การเดินทางของนักดนตรีพเนจร - การเดินทางของนักดนตรีพเนจร นิยาย การเดินทางของนักดนตรีพเนจร : Dek-D.com - Writer

    การเดินทางของนักดนตรีพเนจร

    บ่อยครั้งที่เราเถียงกันว่า การเดินทางของเราจะไปสิ้นสุดลงตรงไหน? นี่คือเรื่องราวที่เป็นเสมือนบทคัดย่อของการรำลึกเพื่อนนักดนตรีคนหนึ่งที่เคยพเนจรอยู่ในโลกใบนี้และกำลังเดินทางไปสู่โลกใบที่หมุนรอเราทุกคน

    ผู้เข้าชมรวม

    392

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    1

    ผู้เข้าชมรวม


    392

    ความคิดเห็น


    0

    คนติดตาม


    1
    หมวด :  ซึ้งกินใจ
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  14 ก.ย. 51 / 09:10 น.


    ข้อมูลเบื้องต้นของเรื่องนี้
    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ
      ตอนที่ 1 : You are my best hero

      ผมไม่ใช่คนมีเพื่อนเยอะ

      นับจำนวนด้วยนิ้วมือทั้งสิบก็ยังไม่ครบ

      ยิ่งคัดกรองด้วยบรรทัดฐานของคำว่า เพื่อนแท้

      นับด้วยนิ้วมือข้างเดียวก็ยังเหลือ

       

      บางทีผมอาจเป็นมนุษย์คนหนึ่งในโลกที่มีวงกลมของความเพื่อนแท้เล็กนิดเดียว

      เล็ก...จนมองด้วยตาเปล่าไม่เห็นเป็นเส้นรอบวง

      ไม่ชวนให้คิดว่าเป็นวงกลมด้วยซ้ำ

      ใช่! มันดูเหมือนจุดเล็ก ๆ มากกว่า

       

      ในบรรดาคนที่อยู่ตรง จุดนั้น

      มีผู้ชายคนหนึ่งชื่อ โป้ง

      เขาเป็นอะไรมาหลายอย่าง

      ก่อนจะค้นพบว่าหนทางที่ตนเองใฝ่ฝันคือ

      การเป็นนักดนตรีพเนจร

       

      ผมจงใจเรียกแบบนั้น

      หมายถึงคนหาเลี้ยงชีวิตด้วยการเล่นดนตรีตามสถานบันเทิงเริงรมย์ทุกรูปแบบ

      ตั้งแต่ร้านลาบ คลับ บาร์ สวนอาหาร ภัตตาคาร จนถึงโรงแรม

       

      เพราะโดยวิถีของนักดนตรีเหล่านี้

      น้อยคนนักที่จะไม่วิ่งรอกตะลอน ๆ หาที่ลงมากกว่าหนึ่งแห่ง

      ไม่งั้นอยู่ลำบาก ยิ่งในยุคที่ มิวสิคบ็อกซ์เข้ามาแย่งอาชีพ ยิ่งอยู่ได้ยาก

      เพราะมันสามารถทำอะไรก็ตามที่นักดนตรีทำได้

      มันทำให้เด็กเสิร์ฟ เด็กรับรถ และอีกหลายคนที่มีความสามารถในการร้องเพลง มีพรสวรรค์ในการเลียนเสียงนักร้องและมีความใฝ่ฝันที่จะมีชีวิตแบบมือถือไมค์ไฟส่องหน้าเป็นทุนเดิม

      สามารถกระโดดข้ามขั้นเป็นศิลปินเพียงชั่วข้ามคืน

      และทำให้ชีวิตนักดนตรีแบบโป้งที่หลายคนมองด้วยความอิจฉา

      แต่ในสายตาของเจ้าของสถานที่บางแห่งและบางคน

      กลับมองเขาเหมือนมองเห็นหมาล่าเนื้อตัวหนึ่ง!

