ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [Attack on Titan] My Sketchbook

    ลำดับตอนที่ #1 : [Mikasa x Eren] Special MAGIC

    • อัปเดตล่าสุด 24 มิ.ย. 56


     
     
     
     
     
    - Special MAGIC -
     
    (Mikasa x Eren แต่ก็เป็น Chibi!Eren x Chibi!Mikasa)
     
     
     
     
     

    ยามเช้าตรู่ตอนที่ดวงอาทิตย์เริ่มจะทอแสงลงมาตกกระทบพื้นดิน เวลานั้นจะเป็นช่วงเวลาอิสระที่จะให้เหล่าทหารฝึกหัดได้จัดการธุระส่วนตัวของตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นการตื่นนอน อาบน้ำ แต่งตัว วอร์มร่างกายในยามเช้าหรือจะเป็นการรับประทานอาหารเช้าก็รวมอยู่ในนั้น
     

    ซึ่งในทุกๆเช้า มื้อเช้าของเหล่าทหารฝึกหัดนั้นจะถูกจัดเตรียมเอาไว้ให้มารับกันไป ก่อนจะมุ่งหน้าไปยังโรงอาหารเพื่อนั่งรับประทานและเสวนาพูดคุยกัน และถึงแม้อาหารที่ได้รับนั้นจะไม่ใช่อาหารที่หรูหราอะไร แต่เมื่อเทียบกับชาวบ้านที่ต้องทำงานหนักแถมยังต้องอดมื้อกินมื้อก็ถือได้ว่าดีพอสมควรเลยทีเดียว
     

    เสียงพูดคุยเสียงดังตามประสาเด็กวัยรุ่นค่อยๆดังเข้ามาใกล้โรงอาหารที่ถูกปิดประตูเอาไว้อยู่ แต่ทว่า...
     

    “ฟ- ฟรานส์ เดี๋ยวมีคนเข้ามาเห็นนะ”
     

    “...อ”
     

    เสียงกระซิบกระซาบดังลอดมาจากประตูไม้เก่าๆที่ใช้ปิดโรงอาหารทำให้กลุ่มคนที่กำลังจะเดินผ่านเข้ามาชะงักลง เด็กหนุ่มร่างสูงใหญ่เจ้าของนาม ‘ไรเนอร์’ หน้าแดงขึ้นเล็กน้อยก่อนจะทำมือส่งสัญญาณให้คนที่เดินตามมาข้างหลังค่อยๆถอยออกไปก่อน
     

    “ไม่เป็นไรหรอกน่า ตอนนี้ไม่มีใครผ่านมาหรอก” 
     

    “...”
     

    เสียงทุ้มต่ำของผู้ชายดังลอดขึ้นมาอีกครั้งก่อนที่ทุกอย่างจะเงียบลง ซึ่งความเงียบนี้กลับเป็นสิ่งที่กระตุ้นต่อมความสงสัยของนายทหารฝึกหัดรุ่นที่ 104 บางคนได้ดีกว่าเป็นไหนๆโดยเฉพาะกับเด็กหนุ่มร่างเล็กที่ชื่อโคนี่ที่พยายามจะเอาหูแนบกับฝาไม้เพื่อฟังเสียงข้างในให้ได้ 
     


    ซึ่งแน่นอนว่าไม่ใช่แค่โคนี่เท่านั้นหรอกนะ...
     
     


    .
     
     

    .

     
     

    “มีอะไรกันเหรอ? ทำไมไม่เปิดเข้าไปล่ะ”
     

    “...!”
     

