ตอนที่ 4 : EP.03
EP.03
:)
อากาศที่เริ่มเย็นกับกระแสลมเป็นสัญญาณของฤดูหนาวที่กำลังเดินทางมาถึง จองยอนเลื่อนมือหมุนลูกบิดประตูอย่างเบามือ เธอก้าวฝีเท้าเข้ามาด้วยความเงียบที่สุดเหมือนกับพวกย่องเบา
“เงียบจัง สงสัยนอนไปแล้ว”
จองยอนบ่นพึมพำกับตัวเองพลางเอื้อมมือคลำกำแพงเพื่อหาสวิตช์ไฟ ปกติแล้วเวลาเที่ยงคืนเป็นช่วงเวลาแสนสำราญสำหรับวัยรุ่นอย่างแชยอง ถ้าไม่เล่นเกมออนไลน์กับเพื่อน ก็คงจะเปิดเพลงวงเคป็อปเสียงดังพร้อมท่องแฟนชานท์อย่างเป๊ะ
“กระเป๋าใคร?”
เธอขมวดคิ้วหลังจากเห็นกระเป๋าแบรนด์เนมราคาแพงวางกองอยู่บนโซฟาห้องโถงเล็ก
แชยองไม่มีรสนิยมใช้กระเป๋าแบบนี้
มือเรียวหมุนลูกบิดประตูด้วยความสงสัย ทว่าเป้าหมายของจองยอนไม่ใช่ห้องนอนของตัวเองแต่กลับเป็นห้องนอนของน้องสาวตัวเล็ก
แกรก
“เห้ยพี่จองยอน เข้ามาไงเนี้ย!”
เสียงลูกบิดประตูดังขึ้นทำเอาคนข้างในสะดุ้งโหยง
จองยอนกวาดสายตามองไปรอบห้อง ปรากฏกระดาษสเก็ตช์ภาพขนาดใหญ่วางเกะกะเกลื่อนพื้นไม้สีเข้ม ภาพโปสเตอร์ของศิลปินคนโปรดถูกแขวนเต็มกำแพง ผนังห้องถูกประดับด้วยไฟเชอร์รี่สีชา ยังไม่รวมกองหนังสือมากมายที่ทับถมกันอยู่บนโต๊ะทำงานอย่างไม่เป็นระเบียบจนดูเกะกะรกหูรกตา สายตากวาดมองไปมาก่อนมาหยุดค้างกับภาพตรงหน้าที่ดูไม่ค่อยดีเอาเสียเลย
แชยองกำลังนอนอยู่บนเตียง
กับใครอีกคน
“ออมอ!” คนตัวสูงเผลออุทานออกมาด้วยความตกใจ เธอเบิกตากว้างทันทีที่เห็นภาพสาวแปลกหน้าอยู่เคียงข้างแชยอง
ช่างเป็นภาพที่ค่อนข้างวาบหวิว
หญิงสาวผมสีดำยาวประบ่าอยู่ในสภาพเสื้อผ้ายุ่งเหยิงแถมผมไม่เป็นทรง แจ็คเก็ตยีนส์ถูกถอดกองไว้เหลือเพียงแต่เสื้อกล้ามสีดำกับกางเกงขาสั้นที่ปกปิดร่างกาย สายตาของจองยอนเผลอปะทะเข้ากับเนินอกขาวที่เกือบทะลักออกมาผ่านคอเสื้อแสนลึก
“พี่กลับมาทำไมไม่ส่งข้อความมาบอกฉันก่อน” แชยองส่ายหน้าอย่างไม่สบอารมณ์ ก้อนหัวใจเต้นรัวแรง เหมือนกับคนทำผิดที่ถูกจับได้คาหนังคาเขา
“จัดการธุระของแกให้เรียบร้อย เรามีเรื่องต้องคุยกัน”
จองยอนเอ่ยเสียงห้วน
นี่มันอะไรกันเนี่ย—
ยอมรับว่าจองยอนตกใจกับภาพที่เห็นไม่ใช่น้อย
แกเพิ่งจะขึ้นปีหนึ่งเองนะ ซน แชยอง
“วันนี้กลับหอไปก่อนนะออนนี่ ฉันไม่มีอารมณ์ล่ะ”
แชยองปฏิเสธคนตรงหน้าด้วยสีหน้าไม่ดีนัก หล่อนคงจะรู้สึกเซ็งเล็กน้อยที่พี่สาวของตัวเองเข้ามาเห็นแบบนี้
“อือ ก็ได้—” อีกฝ่ายตอบอย่างเสียดาย
“งั้นพรุ่งนี้เจอกันที่คณะนะ”
แจ็คเก็ตยีนส์ถูกสวมกลับเข้าที่เหมือนดังเดิมก่อนเจ้าตัวเร่งฝีเท้าออกไป แชยองถอนหายใจออกมายาวเหยียดบ่งบอกถึงความเสียดายที่หล่อนพลาดบางอย่างสำหรับคืนนี้
“แกมีอะไรจะอธิบายกับพี่หรือเปล่า” สายตาเย็นชาของคนพี่จดจ้องน้องสาวตัวดีอย่างคาดโทษ
“ก็ไม่เห็นจะมีอะไร แค่ชวนรุ่นพี่มาคุยเล่น” แชยองยิ้มเฝื่อน
แน่ใจหรอว่าแค่นั่งเล่นพูดคุยกัน
“พี่เตือนแกกี่รอบแล้วว่าอย่าพาใครมาที่บ้านแบบนี้” จองยอนทำสีหน้าไม่พอใจ
“ขอโทษค่ะ แต่—”
“แล้วคนนั้นเป็นใคร?” เธอถามแทรกโดยไม่คิดจะฟังเหตุผลของคนน้อง
“รุ่นพี่ที่คณะค่ะ”
“แล้วเขาชื่ออะไร? ไปเจอกันที่ไหน? คบกันนานหรือยัง?”