       

      โป้งอาจไม่ใช่นักดนตรีฝีมือขั้นเทพ

      หรือมีลีลาการพรีเซนต์ตัวเองเยี่ยงเซียนกีตาร์คนไหน

      แต่เขาก็มี เดอะกีตาร์ฮีโร่ในดวงใจ เหมือนคนดนตรีทั่วไป

      และทุกครั้งที่เขาจับกีตาร์

      ผมก็จะนิ่งฟังเขาเล่นจนจบเพลงเหมือนถูกมนตร์สะกด

      บ่อยครั้งที่โป้งจะเล่าถึงที่มาของเพลงบางเพลง หรือประวัติของนักดนตรี

      ตอนนั้นเขาจะเป็นเหมือนครูคนหนึ่ง

       

      โป้งฟังเพลงมาเยอะ

      เขาสะสมอัลบั้มเพลงไว้มากมาย

      เขาสอนให้ผมรู้จักฟังเพลงสากลดี ๆ ของศิลปินฝีมือดี ๆ ของโลก

       

      แต่ถึงแม้จะมีต้นทุนทางดนตรีสักขนาดไหน

      เมื่ออยู่บนเวที โป้งจะแค่เล่นกีตาร์ร้องเพลงสากลเก่า ๆ หรือกลางเก่ากลางใหม่

      นาน ๆ ครั้ง จึงจะร้องเพลงไทยที่มีเนื้อหาลุ่มลึก แฝงปรัชญา หรือการใช้ภาษาที่สวยงาม

      ซึ่งไม่ใช่ เพลงเพื่อชีวิตเสมอไป

       

      บางที..เขาน่าจะเป็นคนที่ขบถต่อเพลงเพื่อชีวิตด้วยซ้ำ

      ผมไม่เคยได้ยินเขาเล่นเพลงของศิลปินคนไหนในเมืองไทยที่กล่าวอ้างตนเองว่าเป็นนักเพลงเพื่อชีวิตเลยแม้แต่ครั้งเดียว

      เขามักจะร้องเพลงสากลของศิลปินในยุค 60-70

      เขาร้องโดยไม่สนใจว่าจะมีคนฟังหรือไม่?

       

      ผมเคยถามโป้งว่า

      แกทำได้ไงวะ เล่นดนตรีไปในขณะที่คนอื่นนั่งคุยกันไป นาน ๆ ครั้งจึงจะหยุดฟัง หากเป็นเพลงที่รู้จัก คุ้นหู หรือร้องขอ

      ไม่รู้ว่ะ แต่ถ้าแกเป็นฉันแกก็จะทำได้อย่างฉัน

       

      ผมเคยนัดเจอโป้งเล่นที่ร้านเล็ก ๆ ในซอยสุขุมวิท 101 ซึ่งเป็นร้านประจำในการเล่นดนตรียุคแรก ๆ ของเขา สมัยนั้นเขาจะเล่นในช่วงหัวค่ำ แบบวันเว้นวัน วันนั้นลูกค้าน้อย และยังอีกนานก่อนจะถึงเวลาเล่น เราจึงนั่งละเลียดเบียร์กันไปคุยกันไปจนได้เวลาเล่น โป้งก็ขึ้นไปบนเวที

       

      บนเวที...โป้งจะเล่นกีตาร์และร้องเพลงอย่างมุ่งมั่น เขาจะพูดน้อยมาก ผมจำได้ว่า ตั้งแต่ไปนั่งฟังเขาเล่นดนตรีไม่ว่าที่ไหนก็ตาม ผมจะได้ยินเขาพูดเป็นแพ็ทเทิร์นเดียวกันคือ

       

      สวัสดีครับ ขอต้อนรับสู่ร้าน...อยากฟังเพลงอะไรก็ขอกันมาได้นะครับซึ่งเป็นการออกตัวตามธรรมเนียมในตอนเริ่มต้น

       

      อีกตอนที่อาจจะได้ยินโป้งพูดคือตอนที่เขาบอกชื่อเพลงที่จะเล่น และอาจจะมีการบอกชื่อเจ้าของเพลงนั้นอีกนิดหน่อย

       

      ขอบคุณครับ หากหลังจบเพลงมีเสียงปรบมือชื่นชมหรือให้เกียรตินักดนตรี

       

      และประโยคสุดท้าย วันนี้หมดเวลาแล้ว ขอลาไปก่อนนะครับ

       

      ผมเคยถามโป้งว่า ทำไมแกไม่พูดกับแขกในร้านหรือชวนแขกคุยเยอะๆ วะ จะได้สร้างความครึกครื้นเป็นกันเอง

      ฉันเป็นนักดนตรี ไม่ใช่ตลกคาเฟ่

      ข้อนั้นฉันรู้ แต่แกจะช่วยพูดอะไรที่มันทำให้รู้สึกว่ามีการสื่อสารกับคนฟังบ้างไม่ได้เชียวเหรอ?”

