คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #6 : แชมเปญแก้วที่ V
แชมเปญแก้วที่ V
“แล้วซาวน์อยู่โรงเรียนไหนน่ะ” มาถึงก็เล่นคำถามที่ผมตอบไม่ได้ยทีเดียว ผมกะจะโกหกมั่ว ๆ ออกไปแต่ฟันธงว่าคงถูกจับได้แน่นอน เลยได้แต่อ้ำอึ้งไปพักใหญ่ พอสบตากับหลิวก็ได้ความคิดที่กำลังสนุกกับการปั่นหัวผมเต็มที่เลย คงรู้แล้วสินะว่าผมตอบไม่ได้
แพ้ไอ้เด็กนี้อีกแล้ววุ้ย...
“ตกลงนายกับซาวน์เป็นอะไรกันแน่เนี่ย”
“ญาติห่าง ๆ กันไงครับ”
“แน่เรอะ?” หลิวจ้องตาผมอย่างคาดคั้น ไหง ๆ กลายเป็นว่าผมต้องเป็นฝ่ายหลบตาเสียเองด้วยล่ะเนี่ย “แล้วไม่รู้เหรอไงว่าอยู่โรงเรียนอะไร”
“ก็อยู่วีรเดชาวิทยา...” ผมเอ่ยชื่อโรงเรียนเอกชนมั่ว ๆ ออกไปก่อน ซึ่งก็ได้รอยยิ้มพิฆาตมาตามที่นึกไว้จริง ๆ
“ไม่เนียน”
“ก็ได้ครับ ผมไม่ได้รู้” ในที่สุด ฝ่ายคนที่อายุปานจะเข้าเลขสามอย่างผมก็ต้องยอมแพ้ให้กับเด็กกะโปโลตัวแค่นี้ ชักสงสัยว่าบางทีไอ้เด็กนี่มันอาจจะอ่านใจผมได้ก็ได้มั้งเนี่ย
“อ้าว แล้วตกลงเป็นอะไรกัน” ดูเหมือนจะสงสัยเรื่องความสัมพันธ์ของผมมากถึงมากที่สุด จึงต้องสวนกลับด้วยไม้ตายเสียแล้ว
“เป็นข้อมูลที่เป็นความลับ ต้องซื้อครับถึงบอก”
“อะไรว้า!” หลิวบ่นอุบแล้วเลิกเซ้าซี้ผมต่อ เอาเป็นว่าศึกย่อย ๆ ครั้งนี้ผมชนะละกัน... ผมจัดการผสมเอมเมอรัลด์พันซ์พลางเหลือบตาไปดูคนที่ถูกนินทา ซาวน์กำลังยืนคุยกับน็อตอยู่เพราะร้านกำลังว่างลูกค้ามาก ดูเหมือนว่าจะเริ่มสนิทกับเจ้าน็อตอยู่พอสมควรแล้ว
จริงสิ... น็อตคือเด็กเสิร์ฟที่ผมขอให้ช่วยมาดูแลซาวน์ไปก่อน เห็นอายุพอ ๆ กันน่าจะเข้ากันได้ดี... แถมดีเกินคาดเสียด้วยสิ ยิ่งเจ้านั่นเป็นเด็กประเภทที่ไว้วางใจไม่ได้อีกด้วย เพราะหลายทีที่ผมพยายามล้วงข้อมูลของหมอนั่นมาแต่กลับรู้สึกเหมือนโดนอะไรสักอย่างเตือนห้ามไว้ทุกทีว่า
อย่าไปยุ่งกับเจ้านี่มากไปกว่านี้
เป็นความรู้สึกเดียวกับเวลาพยายามอ่านใจของคุณเชสเซอร์เลยเหมือนกัน ทำให้ผมมั่นใจอยู่พอสมควรว่าสองคนนี้ต้องมีอะไรแปลกประหลาดไปจากมนุษย์ธรรมดาแน่นอน
ทั้งสองคนนั้นคุยอะไรกันอยู่ก็ไม่รู้ ก่อนน็อตจะหยิบกระเป๋าแล้วไปนั่งบนโต๊ะ หยิบกระดาษขึ้นมาขีด ๆ เขียน ๆ อะไรให้ซาวน์ดู... เดาว่าน่ากำลังจะสอนวาดรูปกันอยู่
เอ่อ... เข้าใจว่าลูกค้ามันไม่มีแล้วว่างจัดนะ แต่มันใช่เวลามาอี๋อ๋อกันงี้เรอะ?
