ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    BARTENDER

    ลำดับตอนที่ #8 : แชมเปญแก้วพิเศษ

    • อัปเดตล่าสุด 28 พ.ค. 53


     

    ผมไม่ใช่เด็กดีเท่าใดนัก

    ไม่สิ... ไม่มีดีเลยต่างหาก

    โดดเรียน สูบบุหรี่ พี้ยา เที่ยวผู้หญิง และอีกสารพัดของความสถุนต่ำช้า

    พูดง่าย ๆ ว่าก็แค่พวกสวะสังคมดี ๆ นี่เองแหละ

     

    ผมชื่อศรัณย์ ตอนนี้เรียนอยู่ชั้นม. 5 ที่โรงเรียนเอกชนแห่งหนึ่ง สายวิทย์คณิตครับ

    ถึงการกระทำตัวของผมจะอัปยศแค่ไหน แต่ผลการเรียนของผมก็ติดท็อปของสายอยู่เป็นประจำ อาจารย์และเพื่อนร่วมชั้นหลายคนแรก ๆ ก็เคยสงสัย แต่ตอนนี้เริ่มชินกันหมดแล้ว

    เพราะอะไรน่ะเหรอ... อาจจะเป็นผลจากความสามารถพิเศษของผมล่ะมั้ง

    ไอ้การ อ่านใจได้นั่นน่ะ

    มันเป็นความสามารถที่ผมได้รับสืบทอดจากปู่มาตั้งแต่ยังเด็ก อีกทั้งวิชาศิลปะการต่อสู้คาโปเอร่าอีกด้วย

    ผมจึงเชี่ยวชาญเรื่องการต่อยตีกับชาวบ้านเป็นพิเศษ จนได้มาเป็นหัวโจกของแก๊งอันธพาลนี่แหละ แต่ส่วนมากจะอยู่ห้องศิลป์ภาษากันหมด ตอนผมอยู่ในห้องเลยต้องทำตัวเงียบ ๆ เรียบร้อยไว้

     

    กิ๊ง ก่อง กาง ก่อง...

    เสียงกริ่งโรงเรียนดังขึ้นเป็นสัญญาณว่าหมดพักกลางวัน ผมนั่งเอ้อระเหยกับกลุ่มเพื่อนอยู่อีกสักพักจึงลุกขึ้น เดินตรงไปที่ตู้ขายน้ำภายในโรงเรียน กระชากประตูเปิดอย่างชิลล์ ๆ เล็งน้ำส้มกระป๋องสุดท้ายไว้ แต่ไม่ทันจะหยิบก็มีมือปริศนาพุ่งเข้ามาชิงคว้าไปก่อน

    ผมหันขวับไปมองหน้าเจ้าบ้าที่บังอาจมาแย่งน้ำส้มผมไป ซึ่งมันก็หันหน้ามามองผมกลับเช่นกัน มันเป็นเด็กรุ่นเดียวกับผม หน้าตาเห็นแล้วชวนส้นเท้ากระตุกอย่างบอกไม่ถูก

    “เอาน้ำแดงแทนไหม” มันเลิกคิ้วขึ้นข้างเดียว เอ่ยด้วยน้ำเสียงกวนตีนแถมทำหน้ากวนตีนจนผมหมั่นไส้ แบบนี้...

    “น้ำแดงจากหน้ามึงไง” ขอสักรอบเหอะ

    ผลัวะ!!

    ผมซัดกำปั้นใส่เข้าเต็ม ๆ หน้าอันกวนตีนของมัน เจ้านั่นเซไปกระแทกกับตู้น้ำ ใช้มือยันเอาไว้ตั้งหลักก่อนยกแขนขึ้นเช็ดเลือดที่กบปาก เชยสายตาขึ้นมามองหน้าผมแล้วพุ่งเข้ามาทันที!

    ผมกับมันฟัดกันอยู่สักพักจนคนเข้ามามุงกันเต็ม จนกระทั่งเสียงนกหวีดดังลั่นขึ้น ฝูงคนจึงแตกฮือออกให้อาจารย์เดินเข้ามาปรามทัพ กว่าจะสงบลงก็กินเวลาไปนานพอควร

    “เฮ้ย! รันตีกับกรว่ะ

    ศรัณย์เหรอ!”

    กรมันไม่หาเรื่องใครก่อนหรอก” เสียงซุบซิบจากไทยมุงแว่วเข้าหูมาเป็นระยะ ผมไม่ใส่ใจและไม่คิดจะสบตากับใครให้รำคาญเล่นหรอก ผมกับมันซึ่งได้แผลกันไปคนละนิดคนละหน่อยถูกนำตัวเข้าห้องปกครอง ไปเขียนใบส่งให้ผู้ปกครองฐานทะเลาะเบาะแว้งกันภายในโรงเรียน

    ซึ่งตามกฎแล้วถ้าเกินสามครั้งต้องถูกไล่ออก แต่ผมโดนเป็นสิบครั้งแล้วยังไม่ยักจะเป็นอะไรเลยแฮะ...

