คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #5 : แชมเปญแก้วที่ IV
แชมเปญแก้วที่ IV
วันอาทิตย์
ผมกับหลิวลงจากรถและมุ่งหน้าเข้าไปในแจ็คกี้ไลฟ์เฮ้าส์ซึ่งอยู่แถวย่านศิลปิน ซึ่งมาถึงก่อนเริ่มแสดงประมาณสิบนาที แต่ถึงอย่างนั้นคนก็เริ่มคึกคักแล้ว
“โห ขนาดออกอัลบั้มแค่แป้บเดียว แฟนคลับเยอะขนาดนี้เชียว” เด็กหนุ่มว่าพลางส่องสายตาไปรอบ ๆ งาน หลิวอยู่ในชุดเสื้อฮู้ดลายวง Alesana สีเทาแขนยาวตัวหลวม ๆ เข้ากับกางเกงยีนส์ขาเดฟกับรองเท้าผ้าใบสีขาวเพ้นท์ลาย ปากดูดชาเขียวน้ำผึ้งมะนาวอย่างสบายใจ ดูสมเป็นวัยรุ่นชิลล์ ๆ ดีเหลือเกิน
ผมตัดสินใจออกมายืนด้านหลังสุดของห้อง แล้วก็พบพวกที่ออกมายืนติสต์ด้านหลังเหมือนกันอยู่คนหนึ่ง ซึ่งไม่ใช่ใครที่ไหนไกล...
“เฮ้ย ไอ้เกรียนกร”
“อ้าว ไอ้กากรัณย์” คนถูกทักตอบรับทันควัน มันเป็นเพื่อนซี้ซึ่งเกือบ ๆ จะเป็นคู่ปรับกันตอนมัธยม เพราะไม่ว่าจะเรื่องหน้าตา การเรียน ดนตรี นิสัย ความนิยมหรืออะไรก็สูสีไม่กินเส้นกันมาหมดตลอด ซึ่งตอนนี้ในหัวมันกำลังด่าผมตามประสาเพื่อน ไม่ต่างไปจากเมื่อตอนสนิทกันก่อนเท่าไหร่เลย
“เออ มึงมาไงเนี่ย” ไอ้กรเอ่ยถามพลางมองข้ามมาที่หลิว “พาเด็กที่ไหนมาล่ะนั่น”
“มึงก็เหมือนกันเถอะ” ผมจึงเหล่สายตาไปที่เด็กผู้ชายผมสีเงินสวมหมวกแก๊ปที่ยืนอยู่ข้าง ๆ มันบ้าง สีมีตั้งเยอะแยะดันทำสีเงินสีหงอก ประหลาดดีจริง ๆ
“ลูก” มันตอบสั้น ๆ เรียกให้ผมเงยหน้าไปสบตา ความจริงคือเป็นเด็กที่ไม่รู้ที่มาที่ไป แล้วก็ไม่รู้จะตอบผมยังไงสินะ อย่างนี้ก็หมายถึงกลับมาร่วมชะตาเดียวกับกับผมอีกแล้ว
“เออ งั้นนี่ก็ลูกกูเหมือนกัน” ผมตอบกวน ๆ กลับไปบ้าง เรียกเสียงหัวเราะคิกคักจากหลิว
“เนอะ ปะป๊า” ลูกชายจำเป็นรับมุกพลางเข้ามาเกาะชายเสื้อผม แล้วทำเสียงอ้อน “แล้วมะม๊าอยู่ไหนแล้วล่ะ”
ผมแอบคิ้วกระตุกเล็กน้อยก่อนจะยิ้มแสยะให้หลิว ซึ่งเด็กหนุ่มก็แลบลิ้นให้อย่างกวน ๆ ก่อนจะเอ่ยขอไปหน้าเวที ผมพยักหน้ารับตกลงก่อนไอ้กรจะเอ่ยแทรกขึ้นมา
“นี่มึงเหมือนกูหมดจดเลยนะไอ้รัณย์” ก็ตามนั้นจริง ๆ นั่นแหละ ผมหัวเราะหึ ๆ ในลำคอก่อนจะเบือนสายตามองไปรอบ ๆ งาน เหลืออีกไม่กี่นาทีแล้วสินะ... ก่อนสายตาผมจะไปสะดุดเข้ากับหัวฟู ๆ หัวหนึ่ง ซึ่งไม่ใช่ใครที่ไหนไกล ไอ้เด็กเวรที่เคยชนผมบนถนนตอนนั้นนั่นเอง ทรงแอฟโฟร่มันยังจี๊ดจ๊าดได้ใจเหมือนเคยไม่ต่างจากเมื่อวาน เพียงแค่วันนี้มีผ้าพันแผลพันมาเต็มมือด้วย คงไปกวนส้นเท้าชาวบ้านจนโดนเล่นมาล่ะมั้ง
ไม่นานวง Crackup กับการรอคอยของหลายคนก็มาถึง ประเดิมด้วยเพลงร็อคหนัก ๆ ให้คนดิ้นกันกระจายตั้งแต่เริ่ม ผมอาศัยความสูงของชั้นที่ยืนอยู่สังเกตมือกลอง ใส่ถุงกระดาษเล่นจริง ๆ ด้วย แต่ตีกลองแน่นมากจนน่าคิดว่าอาจจะเป็นชายมากกว่าหญิง