“จ้องไม่ละเลยนะศรัณย์” เสียงทักของหลิวเรียกให้ผมหันกลับมาสนใจกับค็อกเทลที่ผสมค้างอยู่อีกครั้ง ให้ตายสิ เผลอใส่น้ำมะนาวมากไปแล้ว ก่อนรอยยิ้มยากจะตีความจะปรากฏบนใบหน้าของหลิว ซึ่งเจ้าตัวก็หลบตาไม่ยอมให้ผมอ่านใจด้วยอีก โอ้ย... ผมอยากฆ่าเจ้าเด็กนี่จริง ๆ
“เออใช่ พี่ชายฉันรู้ว่าฉันมาเที่ยวบาร์นี้แล้ว” เด็กหนุ่มกล่าวก่อนรับวิมเลทจากผมไปจิบ
“แล้วยังไงเหรอครับ?”
“พี่เขาว่ากำลังตามหาตัวนายอยู่ด้วย” คำตอบเรียกให้คิ้วบนหน้าผากผมต้องขมวดเข้าหากันเล็กน้อย แต่ยังคงตีสีหน้าเดิมเอาไว้เหมือนเคย ดูเหมือนหลิวจะรู้ว่าผมกำลังสงสัยเลยพูดต่อโดยไม่ต้องรอให้ผมถาม
“รู้สึกว่าบริษัทของพี่ฉันตามล่านายอยู่น่ะ”
...
สงสัยว่าจะหาเนื้อเรื่องตอนต่อไปได้แล้วสินะ
“บริษัทของพี่คุณชื่ออะไร?”
“G.O.D” ... เอ่อ นั่นมันชื่อองค์กรนักฆ่าในอังกฤษไม่ใช่เรอะ!? อย่าบอกนะว่ามีหลายสาขาทั่วโลก บริษัทนี้เป็นบริษัทนายหน้าจัดหางาน แต่แค่เอามาบังหน้าไว้ ซึ่งความจริงแล้วคนในองค์กรนั่นทำอาชีพอาชญากรทั้งสิ้น แต่ไม่มีใครที่รู้เรื่องนี้ เว้นผมซึ่งเคยไปสืบข่าวถึงที่มาแล้ว
“ทำไมทำหน้าเหมือนไม่เชื่ออย่างนั้นล่ะ” หลิวเอียงคอมองผมขำ ๆ “คงรู้อยู่แล้วสินะว่าจริง ๆ แล้วบริษัทนี้ทำงานอะไร”
“ถ้าอย่างนั้นพี่คุณก็เป็น...”
“เป็นแค่นักล่าค่าหัวน่ะ ไม่ใช่นักฆ่า” เด็กหนุ่มว่าพลางจิบค็อกเทลอย่างสบายใจ “รู้ไหมว่าค่าหัวนายสูงมาก แต่เขาไม่ถึงกับฆ่านายหรอก แต่จะลากไปให้คนที่ตั้งค่าหัวไว้แค่นั้น”
คราวนี้คิ้วผมถึงกับขมวดเข้าหากันจริง ๆ โดยไม่เหลือสีหน้าเดิมแล้ว ถ้าอย่างนี้ก็แปลได้ว่าหลิวมาตีสนิทผมเพราะต้องการจะล้วงข้อมูลของผมใช่ไหม?
“กำลังระแวงฉันอยู่ล่ะสิ” สรุปแล้วเจ้าเด็กนี้ก็อ่านใจได้เหมือนกันสินะ! ให้ตายเถอะ “แต่พี่ฉันนึกว่าฉันยังไม่รู้ คิดว่าบริษัทพี่เป็นบริษัทนายหน้าธรรมดานะ... ที่จริงฉันรู้ตั้งนานแล้ว”
“แล้วไปรู้มาได้ยังไงน่ะครับ”
“ก็เหมือนที่ฉันรู้ว่านายอ่านใจได้แหละ” หลิวแยกเขี้ยวยิ้มขำ ๆ
“คุณรู้ว่าพี่ของคุณหมายหัวผมอยู่ แล้วเข้ามาตีสนิทผมเพราะอะไรครับ?” ผมถามคำถามที่คิดอยู่ในใจออกไปในที่สุด ด้วยหน้ายุ่ง ๆ อย่างกลบไม่มิด
“คิดว่าฉันจะมาเอาข้อมูลนายเหรอไง?” คราวนี้เขาหัวเราะออกมาอีกรอบดัง ๆ “โตแค่อายุจริง ๆ ด้วยนะนายน่ะ ถ้าฉันจะเอาข้อมูลแล้วจะมาบอกนายเรื่องนี้ทำไม”
โดนด่าอีกแล้ว... ผมชักเริ่มเกลียดไอ้เด็กนี่แล้วสิ พระเจ้า
“ฉันจะมาช่วยนายต่างหาก คงไม่เชื่อสินะ” หลิวชันคางมองหน้าผมราวกับรอให้อ่านใจ แต่ทำไมผมรู้สึกไม่อยากอ่านเลยแฮะ มันดูน่ากลัวแปลก ๆ แล้ว
แต่พออ่านแล้วกลับไม่มีอะไรน่าสงสัยเลยแม้แต่น้อย
“แล้วทำไมคุณต้องมาช่วยผม ทำไมไม่ช่วยพี่ของคุณ?”
