ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [PRODUCE101] MA BAE - YONGGUK & JINYOUNG

    ลำดับตอนที่ #11 : MABAE 11

    • อัปเดตล่าสุด 15 ก.ค. 60



    \rainy day



    เสียงดนตรีดังสนั่นประหนึ่งว่าอยู่สถานที่บันเทิง เด็กวัยรุ่นห้าคนรวมตัวกันอยู่ในห้องโดยมีเจ้าของชื่อคังแดเนียลเป็นคนรับเชิญมา ดูเหมือนว่าจะยังมากันไม่ครบเสียด้วยซ้ำ จองเซอุนลุกจากโซฟาเดินไปหยิบกระป๋องเบียร์ในตู้เย็นมาเพิ่มราวกับว่าห้องนี้ตัวเองเป็นเจ้าของตามด้วยยูซอนโฮที่เดินตามไปติดๆเพราะของกินที่อยู่ตรงหน้าหมดแล้วจากผลงานตัวเองล้วนๆ คนอื่นจะหันไปขอกินด้วยก็หมด ทุกอย่างมันเกิดขึ้นไวมาก

     

    “ทำไมวันนี้แม่ไอ้ซอนโฮมันปล่อยมาได้ไงวะ” คิมแจฮวานพูดขึ้นขณะที่หยิบถุงขนมว่างเปล่าตรงหน้าขึ้นมาดูก่อนจะวางมันลง

     

    “มันบอกว่ามาทำรายงานกับเพื่อน”

     

    “มาแดกละสิ” แจฮวานยังคงใช้สายตามองเด็กที่อายุน้อยที่สุดในที่แห่งนี้ด้วยสายตาหวาดระแวงว่ามันจะกินของในตู้เย็นของแดเนียลจนหมด

     

    “ปล่อยมัน” คังแดเนียลพูดขำๆขณะที่แจฮวานก็ยังไม่สบายใจกับภาพที่เห็นราวกับว่าซอนโอจะแดกอาหารทุกอย่างบนโลกนี้ไปหมดจนทำให้เขาอดอยาก

     

    “ไอ้อูจินมันจะไม่มีแดกอะสิถ้ามันมา”

     

    “มึงก็ลงไปซื้อไง” 

     

    “ไอ้อูจินมาด้วยเหรอ” คิมยงกุกที่นั่งดูทีวีอยู่พูดขึ้นทันทีหลังจากแดเนียลพูดจบ

     

    “อือ พอดีตอนนัดพวกมึงกูคุยกับมันอยู่เลยชวน มึงมีไร”

     

    “เปล่า”

     

    “มันเรียนโรงเรียนเดียวกันกับน้องจินยองมึงหนิ” ดูเหมือนแดเนียลจะนึกขึ้นได้เลยพูดเสริมด้วยสีหน้าระรื่น

     

    “เออ”

     

    “มันอยู่ทีมบาสของไอ้จีฮุนด้วย เออพูดแล้วทำไมไม่ชวนไอ้จีฮุนมาด้วยวะ”

     

    “ห้องมึงเป็นสวนสาธารณะเหรอไอ้แดน” ยงกุกใช้สายตามองแจฮวานที่เพิ่งพูดประโยคเมื่อกี้จบก่อนจะเงยหน้ามองเจ้าของห้องที่นั่งอยู่เหนือหัวตัวเอง

     

    “แล้วไมต้องมองกูด้วย กวนตีนเหรอ”

     

    “อ่าว ก็ฟังมึงพูด”

     

    “พี่สองคนกัดกันอีกแล้วเหรอ” ซอนโฮเดินมาทิ้งตัวลงนั่งข้างๆยงกุกพร้อมขนมเต็มไม้เต็มมือไม่พอยังเอนหัวซบไหล่อีกคนจนยงกุกต้องขยับไหล่หนีแต่ก็หนีไม่พ้นคนขี้วอแวอย่างซอนโฮ “พี่อย่าหลบผม!”

     

    “แล้วมาซบกูทำไม ไปซบไอ้แดนสิวะ” 

     

    “ก็ผมชอบพี่อะ”

     

    “มึงนี่มัน...” ยงกุกแทบจะทุบหัวเด็กข้างๆแต่ทำได้แค่ถอนหายใจแล้วก็ปล่อยให้มันปรนเปรอ ซอนโฮเป็นเด็กขี้สกินชิพทั้งๆที่มันก็มีแฟนอยู่แล้วเป็นผู้หญิงด้วย ถึงแม้ภาพลักษณ์การเล่นเบสของมันจะดูเท่ห์แต่ชีวิตจริงมันไม่ใช่แบบนั้นเลย 

     

    เสียงโทรศัพท์ของแดเนียลดังขัดความรำคาญของยงกุกที่มีต่อซอนโฮ เจ้าของห้องกดรับก่อนจะเดินไปที่ประตูแล้วเปิดออกปรากฎให้เห็นเด็กหัวน้ำตาลแดงยืนอยู่ส่วนด้านหลังเป็นเด็กผู้ชายตัวเล็กน่ารักยืนเกาะแขนอีกคนด้วยสีหน้าเคอะเขิน

     

    “แฟนกูมันตามมาด้วย” อูจินพูดพลางชี้นิ้วไปด้านหลัง ฮยองซอบทำหน้าไม่พอใจก่อนจะฟาดลงที่หลังของคนตรงหน้า

