ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    BARTENDER

    ลำดับตอนที่ #7 : แชมเปญแก้วที่ VI

    • อัปเดตล่าสุด 28 พ.ค. 53


     

    แชมเปญแก้วที่ VI

     

     

     

    “ว่าจะให้ซาวน์แต่งหญิงสักหน่อยน่ะ!”

    “หา?” ผมและหลิวถึงกับหลุดอุทานมาพร้อมกัน ก่อนคุณเชสเซอร์จะหันไปทางหลิวแล้วทำตาวาว

    “เธอด้วยได้ไหม?”

    “ค่าตัวหลายแสนนะ” เด็กหนุ่มสวนต่อทันทีพลางกลั้วหัวเราะ ซึ่งคนยื่นข้อเสนอก็พยักหน้าหงึก ๆ

    “ยอมจ่าย”

    “เฮ้ย!” ผมร้องออกมาอีกครั้ง “แล้วทำไมต้องให้ไปแต่งหญิงด้วยล่ะ?”

    “ก็บาร์เรามีผู้หญิงนิดเดียวเอง” คุณเชสเซอร์ตอบ โดยยังสำรวจหน้าหลิวไม่ขาดช่วง ซึ่งเด็กหนุ่มก็ดันจ้องหน้ากลับอีกเสียอย่างนั้น อันที่จริงผมเองยังไม่กล้าจ้องหน้าคุณเชสเซอร์นาน ๆ เลยด้วยซ้ำนะ

    “แล้วทำไมต้องแต่งหญิงด้วยล่ะครับ?”

    “เรียกลูกค้าไง กะว่าจะเรียกพวกเด็ก ๆ เข้ามาด้วย ไม่ใช่ผู้ชายอย่างเดียว...” เด็กหนุ่มว่าพลางกลอกตาไปมา  “อย่างนั้นเอาเป็นชุดเมดดีไหมนะ~”

    “คนนี้เป็นเจ้าของบาร์นี้เหรอ” หลิวหันมาถาม ซึ่งผมกับคุณเชสเซอร์ก็พยักหน้ารับพร้อมกัน “จริงอะ ทำไมเด็กจัง”

    “เอาเป็นว่าบอกซาวน์ให้ด้วยละกัน ถ้าไม่ทำฉันจะหักเงินเดือน” คุณเชสเซอร์โบ้ยงานให้ผมก่อนจะหันไปจับบ่าหลิวด้วยสายตาอ้อนวอน

    “เธอไม่สนจริง ๆ เหรอ เป็นแสนก็จ่ายให้นะ”

    “ไม่” เด็กหนุ่มปฏิเสธอย่างเด็ดขาดด้วยรอยยิ้มซึ่งสามารถทำให้คนหยุดเซ้าซี้ต่อได้ทันที ก่อนจะขอตัวไปนั่งจิบคอกเท็ลต่อ ทิ้งคุณเชสเซอร์ที่อึ้งนิด ๆ ไว้ก่อนจะบ่นอุบอย่างเสียดาย

    “นายรู้จักกับเด็กคนเมื่อกี้ได้ยังไง” เขาถามต่อ ดูท่าจะสนอกสนใจหลิวมาก

    “ก็เขาเข้ามาในร้านนี้น่ะครับ”

    “ร้านนี้เป็นแหล่งรวมคนแปลกจริง ๆ ด้วยแฮะ” คุณเชสเซอร์พึมพำยิ้ม ๆ “รวมทั้งนาย ฉัน ซาวน์และคนอื่น ๆ ด้วย”

     

    ซึ่งหลังจากซาวน์มา ผมก็จัดการพูดโน้มน้าวต่าง ๆ นานาจนได้คำตอบมาว่า...

    “ไม่เอาเด็ดขาด!’

    “เห็นคุณเชสเซอร์บอกจะตัดเงินเดือนด้วยนะครับ” พอได้ยินคำขู่เด็กหนุ่มก็ถึงกับชะงัก แต่ยังพยายามดึงดันต่อ

    “แล้วทำไมต้องผมด้วยล่ะ”

    “ไม่รู้สิ คุณน่ารักมั้ง” ผมตอบกวม ๆ กลับไปโดยไม่ทันคิด รู้ตัวอีกทีก็ทำซาวน์หน้าขึ้นสีซะแล้ว “เอ่อ... ถ้าไม่อยากทำก็ไม่เป็นไรนะครับ แค่เงินถูกหักนิดหน่อยคง...”