    โรงเรียนนี้ก็งี้... เพื่อเงินแล้วทำได้ทุกอย่าง

     

    “ได้ข่าวว่าไปมีเรื่องกับเด็กศิลป์คำนวณเหรอวะ” หลังเลิกเรียนผมก็เข้ามาสมทบกับแก๊งต่อทันที วันนี้ข่าวเรื่องที่ผมมีเรื่องกับหมอนั่นแพร่สะบัดไปทั่วโรงเรียนอย่างรวดเร็ว เลยรู้มาว่ามันชื่อธินณกร อยู่ในแก๊งซึ่งชอบมีเรื่องกับสังกัดของผมกันอยู่บ่อย ๆ

    “เออ แม่งทำหน้ากวนตีนใส่ กูหมั่นไส้”

    “แต่แม่งชกมึงได้แผลได้นี่สุดยอดนะเว้ย” เพื่อนของผมว่าต่อพลางหัวเราะ อันที่จริงผมก็แปลกใจอยู่เหมือนกันที่มันสามารถชกกับผมได้เกือบจะสูสี ถึงผมไม่ได้ใช้วิชาคาโปเอร่าเลยก็เถอะ

    “กูไม่ได้เอาจริง” ผมพูดตามตรงไม่ได้คิดจะอวดอะไร “วันนี้ไปที่ใหม่เรอะแทน”

    “เออ มีคนแนะนำมาว่ะ” ไอ้แทนตอบ ก่อนพวกผมจะแยกย้ายกันขึ้นมอเตอร์ไซด์แล้วแว้นไปที่ร้านนั้นกัน

    หลังจากดื่มกันได้สักพัก ลงท้ายผมก็ปลีกตัวออกมาจากร้านเพื่อยืนสูบบุหรี่ด้านนอก สูบด้านในได้ก็จริงอยู่แต่มันอึดอัดหนวกหู ผมเลยชอบออกมายืนสูบด้านนอก

    “ยืนทำไรอยู่เหรอพี่ชาย” เสียงเล็ก ๆ เหมือนเด็กผู้หญิงดังทักขึ้นมาจากด้านข้าง ผมไม่ได้เหลือบตาไปดู ทำเพียงแค่พ่นลมออกจากปากเป็นควันเทา

    “ไม่เข้าไปก๊งกันด้านไหนเรอะ”

    “เป็นเด็กไม่ต้องมาส่อรู้” ผมตอบก่อนดูดมวนบุหรี่อัดควันเข้าไปเต็มปอด แล้วพ่นออกมาช้า ๆ อีกรอบ

    “นายก็เป็นผู้ใหญ่ที่ห่วยแตกจริง ๆ น้า” เด็กผู้หญิงคนนั้นยังต่อปากต่อคำ จนผมต้องเหลือบตาไปมองอย่างนึกรำคาญใจ จากคำพูดคิดว่าจะโตสักหน่อยแต่กลับเป็นเพียงแค่เด็กตัวเล็ก ๆ เท่านั้น

    เด็กคนนั้นสวมฮู้ดสีแดงคลุมหัวไว้ กางเกงขาสั้นและรองเท้าสนีคเกอร์สีเดียวกับเสื้อ ยืนพิงกำแพงด้วยท่าทางเหมือนผู้ชาย

    “มีธุระอะไร”

    “แค่มาคุยเล่นเท่านั้นแหละ” เด็กคนนั้นตอบก่อนหัวเราะเสียงใส “ไม่อยากเข้าไปในร้าน อึดอัดน่ารำคาญ”

    “ตัวแค่นี้เข้าไปในร้านทำไม” ผมถามพลางพ่นควันออกมาอีกครั้ง ระหว่างเรามีเพียงเสาไฟที่ส่องกะพริบริบหรี่เท่านั้น

    “พ่อฉันทำงานอยู่ข้างในน่ะ แต่ไม่อยากให้ฉันอยู่บ้านคนเดียวเลยพกออกมาด้วย”

    “พูดจาแก่แดดจริง กี่ขวบแล้วหนู”

    “ห้าขวบ” แกล้งถามไปอย่างนั้น แต่ได้คำตอบชวนอึ้งกลับมาเสียแทน ผมขมวดคิ้วขึ้นเล็กน้อย พ่นควันออกมาเป็นทางยาวช้า ๆ นี่ห้าขวบจริงเหรอวะเนี่ย

    “เด็กผู้หญิงห้าขวบมายืนอยู่คนเดียวกลางค่ำกลางคืนแบบนี้ ระวังจะโดนอุ้มเอาล่ะ”

    “ฉันไม่ใช่เด็กผู้หญิงสักหน่อย” เจ้าหนูนั่นว่าเสียงเจื้อยแจ้ว หันหน้ามาให้ผมเห็นเป็นครั้งแรก เรือนผมสีน้ำตาลยาวประบ่า ดวงตากลมโต แก้มป่องน่าหยิก ดูยังไงก็เด็กผู้หญิงชัด ๆ

    ผมเดินเข้าไปใกล้ ซึ่งเขาก็ไม่ขยับหนีอะไร จนกระทั่งย่อตัวลงจนหน้าอยู่ในระดับเดียวกัน จ้องมองลึกเข้าไปในดวงตาพร้อมเสียงความคิดที่ดังเข้ามาในหัว