ผมยืนคุยกับกรถามสารพัดทุกข์สุขดิบไปเรื่อยเปื่อยฆ่าเวลา จริง ๆ วงนี้ถือว่าดีเลยทีเดียว แต่ผมยังติดชอบฟังเพลงฝรั่งมากกว่าอยู่ดี
“อ้าว นายนี่” เสียงทักดังสะกิดให้ผมหันหลังไปดู
“เอ่อ สวัสดีครับ” คิดว่าใครที่ไหน ที่แท้ก็แวมไพร์สาวเจ้าคนนั้นนั่นเอง แถมมากับคุณแมวคนเดิมที่เคยเจอในร้านเค้กนั่น พลันภาพหลอนติดตาของเค้กปลาทูก็ประทุขึ้นมาในสมองทันที
“เออ เค้กที่ซื้อไปเป็นไงมั่ง อร่อยไหม” เจ้าหล่อนถามด้วยสายตาที่ไม่ต้องอ่านใจก็รู้ว่า... ถ้าตอบไม่เข้าหูล่ะก็ตายแน่ ๆ
“อร่อยมากเลยครับ” ผมตอบตามตรง ซึ่งแค่นั้นก็ทำให้ใบหน้าของแมวสาวที่ยืนด้านหลังนั่นขึ้นสีขึ้นมาได้เลย แต่ด้วยที่เธอไม่ยอมสบตากับผมจึงไม่สามารถอ่านใจตอนนั้นได้
“ถ้างั้นไปที่ร้านบ่อย ๆ ล่ะ!” ต่อด้วยความคิดชั่วร้ายด้านในว่า ‘คราวนี้จะยัดเค้กรสปลากลับบ้านไปให้ได้เลย’
“ครับ” ผมรับคำไปพร้อมยิ้มฝืน ๆ ต้องระมัดระวังตัวเป็นพิเศษแล้วล่ะ ไม่งั้นไอ้เค้กปลาทูนั่นอาจกลายมาเป็นสมบัติของผมจริง ๆ ก็ได้
“เออ ฉันจะไปฝั่งนู้นแล้วนะ ว่าแต่นายชื่ออะไรงั้นเหรอ” แวมไพร์สาวหันกลับมาถามผมอีกรอบ ผมจึงเอ่ยตอบไป หล่อนถึงบอกชื่อตัวเองคืน “ฉันชื่อเซร่า ส่วนยัยนี่ชื่อแมว ไว้เจอกันใหม่นะ”
“ครับ” ผมยิ้มส่งลาให้ ก่อนไอ้กรจะเดินเข้ามาเอาศอกกระทุ้งผม
“สาวมาจีบถึงที่เหมือนเดิมเลยนะมึง”
หนึ่งชั่วผ่านไป ผมใช้เวลาส่วนใหญ่การสำรวจมือกลองคนนั้นจนกระทั่งคอนเสิร์ตจบลง คนถึงทยอยพากันออกจากไลฟ์เฮ้าส์ด้วยความคึกคักไม่เปลี่ยน วัยรุ่นนี่แรงดีกันจริง ๆ เลยแฮะ... ส่วนหลิวก็ค่อย ๆ เบียดตามออกมาจนถึงผม ด้วยสภาพเหงื่อเกาะเต็มหน้า
“สนุกที่ได้ดิ้นนี่แหละ” เด็กหนุ่มหัวเราะ ใบหน้าขาวขึ้นสีแดงเรื่อนิด ๆ “เออ เดี๋ยวฉันไปเข้าห้องน้ำก่อนนะ”
ผมพยักหน้ารับอีกครั้ง ก่อนบอกลากับไอ้กรแล้วเริ่มมองหาวิธีการสืบเจ้าหัวถุงนั่น เคยได้ยินข่าวมาว่าร้าน ๆ นี้มีทางออกทางอื่นนอกจากประตูหลัง นั่นคือประตูลับที่เชื่อมไปออกถนนอยู่ สำหรับนักดนตรีที่ต้องการความเป็นส่วนตัวสูงมาก เพราะว่าแฟนคลับมักจะชอบไปดักรอบริเวณประตูหลังของไลฟ์เฮ้าส์เสมอ
เหลือแค่ว่ามันอยู่ตรงไหน แล้วจะเข้าไปยังไงน่ะสิ... ไม่นานหลิวก็กลับมา สังเกตจากหยดน้ำที่ยังเกาะพราวเต็มใบหน้าและเส้นผม คงไปล้างหน้าล้างตามา
“แล้วไงต่อ” เด็กหนุ่มถามพลางส่องสายตาไปยังเวทีที่มีคนอยู่สองถึงสามคนทยอยเก็บข้าวของ ผมจึงตัดสินใจเดินไปยังเวทีก่อนจะเรียกพนักงานคนหนึ่งมา
“ขอโทษนะน้อง” เด็กที่ถูกเรียกเลิกต่อสายลำโพงก่อนเดินมาหาผมอย่างสงสัย
“มีอะไรครับ”
“ทางออกของตึกนี่มันมีทั้งหมดกื่ทางเหรอ?” ผมถามพร้อมสบตากับเขา และได้ความคิดมาตามที่คาดไว้นั่นคือ ‘จะรู้ไปทำไมวะ’
“หลายทางอยู่น่ะครับ มีอะไรให้ช่วยหรือเปล่าพี่?”