    “ทำก็ได้ฮะ” ในที่สุดก็ยอมจำนนหลังจากถูกผมกดดันมานาน ห่วงเงินเอาการเลยนะเนี่ย

    “ยอมทำแล้วสินะ!” จู่ ๆ คุณเชสเซอร์ก็โผล่หน้าออกมา คงจะแอบซุ่มรอฟังอยู่ข้างหลังผมมานาน “พรุ่งนี้เลยละกันนะ”

     

    --   

    --  ----------  --  ----------  --  ----------  --  ----------  --  ----------  --  ----------  --  ----------  --  ----------  --  ----------  --

     

    หนึ่งวันผ่านไป ไวอย่างกับนิยาย

    ผู้คนต่างวุ่นอยู่กับการจัดร้านใหม่เพื่องานเลี้ยงวันนี้ ส่วนผมก็ต้องผสมค็อกเทลเตรียมไว้เป็นร้อยแก้ว ทำไมไม่จ้างบาร์เทนเดอร์มาหลาย ๆ คนหน่อยเนี่ย จะงกไปไหน

    “พี่ศรัณย์” น็อตหันมาเรียกผมที่กำลังรินแชมเปญใส่แก้วใบเล็กลวก ๆ “ซาวน์มาแล้ว”

    “พาซาวน์ไปแต่งตัวเลย” ผมโบ้ยหน้าที่ให้น็อตไป พลันแก้วแชมเปญที่ผมเพิ่งรินเสร็จก็ถูกยกออกไปจากถาด พอเงยหน้าขึ้นไปก็พบกับรอยยิ้มของหลิวทักทาย

    “วุ่นวายกันจริงแฮะ”

    “ร้านยังไม่เปิดไม่ใช่เหรอครับ”

    “สิทธิพิเศษมั้ง” เด็กหนุ่มยักคิ้วก่อนจะนั่งจิบค็อกเทลมองคนวุ่นวายอย่างสบายใจ ไม่นานนักผมก็ถูกสะกิดให้เงยหน้าขึ้นไปมองอีกรอบ

    ซึ่งหลิวกำลังชี้ ๆ ไปทางหลังร้านด้วยใบหน้าอึ้ง ๆ ผมจึงไม่รอช้าที่จะหันมองตามที่ชี้ไปทันที

    ก่อนจะพบเข้ากับเด็กสาวคนหนึ่งในชุดสาวเสิร์ฟ มัดผมแกละยาวเคลียไหล่ ใบหน้าน่ารัก ๆ นั้นบูดบึ้งไม่สบอารมณ์เป็นที่สุด... เอ่อ เพ่งดูดี ๆ อีกรอบ นั่นมันซาวน์นี่หว่า!

    “น่ารักโคตร” เด็กหนุ่มหลุดอุทาน เชื่อว่าตอนนี้สีหน้าของผมก็คงไม่ต่างจากหลิวเท่าไหร่นัก “ไม่ติดว่าเป็นผู้ชายนี่ฉันจีบแล้วนะ”

    “ผมก็คิดเหมือนคุณนั่นแหละ” ผมเอ่ยโดยที่สายตายังไม่ละจากคนที่ถูกนินทา จนกระทั่งเธอ เอ้ย เขาเดินเข้ามาหาพวกเราที่ยังจ้องตาไม่กะพริบ

    “จริง ๆ แล้วนายเป็นผู้หญิงใช่ไหม” แต่พอมาถึงหลิวก็ปากอยู่ไม่สุขเอ่ยถามทันที

    “ผมเป็นผู้ชายครับ” แต่คนถูกถามกลับตอบมาอย่างชัดถ้อยชัดคำ โดยที่สภาพตอนนั้นมันตรงข้ามกับคำพูดอย่างรุนแรง

    ดูเหมือนใบหน้าผมจะฉายแววทึ่งชัดเจนมาก จนน็อตที่เหลือบมามองหน้าผมถึงกับหลุดยิ้มขำ ๆ