    ตาแก่แปลกคน

    มันคือเสียงในหัวของเจ้าเด็กบ้านี่แหละ

    ผมคิ้วกระตุก ทิ้งบุหรี่ลงพื้นก่อนกรีดยิ้มสยองให้ จับหัวเด็กคนนั้นไว้

    “เข้าไปข้างในกันเถอะเจ้าหนู” ผมหิ้วเด็กนั่นเข้ามาในร้านตรงไปที่โต๊ะของผม พวกมันกำลังเล่นป็อกเด้งกันอยู่เลยเชียว

    “พาเด็กที่ไหนมาวะ” แทนทักเป็นคนแรก ก่อนทิ้งไพ่ลงบนโต๊ะแล้วประกาศป็อก ผมไม่ได้ตอบอะไร ทำเพียงอุ้มเจ้าเด็กนั่นขึ้นมานั่งตักแล้วเอาไพ่มาเล่นบ้าง

    “แล้วไปกับตาแก่แปลก ๆ แบบนี้ง่าย ๆ เลยเรอะไง” ผมถอดฮู้ดเจ้าเด็กนั่นออก พอได้เห็นหน้าชัด ๆ แล้ว...น่ารักเป็นบ้าเลย!

    “เห็นหน้าอย่างลุงไม่น่าทำไรได้”

    “พี่ชาย ไม่ใช่ลุงเว้ย เรียกให้มันดี ๆ หน่อย” แต่ทำไมนิสัยถึงตรงข้ามกับหน้าตาขนาดนี้นะ เห็นว่าเป็นเด็กผู้หญิงหรอกถึงไม่เอาเรื่อง ลองตัวเท่ากันพ่อจะอัดให้เละ

    “ไอ้รันกินเด็กเหรอวะ เฮ้ย น่ารักเว้ย” ไอ้กุ้งทักมาบ้าง คนในวงจึงหันมาสนใจกันยกใหญ่แต่ผมก็ไม่ได้ตอบคำถามอะไร มองไพ่ในมือ... อืม... มาถึงก็ป็อกเก้าเลยแฮะ

    “ป็อกเก้า” รอบละสิบบาทเองแฮะ

    “ฉันเล่นมั่งสิ” เจ้าเด็กนั่นหันหน้ามามองผม ตัวแค่นี้เล่นเป็นแล้วเหรอเนี่ย แก่แดดแก่ลมเป็นบ้า

    “จะจ่ายเองเรอะไง”

    “ลุงจ่ายนั่นแหละ” ตูว่าแล้วไง แต่อยากเห็นมันเล่นอยู่เหมือนกันว่าจะได้สักแค่ไหน ลองก็ลองดูเอ้า

    “เฮ้ย ตัวเล็กมันจะเล่นด้วยเว้ย” ผมตะโกนบอกเจ้ามือ เรียกเสียงเฮฮาได้ดีเลยทีเดียวเชียว เจ้าเด็กนั่นได้ป๊อกแปด แต่ดันเงียบแล้วเอาไพ่ใบที่สาม ตกลงมันเล่นเป็นหรือเปล่าเนี่ย คิดได้เท่านั้นมันก็ประกาศตองเก้าทันที

    ดูท่าจะเจอของจริงแล้วแฮะ

     

    “เฮ้ย เด็กนั่นมันโกงป่ะวะ” เล่นไปได้หลายตาเจ้ามือก็ประท้วงขึ้นมาจนได้ ถ้าไม่โกงก็ถือว่าเทพโคตร แต่ถ้าโกงก็เทพโคตรเหมือนกันเพราะผมไม่เห็นเลย

    “เปล่าสักหน่อย” เจ้านั่นว่าด้วยดวงตาใสแป๋ว เล่นเอาเจ้ามือหนักใจไปไม่น้อย แต่มาถูกเด็กห้าขวบกินตังค์ไปเป็นร้อยนี่มันก็น่าเจ็บใจอยู่

    “ถ้ามันโกง กูก็ต้องเห็นแล้วดิ” ผมเอ่ยตามที่คิดไว้ เพราะไม่เห็นเด็กนี่มีท่าทีตุกติกอะไรเลย

    “แต่มึงลองค้นตัวมันหน่อยดิว่ามีไพ่ซ่อนอยู่เปล่า” ช่วยไม่ได้แฮะ ผมอุ้มเจ้าเด็กนั่นให้ยืนหันหน้ามา ลองคลำ ๆ ดูตามเสื้อกับกระเป๋ากางเกงแต่ก็ไม่มีอะไร

    “ข้างในกางเกงอะมึง”

    “จะให้กูถอดกางเกงเด็กผู้หญิงเหรอวะ”

    “บอกแล้วไงว่าไม่ใช่ผู้หญิง ถอดดูก็ได้เอ้า” ร่างเล็กทำหน้ามุ่ยอย่างไม่สบอารมณ์ ผมหันไปมองหน้าไอ้แทนซึ่งมันก็พยักหน้ารัว ๆ ช่วยไม่ได้แฮะ

     ...