“แล้วพวกนักดนตรีเขาออกทางไหนกันเหรอ?” ผมถามต่อแล้วได้คำตอบจากการอ่านใจมาว่า ‘ก็ประตูหลังไง จะให้ไปออกประตูหน้ากับชาวบ้านเรอะ’
ผมไม่ถือสากับความคิดกวน ๆ พวกนี้หรอกครับ มันเป็นเรื่องปกติ ย้ำว่าปกติจริง ๆ นะ
“ประตูหลังครับ”
“แล้วประตูหลังอยู่ที่ไหนเหรอครับ” คำตอบในความคิดมีเพียงแค่ ‘ใครจะไปบอกกัน’ แต่ผมอาศัยการที่จ้องตากับเด็กคนนี้นาน ๆ ล้วงความคิดในสมองส่วนลึกออกมาได้เป็นคำตอบอันสมบูรณ์แบบ
“บอกไม่ได้ครับ” เด็กคนนั้นตอบซึ่งผมก็ทำเป็นพยักหน้ารับอย่างเข้าใจ
เดินเข้าไปในห้องแต่งตัว แล้วเข้าไปในห้องเก็บของจะมีประตูลับอยู่ด้านในสุดสินะ
ดูไม่ค่อยลึกเท่าไหร่ ปัญหาเหลือแค่ผมจะเข้าไปที่ห้องแต่งตัวยังไง
“หาทางได้แล้วสินะ” หลิวเอ่ยทักหลังจากเด็กคนนั้นหันหลังเดินออกไปแล้ว “อ่านใจได้นี่ดีชะมัดเลย”
ผมไม่มีหน้าจะไปปฏิเสธอะไรครับ เพราะคิดคำแก้ตัวไม่ออกแล้ว คงได้แต่ปล่อยให้เขารู้เรื่องไปแบบนั้น... แค่รู้สักคนมันคงไม่มีปัญหาอะไรหรอกมั้ง?
ทางเข้าห้องแต่งตัวอยู่ด้านข้างของเวที ผมจึงดักรอให้พวกเขาเก็บของให้หมดซึ่งเป็นเวลาไม่นานเท่าไหร่ จึงค่อยลอบตามเข้าไปด้านใน มองซ้ายมองขวาไม่เจอใครจึงเดินลงบันไดลงไปอีกชั้น แต่ว่ากลับมีคนอยู่จึงต้องถอยขึ้นมาบนชั้นบันไดก่อน
“มีคนอยู่เหรอ” หลิวชะโงกคอแอบดูก่อนจะหันมากระซิบกับผม “เดี๋ยวฉันล่อให้เอง แล้วนายเข้าไปในห้องนะ”
“อ้าว แล้วคุณ...”
“เดี๋ยวฉันตามเข้าไปน่า พวกนั้นคงกลับกันหมดแล้วใช่ไหม?”
“น่าจะใช่นะครับ” เพราะกว่าเราจะตามเข้ามาก็เป็นเวลานานอยู่พอสมควรแล้ว “ผมว่าประตูลับมันก็น่าจะล็อค คน ๆ นั้นอาจจะมีกุญแจ ทางที่ดีให้ผม...”
“เดี๋ยวฉันจัดการเอง” เด็กหนุ่มเอ่ยขัดขึ้นมาก่อนจะยิ้มอย่างมั่นใจ
“แต่ว่า”
“คอยดูเถอะน่า” หลิวตัดบทก่อนจะเดินลงบันไดไป ผมแอบชะเง้อมองร่างเล็กยืนคุยกับชายคนนั้นพักหนึ่ง ก่อนเขาจะเดินนำหลิวออกห่างจากประตูไปที่ไหนสักแห่ง เป็นการเปิดช่องทางให้ผมเข้าไปด้านใน
ผมมองรอบด้านอีกครั้งว่าไม่มีใครอยู่จึงรีบเปิดประตูห้องแต่งตัวเข้าไป ไม่มีใครอยู่ตามที่คาดจริง ๆ ผมจึงเดินเข้าไปในห้องเก็บของและเดินมองหาประตูลับที่ว่านั้น ก่อนพบอยู่ด้านในสุดของห้องและมีตู้ใหญ่ ๆ วางบังสายตาอยู่... ผมยืนรอหลิวสักพักเจ้าตัวก็ตามเข้ามาในห้องพร้อมยื่นพวงกุญแจให้
“ทำได้ยังไงน่ะครับ?” ผมเอ่ยถามวิธีการหลอกล่อของเด็กหนุ่มทันที ซึ่งหลิวทำเพียงแค่ยิ้มแยกเขี้ยวให้แทนคำตอบ แถมความคิดยังมีแต่คำว่า ‘ไม่บอก’ อีกต่างหาก
ผมจึงต้องตัดใจ นำกุญแจมาไขเปิดประตูลับเข้าไปก่อนจะเจอกับบันไดลงไปด้านล่าง ซึ่งเป็นทางยาว ๆ และน่าจะอยู่ใต้ดินเพราะแคบและไม่มีหน้าต่างหรืออะไรเลย สุดปลายห้องน่าจะไปโผล่ที่ไหนสักแห่งอีกที่หนึ่ง
“นี่ศรัณย์ ทำไมนายถึงอ่านใจได้เหรอ” ระหว่างทางเด็กหนุ่มก็เปิดบทสนทนาขึ้นมา แถมเป็นคำถามที่ผมหนักใจอยู่พอสมควร จะให้ยอมรับไปเลยมันก็ยาก แต่มาถึงขนาดนี้แล้วจะปิดบังไปก็ไม่ได้อะไรขึ้นมาอยู่ดี...