    “ไปทำงานกันได้แล้ว” ผมรีบปัดมือไล่แล้วก้มหน้าก้มตาตั้งใจทำงานตัวเองต่อ น็อตหันไปคุยอะไรกับซาวน์แวบเดียวแล้วผลักหลังให้ออกไปรวมตัวกับบรรดาสาวเสิร์ฟ ก่อนจะหันมายิ้มเลศนัยน์ให้ผม

    “เก็บอาการหน่อยสิครับพี่ศรัณย์” ก่อนจะตามมาด้วยเสียงหัวเราะก๊ากของหลิวส่งท้าย ผมไล่ให้น็อตแยกย้ายไปทำงานโดยฝากให้ช่วยดูแลซาวน์ไปด้วย สุดท้ายก็กลับมาเหลือหลิวกับผมเหมือนเดิม

    เด็กหนุ่มยื่นแก้วแชมเปญให้ผม ซึ่งแน่นอนว่าไม่ใช่ส่งคืนแต่ให้รินเพิ่มต่างหาก ให้ตายเถอะ

    “ว่าไปแล้ว นายชื่อเล่นชื่ออะไรน่ะ” หลิวถามระหว่างคีบแก้วรอให้ผมรินไวน์เต็ม เจอคำถามนี้เล่นเอาสะอึกเลยแฮะ

    “คนขี้เกียจเรียกชื่อผมเต็ม ๆ ก็เรียกสั้น ๆ กันว่า รัณย์น่ะครับ” ซึ่งความจริงชื่อเล่นผมมันคือ...

    “สะกดแบบ น. หนู... รัน (Run) วิ่งน่ะเหรอ?” คำถามต่อมารอบนี้ทำเอาผมแทบทำขวดไวน์หลุดมือ ก็หมายความว่ามันถูกเป๊ะเลยไง ชื่อเล่นจริง ๆ ผมก็คือ รัน นั่นแหละ คนที่รู้ก็เหลือแค่พวกเพื่อนสมัยเรียนเท่านั้น

    “เปล่า รัณย์ ย. ยักษ์การันต์...”

    “รัน น. หนูจริง ๆ ด้วยสินะ!!” เฮ้ย ทำไมจู่ ๆ มาตัดบทสรุปเอาเลยอย่างนี้ แถมยังมีหัวเราะต่อท้ายอีกต่างหาก ตกลงมันก็อ่านใจผมได้ใช่ไหมเนี่ย

    “ชื่อน่ารักจริง ๆ ฮ่า ๆ ๆ ๆหลิวก้มหน้าทุบโต๊ะขำอย่างสุดใจ อย่างน้อยช่วยหรี่เสียงหน่อยก็ยังดี หันมามองกันเป็นแถวแล้ว

    “เบา ๆ หน่อยสิครับ” ผมหันไปสนใจกับการประดับแก้วแชมเปญต่อ ถึงเจ้าเด็กบ้านี่มันจะขำเป็นวรรคเป็นเวรอยู่ข้างหูก็เถอะ

    “ต่อไปนี้ฉันจะเรียกนายว่ารันละกัน... รันจัง~” ล้อผมเสร็จก็ปล่อยก๊ากออกมาอีกยก เคยนึกไว้ว่าคงไม่มีอะไรหายนะเท่ากับการที่หลิวรู้ชื่อเล่นของผมแล้ว และก็เป็นไปตามนั้นจริง ๆ ด้วยล่ะ

    ไม่นานร้านก็เปิดซึ่งก็มีคนมายืนรอเข้าร้านแต่แรกอยู่แล้ว เริ่ม ๆ ก็ยังไม่มีอะไร แต่เผลอแวบเดียวคนก็เต็มร้านแล้ว เป็นช่วงหนึ่งที่ผมวุ่นวายกับการผสมค็อกเทลให้ลูกค้า ในขณะที่เจ้าตัวดียังนั่งมองพลางจิบของฟรีไม่ทุกข์ร้อนอะไรเหมือนเดิม ว่าไปแล้วเมื่อไหร่ผมจะได้หัวเราะเยาะมันคืนบ้างนะ

