพื่อไม่ให้ผิดวิสัย พยายามทำตัวให้ปกติที่สุดแต่ดูเหมือนยิ่งแย่ลง “ไม่ต้องหูทวนลม เล่ามาเลย”

            “เล่าไรอ่ะ”

            “เรื่องนายกับพี่ดงโฮไง”

            “แล้วรู้มาจากไหน”

            “สำคัญด้วยเหรอ” 

            “พี่ยงกุกแน่เลย ใช่ไหม!”

            “อย่าขึ่นเสียงนะ”

            “ปกป้องใหญ่เลยนะเดี๋ยวนี้อ่ะ” แดฮวีเบ้ปากใส่คนตรงหน้า แค่นึกถึงหน้าคิมยงกุกก็รู้สึกหมั่นไส้ขึ้นมาแล้ว

            “ไม่ได้ปกป้องสักหน่อย ฉันรู้แค่ว่านายคุยกับพี่ยงกุกด้วย”

            “ไม่ได้คุยแบบนั้นนะ อย่าเข้าใจผิด” แดฮวีรีบปฏิเสธกลัวว่าจินยองจะรู้สึกไม่ดี

            “รู้แล้ว ไม่ได้ติดใจเรื่องนั้นสักหน่อย” จินยองหรี่ตามองแดฮวีที่พยายามหลบสายตาเขาอยู่ “ตกลงคบกับพี่ดงโฮเหรอ”

            “ยังไม่ได้คบไหมละ!” 

            “ยังไม่ได้คบ?”

            “…”

            “แปลว่าในอนาคตไม่แน่อะสิ.. แดฮวี!!” อยู่ๆจินยองก็เสียงดีงขึ้นมาแถมยังทำท่างทางเหมือนคนถูกหวย 

            “ต้องตื่นเต้นขนาดนั้นเลยเหรอ”

            “ก็ฉันชอบอ่ะ ฉันอยากให้พี่ดงโฮจีบนายมานานแล้ว”

            “บ้าเปล่าเนี่ย”

            “ผิดอ๋อ แค่อยากให้พี่ชายเจอคนที่ฉันรักเหมือนกันหนิ ถ้ารู้ว่าเป็นนายฉันโคตรสบายใจ” จินยองดูมีความสุขมากในขณะพูดเขาก็ยิ้มไม่ยอมหุบ จะมีก็แต่แดฮวีที่ยังคงนั่งเผลอคิดอะไรเรื่อยเปื่อย มันจะดีหรอหากว่าเขากับดงโฮคบกัน..

            

            คลืดดดด ~

     

            เสียงโทรศัพท์ของคนขี้จับผิดดังแทรกบทสนทนาของเขาสองคนดูเหมือนเป็นการช่วยชีวิตอีแดฮวีจากสถานการณ์กดดัน แพจินยองละสายตาจากผู้ต้องหาอย่างเสียไม่ได้แล้วยิ่งเห็นว่าคนที่โทรมาเป็นใครยิ่งลืมไปเลยว่าเขากำลังสืบสวนอะไรอยู่

            “พี่ยงกุกกกก”

            ‘จะโทรมาบอกว่าใกล้ถึงแล้ว’

            “ยังอยู่บนรถเหรอ แล้วแวะกินไรยัง”

            ‘อื้อ เดี๋ยวเขาจอดให้พักว่าจะลงไปหาไรกิน’ จินยองนั่งยิ้มชอบใจราวกับว่าอีกคนกำลังพูดจาหวานใส่เขาอยู่ทั้งๆที่มันเป็นแค่บทสนทนาปกติ เขาคิดถึงคนปลายสาย อยากจะกอด อยากจะหอมแก้มเหมือนที่เขาทำเวลาอยู่ด้วยกัน แค่คิดก็คิดถึงอีกแล้ว..

            “กินเยอะๆนะครับ”

            ‘อื้อ เดี๋ยวถ่า.. / ไอ้เหี้ยย!!’ 

     

            ปึก!

     

            “ฮัลโหล.. พี่ยงกุก” เสียงปลายสายเงียบไปหลังจากได้ยินเสียงใครสักคนตรงนั้นตะโกนแทรกเข้ามา เขารับรู้ได้ถึงความผิดปกติตั้งแต่ได้ยินเหมือนเสียงโทรศัพท์ตก แพจินยองกำโทรศัพท์มือถือแน่นสายตาทอดตรงไปยังภาพด้านหน้าแต่ไร้ซึ่งจุดโฟกัส หัวใจเต้นแรงจนเลือดในร่างกายมันสูบฉีดร้อนวูบวาบไปหมด เมื่อกี้เกิดอะไรขึ้น

            “จินยองเป็นอะไร” แดฮวีที่นั่งมองอยู่ใกล้ๆเอื้อมมือแตะแขนของเพื่อนตัวเองแต่จินยองก็ไม่ขยับตัวใดๆทั้งสิ้น “จินยองตอบดิ่”

            “แดฮวี.. อยู่ๆสายก็ตัดอ่ะ ฮึก.. เสียงดังมากเลยเมื่อกี้ แด อึ.. แดฮวี” ดวงตาร้อนผ่าวเริ่มแดงก่ำขณะที่เขาหันมองหน้าเพื่อนที่นั่งอยู่ด้านข้าง อีแดฮวีเริ่มใจเสียไปตามๆกันซึ่งเขาก็ไม่อยากคิดอะไรให้มันมากไปกว่านี้

            “ไม่มีอะไรหรอกมั้ง พี่ยงกุกอาจจะกดผิด”

            “มันเสียงเหมือน.. เหมือนรถชนกับอะไรสักอย่าง ฮือออ แดฮวีช่วยด้วยย ฉันไม่อยากคิดให้มันเป็นแบบนั้น” มือเล็กสั่นเทาพยายามที่กดโทรหาอีกคนอยู่หลายครั้งแต่ยังไร้ซึ่งเสียงตอบรับ ทุกอย่างในหัวมันขาวโพลนไปหมดขนาดแดฮวีดึงหัวไปกอดเขายังไม่รู้ตัวเลย

     

            “รายงานผมตลอดเลยนะ ว่าอยู่ไหนทำอะไรอยู่”

            “รู้แล้วครับเมเนเจอร์”

     

            รอยยิ้มกับมืออุ่นๆที่สัมผัสที่หัวของเขาก่อนหน้านี้มันกำลังทำให้หัวใจจินยองบีบรัดตัวแน่นจนแทบหายใจไม่ออก มือเล็กยกขึ้นสัมผัสที่หัวของตัวเองหวังว่าจะมีมือของอีกคนวางอยู่ หวังว่าเขาจะไม่เป็นอะไร ทุกอย่างมันต้องไม่มีอะไร บอกทีว่าเขาคิดมากไปเอง บอกผมทีพี่ยงกุก..

           
     

      ____________

     

            ตลอดเวลาคาบเรียนช่วงท้ายทั้งจินยองและแดฮวีไม่มีสมาธิในการเรียนเลย แค่เพื่อนพูดทำความเคารพจินยองยังไม่แม้แต่จะได้ยินจนแดฮวีต้องคอยสะกิดแขนตลอดเวลา อย่าว่าแต่จินยองเลยเด็กตัวเล็กกว่าที่นั่งอยู่ข้างๆก็ใช่ว่าจะไม่กังวล ในหัวเขามีแต่คังแดเนียลลอยเต็มไปหมด ไหนจะพี่เซอุน พี่แจฮวาน

            “แดฮวี แกลองโทรหาพี่แดนอีกทีได้ไหม” จินยองที่ยังคงเปิดหนังสือเรียนของคาบก่อนหน้านี้อยู่หันมาย้ำกับเพื่อนอีกรอบ

            “แกคุณครูไม่ให้ใช้โทรศัพท์อ่ะ ฉันเคยโดนเรื่องนี้ไปแล้วรอบนึง” แดฮวีทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ซึ่งจินยองก็ไม่ได้เซ้าซี้หรือหงุดหงิดอะไร “เรารอเรียนเสร็จแล้วค่อยโทรหากันนะ ฉันว่าพวกพี่เขาไม่เป็นอะไรหรอก”

            “…”

            “เราต้องคิดแง่บวกเอาไว้นะเว้ย”

            “อื้อ มันไม่มีอะไรหรอก” ถึงจะพูดไปแบบนั้นแต่ในใจทั้งสองคนก็ร้อนรุ่มไม่แพ้กัน


     

