ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Mar-arch [ โลกาสังเคราะห์ ]

    ลำดับตอนที่ #1 : ตอนที่ 1 ความฝันที่ส่องสว่าง (REWRITE)

    • อัปเดตล่าสุด 25 ก.พ. 56


     

    ตอนที่ 1 ความฝันที่ส่องสว่าง

     

    "

    ความฝันของฉันก็เหมือนแสงจากก้นหิ่งห้อยสีเงินยวง

    มันกระพริบพร่าท่ามกลางความมืดและม่านหมอกไอหนาว

    ที่ลอยเข้าสวมกอดร่างของฉันไว้ภายใต้ความสิ้นหวัง

    ฉันตะเกียกตะกายสะบัดตัวออกจากความเหนื่อยหน่าย แต่ทำยังไงก็ดิ้นไม่หลุด

    แน่นอนว่านี่คือความฝันของฉัน

    แต่เป็นไปได้ว่าจะมีใครสักคนควบคุมมันอยู่

    ฉันตะโกนร้องเรียกหาใครก็ตามที่พอจะให้คำตอบฉันได้

    แต่ไม่มีวี่แววการมีอยู่ของสิ่งมีชีวิตใดเลยภายใต้สสารของความเงียบนี้เลย

    "

          

                นี่คือเรื่องราวความจริงที่เกิดขึ้นในความฝันของเด็กน้อยคนหนึ่ง เด็กน้อยมรชุนผู้มีชะตาต้องสาปให้ฝันถึงความโดดเดี่ยวทุกวัน หลับตาทีไรก็เห็นแต่ภาพน่าสลดหดหู่ การสูญเสีย ความพลัดพราก แรก ๆ เขาไม่อาจยอมรับได้ว่ามันคือความจริง แต่หลังจากที่สูญเสียพ่อและแม่ไป ความรู้สึกแบบนี้มันก็ชัดเจนขึ้นเปลวไฟที่แผดเผาร่างทั้งสองคนก็ได้คุคลั่งแตกเปรี๊ยะอยู่ใกล้ ๆ  มันวูบวาบจนทำให้รู้สึกอ้างว้าง ตอนนั้นเขายังเด็กเกินไปที่จะทำอะไรได้ แม้แต่การร้องไห้ ต่อมน้ำตาอาจจะถูกกำหนดโดยฮอร์โมนบางอย่าง แต่ดูเหมือนว่ามรชุนจะไม่มี หรือมันจะแห้งขอดไปเสียแล้ว สิ่งเดียวที่เขาจดจำได้เกี่ยวกับพ่อแม่ของเขาก็คือภาพรอยยิ้มบนใบหน้าของคนทั้งสอง และแววตาอันห่วงหาอาทรก่อนทั้งคู่จะถูกโอบอุ้มด้วยหัตถ์แห่งเพลิงไฟ นั่นมันก็เมื่อ 10 มาแล้ว