    พอหมดช่วงวุ่นวาย ผมก็ต้องมาผสมวิมเลทตามที่หลิวจิกหัวสั่งต่อ ระหว่างนั้นเองคุณเชสเซอร์ก็เดินเข้ามาโอบไหล่หลิว ก่อนหยิบไวน์ไว้แจกไปยกดื่มรวดเดียวหมดแก้วแล้วจึงเอ่ย

    “หลิว คราวนี้ฉันจำเป็นต้องให้เธอไปแต่งจริง ๆ” ไม่ทิ้งช่วงให้แย้งอะไรก็พูดต่อทันที “ดันมีคนไม่สบาย พาไปหาหมอแล้ว ตอนนี้เลยขาดตัวหลักอยู่”

    “แล้วทำไมต้องเป็นฉันด้วยล่ะ?” หลิวขมวดคิ้วเล็กน้อย

    “ไม่รู้สิ เธอน่ารักมั้ง” คุณเชสเซอร์ตอบพลางเหล่ตามามองผมที่แอบสะดุ้ง รู้สึกคำพูดเมื่อกี้มันคุ้น ๆ นะว่าไหม “ฉันให้ค่าจ้างเท่าที่เธอเรียกเลยเอ้า ตกลงไหม?”

    เอ่ยต่อพร้อมจ้องหน้าหลิวรอคำตอบ ซึ่งขนาดผมไม่ได้อยู่ร่วมบทสนทนายังรับรู้ถึงแรงกดดันที่แผ่ซ่านออกมาจากเด็กหนุ่มเจ้าของร้าน มันเป็นความรู้สึกที่อธิบายไม่ได้ ยกตัวอย่างง่าย ๆ เช่น เหมือนเราที่นั่งอยู่กลางห้องโดยมีคนมากมายยืนล้อมรอบพากันพูดโน้มน้าวหรือรุมต่อว่า เพียงแค่นี้ก็สามารถเปลี่ยนความคิดคนได้โดยง่าย

     แต่ในกรณีของคุณเชสเซอร์ ไม่จำเป็นต้องให้ใครมาช่วย แค่พูดคุยด้วยก็รู้สึกกดดันอย่างบอกไม่ถูกแล้ว ด้วยอะไรบางอย่างที่แม้แต่ผมก็ไม่อาจล่วงรู้

    ดูเหมือนแม้แต่หลิวเองก็ยังทนไม่ไหว สังเกตจากเหงื่อเม็ดเล็ก ๆ ที่เริ่มผุดขึ้นมาหลังจากโดนคุณเชสเซอร์จ้องตารอคำตอบเพียงไม่กี่วินาที จนในที่สุดก็...

    “...หาคนอื่นดีกว่ามั้ง”

    พระเจ้า!

    ดูเหมือนคุณเชสเซอร์เองยังแปลกใจไม่แพ้กัน ถึงกับหันขวับมามองหน้าผมอย่างงง ๆ ก่อนจะลากผมออกมากระซิบ

    “เจอแรร์ไอเท็มอีกแล้วนะศรัณย์เอ่อ... แล้วทำไมผมต้องเจอแต่อะไรแบบนี้ตลอดเลยด้วยเนี่ย “แต่ไม่ใช่ประเภทเดียวกับพวกเราด้วยนะ”

    “แล้วเป็นยังไงน่ะครับ?”

    “ก็เป็นแค่เด็กธรรมดา ๆ นั่นแหละ แต่หายาก” คุณเชสเซอร์ว่าก่อนจะวางแก้วไวน์ลงบนโต๊ะ “ฝากนายดูด้วยละกัน อ้อ... เดี๋ยววันนี้จะมีแขกมาเยี่ยมนายด้วยนะ เตรียมตัวไว้ล่ะ”

    ไม่ทันที่ผมจะถามอะไรต่อ คุณเชสเซอร์ก็ยกมือลาแล้วผละตัวออกไปก่อน ไม่ทันไรก็มีชายสวมแว่นดำคนหนึ่งเดินเข้ามานั่งบนเก้าอี้บาร์ หยิบไวน์ไปจิบแล้วทำท่าเป็นอ่านหนังสือพิมพ์

    ถึงผมจะไม่ได้อ่านใจ แต่ก็สังหรณ์ได้เลยว่าผู้ชายคนนี้ต้องมีอะไรแน่นอน

    “ไปนินทาอะไรกันน่ะ” หลิวเอ่ยถามซึ่งผมก็ไม่ได้ตอบอะไร ค่อย ๆ เทเตกีล่า ตามด้วยน้ำมะนาวและน้ำแข็งใส่เชคเกอร์ ปิดฝาและเขย่า แต่ไม่ทันจะเข้ากันดีก็...