“ได้แกล้งพี่ สนุกจะตาย” หลิวหัวเราะหึ ๆ ในลำคอ “หลังแกล้งพี่เสร็จแล้วนายจะเป็นรายต่อไป”
ว่าแล้วเชียว... เด็กเวร
“แล้วคุณจะช่วยอะไรผมได้... อันตรายเปล่า ๆ” ผมถามไปตามตรงอีกครั้ง ถึงจะแอบตกใจกับองค์กรที่จะมาตามล่าผมรอบนี้บ้างนิดหน่อย แต่ก็น่าจะพอรับมือไหวเหมือนที่เคยผ่านมาอยู่ดี
หลิวเอียงคอมองผมอีกรอบด้วยรอยยิ้มกริ่ม
“เป็นสมองให้นายมั้ง”
...
“นี่ อย่าทำหน้าแบบนั้นสิ ฉันล้อเล่นก็ได้” ตอนนี้ผมรู้สึกอยากฆ่าคุณจังเลย เกิดมาไม่เคยเจอะเคยเจอ
“แล้วเขาจะมาล่าผมไปให้ใครครับ”
“ไม่รู้สิ คนที่อยากได้หัวนายมีเยอะแยะจะตาย” หลิวว่าก่อนยกวิมเลทขึ้นจิบ แล้วกล่าวต่อ “งั้นเตรียมตัวไว้ให้ดีล่ะ ดูเหมือนพี่เขาจะ...”
กริ๊ง...
“...มาหาวันนี้” หลิวพูดต่อให้จบ หันไปยังประตูพร้อม ๆ กับผม... ลูกค้าคือชายหนุ่มร่างสูงโปร่งในชุดนักศึกษา ผมสีดำซอยสั้นระต้นคอและโครงหน้าที่แค่มองก็รู้โดยไม่ต้องถาม...
“อ้าว... พี่” เด็กหนุ่มเอ่ยทักลูกค้าคนนั้นซึ่งพอจะทำให้ผมหลุดถอนหายใจออกมาด้วยความเซ็ง ดูท่าจะเป็นคนที่รับมือยากอยู่พอสมควร แถมเป็นคนในองค์กร G.O.D อีกยิ่งไม่ต้องพูดถึง
“วันนี้ไม่ไปซ้อมเหรอไง” ชายหนุ่มคนนั้นเดินเข้ามาขยี้หัวหลิว ก่อนจะนั่งที่เก้าอี้ข้าง ๆ แล้วหันมามองหน้าผม... แปลกที่ความรู้สึกอันตรายยังดูน้อยกว่าคนน้อง
“นี่ศรัณย์ เพื่อนหลิว” เด็กหนุ่มแนะนำตัวให้ผมเสร็จสรรพแล้วหยิบเมนูโยนให้ร่างสูง
“ผมชื่อไผ่ เป็นพี่ชายหลิวเอง” ชายหนุ่มกล่าวพลางยิ้มมาดนักธุรกิจให้ “ขอเรดมาการิต้าที่หนึ่ง”
กินเหมือนหลิวที่มาร้านนี้ครั้งแรกเลย ผมตอบรับและจัดการผสมค็อกเทลให้คนที่จะมาล่าหัวผมอย่างรวดเร็ว พลางฟังสองพี่น้องคุยจ้อกัน ซึ่งบทสนทนาดูปกติ ไม่แปลกประหลาดอะไรทั้งสิ้น ดูเผิน ๆ ก็เหมือนนักศึกษาธรรมดาทั่วไป
“ได้ข่าวว่าคุณขายข่าวสารด้วยใช่ไหม” ไผ่เอ่ยถามผมก่อนรับเรดมาการิต้ามา แล้วก็โดนหลิวแย่งไปดื่มก่อน
“ใช่ครับ”
“งั้นพอจะรู้ไหมว่า... แถวนี้มีใครเก่งคาโปเอร่าบ้าง?” ...ในแถวนี้ก็มีแต่ผมคนเดียวแล้วล่ะ ไม่น่าจะมีคนเต้นคาโปเอร่าเป็นแล้ว ที่สำคัญคือมาถามเจาะจงเจ้าตัวแบบนี้
กำลังหยั่งเชิงผมอยู่แน่นอน
ซึ่งพออ่านใจแล้วก็เป็นอย่างที่คิดไว้ ไผ่รู้อยู่แล้วว่าผมเก่งคาโปเอร่า แต่ดูเหมือนยังไม่รู้ว่าผมอ่านใจได้เพราะยอมสบตากันตรง ๆ ... แต่เป็นไปได้ว่าอาจกำลังตบตาผมอยู่ เพราะเป็นถึงขนาดพี่ของหลิว คงเล่นด้วยไม่ง่ายดายนัก
“มีชมรมคาโปเอร่าเล็ก ๆ ตั้งอยู่แถวพระนครนะครับ” ผมเลี่ยงตอบไปกว้าง ๆ ซึ่งตอนนั้นไผ่หันไปแย่งเรดมาการิต้าคืนมาจากหลิว จึงไม่รู้ว่ามีความคิดอะไรอยู่
“มีแค่นั้นหรือ?”