     

    “เห้ย ไม่เห็นเป็นไร เข้ามาก่อนๆ” ทั้งสองคนได้รับคำเชิญจากเจ้าของห้องก็เดินเข้ามา ปาร์คอูจินชะงักเล็กน้อยขณะที่เผลอสบตากับยงกุกที่นั่งให้ซอนโฮนัวเนียอยู่ตรงโซฟา

     

    “มึงมานั่งนี่มา” ยงกุกไม่รอให้เหยื่อรอดพ้นสายตาเขารีบกวักมือเรียกแล้วตบด้านข้างโดยการดันซอนโฮให้ออกไปไกลๆ คนโดนผลักออกได้แต่ทำหน้ามุ่ยสลับกับมองอูจินแล้วยอมย้ายไปนั่งเบียดแจฮวานแทน อูจินหันซ้ายหันขวาหวังจะหาตัวช่วยแต่ดูเหมือนโชคจะไม่เข้าข้างเพราะฮยองซอบโดนแดเนียลลากเข้าไปในห้องครัวเรียบร้อยเลยต้องยอมจำนนคอตกไปหายงกุก

     

    “สวัสดีครับพี่”

     

    “ไม่ต้องมาเรียกกูพี่”

     

    “อ่าวนี่มึงพูดเองนะ” 

     

    “มึงไปเซี่ยมไอ้จีฮุนเหรอ” สิ้นคำถามของยงกุกที่สวนกลับไปทำเอาอูจินก้มหน้าลงขวับทั้งๆที่เมื่อกี้ตั้งใจจะกวนตีนเขา

     

    “มึงนี่พูดเหลวไหล”

     

    “ไหลหน้ามึงสิ ไม่งั้นไอ้จีฮุนจะรู้จักจินยองได้ไง”

     

    “ก็อยู่โรงเรียนเดียวกันรู้จักกันก็ไม่แปลก”

     

    “แต่จินยองกูไม่ทำตัวเด่นขนาดให้ไอ้จีฮุนจีบแน่นอน”

     

    “ก็แฟนมึงน่ารักไง แค่หายใจคนก็อยากจีบแล้ว โอ้ย!” คิมยงกุกโบกเข้าให้ที่หัวจนหน้าอูจินทิ่ม คนโดนกระทำขยำหัวตัวเองด้วยความเจ็บแต่จะทำกลับก็ไม่ได้ ต่อให้ไม่เรียก ‘พี่’ ยังไงเสียอีกคนก็ยังอายุมากกว่าเขาอยู่ดี

     

    “ขอบใจที่ชมแฟนกูแต่คราวหลังช่วยดูแลแฟนกูด้วย”

     

    “จริงๆพี่จีฮุนเขาก็ดูแลดี..”

     

    “ไอสัดนี่..” อูจินหลับตาแน่นพอเห็นว่ายงกุกง้างมือจะทุบหัวเขาอีกรอบ 

     

    “แล้วทำไมมึงไม่บอกว่ามึงคบกับไอ้จินยองวะ!” อูจินดูหัวเสียที่ทำอะไรกลับไม่ได้ ทั้งจีฮุนทั้งยงกุกล้วนเป็นพี่รุ่นพี่ 

     

    “มึงจะให้กูประกาศผ่านสำนักข่าวเลยไหม” ยงกุกดูหงุดหงิดเพราะคำถามของอูจินดันไปเหมือนกับของจีฮุน มันจำเป็นไหมที่เขาจะต้องป่าวประกาศเรื่องพวกนี้ให้ทุกคนบนโลกรู้ อยากรู้แล้วทำไมไม่ถามละวะ

     

    “แล้วไปเจอกันได้ไง” 

     

    “งานโรงเรียน”

     

    “อ๋อ วันที่แดฮวีบอกจะไปหาไอ้แดนแน่เลย” ดูเหมือนอูจินจะพูดกับตัวเองมากกว่ายงกุกเห็นแบบนั้นเลยเบี่ยงความสนใจไปที่กระป๋องเบียร์ตรงหน้าแทน เขานั่งสนใจเบียร์ในกระป๋องอยู่สักพักอันฮยองซอบก็เดินมานั่งแทรกกลางระหว่างยงกุกกับอูจิน อันที่จริงอูจินเป็นคนดึงฮยองซอบลงมานั่งเองเสียมากกว่าเพราะไม่อยากนั่งติดกับยงกุกมากเกินไป

     

    “ช่วงนี้เป็นไงบ้างวะมึง ไอ้อูจิน” เซอุนทักขึ้นหลังจากที่ไม่ได้เจอเจ้าของชื่อมานานพอสมควร

     

    “เรื่อยๆ ช่วงนี้ซ้อมบ่อยหน่อยเดี๋ยวมีแข่ง”

     

    “อย่าดื่มเยอะสิ” อูจินที่ยกกระป๋องเบียร์ขึ้นดื่มได้นิดเดียวก็ต้องโดนคนนั่งข้างๆจับแขนเอาไว้จนต้องผละออกจากปาก สายตาฮยองซอบดูไม่ค่อยพอใจที่ทุกคนในที่นี้เอาแต่ดื่มกันไม่มีใครห้ามใครทั้งสิ้น นี่ถ้าปล่อยให้อูจินมาคนเดียวมีหวังจำทางกลับบ้านไม่ได้แน่