    บัดนี้มรชุนกลายเป็นเด็กน้อยที่เข้มแข็ง ยืนหยัดด้วยตนเอง เขาได้รับการอุปการะเลี้ยงดูจากผู้ใจบุญในเมือง เขาคือ “ดอน เมอริสัน” จนกระทั่งสามปีต่อมาผู้ใจบุญก็เสียชีวิตลง ทิ้งทรัพย์สินให้ภรรยาและลูกตามกฎหมายของเขาไปถลุงเล่น เป็นธรรมดาที่ลูกบุญธรรมอย่างเขาจะถูกขับไล่โดยไม่ได้รับส่วนแบ่งอะไร และเป็นธรรมดาที่เด็กน้อยธรรมดาจะไม่ได้รับการช่วยเหลือจากทนายมือดี แน่นอนว่าเขาแพ้คดีความเพราะว่าทนายของเขารับใต้โต๊ะจากแม่บุญธรรมใจร้าย บางทีการเป็นเด็กกำพร้าอาจสร้างปมด้อยรอยร้าวให้เด็กคนอื่น แต่สำหรับเขาไม่ใช่อย่างนั้นแน่นอน การได้รับความรักความอบอุ่นเพียงน้อยนิดจากจากดอน เมอริสัน ทำให้เขารู้สึกว่ายังมีชีวิตอยู่ มรชุนคิดว่าตนเองมีคุณค่ามากกว่าจะปล่อยตัวเองให้หิวตาย เขาขยันทำงานทุกอย่าง และด้วยความที่เป็นเด็กว่าง่ายและมนุษย์สัมพันธ์ดี เขาจึงเป็นที่รู้จัดของคนละแวกใกล้เคียง ดูเหมือนว่าเรื่องนี้จะคล้ายกับซินเดอร์เรลลาที่ถูกแม่เลี้ยงรังแก แต่เขาเป็นผู้ชาย เขาเด็ดเดี่ยวพอที่จะก้าวออกมานอกบ้านและไปอาศัยอยู่กับคนนู้นทีคนนี้ทีเป็นพัก ๆ ทุกคนต่างรักเขาเหมือนลูกแท้ ๆ เขาเคยบอกว่า “ความรักมีอยู่รอบตัว” และเขาก็รู้สึกเช่นนั้นจริง ๆ การทำดีต่อคนอื่นก็จะส่งผลให้เขาได้รับความไว้วางใจ เขาเคยโกหกหลายครั้งแต่นั่นมันนานมาแล้ว ตอนนั้นเขารู้สึกเป็นทุกข์มากและกลัวความลับจะถูกเปิดเผย เขารู้ว่าการทำทุกวิถีทางเพื่อที่จะปกปิดความลับมันเป็นเรื่องที่ยากลำบากยิ่งกว่าเอาใบบัวมาปิดช้างตายทั้งตัว ความชั่วคือสิ่งที่เน่าเหม็น มันรอวันจะส่งกลิ่นไปรบกวนคนอื่นไปทั่ว และสุดท้ายสิ่งที่เขาจะสูญเสียก็คือมิตรภาพระหว่างเขากับคนรอบข้าง

    หลังจากที่ย้ายไปอยู่กับโจแอนซึ่งเป็นเจ้าของร้านอาหารได้สี่เดือน มรชุนได้เรียนรู้การทำอาหารและได้ช่วยเหลืองานร้านทุกวัน เขาเรียนรู้วิธีการเรียกลูกค้า บริการลูกค้า และเรียนรู้ที่จะหาเงินด้วยตนเอง โจแอนให้เงินเดือนค่าขนมทุกสิ้นเดือน มันมากพอที่เด็กธรรมดาๆ คนหนึ่งจะมีได้ บางครั้งมรชุนก็เก็บไว้ในกระปุกออมสิน และบางครั้งก็ใช้จ่ายเลี้ยงเพื่อนฝูง เพื่อนในตอนเด็กของเขามีเยอะมาก ทุกคนเข้ากันได้ดีถึงแม้จะมีเรื่องมีราวบ้างก็ตาม มรชุนจะอาสาเคลียร์ให้เสมอที่เริ่มปัญหาเรื่องชกต่อย ด้วยความที่เห็นใจเพื่อนด้วยกัน เพื่อนจึงคืนดีกันได้

    ตอนแปดขวบมรชุนหลงรักผู้หญิงคนหนึ่ง เธอน่าตาน่ารักน่าเอ็นดู ผมสีทองของเธอพาดยาวไปถึงหลัง ใบหน้าอูม ๆ ปากเรียวนิดหน่อย เวลาโกรธเธอชอบทำคิ้วชนกันและทำปากจู๋ เวลาว่างเธอจะชอบสีไวโอลิน ชื่อมันขึ้นต้นด้วยตัว ว. เหมือนชื่อเธอ “วาเลสสา” เสียงเพลง Strom ที่เธอสีฟังแล้วเคลิบเคลิ้มและทรงพลังยิ่งนัก น้ำเสียงหนักเบาพลิ้วไหวไปตามสายลมและโหมกระหน่ำเหมือนพายุพัด น่าเสียดายจริง ถ้าหากตอนนี้มรชุนยังอยู่แถวนั้น เขาคงบอกรักและขอเป็นแฟนกับเธอไปแล้ว

