ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    BARTENDER

    ลำดับตอนที่ #9 : แชมเปญแก้วที่ VII

    • อัปเดตล่าสุด 2 พ.ค. 53



     

    แชมเปญแก้วที่ VII

     

     

     

    วันเสาร์...

    วันนี้เป็นวันธรรมดา ๆ ผมมาทำงานตามปกติ ทั้ง ๆ ที่ปกติขนาดนี้... แต่ทำไมดวงประจำวันถึงบอกว่าวันนี้ผมมีโชคเสียทรัพย์ที่จะไหลเข้ามากันนะ

    “เฮ้ ขอมากาเร็ตอีกแก้วหน่อย” ไม่ว่าเปล่าพร้อมดันแก้วคืนมาให้ เจ้าตัวดีนี่ก็ยังมากินของฟรีอยู่เหมือนเคย ดวงเสียทรัพย์ของผมนี่มันควรจะมีทุกวัน ๆ เลยมากกว่านะ

    “สามทุ่มแล้วแฮะ เร็วชะมัด” เด็กหนุ่มนั่งละเลงรูปวาดขนา A3 ต่ออีกสักพัก คราวนี้เอาสีโปสเตอร์มาวาดที่โต๊ะด้วยเลย... มองเห็นเป็นรูปนกฟินิกซ์สองตัวกำลังบินอยู่บนท้องฟ้า ด้านล่างมีเมืองมีปราสาท บังเอิญผมไม่ได้มีหัวศิลป์เท่าไหร่เลยวิจารณ์อะไรไม่ได้ แต่ดูรวม ๆ แล้วสวยมากเลยทีเดียว เหมือนว่าจะวาดขายคนที่มาจ้าง

    “เขาจ้างเท่าไหร่เหรอครับ”

    “ห้าร้อยบาทน่ะ” โห...แค่ตวัด ๆ พู่กันแวบเดียวได้ห้าร้อยบาทแล้วเหรอเนี่ย ผมต้องไปตระเวนหาข่าวแทบตายกว่าจะได้มาขายสักข่าว

    กริ๊ง

    เสียงกระดิ่งหน้าประตูดังขึ้น ผมเหลือบไปมองหน้าลูกค้าใหม่ เธอเป็นเด็กรุ่น ๆ คราว ๆ เดียวกับหลิว ไว้ผมบ๊อบสีทองหน้าตาคุ้น ๆ เหมือนเคยเจอที่ไหนมาก่อน...

    “อ้าว! เพื่อนอลิสนี่นาแต่พอหลิวทักขึ้นมา คำตอบก็พลันกระจ่าง... อลิสเป็นเด็กที่หลิวเคยไปม่อใส่ที่ร้านเค้ก ว่าแต่เพื่อนเธอมาทำอะไรที่นี่ล่ะเนี่ย

    “มาทำอะไรที่นี่เหรอ” หลิวถามคำถามที่ผมกำลังนึกอยู่ในหัวพอดี ดูเหมือนหล่อนจะพอจำหลิวได้อยู่เหมือนกัน

    “เอ่อ... มาหาคนชื่อศรัณย์”

    “มีอะไรให้ช่วยเหรอครับ” เด็กสาวหันมามองหน้าผม จะซื้อข้อมูลสินะเนี่ย

    “มีคนบอกมาว่าคุณรู้เรื่องสมบัติที่ซ่อนอยู่ในกรุงเทพ?

    “ช่วยขยายความคำว่าสมบัติหน่อยครับ” พออ่านความคิดที่กำลังเรียบเรียงในหัวของเธอก็พอจะนึกออกแล้วว่ามันคืออะไร อืม... จะว่าไปก็เคยได้ยินข่าวนี้มาอยู่เหมือนกัน

    “มันเป็นสิ่งล้ำค่ามากๆ ที่ไม่มีใครรู้ว่าคืออะไร เพราะมี...คนในสมัยก่อนเคยเอามาซ่อนเอาไว้” ในช่วงที่เธอชะงักคำพูดไปนั้น เพราะตอนแรกจะพูดคำว่า พ่อมดออกมาแล้วรีบคำใหม่ขึ้นมาก่อน... พ่อมดงั้นเหรอ

    เดี๋ยวก็รู้กันหมดว่าเราเป็นแม่มด

    อา... ความคิดในหัวเธอทำผมอยากจะถอนหายใจออกมาจริง ๆ ...มีแวมไพร์แล้ว ยังจะเจอแม่มดอีกเหรอเนี่ย ให้ตายเถอะ

    “ฉันอยากรู้ว่ามันคืออะไร อยู่ที่ไหน คุณพอรู้บ้างมั้ย”

    “คืออะไรนี่ผมไม่ทราบครับ เพราะไม่มีใครเคยเจอ” ว่าพลางกลอกตาทำเป็นคิด “อืม... ถ้าเป็นสถานที่ คิดค่าบอกแพงมากหน่อยนะครับ”

    “เท่าไหร่เหรอ” พอได้ยินคำว่าแพงมากสาวเจ้าก็ถึงกับหน้ามุ่ยเลยทีเดียว

    “หนึ่งหมื่น สำหรับสถานที่ที่คิดว่าจะมีสมบัติซ่อนอยู่” เพราะเป็นถึงสมบัติเชียว ต้องคิดแพง ๆ หน่อย...