    เสียงอีกเสียงหนึ่งร้องทักมาจากทางด้านหลังทำเอาเพื่อนร่วมรุ่นที่กำลังทำภารกิจ-แอบฟัง-อยู่สะดุ้งเฮือกกันเป็นแถวๆ ร่างสูงโปร่งของเด็กหนุ่มเจ้าของดวงตาสีมรกตชะเง้อหน้ามองผ่านไหล่เพื่อนข้ามมาก่อนที่เจ้าตัวจะขมวดคิ้วเล็กๆด้วยสีหน้าที่ราวกับจะบอกว่า ‘ก็ไม่เห็นมีอะไรเลยนี่นา’
     

    เอเลนขยับตัวแทรกระหว่างกลุ่มคนซ้ายทีขวาทีอย่างคล่องแคล่ว ทิ้งให้เพื่อนสนิทอีกสองคนยืนคอยอยู่ด้านนอก ทันทีที่เขาก้าวเข้ามาอยู่หน้าประตูแล้วก็ใช้มือขวาประคองถาดอาหารเอาไว้อย่างมั่นเหมาะ ส่วนมือซ้ายก็ออกแรงผลักประตูเข้าไปอย่างรวดเร็ว
     

    “เฮ้ยย!! เอเลน เดี๋ยว-!!!” 
     

    ไรเนอร์ที่มีปฏิกิริยาตอบสนองเร็วสุดพยายามจะส่งเสียงห้ามแต่ก็ดูเหมือนจะไม่ทันแล้ว เมื่อบานประตูถูกเปิดออกเรียบร้อย
     

    ภาพของหญิงชายที่กำลังตระกองกอดกันแน่นผ่านเข้ามาสู่สายตา ริมฝีปากของทั้งสองบดเบียดกันแลกรสสัมผัสในแบบของผู้ใหญ่ ทำให้เอเลนที่ยืนอยู่ข้างหน้าสุดเผลอชะงักและปล่อยถาดอาหารลงกระแทกพื้นเสียงดังโดยไม่รู้ตัว...


     
     



    “อะไรกัน เอเลน นายยังหน้าแดงอยู่อีกเหรอ”
     

    เสียงทักที่ฟังดูยังไงก็รู้ว่าเจตนากวนประสาทกันเต็มร้อยดังขึ้นพร้อมๆกับวงแขนที่พาดลงมาบนไหล่อย่างไม่เบานักของแจนทำให้เด็กหนุ่มเจ้าของชื่อสำลักขนมปังก้อนที่กำลังจะกลืนลงไปจนต้องไอออกมา “ยังไม่หายเขินอีกรึไง”
     

    เอเลนเอื้อมมือไปคว้าแก้วน้ำที่เพื่อนสมัยเด็กรินไว้ให้อยู่รู้ใจแต่ก็ยังมิวายตอกกลับไปทั้งๆที่ยังไม่หายไอ “เปล่าซะหน่อย!! ก็แค่อากาศมันร้อนเฉยๆเถอะ”
     

    มิคาสะมองเพื่อนสมัยเด็กคนสำคัญอย่างเป็นห่วง เมื่อเห็นว่าเขาอาการดีขึ้นแล้ว เธอก็หันกลับไปทานอาหารของตัวเองต่อเงียบๆ
     

    “ก็แค่เห็นฟรานส์กับฮันน่าจูบกันเนี่ยนะ อ่อนจริง”
     

    “ไม่ได้อ่อนเว้ย”
     

    “อย่างนายน่ะ แค่จูบกับเด็กผู้หญิงคงยังไม่เคยด้วยซ้ำมั้ง”
     

    เสียงโต้เถียงกันดังขึ้นตามแรงอารมณ์ แต่ถึงกระนั้นทุกคนก็รู้ดีว่านี่ไม่ใช่การทะเลาะกันอย่างคนที่ไม่ชอบหน้ากันแบบแต่ก่อน แต่เป็นการทะเลาะกันในแบบที่กึ่งๆจะหยอกเล่นเสียมากกว่า
     

    “เอาอีกแล้วล่ะ...” เด็กหนุ่มร่างเล็กผู้เป็นดั่งมันสมองของกลุ่มส่งเสียงครางขึ้นมาเบาๆอย่างอ่อนใจ แต่ก็ไม่ได้มีความคิดที่จะเข้าไปห้ามแต่อย่างใด เช่นเดียวกับมิคาสะที่นั่งดื่มน้ำดูสถานการณ์อยู่เงียบๆ
     

    เมื่อเวลาผ่านไปสักพัก กลับคนใจร้อนเดือดง่ายอย่างเอเลนที่เป็นฝ่ายลดโทนเสียงลงก่อน
     
     
    “...ถ้าแค่จูบ” เสียงพึมพำเบาๆดังออกมา “ถ้าแค่จูบฉันก็เคยเถอะ”
     

    “!!!”
     