“ต่อจากนี้ ต้องซื้อนะครับถึงจะบอก” ผมกล่าวพลางผสมน้ำแข็ง จิน สวีทเวอร์มุธ และดรายเวอร์มุธเข้าด้วยกัน
“งั้นฉันซื้อ” ...ใช้ช้อนบาร์คนเร็ว ๆ แล้วค่อย ๆ รินใส่แก้ว
“ผมค่อนข้างมั่นใจในฝีมือคาโปเอร่าอยู่พอสมควรครับ” ประดับแก้วด้วยมะนาวฝานและเชอร์รี่ ก่อนยกเสิร์ฟให้หลิวพลางเอ่ยต่อ
“ต้องการทราบอะไรเพิ่มอีกไหมครับ”
“ไม่มีแล้วล่ะ แต่ผมจะรู้ได้ยังไงว่าข้อมูลที่ซื้อมาเป็นจริงหรือเปล่า?” เป็นไปตามที่ว่าไว้จริง ๆ ด้วย สงสัยงานนี้คงได้มีประมือกันบ้างแล้ว
“พิสูจน์ได้ครับ โปรดระบุเวลาที่ต้องการ” ผมตอบพลางคลี่ยิ้มสบาย ๆ ซึ่งหลิวก็ผิวปากหวืออย่างชอบใจ
“งั้นพรุ่งนี้ตอนเที่ยง เจอกันที่สวนสาธารณะถนน 8 ใกล้ ๆ ลานน้ำพุนะ” ชายหนุ่มว่า ก่อนแย่งแก้วค็อกเทลของหลิวมาดื่มคืนบ้างจึงค่อยลุกขึ้นยืน
“ผมขอตัวก่อน อย่ากลับเกินตีสองล่ะหลิว” ไผ่วางแก้วลงบนโต๊ะก่อนจะเดินออกจากร้านไป โดยมีเด็กหนุ่มแลบลิ้นส่งท้ายแล้วหันหน้ากลับมาพึมพำกับผม
“ก็กลับตีสองเป๊ะทุกวัน”
“พรุ่งนี้คุณจะไปด้วยใช่ไหม”
“แน่นอนอยู่แล้ว” หลิวยกเพอร์เฟ็กเวอร์มุธขึ้นกระดกหมดรวดเดียว “อยากเห็นเหมือนกันว่านายจะเก่งจริงอย่างที่พูดหรือเปล่า”
“แล้วพี่คุณล่ะ เก่งหรือเปล่า?” ผมเอ่ยถามบ้าง เด็กหนุ่มก็พลันหลุดหัวเราะออกมาก่อนจะตอบด้วยรอยยิ้มแสยะ
“เจ้านั่นยังอ่อนหัดกว่าฉันเยอะ”
-- ---------- -- ---------- -- ---------- -- ---------- -- ---------- -- ---------- -- ---------- -- ---------- -- ---------- --
“ฝากดูบ้านด้วยนะครับ” ผมหันไปบอกซาวน์ก่อนที่จะเปิดประตูรถเข้าไปนั่ง พักนี้เด็กหนุ่มเริ่มเข้ากับพวกลูก ๆ ของผมได้บ้างแล้ว แต่รู้สึกว่ายังโดนรังแกอยู่บ้างนิดหน่อย (เช่นถูกตะครุบใส่บ้าง เลียหน้าเลียตาบ้าง)
ผมเลี้ยวรถออกจากบ้านมุ่งหน้าไปยังถนน 8 ที่ตั้งของสวนสาธารณะในโซนศิลปิน ซึ่งจะเจอแผงแบกะดินขายของต่าง ๆ กลาดเกลื่อนไม่แพ้บนถนนเช่นกัน... ไม่นานผมก็มาถึงที่หมาย จอดรถไว้ด้านนอกและก็พบหลิวกำลังจะเดินเข้าไปในสวนพอดี เด็กหนุ่มยังอยู่ในชุดนักเรียน แสดงว่าโดดร่มออกมาเพื่อดูผมเลยสินะ
“อ้าว มาแล้วเหรอ” หลิวเองก็หันมาเห็นผมเช่นกัน ก่อนเจ้าตัวจะยกแขนขึ้นดูนาฬืกาข้อมือสีแดง “จะเที่ยงแล้ว พี่คงมารอแล้วล่ะมั้ง”
ผมตอบรับและเดินเข้าไปยังลานน้ำพุตามสถานที่ที่นัดไว้ พบชายหนุ่มร่างสูงโปร่งนั่งรออยู่ที่ริมลานน้ำพุ เขาอยู่ในชุดเสื้อยืดสบาย ๆ กางเกงขายาวหลวม ๆ เช่นเดียวกับผม เพื่อจะได้สะดวกต่อการเคลื่อนไหว
“ตรงต่อเวลาจริง ๆ ไม่ขาดไม่เกิน” ชายหนุ่มหัวเราะก่อนลุกขึ้นยืนสะบัดแขน “พร้อมไหม?”
