ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Mar-arch [ โลกาสังเคราะห์ ]

    ลำดับตอนที่ #3 : ตอนที่ 3 : เบื้องหลังประตูลับ

    • อัปเดตล่าสุด 25 ก.พ. 56


    ตอนที่ 3 เบื้องหลังประตูลับ

     ภูเขาขยะที่กองพะเนินเทินทึกเสมือนภูเขาจจริง คือ ผลผลิตจากนโยบายผลักดันขยะออกนอกเมืองของรัฐบาลศยาม วัน ๆ หนึ่ง มันจะถูกลำเลียงโดยรถขนขยะหลายพันคัน มาที่ช่องเขาติดกับทางเข้าดงพญาไฟเพื่อไม่ให้ใครพบเห็น ดังนั้นสถานที่นี้จึงเป็นที่รวบรวมของเสียทุกชนิดตั้งแต่เศษอาหารยันเศษซากเครื่องบินรบ เวลาพูดถึงภูเขาขยะ บรรดาชาวเมืองศยามจะรู้สึกหยะแหยงจนขนลุกขึ้นมาทันดี การย่ำกรายเข้ามาที่นี่ก็ช่างเป็นเรื่องโชคร้ายไม่ต่างอะไรกับการเดินเข้าป่าช้าในเวลากลางคืน นอกจากปัญหาเรื่องกลิ่นแล้ว ภูเขาขยะยังเป็นแหล่งเพราะพันธุ์เชื้อโรคที่อันตรายติดอันดับโลก การที่เชื้อไข้หวัด H5N1 ที่คร่าชีวิตผู้คนในศยามไปเรือนหมื่น เมื่อไม่กี่ปีมานี้ รวมไปถึงไข้หวัดอื่นล้วนแล้วมีต้นตอมาจากที่นี้ทั้งนั้น เพราะไวรัสได้มีการผสมข้ามสายพันธุ์หรือข้ามยีนจากสัตว์ชั่นต่ำสู่สัตว์มีพิษ ต่อไปถึงสัตว์ป่าและแพร่กระจายสู่สัตว์เลี้ยง และย่อมหนีไม่พ้นที่จะไปสู่คน ภูเขาขยะคือสิ่งที่ชาวเมืองตระหนักอยู่เสมอว่ามันคือ “นรกบนดิน” นั่นเอง

    การจัดการขยะในแต่ละปีจะมีครอบครัวคนยากจนที่สมัครใจมาคัดแยกขยะ โดยมากันเป็นหมู่บ้าน ทีละสามสี่ร้อย โดยบริษัทกรีน เพลส จำกัดจะเป็นผู้ว่าจ้างโดยจ่ายค่าตอบแทนสูงยิ่งกว่าพนักงานบริษัทและสนับสนุนค่าซื้อเครื่องมือป้องกันภัยต่าง ๆ ให้แก่คนเหล่านี้ เช่น ชุดกันเชื้อโรค ยารักษาโรค ฯลฯ แม้ว่าจะได้งบประมาณจากทางรัฐบาลที่เพียงพอ แต่ก็ดูเหมือนว่าจะไม่ช่วยอะไรเลย เพราะคนเหล่านี้ส่วนใหญ่แล้วจะไม่มีชีวิตรอด ภายในเวลา 1 ปี คนเหล่านี้จะตายอย่างสิ้นหวัง ไม่มีใครมาเหลียวแลแม้ว่าเขาจะทำหน้าที่ที่มีเกียรติเฉกเช่นผู้พิทักษ์ดินแดน จะมีก็เพียงบางคนเท่านั้นที่ฉลาดพอจะเอาตัวรอดในภูเขาขยะได้

     

    บ้านของออร์ล

    เสียงเด็กน้อยมรชุนร้องเพลงดังแว่วมาแต่ไกล

    “ฉันเดินลำพัง บนทางที่รายล้อมไปด้วยขยะ

    ฉันชอบที่นี่เพราะมีดอกไม้น้อยใหญ่ผลิบานชูช่อ

    เลียบถนนมีเครื่องกีดขวาง ฉันกระโดดก้าวย่างโดยไม่หวั่นเกรง

    พวกหนู งูพิษ สัตว์ประหลาดหรือจะสู้เสียงตะเบงของพวกเรา

    ผองเพื่อนต่างแข่งกันตะเบงเสียงจนแหบแห้ง

    และเราล้มลงกลางทางเดิน

    เราพักผ่อนอย่างเพลิดเพลินระหว่างทาง”