    เคร้ง!

    เสียงแก้วไวน์ที่ถูกเชคเกอร์ของผมปัดกระเด็นออกไปแตกกระจายลั่นร้าน ที่มาของแก้วคือชายคนเมื่อกี้ตามที่คาดไว้เป๊ะ ทุกคนต่างพากันหันมาโฟกัสที่ผมกับชายคนนั้นเป็นตาเดียว

    มันไม่พูดพร่ำทำเพลงอะไร ปีนข้ามเคาน์เตอร์มาทางผม ชักมีดออกมาแล้วเขวี้ยงเปิดฉากทันที ผมใช้เชคเกอร์ปัดมีดให้ตกลงพื้นภายในเสี้ยววิ ใช้เท้าเตะขึ้นมาถือใช้เป็นอาวุธและวิ่งตรงเข้าไปพร้อมเสียงโหวกเหวกโวยวายของคนในร้าน

    ร่างนั้นชักมีดดาบยาวเกือบเท่าแขนออกมาอีกเล่มแทงสวนเข้ามา ผมเบี่ยงตัวหลบอย่างรวดเร็วแล้วตวัดเชคเกอร์ขึ้นรับมีดที่มันฟันซ้ำเข้ามาต่อ อีกมือของมันชักมีดดาบขึ้นเสริมหมายจะจ้วงแทง แต่ผมถอยหลบออกไปทัน ก้าวออกห่างมาแล้วตัดสินใจยกขาขึ้นเตะปัดมีดมันกระเด็นตกพื้น ไม่ค่อยอยากใช้คาโปเอร่าเลยแฮะ แต่ช่วยไม่ได้

    ร่างนั้นไม่สนใจอาวุธที่ถูกปัดตก วิ่งตรงเข้ามาแล้ววาดมีดดาบฟันออกเป็นวงกว้างจนผมต้องตีลังกาหลบเท่านั้นถึงจะพ้น มันยังคงฟาดเข้ามาไม่ยั้งจนกระทั่งผมหลังติดกำแพง จึงต้องยกเชคเกอร์ขึ้นกันมีดดาบที่มันฟันเข้ามาแล้วยกเท้าถีบท้องของมันจนหงายหลังล้ม

    ผมไม่เปิดโอกาสให้มันลุกขึ้น เดินเข้าไปเตะอาวุธออกจากมือแล้วกดเข่าลงบนตัวของมัน ใช้มีดจ่อเข้าที่คอเอาไว้

    “ว่าไงครับ?” ด้วยแว่นดำใหญ่เกือบครึ่งหน้าทำให้ผมอ่านความคิดของมันไม่ได้ แต่ดูเหมือนว่าจะใส่มาเพื่ออำพรางใบหน้ามากกว่ากันการอ่านใจ

    “เก่งสมคำล่ำลือจริง ๆ ด้วยนะ” มันเอ่ยด้วยรอยยิ้ม กระตุกมีดออกมาจากแขนเสื้อแล้วเหวี่ยงฟันใส่ฉับพลัน ผมผละตัวหลบทันแต่เฉียดแขนเสื้อขาดวิ่น มันฉวยโอกาสนั่นพลิกตัวลุกขึ้นยืนแล้ววิ่งออกจากร้านไปทันที

    แต่พอผมหันไปดูรอบ ๆ ตัวเองก็พบสายตาทิ่มแทงเข้ามาทั้งร้าน ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ดีกว่า ว่าแต่รปภ.ร้านนี้ไปมุดหัวอยู่ไหนล่ะเนี่ย

    “ขอโทษที่ช้า” ผมเดินกลับมาหาหลิวแล้วเปิดฝาเชคเกอร์ออก เททิมเลทใส่แก้วยกเสิร์ฟให้เด็กหนุ่ม ซึ่งเขาก็ยกขึ้นจิบพร้อมเอ่ยวิจารณ์