    เรื่องราวในชีวิตมนุษย์นี่ช่างซับซ้อนนัก บางทีก็สงบเหมือนน้ำในบ่อ บางทีก็คุคลั่งเหมือนคลื่นในทะเล ยิ่งผ่านไปนานเท่าไหร่ยิ่งไม่รู้ว่าอะไรกันแน่ มันกระท่อนกระแท่นจนจับต้นชนปลายไม่ถูก เราไม่อาจรู้ได้เลยว่าจะทำอย่างไรต่อไป บางทีอาจมีแค่ใจหรือสัญชาตญาณเท่านั้นที่บอกเราได้

    เช้าวันหนึ่งมีอันธพาลกลุ่มหนึ่งมาอาละวาดที่ร้าน ทาทางพวกนี้จะเมาหนักตั้งแต่เมื่อคืน แต่ยังไม่กลับบ้านกลับช่อง มรชุนเข้าไปรับออร์เดอร์จากลูกค้าคนอื่นอยู่ ทำให้พวกเขาไม่พอใจ แล้วก็หาเรื่องต่าง ๆ นานา กระทั่งคุณโจแอนเจ้าของร้านเข้ามายุติ แต่เธอกลับถูกไอ้หน้าตัวเมียผลักติดผนังจนศีรษะแตก เลือดไหลเป็นทาง มินำซ้ำพวกมันคนหนึ่งจับเธอขึ้นมาบีบคอ แล้วซ้อมพร้อมกับขู่ตะคอกเสียงดัง เธอพูดร้องขอชีวิตอย่างทะรนทุราย มันพูดว่า “แต่ก่อนยังไม่ขนาดนี้ เดี๋ยวนี้พอรวยแล้วกล้าขึ้นแล้วเหรอ?” แล้วมันก็ใช้สันมือหยาบกร้านของมันตบไปที่ใบหน้าของโจแอนฉากใหญ่ มรชุนถูกล็อคไว้โดยไอ้โหดตัวหนึ่ง เขาพยายามอดกลั่นให้ถึงที่สุด และร้องขอให้พวกมันไว้ชีวิตคุณโจแอน เหมือนหมาจรจัดร้องขอชีวิต แต่พวกมันไม่ฟัง ยังคงระดมมือใส่ร่างของเธอไม่ยั้ง ทั้ง ๆ ที่เธอล้มฟุบกับพื้นพวกมันก็ฉุดขึ้นมาซ้อมอีก มรชุนตัวสั่นใหญ่ เลือดสูบฉีดขึ้นสมอง เหมือนเปลวไฟที่ถูกจุดขึ้นและมันจะลุกโชติช่วงต่อไป ยากที่จะดับได้ เขาตะโกนด่าพวกมัน “ไอ้สัตว์นรกกก” เมื่อสิ้นเสียงก็ปรากฏภาพฝ่ามือขึ้นเบื้องหน้า มันคงกะเงื้อมตบให้สุดแรงเกิด ในตอนนั้นเด็กน้อยไม่รู้ว่าตัวเองตัวเองคิดอะไรอยู่ เหมือนอยู่ในภาวะอัดอั้นมานานเต็มที ภาพเหตุการณ์ไฟไหม้เมื่อสิบปีที่แล้วเกิดขึ้นในหัวอีกครั้ง รู้สึกอึดอัดแทบหายใจไม่ออก ทางเดียวที่ทำได้ก็คือปลดปล่อยความอัดอั้นเหล่านั้นออกมา โจแอนร้องเสียงหลงก่อนที่ฝ่ามือจะถึงตัวมรชุน ทันใดนั้น เงาสายหนึ่งก็พาดผ่านทุกคน ร่างกายของเขาขยับไปเอง แค่พริบตาเดียวเท่านั้น ร่างของพวกมันก็กองอยู่บนพื้น นอนสลบไร้สติ โจแอนตะลึงพรึงเพลิดกับเหตุการณ์ที่พึ่งเกิดขึ้น เธอพูดอะไรไม่ออก หลังจากนั้นเธอเห็นร่างของมรชุนลอยคว้างกลางอากาศเหนือพื้นขึ้นมาประมาณ 10 เซนติเมตร เหมือนว่าลอยอยู่ในห้วงอวกาศ ดวงตาของเขาแข็งทื่อจ้องมองไปที่เพดาน นัยน์ตาสีน้ำตาลกลับเปล่งประกายสีเงินยวง เธอแทบสะอึกเมื่อเห็นขวดแก้วในมือเด็กน้อยเปื้อนเลือด หยดเลือดกระจายตามพื้นและผนัง มันคือเลือดของพวกอันธพาลนี่เอง สักพักก็มีลำแสงสีขาววาบขึ้น แล้วเด็กน้อยมรชุนก็หล่นลงมา เธอผละตัวไปคว้าไว้ได้ อุ้มเด็กน้อยออกไปข้างนอก สักพักเธอก็สังเกตว่าร่างกายของมรชุนไม่มีรอยบาดแผลหรือรอยขีดข่วนอะไรเลย สร้างความฉงนสนเท่ห์ให้เธอยิ่งนัก เธอหยิบมือถือขึ้นมาโทรบอกตำรวจ นี่เป็นวันเฮงซวยอีกวันหนึ่งในชีวิตของเธอ