    ผู้ชายจริง ๆ ด้วย

    “ไม่มีว่ะ” ผมหันไปบอกเจ้ามือซึ่งดูหงุดหงิดไม่น้อย แต่ก็ยอมเล่นต่อโดยโดยดี ซึ่งตาต่อมาเจ้าเด็กบ้านี่ก็ถือไพ่ที่เล่นเอาผมตะลึง

    “สามเด้ง ตองสาม” มันวางไพ่ลงบนโต๊ะ ปรากฎว่าเป็นไพ่แปดสามใบดอกเดียวกัน ซึ่งจะได้เงินเป็นเปดเท่าของเดิมพัน เล่นเอาคนรอบวงตาโตกันเป็นแถว

    “หา!!” รวมถึงเจ้ามือด้วยเช่นกัน “มึงร่วมหัวกับเด็กมึงโกงใช่มั้ยรัน”

    “จะบ้าเหรอไง กูยังอึ้งอยู่เลยเนี่ย”

    “มันได้อะไรแบบนี้ติดกันหลายรอบแล้วนะเว้ย” ไอ้แทนท้วงบ้าง ผมเลยเรียกให้ร่างเล็กหันหน้ามา ก่อนสบตากับมัน ซึ่งก็ได้ความคิดมาว่า

    มีแต่พวกโง่ ๆ อีกแล้ว

    จบประเด็น! เจ้าเด็กบ้านี่โกงแน่นอน!!

    “ไอ้เด็กนี่มันโกงเว้ย” ผมประกาศบอกทันที แต่มันกลับทำหน้าไม่ทุกข์ร้อนอะไร

    “หาไพ่ให้เจอก่อนแล้วค่อยพูดดีกว่า” ว่าแล้วยิ้มกว้าง “ถอดให้หมดตัวเลยก็ได้นะ”

    ...

    ไม่มีจริง ๆ ครับ

    อ่านใจแล้วก็ยังไม่รู้จนผมยอมแพ้แล้วล่ะ สุดท้ายเด็กนั่นก็ได้เงินมาเกือบห้าร้อย โดยที่ผมเสียไปร้อยแล้วได้มาแค่เกือบสามร้อย

    นี่มันเด็กนรกอะไรวะเนี่ย

     

    ตีหนึ่งผมจึงกลับถึงบ้าน หรือเป็นคอนโดนั่นแหละ

    ผมอาศัยอยู่ตัวคนเดียวตั้งแต่ป. 4 ส่วนพ่อแม่ของผมเสียไปตั้งแต่ยังจำความไม่ได้ แต่ก็ได้ปู่กับย่าซึ่งมีฐานะร่ำรวยเลี้ยงดูมาแทน จนตอนนี้พวกท่านไปอยู่บราซิลกันหมด โดยที่ยังส่งเงินมาอุปถัมภ์ผมอยู่บ้าง

    “กลับมาแล้ว วอดก้า วิสกี้” ผมเปิดประตูเข้าไปพร้อมเอ่ยทักทายเพื่อนร่วมห้องซึ่งวิ่งเข้ามาต้อนรับทันที วอดก้าเป็นแมวหิมาลายันซึ่งผมซื้อมาเลี้ยงเป็นเพื่อน ส่วนวิสกี้เป็นลูกแมวขาวมณีที่ผมบังเอิญเก็บได้ข้างถนน

    หลังอาบน้ำอาบท่าเสร็จเรียบร้อย จึงสังเกตว่าจานข้าวของพวกมันยังมีเศษอาหารเหลืออยู่ ผมเก็บไปทิ้งแล้วเทนมใส่ถาดน้ำ แต่ดูเหมือนพวกมันจะสนใจกับการเคลียแข้งเคลียขาผมมากกว่ากินนม

    ผมนั่งลงขัดสมาธิกับพื้น เจ้าวิสกี้ก็กระโดดขึ้นมานัวเนียบนตักผม ส่วนเจ้าวอดก้านั่งนิ่ง ๆ ให้ผมเกาคางอยู่บนพื้น เห็นผมเป็นคนแบบนี้จริง ๆ แล้วรักสัตว์มากเลยนะ

    “ไปกินนมแล้วนอนได้แล้ว” ผมดึงถาดนมเข้ามาแล้วช้อนวิสกี้ลงจากตัก พวกมันจึงเข้าไปเลียนมในถาด ผมนั่งรอจนมันกินอิ่มจึงอุ้มขึ้นไปวางบนเตียง

    เพิ่งตีสอง... จัดการงานบ้านอีกสักหน่อยแล้วค่อยเข้านอนละกัน

     

    ------------------------  ---------   ---  ---   -    -

     

    “เห... ตีกันเพราะน้ำส้ม?”

    “แล้วยังไงล่ะ” ผมพ่นควันบุหรี่ออกหลังจากเล่าเรื่องเมื่อวานให้เด็กนั่นฟัง วันนี้ผมก็มาดื่มกับเพื่อนที่ร้านเดิม และก็ยังพบเจ้าเด็กนรกนี่เหมือนเดิมเช่นกัน

    “ไร้สาระดี” มันว่าพลางหัวเราะคิกคักฟังดูกวนอารมณ์เป็นที่สุด แต่ผมเลือกที่จะปล่อยไป “เออนี่ ฉันอยากกินเค้กอะ!”

