The Embraceor
"คุณเคยรู้สึกน้อยใจ.. ใครบ้างไหม..." "...." "ผมน่ะ... น้อยใจจนกระทั่งอยากจะทำให้เขา 'หายไป' " "..." "..ผมน่ะ" "ถ้าเช่นนั้น.... ก็ส่งมือมาให้ข้าสิ"
ผู้เข้าชมรวม
807
ผู้เข้าชมเดือนนี้
4
ผู้เข้าชมรวม
ข้อมูลเบื้องต้น
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
เรื่องราวทั้งหมดในฟิคเรื่องนี้ ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อความบันเทิงเพียงเท่านั้น ไม่ได้มีเจตนาพาดพิงหรือ อิงจากความเป็นจริงทางประวัติศาสตร์ ขออภัยล่วงหน้า ถ้าหากว่า ข้อมูลทางประวัติศาสตร์ในเรื่องนี้ ไม่ตรงกับความเป็นจริงแล้วทำให้ไม่อิน ต้องขออภัยมาในที่นี้ด้วย ตัวละครในเรื่องเป็นเพียงแค่บทบาทสมมติขึ้น ไม่มีความเกี่ยวข้องกับตัวศิลปินแต่อย่างใด โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน ชิปอย่างพอประมาณ และ นะแจ๊ะ
Intro : the embasser
ย้อนเวลากลับไป 300 ปี ในยุคสมัยโชซอนที่รุ่งเรื่อง เป็นที่กล่าวขานกันว่า เป็นสมัยที่บ้านเมืองสงบสุขมากที่สุดยุคสมัยหนึ่ง แม้จะยังไม่มีวิทยาก้าวหน้าเช่นโลกตะวันตก และยังคงระหองระแหงกับต้าชิงอยู่บ้างในบางคราว แต่ก็ยังคงมีความสัมพันธ์ด้านการค้าที่ดีกับประเทศในแถบตะวันออก มีการค้าและเศรษฐกิจที่ดี เหล่าขุนนางมีคุณธรรม ไม่โกงกิน และที่สำคัญกว่าสิ่งอื่นใด ยังปกครองด้วยกษัตริย์ที่ทรงพระปรีชาสามารถ และมากด้วยคุณธรรม
แต่อย่างไรเสีย ก็ยังมีเรื่องวุ่นวายน่าปวดหัวอยู่บ้างในบางคราว และคงจะไม่พูดถึงไม่ได้
คือในรัชสมัยของพระเจ้าอู๋อี้ฟาน
- รัชสมัยโชซอน คริสตศักราชที่ 0000 -
เค้าว่ากันว่างานของพระราชาคือบำบัดทุกข์ บำรุงสุขให้แก่ประชาชน...
นั่นเป็นเหตุผลที่พระเจ้าอี้ฟานต้องมานั่งกุมหัวต่อหน้าธารกำนัลในท้องพระโรงเช่นนี้......
