ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Mar-arch [ โลกาสังเคราะห์ ]

    ลำดับตอนที่ #4 : ตอนที่ 4 เผชิญหน้าอย่างหลีกเลี่ยง

    • อัปเดตล่าสุด 13 มี.ค. 56


    ตอนที่ 4 เผชิญหน้าอย่างหลีกเลี่ยง

                “ขณะที่กลุ่มเมฆดำทะมึนลอยฟูฟ่องกลางอากาศ เหนือพื้นดินไปไม่เกิน 80 ฟุต เคลื่อนตัวมาดุจกองทัพอาชาดำย่ำศึกอย่างคึกคะนอง จนฝุ่นควันตรลบคละคลุ้งบังแสงอาทิตย์ไม่ให้ทะลุสู่พื้นโลก ดูตามทิศทางการเคลื่อนที่แล้วเหมือนว่าจะมุ่งตรงไปที่เขาสามร้อยยอด เพียงอึดใจเดียวเท่านั้นเงาดำก็พาดผ่านศีรษะของผมไป อาจเป็นไปได้ว่าความกดอากาศจะเพิ่มสูงขึ้นอย่างผิดปกติ เมื่อเพ่งสายตามองไปในกลุ่มควันจะเห็นว่ามันลอยตัวต่ำเรี่ยรายพื้นเหมือนหมอกในตอนเช้า จากนั้นผมก็สังเกตเห็นเงาร่างคน 12 คนเดินอยู่ในนั้นอย่างระแวดระวัง เสียงฝีเท้าเงียบมากจะได้ยินก็ตอนเหยียบไม้ดังกรอบแกรบเท่านั้น ขณะนั้นผมอำพรางตัวอยู่ในพุ่มไม้ข้างทาง รู้สึกอัดแน่นในทรวงอก ความรู้สึกบางอย่างบอกว่ากำลังถูกจ้องมาจากที่ไหนสักแห่ง ผมไม่กล้าที่จะขยับตัวไปไหน หวั่นว่าจะถูกจับได้ กระทั่งลมพัดต้นหญ้าสูงขนาดต้นขาลู่ลงแนบเกือบถึงพื้น ยินเสียงเพี้ยวฟ้าวเป็นระลอกๆ ผมจึงตะกายตัวถอยลงไปที่หลุมซึ่งขุดไว้ก่อนหน้านั้น ผมส่งสัญญาณให้สุวิชระวังตัวแต่เขารู้ตัวก่อนแล้ว มือเขาจับลำปืนไว้แน่นพร้อมที่จะเหนี่ยวไกได้ถ้าหากว่ามีสิ่งใดโผล่มา มันคงเป็นสัญชาตญาณที่ขัดเกลาขึ้นจากประสบการณ์เสี่ยงตายนับครั้งไม่ถ้วนของเขา ยังนึกดีใจว่าเลือกคนมาไม่ผิด แต่ถึงอย่างไรผมก็แอบเห็นวี่แววความกลัวซึ่งปรากฏที่นัยน์ตาดุดันของเขาในเวลานี้ ผมกลืนน้ำลายฝาด ๆ ลงลำคออย่างยากเย็น กลั้นหายใจเป็นพัก ๆ ผมจึงตั้งสติภาวนาระลึกถึงคุณครูบาอาจารย์ เราต่างมองหน้ากันเพราะรู้ว่านี่คือการลงทุนที่มีความเสี่ยงมหาศาล ความน่าจะเป็นอย่างมากที่พวกเราจะต้องจ่ายชีวิตไปในดงกระสุนของศัตรูโดยที่ยังไม่ทันเห็นว่าพวกมันเป็นใคร

    ถึงจะอยู่ไกลแต่ก็มองเห็นว่าเซฟสวมชุดพรางตัวเหมือนทหาร จะต่างก็แค่คนนำหน้าหนึ่งและรั้งท้ายอีกสาม คนนำสวมชุดยาวมีผ้าคลุมไปทั้งหัวนั่นคงจะเป็นหมอมหาเมฆแห่งสำนักเขาแหลม ผู้ลือชื่อเรื่องไสยเวทย์ เพียงจ้องตามันผมก็รู้สึกได้ว่าคน ๆ นี้ไม่ธรรมดา แววตาของมันดุดันยิ่งกว่าเสือร้ายหิวโซซึ่งถูกขังในกรงมานานปี มันพร้อมจะตะปบเหยื่อทุกเมื่อที่ได้รับอิสรภาพ หากไม่เพราะปฏิบัติตามคำสั่ง ผมนี่อยากจะลองดวลกับมันสักตั้ง”