      ฉันพูดผ่านเพลงพวกนั้นแล้ว ยังต้องพูดอะไรอีก

       

      ตั้งแต่นั้นมา ผมก็เลิกสนใจว่าเขาจะพูดหรือไม่พูดอะไรบนเวที

      ผมจะคอยฟังว่าเขาจะเล่นเพลงอะไร

      และเพลงหนึ่งที่ผมชอบฟังเขาเล่นมาก ๆ ก็คือ Baby How can I hold you tonight?

       

      ผมไม่แน่ใจว่าเคยได้ยินเพลงนี้ครั้งแรกจากที่ไหน แต่ผมจำได้ไม่เคยลืมว่า โป้งร้องเพลงนี้ให้ผมฟังครั้งแรกในบ้านที่เขาเช่าอยู่กับเพื่อนอีกสองคน

       

      เราถกกันถึงชีวิตในมุมเหม่ ผมสารภาพให้โป้งฟังว่า ครั้งหนึ่งผมเคยทำผู้หญิงท้อง ผมคุยกับผู้หญิงคนนั้นว่าเราจะหาทางออกเรื่องนี้กันอย่างไร

       

      พ่อแม่เธอไม่ยอมรับผม พ่อแม่ผมก็ไม่ยอมรับเธอ

      ผมกลัว เธอก็กลัว

      …………….

      ..............

      ทั้งที่เรื่องผ่านมานานแล้ว แต่เมื่อขุดคุ้ยขึ้นมาคุยกัน ผมกลับร้องไห้อย่างไม่อาย

      และในคืนนั้นเองที่ผมได้ยินเพลงบทนั้นจากโป้ง

       

      Sorry
      Is all that you can’t say
      Years gone by and still
      Words don’t come easily
      Like sorry like sorry

      Forgive me
      Is all that you can’t say
      Years gone by and still
      Words don’t come easily
      Like forgive me forgive me

      But you can say baby
      Baby can I hold you tonight
      Maybe if I told you the right words
      At the right time you’d be mine

      I love you
      Is all that you can’t say
      Years gone by and still
      Words don’t come easily
      Like I love you I love you

      ตอนที่ 2 : I am a guy not gay!

      โป้งอาจพูดน้อยเมื่ออยู่บนเวที แต่เมื่ออยู่ในฐานะเพื่อน บางเรื่องโป้งก็พูดมากจนน่ารำคาญ โดยเฉพาะเรื่องผู้หญิง!

       

      เปล่า! โป้งไม่ได้ฟุ้งเรื่องผู้หญิงให้ผมรำคาญ เป็นผมต่างหากที่ทำให้เขาต้องพูดมาก

       

      บ่อยครั้งที่ผมไปฟังโป้งเล่นดนตรี ผมจะไปกับผู้หญิงที่ไม่เคยซ้ำหน้า แรก ๆ โป้งก็ไม่ว่าอะไ แต่หลัง ๆ โป้งก็เริ่มแซว กัด แขวะ กระแหนะกระแหน เตือน สอน จนถึงด่าว่าแรง ๆ

       

      ครั้งหนึ่งโป้งเคยพูดกับผม เมื่อผู้หญิงที่ผมพาไปนั่งฟังเขาเล่นดนตรีลุกไปเข้าห้องน้ำ

       

      เปลี่ยนหน้ามาอีกแล้วนะ ฉันจำได้ว่าแกเคยบอกฉันตั้งแต่ตอนรู้จักกันใหม่ ๆ ว่า ชีวิตแกมองหาอยู่สองอย่าง งานการที่เรารัก และคนรักที่เข้าใจ ตอนนี้แกได้เจองานการที่แกรักแล้ว เหลือแต่คนรักที่เข้าใจ คนที่เป็นนางในฝันหรือนางฟ้าบ้าบอคอแตกอะไรของแกนั่น แต่จนถึงวันนี้ฉันยังไม่เคยเห็นแกจบที่ใครเลยสักคน แล้วคนนี้นางฟ้าองค์ที่เท่าไหร่วะ ถามจริง ๆ เถอะ แกไม่เบื่อบ้างหรือวะที่ต้องเริ่มแล้วก็จบ ฉันว่าแกน่าจะเพลา ๆ หรือไม่ก็พอเรื่องนี้ได้แล้วนะ อายุแกมากขึ้นทุกที หรือไม่ก็มองหาใครสักคนที่จะแกอยากจะใช้ชีวิตอยู่ด้วยจริง ๆ จนตายจากกันไปข้างหนึ่ง...