    “ช้าจนน้ำแข็งละลายจืดหมดแล้ว” รับมุกผมเป็นอย่างดี ราวกับว่าเมื่อกี้ไม่มีอะไรเกิดขึ้นจริง ๆ ดูเหมือนว่าคนอื่น ๆ จะไม่กล้าเข้ามาหา ดูยังช็อคกับหนังบู๊สดเมื่อกี้อยู่เป็นแถว เลยตัดสินใจกล่าวแก้ข่าวออกไปดัง ๆ

    “อ๋อ แค่ทะเลาะกันนิดหน่อยน่ะครับ”

     

     ไม่นานไทยมุงก็ค่อย ๆ สลายตัวออกไปปาร์ตี้ต่อเหมือนเดิมอย่างมึน ๆ ซึ่งแทบไม่มีใครเข้าใกล้เคาน์เตอร์เลยนอกจากพวกเข้าร้านมาใหม่ ผมจึงว่างงานไปช่วงใหญ่

    “ไอ้คนเมื่อกี้...” หลิวเกริ่นขึ้นมาพลางกลอกตานึก “น่าจะเป็นคนของพี่ฉัน”

    “แล้วคุณรู้ได้ไง”

    “คล้าย ๆ ว่าเหมือนเคยเห็นอยู่กับพี่” พูดจบก็เหลียวตามองไปด้านหลัง ก่อนจะหันมาบอกผม “เดี๋ยวฉันไปเข้าห้องน้ำแป้บละกัน” พอเด็กหนุ่มลุกออกไปปุ๊บ ผมก็เห็นซาวน์เดินเข้ามาทางนี้พอดี

    “เมื่อกี้นี้เกิดอะไรขึ้นเหรอครับ?”

    “ก็แค่พวกนักเลงน่ะครับ” ผมโกหกไป เพราะถ้าบอกไปว่าเป็นนักล่าค่าหัวมาละก็จะพาลทำให้เด็กหนุ่มระแวงผมเสียเปล่า ๆ ถึงดูเหมือนซาวน์จะไม่ค่อยเชื่อเท่าไรนักก็เถอะ

    “แล้วบาดเจ็บตรงไหนหรือเปล่าครับ?”

    “สบายมากครับ” ผมตอบพลางรินน้ำพันซ์ใส่แก้วส่งให้ซาวน์ “ดื่มแก้เหนื่อย”

    เด็กหนุ่มเอ่ยขอบคุณ ก่อนผมจะสังเกตเห็นกลุ่มผู้ชายกลุ่มหนึ่งจด ๆ จ้อง ๆ มาทางเด็กหนุ่มอยู่ช่วงหนึ่งแล้ว ว่าแต่นั่นมัน... กลุ่มนักเลงของเจ้าเด็กที่ชื่อ จ๊าก คราวนั้นนี่? มางานวันนี้ด้วยเหรอนั่น

    สักพักก็มีเด็กคนหนึ่งเดินมาจากกลุ่มนั่น คราวนี้หัวเกรียน ๆ หน้าตานักเลง หมอนั่นเดิมมาเกาะที่โต๊ะบาร์แล้วสั่งค็อกเทลแต่สายตากลับมองไปที่ซาวน์เสียแทน

    “คนสวย มาทำงานพิเศษเหรอครับ” นั่นไง... ว่าแล้วเชียวว่าต้องมีไอ้แบบนี้ เด็กหนุ่มที่โดนเรียกว่าน้องสาวหันมามองหน้าผมเลิ่กลั่ก ในใจดูเหมือนกำลังจะแก้ข่าวว่าตนเองเป็นผู้ชาย ผมเลยรีบเอ่ยแทรกเข้าไปก่อน

    “ได้แล้วครับ นี่น้องสาวของผมเอง” แนะนำให้เสร็จสรรพ ซาวน์ขมวดคิ้วมุ่น อ้าปากจะแย้งแต่ก็ไม่ทันเหมือนเดิม

    “อ้าว เฮียวันนั้นเองเรอะ น้องสาวน่ารักนะ” มันว่าต่อพลางยกค็อกเทลขึ้นจิบ ซาวน์อึ่กอั่กจะพูดแก้ตัวแต่ผมก็โน้มหน้าไปกระซิบข้างหู