คำถามถูกพ่นออกมาจากปากคนพี่จนฟังดูน่ารำคาญ อารมณ์ฉุนเฉียวของเธอเกิดขึ้นเพราะเธอ ‘หวง’ น้องสาวมาก
“ชื่อโมโมะ เจอกันเพราะเขาเป็นรุ่นพี่ที่คณะไงคะ พี่จะถามอะไรเยอะแยะ”
แชยองเบือนหน้าหนี เธอไม่พอใจที่พี่สาวก้าวก่ายเรื่องส่วนตัว
“แล้วคบกันนานหรือยัง? ทำไมไม่ตอบคำถามพี่”
“...”
“...”
“ไม่ได้คบกันค่ะ แค่คุยเล่น”
คุยเล่นแต่พากันมาถึงห้องนอน
จองยอนไม่พอใจการกระทำของแชยอง
อันที่จริงแล้วแชยองไม่ได้ตั้งใจจะพาใครเข้ามาทำเรื่องอย่างว่าที่ห้องนอนของตัวเองหรอก หล่อนเพียงแค่ชวนรุ่นพี่โมโมะออกเดทกันตามประสาเพลย์เกิร์ล—แบบที่ไม่คิดจะจริงจังกับความสัมพันธ์อะไรทำนองนั้น แต่โผล่มาอีกที ฮิราอิ โมโมะ ก็มานั่งอยู่บนเตียงนอนของเธอในสภาพที่พร้อมจะเริ่มทำกิจกรรมบางอย่างแล้ว แต่กลับถูกพี่สาวขัดจังหวะเสียก่อน
“พอแกไม่มีมินะ ชีวิตแกก็เละเทะจังเลยนะ ซน แชยอง”
“แล้วพี่มินะเกี่ยวอะไรด้วยอะ”
แรง
แรงจนแชยองรู้สึกเจ็บแปลบในหัวใจ
“สิ่งที่พี่พูดออกมามันไม่แรงไปหน่อยหรอ พี่จองยอน”
คนตัวเล็กน้ำตาเอ่อนองด้วยความรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจ นัยน์ตาคมฉายถึงความรู้สึกปวดหัวใจ หล่อนยกแขนเสื้อปาดน้ำตาที่ไหลอาบแก้มอย่างลวกๆก่อนเดินกลับเข้าห้องของตัวเอง
แชยองปิดประตูดังปัง
“แชยองอา”
จองยอนหลุบตาลงต่อหน้าประตูห้องนอนของน้องสาว เธอรู้สึกผิดจนบรรยายออกมาเป็นคำพูดไม่ถูก
เรื่องของผู้หญิงที่ชื่อ ‘เมียวอิ มินะ’ เป็นเรื่องที่อ่อนต่อความรู้สึกของคนตัวเล็ก จองยอนรู้ดีว่าเรื่องระหว่างแชยองกับมินะมันช่างเจ็บปวด
เธอรู้ดี
“พี่ขอโทษ”
Y E O U I N A R U S T A T I O N
“ฉันรู้ว่าคุณคงโกรธแชยองมาก แต่ฉันคิดว่าคุณพูดแรงไปนะ” หญิงสาวเอ่ยขึ้นพลางตักพุดดิ้งนมสดเข้าปากอย่างเอร็ดอร่อย
กลายเป็นว่าทุกวันหลังเลิกงาน—เป็นเวลาสำหรับการนัดเจอระหว่างจองยอนและนายอนตามประสา ‘เพื่อนใหม่’ ถึงจองยอนจะเป็นคนอัธยาศัยดีและเป็นกันเองกับเพื่อนร่วมงาน แต่ความจริงแล้วเธอก็ไม่ใช่คนที่มีเพื่อนมากมาย หรือเพื่อนสนิทที่พร้อมจะไปไหนมาไหนด้วยกันบ่อยๆ
นั่นเป็นเหตุผลที่เธอชอบไปไหนมาไหนคนเดียว
“ความรู้สึกมันเป็นเรื่องละเอียดอ่อนนะคุณ”
ถูกของนายอน
‘ความรู้สึกหรือความรัก’ ก็ไม่ต่างอะไรกับเส้นด้ายบางๆ