            จินยองยังคงนั่งนิ่งอยู่ที่เดิมถึงแม้ว่าจะหมดคาบแล้ว แดฮวีที่พยายามเก็บของบนโต๊ะเพื่อไม่ให้ตัวเองคิดอะไรหันมาเห็นสภาพของเพื่อนตัวเองก็รู้สึกกลับมาโหวงเหวงเหมือนเดิม

            “ตอนนี้เราจับโทรศัพท์ได้แล้วใช่ไหม” จินยองพูดออกมาด้วยแววตาเหม่อลอย

            “อื้อ เดี๋ยวฉันจะโทรตอนนี้เลย…” ทั้งสองคนเงียบพอได้ยินเสียงโทรศัพท์ของจินยอง เขาก้มมองโทรศัพท์ตัวเองที่ถืออยู่ในมือพอเห็นว่าเป็นเบอร์แปลกตอนแรกก็ไม่อยากรับแต่มาคิดดูอีกทีอาจจะเป็นเบอร์ของใครติดต่อมาเรื่องคนที่เขากำลังรอข่าวอยู่หรือเปล่า “รับสิ” เจ้าของโทรศัพท์เงียบไปแปบนึงก่อนจะตัดสินใจกดรับเบอร์แปลก

            “ฮัลโหล”

            ‘จินยอง’

            “…”

            ‘ฮัลโหล ใช่จินยองเปล่า’ คนปลายสายพูดย้ำเมื่อเห็นว่าเจ้าของไม่ยอมตอบกลับด้วยความไม่แน่ใจ

            “ชะ ใช่ครับ พี่ยงกุกเหรอ” แดฮวีได้ยินแบบนั้นกระชับขาของเพื่อนเอาไว้แน่น

            ‘เออ ฉันเอง’

            “พี่ยงกุก!! ทำไมเพิ่งโทรมา ทำไมนิสัยแบบนี้ TOT”

            ‘ก็ตอนแรกมันวุ่น…’

            “ผมตกใจหมดเลย มันเกิดอะไรขึ้นอ่ะ ฮือออ” จินยองแทบไม่ได้ฟังสิ่งที่ยงกุกพยายามจะอธิบาย สมองเขาตอนนี้สั่งการให้เขาพ่นคำดุคำด่าอย่างเดียว ถ้าอยู่ใกล้ๆก็คงฟาดกระหน่ำไปแล้ว

            ‘ฟังก่อนดิ่’

            “ฮืออ ผมโกรธพี่มากเลย มันแย่มากๆเลยรู้ไหมครับ ฮึก..” จินยองรีบใช้หลังมือปาดน้ำตาตัวเองเพราะกลัวว่าเพื่อนคนอื่นที่ยังอยู่ในห้องจะหันมามอง แต่เขาหนีไม่พ้นสายตาของแดฮวีที่ตอนนี้ก็แดงก่ำไม่แพ้กัน

            ‘ขอโทษ โทรศัพท์มันพัง’

            “เกิดอะไรขึ้น ทำไมอยู่ๆสายก็ตัด”

            ‘รถมันเสียหลักชนกับข้างถนนนิดหน่อย ถนนแม่งลื่น’ ดูเหมือนยิ่งฟังคำอธิบายของอีกฝ่ายก็ยิ่งทำให้คนฟังรู้สึกเป็นห่วงเข้าไปใหญ่ 

            “รถชนเหรอ? แล้วเป็นอะไรมากไหม พี่ๆคนอื่นล่ะ” จินยองเห็นสีหน้าของแดฮวีที่อยากรู้เรื่องนี้ก็เลยถามถึงสมาชิกคนอื่นพลางกดเปิดลำโพง

            ‘คนอื่นสบายดี ถลอกกันนิดหน่อย ไอ้เนียลข้อมือเคล็ดไม่รู้แม่งจะตีกลองได้เปล่า’

            “แล้วไปหาหมอมายัง?” เป็นแดฮวีที่ถาม สีหน้าดูเป็นห่วงสุดๆ

            ‘ยัง นี่เพิ่งถึงสถานที่แข่ง คงทำหน้าที่ตรงนี้ให้เสร็จก่อนแล้วค่อยว่ากัน’

            “ยังห่วงเรื่องแข่งกันอีกเหรอ ทำไมไม่ไปให้หมอเช็คก่อน” อยู่ๆเขาก็รู้สึกโกรธขึ้นมา จินยองกำมือตัวแน่นเมื่อรู้สึกทำอะไรไม่ได้

            ‘โห แม่งซ้อมกันมาตั้งหลายวันถ้าไม่ขึ้นก็จะเชี้ยมากนะ’

            “…”

            ‘เออ พวกฉันไม่เป็นอะไรจริงๆ ไม่ต้องเป็นห่วง’

            “จริงๆนะ..” เสียงสั่นเทาทำให้ยงกุกรู้สึกผิดขึ้นมาทันที อยากจะดึงคนปลายสายมากอดก็ทำไม่ได้

            ‘อื้อ แล้วนี่เบอร์โทรศัพท์ไอ้แดนนะ ของฉันท่าทางจะยังใช้ไม่ได้’ 

            “แล้วผมจะติดต่อพี่ยังไง อยู่ตรงไหนแล้ว ทำอะไรอยู่ ผมจะรู้ได้ยังไง” จินยองกลับมางอแงอีกครั้งพอรู้ว่าจะต้องขาดการติดต่อกับอีกคน

            ‘เครื่องไอ้แดนไง มันไม่หวงหรอก’

            “ผมขอได้ยินเสียงพี่แดนหน่อยได้ไหม” แดฮวีชะโงกหน้าเข้าไปใกล้ลำโพง ยงกุกได้ยินแบบนั้นก็ตะโกนเรียนเพื่อนตัวเองให้ส่งเสียงขึ้นมา แดฮวีได้ยินแค่นั้นก็เผลอเบะปากลงเมื่อรู้สึกอุ่นใจที่ยังได้ยินเสียงของอีกฝ่าย ไม่ว่าจะเป็นเสียงของพี่เซอุนหรือพี่แจฮวานตอนนี้ก็ฟังดูน่าฟังไปเสียหมด

            ‘เดี๋ยวฉันต้องไปเตรียมขึ้นแสดงแล้วนะ’

            “จะไปแล้วเหรอ”

            ‘อื้อ เสร็จแล้วจะโทรหา’

            “อย่าทำให้ผมต้องเป็นห่วงอีกนะ :(“

            ‘เออ ไม่มีอะไรแล้ว ตอนนี้แค่พูดว่า สู้ๆ กับฉันก็พอ’

            “พี่ยงกุก”

            ‘ว่า’

            “สู้ๆนะครับ” ใบหน้าเรียบเฉยยกยิ้มขึ้นเมื่อได้ยินเสียงงอแงของคนปลายสาย “รีบกลับมาหาผมด้วยนะ”

            ‘รู้แล้ว’

            “สัญญาก่อนว่าจะไม่เจ็บตัวอีก”

            ‘เดินชนโต๊ะก็ห้ามเหรอ’

            “ห้ามหมดแหละ อะไรที่มันทำให้พี่เจ็บตัว เลิกทำให้ตัวเองเจ็บตัวสักที ผมไม่ชอบ” พูดจบจินยองก็เบะปากลงเมื่อรู้สึกกลัวกับเหตุการณ์ที่เพิ่งผ่านมาจนไม่อยากได้ยินอะไรที่ทำให้ยงกุกเจ็บตัวอีก แต่คนเดินชนอีกฝ่ายเขายังไม่อยากจะนึกถึง รู้สึกอ่อนไหวไปหมด

            ‘เข้าใจแล้ว เดี๋ยวจะรีบกลับไปกอดให้หายเป็นห่วง’’ จินยองได้ยินแบบนั้นก็เหลือบมองแดฮวีเล็กน้อยก่อนจะปิดลำโพงแล้วยกโทรศัพท์ขึ้นมาแนบหู

            “ผมรักพี่นะ” เด็กตัวเล็กที่นั่งอยู่ข้างๆแอบได้ยินถึงกับคว่ำปากลงด้วยความหมั่นไส้

            ‘เหมือนกัน เดี๋ยวฉันโทรหานะ’

            “อื้อ บั้ยบาย”