      เหมือนแกกับแหม่มใช่มั้ย? ตอนอยู่กรุงเทพฯ ฉันยังไม่เห็นแกจะมีใครเป็นตัวเป็นตน พอไปอยู่หาดใหญ่เท่านั้นล่ะ งานเข้าเลย

      เขาเรียกบุพเพอาละวาดโว้ย!

       

      แล้วเราก็หัวเราะด้วยกัน ไม่ค่อยบ่อยนักที่เราจะหัวเราะด้วยกันอย่างวันนั้น

      …………….

      ..............

      ผมพยายามนึกทบทวนว่ารู้จักโป้งตอนไหน?

       

      จำได้ว่าตอนนั้นผมมาทำงานที่กรุงเทพฯ ได้หลายปีแล้ว ผมนัดเจอพี่นนท์ รุ่นพี่รูสะมิแลที่นับถือกันเป็นพี่ชายแห่งชีวิต

      พี่นนท์ลงมาจากเชียงใหม่ บอกว่าจะพาไปรู้จักคน ๆ หนึ่ง และคน ๆ นั้นน่าจะเป็นเพื่อนที่ดีของผม

       

      ตอนนั้นผมจึงได้รู้จักโป้งโดยการแนะนำของพี่นนท์ และได้รู้ในเวลาต่อมาว่าพี่นนท์รู้จักโป้งโดยการแนะนำของพี่กล้วยซึ่งเป็นแฟนของพี่นนท์ และพี่กล้วยนี่เองที่เป็นคนแนะนำให้โป้งรู้จักกับแหม่ม

      บุพเพมันอาละวาดแบบนี้เอง!

       

      แต่ก่อนนั้นล่ะ?

      ก่อนที่บุพเพจะอาละวาด

      ก่อนที่โป้งจะไปอยู่หาดใหญ่

      ก่อนที่พี่กล้วยจะแนะนำให้โป้งรู้จักกับพี่นนท์กับแหม่ม

      ก่อนหน้านั้นโป้งเคยอยู่ตรงไหน?

       

      ผมจำได้ลางเลือนเหลือเกิน

       

      ผมจำได้แต่ว่าโป้งเป็นคนสระบุรี เข้ามาเรียนในกรุงเทพฯ กลางวันทำงานเป็นสถาปนิก กลางคืนเล่นดนตรี

       

      โป้งมีเพื่อนเป็นนักดนตรีฝีมือดีหลายคน

      มีทั้งพวกร่อนเร่พเนจรตามร้านข้างถนน คลับบาร์มีชื่อ สวนอาหารเลิศหรู ภัตตาคารลอยฟ้า จนถึงโรงแรมห้าดาว

      กับพวกรับจ้างเล่น Back up ให้ศิลปินที่เรียกกันว่า 'มือปืนรับจ้าง' บางคนมีโอกาสได้ออกอัลบั้มส่วนตัวด้วย มีอยู่คนหนึ่งผมจำชื่อเขาไม่ได้ จำได้แต่ชื่ออัลบั้ม ระบำบนปลายนิ้ว

       

      ผมรู้จักเพื่อนของโป้งในกลุ่มสถาปนิก 2 คนคือ ดอนกับ มูซา เป็นคนเก่งทั้งคู่

      ดอนนั้นมีหัวทางธุรกิจจึงไม่แปลกที่วันหนึ่งเขาจะกลายเป็นเจ้าของกิจการ

      ส่วนมูซาเป็นมุสลิม เขาไม่ใช่แค่ไม่กินหมู เขาเป็นตัวอย่างของมุสลิมที่มีเพื่อนสนิทต่างศาสนาและเช่าบ้านอยู่ด้วยกันอย่างสงบสุขโดยไม่ข้องแวะกับอบายมุขเหมื่อนเพื่อน ๆ หรือมุสลิมบางคน

       

      มูซาเล่นกีตาร์เก่งมาก เขาเป็นแฟนพันธุ์แท้จอห์น เดนเวอร์ ในยุคที่ยังไม่มีโน้ตเพลงขาย เขาแกะเพลงดี ๆ ของ จอห์น เดนเวอร์ ได้แบบละเอียดละออ และเล่นกล่อมคนฟังชนิดลืมดื่มกินเลยทีเดียว