     

    “เมียดุวะ หูยยย”

     

    “กูจะรอวันที่มึงมี ไอ้แจฮวาน”

     

    “ถ้ากูมี กูจะเป็นคนข่มมัน ชีวิตกูใครอย่าแตะ” 

     

    “เก่งจังเลยนะมึงอ่ะ” แจฮวานหันมองเจ้าของเสียงที่แทรกเข้ามาด้วยสีหน้าโชว์เหนือ

     

    “ทำไม หึงกูเหรอจ้ะเซอุน”

     

    “หึงมึงนี่กูหึงแมวไอ้แดนดีกว่า” แจฮวานทำปากขมุบขมิบล้อเล่นอีกคนด้วยท่าทางน่าหมั่นไส้เรียกรอยยิ้มให้ทุกคนในห้องยกเว้นจองเซอุน

     

    “แล้วมึงโทรบอกจินยองไหมว่ามานี่”

     

    “พี่คบกับพี่จินยองเหรอ” สิ้นคำถามของอูจินแฟนเด็กที่นั่งอยู่ตรงกลางก็หันขวับไปทางยงกุก คนโดนถามใช้สายตามองฮยองซอบก่อนจะหันไปตอบอูจิน

     

    “กูส่งข้อความไปบอกแล้ว”

     

    “พี่คบกับพี่จินยองเหรอ” ฮยองซอบยังคงถามคำถามเดิมไม่หยุด

     

    “เออ ทำไม” 

     

    “ต่างกับพี่จีฮุนขนาดนี้ได้ไง” 

     

    “เมื่อกี้พูดไรนะ”

     

    “มึงอย่าไปฟังมันพูดเลย” อูจินรีบยกมือขึ้นปิดปากของฮยองซอบพอเห็นสายตาของยงกุกกำลังจ้องมองไปที่แฟนของตัวเองแต่เจ้าตัวแสบกลับพยายามแกะมือของอูจินออก

     

    “อื้อ! เค้าหายใจไม่ออกนะอูจิน!!” เจ้าของชื่อหลบหลีกมือไม้ที่ฟาดลงมาตามตัวเขาอย่างบ้าคลั่งของฮยองซอบอย่างทุลักทุเล เวลาโมโหทีไรสรรพนามคำว่า ‘พี่’ หายทุกที... “ก็แค่อยากรู้เองว่าพี่คนนี้อะเหรอเป็นแฟนกับพี่จินยองที่น่ารักของเค้า” ฮยองซอบใช้สายตามองคนข้างๆด้วยความไม่อยากเชื่อยิ่งเห็นสายตาก้าวร้าวของอีกคนสู้กลับมาก็ยิ่งโมโห

     

    “เออ พี่จินยองที่น่ารักของนายอะแฟนที่น่ารักของฉัน มีไรเปล่า”

     

    “พี่ชื่อยงกุกงี้พี่ก็รู้จักกับพี่จีฮุนหนะสิ” 

     

    “ฮยองซอบ...” อูจินนวดระหว่างหัวคิ้วตัวเองด้วยความหนักใจพลางส่งเสียงครางในลำคอเพื่อปรามอีกคนให้หยุดชวนยงกุกคุยสักที

     

    “ฉันรู้จักไอ้จีฮุนแล้วทำไม”

     

    “เปล่า ผมก็แค่ถามเฉยๆ”

     

    “ไอ้อูจิน แฟนมึงทำตัวไม่น่ารักแบบนี้กับทุกคนเปล่าวะ” 

     

    “เด็กมันกำลังโต...”

     

    “ทีพี่ยังทำตัวไม่น่ารักเลยนะครับ” ฮยองซอบรีบพูดแทรกอูจินขึ้นมาเมื่อเห็นท่าทางกวนประสาทของยงกุก

     

    “น่ารักจะตาย ไปถามจินยองดิ จินยองชอบนะ” รอยยิ้มกวนตีนปรากฏขึ้นบนใบหน้าสร้างความหัวร้อนให้คนเห็นอยู่ไม่น้อย อันฮยองซอบทำหน้ามุ่ยใส่เจ้าของรอยยิ้มนั่นก่อนจะหันไปหาอูจิน

     

    “ทำตัวไม่น่ารักเลยฮยองซอบ”

     

    “อูจินไม่เข้าข้างเค้าเหรอ”

     

    “ต่อให้มันกวนตีนแค่ไหนมันก็เป็นพี่นายนะ”

     

    “ขอบใจที่ยังเห็นคุณค่าของอายุกู” ยงกุกแกล้งเอามือทาบหน้าผากของฮยองซอบแล้วออกแรงดันไปด้านหลังเพื่อที่จะพูดคุยกับอูจินได้ถนัด คนโดนทำรีบปัดมือออกพลางทำหน้าเหมือนจะร้องไห้พลางกอดแขนอูจินยกใหญ่ แล้วดูเหมือนคิมยงกุกจะมีงานอดิเรกใหม่คือการแหย่อันฮยองซอบโดยมีอูจินนั่งมองอยู่เฉยๆเพราะเขาก็ไม่รู้จะแก้ไขปัญหานี้ยังไง...