    “แล้วมาบอกอะไรฉัน”

    “พาไปซื้อหน่อยสิ น้าา... ไม่ได้กินนานแล้วอ้ะ!” ไม่ว่าเปล่า ยังเข้ามาเกาะชายเสื้อผมแถมจ้องมองมาด้วยดวงตากลมใสแจ๋ว เจออย่างนี้ต่อให้เป็นผมก็ต้องใจอ่อนยวบ เพิ่งรู้ว่าตัวเองแพ้ทางให้เด็ก

    “นี่มันก็หกโมงกว่าแล้ว. ร้านที่ยังเปิดก็คง...” ผมกลอกตาขึ้นนึกสักพัก ก่อนจะตัดสินใจ... “ไปก็ไป”

    “เย้! พี่ชายใจดีที่สุดเลย ถึงจะไร้สาระ ลามก อันธพาลไปหน่อยก็เถอะ!” ตกลงมันชมหรือด่าวะนั่น ผมหิ้วคอตัวเล็กขึ้นมานั่งซ้อนหน้าบนมอเตอร์ไซด์ ก่อนจัดให้มือจับแฮนด์รถเอาไว้

    “จับเอาไว้ดี ๆ ล่ะ อย่าให้...”

    “ซิ่งไปเลยพี่!!” .... เออ... ได้ จัดไปไอ้หนู ผมจัดการบิดซิ่งให้ตามคำขอ แทนที่จะกลัวกลับสนุกเสียแทน ชักอยากเห็นหน้าคนเป็นพ่อแล้วแฮะ

    ผมจอดลงที่หน้าร้านเค้กแห่งหนึ่งซึ่งผมเคยมากินกับแฟนเก่า เจ้าเด็กนั่นรีบกระโดดลงรถแล้ววิ่งเข้าร้านไปอย่างร่าเริง

    “เอาสตอเบอร์รี่ชอตเค้กฮะ! แล้วก็นมร้อน” ผมเดินตามเข้าไปนั่งในร้าน เท้าคางมองคนดี๊ด๊าสั่งเค้ก “เอานี่ด้วยนะฮะ... แต่ว่าอันนั้นก็น่ากินจังเลย... พี่ผมคงไม่ให้แล้ว”

    “งั้นเดี๋ยวป้าแถมให้นะจ้ะ น่ารักจังเลย” คุณป้าเจ้าของร้านหยิกแก้มป่อง ๆ นั่นด้วยสีหน้าเอ็นดูอย่างสุดซึ้ง ลงท้ายก็ได้ชีสเค้กแถมมาอีกหนึ่งก้อน ช่างเป็นเด็กที่น่ากลัวอะไรอย่างนี้นะ

    “นี่จ้ะ รับเครื่องดื่มอะไรมั้ยคะ” คุณป้าเดินเอาเค้กมาเสิร์ฟก่อนหันมาถามผม

    “เอสเปรซโซ่เย็นแก้วหนึ่งละกันครับ”

    “น้องชายน่ารักจังเลยนะจ้ะ” พ่วงท้ายด้วยความคิดว่า อยากได้ลูกแบบนี้จังเลยผมได้แต่ยิ้มเจื่อน ๆ ถึงอยากจะพูดว่า อย่าเลยนะป้า ไม่ดีแน่ ๆ ก็ตาม

    “ฉันแบ่งเค้กช็อคโกแลตให้นายก้อนนึงละกัน” แต่นั่นมันก็เงินผมไม่ใช่เรอะ

    “ว่าแต่เธอชื่ออะไร”

    “พ่อสอนไว้ว่าอย่าบอกชื่อกับคนหน้าแปลก” ร่างเล็กว่าพลางตักชอตเค้กเข้าปากเคี้ยวหงุบ ๆ

    “แต่ยอมมากินเค้กกับคนหน้าแปลกเนี่ยนะ”

    “นั่นน่ะสิ นายนี่แปลกจริง ๆ” ที่แปลกน่ะมันแกเว้ย อะไรดลใจให้เด็กห้าขวบตัวเล็ก ๆ กวนตีนได้ขนาดนี้กันนะ ก่อนเจ้าหนูนั่นจะตักชอตเค้กใส่ช้อนแล้วยื่นให้ผม “นี่ ๆ อ้ามมม~

    ผมเลิกคิ้วเล็กน้อยก่อนอ้าปากรับเค้กที่ป้อนมาให้แต่โดยดี

    “แล้วพาฉันไปเที่ยวต่อนะ!” นั่นคือค่าตอบแทนเค้กที่ป้อนมาเองสินะ...