    เด็กหนุ่มเบือนหน้าหนีไปอีกทางทำให้ไม่ทันเห็นปฏิกิริยาของเพื่อนร่วมโต๊ะที่แสดงออกมาต่อคำพูดนี้ เริ่มจากแจนที่ดูเหมือนจะช็อคไปเลยกับคำพูดของคู่กัด ...ก็นะ จูบน่ะ ถ้าไม่ใช่คนรักกันก็คงทำไม่ได้ แถมในค่ายนี่จะมีสักกี่คนเชียวที่เคยจูบกันจริงๆจังๆ แม้แต่เขาก็ใช่ว่าจะเคยด้วยซ้ำ
     

    มิคาสะเอง จากที่กำลังจิบน้ำอยู่เงียบๆก็วางแก้วน้ำลงบนโต๊ะจนเกิดเสียงดังด้วยอารามตกใจ คิ้วเรียวขมวดเข้าหากันจนแทบผูกเป็นโบว์ ดวงตาสีเข้มจ้องมองไปยังผู้พูดราวกับจะคาดคั้นถึงคำพูดเมื่อครู่นี้ เรียวปากบางเองพึมพำออกมาเบาๆว่าใครกัน...
     

    ส่วนอาร์มินที่ดูตอนแรกเหมือนกับจะตกใจอยู่น้อยๆแต่ก็แปรเปลี่ยนเป็นความสงสัยอย่างรวดเร็ว เพราะตั้งแต่เล็กจนโต พวกเขาสามคนก็อยู่ด้วยกันมาตลอด แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ไม่เห็นรู้เรื่องนี้เลยสักนิด
     

    “ใคร กะ...แกไปจูบกับใครมาฟร่ะ!!”
     

    “ระ...เรื่องนั้นมันจะยังไงก็ช่างมันเถอะน่า!!” เจ้าของนัยน์ตาสีมรกตขึ้นเสียงตัดบทดวงใบหน้าที่แดงก่ำ “ท... ทำไมฉันต้องบอกนายด้วยเล่า!”
     

    “ว่าไงนะ...!” 
     

    “ไม่รู้ด้วยแล้ว!! มิคาสะ อาร์มิน...ฉันเอาจานไปเก็บก่อนล่ะ”
     

    “หน็อย ไอ้เจ้าบ้านี่!”
     

    เสียงโต้เถียงกันค่อยดังห่างออกไปตามทางทิ้งให้มิคาสะกับอาร์มินที่ยังทานอาหารไม่เสร็จอยู่กับความเงียบที่เกิดจากความสงสัย
     

    “มิคาสะ? เธอพอรู้เรื่องนี้บ้างมั้ย...” 
     

    เสียงเรียกเปิดประเด็นของอาร์มินดึงความสนใจของมิคาสะกลับมาอยู่ที่เพื่อนตัวเล็ก 
     

    “ผมไม่คิดว่าเอเลนจะเคยมีคนรักหรอกนะ” ตลอดเวลาที่ผ่านมา สิ่งที่เอเลนสนใจก็ยังคงมีแต่ความฝันที่อยากจะให้เป็นจริงของตนเท่านั้น 
     

    สนใจ... ราวกับว่ามันคือเหตุผลเดียวที่ทำให้เขามีชีวิตอยู่ และบางครั้งก็มุ่งมั่นจนเกินไปจนลืมที่จะทำตัวให้สมวัยไปบ้างเหมือนกัน
     

    “...” เด็กสาวร่างสูงไม่ได้ตอบอะไรกลับ แต่ถึงกระนั้นนัยน์ตาสีเข้มใต้เรียวคิ้วที่กำลังขมวดมุนก็ฉายแววออกมาว่าเห็นด้วยกับสิ่งที่อีกฝ่ายพูด ...เพราะตั้งแต่ที่เอเลนช่วยเธอขึ้นมาจากโลกที่แสนโหดร้าย เธอก็ไม่เคยละสายตาไปจากเด็กหนุ่มผู้เป็นคนสำคัญเพียงหนึ่งเดียวของเธอเลยซักครั้ง
     



    ...ช่วย...งั้นเหรอ?...
     