“เอาแบบเจ็บจริงหรือเปล่าครับ?”
“จริงสิ แต่ไม่ต้องถึงขั้นหามโรงพยาบาลละกัน” ไผ่ว่าพลางตั้งท่าเตรียมต่อสู้ สองมือกางออกเล็กน้อยส่วนขาก็ก้าวขยับเดินรอ แสดงว่าเป็นศิลปะการต่อสู้ชนิดป้องกันตัว คงต้องเป็นฝ่ายผมที่รุกเข้าไปก่อน ลองแหย่เล่น ๆ ไปดูหน่อยละกัน
พื้นตรงส่วนนี้เป็นพื้นกระเบื้อง ถ้าล้มก็ไม่เจ็บเท่าพื้นปูน... ผมจึงถอดรองเท้าออกไปวางไว้ข้าง ๆ ขืนใช้รองเท้าหนังฟาดคงต้องมีเลือดตกยางออกกันแน่นอน
เมื่อพร้อมแล้ว ผมรุกเข้าไปยกขาวาดขึ้นสูงหมายจะเตะก้านคอ พลันข้อเท้าของผมก็ถูกคว้าเอาไว้และบิดจนร่างผมล้มลงกับพื้น ผมสะบัดปัดมือที่จับเท้าออกก่อนตีลังกาลุกขึ้นมาอีกครั้ง
เมื่อกี้นี้น่าจะเป็นไอคิโด ศิลปะป้องกันตัวเก่าแก่ของญี่ปุ่นที่เน้นการทำให้ส่วนต่าง ๆ ของคู่ต่อสู้อยู่ในท่าที่ผิดธรรมชาติ ถือว่าใจเด็ดมากที่งัดเอาไอคิโดมาสู้กับคาโปเอร่า... แต่ที่แน่ ๆ ตอนนี้เริ่มมีคนมายืนมุงดูแล้ว ไหน ๆ ก็ไหน ๆ เอาจริงเลยละกัน
ผมยันมือลงกับพื้นข้างหนึ่งแล้วเหวี่ยงขาขึ้นเตะ อีกฝ่ายก็คว้าข้อเท้าผมไว้อีกครั้ง แต่คราวนี้ผมดึงขากลับมาทันและเหวี่ยงเท้าอีกข้างเข้าเตะที่เข่าปัดให้ล้มลง หมุนตัวบนมือที่ยืนพื้นลุกขึ้นมาพร้อมเสียงโห่เชียร์ของคนรอบด้าน
ไผ่ลุกขึ้นมาตั้งหลักซึ่งผมก็หมุนตัวยกขาขึ้นเตะสลับไม่หยุด ชายหนุ่มเอียงตัวหลบไปมาแล้วยกแขนขึ้นรับขาของผม ใช้อีกมือจับข้อเท้าของผมไว้และบิดให้เสียการทรงตัว แต่ไม่ทันการผมก็หมุนตัวสุดแรงดึงขาออกมาก่อน ตีลังกาใช้เท้าเสยคางของไผ่จนกระเด็นหงายหลังออกไปอีกฝั่ง ผมกระโดดลงมายืนและเดินเข้าไปส่งมือให้
ชายหนุ่มคว้ามือของผมไว้ ฉุดลุกตัวเองขึ้นยืนแล้วบิดแขนทุ่มผมลงพื้นต่อทันที โถ่ คนอุตส่าห์เข้าไปช่วยดันหักหลังกันเสียอย่างนั้น
ผมกลิ้งหลบขาที่เตะเข้ามาและชันตัวยกเท้าขึ้นหมายจะฟาดคอของอีกฝ่าย ซึ่งก็โดนล็อคไว้อย่างจัง แต่ผมใช้เท้าอีกเท้าเตะยันอกของไผ่ให้กระเด็นถอยออกไป ต่อด้วยตีลังกาถีบขาคู่ซ้ำเข้าไปอีกครั้งจนล้มลงกับพื้น
เสียงกู่ร้องดังฮือฮาอย่างคึกคัก แต่ผมคิดว่าแค่นี้ก็คงเพียงพอสำหรับเงินค่าข่าวแล้ว จึงเดินเข้าไปหาไผ่ซึ่งกำลังยันตัวลุกขึ้นยืนพลางยิ้มให้ผม
“เก่งจริง ๆ ด้วย”
“คุณก็เก่ง” ผมเอ่ยตามตรง จับมือกับเขาเป็นอันว่าจบการดวลครั้งนี้ซึ่งก็ได้ยินเสียงร้องประท้วงให้สู้ต่อไม่หยุด แต่ผมไม่ว่างขนาดมาเต้นโชว์ใครกลางถนนแบบนี้หรอกนะ
ไผ่จ่ายค่าข่าวให้ผมตามสัญญามามากพอสมควร ก่อนจะแยกตัวไป ทิ้งหลิวที่กำลังทำหน้าซังกะตายสุดขีดไว้กับผม
“เป็นอะไรน่ะครับ?”