    “แพงไปหน่อยมั้ง” จู่ ๆ เด็กหนุ่มที่นั่งวาดรูปอยู่ก็พึมพำแทรกขึ้นมา ซึ่งความคิดเด็กสาวเองก็คล้าย ๆ กัน แถมดูเหมือนเงินจะมีไม่ถึงอีกต่างหากด้วย

    “แต่ผมพอจะทราบบุคคลที่ค้นคว้าเรื่องนี้อยู่เหมือนกันนะครับ" เสนอทางเลือกใหม่ให้ไปละกัน

    “แบบนั้นคิดเท่าไหร่เหรอ”

    “ห้าพันครับ” พอได้ยินเลขราคาเด็กสาวก็ทำหน้าปั้นยากต่ออีกทันที เฮ้อ... บังเอิญข่าวนี้กว่าจะหามาได้ก็ยากเอาการเหมือนกัน ต้องคิดค่าแรงบ้างสักหน่อย

    “ช่วยลดให้อีกหน่อยไม่ได้เหรอคะ” ผมยิ้มบาง ๆ ไม่ตอบอะไรเป็นการปฏิเสธ

    “บอกแค่นี้คิดตั้งห้าพัน จะหน้าเลือดไปไหน”  เจ้าตัวดีแทรกขึ้นมาอีกครั้ง แถมวางพู่กันลงมองหน้าผมอย่างหาเรื่อง เอาแล้วไง...  ชักสังหรณ์ใจไม่ค่อยดีแล้วสิ

    “ถือว่าไม่แพงแล้วนะครับ”

    “กับเพื่อนอลิสแถมเป็นเด็กผู้หญิงนายยังเก็บซะแพงขนาดนี้ ยังมีความเป็นลูกผู้ชายอยู่บ้างมั้ย” เอ่อ... ปกติเป็นตัวร้ายตลอดไม่ใช่เหรอ ทำไมเจอผู้หญิงแล้วกลายเป็นพระเอกแบบนี้เนี่ย

    กลายเป็นว่าหลิวที่ต่อรองราคาให้แทนเด็กคนนั้นจนผมต้องยอมแพ้ในที่สุด ไม่อย่างนั้นมีหวังไม่จบเรื่องแน่นอน ผมกะจะลดให้เหลือสามพัน แต่ว่า...

    “ตกลงลดให้เหลือสองพัน แลกกับชื่อนะครับ” เจ้าหลิวดันหันไปโปรยยิ้มกว้างตัดหน้าพูดก่อน แถมตัดราคาไปอีกพันต่างหาก!

    “เหลือสองพันเองเหรอ! เย้!!” พอรู้ว่าลดให้สามพันเด็กสาวก็กระโจนกอดหลิวทันทีด้วยความดีใจ เฮ้ย นี่เพิ่งรู้จักกันไม่ใช่เรอะ แถมคนทั้งบาร์พากันหันมามองเป็นตาเดียว เก็บอาการกันหน่อยเซ่

    “มากอดอะไรตรงนี้” ผมแยกตัวสองคนนั่นออกอย่างเซ็ง ๆ โดนต่อราคาจนขาดทุนแล้วยังต้องโดนจ้องเป็นตัวประหลาดอีก ให้ตายเถอะ

    ผมบอกชื่อคน ๆ นั้นและที่อยู่ให้เธอไปก่อนจะรับเงินสดมาสองพันอย่างเงียบ ๆ พอทุกอย่างเสร็จสรรพเรียบร้อยแล้วเธอจึงเอ่ยขอบคุณและก้าวเดินออกจากบาร์ไป

    “ไว้จะแวะไปร้านเค้กใหม่นะเรน!” หลิวตะโกนไล่หลังซึ่งเจ้าของชื่อก็หันกลับมายิ้มแล้วโบกมือลาให้ ดูเหมือนจะสนิทกันเร็วดีเหมือนกัน

    “กับผู้หญิงนี่ดีเหลือเกินนะ” ผมกัดไปเบา ๆ ซึ่งเด็กหนุ่มก็หัวเราะหึหึรับในลำคอ พลางจัดการละเลงรูปตรงหน้าต่ออย่างสบายอารมณ์ ดูท่าดวงที่ผมดูวันนี้จะจริงแฮะ... โชคเสียทรัพย์ที่จะไหลเข้ามา...

    ผ่านไปไม่กี่อึดใจเสียงกริ่งประตูก็ดังขึ้นมาอีกครั้ง ซึ่งบุคคลต่อไปที่มาก็ทำเอาผมอยากจะกุมขมับมันเสียตรงนั้นถ้าไม่ติดว่าในมือมีเชคเกอร์อยู่

    “อ้าว อลิสนี่!” มีแววต้องเสียทรัพย์ที่จะไหลเข้ามาอีกแล้วตู...