เบื้องหน้าพระพักต์คือ กองฎีกาที่ตั้งสูงเกือบมิดพระเศียร และเหล่าขุนนางที่ทำหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออก ได้แต่ขยับหนวดยุกยิกและส่งเสียงในคออย่างลำบากใจ และเหล่าขันทีที่ดูจะมีความสุขมากเป็นพิเศษ
“พวกเจ้าว่า ข้าควรทำเช่นนี้จริงๆหรือ....” พระราชาอี้ฟานพูดขึ้นอย่างลำบากใจ “ มันจะไม่เป็นการทำให้ข้าต้องทำผิดต่อบรรพชนหรือ”
“ฝ่าบาท หากประชาชนต้องการเช่นนี้ แล้วมันจะมีทางเลือกอื่นอีกหรือ” เสนาบดีฝ่ายใต้พูดขึ้น “หากเราปล่อยไว้เช่นนี้ มันยิ่งทวีความรุนแรงขึ้นนะพะยะค่ะ”
“กระหม่อมเห็นด้วยพะยะค่ะ เพียงแต่ว่า เราอาจจะต้องสร้างเงื่อนไขบ้างเพื่อ ให้คนชาติอื่นเค้าไม่มองว่าเราเป็นเมืองวิปริตไปเสียก่อน” แม้จะไม่ค่อยถูกชะตากับเสนาฝ่ายใต้เท่าใดนัก แต่ครั้งนี้เสนาฝ่ายตะวันออกก็อดเห็นด้วยไม่ได้จริงๆ
“อืม.... งั้นข้าคงต้องทำตามนั้น” พระราชาอี้ฟานพูดออกมา เขาเหลือบเห็นเหล่าขันทีที่ยืนด้านข้างดูระริกระรี้ขึ้นมาทันที “ว่าแต่เราควรเรียกสิ่งนั้นว่าอะไรหรือ เราควรตั้งชื่อไหม”
ทันทีที่ตรัสถาม ทั้งห้องว่าราชการก็กลับเข้าสู่บรรยากาศมาคุอีกครั้ง
“ทูลฝ่าบาท ข้าคิดว่าเราควรใช้คำเรียกแบบตะวันตกพะยะค่ะ” เสนากระทรวงต่างประเทศทูลขึ้น
“เจ้ารู้หรือ มันเรียกว่าอย่างไรหรือ”
“มันเรียกว่าเกย์พะยะค่ะ”
************************************************
พระราชโองการพระเจ้าอู๋อี้ฟาน
เรื่อง บทบัญญัติว่าด้วยเรื่องของชายรักชาย
เนื่องจากสถานการณ์ในปัจจุบันนั้น ได้เกิดความวุ่นวายอันเนื่องมาจากความสับสนงุนงงของหญิงชายทั่วราชอาณาจักรโชซอน ส่งผลทำให้เกิดความสับสนและยากที่จะควบคุมให้อยู่ในระเบียบ ทั้งยังทำให้เกิดความไม่เท่าเทียมกัน ซึ่งเป็นอันจะทำให้เกิดความเดือดร้อนแก่เหล่าสุภาพสตรีโสดอันมีค่า พระเจ้าอู๋อี้ฟานทรงมีพระราชดำริยาวไกลซ้ำยังทรงมีความเมตตาต่อเหล่าพสกนิกรทั่วหล้าจึงได้ทรงบัญญัติกฎว่าด้วยเรื่องชายรักชายขึ้นเพื่อความเรียบร้อยและความสงบของบ้านเมืองจำนวน 3 ข้อดังนี้
1. กลุ่มชายที่รักชายด้วยกัน จะถูกเรียกว่า “เกย์” ทั้งหมด และจะถูกใช้เป็นคำเรียกอย่างเป็นทางการ และห้ามมิให้มีผู้ใดใช้คำว่า ตุ๊ด กระเทย ถั่วดำ และอื่นๆอันเป็นการดูหมิ่นและไม่ให้เกียรติ หากผู้ใดฝ่าฝืน มีโทษโดนโบย 3 ไม้และพระราชาไม่อนุญาติให้เรียนกลุ่มขันทีว่าเกย์ เนื่องจากทรงมีความเชื่อว่า แม้จะสูญเสียสัญลักษณ์แห่งความเป็นชายไปแล้ว ชาตรีย่อมเป็นชาตรีอยู่วันยังค่ำ ดังนั้น ผู้เป็นขันทีจะถูกเรียกว่าขันทีต่อไปและให้ครองโสดไปตลอดชีวิต