     

    เด็กวัยรุ่นเจ็ดคนต่างเพลิดเพลินกับดนตรีและของมึนเมากันจนลืมเวลาปาเข้าไปเกือบห้าทุ่ม คิมยงกุกที่ได้รับโทรศัพท์จากจินยองเพิ่งดึงสติตัวเองกลับมาได้ว่าควรกลับบ้านเพราะดูท่าทางจินยองจะไม่อยากให้อยู่ต่อเพราะถ้าอยู่ต่อมีหวังดื่มไม่เลิกแน่ ยงกุกโดนอีกคนกำชับด้วยน้ำเสียงดุดันแต่ฟังดูงอแงเสียมากกว่าเขาจึงยอมขอตัวกลับก่อน การดื่มเบียร์ไปสี่กระป๋องก็ไม่ได้ทำให้เขาเมาอะไรมากมายแค่ตัวร้อนรุ่มๆให้พอมีกลิ่นแอลกอฮอล์ พอจะกลับก็มารับรู้ว่าด้านนอกฝนตกปรอยๆเลยได้ความห่วงใยจากคังแดเนียลบริจาคร่มให้หนึ่งคัน วันนี้เขาไม่ได้เอารถมาเพราะตอนมาแจฮวานแวะไปรับที่บ้านแต่เสือกไม่ขับไปส่งเพราะติดลม ช่างแม่ง เดินไปอีกหน่อยก็ถึงป้ายรถเมล์แล้ว เดินไปได้ไม่กี่นาทีก็ต้องหยุดชะงักเมื่อสายตาเหลือบไปเห็นเด็กผู้ชายคนนึงกำลังยืนกอดกระเป๋าอยู่หน้าตึกแถวไม่ไกลจากเขานัก ดีแค่ไหนฝนที่ตกลงกระทบร่มมันดังช่วยกลบเสียงหัวใจที่อยู่ๆก็เต้นเร็วไม่เป็นจังหวะจนน่าใจหาย ใบหน้างอแงเหมือนจะหงุดหงิดฝนที่อยู่ๆก็ตกลงมากับร่างกายที่สั่นเทาเพราะความหนาวมันกำลังทำให้ขาของคิมยงกุกค่อยๆขยับเดินเข้าไปหาจนมารู้ตัวอีกทีก็ยืนอยู่ตรงหน้าของเด็กคนนั้นเรียบร้อยแล้ว ใบหน้างุนงงของเด็กผู้ชายที่กำลังตื่นตูมกับฝนที่เทลงมาไม่หยุดเงยหน้าสบตากับเจ้าของร่มที่มายืนอยู่ตรงหน้าเขาก่อนจะเผลอพูดชื่อออกมาด้วยความประหลาดใจ

     

    “พี่.. พี่ยงกุก” คนโดนเรียกค่อยๆมีสติกลับมาก่อนจะขยับตัวถอยหลังหนึ่งก้าวเมื่อรู้สึกว่าเขาจะยืนใกล้กับคนตรงหน้ามากเกินไป

     

    “มายืนอะไรตรงนี้”

     

    “พอดีผมมาทำธุระแถวนี้แล้วรอพี่จินอูมารับ…” ฮักนยอนเงียบเสียงลงหลังจากเอ่ยชื่อบุคคลที่สาม เขาพยายามหลบสายตาของยงกุกแต่ก็ทำไม่ได้เพราะคงไม่บ่อยนักที่เขาจะมีโอกาสได้มองหน้าของอีกคนแบบนี้ใกล้ๆอีก จะบอกว่าคิดถึงก็ได้ จูฮักนยอนคิดถึงคิมยงกุก นี่คือสิ่งที่แล่นอยู่ในหัวของเด็กน้อยตรงหน้า

     

    “แล้วทำไมไม่พกร่ม” 

     

    “ก็ใครจะไปรู้ว่าฝนจะตก” ใบหน้าฉุนเฉียวกับน้ำเสียงงอแงทำให้ภาพเหตุการณ์เก่าๆโผล่เข้ามาไม่หยุด ยงกุกสูดลมหายใจเข้าก่อนจะยื่นร่มให้อีกคน

     

    “งั้นเอาไป”

     

    “เอ้า แล้วพี่ใช้อะไร”

     

    “ไม่ต้องห่วงคนอื่น บอกให้เอาไป”

     

    “ไม่เป็นไร ผมยืนตรงนี้ก็ไม่เปียกสักหน่อยเดี๋ยวพี่จินอูก็จะถึงแล้ว”

     

    “ฉันบอกให้ถือ”

     

    “…” ฮักนยอนไม่ชอบเวลาที่ยงกุกทำเสียงดุใส่ เขาทำหน้าไม่พอใจก่อนจะรับร่มจากมืออีกคน “พี่จะทำไร”

     

    “เดี๋ยวไม่สบายแล้วหาเรื่องไม่ไปโรงเรียนอีก” ยงกุกไม่สนใจท่าทางเลิ่กลั่กของคนตรงหน้า เขายังคงพยายามเอาเสื้อเดนิมของตัวเองคลุมตัวของฮักนยอนเอาไว้ส่วนตัวเองก็มีแต่เสื้อยืดสีเทาตัวบางที่ตอนนี้ก็เริ่มเปียกฝนแล้วด้วย