    “นาย...” เด็กหญิงในชุดสาวเสิร์ฟชี้นิ้วมาทางหลิว ก่อนจะเอ่ยต่อ “หัวน้ำตาลที่ร้านเหมียว!

    “หลิวครับ” เจ้าตัวดีส่งยิ้มการค้าให้อลิส กับเด็กหนุ่มผิวสีน้ำผึ้งซึ่งน่าจะเป็นเด็กเสิร์ฟที่ร้านเค้กก็ตามมาด้วยเหมือนกัน “เมื่อกี้เรนเพิ่งมาที่ร้านนี้ไปเอง”

    “อืม...” หล่อนขานรับในลำคอก่อนจะหันมามองหน้าผม พลางคิดสงสัยว่าผมใช่ศรัณย์หรือเปล่านะ

    “มีอะไรให้ช่วยหรือเปล่าครับ”

    “จะถามเรื่องเหรียญมังกร" เธอล้วงมือเข้าไปในกระเป๋ากางเกงแล้วหยิบเศษเหรียญขึ้นมา "หน้าตาคล้าย ๆ แบบนี้"

    ผมมองแวบเดียวก็รู้ว่ามันคืออะไร เคยได้ยินข่าวลือมาเหมือนกันว่ามีคนพบเศษเหรียญประหลาดแล้วก็ประมูลขายราคากันในราคาแพง

    “อยากทราบว่าจะหาได้ที่ไหนงั้นหรือครับ?” ผมถามพลางยิ้มให้อย่างสุภาพ เด็กหญิงพยักหน้ารับนิ่ง ๆ

    "ผมพอจะทราบสถานที่ที่คาดว่าจะมีอยู่ แต่ค่าบอกคิดสามพันนะครับ" พอพูดจบคนที่นั่งเท้าคางมองหน้าอลิสอยู่ก็พลันทะลึ่งตบโต๊ะดังปัง

    “เก็บเงินหน้าเลือดอีกแล้วเรอะ”

    “สามพันมันแพงเหรอ” ลูกค้าสาวหันหน้าไปถามหลิวอย่างงง ๆ

    "เยอะสิ! แค่บอกสถานที่ที่คาดว่าเอง ไม่ใช่ว่าบอกแล้วจะเจอเลยสักหน่อย" เฮ้ย ๆ ... จำกัดจากกรุงเทพทั้งเมืองเหลือแค่เขตเขตเดียวนี่เรียกว่าน้อยเรอะ

    "สามพัน.... ค่าจ้างจากร้านพี่เหมียวก็ไม่ได้... คงต้องหางานอื่นจริง ๆ" เด็กหนุ่มผิวแทนที่เงียบมานานเปรยพึมพำขึ้นมาบ้าง สังเกตว่าเขาจ้องหน้าหลิวเป็นระยะ ๆ ตลอดเลย

    "เห็นเปล่าล่ะ เมื่อกี้ก็ได้เงินจากเรนมาแล้วไม่ใช่เหรอไง" หลิวหันขวับมาเถียงกับผมต่อ “จะงกไปไหน”

    “นี่คุณกะจะไม่ให้ผมทำมาหากินเลยใช่มั้ย”

    “เออ แล้วยังไง”

    ...

    ผมเกลียดไอ้เด็กเวรนี่

     

    “สำหรับคนน่ารัก ผมลดพิเศษให้เหลือพันหนึ่งครับผม” สุดท้ายก็ลงอีหรอบเดิม หลิวหันไปโปรยิ้มหวานให้อลิสซึ่งแก้มขึ้นสี ส่วนเด็กหนุ่มด้านหลังอ้าปากค้างไปเรียบร้อย และผมเองก็อยากจะเอาหัวโขกกำแพงสักสิบครั้ง

    “คาดว่าจะอยู่ที่เขตเยาวราช แถวถนนที่ 11 ครับ”

    “อืม...” เด็กหญิงหันหน้าไปหาเพื่อนที่มาด้วย “นายรู้ทางไหม”

    “ไม่แน่ใจนะ ไม่ค่อยได้ไป” เด็กหนุ่มว่าพลางส่ายหัวน้อย ๆ

    “งั้นพรุ่งนี้ฉันพาไปส่งไหมล่ะ เดี๋ยวไปรับที่ร้าน” หลิวถามแทรกขึ้นมา ไนซ์กายเชียวนะเอ็ง...เอ้ย คุณ เมื่อยื่นความช่วยเหลือขนาดนี้มีหรือที่เด็กหญิงจะไม่ยอมรับ

    “โอเค!” อลิสรับคำทันทีโดยไม่รอให้เด็กหนุ่มด้านหลังท้วงอะไร ก่อนร่างเล็กจะเขยิบไปชะโงกดูภาพที่หลิวกำลังระบายสีอยู่อย่างสนใจ