2. กลุ่มชายรักชายสามารถจดทะเบียนแต่งงานกันได้ และสามารถจัดพิธีแต่งงานได้ตามความสามารถ แต่อย่างไรก็ตาม เพื่อความเป็นระเบียบเรียบร้อย จึงยังคงใช้ทะเบียนสมรสและทะเบียนหย่าใบเดียวกับทะเบียนระหว่างชายหญิง ให้คู่สมรสตกลงกันเองว่า จะฝ่ายใดจะเป็นสามี หรือภรรยา โดยบุคคลที่ทำหน้าที่สามี จะได้รับสิทธิ์เช่นสามีทั่วไป (ตามบทบัญญัติว่าด้วยเรื่องหน้าที่ของสามี) และบุคคลที่เป็นภรรยา ก็ต้องทำหน้าที่ภรรยาที่ดีเช่นกัน (ตามบทบัญญัติว่าด้วยเรื่องของภรรยา) ซึ่งกฎบังคับใช้ภายนอกห้องนอนของคู่สมรสเท่านั้น ส่วนเรื่องภายใน(?)เป็นสิทธิ์ของคู่สมรส ทางการจะไม่ไปยุ่งเกี่ยวแต่อย่างใด ผู้ใดละเมิดกฎจะโดนโบย 10 ไม้
3. ทางการไม่อนุญาตให้กลุ่ม”เกย์” แต่งตัวเป็นหญิง เพราะจะเกิดความสับสนงุนงง และอาจจะก่อให้เกิดความวุ่นวายในภายหลัง ขัดขืน ขังคุก 6 เดือน และโดนโบย 10 ไม้
และนอกจากนี้ เพื่อไม่ให้หญิงสาวเกิดความเสียเปรียบ จึงทรงจะให้อภิสิทธิ์แก่บุตรสาวที่เกิดจากหญิงและชายชนชั้นทาส สามารถเลื่อนชนชั้นมาเป็นชนชั้นไพร่ได้ และบุตรชายจะได้รับโอกาสเข้าไปเป็นทหารในวัง และสำหรับชนชั้นไพร่ จะให้ใช้คำยกย่องเชิดชูหญิงสาวผู้ได้แต่งงานกับชาย ว่าหญิงสาวหยกขาวผู้ล้ำค่า เพื่อเป็นเกียรติยศแก่วงศ์ตระกูลสืบไป
อ่า จะขอเเจ้งก่อนว่า ในบทความนี้จะเเบ่งเป็นสองเรื่องสองอารมณ์เลยค่ะ คือ จะเป็น white the embassor เเละเเบบ gray the embassor ในส่วนที่อิบายไปข้างต้นนี่คือจะบอกว่าเรื่องทั้งสองเรื่องนี่จะอยู่รัชสมัยของ พระเจ้าอู๋อี้ฟาน ซึ่งจะออกมาตอนเดียวคือหน้าบทความ 55555 (หรืออาจจะออกมาหลังจากนั้นก็รอดูกันต่อไปนะ) ถามว่า ทำไมถึงต้องเปิดสองเรื่องในบทความเดียวกัน เอาเป็นว่า ที่อินโทรมา เป็นจุดริ่มต้นของเรื่องราวทั้งหมด ตอนเเรกอาจจะงงกันไปก่อนค่ะว่า อ้าว ทำไมสองเรื่องไม่ต่อกัน โปรดอ่านจนจบเเล้จะทราบค่ะ
ไรท์อาจจะอัพไม่ทุกวัน เเต่จะพยายามทำให้ดีที่สุด เเละจะไม่ทิ้งเรื่องนี้เเน่นอนค่ะ เเละสำหรับผู้มาใหม่ที่ไม่เคยอ่านนิยายของไรท์เเละรอนาน เลื่อนเม้าส์ไปด้านล่างจะพบว่าไรท์เเอบเเต่งอีกเรื่องไว้เมื่อนานมาเเล้ว กเข้าไปอ่านกันได้ค่ะ เป็นเรื่องเเรกอาจจะไม่ดีเท่าไหร่ เเต่เรื่องนี้รับประกันความสนุกอย่างเเน่นอน
ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านนะคะ เจอกันตอนต่อไปค่า ><
ผลงานอื่นๆ ของ Pekinese_ex ดูทั้งหมด
ผลงานอื่นๆ ของ Pekinese_ex
ความคิดเห็น