    หลายวันต่อมา มรชุนย้ายออกจากที่นั่นเพราะคำของร้องของคุณโจแอน เธอบอกว่าเมื่อไหร่ที่มรชุนยังอยู่มันจะตามมารังควานไม่หยุดหย่อน ซึ่งนั่นก็หมายความว่าชีวิตของเขาจะอยู่ไม่เป็นสุขเลย เด็กน้อยอำลาโจแอนแล้วเดินตามโชคชะตาที่แสนรันทด ก่อนเขาจะจากไปได้แวะไปหาวาเลสสา แต่เธอไม่อยู่บ้าน บางทีเธออาจจะอยู่แต่ไม่กล้ามาพบเขา เพราะหลังจากที่เกิดเหตุการณ์ในครั้งนั้น ก็เกิดข่าวลือไปทั่วว่าเขาคือปีศาจ มรชุนทำได้เพียงวางกล่องกระดาษไว้หน้าบ้านของเธอ ซึ่งข้างในบรรจุไวโอลินรุ่นใหม่เอาไว้ เขานำเงินที่เก็บสะสมไปซื้อมันเพื่อของขวัญขวัญของการจากลา นอกจากไวโอลินแล้วยังมีกระดาษเล็ก ๆ ที่ติดอยู่บนกล่องเขียนข้อความสั้น ๆ มันน่าจะเป็นข้อความบอกรักมากกว่าสิ่งอื่นใด แต่น่าเสียดาย เขาดึงมันออกเสียแล้ว

    มรชุนตัดสินใจเดินจากมาโดยที่ไม่ได้ล่ำลาคนอื่น ๆ นอกจากโจแอน คนอื่นคงไม่ต้องการพบปีศาจอย่างเขา เขาก้าวขึ้นอยู่บนรถโดยสาร สักพักก็หันกลับมามองสถานที่ที่ครั้งหนึ่งเคยเรียกว่าบ้าน มันค่อย ๆ หายลับเข้าไปในซอกตึกแห่งเมืองศยาม

    ........................................................................................

