อย่าทรมานฉันด้วยการถอดถอนกลางคัน
เรื่องราวของดี้คนหนึ่งที่เบี่ยงเบนวิถีทางเพศ ตามหาผู้ชายสักคนที่จะทำให้เธอฝันรักอย่างสุขสม
ผู้เข้าชมรวม
762
ผู้เข้าชมเดือนนี้
0
ผู้เข้าชมรวม
เนื้อเรื่อง
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
1.
ฉันเป็นดี้
เอาเป็นว่าเคยเป็นดีกว่า ฉันเคยเป็นดี้ ดี้ที่หน้าตาดีด้วย ดี้ที่เคยมีแฟนเป็นทอม แต่ตอนนี้ฉันเบื่อทอมแล้วล่ะ
ตอนนี้ฉันกำลังมองหาผู้ชายสักคนที่จริงใจ จริงจัง คุยเรื่องทะลึ่งกันได้ พร้อมจะเป็นผู้นำพาฉันได้ทุกเรื่อง ไม่ถอดใจท้อถอยกลางทาง และพร้อมจะทำให้ฉันมีความสุข ไม่ปล่อยให้อารมณ์ค้างกลางคัน!!!
2.
ทำไมฉันจึงฉันเบื่อทอม?
สมัยเรียนมัธยมปลาย ฉันเคยมีทอมมาจีบหลายคน ทอมแฮงค์(ทอมขี้เมา) ทอมครุ้ยส์(ทอมหล่อ) ทอมกับเจอรี่ (ทอมสับสน เดี๋ยวรักหญิงเดี๋ยวรักชาย) ทอมถึก(ทอมร่างบึก) ทอมเฒ่า (ทอมรุ่นใหญ่) และอีกหลาย ๆ ทอม
ฉันเลือกคบกับทอม 2 คน คนหนึ่งเป็นทอมรุ่นพี่ต่างโรงเรียน อีกคนเป็นทอมรุ่นน้องโรงเรียนเดียวกัน ไม่มีใครรู้ว่าฉันจับปลาสองมือ เพราะฉันกับทอมรุ่นพี่จะนัดเจอกันเฉพาะเสาร์อาทิตย์ที่ศูนย์การค้าบ้าง โรงหนังบ้าง ส่วนกับทอมรุ่นน้องจะเจอกันทุกวันจันทร์ถึงศุกร์ที่โรงเรียน บางวันก็เดินมาส่งถึงประตูบ้าน เข้าบ้านไม่ได้ เพราะแม่ไม่ปลื้ม พ่อไม่โปรด พี่ไม่ส่งเสริม น้องจ้องกระทืบ
ทุกคืน...
ฉันจะคุยกับสองทอมทางโทรศัพท์ ฉันจะคุยกับทอมรุ่นน้องตอนหัวค่ำและคุยกับทอมรุ่นพี่ตอนดึก ๆ เพื่อจะได้ไม่ต้องเหนื่อยกับการสลับสายคุยกัน แต่ถ้าเลี่ยงไม่ได้ กำลังคุยกับทอมใดทอมหนึ่งแล้วอีกทอมเกิดแหกคิวโทรศัพท์เข้ามา ฉันก็จะต้องรับบทโอเปอเรเตอร์จำเป็น หาจังหวะพักสายรอสายให้เนียนที่สุด ซึ่งบางทีก็มีพลาดบ้าง
ทอมรุ่นพี่: อาบน้ำหรือยัง?
ฉัน: เพิ่งอาบเสร็จเดี๋ยวนี้เองค่ะ
ทอมรุ่นพี่: ก็ตัวหอมสิ
ฉัน: หอมฟุ้งทั้งตัวเลย
ทอมรุ่นพี่: อยากไปนอนกับคนตัวหอมจัง
ฉัน: นอนอย่างเดียวเหรอคะ?
ทอมรุ่นพี่: อยากทำอย่างอื่นด้วย
ฉัน: ทำอะไรคะ?