“ฉันคงหงุดหงิดแล้วพูดอะไรตามใจปากไปหน่อย จนป่านนี้แล้วแชยองยังไม่ยอมมองหน้าฉันเลย” จองยอนหน้าเครียด
“คุณคิดว่าฉันควรทำยังไง?” เธอตัดสินใจถามคนตรงหน้า
เหมือนกับว่าเธอวางใจคนตรงหน้าไปเสียแล้ว
“คุณลองพาเพื่อนสักคนที่มีรสนิยมเดียวกับแชยองไปซื้อของสักชิ้นสิคะ ฉันคิดว่าถ้าคุณซื้อที่ของแกชอบไปง้อ แกอาจจะลืมเรื่องแย่ๆไปได้บ้างนะ”
“ซื้อของง้อน้องสาวอย่างนั้นหรอ?” เธอฉุกคิด
คำแนะนำของนายอนน่าสนใจ แต่—
“ฉันไม่ได้มีเพื่อนเยอะขนาดนั้นหรอกนะคุณ” เธอกล่าวต่อ
“ก็มีแค่คุณนั่นแหละ”
สิ้นสุดประโยคจากคนผมสั้น—หญิงสาวผู้เพลินเพลินกับของหวานกลับอึ้งไปชั่วขณะ หล่อนหยุดเคี้ยวไปเสียดื้อๆ ทิ้งไว้แต่แก้มพองตุ่ยทั้งสองข้าง
‘ก็มีแค่คุณนั่นแหละ’
ก็แค่ประโยคแสนธรรมดา
แต่ทำไมถึงรู้สึกถึงอะไรบางอย่างขึ้นมา
ความรู้สึกที่เหมือนหัวใจดวงเล็กกำลัง เต้นรัว
“นี่คุณ”
คนตัวสูงลุกยืนขึ้นพลางเอื้อมมือไปหาคนแก้มตุ่ยอย่างขี้เล่น
“คุณไปเป็นเพื่อนฉันหน่อยสิ”
ไม่บ่อยนักที่จองยอนพบคนที่คุยด้วยแล้วรู้สึก ‘ถูกคอ’
ต่อให้พบเจอกับคนเป็นพันคน รู้จักคนเป็นร้อยคน ก็ไม่ได้แปลว่าทุกคนจะเข้ามาในโลกของเธอได้ทั้งหมด ส่วนมากเพียงเข้ามาพบปะพูดคุย ได้รู้จัก และสุดท้ายก็แยกย้ายกันไปใช้ชีวิตของตัวเอง แต่ไม่ใช่กับนายอน
ตลอดการเดินทางจากสถานีรถไฟฟ้าจนถึงห้างสรรพสินค้า ทั้งสองสนทนากันดุจเพื่อนสนิทที่คบกันมาสิบปี ต่างคนต่างเล่าเรื่องที่ตัวเองได้พบเจอมา ไม่ว่าจะเรื่องของการทำงาน อาชีพ กิจวัตรประจำวัน แม้กระทั่งเรื่องครอบครัว
โดยไม่มีใครกล้าเปิดประเด็นเรื่องความรัก
“แล้วทำไมคุณถึงมาทำกราฟิกล่ะ?” นายอนถาม
“ฉันคิดว่ามันเป็นสิ่งที่ฉันถนัดและอยากทำให้ดีที่สุด ฉันชอบเวลามีคนชื่นชมผลงานของฉันค่ะ มันเป็นความภูมิใจอย่างหนึ่งถึงแม้เขาจะไม่รับรู้ถึงตัวตนของเราก็ตาม”
“แสดงว่าคุณเป็นพวกชอบสร้าง ชอบออกแบบ คิดโน่นคิดนี่ไปเรื่อย ไม่ชอบอยู่ในกรอบอะไรเทือกนั้นใช่เปล่าคะ” หล่อนยิ้มมองเธอพลางกล่าว
“ชีวิตคุณดูอิสระจัง ฉันเริ่มรู้สึกอิจฉาแล้ว”
ที่นายอนบอกว่าอิจฉา
แปลว่าหล่อนอิจฉาจองยอนจริงๆ
“แล้วคุณล่ะ? ฉันขอเดาว่าคุณน่าจะรักสัตว์สินะ คุณถึงมาทำ Grooming & Petshop”