    “ทำอะไรอยู่น่ะ อ๊ะ ที่บ้านฉันมีคล้าย ๆ กับตัวนี้ด้วย” ว่าพลางชี้ไปที่นกฟินิกซ์ในรูป เอิ่ม... หมายถึงเลี้ยงนกแก้วไว้ที่บ้านใช่มั้ย ไม่ใช่ฟินิกซ์ใช่มั้ย... นับวันผมยิ่งเจอแต่พวกประหลาดแฮะ

    “ว้าว อยากเห็นจัง ว่าง ๆ พาฉันไปดูบ้างสิ” ไอ้เจ้านี่ก็รับมุกได้ดีเหลือเกิน อย่างกับว่ามันเป็นเรื่องธรรมดาอย่างไรอย่างนั้น

    “ซู่ว์ ไปบอกคนอื่นง่าย ๆ แบบนั้นได้ไง” เด็กหนุ่มผิวน้ำผึ้งดึงตัวอลิสกลับมา ก่อนจะหยิบเงินจ่ายให้ผม เอ่ยขอบคุณแล้วรีบลากอลิสออกไปจากร้านทันที

    “ไว้พรุ่งนี้ฉันไปรับนะ! บ๊ายบาย” เจ้าตัวดีโบกมือลาหน้าตาระรื่น น่าหมั่นไส้จริง ๆ เลย... มาสร้างความเดือดร้อนให้ผมถึงขนาดนี้แล้วทำไมผมถึงไม่ยอมไล่ไปกันนะ ทั้งที่เมื่อก่อนเวลามีคนมาจอแจไรนิดหน่อยจะรำคาญมากแท้ ๆ

    ต้องมีชะตาเกี่ยวพันอะไรกับหมอนี่ที่ทำให้เงินผมหายไปห้าพันภายในวันเดียว!

    ไม่อยากได้เลย นี่มันตัวซวยชัด ๆ

     

    --  ----------  --  ----------  --  ----------  --  ----------  --  ----------  --  ----------  --  ----------  --  ----------  --  ----------  --

     

    ในที่สุดก็ถึงวันหยุดที่รอคอยมานานกว่าสัปดาห์

    ด้วยความว่างจึงชวนซาวน์ออกมารดน้ำต้นไม้แต่เช้า พาขบวนสุนัขไปเดินเล่น ก่อนจะตีแบดออกกำลังกาย แล้วกลับมาทำกับข้าวกินกัน

    เมื่อคิดไปคิดมาแล้วอนาถตัวเอง ทำไมเราใช้ชีวิตอย่างกับคู่สามีภรรยาข้าวใหม่ปลามันแบบนี้นะ...

    “เอ่อ... เรื่องโคลวเวสต์ได้ถึงไหนแล้วครับ” ผมถามซาวน์ขึ้นขณะทานข้าว เด็กหนุ่มส่ายหน้าเบา ๆ แทนคำตอบ

    “ไม่ค่อยได้อะไรเพิ่มเท่าไหร่เลยครับ”

    “อืม...” ผมขานรับเบา ๆ จะช่วยสืบด้วยเลยดีไหมนะ พลางนึก ๆ ถึงข่าวที่น่าจะเกี่ยวข้องดูแต่ว่ากลับไม่มีอะไรเลยที่พอจะโยงด้วยได้... ข่าวเด็กหายอะไรก็ไม่มีเลย

    เด็กคนนี้เป็นใครกันแน่...

    “เย็นนี้ผมจะไปคอนเสิร์ตนะครับ ไปด้วยกันไหม?”

    “ไป!” เด็กหนุ่มตอบรันทันควันโดยไม่ต้องใช้เวลาคิดให้นาน อยู่บ้านคนเดียวน่าเบื่อจะตายงั้นเหรอ แต่อยู่บ้านคนเดียวเฉย ๆ มันก็น่าเบื่อจริง ๆ นั่นแหละ... ผมอยู่มาได้ยังไงตั้งหลายปีนะ

    พอลองคิดย้อนดูแล้วรู้สึกจิตตกไม่ใช่น้อย ทั้งที่หน้าตาก็ดี รวยก็รวย แต่อายุปูนนี้แล้วทำไมถึงยังไม่ได้แต่งงานสักทีว้า... สงสัยคงจะต้องพิจารณาตัวเองใหม่แล้วว่าทำไมถึงยังโสดสนิทได้อยู่แบบนี้

    ช่วงเวลาทั้งวันนั้นผมไม่ได้ทำอะไรเป็นพิเศษ ซึ่งตามปกติแล้ววันอาทิตย์ผมจะต้องออกไปหาข่าว แต่ว่าวันนี้อยู่บ้านเป็นเพื่อนซาวน์สักวันละกัน