     

    หลังจากที่ได้ยินเสียงฝีเท้าดังใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ ตามด้วยเสียงสลักประตูที่ดังลั่น เด็กน้อยมรชุนก็ลืมตาขึ้นแล้วกระพริบตาสองสามครั้งเพื่อให้แน่ใจว่าตื่นแล้ว บิดขี้เกียจแล้วตะกายตัวลงจากเตียง เดินตรงไปที่อ่างล้างหน้าทำภารกิจส่วนตัว หญิงวัยกลางคนเดินเข้ามาพร้อมสำรับอาหารประกอบไปด้วยข้ามต้มโจ๊ก ซีเรียลผลไม้รวม ไข่ดาวและนมสด เธอวางสำรับไว้บนโต๊ะ ก่อนเดินไปพับผ้าห่ม

                  "วันนี้แล้วสินะที่เธอจะได้กลับบ้าน" หญิงกลางคนเอ่ยถาม

                  "แน่นอน ป้าพิชชา" เสียงตะโกนจากห้องน้ำ

                  "ผมเก็บข้าวของตั้งแต่เมื่อวานแล้ว เหลือแต่ตุ๊กตาหมาซิมโบ้ที่นอนกอดตั้งแต่เมือคืน ป้าช่วยยัดมันใส่ในกระเป๋าให้หน่อยนะครับ

                   "เธอนี่ไม่ใช่เด็ก ๆ แล้วนะ ยังจะนอนกอดตุ๊กตาอยู่ได้" หญิงกลางคนพูดพลางยิ้มพลาง

                   "อีกหน่อยเธอจะต้องกลับไปอยู่บ้านเด็กกำพร้าแล้ว ต้องเป็นเด็กดีนะรู้ไหม อย่าทำให้คนอื่นต้องลำบากล่ะ ไม่มีป้าอยู่ด้วย เธอจะถูกรังแกเอาง่าย ๆ นะ"  หญิงกลางคนโผลเข้ากอดเด็กน้อยไว้ในอ้อมอก จากนั้นใช้มือขวาลูบหัวเบา ๆ เหมือนอย่างที่เคยทำตอนกล่อมเขานอนทุกคืน  เสียงเธอสั่นเครือ ๆ เวลาพูดถึงการจากลา นี่เป็นครั้งที่ 8 แล้วที่เธอทำเสียงสั่นเครือเช่นนี้

                   "อีกหน่อยผมก็ได้มาเยี่ยมป้าอีกแหละ เพราะเมื่อวานคุณหมอพาร์คเกอร์สีหน้าเคร่งเครียด เขาคงจะส่งคนไปรับผมอีกแน่นอน ผมเชื่อเช่นนั้น" เด็กน้อยพูดจบก็ผละจากหญิงผู้ดูแลทยานออกนอกห้อง สู่ม่านแห่งแสงสว่างเบื้องหน้า นอกศูนย์วิจัยเอสแคปของกระทรวงเทคโนโลยีและวิทยาศาสตร์

                   "แล้วไม่ทานอาหารเช้าก่อนหรือ?" หญิงกลางคนตะโกนตาม

                   "เอาไว้ก่อน ผมจะกลับมาทานหลังกลับมาจากบ้านออร์ล"

                   เด็กน้อยวิ่งฝ่าทุ่งหญ้าสีขาว ลัดเลาะตามแนวรั้ว มุดรูท่อระบายน้ำอย่างคล่องแคล่ว คงแต่เด็กวัย 14 ขวบที่สูง 145 เซนติเมตร หนัก 50 กิโลกรัม เช่นเขาเท่านั้นที่ผ่านมันไปได้ เกินกว่านี้คงไม่ไหว เขาวิ่งไปตามเส้นทางที่คุ้นเคยราวกับว่าหลับตาวิ่งไปโดยไม่กลัวความมืดที่ก่อตัวทะมึนที่อยู่เบื้องหน้า เด็กน้อยวิ่งไปโดยไม่ทันสังเกตว่ามีของเหลวสีเงินหยดบนหัวไหล่ มันซึมเข้าไปในเนื้อผ้าอย่างรวดเร็ว ทะลุเข้าไปในชั้นผิวหนัง สักพักก็เปล่งประกายสีเงินยวงออกมา เขาหยุดอยู่ที่ปลายอุโมงค์ รู้สึกผ่อนคลายอย่างบอกไม่ถูก หรือนี่จะเป็นอิสระของเขาจริง ๆ เขากระโดดโลดเต้นไปพลางร้องเพลงอย่างสนุกสนาน....


    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×