       

      ผมมีความทรงจำที่บ้านเช่าหลังนั้น 2 ครั้ง

      ครั้งหนึ่งกับผู้หญิงคนหนึ่ง

      อีกครั้งหนึ่งกับผู้หญิงอีกคนหนึ่ง

      บางทีนั่นอาจเป็นจุดเริ่มต้นของการที่ทำให้โป้งตั้งข้อสังเกตเกี่ยวกับเรื่องผู้หญิงของผม เพราะหลังจากนั้นอีกหลายปีและหลายทีที่ผมไปเจอโป้ง ผู้หญิงที่ผมพาไปด้วยก็จะเปลี่ยนหน้าไปเสมอ และโป้งก็จะเปลี่ยนจากเพื่อนเป็นพี่ บางครั้งก็เป็นพ่อ

       

      โป้งอายุน้อยกว่าผม 4 เดือน แต่เราก็คบหากันเป็นเพื่อนอย่างสนิทใจ เขาเป็นหนึ่งในเพื่อนไม่กี่คนที่ผมขอกอดเมื่อพบเจอหรือร่ำลากันได้โดยไม่ตะขิดตะขวงใจ ซึ่งบางทีก็ทำให้มีคนเข้าใจผิดคิดว่าเราเป็นคู่เกย์

      …………….

      ..............

      ตอนที่
      3 : When a man lucky in life

      ก่อนเลือกเล่นดนตรีอย่างเดียว โป้งก็เหมือนนักดนตรีหลายคนที่ใช้ชีวิตสองภาค

      กลางวันทำงานเป็นสถาปนิก เขียนแบบ

      กลางคืนหอบหิ้วกล่องกีตาร์และโน้ตเพลงตะลอนร้องเพลงขับกล่อมผู้คน

      มีทั้งร้านประจำและร้านที่ต้องไปเล่นแทนเพื่อนนักดนตรีคนอื่นเป็นประจำ

       

      ตอนทำงานประจำในภาคกลางวัน และเล่นดนตรีในภาคกลางคืน

      โป้งเคยบ่นเบื่องาน อยากออกไปทำไร่ทำสวนที่ถิ่นรฐานบ้านเกิด

      จริงอ่ะ ฉันก็เคยคิดอยากจะลาออกจากงานมาทำสวนทำไร่เลี้ยงไก่เลี้ยงปลากันเหมือนกันว่ะ แต่คงยังไม่ใช่ตอนนี้ ว่าแต่คนอย่างแกจะทำไร่ทำสวนได้เหรอวะ?”

      คนอย่างฉันน่ะทำได้ แต่คนอย่างแกน่ะทำไม่ได้หรอก

      ทำไมแกคิดว่าฉันทำไม่ได้วะ?”

      ทำไมไม่ได้ ถ้าแกยังไม่หยุดใช้ชีวิตเสเพลแบบนี้

      แล้วแกล่ะ ถึงแกจะไม่เสเพลเหมือนฉัน แต่แกจะทิ้งความฝันของตัวเองได้เหรอวะ แกจะเลิกเล่นดนตรีได้เหรอวะ?”

      นั่นล่ะปัญหาใหญ่ ฉันไม่อยากเลิกเล่นดนตรี ตอนนี้ฉันก็กำลังดู ๆ ว่าแถวสระบุรีจะมีที่ไหนบ้างที่ฉันจะเล่นดนตรีได้ กลางวันทำสวน กลางคืนเล่นดนตรี

      ฉันว่าน่าจะมีนะ แต่เขาจะให้ค่าตัวแกดีเหมือนในกรุงเทพฯหรือเปล่าเท่านั้น

      ข้อนั้นฉันไม่เกี่ยงหรอก ร้อยสองร้อยฉันก็เอา ขอให้มีเถอะ ฉันอยากเล่นเพราะฉันอยากเล่น ฉันไม่ได้อยากเล่นเพราะอยากได้เงิน

      ถ้าทำได้ มันคงเป็นชีวิตที่น่าอิจฉามากเลยนะโป้ง

      ………………..

      ..............