    ผมนอน ๆ อยู่บ้านดูโทรทัศน์ทั้งวันจนหกโมงถึงแต่งตัวแล้วออกไปด้านนอกกับซาวน์

    ไปยังอัพไซต์ดาวน์ผับ บรรยากาศแสงสีเป็นเอกลักษณ์ของสถานรื่นรมย์ยามค่ำคืน คนค่อนข้างครึกครื้นเพราะวันนี้จะมีไลฟ์คอนเสิร์ต คิดไปคิดมาลงท้ายแล้วผมก็มาตามที่ไผ่ชวนจนได้ แต่แอบเหน็บปืนเอาไว้เพื่อความปลอดภัยไว้ก่อน

    คราวนี้เด็กหนุ่มและพี่ชายยืนรออยู่หน้างานก่อนแล้ว ไผ่ยังอยู่ในชุดนักศึกษาส่วนหลิวสวมเสื้อยืดกางเกงยีนส์สบาย ๆ

    “ศรัณย์มาแล้ว” ร่างโปร่งวิ่งมาหาแล้วดึงแขนผมเข้าไปด้านในก่อนไผ่และซาวน์จะเดินตามเข้ามา หลิวลากผมไปที่บาร์ซึ่งมีผู้หญิงคนหนึ่งยืนประจำอยู่ หล่อนสวมชุดเดรสสีแดงสดอวดเรือนร่าง ตัดกับผมยาวดัดเป็นลอนสีน้ำตาลทอง ใบหน้าจัดว่าสะสวยเลยทีเดียว

    “รับอะไรดีคะ” หล่อนเดินนวยนาดเข้ามาใกล้ หลิวสั่งวิมเลทของโปรดตามเดิม ผมจึงสั่งเหมือนกันเพราะขี้เกียจคิดอะไรมาก หญิงสาวนำแก้วสองแก้วใส่น้ำแข็ง รินวอดก้าใส่แก้วด้วยจุกรินเหล้าหัวงอซึ่งดูจากระยะเวลาที่เทแล้วเหมือนจะเยอะอยู่ หลิวไม่ได้สะกิดใจอะไรแต่มันใช้ไม่ได้กับผมหรอก

    เป็นไปอย่างที่คิด รสชาติของวิมเลทแทบไม่ต่างจากน้ำมะนาวธรรมดาเลย ปริมาตรของวอดก้าที่หล่อนใช้มีไม่ถึงครึ่งของส่วนผสมปกติ

    “กินอะไรหรือเปล่า?” ผมหันไปถามซาวน์ซึ่งเด็กหนุ่มก็ส่ายหน้าควับ ๆ แล้วมองไปรอบงานอย่างตื่นตาตื่นใจ คงจะไม่เคยมาผับล่ะมั้ง

    ผมทดลองสั่งวอดก้าโทนิคต่ออีกแก้ว หญิงสาวกรีดยิ้มรับก่อนหันหลังไปแวบเดียวและกลับมาวางเสิร์ฟให้ผม เมื่อชิมรสชาติแล้วดูเหมือนจะเป็นปกติ... ซะที่ไหนล่ะ

    วอดก้าที่หล่อนใช้ผสมนี่ก็มีไม่ถึงครึ่งเหมือนกัน แต่ที่กลิ่นเข้มข้นเหมือนปกติ เป็นเพราะหล่อนใช้โอกาสตอนหันหลังไปจุ่มเคลือบปากแก้วกับวอดก้าที่เตรียมใส่จานเอาไว้ มุกนี้อาจจะหลอกคนทั่วไปได้ แต่หลอกเซียนแอลกอฮอล์อย่างผมไม่ได้หรอกนะ

    ด้วยจิตวิญญาณของบาร์เทนเดอร์ ผมปล่อยให้เพื่อนร่วมอาชีพโกงกินลูกค้าแบบนี้ต่อไปไม่ได้หรอกนะ!

    (หลิว: อ้อเรอะ)

    “จืดไปหน่อยนะครับ” ผมเอ่ยไปตรง ๆ พลางส่งยิ้มไปให้บาร์ทนเดอร์สาว หล่อนหันมามองหน้าผมก่อนจะยิ้มตอบ ในใจคิดว่า รู้ด้วยเรอะ

    “จุกรินเหล้านี่ปากเล็กกว่ามาตรฐานอยู่นะครับ เวลารินต้องเสียเวลาเพิ่มอีกเยอะเลย” ใช่แล้ว เพราะแบบนี้ถึงดูเหมือนว่าหล่อนรินวอดก้าให้เราเยอะ แต่ที่จริงแล้วน้อยกว่าปกติมาก

    “แหม รู้ละเอียดจังนะคะ เป็นบาร์เทนเดอร์เหมือนกันหรือไงเอ่ย?” หญิงสาวเอ่ยถามพลางโปรยยิ้มอย่างยั่วยวน ไม่ทันจะตอบว่าใช่เด็กหนุ่มก็ตอบให้แทน

    “เป็นพนักงานอยู่ในบาร์เกย์ ๆ น่ะครับ” หลิวหัวเราะคิกคักก่อนจะกระโดดลงจากเก้าอี้ “เดี๋ยวฉันไปเดินเล่นก่อน... ไปด้วยกันมั้ยซาวน์”

    ไม่ทันที่คนถูกชวนจะปฏิเสธก็ถูกหลิวชิงตัวลากเดินไปทันที เมื่อกี้มันประโยคคำถามไม่ใช่เหรอไง น่าเตะจริง ๆ เลยพับผ่า ผมจึงหันกลับมายิ้มเจื่อน ๆ ให้สาวคนนั้นต่อ “ผมเป็นบาร์เทนเดอร์อยู่ในเชสเซอร์บาร์ครับ”

    ...ว่าแล้วเชียว...