ทอมรุ่นพี่: ก็ทำเหมือนที่เคยทำ
ฉัน: เดี๋ยวนะคะ มีโทรศัพท์เข้ามา ถือสายรอนะคะ ฮัลโหล ๆ สวัสดีค่ะ
ทอมรุ่นน้อง: หวัดดีฮะ ขอสาย P2 ฮะ
ฉัน: กำลังพูดค่ะ
ทอมรุ่นน้อง: คิดถึงพี่ฮะ
ฉัน: อะไรกัน เพิ่งจะเดินมาส่งที่บ้านเมื่อตอนเย็น คิดถึงแล้วเหรอคะ
ทอมรุ่นน้อง: คิดถึงแล้วฮะ อยากมานอนเป็นเพื่อน
ฉัน: นอนเฉย ๆ เหรอคะ?
ทอมรุ่นน้อง: ขอนอนกอดนิดนึงได้มั้ยฮะ?
ฉัน: ไม่ได้หรอก
ทอมรุ่นพีน้อง: งั้นขอนอนจับมือเฉย ๆ ก็ได้ฮะ
ฉัน: ไม่เอา ไม่ให้จับ เอ้อ! เดี๋ยวนะ ถือสายรอก่อนนะ พี่คะ ยังอยู่นะคะ
ทอมรุ่นพี่: ยังอยู่ ใครโทรศัพท์มาเหรอ?
ฉัน: เอ้อ! พี่ชายค่ะ ไปเล่นเกมส์กับเพื่อน ให้ช่วยโกหกพ่อแม่ว่าอยู่ทำกิจกรรมจะกลับมืดหน่อย ไม่ต้องรอกินข้าว
ทอมรุ่นพี่: ผู้ชายก็แบบนี้ ชอบโกหก
ฉัน: แล้วพี่ล่ะคะ พี่ชอบโกหกมั้ย?
ทอมรุ่นพี่: พี่ไม่ชอบโกหก แต่พี่ชอบจับผิดคนชอบโกหก
ฉัน: แล้วชอบจับอะไรอีกคะ?
ทอมรุ่นพี่: ชอบจับทั้งตัวเลย
ฉัน: ชอบจับทั้งตัวเลยหรือคะ เดี๋ยวนะคะพี่ขา มีสายเข้าอีกแล้ว ขอโทษนะคะ สงสัยคราวนี้จะเป็นคุณพ่อค่ะ ถือสายรอก่อนนะคะ โหล ๆ ยังอยู่นะคะ โอเคค่ะ เมื่อกี๊เราคุยกันถึงไหนแล้วคะ?
ทอมรุ่นน้อง: ขอจับมือฮะ
ฉัน: ไม่อยากจับทั้งตัวแล้วเหรอคะ?
ทอมรุ่นน้อง: อ้าว! ก็เมื่อกี๊บอกเองว่าไม่ให้จับนี่ฮะ ทำไมเปลี่ยนใจไวจังฮะ?
ฉัน: เหรอ ๆ พูดอย่างนั้นเหรอ เดี๋ยวนะ ชักสับสน ถือสายไว้นะ พี่คะ...พี่คะ ได้ยินมั้ยคะ?
ทอมรุ่นพี่: ได้ยิน ตกลงจะยอมให้จับทั้งตัวมั้ย?
ฉัน: พี่ขอจับมือไม่ใช่หรือคะ? อ้าว! เฮ้ย! เอ๊ะ! ยังไงกันวะนี่ เบลอไปหมดแล้ว
ทอมรุ่นพี่: สงสัยจะง่วงแล้ว งั้นไปนอนเถอะ
ฉัน: ค่ะ ค่ะ ค่ะ ง่วงแล้วค่ะ งั้นเท่านี้นะคะ ราตรีสวัสดิ์ค่ะ ฮัลโหล...ฮัลโหล ยังอยู่มั้ย?
ทอมรุ่นน้อง: ยังอยู่ฮะ
ฉัน: เฮ้อ!
ทอมรุ่นน้อง: ถอนหายใจทำไมฮะ?