“มันเป็นศาสตร์ที่คุณปู่สอนผมมาตั้งแต่เด็กน่ะครับ” ในที่สุดผมก็เอ่ยบอกไปจนได้ แต่หลิวไม่ได้มีท่าทีตกใจอะไรหนำซ้ำ ยังหันมามองด้วยความสนใจอีกต่างหาก
“แล้วนายสอนคนอื่นได้ไหม?”
“ได้ครับ” ถึงไม่ต้องสบตาก็รู้อีกแล้วว่าตอนนี้หลิวกำลังคิดให้ผมทำอะไร...
“งั้นสอนฉันหน่อยสิ!”
“ไม่ได้ครับ”
“ทำไมล่ะ” เด็กหนุ่มหน้าเบ้ทันที “งกเหรอ”
“ผมไม่อยากสืบทอดศาสตร์นี้ครับ อยากให้มันจบลงในยุคของผมนี่แหละ” ผมให้เหตุผลไปซึ่งดูเหมือนไม่เป็นที่พอใจสำหรับหลิวเท่าไหร่นัก
“แล้วมันไม่ดียังไง”
“การไปก้าวก่าวความคิดส่วนตัวของคนอื่นมันไม่ดีน่ะครับ”
“โห่ อย่ามาทำเป็นพระเอกหน่อยเลย” เด็กหนุ่มชกแขนผมอย่างหมั่นไส้ หลังจากนั้นหลิวก็เปลี่ยนเรื่องคุยไปเรื่อยเปื่อยจนกระทั่งสุดทางที่เป็นบันไดขึ้นไป และมีประตูซึ่งล็อคเอาไว้ ผมใช้พวกกุญแจเดียวกันไขเปิดประตูออกและพบว่ามันไปโผล่ที่ ๆ หนึ่งซึ่งจะดูเหมือนว่าเป็น...
ร้านอาหารแฮะ
ซึ่งเป็นห้องเก็บของเช่นกัน ผมจึงหาโอกาสออกมาจากหลังร้านโดยไม่ให้ใครสังเกตเห็น และจัดการหลอกถามเจ้าของร้านเพื่ออ่านใจเอาข้อมูล... จึงได้ข่าวมาว่าเจ้าหัวถุงนั่นจะใช้เส้นทางลับออกมาที่นี่เป็นประจำคนเดียว และมักเรียกแท็กซี่ให้รอรับไว้แล้วเสมอ
สุดท้ายการสืบของผมจบลงเพียงเท่านี้ เพราะไม่อาจหาเบาะแสต่อได้แล้ว... คงต้องรอโอกาสหน้าที่จะได้ข่าวของเจ้าหัวถุงนี่อีกครั้ง...
ผมขับรถไปส่งหลิวที่บ้าน พบว่าจริง ๆ แล้วเขาอาศัยอยู่คอนโดกับพี่ชายเท่านั้น มิน่าถึงดูฟรี ๆ ตลอดเวลา
“พี่ชายคุณอายุเท่าไหร่เหรอครับ” ผมเถามขัดจังหวะขณะหลิวกำลังจัดการโฆษณาพี่ชายของตนไม่หยุด
“น่าจะเท่านายมั้ง”
“ยี่สิบแปด?”
“หา!” ทันใดนั้นเขาก็หันมาอุทานลั่น หันมามองหน้าผมอย่างตกใจ “นายอายุยี่สิบแปดแล้วเหรอ?”
“ครับ...” ผมไม่แปลกใจเท่าไหร่เพราะมีคนมักทักว่าผมหน้าเด็กเหมือนอายุแค่นี่ยิบสิบต้น ๆ เสมอ แต่ว่า...
“นายหน้าเด็กชะมัดเลย ความคิดด้วย” คำเสริมมันชักเริ่มไม่ชอบมาพากลแล้ว... “แต่ฉันชอบนะ เหมือนคุยกับเด็กวัยเดียวกันเลย”
สรุปผมกำลังโดนหลอกด่าอยู่สินะ...