    หล่อนคิดพลางยิ้มรับ “ศรัณย์สินะคะ”

    “ครับ” ผมยิ้มตอบ รู้สึกถึงบรรยากาศแปลก ๆ จากผู้หญิงคนนี้ อย่างกับว่าประสงค์ร้ายผมอยู่ยังไงชอบกลนั่นแหละ

    “คุณดังน่าดูเลยล่ะ” เจ้าหล่อนโน้มตัวลงมาเท้าแขนกับโต๊ะบาร์ “หน้าตาดีตามที่ใครเขาลือกันจริง ๆ ด้วยนะ”

    “ขอบคุณครับ คุณเองก็สวยใช่ย่อยเหมือนกัน” ผมเอ่ยชมคืน แต่ความคิดในหัวหล่อนในหัวกลับอ่านได้ว่า... ปากหวานจัง จัดการเลยดีไหมนะ หรือจะชวนคุยต่อไปเรื่อย ๆ ดี

    จัดการ...?

    “ไม่ทราบว่าผมพอจะเรียกคุณว่าอะไรได้บ้างครับ?” เผื่ออาจจะเคยได้ยินผ่านหูว่าเป็นใครในย่านนี้ พลันความคิดของหล่อนที่ดังขึ้นในหัวของผมก็...

    “เรียกว่า... น้ำเพชรละกัน”

    ฟึ่บ!

    มีดเล่มหนึ่งถูกตวัดขึ้นมาวาดใส่หน้าซึ่งผมเอียงคอหลบทันท่วงที หญิงสาวถีบตัวกระโดดข้ามโต๊ะบาร์มาพร้อมเหวี่ยงมีดหวุดหวิดใส่ผมไม่ยั้ง

    ผู้คนรอบข้างพากันแตกฮือออกเป็นวงกว้าง เสียงกรีดร้องดังลั่นเมื่อผมทำได้แต่หลบมีดโดยไม่มีอาวุธโต้กลับ ใจหนึ่งอยากจะชักปืนออกมายิงโต้แต่คิดแล้วไม่เอาดีกว่า

    ผมเหวี่ยงตัวเข้าไปในโต๊ะบาร์เพราะไม่อยากให้คนด้านนอกโดนลูกหลง คว้า ๆ ขวดไวน์มาฟาดกับโต๊ะจนแตกกระจายให้กลายเป็นขวดปากฉลาม

    จากความคิดที่อ่านมาได้ช่วงหนึ่งแล้วคือ เธอต้องการจะจับเป็นผม แต่ไม่ได้จับตาย

    หญิงสาวพุ่งตัวเข้ามาพร้อมกับตวัดมีดขึ้นแลกดาบ ว่าแต่ผมนี่ยังแย่อยู่อย่าง เห็นเป็นผู้หญิงแล้วไม่ค่อยกล้าลงมือด้วยเท่าไหร่เลย

    เสี้ยววินาทีที่หล่อนจ้วงมีดเข้ามา ผมฉวยโอกาสใช้ขวดปากฉลามครอบมีดนั่นไว้พอดีก่อนจะตวัดขึ้นเหวี่ยงมีดของหล่อนหลุดออกจากมือ น้ำเพชรเด้งตัวกลับไปแล้วชักมีดขึ้นมาอีกเล่ม จังหวะเดียวกันที่ผมพุ่งตัวเข้าไปหา

    น้ำเพชรเอียงตัวหลบคมปากขวดอย่างรวดเร็วเฉี่ยวเนื้อขาวให้เป็นรอยเลือดซิบ ผมรีบชักมือกลับมารับมีดแล้วฟาดต่อไปเรื่อย ๆ จนหล่อนจนมุม

    เพล้ง!

    ผมปัดมีดหลุดออกจากมือ ดันตัวหล่อนให้กระแทกกับกำแพงแล้วรวบข้อมือทั้งสองข้างของหญิงสาวขึ้นมาเหนือหัว ใช้ขวดปากฉลามจ่อไว้ที่ท้อง การเคลื่อนไหวทั้งหมดชะงักนิ่ง

    “ใครส่งคุณมาครับ” ผมเอ่ยถาม ว่าไปเหมือนไม่นานมานี้เคยเกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้นเลยแฮะ

    หรือว่านี่ก็เป็นฝีมือของไผ่เหมือนกัน?