    เด็กสาวขมวดคิ้วมากขึ้นก่อนจะค่อยๆนึกย้อนไป
     



    ...ไม่สิ...

    ...จะว่าไป... เมื่อก่อนก็เหมือนจะเคยมีเรื่องแบบนั้นอยู่เหมือนกันนี่เนอะ...





     
     


    ‘หิวน้ำจัง…’ 
     

    เสียงเล็กๆพึมพำขึ้นในความมืด เอเลนซึ่งในตอนนั้นเป็นเพียงเด็กชายตัวเล็กๆลุกขึ้นมานั่งขยี้ตาอย่างงัวเงีย ผ้าห่มผืนบางร่นลงมาอยู่ที่หน้าตักก่อนที่เจ้าตัวจะใช้มือปัดมันออกไป 
     

    เสียงก๊อกแก๊กดังขึ้นในความมืดก่อนที่แสงสว่างเล็กๆของตะเกียงจะค่อยๆสว่างขึ้น แสงไฟอ่อนๆที่สว่างขึ้นมานั้นพลอยทำให้เพื่อนร่วมห้องอีกคนของเขาตื่นขึ้นมาด้วย
     

    ‘...เอเลน?’
     

    ‘อ๊ะ โทษที ทำให้ตื่นเหรอ’ เด็กหญิงอายุมากกว่าส่ายหน้า ใบหน้าหวานที่สะท้อนกับแสงไฟดูซีดเล็กน้อยจนเอเลนตัดสินใจเอื้อมมือไปดันตัวอีกฝ่ายให้นอนลงกับเตียง ‘มิคาสะนอนไปก่อนนะ เดี๋ยวฉันลงไปกินน้ำแป๊บเดียว’
     

    ‘อือ.. เอเลนก็รีบๆมานอนนะ...’
     

    เด็กสาวเจ้าของเรือนผมสีรัตติกาลพึมพำแผ่วเบาก่อนที่ดวงตาคู่กลมจะค่อยๆปิดลงอีกครั้ง
     

    เอเลนมองจนแน่ใจว่าอีกฝ่ายหลับไปแล้วจริงๆจึงค่อยๆหยิบตะเกียงไฟขึ้นมา แสงไฟที่ไม่ค่อยสว่างเท่าไหร่นักทำให้เด็กชายต้องค่อยๆเดินลงไปอย่างระมัดระวัง
     



    .

     

    .
     



    ‘คุณคะ...’ 
     

    เสียงหวานที่ฟังดูแหบพร่าเล็กน้อยต่างจากเด็กสาวแรกรุ่นดังขึ้น ทำให้เอเลนที่กำลังจะก้าวลงบันไดหยุดชะงักลง มือเล็กๆค่อยๆวางตะเกียงลงตรงหัวมุมบันไดเมื่อเห็นว่าด้านล่างมีแสงสว่างอยู่แล้ว 
     

    ‘ช่วงนี้มิคาสะยังไม่ค่อยร่าเริงขึ้นเลย ฉันเป็นห่วงจังเลยค่ะ’
     

    เด็กชายร่างเล็กขมวดคิ้วมุนเมื่อได้ยินบทสนทนาที่พาดพิงไปถึงสมาชิกคนใหม่ของครอบครัว ก่อนที่จะตัดสินใจเบียดตัวเองเข้ากับหัวมุมบันไดที่มั่นใจแน่ๆว่าจะไม่สามารถมองเห็นได้จากห้องครัว
     