            ‘รักมากนะเว้ย’ ยงกุกย้ำความรู้สึกของตัวเองให้อีกคนฟัง ‘แค่นี้นะ’ เป็นคำพูดปิดท้ายที่ทำให้จินยองรู้สึกโล่งใจจนอยากจะตะโกนออกมาดังๆแต่ก็คงทำไม่ได้เลยได้แต่นั่งยิ้ม

            “แดฮวี”

            “อะไร”

            “ฉันไม่เคยรักใครขนาดนี้มาก่อนเลยอ่ะ แค่เรื่องเมื่อกี้ยังรู้สึกเหมือนจะตายแล้วถ้าเกิดอะไรขึ้นมาจริงๆ.. ฉันต้องดิ้นตายแน่ๆ”

            “นี่แหละความรัก เป็นแงะ ฟังดูน้ำเน่าไหม”

            “ไม่ ฉันเพิ่งรู้ว่ารักพี่ยงกุกมากก็เมื่อกี้แหละ.. ฉันไม่อยากเสียพี่ยงกุกไปเลย แค่คิดก็เจ็บปวดแล้ว” 

            “อันนี้เริ่มน้ำเน่าละ”

            “ฉันพูดจริงๆนะ T^T” แดฮวีมองสีหน้าโหยหายของเพื่อนตัวเองก็อดยิ้มไม่ได้ แต่เขาก็ไม่เถียงเพราะมันเป็นส่วนหนึ่งของความรักจริงๆนั่นแหละ การที่เรารักใครสักคนมันไม่ง่ายเลยที่จะไม่รู้สึกอะไรหากว่าอีกฝ่ายเจอเรื่องแย่ๆ เขาแย่เราก็แย่ เขาเจ็บเราก็เจ็บ เขามีความสุขเราก็ยิ้ม มันเหมือนครึ่งหนึ่งของเราได้แบ่งกันใช้กับอีกคนไปแล้ว บางอย่างบางเหตุการณ์อาจจะยิ่งย้ำเตือนความสัมพันธ์ของเรา บางคนอาจจะไม่รู้ตัวว่ารักเขามากแค่ไหน ทุกวินาทีคือบททดสอบ เพราะฉะนั้นคงจะดีกว่าหากเราทำดีต่อกันเอาไว้ ถ้าทะเลาะกันก็ไม่ควรปล่อยให้มันยืดเยื้อ ถ้ามีอะไรผิดพลาดขึ้นมามันอาจจะแก้ไขอะไรไม่ได้แล้ว

     

    ____________

     

            ตลอดทั้งวันแพจินยองแทบจะไม่ได้กินอะไรเลย อันที่จริงเขากินขนมปังรสช็อกโกแลตไปแค่ก้อนเดียวเอง กลับมาถึงบ้านก็ไม่ยอมลงมากินข้าวเอาแต่นั่งจ้องโทรศัพท์มือถือของตัวเอง จะกดโทรไปหาเบอร์เมื่อตอนกลางวันก็เกรงว่าอีกฝ่ายจะไม่รับเพราะกำลังขึ้นแข่งอยู่หรือเปล่า กลัวคิดไปต่างๆนาๆเลยเลือกที่จะนั่งรอดีกว่า

            “ยังไม่นอนอีกเหรอ” จินยองหันมองคนที่เปิดประตูเข้ามาพอเห็นว่าเป็นพี่ชายตัวเองก็อดทำหน้างอใส่ไม่ได้ “รอมันโทรมาอยู่สินะ” 

            “นี่ก็สี่ทุ่มแล้วยังไม่โทรมาเลยอะพี่ดงโฮ” เจ้าของชื่อวางมือลงบนหัวของน้องชายตัวเอง เขารู้เรื่องอุบัติเหตุทั้งหมดเพราะจินยองกลับมาถึงบ้านก็วิ่งถลาเข้ามาหาพลางร้องไห้ยกใหญ่ ขนาดฝ่ายนั้นไม่เป็นอะไรแล้วก็ยังรู้สึกใจหาย

            “มันอาจจะกำลังกลับแล้วหลับเปล่า เหนื่อยไง พักผ่อน คิดมากมึงอ่ะ”

            “แต่จะไม่โทรมาบอกก่อนเลยเหรอ”

            “ก็มีงบอกเองโทรศัพท์มันพัง” จินยองเบะปากลงคว่ำหน้าลงกับเตียงด้วยความหงุดหงิด

            “ผมอยากคุยกับพี่ยงกุกอ่าาา ฮือออ”

            “เป็นเด็กงอแงตั้งแต่เมื่อไหร่วะ”

            “จริงๆผมเข้มแข็งมากนะ :(“

            “ไหนความเข้มแข็งของมึง ขี้โม้”

     

            คลืดดดด ~

     

            จินยองรีบคว้าโทรศัพท์ที่วางอยู่บนเตียงมากดรับทั้งๆที่ไม่ได้ดูหน้าจอด้วยซ้ำว่าใครโทรมา

            “ฮัลโหลพี่ยงกุก”

            ‘ฉันแดเนียล เสียใจด้วย’ จินยองขมวดคิ้วเข้าหากันพลางถอนหายใจจนคนฟังหลุดยิ้มออกมากับท่าทางของคนปลายสาย ‘เสียใจขนาดนั้นเลย’

            “ก็ผมเป็นห่วงพี่ยงกุกหนิ”

            ‘ไม่ต้องห่วง มันอยู่ในมือหมอแล้ว’

            “หมายความว่าไงครับ” จินยองดีดตัวเองลุกขึ้นมานั่งด้วยสีหน้าตื่นตกใจโดยมีดงโฮยืนมองอยู่ใกล้ๆ

            ‘พวกฉันถึงบ้านกันสักพักแล้วแต่ไอ้ยงกุกมันเจ็บสะโพกขึ้นมาก็เลยพาไปหาหมอ หมอเลยบอกว่ามันมีปัญหาตรงสะโพกนิดหน่อยเลยอยากให้นอนโรงพยาบาลสักคืน’ สิ้นคำอธิบายของคนปลายสายจินยองก็ปล่อยโฮออกมาจนดงโฮตกใจ ได้แต่ยืนมองน้องชายตัวเองด้วยสีหน้าไปไม่เป็น

            “ฮืออออ พี่แดน แล้วอยู่โรงพยาบาลอะไร” 

            ‘จะไปเหรอ’

            “อื้อ อยากไปหาพี่ยงกุก”

            ‘แต่จริงๆมันบอกไม่ให้บอกนายนะเนี่ย เพราะมันรู้ว่ายังไงนายก็ต้องงอแงจะไป’

            “ทำไมเหรอ พี่ยงกุกไม่อยากให้ผมไปหาเหรอ ฮึก..”

            ‘มันดึกแล้วตั้งหาก มันเป็นห่วง’ จินยองยกมือขึ้นปาดน้ำตาที่ไหลไม่หยุดจนดงโฮทนไม่ได้รีบคว้าโทรศัพท์จากมือของน้องชายตัวเองไปคุย

            “นี่กูพี่จินยองนะ ตกลงชื่อโรงพยาบาลอะไรเดี๋ยวกูไปส่งน้องกูเอง” จินยองแปลกใจเล็กน้อยที่ดงโฮพูดแบบนั้น เขาไม่ค่อยเคยเห็นท่าทางของดงโฮแบบนี้สักเท่าไหร่ “โอเค เดี๋ยวกูพาน้องไปเอง” คังดงโฮพูดจบประโยคก็ยื่นโทรศัพท์คืนเจ้าของ

            “พี่จะพาผมไปจริงๆเหรอ”

            “กูอยากเอากระจกมาตั้งตรงหน้ามึงจริงๆจะได้เห็นสภาพ”

            “T^T”

            “อย่าให้แม่เห็นเด็ดขาด มึงรีบวิ่งไปรอที่รถเลยเดี๋ยวกูตามไป”

            “อื้ออ” 

     

    ____________

     

            เด็กวัยมอปลายผู้ซึ่งไม่เคยคิดเลยว่าสักวันเขาจะต้องมายืนอยู่ตรงหน้าห้องผู้ป่วย แอบมองคนที่เขาแคร์มากที่สุดนอนอยู่บนเตียงสีขาวตรงหน้า แพจินยองยืนมองคิมยงกุกผ่านกระจกสี่เหลี่ยมเล็กๆตรงประตูไม่กล้าเปิดเข้าไปถึงแม้ว่าคนข้างในยังไม่ได้หลับอยู่ก็ตาม 