    “ไปกับฉันเดี๋ยวก็รู้เองแม้ในสถานการณ์เสียเปรียบสาวเจ้าก็ยังคงกรีดรอยยิ้มให้ ความคิดในหัวกำลังหาทางหนีให้หลุดจากสถานการณ์ตอนนี้อยู่

    “ศรัณย์!” พลันเสียงหนึ่งดังขึ้นทำให้ผมเผลอหันไปอย่างลืมตัว หลิวกำลังวิ่งมาทางนี้ แต่หล่อนใช้จังหวะนี้กระชากข้อมือออกจากการจับกุม ผลักร่างของผมออกแล้วชักมีดขึ้นมาฟันใส่ทันที

    ผมหลบไม่พ้นจนได้แผลเฉี่ยวมาที่แขนเป็นรอยยาว หญิงสาวฟาดมีดใส่ต่อไม่ยั้งจนผมไม่มีโอกาสหันไปดูว่าเกิดอะไรขึ้น

    บัดซบ ชักเริ่มรำคาญขึ้นมาแล้ว

    ผมงัดคาโปเอร่าขึ้นมาเตะมีดของเธอหลุดออกจากมืออีกครั้ง ใช้โอกาสนั้นยันตัวกระโดดออกจากโต๊ะบาร์ คนรอบข้างแตกกระจายออกอีกครั้ง มีเพียงหลิวที่วิ่งเข้ามาพร้อมไผ่ที่กำลังอุ้มซาวน์อยู่

    “เกิดอะไรขึ้น?” ผมกับหลิวถามแทบจะพร้อมกัน หันไปเห็นซาวน์ที่กำลังสลบอยู่ในวงแขนของไผ่

    “จู่ ๆ ซาวน์ก็ล้มลง ดูเหมือนไม่ใช่เป็นลมธรรมดาด้วย” หลิวอธิบายเร็ว ๆ “ซาวน์มีโรคประจำตัวอะไรหรือเปล่า แล้วนายกำลังทำอะไร!”

    “ผมก็ไม่รู้ทั้งสองคำถามนั่นแหละ ออกไปจากที่นี่” ผมเดินเข้าไปอุ้มซาวน์ออกมาจากไผ่ ตัดสินใจจะออกไปจากผับที่นี่แต่ว่าจู่ ๆ หญิงสาวก็พุ่งตัวเข้ามาขวางทางเอาไว้

    “ผมขอทางก่อนได้ไหม”

    “ไม่ได้” หล่อนตอบแล้วเริ่มโจมตีอีกครั้ง ผมอุ้มซาวน์ขึ้นมาด้วยแขนข้างเดียว หลบมีดและสวนกลับอย่างไม่ออมมือให้เพราะตอนนี้ผมเริ่มจะหงุดหงิดขึ้นมาจริง ๆ แล้ว จนในที่สุดขวดปากฉลามก็ถูกแทงเข้าไปที่ท้องของหญิงสาวอย่างจังจนต้องกรีดร้องออกมาด้วยความเจ็บ น้ำเพชรเสียหลักถอยออกไปกุมท้องของตัวเองที่เลือดเริ่มซิบออกมา

    ผมทิ้งขวดนั้นลง หมายจะก้าวออกจากผับ ทว่าสัญชาตญาณก็ร้องขึ้นเรียกให้ผมต้องเบนตัวหลบการโจมตีจากด้านหลัง คมมีดเฉียดสีข้างไปหวุดหวิด

    ผมหันหน้ากลับมาหาศัตรูที่พบว่าเพิ่มเป็นสองคนแล้ว ไผ่ถือมีดอยู่ ส่วนน้ำเพชรยังมีแรงเหลือ ทั้งคู่บุกโจมตีเข้ามาพร้อมกันระลอกใหม่ซึ่งผมทำได้แต่หลบเท่านั้น

    พับผ่า... อย่าทำให้ผมรำคาญมากนักได้มั้ย...

    ปัง!

    เสียงเพียงเสียงเดียวจากปลายปืนที่ผมถืออยู่ทำให้ผับที่กำลังวุ่นวายเงียบสนิท แต่ผมไม่ได้ยิงใครหรอกนะ ยิงเพดานเพื่อให้รู้ว่า ผมไม่เล่นด้วยแล้ว

    เมื่อทั้งคู่เห็นอาวุธในมือผมปฏิกิริยาก็ต่างไป กลายเป็นตั้งท่าเตรียมป้องกันแทนโจมตีทันที ผมเล็งปืนไปด้านหน้า ค่อย ๆ ก้าวถอยหลังไปยังประตูผับ

    “ตอนนี้ผมไม่ว่าง ขอตัวก่อนละกันครับ”

     

    ผมตรงไปที่รถ วางเด็กหนุ่มลงที่เบาะข้างคนขับแล้วสตาร์ทเครื่อง เหยียบมิดกลับไปที่บ้านทันที