“อยากเห็นพวกนายสักคนแพ้เสียท่ายับเยิน แต่ดันจบแบบพระเอกทั้งคู่ซะงั้น”
เหตุผล
“คุณไปเรียนต่อเถอะ” ผมนั่งลงสวมรองเท้าก่อนจะเดินกลับไปขึ้นรถ แน่นอนว่าเด็กหนุ่มก็เดินตามผมมาแถมยังเปิดประตูรถเข้าไปนั่งโดยไม่บอกกล่าวอะไรอีกต่างหาก
“เอ่อ... ให้ผมไปส่งที่โรงเรียนใช่ไหม”
“เปล่า ไปไหนก็ได้ที่ไม่ใช่โรงเรียนกับบ้าน” ทำอย่างกับผมเป็นแท็กซี่ แล้วดูสั่งซะ... คงกลับบ้านไม่ได้แล้วสิ จะพาไปปล่อยที่ไหนดีล่ะเนี่ย
“แบบนี้นายก็เต้นเบรคแดนซ์เป็นใช่ไหมเนี่ย”
“ก็พอเป็นบ้างอยู่” เพราะเบรคแดนซ์ก็คล้าย ๆ คาโปเอร่าแค่มีท่าเยอะกว่า เวลามีงานก็เคยไปเต้นกับเขาบ้างเหมือนกัน
“เดี๋ยว ๆ จอด!” จู่ ๆ หลิวก็ร้องออกมาเสียงดังจนผมต้องเผลอหักรถเลี้ยวจอดเข้าข้างฟุตบาทกะทันหัน
“อะไรครับ?” เด็กหนุ่มไม่พูดพร่ำทำเพลงอะไร ชี้ออกไปยังด้านนอกรถซึ่งผมก็หันขวับตามไปที่ชี้ทันที... ‘แมวเหมียวขนมเค้ก’
“ฉันอยากกินเค้ก!”
จบข่าว
“ยินดีต้อนรับค่ะ” เสียงใส ๆ ดังต้อนรับทันทีที่กริ่งประตูดังขึ้น มาแล้วนึกถึงเค้กปลาทูบ้านั่นเลยแฮะ หวังว่าคงถูกกำจัดทิ้งไปแล้วนะ...
ในร้านมีเด็กหนุ่มผิวแทนกับเด็กผู้หญิงผมสีทอง คล้าย ๆ เด็กผู้ชายอยู่ด้วย ไม่ใช่ลูกค้าเพราะมีผ้ากันเปื้อนผูกอยู่ คงเป็นเด็กเสิร์ฟล่ะมั้ง แต่ไม่ยักจะเห็นแวมไพร์สาวคนนั้นแฮะ
หลิวเดินเข้าไปสั่ง ๆ และสั่งก่อนเดินมานั่งโต๊ะ ซึ่งพนันไว้ได้เลยว่าผมต้องโดนควักกระเป๋าเลี้ยงเจ้าตัวชัวร์ ๆ เผ่นออกไปตอนนี้ทันมั้ยเนี่ย
“คิดไงอยากกินเนี่ย”
“มันบอกกันมาว่าร้านนี้อร่อย” หลิวตอบพลางเหลือบไปมองเด็กหญิงที่ยืนคุยกับคุณแมวอยู่ “คนนั้นน่ารักดี”
“จะจีบเหรอครับ” เด็กหนุ่มเท้าคางหัวเราะหึ ๆ แทนคำตอบ ไม่นานเด็กหญิงคนนั้นก็ยกเค้กมาเสิร์ฟ หลิวรับจานมาช่วยวางบนโต๊ะพร้อมเปิดบทสนทนา
“ทำงานที่นี่มานานยังเหรอ?”
“ก็ไม่นาน” เด็กคนนั้นตอบพลางวางแก้วชาลงด้านหน้าผม
“เงินดีไหม?”