พระเจ้าครับ!
-- ---------- -- ---------- -- ---------- -- ---------- -- ---------- -- ---------- -- ---------- -- ---------- -- ---------- --
วันนี้เป็นวันจันทร์ ผมต้องมาทำงานเป็นปกติอีกแล้ว
ให้ตายสิ เบื่อวันจันทร์จริงเลย
นี่ก็สามทุ่มแล้ว หลิวกับซาวน์ยังไม่มาบาร์เลยทั้งคู่ ไม่รู้ว่ามีอะไรหรือเปล่า...
ว่าแต่สงสัยผมคงต้องรีบหาธีมเรื่องของตัวเองเสียหน่อยแล้ว มันชักจะเรื่อย ๆ เอื่อย ๆ เกินไปแล้วล่ะ แย่ชะมัด แต่ทว่าขณะที่ผมกำลังคิดวิธีหาพล็อตเรื่องหลักของตัวเองบ้างยู่นั้น...
ร่างของเด็กหนุ่มคนหนึ่งก็กระโดดขึ้นมานั่งบนเก้าอี้บาร์ ผมสีดำซึ่งยาวลงมาปรกตาข้างขวายังคงเป็นเอกลักษณ์ของเขาเหมือนเคย คุณเชสเซอร์นั่นเอง
“มีอะไรเหรอครับ?” ผมเอ่ยถามธุระทันที เพราะรู้ว่าเขาคงไม่ถ่อลงมาแค่หาอะไรดื่มแน่นอน แต่เจ้าตัวยังไม่ตอบอะไร ฟุบหน้าลงกับเคาน์เตอร์บาร์แล้วยืดตัวยาว จิ้มสุ่ม ๆ ไปที่แผ่นเมนูโดยไม่ดู คราวนี้โดนบลูลากูนแฮะ
“จะบอกว่าช่วงนี้มีองค์มาตามล่านายอีกแล้วนะ” ผมพยักหน้ารับเบา ๆ อย่างไม่ค่อยสนใจเท่าไรนัก เพราะตั้งแต่ทำงานขายความลับมาก็มีคนตามเกี่ยวหัวผมไม่ขาดช่วง ซึ่งมันไม่ครณามือออะไรเท่าใดนัก
“แต่นี่เป็นองค์กรใหญ่นา...” คุณเชสเซอร์เสริมต่อ เหลือบตาจ้องผมเทบลูคูราโซ่ผสมกับน้ำโทนิคใส่แก้วพลางบ่นพึมพำต่อ “อ้อ... ระวังเจ้าเด็กที่ชื่อซาวน์ไว้ด้วยนะ”
“หืม ยังไงเหรอครับ?” ผมขมวดคิ้วอย่างสงสัย หยิบหลอดดูดใส่ลงไปในแก้วแล้วยกให้เด็กหนุ่ม
“ก็... ดูเหมือนว่าน่าจะเป็นเหมือน ๆ กับฉัน” เขาวาดยิ้มที่ตีความไม่ได้บนใบหน้า รับบลูลากูนจากผมแล้วกระโดดลงจากเก้าอี้บาร์เดินเข้าหลังร้านไป ทิ้งให้ผมอยู่กับความงุนงงเพียงพักเดียว
[ I stand alone. I'm on my own. My hands will bleed. My hands will bleed!! I’m holding on to
]
เสียงริงโทนมือถือพลันดังลั่นขึ้นมาจนลูกค้าผมสะดุ้ง ผมรีบกล่าวขอโทษก่อนหยิบขึ้นมากดรับ ครั้งนี้ลืมเปิดสั่นเอาไว้แฮะ เสียมารยาทจริง ๆ เลยผม หน้าจอมือถือปรากฎชื่อของหลิวโทรเข้ามา
“ครับ?”
‘ศรัณย์! ซาวน์โดนลักพาตัว’
“อะไรนะครับ?”
‘ซาวน์โดนลักพาตัว ฉันเห็นเขาเดินอยู่ดี ๆ ก็มีรถตู้ขับตามา แล้วก็มีคนลงมาเอาโปะยาอุ้มขึ้นไปเลย ตอนนี้ฉันอยูที่ถนน 4 โซนศิลปิน...’