“ก็อาจจะใช่ แต่จริงๆแล้วฉันก็ไม่รู้หรอกว่าฉันอยากทำอะไร” นายอนยิ้มบาง
“พ่อและแม่ของฉันเป็นนักธุรกิจ พวกเขาคงอยากให้เป็นเจ้าคนนายคน พ่อแม่คงตัดสินใจมาดีแล้วล่ะว่า Grooming & Petshop น่าจะเหมาะกับฉันที่สุด”
เธอเข้าใจหล่อนดี
นายอนก็เหมือนกับเด็กคนหนึ่งที่ถูกพ่อแม่ปูทางให้ว่าต้องเป็นแบบนั้น ต้องเป็นแบบนี้ ต่างกับจองยอนที่มีอิสระในการเลือกเส้นทางเดินของตัวเอง
แต่เธอทำได้เพียงให้กำลังใจ
“แต่คุณก็ทำมันได้ดีนะ อย่างน้อยตอนนี้คุณก็เป็นเจ้าของธุรกิจที่ประสบความสำเร็จ”
จองยอนฉีกยิ้มให้คนตรงหน้า
“ขอบคุณนะจองยอน”
Y E O U I N A R U S T A T I O N
เป้าหมายสำหรับการเลือกซื้อของเพื่อง้อแชยองไม่ใช่ร้านขายตุ๊กตา แผ่นเสียง หรือสิ่งของที่คนตัวเล็กชอบใช้ในชีวิตประจำวัน แต่กลับเป็น Lotte Mart ที่รายล้อมไปด้วยขนมขบเคี้ยวและลูกกวาดสารพัดยี่ห้อ
แน่นอนว่าการซื้อขนมขบเคี้ยวไม่ใช่ความคิดของจองยอน
แต่เป็นความคิดของนายอนต่างหาก
“คุณแน่ใจหรอว่าจะซื้อขนม” คนตัวสูงเลิกคิ้ว
“แน่ใจที่สุดเลยค่ะ”
นายอนยิ้มกว้างเผยฟันกระต่าย ดูท่าแล้วคนที่คาดว่าจะมีความสุขกับขนมขบเคี้ยวนั้นจะไม่ใช่แค่แชยองคนเดียวแล้วสิ
เธอเองก็ดูมีความสุขกับชั้นวางเยลลี่เอาเสียมาก
“นี่คุณ หยิบเยลลี่เยอะไปแล้วนะ เดี๋ยวน้องสาวฉันก็อ้วนกันพอดีหรอก”
จองยอนส่ายหน้าเบาๆอย่างเอ็นดู
“นี่คุณไม่รู้อะไร เยลลี่ยี่ห้อนี้อร่อยมากเลยนะ”
นายอนบ่นอุบ ก่อนกวาดเยลลี่ลงตะกร้าเหมือนกับเธอตั้งใจจะเหมาเสียให้หมดทั้งชั้น
“แสดงว่าคุณอยากกินเองล่ะสิ ดูท่าทางคุณจะชอบเยลลี่จัง”
“ฉันจะซื้อไปฝากแชยองต่างหากล่ะ”
นัยน์ตาแสนสดใสถ่ายทอดผ่านดวงตาสาวฟันกระต่าย เธอปฏิเสธไม่ได้ว่าเยลลี่รสหวานตรงหน้ากำลังทำให้หัวใจของเธอรู้สึกพองโต
“คุณนี่ขี้บ่นจัง” เธอบ่นอุบ
อันที่จริงนายอนก็มีมุมเด็กเหมือนกับคนอื่น การที่เราเติบโตเป็นผู้ใหญ่ไม่ได้แปลว่าเราต้องทิ้งความเป็นเด็กให้กับอดีต เราอาจจะเป็นเจ้าของธุรกิจใหญ่โตที่ชอบกินเยลลี่และของหวาน หรืออาจจะเป็นศัลยแพทย์ชื่อดังที่ชอบเล่นเกมออนไลน์ก็ไม่ผิด อะไรที่มันทำแล้วเรารู้สึกมีความสุข เหมือนได้เติมพลังให้กับหัวใจ—มันก็มากพอแล้วสำหรับชีวิต
“คุณซื้อขนมไปฝากแชยองเยอะขนาดนี้ สรุปฉันง้อน้องสาวฉันหรือคุณง้อกันแน่”