     

    “ขอบคุณครับ”

     

    “…”

     

    “พี่ยงกุก” เจ้าของชื่อเลิกคิ้วขึ้นตอบรับเสียงเรียกของอีกฝ่าย “ตอนนี้พี่มีความสุขดีใช่ไหม” สิ้นคำถามของฮักนยอนดูเหมือนยงกุกจะคิดคำตอบนานไปหน่อยเด็กใจร้อนอย่างเขาเลยต้องขยับตัวไปใกล้ๆก่อนจะถามย้ำอีกครั้ง “ไม่ได้ยินที่ผมถามเหรอ”

     

    “อื้อ ก็มีความสุขดี”

     

    “เพราะว่าพี่มีแฟนใหม่แล้วละสิ”

     

    “ใช่”

     

    “…”

     

    “หมดคำถามยัง ถ้าหมดฉันจะได้ไป” ยงกุกทำท่าจะเดินออกไปจากตรงนั้นแต่ฮักนยอนก็เรียกรั้งเอาไว้

     

    “แฟนพี่อยู่โรงเรียนเดียวกันกับผมเหรอ”

     

    “…”

     

    “เห็นพวกนักกีฬาบาสเขาคุยกัน ผมรู้แค่ว่าพี่จีฮุนเคยจีบ”

     

    “นายรู้จักจินยองด้วยเหรอ"

     

    “เปล่า ผมเคยเห็นหน้าแต่จำชื่อไม่ได้” ฮักนยอนเงียบไปครู่หนึ่งพอเห็นสีหน้าของยงกุก “ชื่อจินยองเหรอ”

     

    “ชื่ออะไรก็ไม่เกี่ยวกับนาย ฉันไปก่อนนะ”

     

    “เดี๋ยวสิครับ” มือเล็กคว้าแขนของอีกคนเอาไว้ “แล้วพี่.. รักผมมากกว่าหรือว่ารักคนนั้นมากกว่า”

     

    “ไม่เห็นต้องคิดเลย ฉันก็ต้องรักแฟนฉันสิ”

     

    “…”

     

    “แพ-จิน-ยอง คนนั้นที่นายว่าชื่อแพจินยอง”

     

    ไม่รู้ว่าด้วยอารมณ์โกรธ...

     

    “เป็นคนที่ฉันรักมากที่สุดในตอนนี้”

     

    หรือเพราะสายตาอ้อนวอนที่กำลังจ้องมองผมอยู่

     

    “นายไม่ควรถามฉันแบบนี้ขณะที่นายก็มีแฟนอยู่นะ ฮักนยอน”

     

    แต่สิ่งเดียวที่ผมมั่นใจที่สุดก็คือ.. ผมรักแพจินยอง ไม่ว่าคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าจะเป็นคนที่ผม(เคย)รักมากก็ตาม

     

     

    ____________

     

     

     

    มือเล็กวางช้อนลงข้างๆถ้วยน้ำแข็งใสก่อนจะเอื้อมมือไปทาบบนหน้าผากของคนตรงหน้า คิ้วทั้งสองขมวดเข้าหากันอย่างพินิจพิจารณาอาการของคนเป็นแฟนที่ไม่ยอมปริปากพูดตั้งแต่เจอกันหน้าโรงเรียนถ้าหากว่าแพจินยองไม่ยอมถาม รู้อยู่ว่านิสัยอีกฝ่ายเป็นคนไม่ค่อยพูดแต่แบบนี้มันผิดปกติ

     

    “ไม่สบายเหรอ ตัวอุ่นๆ” คิมยงกุกที่นั่งก้มเล่นโทรศัพท์อยู่เหลือบตามองจินยองพลางคว้ามือของอีกคนที่แตะอยู่บนหน้าผากเขามาวางที่โต๊ะแล้วกุมเอาไว้หลวมๆแทน

     

    “ไม่ใช่หรอก”

     

    “แต่พี่ไอด้วยนะ ผมสังเกต” จินยองหรี่ตามองอย่างคนจับผิด คนเห็นถึงกับอมยิ้มกับท่าทางของคุณหมอจำเป็น “หรือเพราะเมื่อคืนดื่มเยอะ ก็ผมบอกแล้วใช่เปล่าว่าให้ดื่มน้อยๆ”

     

    “ก็ไม่ได้ดื่มมากมายพอนายโทรมาก็กลับเลย”

     

    “ห้าทุ่ม.. ก็ลองไม่กลับดูสิ” สิ้นคำพูดของจินยองอีกคนก็มีท่าทางแปลกๆก่อนจะก้มหน้าไอไม่หยุด “พี่ไม่สบายจริงๆด้วย… ไปทำอะไรมา” น้ำเสียงจินยองดูเป็นห่วงมากยิ่งใบหน้าหงอของเจ้าของยิ่งแล้วใหญ่ ยงกุกรีบหยิบน้ำขึ้นมาดื่มพลางฉีกยิ้มเหมือนกับว่าตัวเองสบายดีแต่มันยิ่งทำให้จินยองรู้สึกเศร้ามากกว่าเดิม “ไม่ต้องมายิ้มเลย ผมเป็นห่วงนะ นั่นน้ำก็เย็นไม่ต้องกินมันแล้ว นี่ด้วย…” จินยองก้มมองถ้วยน้ำแข็งใสที่ตัวเองร้องอยากกินยงกุกเลยพามาก่อนจะดันมันหลบไปข้างๆ