                “แล้วคนอื่น ๆ ล่ะลุง” ทหารพรานคนหนึ่งคาดคั้น

                ผู้เฒ่าหยุดพักหายใจ ก่อนกวาดสายตามองไปยังทหารพรานที่ยืนฟังอยู่รายรอบโต๊ะ

    “คนอื่นรึ...ก็เก่งพอตัว ตอนแรกได้ข่าวว่าไอ้สำเริงที่เป็นทหารรุ่นเดียวกันก็มาด้วย พอได้ประมือยิ่งมั่นใจว่าเป็นมันแน่ รูปแบบการโต้กลับเหมือนกันกับสมรภูมิชายแดนกัมปูเจียเมื่อสามสิบปีที่แล้ว คน ๆ นี้มีนิสัยพิลึกพิลั่น เวลาจัดทีมเดินทางมันจะจัดพวกมีอาคมขลังอยู่หน้าสุด คนอ่อนหัดอยู่ตรงกลางและจัดทีมสังหารที่ปกติควรจะอยู่หน้ามันรั้งท้ายแทน มันกะจะให้คนข้างหน้าถูกโจมตีทำทีว่าเพลี่ยงพล้ำก่อนพออีกฝ่ายได้ใจมันก็สวนกลับแบบไม่ทันตั้งตัว บางทีไอ้สำเริงก็นำทัพด้วยตัวเองเพราะมันก็ฝักใฝ่ในศาสนาเวทย์มนต์ดำอยู่เหมือนกัน อย่างตอนปราบกบฏหวาแดงที่เชียงรายนั่นชื่อเสียงของมันก็ดังระเบิดระเบ้อ ว่ากันว่ามันเดินคนเดียวเข้าไปเผาศูนย์บัญชาการใหญ่ของพวกหวาจนแตกกระเจิดกระเจิง พอทหารศยามไปถึงก็เหลือเพียงสถาปัตยกรรมเถ้าถ่านให้เห็น แผนเคลื่อนพลแบบนี้มีแต่มันเท่านั้นล่ะที่ทำ เพราะในใจของมันคิดแต่เพียงว่าผู้นำทางคือคนที่พร้อมจะเสียสละ แล้วมันก็ทำสำเร็จมาหลายหน หลายต่อหลายครั้งที่ลูกน้องกระโดดเข้ารับกระสุนแทนเหมือนกับว่ามันเป็นผู้บังเกิดเกล้าของไอ้พวกนั้นแหละ ดังนั้นอย่าประมาทเด็ดขาด เมื่อไหร่ที่ถูกล่อให้ห่างจากทีมเมื่อนั้นวิญญาณเป็นอันว่ากระเจิงออกจากร่างแน่ ผมขอเตือน

    เซฟทุ่มเงินมหาศาลเพื่อซื้ออาวุธรุ่นใหม่และอุปกรณ์ไฮเทคจากตะวันตก ซื้อคนเก่งเช่นหมอมหาเมฆ ไอ้สำเริงและมือสังหารสามคนที่รั้งท้ายนั่น อย่างที่บอกว่าพวกมันไม่เหมือนคนอื่น สามคนนี้รูปร่างสูงโปร่ง ใส่ชุดคลุมแปลก ๆ สีน้ำเงิน สวมร้องเท้าสีบรอนเงิน มีโลหะสะท้อนแสงติดอยู่ตามจุดสำคัญของร่างการ ตั้งแต่แผงเท้า เข่า ขาหนีบ หน้าท้อง หน้าอก หัวไหล่ และแผงคอ คาดว่าน่าจะเป็นเกราะกันกระสุน ส่วนหัวพวกมันใส่ผ้าคลุมมิดชิด เหลือไว้เพียงช่องเล็ก ๆ ให้ตามองเห็น เรื่องฝีมือพวกนี้ลงมือได้ฉับไวปานสายฟ้าแลบ แค่สะบัดมือมีดก็พุ่งออกมาถึงตัวแล้ว มันไวปานกระสุนปืนไฟที่พุ่งทะลุลูกแตงอ่อนโดยที่ผลแตงไม่ได้ร่วงหล่นจากเถา ในรัศมีสองร้อยเมตรไม่เกินกว่านี้ หากว่าใครคิดจะเอาชนะความไวกับมันยิ่งต้องเตรียมซื้อโลงไว้รอได้เลย”