“ผมจะไปหาเดี๋ยวนี้ล่ะ รอสักครู่นะ” ผมกดวางสายก่อนขออนุญาตลูกค้า แล้วออกไปขึ้นรถทันที โดนลักพาตัวเนี่ยนะ จะโดนไปทำอะไร ขาย? เรียกค่าไถ่? แล้วทำไมต้องเป็นซาวน์
สงสัยการหาธีมหลักของเรื่องผมคงต้องทิ้งไปก่อนแล้วล่ะ
ไม่นานผมก็เหยียบเต็มสปีดมาถึงถนนที่ว่า พบหลิวยืนโทรศัพท์อยู่ เมื่อเด็กหนุ่มเห็นผมก็รีบโดดเข้ามาในรถทันทีโดยที่ยังจอดไม่ทันสนิทด้วยซ้ำ
“เป็นรถตู้สีขาวมีแถบน้ำงิน หมายเลขทะเบียบ อล487 เพิ่งขับตรงไปทางถนน 4 ครับ” เขาพูดใส่โทรศัพท์ซึ่งทำให้ผมได้ยินด้วย จึงรีบเหยียบคันเร่งขับตรงไปตามถนนทันที
“ฉันโทรแจ้งตำรวจแล้ว เราก็รีบหาด้วยเถอะ” เด็กหนุ่มเอ่ยกับผมหลังวางสาย ถือว่ามีสติมากในสถานการณ์แบบนี้ ผมขับแซงปาดหน้ารถบนถนนประเภทตำรวจเห็นต้องเรียก ขณะที่คนนั่งอย่างหลิวดันผิวปากออกมาอย่างชอบใจแทนเสียอย่างนั้น
“ศรัณย์ จะไฟแดงแล้ว เหยียบมิดเลย!!” สัญญาณไฟจราจรแยกด้านหน้าเหลือไฟเขียวแค่สามวิ บวกกับไฟเหลืองเป็นหกวิ เหลือเฟือ!
ผมกระทืบคันเร่งปาดหน้ารถแท็กซี่เลี้ยวตัดหน้ารถอีกคันเบนเข้าไปในถนนที่ 5 ซึ่งพอจะเรียกเสียงบีบแตรไล่มาด้านหลังได้ ส่วนหลิวก็ดันหัวเราะชอบใจอีก
“เยี่ยม ๆ ๆ ฉันอยากขับรถแบบนี้มานานแล้ว”
เอ่อ... มันไม่ใช่เวลามาสนุกนะครับ...
แต่จู่ ๆ ก็มีรถมอเตอร์ไซด์คันหนึ่งขับเฉี่ยวหน้ารถผมจนต้องหยุดเบรกกะทันหัน ผมกะจะขับต่อไม่สนใจแต่ทว่าดันมีขบวนรถมอเตอร์ไซด์มาจอดขวางไว้สี่ถึงห้าคัน ผมจึงต้องผลักประตูรถออกมาอย่างหัวเสีย
ส่วนเจ้าคันที่ปาดหน้าผมไปก็วกรถเลี้ยวกลับมา แอฟโฟร่พลันปรากฏแก่สายตาทันที... ไอ้เด็กนั่นอีกแล้ว!
“เฮ้ย จะรีบขับไป... อ้าว พี่คนเมื่อวันก่อนนี่” ไอ้เด็กนั่นเดินมาจ้องหน้าผม ก่อนจะมีคนมายืนให้ท้ายข้างหลังเป็นกลุ่ม พวกนักเลงสินะ
“ผมกำลังรีบ หลีกทางให้หน่อย” ผมเอ่ยปัด ๆ ก่อนจะมีเสียงตอบมาจากพวกลูกน้องของมัน
“เฮ้ย แม่งกวนตีนว่ะเอาแม่งเลยป่ะสัส”
"เฮ้ยใจเย็น.....กูขอเคลียร์แป๊บ” เจ้าหัวทรงแอฟโฟร่เอามือกันลูกน้องของมันที่กำลังจะเดินมาหาผมไว้ ก่อนที่มันจะค่อยๆ หันมาพูดกับผม "จะรีบไปไหนครับพี่"
“มีคนโดนลักพาตัวไป ขอทางไว ๆ ด้วย” ผมตอบอย่างรำคาญและพยายามข่มใจให้เย็นที่สุด
“โดนลักพาตัวงั้นเรอะ?" มันทำหน้ามึน ๆ ไปอยู่พักนึงก่อนจะเริ่มพูดต่อ "ให้ผมช่วยหาป่ะพี่”
เด็กนั่นรีบยกมือถือขึ้นมากดโทรทันทีโดยไม่ทันให้ผมตอบรับ แต่อย่างน้อยมีคนหาเพิ่มสักสี่ห้าคนคนก็ยังดี
“ฮัลโหล รุ่นพี่ศักเหรอ พี่แว้นอยู่แถวนี้ป่ะ มาหาผมที่ถนนสาย 4 ได้ป่ะ ตรงย่านศิลปินอ่ะพี่” ... เฮ้ย เดี๋ยวครับพี่ ไม่ต้องถึงขนาดเรียกพวกมาก็ได้มั้ง