“ก็ดี” เอ่ยห้วน ๆ แล้วเดินหลีกกลับไปยืนที่เดิม เด็กหนุ่มมองตามยิ้ม ๆ ก่อนหันกลับมาหยิบช้อนตักชิฟฟอนเค้กใส่ปาก
“ดูท่าจะยากหน่อยแฮะ” หลิวดันเค้กทีรามิสุมาให้ผมจานหนึ่ง “ว่าไป เมื่อกี้นายชนะพี่ฉันนี่”
“พี่คุณเป็นอย่างอื่นนอกจากนี้อีกหรือเปล่า?”
“ก็มีปืนเก็บไว้อยู่” เด็กหนุ่มเอื้อมมาตักทีรามิสุของผมไปเข้าปากเคี้ยวตุ่ย ๆ แล้วพูดต่อ “มันเรียนยิงปืนน่ะ นายมีอะไรติดตัวบ้างเปล่าล่ะ?”
“ผมก็มีปืนอยู่เหมือนกัน” แต่ไม่จำเป็นเท่าไหร่ นอกจากมันจะมากันเยอะถึงจะควักออกมาใช้สักที
“โอ๊ะ อยากเห็นพวกนายดวลปืนกันแฮะ” หลิวว่าหน้าตาตื่นเต้น หมอนี่เห็นผมกับพี่ชายเป็นของเล่นไปแล้วสินะ
“ผมไม่เก่งหรอกครับ” ตอบปัด ๆ พลางตักเค้กกินทีเดียวหมดคำ รอให้อีกคนกินหมดแล้วรีบลุกขึ้นไปจ่ายเงินไม่รอให้สั่งเพิ่ม หญิงสาวเอ่ยบอกราคาแล้วรับเงินจากผม เลยสังเกตเห็นว่าแขนซ้ายของหล่อนมีพันผ้าก็อตเป็นแนวยาวเกือบครึ่งแขน ผมจึงเอ่ยถามไปตามมารยาท
“โดนอะไรมาเหรอครับ”
“อ๊ะ ก...ก็มีดบาดน่ะ” โกหกไม่เนียนเท่าไหร่ พอสบตาด้วยจึงรู้ว่ากรีดแขนเพื่อเอาเลือดให้เซร่าดื่มไปก่อน
“แล้วเซร่าไปไหนเหรอครับ”
“ป่วยอยู่ค่ะ จะไปเยี่ยมไหมคะ” ผมตอบตกลงไป หล่อนจึงพาผมขึ้นไปชั้นบน เปิดประตูก็เห็นแวมไพร์สาวนอนเล่นอยู่บนเตียง พอเห็นผมเดินเข้ามาก็เด้งตัวลุกขึ้นนั่งทันที
“น... นายมาได้ไงเนี่ย” หน้าซีด ๆ พลันขึ้นสีแดงจัดชัดเจน... เอ่อ เป็นคนดูง่ายชะมัดเลยแฮะ
“ขึ้นมาดูคนป่วยไงครับ” ผมตอบยิ้ม ๆ ซึ่งเจ้าหล่อนก็รีบเบือนหน้าหนี
“ถ้ารู้ว่าป่วย... ก็อย่ามากวนสิ” เมื่อได้ยินดังนั้นผมจึงแกล้งหันหลังเดินออกจากห้อง เซร่าก็รีบเอ่ยรั้งไว้ทันที “ด... เดี๋ยวสิ ไปงี้เลยเหรอ”
“มีอะไรล่ะ?”
“ม...ไม่มีอะไร จะไปไหนก็ไปเลยไป” หญิงสาวไล่เสียงอ่อนด้วยตาหงอย ๆ แบบนี้ไม่ต้องอ่านตาก็รู้เรื่องหมดทุกอย่างแล้ว
“แล้วเป็นอะไรล่ะ” ผมตบด้วยรอยยิ้มพิฆาตพอจะทำให้คนถูกถามอ้ำอึ้งไปได้ เพราะรู้ว่าจริง ๆ แล้วหล่อนไม่ได้ป่วยหรอก แค่ขาดเลือดเท่านั้น
“...เอ่อ ฉันจะนอนแล้ว!” เซร่าตัดบทก่อนดึงผ้ามาคลุมโปง เรียกเสียงหัวเราะเบา ๆ จากผม แกล้งแค่นี้ก็พอแล้วมั้ง อ้อ... อีกสักนิด ผมเดินไปใกล้เตียงแล้วโน้มหน้าไปกระซิบเบา ๆ ข้างหูของเธอ
“ไว้วันหลังผมจะซื้อเลือดมาฝาก จะได้ไม่ต้องหิวโซจนต้องขโมยเลือดเพื่อนแบบนี้” ว่าจบแล้วรีบเดินออกจากห้องไป มีลางว่าจะต้องได้เจอกับแวมไพร์สาวคนนี้อีกเยอะแฮะ
เมื่อเดินลงมาก็ไม่พบร่างหลิวแล้ว คงกลับไปแล้วล่ะมั้ง แต่ผมก็ดีใจได้ไม่นานเพราะพอเดินไปถึงรถก็พบว่า...