            “ทำไมไม่เข้าไปสักที” คังดงโฮที่เดินตามมาทักขึ้นเมื่อเห็นน้องชายตัวเองเอาแต่ยืนมองประตูอยู่

            “ผมกลัวอ่ะ”

            “กลัวอะไร มันยังไม่ตายสักหน่อย”

            “ตบปากตัวเองเดี๋ยวนี้!” จินยองหันไปแผดเสียงใส่พี่ชายด้วยสีหน้าโมโหแต่ก็อย่างว่าใครๆเห็นก็เหมือนเด็กงอแงเท่านั้น

            “เออ กูพูดเล่น เข้าไปสักทีเดี๋ยวกูนั่งรออยู่ข้างนอก”

            “แล้วไม่เข้าไปด้วยกันเหรอ”

            “มึงเข้าไปก่อนเลย” ดงโฮพยักพเยิดหน้าให้อีกเดินเข้าไปในห้อง จินยองสูดลมหายใจเข้าก่อนจะค่อยๆดันประตูเข้าไป เขาค่อยๆบีบตัวเองให้เล็กที่สุดเพื่อที่จะสอดตัวผ่านช่องประตูเล็กๆทั้งๆที่จะเปิดให้กว้างก็ทำได้แต่เขากลับไม่ทำมันเลยดูผิดปกติจนคนที่นอนอยู่บนเตียงหันไปมอง

            “จินยอง..” คิมยงกุกรีบดันตัวเองลุกขึ้นนั่งด้วยความตกใจจนลืมไปเลยว่าตัวเองมีอาการเจ็บบริเวณสะโพก ใบหน้าเจ็บปวดเผลอแสดงออกมาจนคนเห็นยืนเบะปากลงเมื่อรู้สึกใจหายก่อนจะรีบวิ่งไปยืนอยู่ข้างๆเตียง

            “อย่าขยับตัว! มันก็เจ็บสิครับ” สายตาสำรวจไปทั่วร่างกายคนตรงหน้าก็พบรอยฟกช้ำบ้างตามแขนยิ่งทำให้รู้สึกบีบหัวใจเข้าไปใหญ่ อยากจะถลาเข้ากอดแต่ก็กลัวอีกคนจะเจ็บ อยากจะดุว่าด้วยความเป็นห่วงปากก็ไม่ยอมเปล่งเสียงออกมา

            “ทำไมต้องขึ้นเสียงด้วย”

            “ก็ผมโกรธอ่ะ”

            “โกรธอะไร”

            “ทำไมต้องเจ็บตัวกลับมาด้วย.. ฮือออ” จินยองทำท่าจะทุบลงที่อกของคนตรงหน้าแต่ก็ต้องยั้งเอาไว้แล้วเปลี่ยนเป็นขยำเสื้อของอีกคนแทน “ดูสิ อยากจะทุบยังไม่กล้าเลย มันอึดอัดนะรู้ไหม!”

            “ก็ทุบสิ ใครห้ามไว้” คิมยงกุกจับมือเล็กที่ยังคงขยำคอเสื้อของตัวเองอยู่พลางอมยิ้มกับท่าทางเป็นเดือดเป็นร้อนของจินยอง

            “ผมห้ามไว้เองแหละ ทำไมจะต้องทำคนที่เจ็บอยู่ด้วย”

            “ก็นายโกรธฉันอยู่ไม่ใช่เหรอ”

            “โกรธมากด้วย”

            “ก็ยอมให้ทำโทษนี่ไง”

            “…”

            “ข้อหาที่ฉันทำตัวเองเจ็บตัว ทำโทรศัพท์พังจนติดต่อนายไม่ได้แล้วยังมานอนโรงพยาบาลให้นายเป็นห่วงอีก” เขาจ้องหน้าเด็กที่ยืนทำหน้างออยู่ข้างๆ “สามข้อหาเลย ให้ทุบสามที”

            “ไม่เอาหรอก บ้าเปล่า” ยงกุกหลุดขำออกมาก่อนจะดึงหัวอีกคนมาหอมแต่แล้วเขาก็ต้องผลักออกเมื่ออยู่ๆก็มีชายตัวโตเดินเข้ามาในห้องสายตาก็มองมาที่เขาสองคน

            “อื้ออ! เจ็บนะ ผลักออกทำไมเนี่ย” จินยองทุบที่ไหล่ของยงกุกด้วยความโมโหที่โดนอีกคนผลักหัวเมื่อกี้

            “กูจะเข้ามาดูว่ามึงเป็นไง” ถึงปากจะพูดแบบนั้นแต่ก็มองหน้าคนบนเตียงปานจะสูบเลือดสูบเนื้อ “สงสัยจะเข้ามาผิดเวลา”

            “ผมไม่เป็นอะไร”

            “งั้นกูก็พาน้องกูกลับได้แล้วดิ่”

            “ใครบอกจะกลับ?” จินยองรีบพูดค้านขึ้นมาพลางจับขอบเตียงแน่น “ผมจะนอนนี่อ่ะ”

            “ใครบอกจะให้มึงอยู่”

            “ผมไง ผมพูดอยู่ พี่แบคอยากกลับก็กลับไปสิ” เถียงปากยื่นปากยาวจนดงโฮอยากจะเดินไปหยิกปากเสียเหลือเกิน

            “นี่กูอุตส่าห์พามึงมานะ”

            “อันนั้นผมซึ้งใจมากแต่จะซึ้งใจมากขึ้นถ้าพี่ยอมให้ผมอยู่ นะ นะพี่ดงโฮให้จินยองอยู่นะ” ขาทั้งสองข้างขยับเล็กน้อยแสดงความเอาแต่ใจ ยงกุกได้แต่นั่งมองทั้งคู่สลับกันไปมา มันคงจะดีหากว่าเขาเลือกที่จะเงียบ

            “แล้วกูจะบอกแม่ยังไง”

            “ก็บอกว่าผมไปนอนกับแดฮวีสิ” อีกคนได้ยินชื่อบุคคลที่สี่ก็แอบกริบเล็กน้อย “ผมรู้ว่าพี่คุยกับแม่ได้”

            “แปรงสีฟันมึงก็ไม่มี เดี๋ยวปากเหม็นมันไม่จูบมึงนะเว้ย” จินยองเหลือบมองยงกุกที่นอนทำหน้าว่างเปล่าอยู่ คนโดนจับตามองเหมือนจะเพิ่งรู้สึกตัวว่ากำลังโดนจ้องเลยมองกลับก่อนจะพยักหน้าครั้งนึง

            “จูบดิ พี่ยอมให้ผมจูบน้องพี่ด้วยเหรอ”

            “ไอ้สัด กูรู้ว่ามึงคงไม่ปล่อยน้องกูไว้หรอก หน้าอย่างมึงเหรอจะไม่ทำอะไร” ดงโฮดูขัดใจเล็กน้อยที่ยงกุกไม่สนับสนุนคำพูดเขาแล้วยิ่งเห็นสีหน้าไม่ทุกข์ร้อนก็อดที่จะทำปากมุบมิบด่าใส่เงียบๆไม่ได้ รอยยิ้มกรุ้มกริ่มของยงกุกนอกจากจะทำให้ดงโฮหัวเสียแล้วยังทำให้จินยองเขินจนหน้าร้อนไปหมด

            “พูดเลอะเทอะกันจัง! ข้างล่างก็มีร้านสะดวกซื้อไหมละ ผมลงไปซื้อแปรงสีฟันที่นั่นก็ได้เถอะ” 

            “นี่มึงจะนอนจริง?”

            “ผมไม่เคยขออะไรพี่เลยนะ”

            “เคยไอ้ห่า เยอะด้วยมึงอ่ะ” จินยองยืนหน้างอทันทีพอพี่สวนกลับ “งั้นมึงรออยู่นี่แหละ เดี๋ยวกูลงไปซื้อมาให้” รอยยิ้มดีใจปรากฎขึ้นบนใบหน้าเล็กนั่น

            “พี่ดงโฮ..”