ฉัน: เหนื่อยค่ะ
ทอมรุ่นน้อง: มีเรื่องอะไรทำให้เหนื่อยหรือฮะ คุยกันได้นะฮะ
ฉัน: ไว้เจอกันที่โรงเรียนดีกว่า คืนนี้คุยกันแค่นี้ก่อนนะคะ
ทอมรุ่นน้อง: ก็ได้ฮะ พรุ่งนี้เจอกันฮะ
ถึงฉันจะมีความสุขกับการคบชู้สู่ทอมสองคนในเวลาเดียว แต่ความสัมพันธ์เชิงซ้อนแบบนี้ก็ดำเนินไปได้ไม่นาน เหมือนที่คนโบราณกล่าวไว้ว่า ‘ความลับไม่มีในโลก’ เมื่อความจริงปรากฎ ความเท็จก็ย่อมมลาย และฉันก็จำเป็นต้องเคลียร์
แม้ใจจริงส่วนลึกฉัน ‘อยากเก็บทอมไว้ทั้งสองคน’ แต่ในเมื่อไม่มีทอมไหนยอมรับได้ ฉันจึงตัดสินใจเดินออกมาจากความสัมพันธ์ที่ไม่ลงตัวนั้น พอดีกับเป็นช่วงสอบเอ็นทรานซ์ จึงเป็นข้ออ้างที่สมเหตุสมผลในการที่ฉันจะทำตัวห่างเหิน แต่มันก็ไม่ใช่เรื่องง่ายนัก ผู้ชายในร่างหญิงทั้งสองคนยังคงโทรศัพท์มาคุย รวมถึงชวนเล่น Sex Phone อยู่เป็นระยะ ๆ และฉันก็จำเป็นต้องคุยต้องเล่นด้วยตอบเพื่อถนอมความรู้สึกไม่ให้ร้าวฉานและนำไปสู่บทสรุปเลวร้ายเหมือนที่เป็นข่าวในหน้าหนังสือพิมพ์
จนกระทั่งผลสอบเอ็นทรานซ์ประกาศออกมา ปรากฎว่าฉันสอบติดที่รูสะมิแล ตอนแรกฉันไม่คิดที่จะไป พ่อแม่พี่น้องก็ไม่มีใครสนับสนุนให้ฉันไป แต่เมื่อมาคิดดูว่า ถ้าฉันอยากจะเริ่มต้นชีวิตใหม่ ถ้าฉันอยากจะตัดใจจากสองทอมจอมตื๊อให้ได้ การไปอยู่ในสถานที่ห่างไกลจากกรุงเทพฯ กว่า 1000 กิโลเมตร ก็น่าจะเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด
3.
ที่รูสะมิแล
ฉันรู้สึกแปลกแยกกับทุกสิ่งทุกอย่าง และไม่มีสมาธิในการเรียนเอาเสียเลย เพราะยังวนเวียนอยู่กับความคิดคำนึงถึงสองทอมอยู่วันยันค่ำ ผลการเรียนเทอมแรกของฉันแย่มาก
เข้าสู่เทอมสอง ฉันก็ยังไม่ดีขึ้น เหมือนคนที่ตกอยู่ในวังวนของความผิดหวังซ้ำซาก รุ่นพี่หลายคนพยายามเตือนสติ คอยให้กำลังใจ ช่วยติว แต่ก็ไม่เป็นผล ฉันผ่านปี 1 ไปด้วยสถานภาพที่ล่อแหลมต่อการถูกรีไทร์!!!
ปี 2
ฉันรู้สึกเข้มแข้งขึ้น อาจเป็นเพราะปรับตัวได้ หรือไม่ก็เจอเพื่อนที่ดี ฉันจึงเริ่มสนุกกับการอยู่ที่รูสะมิแล และบางที...อาจเป็นเพราะฮอร์โมนเพศหญิงที่เพิ่มขึ้น ทำให้ฉันเริ่มมีความรู้สึกนึกคิดที่เปลี่ยนไป ฉันยอมรับว่า ฉันมีความต้องการทางเพศชายมากกว่ากว่าทอม ฉันเริ่มหันมาสนใจมองผู้ชายหน้าตาดี ฉันจะรู้สึกประหม่าตื่นเต้นทำอะไรไม่ถูกเมื่ออยู่ใกล้ผู้ชายบางคน จากนั้นฉันก็เริ่มมีเพื่อนสนิทเป็นผู้ชาย ซึ่งนำไปสู่การการรู้จักรุ่นพี่ผู้ชาย โดยเฉพาะรุ่นพี่ในกลุ่มที่เล่นดนตรี รวมทั้ง G
4.