แต่ถ้ามีคนช่วยหาอีกสักห้าคนเราก็สามารถแยกกันออกค้นหาได้หลายทาง เพราะไอ้ถนนสาย 4 นี่มันมีทางแยกออกไปอีกห้าทางพอดี พวกมันคงยังไปได้ไม่ไกลนักหรอก
"แล้วน้องห้าคนจะไปหามันที่ไหนบ้าง"
"ห้าคนเองเหรอพี่?" มันพูดเชิงเป็นคำถามใส่ผม ซึ่งผมที่กำลังรีบอยู่ก็ไม่มีอารมณ์จะตอบมันสักเท่าไหร่ จึงตัดสินใจจะขับรถออกตามหาต่อ เพราะมัวแต่พูดกับไอ้พวกนี้ไม่รู้ว่าซาวน์จะเป็นยังไงบ้างน่ะสิ
แต่ยังไม่ทันที่ผมจะได้ขึ้นรถ เสียงมอเตอร์ไซด์แต่งท่อก็ดังกระหึ่มขึ้นทั่วอาณาบริเวณ
เสียงนั้นดังลั่นไปทั่วทั้งถนนพร้อมกับรถมอเตอร์ไซด์มากกว่าห้าสิบคันกำลังพุ่งตรงมาที่ๆ ผมยืนอยู่ พวกนั้นล้อมกรอบผมเอาไว้ แสงไฟสาดส่องเข้ามาหาผมจนผมต้องยกมือขึ้นมากันแสงไฟจากรถมอเตอร์ไซด์ ยังไม่ทันที่จะหายตกใจเจ้าเด็กหนุ่มแอฟโฟร่คนนั้นก็พูดขึ้นมาอีกที
"ห้าคนมันน้อยไปมั้ง" มันจุดบุหรี่ขึ้นสูบพร้อมกับเก็กท่าเท่ห์ๆ แต่มันไม่รู้ตัวเลยสินะว่าไม่เข้ากับผมทรงแอฟโฟร่นั่นอย่างแรง
"เพื่อนของผมประมาณสองร้อยกว่าคนกำลังจะตามมา รับรองว่าพวกนั้นช่วยได้แน่นอน" ไม่ทันที่ผมจะได้พูดตามที่คิด เจ้าเด็กนั่นก็ทิ้งบุหรี่ลงพื้นก่อนจะเดินไปขึ้นรถมอเตอร์ไซด์ของตัวเอง
“ไม่ต้องห่วงพี่! ไว้ใจผมได้เลย!” เจ้าหนุ่มนั่นบิดเครื่องสุดแรง ก่อนเสียงแว๊นจะดังลั่นพร้อมขบวนมอเตอร์ไซด์ยกล้อซิ่งกันไปเต็มถนน ทิ้งให้ผมกับหลิวมองตามไปอย่างอึ้ง ๆ นี่มันถึงกับเรียกพวกตามหาทั่วกรุงเทพเลยเรอะ!
แต่เหมือน ๆ ว่าลืมอะไรไปสักอย่าง... ช่างมันเถอะ
ผมรีบไปขึ้นรถที่จอดอยู่ทันทีแต่ยังไม่ทันถึงรถ เสียงมอเตอร์ไซด์ที่เมื่อสักครูเพิ่งเงียบไป ก็กลับมาอีกครั้ง เพียงแต่คราวนี้คนที่กลับมามีเพียงเจ้าของผมทรงแอฟโฟร่คนเดียว มันเข้ามาจอดข้างๆ รถผมก่อนจะถามคำถามที่คาดไม่ถึง
“พี่ๆ...ว่าแต่คนที่เราตามหาอยู่หน้าตาเป็นยังไงอ่ะ"
...
นี่เป็นมุกใช่ไหมครับ?
ผมขับรถไปตามถนน 5 และมองหารถตู้คันนั้น วนเข้าถนน 6 จนจะออกย่านศิลปินอยู่แล้วก็ยังไม่เจอ ผมเสมองนาฬิกาในรถอย่างร้อนใจ จะสี่ทุ่มอยู่แล้ว ตำรวจก็ไม่มีอะไรคืบหน้าเลย
ซาวน์จะเป็นยังไงบ้างนะ?
พลันเสียงริงโทนมือถือก็ดังลั่นขึ้นมาอีกครั้ง ผมแทบจะกดรับทันทีโดยไม่ดูเบอร์
‘เจอรถคันนั้นแล้วนะ จอดอยู่ที่ถนน 14 ในโซนมืด ซอยที่ 9 สุดซอยเลยพี่’ ปลายสายน่าจะเป็นเสียงของเจ้าหัวแอฟโฟร่นั่น
“จะรีบไปเดี๋ยวนี้ล่ะ” ผมเก็บมือถือแล้วหักรถเลี้ยวยูเทิร์นกลางถนน เหยียบเต็มมิดมุ่งหน้าไปยังที่หมายทันที จนใช้เวลาซิ่งมาไม่ถึงครึ่งชม.ก็ถึงที่หมาย พบมอเตอร์ไซด์หลายสิบคันจอดอยู่ในซอยนั้น สงสัยงานนี้คงไม่ต้องพึ่งมือตำรวจแล้วล่ะ...