            “ไม่ต้องมาขอบคุณกู”

            “เปล่า จินยองอยากกินขนมด้วย”

            “…”

     

     

            สายตาอ่อนโยนแบบที่ไม่เคยทำมาก่อนของคิมยงกุกกำลังจ้องมองเด็กตัวเล็กที่เดินทำนู่นทำนี่อยู่ในห้องสี่เหลี่ยมของโรงพยาบาลที่แสนจะน่าเบื่อแต่สำหรับจินยองกลับรู้สึกชื่นช่ำใจที่ได้อยู่กับยงกุกสองคนในห้องแคบๆแบบนี้

            “ไม่เมื่อยเหรอไง เดินอยู่ได้”

            “รำคาญเหรอ”

            “นิดหน่อย” จินยองทำหน้าเกรี้ยวกราดใส่คนพูดแต่ภายในใจก็แอบเสียใจเล็กน้อยที่ได้ยินประโยคนั้น ยงกุกเห็นว่าคนตรงหน้ากำลังงอนได้ที่ก็เลยยิ้มออกมา “ฉันพูดเล่น”

            “ผมจะเรียกให้พี่ดงโฮมารับตอนนี้เลยก็ได้นะ”

            “อยากกลับจริงอ่ะ?” จินยองไม่ได้ตอบยงกุก เขามัวแต่ยืนจับปลายเตียงพลางทำสีหน้าบึ้งตึงใส่ “งอนเหรออ้วน”

            “…”

            “มานี่มา”

            “ไม่ได้อยากให้ผมกลับเหรอ”

            “ไหนลองแทนตัวเองว่าจินยองเหมือนตอนคุยกับพี่ดงโฮดิ๊” 

            “ไม่เอา” จินยองยังคงยืนอยู่กับที่ดูก็รู้ว่างอนระดับสิบไปแล้ว ยงกุกเห็นแบบนั้นก็ขยับตัวจะลงจากเตียงก็เห็นว่าจินยองทำท่าจะเดินเข้ามาหาแต่ก็วางท่าอยู่ “จะไปไหน ลุกจากเตียงทำไม”

            “เป็นห่วงก็มาพยุงดิ” เด็กขี้งอนยืนมองหน้ายงกุกอยู่แปบนึงก่อนจะค่อยๆขยับตัวไปยืนตรงหน้า

            “จะเข้าห้องน้ำเหรอ”

            “เปล่า จะเดินไปหานายแหละแต่นายกลับเดินมาหาฉันเอง”

            “ก็พี่เรียกผมมา”

            “แค่พูดว่า เป็นห่วงก็มาพยุง แค่นั้นเอง” ยงกุกช้อนตามองเด็กผู้ชายที่ยืนก้มหน้าอยู่ตรงหน้าเขา ใบหน้าเล็กที่มักจะก้มลงเพราะรู้สึกเขินอายของจินยองถูกอีกคนจับให้เงยขึ้น “ปากนายก็ยังเล็กเหมือนเดิมเลยวะ ตั้งแต่วันแรกที่ฉันเห็น” นิ้วโป้งไล่สัมผัสเบาๆที่ริมฝีปากชมพู “แต่ดูน่าจูบกว่าวันแรกเยอะ”

            “ทำไม”

            “ก็เพราะตอนนี้ฉันรักนายไง”

            “แล้วตอนนั้นอ่ะ”

            “ตอนนั้นชอบ แต่ก็ไม่คิดว่าจะชอบขนาดนี้จนตอนนี้รักไปแล้ว” แพจินยองเผลอยิ้มกับคำพูดของผู้ชายตรงหน้า เขาสะบัดหน้าหนีมือที่จับใบหน้าเขาอยู่ออกด้วยความเขิน “หายงอนละเหรอ”

            “ไม่มีใครงอนสักหน่อย”

            “ก็เมื่อกี้เห็นลูกหมาตัวกลมๆยืนหน้ามุ่ยอยู่ ฉันเข้าใจผิดเหรอ”

            “พี่เป็นผู้เป็นคนได้แปบเดียวเองกลับมากวนตีนอีกแล้ว”

            “จินยอง..”

            “ก็มันจริงอ่ะ..” เด็กเจ้าของชื่อค่อยๆหลบสายตาพอเห็นว่ายงกุกทำหน้าดุใส่แต่ไม่นานตัวเขาก็ปลิวไปอยู่ในอ้อมกอดของอีกคนแทน

            “คิดถึง” สันจมูกจมกับกลุ่มผมสีน้ำตาลอ่อนของเด็กในอ้อมกอด กลิ่นตัวหอมๆกับความนุ่มนิ่มทุกครั้งที่เขาได้สัมผัสเด็กคนนี้มันกำลังทำให้คิมยงกุกยิ้มไม่หยุด

            “แต่เมื่อเช้าเราเพิ่งเจอกันเองนะ”

            “แล้วคิดถึงไม่ได้เหรอ”

            “…ได้อยู่แล้ว” เสียงพูดอู้อี้ดังออกมาจากอ้อมกอดของยงกุก

            “ยิ่งผ่านเหตุการณ์บนรถมาก็ยิ่งคิดถึง”

            “ไม่เอา ไม่พูดถึงมัน” เขาดันตัวเองออกจากการรัดกุมของคนตรงหน้า “ไม่พูดได้เปล่า จินยองไม่ชอบ” ใบหน้าน่ารักเบะปากลงเมื่อนึกถึงความรู้สึกตลอดทั้งวันก่อนที่จะมาเจอยงกุกที่โรงพยาบาล เขาไม่เคยรู้สึกกระวนกระวายใจขนาดนั้นมาก่อนแล้วมันก็ทรมานมากๆด้วย

            “โอเค ถ้าจินยองไม่ชอบ ฉันก็จะไม่พูด”

            “พี่ยงกุก”

            “อะไร” สายตาล่อกแล่กของจินยองมันกำลังทำให้ยงกุกนึกขำขึ้นมา “เป็นอะไร”

            “จินยองขอนอนด้วยได้ไหม”

            “ก็นอนสิ ก็พี่นายกลับไปแล้วไม่ใช่เหรอ”

            “ไม่ใช่สิ” เขาจับแขนของยงกุกไว้แน่น “นอนตรงนี้อ่ะ” คิมยงกุกหันมองตามสายตาของจินยองที่กำลังมองมาที่เตียงคนไข้ที่เขานั่งอยู่ 

            “จะนอนบนเตียงกับฉันอะเหรอ”

            “อื้อ แต่ว่าถ้าพี่อึดอัดผมก็นอนโซฟาก็ได้.. แค่อยากนอนด้วยเฉยๆ” 

            “งั้นก็นอนโซฟาละกัน”

            “อ๋าาา พี่ยงกุกอะ!!” 

            “โวยวายทำไมเดี๋ยวพยาบาลก็เดินมาดุหรอก” ยงกุกรีบยกมือขึ้นปิดปากจินยองแต่ก็โดนอีกคนดึงออกด้วยความหัวเสีย

            “ไม่ต้องมาโดนตัวผมเลย!” 

            “งอแงอีกแล้ว”

            “ก็พี่ไม่อยากนอนกับผมจนออกนอกหน้าเกินไปแล้วนะ!” ใบหน้างอแงเริ่มมีน้ำคลออยู่รอบดวงตาแต่ดูเหมือนเจ้าตัวจะไม่อยากให้ยงกุกเห็นเลยรีบหันหน้าหนี

            “ร้องไห้ไม” 

            “…”

            “จินยอง” เจ้าของชื่อไม่ยอมขานรับยังคงยืนกอดตัวเองหันหลังให้ยงกุก รู้สึกโกรธจนอยากจะโทรให้พี่ชายมารับแต่ก็ยังไม่อยากกลับเลยได้แต่ยืนหงุดหงิดตัวเองอยู่อย่างนั้น “แพจินยอง”

            “เรียกอะไรนักหนาเล่า”

            “ฉันไม่ได้บอกว่าไม่อยากนอนกับนายสักหน่อย” จินยองทำได้แต่เหล่ตามองอยากจะหันไปหาคนด้านหลังแต่ก็ยังรู้สึกโกรธอยู่เลยทำเป็นนิ่งๆ

            “ก็พี่บอกให้ผมนอนโซฟา”

            “ก็ฉันจะไปนอนโซฟากับนายไง มันกว้างกว่าเตียงตั้งเยอะ” 

            “จริงนะ” จินยองรีบหันตัวกลับมามองร่างสูงทันที

            “เออ จะโกหกไม”

            “แล้วพี่จะไม่เจ็บสะโพกเหรอ โซฟามันนิ่มเกินไปหรือเปล่า” จินยองพูดพลางเดินไปนั่งที่โซฟาแล้วใช้มือกดลงข้างๆเพื่อเช็คสภาพ

            “ไม่เป็นไรหรอกมั้ง ตอนนี้ก็ไม่ได้ปวดอะไร”

            “ถ้าปวดแล้วพี่ต้องบอกนะ”

            “หมอบอกถ้าไม่ทำอะไรพิเรนๆก็ไม่น่ามีปัญหา” จินยองขมวดคิ้วเข้าหากันพยายามนึกตามที่ยงกุกพูดของความหมายคำว่าพิเรน “แบบท่ายากอะไรแบบนั้น”

            “ท่ายาก?”