      ในช่วงเศรษฐกิจฟองสบู่แตก โป้งตัดสินใจลาออกจากงาน แต่ความฝันที่จะกลับไปทำไร่ทำสวนและเล่นดนตรีที่สระบุรีบ้านเกิดยังมาไม่ถึง โป้งจึงเลือกที่จะอัปเปหิตัวเองไปอยู่ที่หาดใหญ่

       

      ผมจำได้ว่ามันเป็นช่วงเวลาไม่กี่วันก่อนปีใหม่ และไม่กี่วันก่อนงานแต่งงานของพี่นนท์กับพี่กล้วยที่จังหวัดพัทลุง

       

      โป้งโทรศัพท์มาหาผม

      แกพอจะหารถลงใต้ได้มั้ย?”

      แกจะไปไหน?”

      หาดใหญ่

      ไปทำอะไร

      ยังไม่รู้ ไปก่อน

      นี่มันใกล้ปีใหม่แล้ว ฉันไม่แน่ใจเหมือนกันว่าจะหาได้มั้ย?”

      แกไม่มีไปออกกองถ่ายแถวทางใต้บ้างเหรอวะ ฉันจะได้พลอยอาศัยไปด้วย?”

      ช่วงนี้ไม่มีเลยว่ะ อาจจะมีหลังปีใหม่ แกรอได้มั้ยล่ะ?”

      ไม่ได้ว่ะ ฉันกะว่าจะไปงานแต่งพี่นนท์กับพี่กล้วยที่พัทลุงด้วย

      เออว่ะ ฉันลืมไปเลย ถ้างั้นแกกะว่าจะเดินทางเมื่อไหร่ล่ะ?”

      เร็วที่สุด พรุ่งนี้เลยยิ่งดี

      งั้นขอฉันโทรศัพท์เช็ครถก่อน

      ………………..

      ..............

      หลังจากนั้นไม่นาน ผมก็โทรศัพท์กลับไปหาโป้ง

      หารถได้แล้ว แต่ไม่ใช่รถตู้ เป็นรถกระบะสภาพไม่ค่อยน่าไว้ใจเท่าไหร่

      ยังไงวะ?” โป้งสงสัย

      เจ้าของบอกเพิ่งไปทำเครื่องมา ไม่แน่ใจว่าถ้าวิ่งไกล ๆ จะไหวมั้ย? แต่ถ้าไม่เอาคันนี้ก็ไม่มีแล้ว แกเล่นเดินทางใกล้ปีใหม่แบบนี้ แล้วมาหารถตอนนี้ ได้คันนี้ฉันก็ว่าโฮเคแล้วล่ะ

      เขาคิดเท่าไหร่ล่ะ?”

      ไม่ต้องห่วง ฉันจัดการเอง แกจะเอาอะไรไปบ้างล่ะ?”

      ถ้าเป็นรถกระบะ ฉันก็คงขนทุกอย่างไปทีเดียวเลย

      อย่าบอกนะว่าแกจะย้ายบ้าน

      ก็ทำนองนั้น ฉันว่าจะไปอยู่ที่หาดใหญ่สักพัก

      แกรู้จักใครที่นั่นเหรอ?”

      รู้จักจริง ๆน่ะไม่มีหรอก แต่มีอยู่คนที่พี่กล้วยเคยแนะนำให้รู้จัก เขาชื่อ เกียรติ เป็นรุ่นใหญ่แล้วเขาทำงานเครื่องปั้นดินเผา ฉันว่าจะไปขอทำงานอยู่กับเขา

      สถาปนิกหนุ่มนักดนตรีจะไปทำเครื่องปั้นดินเผา ไม่กระโดดไปหน่อยเหรอ?”

      ก็ลองหาประสบการณ์ดูสักตั้ง ไม่ดีก็หาอะไรอย่างอื่นทำ

       

      อะไรอย่างอื่น ที่โป้งว่าคือ อาชีพดีเจและนักดนตรีที่หาดใหญ่  โป้งโชคดีที่ได้ทำงานที่ตัวเองมีความรู้และความรัก

       

      ก่อนหน้านั้น หลังจากการเดินทางอันทุลักทุเล หลังจากต้องเสียเวลาหาอู่ซ่อมรถระหว่างทางไปหลายชั่วโมง เราก็ไปถึงพัทลุงในเช้าวันแต่งงานของพี่นนท์กับพี่กล้วยพอดี ขนข้าวของเครื่องใช้ทั้งหมดลงไว้ และหลังจากงานเลี้ยงเลิกรา ผมกับโป้งก็แยกย้ายกัน

       