     

    “ไม่ได้ อันนี้นายต้องกินให้หมด” ยงกุกขยับถ้วยมาไว้ตรงหน้าจินยองเหมือนเดิม

     

    “ไม่เอา พี่กินไม่ได้ผมก็ไม่อยากกินแล้ว” 

     

    “อย่างอแงดิ ฉันแค่ไอเอง”

     

    “แค่ไอก็ไม่ได้อ่ะ ปวดหัวไหม อยากกลับเปล่า” จินยองทำท่าจะลุกขึ้นยืนยงกุกเห็นแบบนั้นก็รีบย้ายข้างไปนั่งข้างจินยองแทนพลางกดเอวของอีกคนให้นั่งลง

     

    “จินยอง ฉันไม่เป็นอะไรมาก”

     

    “จริงๆนะ” สายตาสั่นระริกเหมือนลูกหมากำลังจะร้องไห้จ้องมองคนข้างๆไม่วางตา

     

    “เออออ จริงดิ”

     

    “หนาวเปล่า” ยงกุกสะดุ้งเล็กน้อยพออีกคนเอื้อมมือสองข้างมาประคองหน้าเขาไว้ ความเย็นจากมือเล่นเอาเจ้าตัวถึงกับดึงหน้าไม่ถูก “หนาวเหรอ”

     

    “เย็นมือนายนี่ละจินยอง…”

     

    “เอ่า… ขอโทษครับ” คนตัวเล็กรีบชักมือกลับพลางก้มหน้าหงุดลงด้วยความรู้สึกผิด ไหล่บางยวบลงเล็กน้อยหลังจากหัวทุยๆของคนข้างๆวางลง แพจินยองเหลือบมองการกระทำของยงกุกขณะที่ตัวเองก็รู้สึกเขินขึ้นมาเสียเฉยๆ “ปวดหัวเหรอ” เขาพูดทั้งๆที่ไม่กล้าแม้แต่จะหันหัวไปมอง

     

    “เปล่า ขออยู่แบบนี้สักพักได้ไหม”

     

    “…”

     

    “ส่วนนายก็นั่งกินไปให้หมด” จินยองโดนมือหนากอดรอบเอวเอาไว้ เขาไม่รู้ว่ายงกุกเป็นอะไรหรือแค่ง่วงนอนแต่เขาก็ไม่ได้ขัดขืนแถมยังรีบหยิบถ้วยน้ำแข็งใสมานั่งกินอย่างตั้งใจทั้งๆที่มีหัวของอีกคนวางอยู่บนไหล่ นี่เขาตั้งใจกินมากกว่าตั้งใจเรียนอีกนะเนี่ย..

     

     

    วันนี้จินยองขอกลับบ้านไวกว่าทุกครั้งปกติจะต้องขอแวะไปนู่นนี่แต่พอเห็นอาการของอีกคนแล้วก็ไม่อยากจะงอแงกลายเป็นยงกุกที่งอแงใส่จินยองขนาดก่อนกลับให้แวะซื้อยาก็ยังทำท่าเหมือนคนจะตายเสียให้ได้

     

    “อย่าลืมกินยาด้วยนะ”

     

    “รู้แล้ว”

     

    “พูดเพราะๆสิแล้วก็ตอบว่าเข้าใจด้วย”

     

    “…”

     

    “ไม่งั้นผมไม่เข้าบ้านนะ”

     

    “ครับ.. เข้าใจแล้ว” ยงกุกตอบเสียงเบาเหมือนกับว่าเป็นสิ่งที่ยากสำหรับเขามากในการพูด ‘ครับ’ จินยองยิ้มกว้างชอบใจก่อนจะเดินไปจุ้บปากอีกคน “จุ้บไม..”

     

    “ไม่ชอบเหรอ”

     

    “ชอบดิ แต่เดี๋ยวติดหวัด” ยงกุกขยับถอยหลังไปหนึ่งก้าว จินยองเห็นแบบนั้นก็เดินตาม

     

    “เป็นหวัดไม่ใช่โรคร้ายแรงสักหน่อย”

     

    “ฉันไม่อยากให้นายเป็น”

     

    “แต่ถ้าพี่เป็นผมก็อยากเป็นหนิ” จินยองเริ่มงอแงอีกครั้งพอโดนยงกุกขัดใจ 

     

    “ไม่ ฉันไม่อยากเป็นห่วงนาย มันเหนื่อยนะรู้ไหม”

     

    “เป็นห่วงผมมันน่าเหนื่อยขนาดนั้นเลยเหรอ..” จินยองมีสีหน้าผิดหวังเล็กน้อย ยงกุกเกาหางคิ้วตัวเองเมื่อรู้สึกไปไม่เป็นเพราะเขาไม่ได้จะสื่อแบบนั้น นี่ทำไมคนปกติถึงจิตใจอ่อนไหวกว่าคนป่วยอีกวะเนี่ย

     

    “ไม่ใช่แบบนั้นดิ”

     

    “แล้วมันแบบไหน มันน่าเบื่อมากเหรอ”