    “แล้วเรื่องร้อยโทสุวิชคุณจะอธิบายว่ายังไง ร้อยโทเฉลิม!” เสียงผู้พันนาวินดังมาจากหัวโต๊ะ เขานั่งอยู่หน้าแผนที่ด้วยสีหน้าเคร่งเครียด ทุกคนหันไปมองแล้วต้องหลบตาทันที

    “เดี๋ยวก่อนซีผู้พัน ผมมีข้อต่อรอง”

    “คุณไม่ได้อยู่ในฐานะที่จะต่อรองได้ คุณขัดคำสั่งผม กะอีแค่ให้ไปคอยจับตาดู แต่คุณกลับทิ้งภารกิจ ทิ้งเพื่อนหนีมาแบบนี้ ถามหน่อยซีว่าผมควรทำตามที่คุณขอหรือ?

    “มันก็ไม่ได้มากมายอะไรหรอกครับ แค่คุณสั่งให้ถอดกุญแจมือ ผมจะได้อธิบายทุกอย่างที่เกิดขึ้นได้สะดวกขึ้น”

    “ถอดกุญแจ! คุณคิดว่าผมโง่อย่างนั้นเหรอ”

     “ผมได้พูดว่าท่านโง่?” ผู้เฒ่าระเบิดเสียงหัวเราะ “ผมไม่กล้าว่าท่านหรอกผู้พัน แม้ท่านจะสั่งปล่อยตัว ผมก็ไม่กล้าว่าท่านโง่หรอก ด้วยความเคารพผมยังมีลูกหลานให้ต้องเลี้ยงดู หากผมถูกปลดพวกมันจะเอาอะไรกิน ผมไม่เหมือนหนุ่มโสดอนาคตรุ่งไปไหนมาไหนคนเดียวอย่างท่านหรอก”

    “ร้อยโทเฉลิม!” เสียงผู้พันกระแทก “คุณนี่มัน...”

    ผู้พันนาวินจ้องตาร้อยโทผู้เฒ่าเขม็ง สายตาผู้ผ่านโลกส่วนใหญ่จะมีบางสิ่งบางอย่างซ่อนไว้ แน่นอนว่ามันอยู่ลึกยิ่งกว่าคนหนุ่ม แต่มันก็ไม่ยากขนาดที่ว่าผู้นำทหารทั้งกองจะมองไม่ออก แม้แววตาของเขาพร่ามัวไปบ้างแต่มันก็ทอประกายซื่อตรงและองอาจ อ่อนล้าเยี่ยงผู้ผ่านโลกผ่านแดดฝนและผ่านสถานการณ์เช่นนี้มานับครั้งไม่ถ้วน นัยน์ตาที่มองตรงมาโดยไม่ยอมหลบไปไหน ปราศจากความหวั่นเกรงแต่อย่างใด ครั้งนี้ผู้พันใช้สัญชาตญาณตัวเองตัดสิน เขาคิดในใจว่าเรื่องนี้ต้องมีอะไรแอบแฝงอยู่แน่

    “ได้ ทหารถอดกุญแจมือ”

    สิ้นเสียงคำสั่งผู้บัญชาการกุญแจมือก็หลุดออก ร้อยโทเฉลิมลุกขึ้นยืนบิดตัวเพื่อคลายเส้น เขาปัดผงฝุ่นที่เกาะตามลำตัวจากการเดินทางโดยไม่ได้หยุดพัก พอมือลูบไปถึงหน้าท้องซึ่งก็เกิดอาการเจ็บแปลบขึ้นมา เขาสะกดความเจ็บปวดไว้ด้วยเสียงไอ แล้วลากขาเดินไปที่โต๊ะแผนที่ซึ่งกางอยู่ เป็นแผนที่ดงพญาไฟทั้งหมดที่กองบัญชาการวาดเอาไว้ เขาเดินผ่านบรรดาทหารซึ่งจ้องตามไปอย่างไม่ลดละสายตา เขาชี้มือไปที่บ้านสามเศียรแล้วรูดลงมาหยุดที่เขาลูกหนึ่งแล้วพูดขึ้นว่า