    สักพักมรชันค่อย ๆ ซอยเท้าช้าลง มองไปที่บ้านหลังโซที่รายรอบไปด้วยรั้วสมุมไพรสูงประมาณเอว ทำหน้าที่กั้นอาณาเขตจากสัตว์ร้ายรู้รุกราน ตัวบ้านทำด้วยไม้ส่วนหลังคาทำด้วยเหล็กและสังกะสี บางที่ใช้วัสดุที่ไม่รู้ว่าเป็นอะไรปะผุลงไปเพื่อไม่ให้เกิดช่อง มันจึงเป็นงานศิลปะที่ประดับประดาไปด้วยของเหลือใช้ที่หาได้จากภูเขาขยะ หุ่นยนต์สองตัวตั้งอยู่บ้าน แขนของมันขาดทั้งคู่ มรชุนจำได้ว่าเคยใช้ใบพัดลมมาทำโล่ และใช้อ่างน้ำทองเหลืองมาทำหมวกให้มัน ออร์ลบอกว่ามันเหมาะที่จะเป็นหุ่นยนต์เฝ้าวัง ถัดไปเป็นภาพจิตรกรรมที่ถูกเผาไปส่วนหนึ่ง ก่อนหน้านี้มันคงจะมีราคามาก มันควรจะติดตามบ้านคนรวยหรือไม่ก็พิพิธพันธ์ให้คนมาเยี่ยมชม แต่เมื่อถูกเผาความสวยงามของมันก็จะไม่สมบูรณ์ ออร์ลติดมันบนผนังเพราะมันเคยประดับบ้านคนรวย เขากอดอกและพูดอย่างภูมิใจว่า “ณ ดินแดนแห่งนี้ ฉันคือราชา บ้านหลังนี้คือราชวัง ภูเขาขยะคือสนามรบที่ยอดเยี่ยม เหล่าวีรชนทั้งหลายได้ประดาบสู้รบกันเมื่อนานมาแล้ว และฉันภูมิใจอย่างยิ่งที่ได้ต้อนรับนาย เช่นอาคันตุกะผู้มาเยือนจากดินแดนอันไกลโพ้น”  มรชุนได้ฟังแล้วอดขำไม่ได้ คำพูดของออร์ลดูโบราณไปหน่อย แต่มันก็น่าสนุกดี

    มรชุนชอบมาเที่ยวที่นี้บ่อย ๆ เพราะออร์ลเป็นเด็กรุ่นราวคราวเดียวที่อยู่ในระแวกศูนย์วิจัยฯ ทุกครั้งที่มรชุนถูกนำตัวมาทดลอง เขาจะแอบมาพบออร์ลที่นี่เสมอ เขาจำไม่ได้ว่าครั้งแรกพบกันที่ไหน แต่มันเป็นอะไรที่บังเอิญมาก เขาเคยเซ้าซี้ถามออร์ล แต่ออร์ลไม่เคยปริปากเลย อาจจะเป็นไปได้ว่าออร์ลกลัวว่าเขาจะเล่าเรื่องให้คนอื่นฟังจนถูกจับไปทำการทดลองที่ศูนย์