    “จะไปไหนต่ออีกล่ะ”

    “ที่ไหนก็ได้ที่ไม่ใช่บาร์นั่น อยู่ทุกวันจนเบื่อแล้วอะ” ร่างเล็กว่าพลางทำหน้าบูด ถึงยังไงก็ยังดูน่ารักอยู่ดี นี่ผมกลายเป็นพวกบ้าเด็กไปแล้วเหรอเนี่ย

    “เออใช่ พาไปตัดผมหน่อยสิ ผมยาวเกะกะน่ารำคาญ”

    “แล้วไว้ทำไมล่ะ”

    “พ่อให้ไว้อะ เห็นบอกว่าอยากได้ลูกสาว” น่าสงสารจริง ๆ แต่ยอมรับว่ามันเหมาะมากเลยนะ พอกินเสร็จเรียบร้อยผมจึงพาไปร้านบาร์เบอร์ใกล้ ๆ แถว ๆ นั้น ซึ่งดูเหมือนว่าเจ้าของร้านนี้ก็ตกเป็นเหยื่อไปอีกรายเหมือนกัน

    “ว้ายย! น่ารักจังเลย เด็กผู้ชายจริงเหรอเนี่ย” บุรุษเพศที่สามวี๊ดว๊าด พากันเข้ามารุมเด็กนั่นดุจสัตว์ป่าก็มิปาน “จะเอาทรงไหนดีละจ้ะ คุณพี่ลดให้ 80% จากราคาจริงเลยเอ้า”

    “เอาทรงแบบลุงคนนั้นอ่าฮะ” ว่าพลางชี้มาทางผม เจ้าของร้านจึงหันตามมาก่อนทำหน้านึก

    “แต่จะไม่เหมาะกับหน้าหนูนะจ้ะ คุณพี่ว่าเอาให้ตรงนี้ยาวมาหน่อย แล้วก็...” แล้วก็จัดการกับหัวของเจ้าหนูนั่นอย่างสนุกสนาน ผมนั่งอ่านหนังสือพิมพ์รออยู่พักหนึ่ง เสียงของคุณพี่คนเดิมก็ดังขึ้นเรียกผม

    “คุณน้องขา เสร็จแล้วนะจ้ะ” ผมจึงเงยหน้าขึ้นไปมอง พบว่าผมที่เคยยาวประบ่าของร่างเล็กกลายเป็นซอยสั้นระคอ ด้านบนซอยให้ตั้งชี้เล็กน้อยอย่างติดเทรนด์ ดูเป็นเด็กผู้ชายขึ้นมาหน่อย... นิดเดียว

    “เท่าไหร่ครับ”

    “ขอหอมแก้มทีหนึ่งแล้วไม่คิดตังค์ได้มั้ยจ้ะ” ผมถึงกับสะอึกกับคำต่อรอง ก่อนจะรู้ว่าหมายถึงไอ้เด็กบ้านั่นไม่ใช่ผม จึงจะพอหายใจได้อย่างโล่งอกโล่งปอด

    “ได้สิฮะ เดี๋ยวหอมกลับด้วย”

    “ว้ายยย!! คุณพี่ขอยึดไว้เลยได้มั้ยคะเนี่ย!”

    ไม่ใช่แค่เด็กนรก แต่นี่มันปิศาจแล้วครับท่าน

     

    ------------------------  ---------   ---  ---   -    -

     

    หลังจากวันนั้น ไม่รู้อะไรตกลงปลงใจให้แก๊งผมประจำอยู่ที่ร้าน ๆ เดิม ทำให้ผมได้เจอกับเด็กนั่นเกือบทุกวัน และได้ยืนพิงกำแพงคุยกันมาสองสัปดาห์แล้ว

    ที่ไม่น่าเชื่อคือผมสามารถคุยทุก ๆ เรื่องกับเด็กห้าขวบได้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่โรงเรียน ผู้หญิง และอะไรอื่น ๆ ที่ควรจะคุยกับเด็กวัยเดียวกันเองมากกว่า

    แต่จนถึงวันนี้ ผมก็ยังไม่รู้ชื่อมันและมันก็ยังไม่รู้ชื่อผมอยู่ดี

    “นี่เธอไปกับคนแปลกหน้าง่าย ๆ แบบนี้ทุกคนเลยเรอะไง” ผมถามขึ้นขณะขับมอเตอร์ไซด์ไปเรื่อย ๆ ซึ่งคนนั่งหน้าก็ตอบกลับมาเสียงใสทันที

    “เปล่า”

    “แล้วทำไมมากับฉันล่ะ”

    “ไม่รู้สิ” ผมจอดรถลงที่หน้าคอนโด หลังจากถูกตื๊อว่าอยากมาเที่ยวบ้านผมอยู่นานจนต้องพามาจนได้ เป็นเด็กเป็นเล็กตัวแค่นี้รู้จักให้คนอื่นพาเข้าบ้านแล้วเหรอเนี่ย โตไปจะขนาดไหนกัน

    ผมไขกุญแจก่อนผลักประตูเข้าไป เปิดไฟดวงใหญ่ซึ่งเจ้าวิสกี้กับวอดก้าก็วิ่งเข้ามาหาทันที

    “ว้าว! มีแมวด้วย” เด็กนั่นวิ่งเข้าไปคลุกคลีกับแมวของผมทันทีตามที่คาดไว้ ดูเหมือนพวกมันเองก็ชอบใจอยู่ไม่น้อยเหมือนกันที่ได้เพื่อนใหม่

    “นายอยู่บ้านคนเดียวเหรอ” ผมขานรับในลำคอไปเบา ๆ โยนกระเป๋าลงบนเตียง ปิดหน้าต่างก่อนจะเปิดแอร์

    “จะกินอะไร”

    “ไหน! มีไรกินมั่ง” เจ้าเด็กนั่นทิ้งแมวแล้ววิ่งตรงไปที่ตู้เย็นแทนทันที ผมเปิดตู้เย็นออกก่อนหยิบเนื้ออกไก่ออกมา