            “คือถ้าฉันนั่งเฉยๆแล้วนายนั่งด้านบนก็ไม่น่ามีปัญหาแต่ถ้านายนอนเฉยๆให้ฉันขยับอันนั้นอาจจะเป็นปัญหา”

            “พอ… พอเลยครับไม่ต้องอธิบาย ผมเข้าใจแล้ว” อยู่ๆหูก็เริ่มแดงใบหน้าก็ร้อนผ่าวขึ้นมาทำอย่างกับว่าเขาไม่เคยทำอะไรแบบนั้นกับคิมยงกุก แต่ยิ่งนึกถึงเหตุการณ์วันนั้นกับใบหน้าของยงกุกตอนนี้มันก็ไม่แปลกที่จะรู้สึกแบบนั้น

            “ทำไมเข้าใจไรไวจังยังไม่ทันสาธิตเลย” 

            “แค่มองหน้าพี่ผมก็เข้าใจหมดแล้ว” 

            “จริงเหรอ” จินยองยิ่งรู้สึกเขินเข้าไปใหญ่เมื่อยงกุกทิ้งตัวลงนั่งข้างๆแล้วดึงตัวเขาเข้าไปกอดก่อนจะฟัดแก้มจนมือเล็กต้องคอยดันไหล่ของอีกคนเอาไว้เพราะไม่งั้นตัวเขาหักแน่ๆ

            “อื้อออ พอได้แล้วมันจักจี้นะ!”

            “อ้วนขึ้นปะเนี่ย ไม่เจอกันครึ่งวัน” ยงกุกพูดทั้งๆที่ยังมีมือของจินยองยันคางเอาไว้อยู่

            “คนบ้าอะไรจะอ้วนขึ้นไวขนาดนั้นนน”

            “ก็นายไง”

            “ห้ามพูดดด!”

            “ทำไมพูดไม่ได้ ก็แฟนอ้วนอ่ะ ขอหอมแก้มหน่อยเร็ว”

            “อย่าาาา ออกไป” จินยองออกแรงดันตัวของยงกุกออกอย่างทุลักทุเล

            “โอ้ยๆๆ เจ็บ อย่าดันดิ” 

            “ฮึ้ เจ็บเหรอ?? ขอโทษษษ” ยงกุกยังคงจับที่สะโพกของตัวเองพลางทำสีหน้าเจ็บปวดในขณะที่จินยองก็พยายามจะจับตัวยงกุกให้เบาที่สุด “ให้ผมเรียกหมอไหมอ่าา”

            “ไม่ต้อง เรียกมาไม”

            “ก็พี่เจ็บ ถ้ามันหักทำไง”

            “นายก็อดสนุกดิ เรื่องไรจะยอมให้หัก”

            “ยังจะนึกถึงแต่เรื่องนั้นอีก!” ยงกุกหัวเราะจนตัวสั่นก่อนจะออกแรงดันตัวจินยองให้ลงไปนอนนาบกับโซฟา มือหนากดข้อมือของอีกคนเอาไว้หลวมๆ 

            “ฉันล้อเล่น”

            “ไม่ตลกเลย”

            “เวลานายทำหน้าจะร้องไห้แล้วมันน่าเอ็นดูดี” จินยองยังคงไม่พอใจที่อีกฝ่ายแกล้งอะไรแบบนี้ เขาเบือนหน้าหนีในขณะที่ยงกุกก็พยายามจะก้มลงมา “ขอจูบหน่อย”

            “อึอือ” จินยองส่ายหัวปฏิเสธ

            “หอมแก้มอ่ะ”

            “ไม่ให้ ผมโกรธอยู่นะทำไมชอบเล่นงี้..” พูดยังไม่จบประโยคดีก็โดนคนด้านบนกดจูบลงที่ปากจนมิดสนิท คิมยงกุกจูบย้ำๆอยู่หลายทีก่อนจะไล่ไปที่แก้มนิ่มๆจนถึงซอกคออุ่นๆ

            “ถ้าฉันขอกอดแล้วนายไม่ให้กอดฉันต้องเจ็บยิ่งกว่าตอนโดนรถชนอีกนะจินยอง” ยงกุกกระซิบข้างๆหูด้วยน้ำเสียงขอร้อง “ตอบว่าให้สิ อย่าปฏิเสธฉัน”

            “อื้อ..” จินยองหลับตาแน่นพลางพยักหน้ารับถี่ๆ

            “น่ารัก” ยงกุกยิ้มกับคำตอบของจินยอง เขาหอมแก้มเด็กตัวเล็กด้วยความหมั่นเขี้ยวก่อนจะเบียดตัวลงไปนอนข้างๆแล้วดึงเอวของจินยองเข้ามากอดแนบกับตัวเอง “ฉันเริ่มง่วงแล้ว”

            “ก็พี่เดินทางทั้งวันเลยไม่แปลกหรอกที่จะง่วง”

            “งั้นฉันนอนนะ” จินยองได้ยินแบบนั้นก็พยักหน้าแต่แทนที่เขาจะข่มตานอนเขากลับพลิกตัวหันไปนอนมองหน้ายงกุก “มีอะไร”

            “ผมแค่อยากนอนมองหน้าพี่เฉยๆ”

            “แล้วฉันจะหลับลงไหมเนี่ย”

            “พี่ก็หลับไปสิ” จินยองยกมือขึ้นใช้นิ้วปิดตายงกุกเจ้าตัวเห็นแบบนั้นก็รวบมืออีกคนเอาไว้

            “งั้นก็นอนมองหน้าไป อย่าเผลอปล้ำฉันเพราะอดใจไม่ไหวละ”

            “ผมไม่ใช่พี่นะ.. พี่ยงกุก”

            “หื้อ?” เขาครางรับในลำคอทั้งๆที่หลับตาอยู่

            “ฝันดีนะ”

            “อื้อ”

            “อย่าเจ็บป่วยอีกนะ”

            “อื้ออ”

            “จินยองรักพี่ยงกุกนะ”

            “…”

            “ฝันดีนะครับ”

            “ฉันก็รักนายเหมือนกัน” ยงกุกพูดพลางก้มลงหอมหัวเด็กตรงหน้าก่อนจะกระชับกอดไว้หลวมๆให้ใบหน้าน่ารักได้ซุกลงที่แผ่นอกของเขา ไม่นานทั้งสองคนก็ผลอยหลับไปด้วยความเพลีย

            

     

            ____________

     

     

            ช้อนเล็กเหมาะสำหรับตักของกินคำเล็กๆดูเหมือนจะทำให้เด็กผู้ชายที่ชอบกินอะไรคำใหญ่ๆอย่างอีแดฮวีหงุดหงิด เขาพยายามตักไอติมก้อนใหญ่แต่ก็ไหลลงถ้วยเหมือนเดิมด้วยขนาดช้อนที่ไม่พอดีแล้วเสียงจิ้จ้ะของเขาทำให้คนที่นั่งมองอยู่ฝั่งตรงข้ามถอนหายใจกับภาพที่เห็นอยู่หลายครั้ง

            “มึงก็ตักคำเล็กๆสิวะ” ดงโฮที่กำลังเกาแก้มตัวเองอยู่พูดขึ้นด้วยความหงุดหงิดลูกกะตา

            “มันไม่ได้รสชาตินิถ้าตักคำเล็กๆ”

            “กูมารับมึงทีไรจบที่ของกินทุกที”

            “เรียนเสร็จก็ต้องกินเป็นเรื่องธรรมดาของมนุษย์” แดฮวีพูดพลางตักไอติมคำเล็กเข้าปาก ดูเหมือนจะหมดความพยายามกับการจะกินคำใหญ่

            “แต่มึงกินเยอะ ตัวก็นิดเดียวกินเป็นซูบินเลย”

            “โอ๊ะ!” อยู่ๆแดฮวีก็ร้องเสียงดังขึ้นมา

            “อะไร” 

            “พี่รู้จักพี่ซูบินด้วยเหรอ ผมดูคลิปพี่เขากินก็เลยอยากกินแบบนั้นบ้าง”

            “ไอ้จินยองมันชอบเอามาเปิดให้ดู แต่ขอ มึงอย่ากินแบบนั้น.. นะ” แดฮวียักไหล่ทำเป็นไม่สนใจคำพูดของดงโฮยังคงตั้งหน้าตั้งตากินไอติมตรงหน้า

            “อื้อ แล้วพี่ยงกุกเป็นไงบ้างอ่ะ”

            “ก็ดีแล้วมั้ง เมื่อเช้าเห็นมันขับรถมาส่งไอ้จินยองที่บ้าน”

            “พี่ยงกุกขับเองเหรอ ขับได้ไง!” 