    เสียงเคาะประตู “ออร์ล นายอยู่ไหม?”  ไม่มีเสียงตอบรับ

    “ออร์ล” เสียงเคราะประตูดังแรงขึ้น  

    “ออร์ล ฉันมาแล้ว” เขาลองยื่นมือไปคว้าลูกบิด

    “ฉันเข้าไปละนะ” ทันใดนั้นประตูก็ค่อย ๆ เปิดออก มรชุนค่อย ๆ เดินเข้าไปในบ้าน ข้างในมืดและมีกลิ่นอับ เขารู้สึกวังเวงชอบกล จึงเดินไปเปิดหน้าต่าง แสงสว่างจึงเพิ่มมากขึ้น เขาสำรวจทุกที่ทั้งหน้าบ้านถึงหลังบ้าน กลับไม่พบออร์ลเลย เขานึกขึ้นได้ว่าบางทีออร์ลอาจจะอยู่ในห้องลับก็เป็นได้ จึงเดินไปที่มุมหนึ่งซึ่งอยู่ในซอกที่ลึกลับพอสมควร มองไปรอบ ๆ มีแต่กล่องไม้ว่างเรียงรายกันเต็มไปหมด บ้างก็เก่าจนแทบจะผุพังแล้ว เมื่อแหงนขึ้นไปมองบนเพดาน มีเครือเถาวัลย์ห้อยพันกันลงมาแทบจะติดผม ดูคล้าย ๆ กับงูที่ห้อยหัวลงมาพร้อมที่จะแผ่แม่เบี้ยฉกผู้เดินผ่านได้ตลอดเวลา เขาคิดในใจว่า “ครั้งล่าสุดที่มามันยังไม่เยอะขนาดนี้นี่”  
               มรชุนเดินเข้ามาในห้องแคบ ๆ เลี้ยวซ้ายไปตามทางเดินซึ่งผนังทำด้วยดินเหนียว จนไปถึงห้องสุดท้ายซึ่งมุมสุดของทางเดินมีกล่องไม้ใบใหญ่ตั้งอยู่ ใต้กล่องไม้นี้มีประตูลับทางเดียวที่ใช้เข้าออก มรชุนจึงดันกล่องออกไปด้านข้างกระทั่งพบแผ่นเหล็กวงกลมเส้นผ่าเส้นผ่าศูนย์กลาง 0.8 เมตร เขาฉุกคิดขึ้นมาได้ว่าปกติแล้วออร์ลจะเป็นคนนำทางเข้าไป และทุกครั้งออร์ลจะระแวดระวัดมาก เหมือนว่าจะกลัวใครเข้ามาเห็นอย่างนั้นแหละ บรรยากาศในห้องนี้เงียบเชียบ เพราะเส้นทางนี้ถูกขุดลึกเข้าไปใต้ดิน จึงไม่ได้ยินเสียงอะไรเลย นอกจากเสียงลมที่พัดผ่านทางเดิน และแล้วมรชุนก็ตัดสินใจเปิดประตูทางเข้า แต่ในขณะที่เอื้อมมือไปแตะแผ่นเหล็กอยู่นั้น พลันได้ยินเสียงอะไรบางอย่างดังอยู่ใกล้ ๆ  "โครมมม" เขาสะดุ้งตกใจ หันขวับมองหาที่มาของเสียงนั้น หัวใจเต้นถี่ ไม่เป็นจังหวะ เสียงหายใจแรงและเร็วขึ้น  มรชุนรวบรวมความกล้าค่อย ๆ โผล่หน้าไปดู แม้ว่าจะมืดแต่เขาก็พอเห็นลาง ๆ และรู้ว่าเหตุการณ์ที่พึ่งเกิดขึ้นก็แค่วัตถุมีน้ำหนักตกสู่พื้น แค่ชิ้นส่วนอะไหล่เครื่องยนต์ตกหล่น ก่อนหน้านี่มันถูกวางบนกล่องไม้ เมื่อมรชุนย้ายกล่องมันจึงทานน้ำหนักไม่ไหวเลยร่วงหล่นลงพื้นตามกฎแรงโน้มถ่วงของโลกเท่านั้น
           จากนั้นมรชุนก็ตั้งสติใหม่ ใจเขาจดจ่อไปที่ประตูทางเข้า กลั้นหายใจแล้วใช้มือทั้งสองข้างจับหูหิ้ว ออกแรงยกขึ้นช้า ๆ สายตามองไปที่เบื้องล่างเผื่อว่ามีอะไรเกิดขึ้นจะได้ทิ้งแผ่นเหล็กแล้ววิ่งหนีทัน เขาออกแรงยกสุดตัวแล้วเบี่ยงแผ่นเหล็กไปด้านข้าง เศษฝุ่นฟุ้งกระกายไปรอบบริเวณและบางส่วนตกลงไปข้างล่างห้องลับ เขาค่อยก้าวลงไปตามซี่บันไดเหล็กสนิมเกรอะ บันไดเหล็กที่ทอดตัวจากบนลงล่างประมาณสองชั้นตึก อุณหภูมิในห้องนี้เย็นมาก เพียงจับราวบันไดก็รู้สึกเหมือนกับว่ามันถูกละอองไอน้ำประพรมอยู่ตลอดเวลา พอก้าวลงมาถึงบันไดซี่ที่ 8 จะด้วยความที่รองเท้าที่เขาใส่ไม่มีดอกยางหรือว่าบันไดลื่นก็ไม่ทราบ มรชุนเกิดเหยียบพลาด เพียงวูบเดียวเท่านั้นเขาก็สไลด์หล่นลงมา สะโพกกระแทกกับซี่บันไดเหล็กลงมาเรื่อย ๆ ถึงซี่ที่ 11 ทันใดนั้นสัญชาตญาณก็บอกให้เขาคว้าราวบันไดไว้  มือเขาสั่นและเกร็งเพราะรับน้ำหนักตัวเอาไว้ ยินเสียงครางในลำคอด้วยความเจ็บปวด เขาใช้เท้ายันซี่บันไดซี่ล่างเอาไว้ จากนั้นก็ค่อย ๆ ปล่อยมือ กระโจนลงสู่พื้นของห้องลับ มือกุมไปสะโพกตัวเอง สีหน้าบูดเบี้ยว อันที่จริงพื้นห้องลับปูด้วยนุ่นและผ้าเก่ารองรับอยู่  เขาจะกระโดดลงมาก็ได้ แต่เกรงว่าจะไม่ปลอดภัย มรชุนนึกขำเขาตัวเองที่ตัดสินใจผิดพลาด แต่มันไม่ใช่ความผิดของเขานี่ และตอนนี้เขาเข้ามาได้สำเร็จแล้ว