หลิวอยู่บนรถผมแล้ว แถม... อยู่ฝั่งที่นั่งคนขับเสียด้วย ผมเปิดประตูเข้าไปนั่งอีกข้างอย่างงง ๆ แต่ไม่ทันจะเอ่ยถาม เด็กหนุ่มก็หยิบกุญแจรถขึ้นมาควงโชว์
“เดี๋ยวฉันขับเอง รัดเข็มขัดซะ” เอ่อ... งานเข้าสุดยอดแล้ว เอากุญแจรถผมไปตอนไหนล่ะเนี่ย!?
หลิวไม่รอให้ผมประท้วง เสียบกุญแจแล้วบิดสตาร์ทเครื่องก่อนถอยออกจากที่จอดอย่างคล่องแคล่ว แล้วกระทืบคันเร่งแรง ๆ จนรถพุ่งปาดหน้าคันที่กำลังวิ่งมาเฉียดฉิว
“เฮ้ย! คุณยังไม่มีใบขับขี่นะ”
“แล้วไงล่ะ” เด็กหนุ่มหัวเราะหึ ๆ แล้วบิดพวงมาลัยเลี้ยวเข้าแยกผ่าไฟเหลือง “อย่าให้โดนจับได้สิ ตำรวจเรียกก็เผ่นซะสิ้นเรื่อง”
พูดจบก็ขับเฉี่ยวไปเฉี่ยวมาให้ผมเสียวไส้เล่น นั่งรถที่หลิวขับแบบนี้สู้เปิดประตูกลิ้งลงไปให้รถเหยียบดีกว่าอีกมั้งเนี่ย ขับเองยังไม่รู้สึกอยากตายขนาดนี้
“จะไปไหนครับ”
“ไปบาร์นายไง สามโมงกว่าแล้วนี่” หลิวว่าก่อนจะเหยียบเบรกจอดเตรียมเลี้ยวยูเทิร์น “เออ เด็กคนเมื่อกี้ชื่ออลิสล่ะ กว่าจะยอมบอกชื่อต้องตามตื๊อตั้งหลายที”
“อ๋อเหรอครับ...” ผมตอบรับไปเนือย ๆ พลางตั้งตาขอพรคุ้มครองจากพระเจ้า ก่อนเด็กหนุ่มจะเหยียบคันเร่ง หมุนพวงมาลัยเลี้ยวกลับรถปาดหน้าชาวบ้านอย่างโหดเหี้ยม
สาบานว่าถึงผมจะชอบขับรถเร็ว แต่ก็ไม่เคยทำอะไรเสี่ยงตายเท่าเจ้าเด็กอายุสิบหกตรงหน้าเท่านี้เลยนะ
ไม่นานผมก็มาถึงบาร์โดนสวัสดิภาพและยังอยู่ครบสามสิบสอง... เอาล่ะ
ได้เวลาทำงานสักที ว่าแต่เจ้าหลิวมันว่างมากนักหรือไงนะ ถึงมีเวลามาตามติดชีวิตบาร์เทนเดอร์ทุกวันแบบนี้
ผมเข้าไปจัดร้านเตรียมข้าวของ ผสมค็อกเทลมั่ว ๆ กลายเป็นเคียร์รอยัลเอาเสิร์ฟให้หลิว ปล่อยให้เจ้าตัวนั่งจิบของฟรีวาดรูปอย่างสบายอารมณ์ไป
“ว่าไงศรัณย์” พลันเสียงหนึ่งดังขึ้นทักทายจากด้านหลัง พอหันไปก็พบกับร่างเด็กหนุ่มผมสีดำยิ้มกวน ๆ ให้ คุณเชสเซอร์นั่นเอง ก่อนเขาจะแอบยกนิ้วชี้ ๆ ไปทางหลิว
“เด็กนายสินะ”
“... ครับ” จะตอบไปว่าเป็นผู้ติดตามทำสารคดีเกี่ยวกับบาร์เทนเดอร์ดีไหมนะ
“เออใช่ ฉันว่าจะจัดงานสักหน่อยน่ะ ครบรอบวันเกิดร้านนี้” คุณเชสเซอร์ว่าพลางส่องสายตามองไปรอบ ๆ ร้านเหมือนหาอะไรอยู่ “ซาวน์ยังไม่มางั้นเหรอ”
“เดี๋ยวก็มาตามเวลา มีอะไรเหรอครับ” เวลาเดียวกันที่หลิวเดินเข้ามาหาพอดี จึงได้ยินคำตอบเต็ม ๆ รูหูทั้งสองคนพร้อมกัน
“ว่าจะให้ซาวน์ช่วยแต่งหญิงสักหน่อยน่ะ!”
ความคิดเห็น