ฉันรู้มานานแล้วว่า G มีแฟนชื่อ PP แต่ฉันก็ยังแอบชอบเขา อาจเป็นเพราะเขามีส่วนผสมของธาตุดิน น้ำ ลม ไฟ ที่ในสัดส่วนที่เหมาะสมกับผู้หญิงราศีธนูอย่างฉัน
ที่สำคัญ PP เรียนจบ 3 ปีครึ่ง อีกครึ่งปีที่เหลือจึงเกิด ‘พื้นที่ว่าง’ ทางความรู้สึกของ G และฉันก็อยากเข้าไปจับจองพื้นที่ว่างนั้น
มันเริ่มจากความรู้สึกหวิว ๆ ที่เขามองสบตา รู้สึกสะท้านที่เขาทักทายพูดคุยด้วย รู้สึกโหยหาที่จะได้เจอทุกวัน รู้สึกอบอุ่นที่ได้อยู่ใกล้ ๆ รู้สึกมีความสุขที่ได้ดูแลเอาใจใส่ และรู้สึกอยากรู้อยากเห็น
สมัยนั้น ‘เหล็กดัดฟัน’ ยังไม่เป็นค่านิยมเหมือนอย่างปัจจุบัน และฉันอาจจะเป็นนักศึกษาไม่กี่คนในรูสะมิแลก็ได้ที่ใส่เหล็กดัดฟัน พูดอีกอย่างคือ ฉันเป็นผู้หญิงยุคแรก ๆ ที่ใส่เหล็กดัดฟันซึ่งมันไม่ใช่ความเท่ห์เหมือนอย่างสมัยนี้ ฉันกลับรู้สึกเป็นปมด้อย นั่นเป็นเหตุผลที่ทำให้ฉันเชื่อมาตลอดว่า G ไม่เคยคิดกับฉันเกินกว่าเด็กผู้หญิงที่มีรอยยิ้มหลังเหล็กดัดฟัน เด็กผู้หญิงที่เอาแต่ใจตัวเอง เด็กผู้หญิงที่อยากได้รับความสนใจจากรุ่นพี่หน้าหวานที่มีฟันเรียงสวยเป็นระเบียบ รุ่นพีที่มีรอยยิ้มเป็นเอกลักษณ์ และรุ่นพี่ที่สาว ๆ หลายคนแอบปลื้ม แต่ไม่กล้าเดินเข้าไปหา ไม่กล้าเดินเข้าไปคุยด้วย ไม่กล้าเดินไปขอหอมแก้มแล้ววิ่งหนี...อย่างฉัน
ฉันกล้ามากกว่านั้นอีก
ฉันกล้าขนาดไปหาเขาถึงห้องเช่าโกโรโกโส ห้องที่เขาเคยเล่าให้ฟังว่า ครั้งหนึ่งเคยเป็นที่กำเนิดเพลง ‘นกที่บินข้ามฟ้า’
ฉันชอบเพลงนั้นมาก มันเป็นหนึ่งในเพลงที่ทำให้ฉันมีกำลังใจและรู้สึกดีมาก ๆ เมื่อตอนที่มาอยู่รูสะมิแลใหม่ ๆ โดยเฉพาะท่อนนั้น
...ดั่งนกที่บินข้ามฝ่า ทะเลน้ำตา มายาตะวัน ไม่หวั่นไหวตาม...
ฉันถึงกับน้ำตารื้นในครั้งแรกที่ได้ยิน และเคยแอบคิดเล่น ๆ ว่า วันหนึ่งฉันจะต้องร้องเพลงนี้กับเขาบนเวทีให้ได้ แต่โอกาสนั้นก็ยังมาไม่ถึง
5.
คืนหนึ่ง...
ฉันไปดู G เล่นดนตรีในงาน ๆ หนึ่งของชมรมอะไรสักแห่งของมหาวิทยาลัย ฉันรู้ด้วยประสบการณ์ของคนที่เคยคลุกคลีกับกิจกรรมเวทีว่าคืนนั้นมีหลายสิ่งหลายอย่างขาด ๆ เกิน ๆ รวมทั้งสายกีตาร์ G ต้องฝืนเล่นทั้ง ๆ ที่กีตาร์สายแรกขาดไปตั้งแต่ยังไม่จบเพลงแรก พอขึ้นเพลงที่สอง ไมโครโฟนก็หอนขึ้นมาเป็นระยะ ๆ ในขณะเล่น และเริ่มมีเสียงโห่ จนจบเพลงที่สอง G ก็เดินลงเวทีไปเฉย ๆ
คืนนั้น...