    “จากบ้านสามเศียรถึงเขาสามพันเศียรปกติจะใช้เวลา 3 ชั่วโมง แต่พวกเซฟใช้เกือบค่อยครึ่งวัน แสดงว่ามันมีสัมภาระมามาก มันเตรียมพร้อมอย่างดีเพื่อรับมือกับทุกสถานการณ์ที่จะเกิดขึ้น พอสืบรู้มาว่าเซฟใช้ระบบ GPS ติดตามตัว ถ้าหากเกิดอะไรขึ้นฮอลิคอปเตอร์สกายฟาสต์สองลำที่จอดอยู่บ้านสามเศียรจะมาถึงในเวลา 20 นาที นอกจากนี้ยังมีกล้องถ่ายสารคดีซึ่งเอาไว้ส่งสัญญาณไปออกเซฟทีวี แต่มันไม่ได้ถ่ายตลอด พวกมันจัดฉากและให้หมอมหาเมฆโชว์ของไปเรื่อย ๆ เพื่อรักษาเรทติ้งเท่านั้น เหมือนรายการมายากลที่สร้างความตื่นตาตื่นใจให้ผู้ชมเป็นปี ๆ มันวนเวียนของเก่ามาเล่าใหม่อยู่อย่างนั้น แต่ผมรู้ว่านี่ไม่ใช่มายากลเพราะมหาเมฆคือของจริง คน ๆ นี้ไม่ธรรมดาแน่ เพียงพริบตาเดียวมันก็สั่งเมฆดำไปไล่วิญญาณบนเขาสามร้อยเศียรให้หนีเตลิดเปิดเปิงเหลือเพียงฝูงวานรนรก ทันทีที่พวกมันถูกโจมตีกระสุนปืนนัดแรกก็ดังขึ้น ทีมสังหารปามีดไปเจาะหัววานรคลั่งจนกะโหลกแตก แต่ผมก็สังเกตว่าก่อนที่มีดจะพุ่งออกไปนั้นพวกมันจะฉายแสงแฟลชแว็บหนึ่งไปที่เป้าหมายเพื่อทำลายการมองเห็น เป็นวิธีที่ฉลาดมาก แต่มันต้องมีอะไรมากกว่านั้นแน่

    “มันคืออะไร”

    “ผมก็ไม่แน่ใจ ถ้าหากเห็นอีกครั้งคงรู้แน่”

    “หลังจากนั้นล่ะ”

    “หลังจากนั้น เหตุการณ์ก็ชุลมุนขึ้น พรรคพวกวานรกรูกันเข้าไป เหมือนมันจะรู้ว่าวิธีอื่นใช้ไม่ได้ผล ซากศพวานรที่นอนเกลื่อนนั่นเป็นหลักฐานที่ชัดเจน พวกมันเรียนรู้ที่จะสละชีวิตเพื่อป้องกันหน่วยโจมตีซึ่งซ่อนอยู่ข้างหลัง ทันทีวานรพลิกสถานการณ์ได้ พวกมันมุ่งเป้าไปที่มือซึ่งถือปืนและตาซึ่งใช้มองเห็น มหาเมฆร่ายเวทย์สร้างบาเรียขึ้นมาปกป้องตนเอง ปล่อยให้ไอ้สำเริงและทีมสังหารจัดการฝูงวานรคลั่งเลือด พวกมันยิ่งแสกหน้าวานรที่พุ่งจากชง่อนผาและต้นไม้ วานรแก้เกมด้วยการเขย่ากิ่งไม้ให้หักลงมา มีเศษไม้ใบไม้ปลิวว่อน พวกมันหยิบกะโหลกศีษะซึ่งห้องแขวนอยู่ตามต้นไม้โยนไปที่เป้าหมาย และกวาดฝุ่นควันให้ตรลบอบอวลไปทั่วบริเวณ ไม่ช้าเสียงเสียงหวยหวนของวานรดังถี่ขึ้น ผู้หญิงคนหนึ่งคลุ้มคลั่งสาดกระสุนสะเปะสะปะ อีกคนหนึ่งถูกวานรดึงผมจนเธอกรีดร้องดังลั่น วานรอีกตัวแยกเขี้ยวหวังจะฝังมันในผิวนวลที่ต้นคอของเธอ ทันใดนั้นลูกกระสุนไม่ทราบที่มาก็เสยเอาตัววานรสองตัวปลิวลิ่ว ชายสองคนเข้ามาพยุงตัวหญิงสาวและใช้เครื่องมืออะไรบางอย่าง ลักษณะทรงกลมประมาณผลแตงโม ตอนนั้นผมกับสุวิชกำลังถูกลิงบ้าเล่นงาน ไม่ทันดูว่าเกิดอะไรขึ้น สักพักก็มีแสงสีขาวระเบิดวาบขึ้นช้า ๆ มันขยายวงกว้างขึ้นเรื่อย ๆ จนวงแสงนั้นมีเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 15 เมตร ก็แผ่รังสีความร้อนออกมา เหมือนว่าพวกมันสร้างดวงอาทิตย์ดวงเล็กขึ้นมาบนโลก ไอร้อนแผดเผาขนวานรที่อยู่ในบริเวณนั้น ฝูงวานรเหมือนจะรู้ว่าอันตรายกำลังใกล้เข้ามา พวกมันแตกพ่ายเป็นวงเหมือนมดตอมขนมแตกพ่าย พวกมันกระโดดหนีลำแสงแบบไม่คิดชีวิต บ้างโหนต้นไม้ไต่หนี พวกมันกรีดร้องเสียงหลง หลายตัวสั่นผวา นัยน์ตาหวาดกลัว