    “ออร์ล ฉันรู่ว่านายอยู่แถวนี้ ออกมาเถอะ ฉันจะมาลานาย วันนี้ฉันจะไปแล้ว”

    เสียงของมรชุนตะโกนก้อง แต่กลับไม่มีวี่แววของเพื่อนรักเลย มีเพียงเสียงสะท้อนในห้องอันมืดมิด ทันใดนั้นเขาก็นึกขึ้นได้ว่าออร์ลได้เก็บไฟฉายเก่าอยู่สองสามไว้ในกล่องใกล้ ๆ  จึงเดินควานหากล่องอย่างระมัดระวัง มือที่ควานไปในความมืดก็เหมือนแขนจักรกลที่ไม่มีระบบประสาท มันปัดเอาสิ่งของมากมายล้มกระจาย บ้างก็ชนกับมุมโต๊ะและท่อนเหล็ก ความเจ็บปวดอันพรรณนาไม่ได้ทำให้เขาร้องดังลั่น เขานึกโทษออร์ลอยู่บ้างที่ยังดื้อหลบอยู่ที่ไหนสักแห่งในห้องนี้ แต่เพื่อที่จะเอาชนะ เขาคิดว่านี่ก็เหมือนกับเกมซ่อนหา ออร์ลเป็นฝ่ายหลบและต้องอำพรางตัวให้เนียนที่สุด ส่วนเขาคือผู้ค้นหาก็ต้องใช้ความสามารถทั้งหมดที่มีเพื่อค้นหาสิ่งมีชีวิตเล็ก ๆ ที่ซุกซ่อนอยู่ในมุมใดมุมหนึ่งของห้องนี้ เฉกเช่นนักล่าจ้องหาเหยื่อที่ซุกซ่อนตามพุ่มไม้ มรชุนคิดสนุกขึ้นมาแล้ว เขาจึงเดินหน้าควานหาไฟฉายต่อไป เมื่อไปถึงกล่องเหล็ก เขาเปิดเข้ามันออก บังเอิญว่าคลำไปเจอไฟฉาย เขามองไฟฉายอย่างลำพองใจ เหมือนนักรบได้ดาบวิเศษ จึงเปิดสวิซไฟและกราดส่องไปทั่วห้อง ห้องนี้เป็นห้องโถงใหญ่ขนาด 20x17 เมตร มันกว้างมากและของเก็บของเยอะมาก เพราะออร์ลเป็นคนชอบสะสมเขามักจะซ่อมแซมอุปกรณ์ต่าง ๆ ที่เก่าแล้วให้ใช้งานได้ แม้บ้านนี้จะไม่มีไฟใช้แต่เขาก็พยายามผลิตกระแสไฟฟ้าใช้ด้วยวิธีกลไกเครื่องยนต์ อาจจะดูพิลึกไปหน่อยแต่มันใช้ได้ผล เสียดายมรชุนไม่รู้ว่าวิธีใช้งานมัน ครู่หนึ่งไฟฉายก็ส่องตรงไปที่ตู้เก็บชิ้นส่วนวิทยุ ดูเหมือนว่าจะมีเงาทะมึนซ่อนอยู่หลังตู้ ใบหน้าของมรชุนเผยยิ้มของผู้ชนะ เขาเดินย่องเข้าไปใกล้ ๆ แล้วดับไฟฉาย นิ่งอยู่ครู่หนึ่งก่อนตัดสินใจพุ่งรวดเข้าไปอย่างรวดเร็ว สองมือทำท่าผีหลอก