     

    “ไปกันใหญ่ละ ฉันหมายถึงพอนายป่วยฉันก็ไม่ได้อยู่ใกล้นายตลอดเวลา อยากจะนอนกอดก็ทำไม่ได้ อยากจะป้อนยายังยากเลย มันเหนื่อยไงที่ต้องมานั่งกังวลว่านายจะเป็นยังไง ถ้าอยู่ด้วยกันก็ว่าไปอย่าง”

    “…”

     

    “เพราะฉะนั้นไม่ต้องป่วยอะดีแล้ว”

     

    “ที่พูดมาทั้งหมดนี่พี่ป่วยอยู่นะ.. แล้วผมก็เป็นห่วงพี่ด้วย”

     

    “แต่ฉันเก่ง ฉันดูแลตัวเองได้ฉันจะรีบหายเพราะอยากจูบเด็กตรงหน้าจะแย่อยู่แล้ว” ยงกุกไม่พูดอย่างเดียวเขาเอื้อมมือไปยีหัวเด็กผู้ชายที่เขาอยากจะดึงมากอดให้แน่นแต่ก็ต้องห้ามใจเอาไว้เพราะกลัวอีกคนติดหวัด แค่ก่อนหน้านี้ไปนั่งข้างๆยังกลัวจะติดแต่ถ้าไม่ทำแบบนั้นเด็กอยู่ไม่นิ่งอย่างจินยองก็ไม่ยอมกินน้ำแข็งใสให้หมดสักที

     

    “ถ้าพูดแบบนี้กลับบ้านไปแล้วกินยาด้วยนะ จะได้หายไวๆ”

     

    “อยากโดนจูบอะดิ”

     

    “หรือไม่อยาก”

     

    “มียอกย้อน รู้แล้ว เข้าบ้านได้แล้วนายอ่ะ”

     

    “อื้อ”

     

    “ฉันไปนะ”

     

    “ถึงแล้วทักมาบอกด้วยนะ” ยงกุกพยักหน้าพลางโบกมือไล่ให้จินยองเข้าบ้าน เขารอให้อีกคนเดินเข้าไปในบ้านถึงจะยอมเดินถอยออกมา แพจินยองพอเข้าไปในบ้านได้ก็รีบวิ่งไปตรงหน้าต่างแอบมองว่ายงกุกเดินไปแล้วหรือยังพอเห็นว่าอีกคนกำลังเดินไปก็อดใจหายไม่ได้ นี่เขาเป็นห่วงอีกฝ่ายมากขนาดนี้เลยเหรอเนี่ย ถ้าเป็นไปได้เขาเองที่อยากไปส่งยงกุกที่บ้านมากกว่าแต่คงโดนปฏิเสธหัวชนฝาแน่นอน ว่าแต่… อีพี่ดงโฮหายไปไหนอีกแล้วเนี่ย

     

     

     

    ____________

     

     

     

    เจ็ดสิ่งมหัศจรรย์ของโลกยังดูไม่ตื่นตาตื่นใจเท่ากับอีแดฮวีมานั่งดูหนังกับคังดงโฮเลย... จากการที่เขาเลิกเรียนเสร็จกะว่าจะกลับบ้านก็ได้รับสายโทรศัพท์จากดงโฮว่าวันนี้ว่างไหม จะชวนให้มานั่งแปลงานภาษาอังกฤษให้หน่อยเพราะเห็นว่าแดฮวีดีกรีนักเรียนนอกมาตลอดชีวิตวัยเด็กแต่ต้องกลับมาร่ำเรียนมัธยมปลายที่บ้านเกิดเลยอ้างว่ามีโอกาสก็อยากให้ใช้ภาษาหรือเรียกตามภาษาของอีแดฮวีก็คือการเอาเขามาใช้ประโยชน์เพื่อตัวเองนั่นละ นั่งแปลไปแปลมาคนที่เบื่อกลับเป็นเจ้าของงานเลยออกความคิดว่าควรไปพักสมองโดยการดูหนังสักเรื่อง คนที่ควรพูดว่าพักสมองควรจะเป็นแดฮวีมากกว่าไม่ใช่คนนั่งเล่นโทรศัพท์มาสองชั่วโมงอย่างเขา

     

    แล้วนี่คือจุดเริ่มต้นของการที่แดฮวีอยู่ในโรงหนังกับดงโฮที่นั่งกอดอกท่าทางสบายใจอยู่ข้างๆ เห็นแล้วก็หมั่นไส้ หนังสือเล่มก็ใหญ่ยังจะเอามายัดฝากในกระเป๋านักเรียนของผมอีก ไอ้คนเห็นแก่ตัว!