      ผมมารู้จากโป้งในหลายปีต่อมาว่า หลังจากงานแต่งพี่นนท์กับพี่กล้วย โป้งก็ขนข้าวของไปอยู่กับพี่เกียรติสักพักหนึ่ง ระหว่างนั้นก็หางานทำ ด้วยทักษะความรู้บวกประสบการณ์โป้งจึงได้งานเป็นดีเจและเล่นดนตรีควบคู่กัน ถือเป็นจังหวะชีวิตที่รุ่งเรืองที่สุดของโป้งเลยก็ว่าได้ มีงานดี เงินดี และอีกเรื่องดี ๆ ที่ตามมาก็คือ

       

      ผู้หญิงดี ๆ ที่ชื่อ แหม่ม’ 

      ตอนที่ 4 : Cycle of life

      ผมขาดการติดต่อจากโป้งหลายปี

      มาได้ข่าวคราวก็ตอนทไปเจอพี่นนท์กับพี่กล้วยที่เชียงใหม่ พี่นนท์เล่าว่า

      โป้งแต่งงานกับแหม่ม มีลูกสาวชื่อ ฟ้า หลังจากนั้นจึงย้ายจากหาดใหญ่กลับไปอยู่สระบุรี และใช้ชีวิตเป็นชาวสวนอย่างที่ตั้งใจ ผมได้เบอร์โทรศัพท์โป้งมาจากพี่นนท์ และเมื่อกลับมากรุงเทพฯ ผมก็โทรศัพท์ไปคุยด้วย

      ว่าไงไอ้เสือโป้งแซวผมเป็นประเดิม

      สบายดี แกล่ะ

      ก็ดี ตอนนี้ฉันกลับมาทำสวนอย่างที่เคยคุยไว้แล้วนะโว้ย

      เออ! ได้ยินจากพี่นนท์พี่กล้วยแล้ว แล้วดนตรีล่ะ อย่าบอกนะว่าแกเลิกเล่นแล้วนะ

      ยังเล่นอยู่

      ตกลงที่สระบุรีมีร้านให้แกลงใช่มั้ย ที่ไหนวะ?”

      เปล่า! ฉันไม่ได้เล่นที่สระบุรี ฉันเข้าไปเล่นที่กรุงเทพฯ

      เฮ้ย! ล้อเล่นน่า จากสระบุรีเข้ามาเล่นที่กรุงเทพฯเนี่ยนะ

      ฉันอยู่หนองแค เข้ากรุงเทพฯ มันก็ไม่ได้ไกลเท่าไหร่นี่หว่า

      แค่คิดก็เหนื่อยแล้วว่ะ แล้วแกเดินทางยังไงวะ?”

      รถตู้บ้าง รถทัวร์บ้าง รถคันไหนเข้ากรุงเทพฯ ก็คันนั้นแหละ ไปได้หมด แล้วค่อยไปหาต่อรถในเมืองอีกที  ขาออกก็มาดักขึ้นแถววิภาวดี สายเหนือสายอีสานฉันไปได้ทุกคัน หรือดึกมาก ๆ ก็ไปดักโบกรถหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ เดลินิวส์ ฉันใช้บริการจนคุ้นหน้าคุ้นตากันหมดแล้วว่ะ

       

      ผมพยายามนึกจินตนาการภาพของชายหนุ่มที่เดินถือกล่องกีตาร์จากสระบุรีเข้ากรุงเทพฯ ทุกวัน อีกครั้งหนึ่งที่โป้งทำให้ผมอึ้งกับความพยายามที่จะเดินตามความฝันของเขา ผมได้เจอโป้งบ่อยขึ้นที่กรุงเทพฯ  

       

      ครั้งสุดท้ายที่ผมเจอโป้งในกรุงเทพฯ  เราคุยกันถึงชีวิตในมุมเหม่และอีกหลาย ๆ มุม ซึ่งเป็นไปตามวัยของแต่ละคนที่เพิ่มพูนขึ้น

        

      ทำไมแกไม่มาเช่าบ้านอยู่ที่กรุงเทพฯ ซะเลยวะ แล้วเสาร์อาทิตย์ค่อยกลับไปดูแลสวน

      ฉันมีลูกแล้ว ลูกฉันกำลังน่ารักเลยว่ะ ชื่อน้องฟ้า

      นางฟ้า

      น้องฟ้า

      ก็เหมือนนางฟ้าของพ่อแม่ไม่ใช่เหรอ?”