    ‘แกคงจะช็อคแหละ เป็นแค่เด็กตัวเล็กๆแท้ๆแต่กลับต้องมาเห็นพ่อแม่ถูกฆ่าตายต่อหน้าแบบนี้น่ะ’ เสียงทุ้มต่ำดังขึ้นพร้อมกับเสียงพลิกหน้าหนังสือ ‘ปล่อยไว้สักพักก็คงจะดีขึ้นเองนั่นแหละ’
     

    ความเงียบเข้าปกคลุมบ้านหลังเล็กสักพักก่อนที่คาร์ล่าจะเป็นฝ่ายพูดขึ้นมาก่อน 
     

    ‘แต่ถ้าเป็นไปได้ฉันก็อยากจะทำให้แกร่าเริงขึ้นนะคะ สักนิดก็ยังดี’
     

    เสียงพูดเว้นช่วงไปเล็กน้อย
     

    ‘เด็กคนนั้นเจอเรื่องโหดร้ายมามากเกินไปแล้ว’
     

    ‘ผมรู้...’
     

    ภาพของเงาที่สะท้อนอยู่บนกำแพงทำให้เอเลนเห็นได้ว่าบิดาของตนกำลังโน้มตัวลงไปใกล้ใบหน้าหวานของมารดา ก่อนที่เงาสองเงานั้นจะรวมกันเป็นหนึ่งเดียวโดยมีริมฝีปากของทั้งคู่เป็นตัวเชื่อม
     

    เสียงพูดคุยโต้ตอบในห้องครัวค่อยๆเบาลงพร้อมกับแสงไฟที่ห่างออกไปเรื่อยๆ เหลือไว้เพียงดวงตาสีมรกตวาววับที่ดูราวกับว่าเจ้าของมันนั้นกำลังครุ่นคิดเรื่องอะไรบางอย่างอยู่..
     






    "..."
     

    ความเงียบงันปกคลุมทั่วบริเวณ ถึงแม้บรรยากาศรอบตัวจะไม่ได้เงียบจนเกินไป ยังคงมีทั้งเสียงใสๆของนกตัวเล็กๆและเสียงใบไม้ที่สัมผัสกันเมื่อยามที่ลมพัดผ่านมา แต่ก็ยังไร้ซึ่งเสียงพูดคุยของผู้คน
     

    มิคาสะในวัยเด็กนั่งพิงหลังลงกับลำต้นของต้นไม้ใหญ่ มือเรียวเล็กค่อยๆวางกองฟืนที่หาได้ลงข้างตัว นัยน์ตาสีเข้มมองเหม่อไปยังผืนฟ้าที่ทอดยาวไปจรดกับขอบกำแพงสูง แต่ก่อนที่เธอจะได้ทำอะไรต่อจากนั้น เด็กหญิงก็เหลือบไปเห็นท่าทีของคนอีกคนซะก่อน
     

    มิคาสะเหลือบมองเด็กชายที่อายุน้อยกว่าด้วยความฉงน ท่าทางของเอเลนที่มองมาที่เธอแล้วพอเธอหันกลับไปมองก็หลบตากันเสียอย่างนั้นทำให้เธอรู้สึกแปลกใจไม่ได้ ...ก็ปกติแล้ว เอเลนน่ะเคยหลบตาใครเขาที่ไหนกัน พอมีเรื่องอะไรก็จะพุ่งเข้าชนเสมอ จะเว้นก็แต่ตอนทำผิดแล้วไม่อยากให้คาร์ล่าจับได้ก็เท่านั้นแหละ
     

    ท่าทีลุกลี้ลุกลนของเอเลนที่อยู่ไม่สุขนั้นราวกับว่าเจ้าตัวกำลังคิดจะทำอะไรบางอย่าง และสุดท้ายก็ดูเหมือนว่าเขาจะตัดสินใจได้แล้วจึงหันมาเรียกเด็กหญิงอีกคน
     

    ‘มิคาสะ มิคาสะ’ 
     

    เสียงทุ้มใสตามประสาเด็กที่ยังไม่แตกเนื้อหนุ่มร้องเรียกทำให้เจ้าของชื่อหันกลับไปหาด้วยท่าทางงงๆ
     

    ‘...!’
     