    “สปาเกตตี้ไหม”

    “เอา!” ผมจึงไล่ให้ไปเล่นกับแมวก่อนหยิบมะเขือเทศกับหอมหัวใหญ่ออกมา ตั้งน้ำร้อนเอาไว้แล้วเอาเนื้อไก่มาบด ปรุงรสด้วยซอสและพริกไทย ระหว่างนั้นก็นำเส้นไปต้มรอ

    พอเส้นนุ่มแล้วจึงเอาไปคลุกกับน้ำมันพืชไม่ให้เส้นติดกัน หั่นมะเขือเทศกับหัวหอมเป็นรูปสี่เหลี่ยมลูกเต๋าเล็ก ๆ ก่อนตั้งกะทะไฟกลาง ใส่เนยรอให้ละลายแล้วจึงนำหัวหอมลงไปผัด ค่อยใส่เนื้อไก่ตามลงไป ปรุงรสด้วยซอสมะเขือเทศ ซอสผัด พริกไทย เกลือ อืม... ไม่ต้องใส่ไวน์แดงละกัน

    ก่อนจะใส่มะเขือเทศตามลงไปเป็นอันเสร็จ ตักขึ้นราดใส่เส้นสปาเกตตี้ที่เตรียมไว้สองจานแล้วยกออกไปเสิร์ฟ

    “โหย นายทำอาหารเก่งจังเลยแฮะ” ผมยื่นช้อนส้อมให้ร่างเล็กก่อนนั่งกินจานของตัวเอง ไม่ได้ใส่ไวน์แดงแล้วไม่ค่อยหอมเท่าไหร่ แต่ให้เด็กกินรสชาติประมาณนี้ก็โอคแล้วล่ะ

    “อร่อยเป็นบ้า ที่บ้านฉันไม่เห็นมีอะไรอร่อย ๆ ให้กินแบบนี้บ้างเลย! ฉันมาอยู่กับนายแทนเลยได้ไหม” เด็กนั่นพล่ามชมไม่หยุดโดยที่ยังเคี้ยวแก้มตุ่ย แล้วยังตักใส่ปากต่อไม่ยั้งจนผมต้องปรามให้กินช้า ๆ

    พอกินเสร็จก็อยู่เล่นเกมเพลย์กับผมต่ออีกสักพัก จนห้าทุ่มกว่าผมถึงปิดเกม และตัดสินใจจะพากลับไปส่งที่ร้าน

    “ยังไม่อยากกลับอะ” ซึ่งมันก็เริ่มงอแงทันที ถึงจะทำตัวแก่แดดแต่ก็ยังมีส่วนที่ยังเป็นเด็กเหลืออยู่เหมือนกันนี่ “ขออยู่บ้านนายเลยไม่ได้เหรอ”

    “ไม่ได้” ผมเอ่ยเรียบ ๆ ก่อนจัดการดึงมือให้เด็กนั่นเดินตามมา ซึ่งมันก็ดิ้นไม่ยอมกลับแถมยังทำหน้าเหมือนจะร้องไห้อีกต่างหาก เฮ้อ... งานเข้าแล้วสินะเนี่ย

    ผมตัดสินใจกัดฟันอุ้มเด็กนั่นขึ้นมา ถึงจะดิ้นก็ฝืนเอาลงมาถึงรถมอเตอร์ไซด์จนได้ ปัญหาคือจะทำยังไงให้ยอมนั่งไปดี ๆ นี่แหละ

    “เดี๋ยวพรุ่งนี้ฉันให้มาใหม่” เฮ้อ... ไม่คิดไม่ฝันเลยว่าตัวเองจะต้องมานั่งกล่อมเด็ก “ถ้าไม่ยอมกลับ พรุ่งนี้ไม่ต้องมานะ”

    “ฮือ ใจร้าย” มันเบะปาก น้ำตาเริ่มรื้นขึ้นมาเล่นเอาผมทำอะไรไม่ถูก อ่านใจแล้วพบว่าอยากอยู่กับผมมากจริง ๆ ด้วย ทำไมกันนะ

    ผมลูบหัวทุยนั่นเบา ๆ ก่อนอุ้มขึ้นมานั่งบนรถมอเตอร์ไซด์ ซึ่งเจ้าเด็กนั่นก็ไม่ได้ดิ้นอะไร กลับยอมนั่งนิ่ง ๆ ไปแต่โดยดี ถือว่าพูดรู้เรื่องอยู่เหมือนกัน และสุดท้ายผมก็พากลับมาส่งถึงบาร์โดยสวัสดิภาพ

    “กลับเข้าไปได้แล้ว พรุ่งนี้ค่อยมาใหม่” ผมอุ้มร่างเล็กลงจากรถแต่ตัวเองไม่ได้ลงไปด้วย “แล้วก็... ใครชวนไปไหนห้ามไปล่ะ”

    “รู้น่า” เด็กนั่นบุ้ยปากอย่างงอน ๆ ก่อนจะยื่นนิ้วก้อยมา “พรุ่งนี้ต้องให้ฉันไปเล่นใหม่ด้วย สัญญานะ”