            “เสียงดังวะ มีคนขับให้มัน มันขับเองที่ไหนละ” ดงโฮใช้นิ้วแหย่หูตัวเองเมื่อรู้สึกแสบแก้วหูกับเสียงตะโกนของเด็กตรงหน้า

            “ก็หนูจะไปรู้เหรอ พี่บอกว่าขับมาส่ง” แดฮวีคว่ำปากใส่พลางเขี่ยไอติมในถ้วยไปมา

            “หนู? ไปติดมาจากไหน”

            “อ่อ ช่างมันๆ”

            “…”

            “อยากรู้จริงอ่ะ” แดฮวีถามย้ำเมื่อเห็นสีหน้าดงโฮ 

            “ทำอึกอักๆ กูดูไม่รู้เลยว่าติดมาจากไหน”

            “อะไร”

            “ใช้กับไอ้แดนบ่อยสินะ” สิ้นคำพูดของดงโฮคนฟังก็เงียบไปพักใหญ่ “เป็นไร”

            “พี่เนียลก็อยู่บนรถกับพี่ยงกุกเมื่อวาน” ดงโฮได้ยินแบบนั้นได้แต่นั่งมองหน้าแดฮวี ไม่รู้จะพูดอะไรต่อ ไม่รู้ว่าถ้าพูดไปกลัวว่าแดฮวีจะคิดมากหรือว่าพูดไม่ออกเพราะรู้สึกแปลกๆที่อีกคนดูเป็นห่วงฝ่ายนั้นเหลือเกิน “แต่พี่เนียลบอกไม่เป็นอะไรมาก มันก็อดเป็นห่วงไม่ได้อยู่ดีอ่ะ”

            “ยังรักมันอยู่เหรอ”

            “หื้อ?”

            “ไอ้แดนไง ยังรักมันอยู่เหรอ”

            “ก็ไม่ถึงกับรักหรอกแต่ก็ยอมรับว่าหนูยังตัดใจจากพี่เนียลไม่ได้” ดงโฮยกแก้วน้ำขึ้นมาดื่ม “พี่จะอยากรู้ทำไมอ่ะ”

            “ถามเฉยๆ”

            “พี่โอเคเหรอ”

            “แล้วทำไมกูต้องไม่โอเค” 

            “ก็ไม่รู้สิ” ดงโฮไม่ได้ตอบอะไรกลับไปเอาแต่นั่งใช้นิ้วเคาะโต๊ะเหมือนคนกำลังคิดอะไรเรื่อยเปื่อย 

            “มึงอิ่มยัง”

            “ยังเลย รีบเหรอ”

            “เห็นเขี่ยไปเขี่ยมา คิดว่าตอมใจ” 

            “พี่โอเคแน่นะ” 

            “…”

            “หนูไม่พูดถึงพี่เนียลก็ได้”

            “ก็พูดไปสิ กูไม่ได้ห้ามสักหน่อย”

            “เมื่อไหร่จะพูดเพราะๆกับหนูสักที มึงกูอยู่ได้” แดฮวีขึ้นเสียงใส่ด้วยความหงุดหงิดที่อีกคนเอาแต่พูดจาแข็งกระด้างใส่ “พี่ยงกุกก็เป็นคนห่ามๆเหมือนพี่แต่เขาก็ไม่เคยมึงกูกับผมเลยนะ”

            “ก็มันติดพูดกับไอ้จินยอง”

            “นั่นมันน้องพี่แต่ผมไม่ใช่น้องพี่” ดงโฮนั่งมองหน้าแดฮวีเพราะทำอะไรไม่ถูก คำพูดของเด็กตรงหน้ากลับทำให้เขารู้สึกผิดขึ้นมาเฉย

            “ไม่พูดหนูแล้วเหรอ”

            “ไม่ ไม่พูดจนกว่าพี่จะพูดเพราะๆสักที” 

            “เป็นคุณหนูเหรอไง”

            “แล้วไม ไม่ชอบก็ไม่ต้องคุย”

            “เดี๋ยวนี้กล้าเถียงใหญ่เลยนะ” แดฮวีช้อนตามองคนตรงหน้าด้วยสีหน้าบึ้งตึง เอาเข้าจริงเด็กนี่ก็นิสัยไม่ต่างจากน้องชายเขาสักเท่าไหร่ ไม่แปลกเลยที่คบกันได้

            “เพราะว่าพี่ก็ไม่ได้น่ากลัวเหมือนตอนแรกหนิ” เสียงเริ่มอ่อนลงเมื่อพูดถึงจุดอ่อนของตัวเอง แดฮวีรู้สึกดีมากขึ้นกว่าตอนเจอกับดงโฮครั้งแรกๆ รู้สึกอ่อนไหวกับการกระทำช่วงหลังของคนตรงหน้าด้วยซ้ำแต่ก็ยังไม่มีอะไรชัดเจนเพราะคำพูดคำจาของดงโฮก็ยังดูสองแง่สองง่าม

            “ก็มึง.. นายบอกไม่ชอบ” สรรพนามเปลี่ยนเมื่อเจอสายตาตำหนิของแดฮวี

            “ไม่มีใครชอบหรอก นิสัยขี้แกล้งแบบนั้นอ่ะ” ดงโฮมองเด็กตรงหน้าก่อนจะเผลอยิ้มเมื่อเห็นไอติมที่เปื้อนอยู่ตรงแก้มด้านขวา “ยิ้มอะไร”

            “เปล่า”

            “ผมน่ารักอะดิ” รอยยิ้มภูมิใจปรากฎอยู่บนหน้าสดใสนั่นก่อนจะหุบยิ้มเมื่ออีกฝ่ายยื่นกระดาษทิชชู่ไปตรงหน้า 

            “เช็ดแก้มด้วยจ้ะ แม่คนน่ารัก”

            “แม่อะไร ผมเด็กผู้ชาย” แดฮวีรีบยกมือขึ้นจับที่แก้มของตัวเองด้วยสีหน้าขาดความมั่นใจแต่ก็ไม่ลืมแก้เพศที่อีกฝ่ายยัดเยียด

            “เอาไปเช็ด”

            “เปื้อนตรงไหนอ่ะ” แดฮวีหยิบกระดาษทิชชู่จากมือของดงโฮก่อนจะเอามาเช็ดมั่วซั่วจนคนเห็นรู้สึกหงุดหงิด พยายามชี้ให้ดูก็ยังเช็ดไม่โดน

            “ฉันไม่เช็ดให้หรอกนะ”

            “แล้วมันอยู่ตรงไหนเล่า!” เด็กตัวเล็กทำหน้าเหมือนจะร้องไห้เมื่อรู้สึกหัวเสียกับความใจร้ายของคนตรงหน้าแล้วสิ่งที่ดงโฮทำคือการเอาปลายช้อนชี้ไปที่จุดตรงที่ไอติมเปื้อนเท่านั้น

            “ตรงนี้ไง”

            “ถ้าเป็นพี่ยงกุกป่านนี้เช็ดให้ไอ้จินยองไปแล้ว จะบอก” แดฮวีเช็ดมั่วๆด้วยอารมณ์หงุดหงิด ไม่ใช่เขาไม่อยากเช็ดให้แต่มันไม่ใช่แนวทางของคังดงโฮที่ต้องมานั่งเช็ดอะไรแบบนี้ให้ใคร

            “พูดถึงไอ้ยงกุกบ่อยจัง”

            “ก็พี่ไม่ชอบให้ผมพูดถึงพี่เนียลไม่ใช่เหรอ”

            “รู้ได้ไง”

            “หน้าพี่มันออก” ดงโฮกลืนน้ำลายหนืดลงคอ อยากจะพูดอะไรสักอย่างแต่ก็พูดไม่ออก ดูเหมือนแดฮวีจะดูออกว่าเขาคิดอะไรอยู่ “ใช่ไหมล่ะ”

            “ถ้าตอบไม่ใช่อ่ะ”

            “ผมก็จะมองว่าพี่เป็นคนขี้โกหก”

            “ไร้สาระ”

            “ขนาดนั้นเลยเหรอ?”