    เมื่อผมหันไปมองจุดที่เซฟอยู่ก็ไม่เห็นอะไรแล้ว แสงจ้าไปหมด พวกเซฟยังคงระดมยิงกระสุนอยู่ภายในแสง วานรซึ่งอยู่ด้านนอกค่อยล้มตายทีละตัวสองตัวหลังจากที่ถูกห่ากระสุนของเซฟ กลายเป็นแนวปราการวงกลมสูงเท่าล้อรถ ไอร้อนทำให้ผมถอยร่นออกมา มองหาสุวิชในระหว่างนั้นประมาณ 3.40 นาที แต่กลับไม่เจอ หลังจากนั้นเสียงปืนก็เงียบลง ฝูงวานรยังคงรอดูทีท่าอยู่ด้านนอก คิดว่าพวกเซฟคงหยุดสักพัก แต่ที่ไหนได้...

    “คุณกำลังจะบอกว่าคุณหาร้อยโทสุวิชไม่เจอจึงหนีหัวซุกหัวซุนกลับมา?

    “ใช่! ผมหนีมือสังหาร....และไอ้สุวิช”

    “หา!” ผู้พันนิ่งไปครู่หนึ่ง ทหารรอบข้างทำหน้าฉงน “ผมว่าคุณโกหก บอกความจริงมา ไม่เช่นนั้นคุณจะได้นอนห้องขังฐานขัดคำสั่งผู้บังคับบัญชาการ”

    “ผมรู้ว่าเรื่องที่เล่าไปมันยากจะเชื่อ แต่มันก็เป็นอาจจะจริงและไม่จริง ทางเดียวเท่านั้นที่จะรู้ความจริงก็คือการพิสูจน์”

    “พิสูจน์ว่าคุณจัดการฝังศพร้อยโทสุวิชไว้ที่ไหนใช่ไหม?

    “ใจเย็นผู้พัน ผมรู้ว่าท่านเป็นคนหนุ่มไฟแรงและได้รับความไว้วางใจจากผู้ใหญ่ให้มาดูแลที่นี่ แต่ท่านก็พึ่งย้ายคงจะไม่สามารถรู้นิสัยใจคอของทหารหมดทั้งกองได้ ในสองเดือนที่ผ่านมาผมสังเกตเห็นท่านกับสุวิชไปไหนมาไหนด้วยกันตลอด ความจริงมันก็เป็นสิทธิ์ที่ผมไม่ควรจะไปก้าวก่าย แต่สัญชาตญาณของผมมันตื่นขึ้นหลังจากที่เห็นหน้ามัน ผมเคยทดสอบสุวิชอยู่หลายครั้งซึ่งก็รู้อะไรบางอย่างแต่มันยังไม่ใช่เจน จนกระทั่งเหตุการณ์มันประจวบเหมาะผมจึงขอเอามันไปลาดตระเวนด้วย ผมรู้ว่าท่านเสียดายมัน แต่จงจำไว้เถอะว่าความเสียดายจะทำให้ท่านเสียใจ”

    “ผมคงให้ข้อมูลอะไรมากกว่านี้ไม่ได้ เพราะผมก็เสียดายที่เวลาของผมในตอนนี้เหลือน้อยเต็มที”

    ร้อยโทผู้เฒ่าพูดพลางยิ้ม เขาเหลือบไปที่มือขวาซึ่งกุมหน้าท้องตัวเองไว้ ไม่แน่ใจว่าเลือดจากปากแผลได้ไหลออกมาหรืออากาศจะร้อนจนทำให้เหงื่อร้อนไปด้วย แต่อย่างไรก็ตามสัมผัสบอกกับเขาว่ามันอุ่น ๆ จนทำให้ง่วงนอน

    เขาฝืนคำสั่งผู้บังคับบัญชาการและงีบหลับไปท่ามกลางผู้คนที่รอฟังเสียงของเขาอย่างใจจดใจจ่อ.

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×