     

    “หยิบน้ำให้หน่อยดิ” ดงโฮใช้สายตามองไปที่แก้วน้ำที่วางอยู่ด้านข้างตัวเองแท้ๆแต่กลับไม่ยอมขยับตัวหยิบเอง แดฮวีใช้โอกาสที่ไฟในโรงหนังมันมืดแอบเบะปากทีนึงก่อนจะเอื้อมมือไปประคองแก้วโค้กแก้วใหญ่ยื่นให้อีกคน เขาดูตกใจเล็กน้อยที่ดงโฮไม่ยอมรับแก้วแต่กลับก้มหน้าลงมาดูดน้ำทั้งๆที่สายตาก็ยังมองจอหนังอยู่

     

    “ทำไมไม่ถือเอง หนักก็หนัก เย็นก็เย็น”

     

    “ก็นายไม่ได้บอกให้ถืออ่ะ” แดฮวีรีบวางแก้วน้ำลงก่อนจะชักสีหน้าใส่คนด้านข้าง เขาไม่อยากจะตอบโต้อะไรแล้วยิ่งพูดไปเสียงก็ยิ่งดังขึ้นเดี๋ยวจะโดนคนรอบๆด่าเอา มือเล็กถูกันไปมาเมื่อรู้สึกเย็นจากเครื่องปรับอากาศภายในโรงหนังบวกกับที่จับแก้วน้ำเมื่อกี้ เสื้อนักเรียนตัวบางก็ไม่ได้ช่วยให้ความอุ่นอะไรกับเขาเลยสักนิดนี่หนังเพิ่งเล่นไปยังไม่ถึงครึ่งเรื่องเลยนะ จะมาหนาวแบบนี้ไม่ได้!


     

    กึก..


     

    แก้วน้ำโค้กถูกย้ายฝั่งไปอยู่ด้านซ้ายของดงโฮก่อนที่ที่กั้นระหว่างเขากับแดฮวีจะถูกยกขึ้นเก็บ มารู้ตัวอีกทีร่างเล็กก็โดนคนตัวโตกว่าโอมไหล่พลางรั้งให้แดฮวีขยับเข้าไปใกล้ๆเขา

     

    “ขยับเข้ามาดิ”

     

    “พี่มามากอดผมทำไม” แดฮวีกระซิบด้วยความตกใจแต่คนฟังให้ความรู้สึกว่าอีกคนกำลังแผดเสียงใส่เขาอยู่ถ้าไม่อยู่ในโรงหนังเสียงนั้นต้องดังมากแน่ๆ

     

    “ไม่ได้กอด ก็เห็นหนาว หยุดพูดแล้วขยับตัวมาเร็วๆ เดี๋ยวคนอื่นด่า” ดงโฮหันมองซ้ายขวาทำท่าเหมือนกลัวคนอื่นจะรำคาญเขาสองคน แดฮวีเห็นแบบนั้นก็ไม่กล้าขัดขืนอะไรมากเลยได้แต่ยอมขยับตัวเข้าไปใกล้ พอไหล่บางแนบชิดกับอกแกร่งของตัวเองเขาก็เลื่อนมือจากแขนของแดฮวีไปจนถึงมือเล็กที่กุมกันอยู่บนหน้าขา เพียงแค่มือของดงโฮมือเดียวก็สามารถกุมมือทั้งสองข้างของแดฮวีได้สบายๆ ภายในร่างกายเขาตอนนี้ลืมความหนาวไปเสียสนิทความร้อนเริ่มก่อตัวจนรู้สึกว่าเหงื่อเริ่มออกตามฝ่ามือ “อุ่นขึ้นมาบ้างยัง”

     

    “คะ.. ครับ”

     

    “ดี แล้วก็เลิกบ่นด้วยฉันจะดูหนังแล้ว” แดฮวีเงียบไปแปบนึงก่อนจะพยักหน้ารับ เขาไม่กล้าแม้แต่จะเงยหน้าขึ้นมองจอภาพใหญ่ตรงหน้า ไม่กล้าแม้แต่จะหายใจแรงเพราะกลัวอีกคนจะรู้ว่าเขากำลังไม่เป็นตัวของตัวเอง ไม่กล้าแม้แต่จะขยับแขนหรือตัวเพราะกลัวว่าดงโฮจะรำคาญ แต่สิ่งเดียวที่เขาควบคุมไม่ได้ก็คงจะเป็นหัวใจที่กำลังเต้นผิดจังหวะจนรู้สึกหน่วงทั่วท้องไปหมด...

     

    นี่ผมกำลังดูหนังแอคชั่นอยู่นะ มันต้องไม่ใช่ความรู้สึกนี้สิ!!


     

    ____________



    โถ่ ฟิคฟิวกู๊ดของฉัน...
    เอาหน่าไม่อยากให้เรียกดราม่า คนมีความรักก็ต้องมีหึงหวง
    เป็นบททดสอบความสัมพันธ์ของทั่งคู่ ก็ว่ากันไป
    รักกันอย่างเดียวเดี๋ยวจะเบื่อกันไว โน๊ะะะ
    เราไม่ดึงดราม่าแบบละครช่องสามแน่นอน 55555555
    เราเข้าส่องแท็ก #กุกนยอง ทุกวันเลย ขนาดรู้ว่าไม่มีโมเม้นก็ยังรั้น
    ก็เราคิดถึงคู่นี้ จะมีก็แต่ฟิคที่ยาเยียวหัวจัยย

    ขอบคุณที่ยังเข้ามาอ่านยังสนับสนุนทั้งเราและก็คู่กุกนยองมากๆน้าา
    อ่านบางคอมเม้นเราก็ขำ พี่ยงกุกมันกวนตีนขนาดนั้นเลยเหรอ 555
    อย่าลืม ฮัชแท็ก #มบฟช นะจ้ะ จุ้บบ


     

    (c) Chess theme

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×