            “อะไรมึง”

            “ถ้าผมพูดกูบ้างละ!!” แดฮวีขมวดคิ้วเข้าหากันแน่นด้วยความโมโห อยากจะปาถ้วยไอติมใส่หน้าก็เกรงใจพนักงาน 

            “ตลกละ ฉันพี่นายนะ”

            “ทำไม ผมก็น้องพี่พูดกูไม่ได้เหรอ”

            “น้องจะมากูได้ไง”

            “แล้วน้องต้องพูดอะไร หะ” แดฮวีพูดด้วยสีหน้าหาเรื่อง

            “ก็พูด หนู ไปสิ”

            “พี่ก็แทนตัวเองว่า พี่ ก่อนสิ”

            “ทำไมกูต้องทำ”

            “ผมจะพูดถึงพี่เนียลให้น้อยลง”

            “…”

            “ไม่สิ ผมจะนึกถึงพี่เนียลให้น้อยลง”

            “แล้ว?”

            “แล้วนึกถึงพี่ให้มากขึ้น” ดงโฮนั่งนิ่งเหมือนกับว่าถ้าเขาเผลอขยับตัวแล้วกลัวว่าเด็กตรงหน้าจะหายไป สิ่งที่รับรู้ได้ตอนนี้ก็คงจะเป็นจังหวะการเต้นของหัวใจที่มันเริ่มเร็วขึ้นจนรู้สึกหายใจไม่ทั่วท้อง “หรือพี่ไม่ต้องการแบบนั้น?”

            “ทำได้เหรอ”

            “แค่พี่พูดออกมาว่า‘ไม่ชอบ’ตอนผมพูดถึงพี่เนียลผมก็จะไม่ทำ” แดฮวีกลั้นหายใจลุ้นกับคำตอบของคนตรงหน้า ถึงแม้จะดูมั่นใจกับสิ่งที่พูดไปแต่ในใจก็หวาดกลัวว่าสิ่งที่เขาคิดจะเป็นการคิดอยู่ฝ่ายเดียวเพราะดูท่าทางดงโฮก็เหมือนไม่ได้คิดหรือแสดงท่าทางอะไรที่จะตรงกับความรู้สึกเขาสักเท่าไหร่ 

            “เอาจริงปะ?” แดฮวีไม่ตอบแต่ก็จ้องหน้าเจ้าของคำถามไม่วางตา “กูก็ไม่ชอบให้มึงพูดถึงมันสักเท่าไหร่หรอก จริงๆก็ไม่ชอบเลย แต่ไม่รู้จะสั่งให้มึงไม่พูดถึงได้ไงเพราะเราไม่ได้เป็นอะไรกัน”

            “แล้วพี่อยากเป็นเปล่า”

            “หะ?”

            “ผมจะไม่ถามซ้ำนะ มันควรจะเป็นสิ่งที่พี่พูดด้วยซ้ำ” แดฮวีเริ่มรู้สึกร้อนไปทั่วใบหน้า อะไรทำให้เขาตัดสินใจพูดประโยคพวกนี้ออกไป

            “กูไม่มั่นใจ.. พอใจยัง”

            “ไม่มั่นใจอะไร?”

            “กูไม่ชอบโดนปฏิเสธ เลยไม่มั่นใจว่ามึงคิดตรงกับกูไหม”

            “บอกให้พูดดีๆไง จะโกรธแล้วนะ” สีหน้างอแงของแดฮวีกำลังทำให้ดงโฮอึดอัดเพราะทำตัวไม่ถูก

            “เออ”

            “ตกลงทุกอย่างที่ผมพูดไปคือไม่ใช่ฝ่ายเดียว…”

            “ไม่” แดฮวียังพูดไม่จบประโยคดีก็โดนแทรกขึ้นมา “นายไม่ได้คิดเองคนเดียวหรอก”

            “พี่ชอบผมเหรอ?”

            “อย่าเพิ่งรีบถามสิวะ ไม่รอให้กูเป็นฝ่ายพูดบ้างเหรอไง” 

            “ก็ผมไม่ชอบอะไรค้างคานิ มันอึดอัดนะ ไม่มีบทสรุปสักที” 

            “เอาเป็นว่าตอนนี้จะพยายามไม่พูดมึงกูกับมึงแล้วกัน”

            “ก็พูดอยู่ปะ..”

            “เออๆ จะพยายามไม่พูดกับหนูแบบนั้น” ใบหน้าสดใสกลั้นหัวเราะจนเห็นได้ชัด ดงโฮสูดลมหายใจเข้าก่อนจะค่อยๆผ่อนมันออกช้าๆ

            “น่ารักดีออก”

            “ไม่ต้องมาชม มันไม่ใช่ทาง”

            “ไม่เคยโดนชมอะสิ”

            “…”

            “หนูรู้ว่าพี่ชอบให้คนชม”

            “พูดห่าไร”

            “ถ้าพี่ทำตัวดีๆหนูก็จะชมบ่อยๆ” แดฮวีอมยิ้มชอบใจกับท่าทางอึกอักของคนตรงหน้า “พี่ดงโฮ”

            “อะไร”

            “น่ารักจัง”

            “ไอ้..”

            “อย่าหยาบคายดิ” แดฮวีทำท่าจะกลับมาหน้าบึ้งอีกครั้ง ดงโฮหลับตาแน่นพลางสูดลมหายใจเข้าออกเพื่อสงบปากสงบคำ

            “อิ่มแล้วใช่ไหม”

            “พี่เปลี่ยนเรื่อง”

            “เปล่า ก็เห็นไม่กินสักที ถ้าอิ่มแล้วก็ลุก” ดงโฮทำท่าจะลุกขึ้นแต่สายตาแดฮวีก็รั้งเอาไว้

            “ถ้าพี่พูดเพราะๆ หนูก็จะลุก”

            “ตกลงจะใช่คำว่า หนู แล้วใช่ไหม”

            “อื้อ ไม่ชอบเหรอ”

            “…”

            “พี่-ไม่-ชอบ-เหรอ?” 

            “เออ ชอบ เร็ว ลุกสักทีกู.. พี่เบื่อจะนั่งแล้ว” แดฮวีมีสีหน้าโชว์เหนือเมื่ออีกคนจนตรอก

            “ขอชัดๆให้เป็นบุญหู”

            “ทำไมเรื่องมาก”

            “พี่ดงโฮ..” 

            “หนูครับ ไปกันยังพี่เบื่อแล้ว”

            “ปะ! หนูก็เบื่อแล้วหนูอยากไปเดินเล่น พี่พาหนูไปเดินเล่นก่อนนะ” แดฮวีดีดตัวลุกขึ้นยืนรีบหยิบกระเป๋าขึ้นมาสะพาย

            “เปลี่ยนโหมดไวชิบ..” เด็กตัวเล็กยืนยิ้มแป้นจนคนเห็นเผลอหลุดยิ้มตามแต่ก็รีบเก็บหน้าเหมือนเดิม “ไปเร็ว ออกมา”

            “อื้อ! พี่จ๋า”

            “พี่จ๋า?”

            “ถือกระเป๋าให้หนูหน่อยสิ” ไม่พูดอย่างเดียว มือเล็กๆยื่นกระเป๋าส่งไปให้คนตรงหน้า ดงโฮก้มมองก่อนจะเอื้อมมือหยิบมาถือเอาไว้

            “ค่อยๆเป็นค่อยๆไป อย่าหักโหมโนะ”

            “อืม แค่นี้ก็น่ารักแล้ว”

            “…”

            “พี่จ๋าเดินสิ”

            “เออ เดินตามมาแล้วกัน”

            “ครับบบ”

     

    ________________


    สวัสดีค่าาาา คิดถึงจัง
    นี่ดีใจมากที่ยังมีคนรอเรื่องอยู่ ขอบคุณมากๆจริงๆนะคะ :)
    #มบฟช << พูดคุยกันได้เด้ออ หรือสงสัยอะไรก็ถามได้เลยนะ 
    @viewpmt

     

    (c) Chess theme

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×