      เออ นางฟ้าก็นางฟ้า แล้วแกล่ะ มีนางฟ้ามากี่องค์แล้ววะ? ถ้าฉันเดาไม่ผิดแกยังไม่แต่งงานใช่มั้ย?”

      ถูก!!!”

      แต่ง ๆ ได้แล้ว เดี๋ยวมีลูกไม่ทันใช้นะโว้ย

      เบื่อคำนี้ว่ะ มีลูกไม่ทันใช้ ทำไมถึงชอบคิดแต่จะให้ลูกเป็นคนรับใช้หรือไงวะ?”

      ไอ้เวร คิดอะไรขวางโลกอีกแล้ว แล้วอย่างนี้เมื่อไหร่ชีวิตแกจะสมบูรณ์เหมือนคนอื่นวะ

      แกคิดจริง ๆ เหรอวะว่าชีวิตคนเรามันจะสมบูรณ์ด้วยการแต่งงานมีครอบครัว

      มันก็อาจจะไม่ทั้งหมด แต่เราปฏิเสธไม่ได้ว่ามันเป็นส่วนของชีวิตที่สมบูรณ์ ต่อให้ประสบความสำเร็จในชีวิตการงาน แต่แกถ้ายังไม่แต่งงาน ถึงแต่งงานแล้ว แต่ยังไมมีลูก แกจะพูดได้อย่างเต็มปากเต็มคำได้ยังไงว่าแกมีชีวิตที่สมบูรณ์ แกจะเที่ยวใช้ชีวิตกินขี้ปี้นอนแบบนี้ไปเรื่อย ๆ คงไม่ได้หรอก ฉันรักแก ฉันห่วงแกนะโว้ย ฉันถึงอยากเห็นแกจบกับผู้หญิงดี ๆ สักคน

      "แล้วมันจะมีหนทางอื่นอีก นอกจากการมองหาผู้หญิงดี ๆ แล้วแต่งงานมีครอบครัวเพียงเพื่อทำให้ชีวิตชีวิตสมบูรณ์
      มันก็อาจจะไม่ทั้งหมด แต่เราปฏิเสธไม่ได้ว่ามันเป็นส่วนของชีวิตที่สมบูรณ์ ต่อให้ประสบความสำเร็จในชีวิตการงาน แต่แกถ้ายังไม่แต่งงาน ถึงแต่งงานแล้ว แต่ยังไมมีลูก แกจะพูดได้อย่างเต็มปากเต็มคำได้ยังไงว่าแกมีชีวิตที่สมบูรณ์ แกจะเที่ยวใช้ชีวิตกินขี้ปี้นอนแบบนี้ไปเรื่อย ๆ คงไม่ได้หรอก ฉันรักแก ฉันห่วงแกนะโว้ย ฉันถึงอยากเห็นแกจบกับผู้หญิงดี ๆ สักคน

      "แล้วมันจะมีหนทางอื่นอีก นอกจากการมองหาผู้หญิงดี ๆ แล้วแต่งงานมีครอบครัวเพียงเพื่อทำให้ชีวิตชีวิตสมบูรณ์

      ที่จริงมันมีอยู่นะ มีอยู่มานานแล้วด้วย อาจจะตั้งแต่โลกถือกำเนิดสิ่งมีชีวิตที่วิวัฒนาการมาเป็นมนุษย์ หรือตั้งแต่พระพุทธเจ้าตรัสรู้

      ไม่ไกลไปหน่อยเหรอ เรากำลังคุยกันเรื่องชีวิตที่สมบูรณ์นะ

      ไม่ไกลหรอก ฉันกำลังพูดถึงเรื่องที่มันอยู่ใกล้ตัวเรามากเลย และมันเป็นวิถีของชีวิตที่สมบูรณ์ที่สุดที่ถูกค้นพบ และยังไม่มีใครเคยปฏิเสธวิถีชีวิตเช่นนี้ได้

      อะไร?”

      เกิด แก่ เจ็บ ตาย

      ...........

       

      แด่...โป้ง

      เพื่อนผู้ผ่านการเกิด แก่ เจ็บ ตาย

      ชีวิตแกสมบูรณ์แล้ว!!!

      นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      คำนิยม Top

      ยังไม่มีคำนิยมของเรื่องนี้

      คำนิยมล่าสุด

      ยังไม่มีคำนิยมของเรื่องนี้

      ความคิดเห็น

      ×