    สัมผัสที่อ่อนนุ่มและอบอุ่นแตะลงบนริมฝีปากของเธออย่างแผ่วเบาราวกับนกที่ร่อนลงมาแตะปลายนิ้วลงบนผิวน้ำก่อนที่จะโฉบหายไป เมื่อมิคาสะแตะปลายนิ้วลงบนจุดที่ริมฝีปากสัมผัสกันนั้นก็พบว่าความรู้สึกอบอุ่นเมื่อครู่นั้นยังคงหลงเหลืออยู่...
     

    ‘...’
     

    ‘นี่มัน...?’
     

    ‘คาถาทำให้ร่าเริงน่ะ’
     

    เอเลนอธิบายแต่ในขณะนั้นใบหน้าของเขากลับเสมองไปทางอื่น ถึงกระนั้นเธอก็ยังสังเกตได้ว่าผิวแก้มและใบหูของฝ่ายตรงข้ามนั้นกำลังขึ้นสีระเรื่อด้วยความเขินอาย
     

    ‘คาถา... ทำให้ร่าเริง...??’
     

    ‘อื้ม’ เด็กชายเจ้าของเรือนผมสีเปลือกไม้ตอบทั้งๆที่ยังไม่ได้หันหน้ากลับมา ‘ก็เวลาพ่อทำอย่างงี้กับแม่ทีไร แม่ก็จะร่าเริงขึ้นทุกทีเลยนี่นา’
     

    ‘ห...เหรอ’
     

    มิคาสะพูดตอบอย่างกระตุกกระตัก ใบหน้ารู้สึกร้อนฉ่าขึ้นมาโดยที่แม้แต่ตัวเธอเองก็ยังไม่ค่อยเข้าใจว่ามันเป็นเพราะอะไร ร่างเล็กดึงผ้าพันคอสีเลือดผืนสำคัญขึ้นมาปิดใบหน้าช่วงล่างเอาไว้
     

    ‘อ- อากาศเย็นลงแล้ว กลับ‘บ้านของเรา’กันเถอะ’
     

    ‘อื้ม’ 
     




    .



    .

     


    หลังจากนั้นไม่นาน พอคาร์ล่ารู้เรื่องนี้เข้า เอเลนก็เลยถูกเรียกตัวไปดุเสียยกใหญ่พร้อมๆกับที่คริชาอธิบายความหมายของการ “จูบ” ให้เด็กน้อยทั้งสองฟัง พอเอเลนรู้ความหมายเข้าก็ไม่กล้ามองหน้าเธอไปอีกพักใหญ่ๆเลยทีเดียว
     
     

    ...และหลังจากนั้น...

    ...เธอก็ไม่เคยได้รับคาถาทำให้ร่าเริงของเอเลนอีกเลย...


    .
     
     
    .
     


    เด็กสาวร่างสูงโปร่งเอื้อมมือไปแตะเบาๆบนริมฝีปากของตัวเอง ความรู้สึกอบอุ่นที่เคยได้รับสัมผัสยังคงตราตรึงอยู่ในความทรงจำถึงแม้ว่าเวลามันจะผ่านมาเนิ่นนานแล้วก็ตามที
     
     
     

    ถึงแม้หลังจากนั้นเธอจะไม่ได้รับคาถาที่ช่วยให้ร่าเริงอีกเลย

    แต่ในตอนนี้เธอก็เข้าใจแล้วว่า

    สิ่งที่ช่วยให้ร่าเริงน่ะ สำหรับเธอแล้ว ไม่ใช่ทั้งคำพูดปลอบโยนหรือจุมพิตจากใครๆ

    แต่เป็น...




    “มิคาสะ!! มัวทำอะไรอยู่น่ะ ใกล้ได้เวลาฝึกช่วงเช้าแล้วนะ!!”
     

    เสียงตะโกนโหวกเหวกที่ไม่เคยเปลี่ยนไปเลยดังเรียก มิคาสะลุกขึ้นจากเก้าอี้โต๊ะอาหารที่นั่งอยู่ก็จะขานรับแผ่วเบา
     

    “จะไปเดี๋ยวนี้แหละ...”
     