    “ถ้าความแตกคุณเชสเซอร์ไม่ให้เงินนะครับ” พลางพยายามกลั้นขำสุดชีวิต ในขณะที่เด็กหนุ่มหันขวับมาค้อนผมด้วยความคิดว่า ไม่คิดจะช่วยกันเลยเหรอไง

    เปล่าหรอก... แกล้งคนแบบนี้ก็สนุกไปอีกแบบ

    “ข...ขอตัวไปทำงานต่อก่อน” ซาวน์รีบผงกหัวให้ผมและเด็กคนนั้นแล้วเดินหนีออกไป หมอนั่นมองตามไปอย่างเซ็ง ๆ ก่อนจะถามผม

    “เฮีย ผมขอจีบน้องสาวเฮียได้ป่ะ”

    “แต่ผมหวงน้องน่าดูเลยนะครับ” พลางกรีดรอยยิ้ม เด็กนั่นเหล่ตามามองหน้าผมด้วยความคิด เดี๋ยวจะฉกมาให้ดู

    อา... วันนั้นผมจะยืนหัวเราะอย่างสะใจให้คุณเอง

    “กลับมาแล้ว” พอเจ้านั่นเดินไปรวมกลุ่มที่เดิม หลิวก็กลับมา... เด็กหนุ่มเหลือบตามองตามนักเลงคนนั้นไปก่อนจะกระโดดขึ้นนั่งบนเก้าอี้ “มาจีบซาวน์ล่ะสิหมอนั่น”

    พอผมพยักหน้ารับเด็กหนุ่มก็หัวเราะร่าออกมา คงจะด้วยอารมณ์สะใจเหมือนกับผม  “อาทิตย์นี้ไปดูไลฟ์ที่อัพไซต์ดาวน์มั้ย?”

    “วงอะไรครับ”

    “วงพัมพ์กิ้นส์! ไผ่ฝากมาชวนนายด้วยน่ะ

    “แล้วทำไมต้องชวนผมไปด้วยน่ะ” ผมถามอย่างสงสัย ในเมื่อเจ้าพี่ชายของหลิวหมายหัวผมอยู่... หรือว่าอาจจะต้องการเอาผมไปจัดการในที่ของตัวเองซึ่งมีพรรคพวกอยู่ด้วย

    “อาจจะเป็นอย่างที่นายคิดก็ได้” เด็กหนุ่มเท้าคางยิ้มเมื่อเห็นผมทำหน้าครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง “ไผ่บอกแค่ว่าชวนนายไปเป็นเพื่อนด้วยก็ดีแค่นั้นแหละ จะไปไหม”

    ผมไม่รู้เหมือนกันว่า เป็นอย่างที่นายคิดของหลิวคืออะไร คงจะพูดขึ้นมาลอย ๆ หรือคิดเหมือนกันกับผม ถือว่าเสี่ยงพอสมควรเลยถ้าจะไปด้วย แต่เอาจริง ๆ ผมเองก็อยากจะสะสางเรื่องนี้ให้จบ ๆ ไปจะได้ไม่มีใครมาล่าหัวผมอีก... หากว่าคนที่ผมจะต้องไปสะสางด้วยคือพี่ชายของหลิวนี่ล่ะสิ

    “พี่คุณจะตามรังควานผมเรื่อย ๆ จนกว่าจะจับผมไปได้ใช่มั้ย?”

    “อาจจะใช่ นายจะทำยังไงล่ะ” เด็กหนุ่มหยิบแก้วไวน์ขึ้นมาส่งคืนให้ผมรินค็อกเทลให้ ปกติกับพวกที่มาตามล่าผม ผมก็จะยิงสวนไปตายบ้างไม่ตายบ้างก็ไม่รู้

    “ขอบเขตที่ผมจะทำกับพี่คุณได้มีแค่ไหนครับ” แล้วทำไมต้องขออนุญาตด้วยล่ะเนี่ย... หลิวหรี่ตามองแก้วไวน์ที่ผมกำลังรินวิมเลทใส่สักพัก ก่อนจะเอ่ยตอบกลับมาด้วยรอยยิ้ม

    “ถึงตายก็ลองสิ”

     

     

     



    คุณเชสเซอร์

    แถมๆ

    ซาวน์แต่งหญิง xDDD
    บอมมี่วาด

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×