    เมื่อถึงบ้านผมก็อุ้มซาวน์เข้าไปวางบนโซฟา เด็กหนุ่มหน้าซีดมากแถมตัวเย็นเฉียบ อาการไม่เหมือนคนเป็นลมหรือสลบธรรมดาทั่วไป

    ไม่ว่าจะเช็ดเนื้อเช็ดตัวด้วยผ้าเย็น หรือใช้ยาดมอะไรก็ไม่มีผล จะว่าไปผมก็ไม่รู้อะไรเกี่ยวกับเด็กคนนี้เลย อาจจะเป็นโรคประจำตัวจริง ๆ ก็ได้ ปล่อยไว้เฉย ๆ คงไม่ดีแน่ ๆ

    ผมตัดสินใจอุ้มซาวน์ไปที่รถอีกครั้งก่อนมุ่งหน้าไปยังโรงพยาบาลที่ใกล้ที่สุด เมื่อถึงมือหมอแล้วผมจึงทำได้เพียงแค่รออยู่ด้านนอกเท่านั้น

    เมื่อผมนั่งลงบนเก้าอี้ เสียงโทรศัพท์มือถือก็ดังขึ้นมาทันที หยิบขึ้นมาดูพบว่าเป็นเบอร์ของหลิวจึงกดรับ

    เป็นยังไงบ้าง

    “ตอนนี้อยู่โรงพยาบาล รอหมอตรวจอยู่ แล้วคุณล่ะ”

    ไผ่พาผู้หญิงคนนั้นไปส่งโรงพยาบาลแล้ว บอกให้ฉันรออยู่นี่แล้วจะกลับมา ก่อนหน้านี้เกิดอะไรขึ้นหลิวถามกลับมา ก่อนเสียงรบกวนรอบ ๆ จะค่อย ๆ ลดลง คงกำลังเดินออกมาจากผับหรือหาที่เงียบ ๆ คุย

    “จู่ ๆ ผู้หญิงคนนั้นก็โจมตีใส่ผม เป็นคนของพี่คุณจริง ๆ ด้วยสินะ”

    ใช่ แล้วคิดว่าหลังจากนี้มันคงจะต้องพยายามอธิบายเรื่องนี้ให้ฉันฟัง ตอนนี้คนในผับเริ่มจะสงบแล้วล่ะ

    “อืม แล้วคุณจะเอายังไงต่อ”

    ฉันก็ไปดูคอนเสิร์ตต่อน่ะสิ อลิสจังรอแย่แล้ว งั้นแค่นี้ล่ะ!’ ปลายสายตอบอย่างไม่ทุกข์ร้อนอะไร ทั้งที่เรื่องทั้งหมดที่เกิดวันนี้ตัวเองมีส่วนเกี่ยวของเต็ม ๆ แท้ ๆ

    พอวางสายปุ๊บหมอก็เดินออกมาจากห้องพร้อมเรียกให้ผมเข้าไปด้านใน

    “อาการเป็นยังไงบ้างครับหมอ?”

    “ต้องขอโทษจริง ๆ แต่เราตรวจไม่ได้ครับ” ชายชุดกาวน์ตอบอย่างหนักใจ พลางชี้ไปยังเครื่องตรวจชีพจรซึ่งแทนที่จะมีจังหวะของเส้นเกิดขึ้น กลับไม่มีอะไรปรากฎขึ้นเลยแม้แต่เส้นตรงเฉย ๆ

    “หายใจอยู่แต่เครื่องกลับตรวจวัดชีพจรไม่พบ เมื่อลองใช้เครื่องอื่น ๆ แล้วกลับพังหมด” หมอรายงานสภาพให้ผมฟังด้วยความงุนงงอย่างปิดไม่มิด “เราไม่เคยเจอเหตุการณ์แบบนี้มาก่อนจริง ๆ”

    “ครับ” ผมตอบด้วยความงงไม่แพ้กัน ดูเหมือนว่าซาวน์จะไม่ใช่คนธรรมดาตามที่คุณเชสเซอร์เคยบอกไว้จริง ๆ ด้วยสินะ...

    ผมมองใบหน้าที่หลับสนิทของเด็กหนุ่ม แผ่นอกที่ขยับตามจังหวะการหายใจ กับเครื่องวัดชีพจรที่ไม่ปรากฎอะไรเลยราวกับว่าสิ่งที่ตรวจอยู่ไม่ใช่ มนุษย์

    แล้วซาวน์เป็นใคร...เป็นอะไร... แล้วจะรักษายังไงกันล่ะ?

     

     




    ---------------------------------------------------------------------

    นี่อาจเป็นวิธีต่อรองราคาของหลิว..



    เป็นตัวละครที่น่ากลัวสุดยอดเลยจริง ๆ ...



    ยังไงก็ฝาก... น้องอันธิกา วงศิลป์ เอาไว้ในอ้อมอกอ้อมใจด้วยนะจ้ะ


    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน
    นิยายแฟร์ 2024

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×