    มิคาสะสอดปลายของผ้าพันคอผืนสำคัญเอาไว้ใต้เสื้อนอก เพื่อป้องกันไม่ให้มันเกิดการฉีกขาดจากการฝึกซ้อม เด็กสาวเหลือบตามองเช็คความเรียบร้อยอีกทีก่อนที่จะก้าวเดินออกไปข้างหน้า...
     



    ...ตัวตนของเธอ...



    เพราะฉะนั้น ตราบใดที่สิ่งนี้ยังคงหลงเหลืออยู่

    เธอก็เชื่อว่าเธอจะสามารถมีชีวิตอยู่ต่อไปได้



    ...โดยไม่ต้องกังวลใจอีกต่อไป...
     
     
     
     
     
     
     
     
     
    FIN.
     
     
     
     
     
     
     
    เหมือนไม่ได้เขียนอะไรให้จบมานานมาก (หัวเราะแห้งๆ)
     
    ฟิคเรื่องนี้นึกพล็อตได้ตอนวันจูบค่ะ (23/05) แต่ดันเขียนเสร็จจริงๆในหนึ่งเดียวให้หลัง..
     
    (#เฟรชชี่มันกิจกรรมเยอะ #ข้ออ้างชัดๆ)
     
     
     
    จากตรงนี้ไปจะเป็นสครีมล้วนๆ ข้ามได้เลยนะคะ//
     
     
    ตอนนี้จู่ๆก็บ้าไททันขึ้นมาอย่างไม่มีสาเหตุแหละค่ะ!! (จริงๆ ถ้าจะบอกว่ามีก็มีอยู่นะ.. //เหล่มองคนใกล้ตัว)
     
     
    จะว่าไงดีล่ะ.. ตอนแรกๆที่ดูน่ะ มีความรู้สึกประมาณว่า เอเลนเนี่ย เท่จังนะ แต่พอถึงมังกะตอนล่าสุดนี่สิ...
     
    //มิคาสะพระเอกโคตรรร... เฮย์โจวก็พระเอกโคตรๆๆๆๆ.. 
    ไม่รู้ว่าเพราะคนใกล้ตัวเอเลนเป็นสองคนนี้รึเปล่านะ เอเลนเลยดูเป็นนางเอกไปเลย.. (ไม่สิ ฟีลเราตอนนี้แม้แต่อาร์มินก็กดเอเลนได้//เบลอคำพูดนี้เถอะนะคะ) 
     
    จะว่าไป ตอนเด็กๆเนี่ย เอเลนนี่น่ารักดีเนอะ? ดูน่ารักแบบเด็กผู้ชายใสๆดี (เราชอบตอนที่เอเลนเอาผ้าพันคอมาพันคอมิคาสะแล้วหน้าแดงมากเลยล่ะค่ะ!!)
    จิบิมิคาสะก็น่ารักมากเลยล่ะค่ะ ดูสมเป็นเด็กผู้หญิงมากๆเลย 
     
    (แต่ทำไมกันนะ.. เรารู้สึกเหมือนตอนโตมันสลับกันยังไงชอบกล //โดนเตะ)
     
     
    อ๊ะ.. ถ้าเป็นตอนเด็กๆล่ะก็ เราชอบเอเรมิกะนะคะ แต่พอตอนโตนี่สิ.. //หัวเราะ
     
     
     
    อ่า... ตอนก่อนจะอัพอยากจะสครีมอะไรตั้งเยอะแยะ แต่พออัพแล้วดันนึกอะไรไม่ค่อยออกเลยแหะว่าอยากจะพูดอะไร
     
     
     
    เอาเป็นว่า ยังไงก็ฝากฟิคเรื่องนี้ไว้ด้วยนะคะ//
     
    ถ้ายังมีพลังลึกลับเหลืออยู่น่าจะโผล่มาใหม่เร็วๆนี้ล่ะค่ะ!! (???)
     
     


    (ไว้.. พรุ่งนี้ค่อยมาแก้ฟอนต์แก้อะไรอีกทีนะคะ zzZ)

     
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×