    “แบร่ !” มรชุนคำรามขึ้นหวังจะให้อีกฝ่ายตกใจ

    แต่ไม่มีมีเสียงตอบรับเกิดขึ้น มีเพียงเสียงไขลานหรือกลไกดังเอียดอ๊าด ชั่วเวลานั้น มรชุนยังไม่ทันผงะถอย ก็เกิดสะเก็ดไฟสป๊ากขึ้นประชิดตัว

    “ฟู๊ปปป” เขารู้สึกเหมือนถูกอัดด้วยแรงลมมหาศาล เหมือนว่าร่างกายจะแตกเป็นเสี่ยง ๆ แรงผลักทำให้ลำตัวปลิวลิ่ว กระแทกกับกล่องเหล็กด้านหลัง เวลานี้เขาไม่รู้ว่าอะไรเกิดขึ้น หลังอาจจะหักหรือไหล่อาจจะหลุด รู้สึกชาไปทั้งตัว ประสาทหูถูกทำลาย ตาก็เช่นกัน มีแสงวาบวูบสว่างจ้าแม้ว่าหลับตาแล้ว หัวใจก็เต้นระรัวเหมือนจะทะลุออกมาจากอก จิตใจปั่นป่วน ทำอะไรไม่ถูก สักพักก็เกิดรู้สึกร้อนขึ้นมาที่หน้าอก พอเอามือไปลูบคลำดูก็พบว่าตัวเองเปียกโชกไปด้วยเลือด เขาพยายามเบิกตามองไปรอบ ๆ แต่ไม่เห็น แม้จะรู้สึกว่าเกิดอะไรขึ้นแต่ก็ทำอะไรไม่ได้ รอบตัวมันดูมืดไปหมด

               

    ทางขึ้นเขาสามพันเศียร

                ชายแก่ไว้หนวดเครายาวรุงรังกำลังร่ายคาถาเพื่อปัดเป่าวิญญาณร้ายที่สิงอยู่บนยอดเขาสามพันเศียร ซึ่งเป็นปราการด่านแรกที่จะเดินทางไปยังดงพญาไฟ เขาอยู่ในท่ายืนสงบนิ่งภายใต้ชุดคลุมสีดำ ลำตัวของเขามีรอยสักเต็มไปหมด ไว้ผมยาวประบ่า เขาคือ หมอมหาเมฆ ผู้นำทางทีมงานของเซฟเพื่อไปสู่ดงพญาไฟ ส่วนคนอื่น ๆ อีก 11 คนต่างยืนตื่นตะลึงกับภาพที่เห็นเบื้องหน้า ในขณะที่พ่อหมอคว้ากริชคริสตัลสีเงินขึ้นมา ชูไปที่ยอดเขา เมฆดำทะมึนก็เริ่มปรากฏขึ้นเหนือที่ที่พวกเรายืนอยู่ ลมพายุพัดแรงขึ้น ทีมงานต่างหาที่กำบังแต่หมอมหาเมฆกลับยืนนิ่งเหมือนภูชี้ฟ้าที่ตั้งมั่น ไม่ขยับเขยื้อน สักพักพ่อหมอก็ใช้กริชขีดเส้นไปในอากาศ ปรากฏรูปร่างอักขระโบราณบนอากาศและวงแหวนเวทย์ หลายคนไม่น่าเชื่อสายตาตัวเองว่านี่คือความจริง เขาคิดว่าพ่อหมอคงใช้เทคโนโลยีภาพสี่มิติมาหลอกเด็ก แต่อย่างไรเสีย บรรยากาศและสิ่งแวดล้อมอื่น ๆ มันทำให้น่าเชื่อถืออย่างยิ่ง หากจะเป็นการเล่นมายากลก็คงจะเป็นกลที่สมจริงเช่นมายากลระดับโลก

                “ไป” สิ้นเสียงพ่อหมอ กลุ่มเมฆสีดำก็เคลื่อนตัวไปทางทิศที่เขาสามพันเศียรตั้งตะหง่านอยู่

                สายลมได้พัดพาความระทึกไปสู่เบื้องหน้า ที่ที่ซึ่งพวกเขาจะต้องตามมันไปในอีกไม่กี่ชั่วอึดใจ.

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×