จองยอนเอ่ยอย่างขี้เล่น
“มา เดี๋ยวฉันถือให้”
ใครจะรู้ว่าการกระทำแสนธรรมดานั้นกระตุ้นความรู้สึกบางอย่างของนายอน อีกฝ่ายไม่รอช้า หล่อนเอื้อมมือคว้าถุงผ้าจากมือของเธอทันที
เป็นธรรมดาของเวลาเลิกงาน—มักล้วนไปด้วยผู้คนมากหน้าหลายตาที่เลือกใช้รถไฟฟ้าสาธารณะ ตอนนี้เป็นเวลาหนึ่งทุ่มตรง อากาศตอนกลางคืนเริ่มหนาวเย็น เม็ดฝนเริ่มตกลงมาเล็กน้อย ทำให้อุณหภูมิลดเหลือเพียง 14 องศาเซลเซียสโดยประมาณ
หนาว
หญิงสาวกอดอกด้วยความหนาวพลางลูบท่อนแขนของตัวเอง เธอปรายตามองเพื่อสังเกตอาการของอีกฝ่ายด้วยความเป็นห่วง
จองยอนจะรู้สึกหนาวเหมือนกันหรือเปล่า?
นายอนฉุกคิดวนไปวนมา เธอไม่รู้ว่าเธอควรจะเปิดปากถามคนตรงหน้าหรือไม่
รู้ตัวอีกที—แจ็คเก็ตยีนส์ตัวหนาก็คลุมอยู่บนตัวเธอเสียแล้ว
“คุณนี่มันไม่รอบคอบเลยนะ ใกล้เข้าฤดูหนาวแล้วหัดพกเสื้อคลุมบ้างสิ”
ร่างสูงกล่าวเสียงเรียบ
“เดี๋ยวก็ไม่สบายหรอก”
นายอนทำได้เพียงยิ้มบางให้กับคนข้างๆ เธอเบือนใบหน้าหนีหล่อน พร้อมกับความรู้สึกที่เต็มไปด้วยคำว่า ‘เขิน’
ใบหน้านวลร้อนผ่าวขึ้นมาอย่างกะทันหัน แรงหน่วงจากการเบรคของรถไฟฟ้านั้นทำให้หัวไหล่ของเธอสัมผัสเข้ากับร่างกายของหล่อน ไอร้อนจากคนที่ยืนข้างกันในรถไฟฟ้าช่างอบอุ่นอย่างอธิบายไม่ถูก อ้อมแขนอีกฝ่ายเชิญชวนให้เธอรู้สึกอยากโผกอดมันเสียตรงนี้
คิดอะไรอยู่เนี่ย อิม นายอน! เธอบ่นพึมพำในใจ
อย่าคิดถึงขั้นกอดเลย—
เธอไม่กล้าแม้แต่จะสบตากับอีกฝ่ายเลยด้วยซ้ำ
นี่ใช่ไหมอาการของคนตกหลุมรัก
เธอเข้าใจมันแล้ว
:)
TBC.
Yeouinaru Station
#สถานียออินารุ
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

ละมุนละไมใจอ่อนไหวมากอ่าา เขินตามแล้วเนี่ย.....
ดูสองคนนี้เขาชอบกันไวจังเลย ดูนายอนจะชอบจองยอนมากกว่าด้วย นายอนแสดงออกชัดเจนว่าชอบ แต่จองยอนดูเหมือนยังมีอะไรในใจ จองยอนเป็นคนชอบดูแลคนอื่นแบบนี้อยู่แล้วป่าวอ่า... อย่ามาทำให้นายอนคิดไปเองนะ เขินไปหมดบ้าบอออออออ / คู่มิแชงดูมีอดีตกันนะ ใช่ป่าว? เริ่มต้นไม่ดีแน่เลย ไรท์ปูทางมาขนาดนี้แล้วก้จะตามไปอ่าน
รอตอนต่อไปนะ สู้ ๆ
นายอนน่ารักมากเลยอ่ะ
อยากรู้เรื่อฝั่งด้านมิแชงแล้ว บ้าจริงจบไม่สวยมาหรอ โอ๋ๆนะคะน้องแชง