    “ฮื่อ สัญญา ๆ” ผมหันซ้ายแลขวาพอเห็นไม่มีใครจึงเกี่ยวก้อยสัญญาด้วย เด็กชายถึงเผยรอยยิ้มกว้างออกมา เอ่ยบ๊ายบายผมก่อนวิ่งเข้าบาร์ไป

     

    แต่หลังจากวันนั้น ผมก็ไม่พบเด็กนั่นอีกเลย

    วันนี้เป็นวันที่ห้า ผมดื่มกับเพื่อนสักพักจึงปลีกตัวออกมาด้านนอก แต่ว่ากลับไม่เจอร่างเล็กที่มักจะยืนรออยู่ก่อนหน้านี้แล้ว

    ผมยืนสูบบุหรี่รอเกือบครึ่งชั่วโมงก็ยังไร้วี่แววของเจ้าเด็กบ้านั่น จนตัดสินใจกลับเข้าไปในร้าน เดินหารอบ ๆ ก็ยังไม่เจอ

    ไปไหนกันนะ

    “เออ แล้วไอ้ตัวเล็กนั่นหายไปไหนวะ” แทนเอ่ยทักทันทีที่ผมกลับมานั่งที่โต๊ะ ผมยักไหล่น้อย ๆ ก่อนหยิบเหล้ามากระดกกินบ้าง

    สักพักผมจึงออกไปข้างนอกใหม่อีกครั้ง แต่ก็ยังไม่มีใครอยู่ตามเคย กวนประสาทชะมัดเลยแฮะ

    ลงท้ายผมก็กลับบ้านมาโดยที่ยังไม่เจอร่างเล็กเป็นเวลาเกือบสัปดาห์แล้ว คิด ๆ ดูแล้วมันก็น่าโมโหชะมัด ตัวเองเป็นคนสัญญาเองแต่กลับหายหน้าไปเสียอย่างนั้น บ้าที่สุด

    วิสกี้กระโดดขึ้นมานั่งออเซาะบนตักเหมือนเคย ผมเกาคางของเจ้าลูกแมวไปพลาง บางทีไอ้การที่ผมมานั่งพะวงถึงเด็กห้าขวบนี่มันอาจจะบ้ากว่าก็ได้นะ...

    เอาล่ะ สิ่งที่ผมควรจะทำในวันนี้ไม่ใช่การคิดถึงเด็กห้าขวบ แต่เป็นการเล่นเกม ทำงานบ้าน อ่านหนังสือเตรียมสอบแล้วนอนต่างหาก

    พรุ่งนี้ไปเดินหาสาวน่ารัก ๆ เอาก็ได้วะไอ้ศรัณย์

     

    “เคยมีพนักงานที่นี่ย้ายไปหรือเปล่าครับ?”

    “อ๋อ ใช่ค่ะ มีคนหนึ่งเพิ่งย้ายไปเมื่อสัปดาห์ก่อนเอง” สาวเสิร์ฟเอ่ยตอบผม นั่นอาจจะเป็นพ่อของเจ้าเด็กนั่นก็ได้

    “คน ๆ นั้นมีลูกหรือเปล่าครับ”

    “มีค่ะ” เจ้าหล่อนยิ้มอย่างเขิน ๆ ที่โดนผมมองหน้า “เห็นพามาด้วยประจำเลย”

    “พอจะรู้หรือเปล่าครับว่าเขาย้ายไปที่ไหน”

    “เอ... ไม่ทราบเหมือนกันนะคะ มีธุระอะไรหรือเปล่าคะ” ผมส่ายหน้าเล็กน้อยก่อนคลี่ยิ้มให้อย่างขอบคุณ ซึ่งเจ้าหล่อนก็รีบเดินออกไปด้วยหน้าแดงงุด ๆ

    ย้ายไปแล้วงั้นเหรอ...

    ผมโล่งใจขึ้นมานิดหน่อยที่ไม่ได้โดนใครพาไปทำอะไร คงได้แต่รอว่าวันไหนเจ้าเด็กนั่นจะกลับมาที่บาร์นี่อีกครั้งนั่นแหละ...

    “เฮ้ย ไอ้รัน” กุ้งหันมาเรียก ผมยักคิ้วขึ้นเชิงถามว่ามีอะไร

    “กูเจอร้านดี ๆ ร้านใหม่แล้วนะเว้ย พรุ่งนี้เปลี่ยนร้านกันปะ” มือที่ถือแก้วพลันบีบแน่น ผมยังคงทอดสายตามองไปยังประตูร้านนิ่ง ยกเหล้ากระดกขึ้นหมดแก้วก่อนวางลงบนโต๊ะ

    ผมหลับตาลง ถอนหายใจออกมาเบา ๆ

     

    “กูขอออกไปสูบบุหรี่... ข้างนอกก่อน”

     

     

     

     

     


    อยากแถม
    ชอบแบบนี้มากกว่าเรื่องจริงแล้วอะ!
    ไม่อยากแต่งของจริงต่อแล้วววว โชตะค่อนดีที่สุด T_T

    จะแถมอีก! เหตุผลว่าทำไมศรัณย์ถึงโชตะค่อน
    ...

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน
    นิยายแฟร์ 2024

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×