ฉันไปหา G ที่ห้องโกโรโกโส เขาอยู่ในอาการเมา ตาแดงก่ำยบ่งบอกว่าเพิ่งผ่านการร้องไห้ ฉันเดินเข้าไปนั่งลงข้าง ๆ เขา เอื้อมมือไปเกาะกุมมือเขาเพื่อปลอบใจ แต่แล้วโดยไม่ทันคาดคิด ผู้ชายที่เคยสุภาพกับฉัน ผู้ชายที่ไม่เคยแม้แต่จะทำให้ฉันคิดว่าเขาจะกล้าทำมิดีมิร้ายกับฉัน กลับดึงฉันเข้าไปกอด ฉันตัวแข็ง ใจเต้นระทึก ฉันทำอะไรไม่ถูก ได้แต่ลูบหลังเขาอย่างแผ่วเบา นึกในใจว่าจะเกิดอะไรขึ้น แล้วหน้าที่ซบนิ่งอยู่ไหล่ฉันก็เริ่มขยับซุกไซ้ซอกซอนอยู่แถวซอกคอสลับใบหู ลมหายใจคละคลุ้งด้วยกลิ่นเหล้า แต่แทนที่จะเหม็น มันกลับกระตุ้นอารมณ์ฉันอย่างประหลาด เขาบรรจงจูบไล่จากหน้าผากเรื่อยลงมาที่คิ้ว ตา แก้ม คาง ตอนนั้นฉันรู้สึกเคลิบเคลิ้มเหมือนจะควบคุมตัวเองไม่ได้ จนเมื่อเขาประกบริมฝีปากกับปากของฉัน และพยายามใช้ลิ้นดุนดันผ่านปราการเหล็กดัดเข้าไปเกี่ยวกระหวัดกับลิ้นของฉัน ฉันจึงรู้สึกตัวตื่นจากภวังค์ เบนกายฉันขัดขืน เขาจึงเปลี่ยนเป้าหมายลดต่ำลงที่หน้าอก ฉันบ่ายเบี่ยงด้วยสัญชาติญาณเอียงอาย แต่เหมือนยั่วเย้าให้เขายิ่งอยากขยำขยี้ฉันให้แหลกยับไปกับมือ เขาจับฉันกดลงบนที่นอน พยายามใช้ฟันปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตที่ฉันใส่อยู่ ฉันดิ้นรนและขยับหนีด้วยความตื่นตระหนก เมื่อไม่สำเร็จ เขาจึงอาศัยจังหวะที่ฉันตกใจกระชากเสื้ออย่างแรง กระดุมที่กลัดติดสาบเสื้อกระเด็นกระดอนไปคนละทิศละทาง ฉันนึกอยากกรีดร้อง แต่ไม่กล้า ในขณะที่มือฉันผลักไสเขา แต่ในใจฉันกลับโหยหาเขา ในขณะที่ใจเต้นระทึก ฉันกลับกลัวว่าเขาจะผละหนี
เขาสอดแขนยกดุนหลังฉันขึ้น และใช้มือเดียวปลดตะขอชั้นในอย่างรวดเร็ว ฉันรู้สึกอาย ยกมือขึ้นปิดบัง เขาผลักมือฉันออก หยุดมองด้วยสายตาหื่นกระหาย ก่อนจะซุกหน้าลงไปเบียดแทรกชอนไชราวกับจะมุดหายเข้าไปทั้งตัว มันเป็นประสานงานกันของอวัยวะส่วนต่าง ๆ อย่างน่าทึ่ง ปากดูดอม มือคลึงเคล้น ลิ้นโลมเลีย และทุกครั้งที่เขาใช้ฟันขบกัดเบา ๆ ตรงส่วนยอดที่ชูชันนั้น ฉันก็ต้องเผลอร้องครางออกมาทุกครั้ง
ฉันใช้มือจิกผมเขาแทนคำบอกว่า ‘พอได้แล้ว’ แต่เขาอาจแปลความเป็น ‘ขออะไรที่มันสะใจมากกว่านี้อีก’ จึงเลื่อนใบหน้าต่ำลงไป ต่ำลงไป ต่ำลงไป จนประชิดเขตแดนที่เป็นเนินหญ้าป่าชัฎ ถึงตอนนี้อยู่ ๆ ฉันก็คิดถึงสาวทอมรุ่นพี่ขึ้นมาวูบหนึ่ง ก่อนจะรีบสลัดสบัดทิ้งไปในชัวกระพริบตา
...ลืมมันเถอะ ของจริงรออยู่ตรงนี้แล้ว... ฉันนึกในใจ
เขาปลดตะขอที่ขอบเอวกางเกงขาสั้น รูดซิบ แล้วค่อย ๆ ถอดเลื่อนลงไป ฉันขยับขาช่วยให้มันไปกองที่เท้าเร็วขึ้น เขาระดมจูบพรมตรงหน้าท้องก่อนจะสงบนิ่ง เหมือนทหารที่พรางตัวรอซุ่มโจมตีศัตรู ฉันสัมผัสถึงความสากจากหนวดเคราต้นตอสั้น ๆ ที่ชวนเสียวสยิว รับรู้ถึงลมหายใจอุ่น ๆ และลิ้นเปียก ๆ ที่โลมเลียอยู่บริเวณสะดือ และต่ำลงไป ต่ำลงไป ต่ำลงไป
“หยุดเถอะค่ะ” นึกด่าตัวเองในใจที่หลุดคำนั้นออกไป โชคดีที่เขาไม่ได้ยิน
“อย่าค่ะ” อีกแล้ว ปากกับใจไม่ตรงกันอีกแล้ว เมื่อเขาใช้มือละลาบละล้วงเข้าไปในกางเกงในซึ่งบัดนี้เป็นอาภรณ์เพียงชิ้นเดียวที่หลงเหลือติดตัวฉัน ฉันสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อนิ้วของเขาสัมผัสถูก ‘จุดอ่อน’ ของฉัน
ฉันเริ่มจินตนาการถึงจิตรกรที่เตรียมสีและแปรงหรือพู่กันที่พร้อมจะระบัดระบายลงบนแผ่นเฟรม...มันจะเป็นภาพอะไรนะ...ฉันคิดในใจ
...สีน้ำ สีฝุ่น สีน้ำมัน เรียลลิสต์ติก แอ็บสแตร็ค...แต่ไม่ว่าภาพอะไรก็ตาม ฉันเชื่อว่ามันต้องเป็นภาพที่ดีอย่างแน่นอน
“ขอโทษ!”
...เฮ้ย! อะไรวะ? ได้ไงเนี่ย!... ฉันร่ำร้องในใจ แต่คำพูดที่โพล่งออกไปคือ
“ทำไม...ทำไมพี่ทำอย่างนี้?”
ฉันร้องไห้ น้ำตามันไหลอกมาเอง ไม่รู้เป็นเพราะความโกรธหรือเสียดาย
“พี่ขอโทษ พี่ลืมตัว” เขามีสีหน้าสำนึกผิด
...โธ่โว้ย!!! จะมาสำนึกผิดอะไรกันตอนที่มันกำลังจะเข้าด้ายเข้าเข็มแบบนี้วะ
ฉันวีนแตกอยู่ในใจ แต่คำที่พูดกับเขาคือ
“พี่ไม่น่าทำแบบนี้ ต่อไปนี้ระหว่างเราจบกันแค่นี้ P2 จะไม่มาหาพี่อีก”
ฉันรีบคว้าเสื้อกางเกงขึ้นมาสวมก่อนผลุนผลันออกมาในสภาพกระเซอะกระเซิงที่สุดในชีวิต หลังจากนั้นฉันก็ไม่เคยคิดที่จะไปหาเขาที่ห้องเช่าโกโรโกโสนั้น หรือแม้แต่จะเฉียดกรายเข้าใกล้เขาอีก
...คนอะไร หลอกให้อยากแล้วก็หยุดซะงั้น!!!
และนั่นคือเหตุผลที่ว่าทำไม?
ตอนนี้ฉันกำลังมองหาผู้ชายสักคนที่จริงใจ จริงจัง คุยเรื่องทะลึ่งกันได้ พร้อมจะเป็นผู้นำพาฉันได้ทุกเรื่อง ไม่ถอดใจท้อถอยกลางทาง และพร้อมจะทำให้ฉันมีความสุข ไม่ปล่อยให้อารมณ์ค้างกลางคัน!!!
ผลงานอื่นๆ ของ PenสุขเกษมD ดูทั้งหมด
ผลงานอื่นๆ ของ PenสุขเกษมD
ความคิดเห็น