“หลิว คุณรออยู่บนรถ” ผมหันไปบอกเด็กหนุ่มซึ่งก็อ้าปากจะแย้งทันที ผมจึงดักคอเอาไว้ก่อน “มันอันตรายครับ ผมไม่รับผิดชอบนะถ้าคุณเป็นอะไรขึ้นมา”
“แต่จะให้ฉันนั่งรอเฉย ๆ เนี่ยนะ?” หลิวขมวดคิ้วมุ่นอย่างขัดใจ ในหัวคิดจะเข้าไปร่วมด้วยให้ได้
“ไม่รู้ว่ามันมีพวกมากแค่ไหน มันเสี่ยงไปครับ อยู่ในรถก็พอ ถ้าออกมาผมจะไม่ให้คุณเข้าบาร์” ผมออกคำสั่งรัว ๆ รวดเดียวแล้วผลักประตูออกมา ล็อครถเสร็จสรรพกันเอาไว้แล้วเดินไปสมทบกับไอ้พวกนั้น สักพักก็มีเสียงมอเตอร์ไซด์ดังแล่นเข้ามาเพิ่ม มันถอดหมวกกันน็อคแปลก ๆ ออกเผยให้เห็นหัวแอฟโฟร่ก่อนจะเดินเข้ามาหาผม
“บุกเลยมั้ยพี่”
“เดี๋ยว...”
“ไม่ต้องรอพวกแล้ว บุกเลยเว้ย” ไม่ทันที่ผมจะพูดจบมันก็หันไปเอ่ยสั่งพวกลูกน้อง แล้วแห่พังประตูตึกบุกเข้าไปเป็นฝูงทันที แบบนี้มันจะเข้าข่ายบุกรุกมั้ยวะเนี่ย ผมตัดสินใจวิ่งตามเข้าไปด้านใน ไม่ทันไรเสียงปะทะกันก็ดังขึ้น ผมกวาดตาดูรอบ ๆ พบว่าพวกมันเองก็มีไม่ต่ำกว่าสิบคน แต่จำนวนของเราเยอะกว่ามาก
มีหลายคนที่วิ่งหนีออกไปทางประตูแต่เจ้าเด็กหัวแอฟโฟร่นั่นก็มาขวางเอาไว้ ดูเหมือนจะดักพวกที่พยายามหนีออกไปก่อนมันจะหันมาพยักหน้าให้ผม
ผมจึงปล่อยหน้าที่ต่อกรให้พวกนักเลงไปส่วนตัวเองมองหาซาวน์ มันมีประตูอยู่สุดห้องนั้นซึ่งต้องฝ่าวงชุลมุนนี่ไปก่อน แต่ไม่ทันที่ผมจะตรงเข้าไปก็มีร่าง ๆ หนึ่งสวนมาหมายจะอัดกำปั้นใส่หน้า ผมเอนตัวหลบแล้ววาดขาฟาดเข้าที่ก้านคอของมันก่อนกระโดดข้ามไป ก้มลงต่ำหลบการโจมตีของอีกคนก่อนยกตัวขึ้นด้วยแขน เหวี่ยงขาปัดขาของอีกฝ่ายจนล้ม พลิกตัวหลบลูกถีบของคนแรกแล้วเสยปลายคางของมันด้วยเท้าอีกครั้ง
เสร็จไปหนึ่ง ส่วนอีกรายผมแค่ใช้ศอกกระทุ้งท้องของมันตอนวิ่งบุกเข้ามาจะโจมตีผมจากด้านหลังเท่านั้น จึงเหยียบข้ามตัวมันแล้ววิ่งตรงไปที่ห้องนั้นทันที
ศิลปะการต่อสู้เมื่อกี้นี้เรียกว่าคาโปเอร่า ผมเรียนมาตั้งแต่เด็กแล้ว แต่น้อยนักที่จะมีคนรู้จักศิลปะนี้เพราะมันเหมือนเป็นการเต้นมากกว่าต่อสู้ จำเป็นต้องมีเอาไว้ต่อกรกับพวกที่มาเกาะแกะล่าหัวผม แต่อยู่ในชุดแบบนี้เคลื่อนไหวตัวลำบากชะมัด แถมยิ่งที่น้อย ๆ แบบนี้ยิ่งลำบากเข้าไปใหญ่... ชักอยากเรียนมวยวัดแทนแล้วสิ
มีอีกหลายคนที่เข้ามาสกัดเส้นทางแต่ผมก็ดีดตัวข้ามไปบ้าง เตะให้สลบบ้างจนกระทั่งมาถึงสุดห้อง ผมผลักประตูเข้าไปแล้วพบกับร่างของเด็กอีกหลายคนถูกมัดแขนมัดขาอยู่ในห้อง
“พี่ศรัณย์!” เสียงคุ้นหูเรียกให้ผมต้องหันไปมองก่อนจะพบกับซาวน์ที่ตามหาอยู่ พร้อมเสียงร้องดีใจของเด็กอีกหลายคนในห้อง ไม่ทันที่ผมจะเข้าไปหาก็รู้สึกเหมือนโดนชกอัดเข้ามาข้างหลัง ผมเซไปด้านหน้าแล้ววาดขาเอาส้นรองเท้าฟาดปากของมันจนกระเด็นไปชนกับประตู มันคุกเข่าลงบ้วนเลือดออกมาจากปากพร้อมเศษฟันก่อนจะเงยหน้าขึ้นมาอย่างเคียดแค้น
แต่ผมก็ใช้เท้าเสยคางมันไปจนมันปัญญามามองหน้าผมต่ออีก เมื่อกวาดตาดูรอบ ๆ ก็เริ่มเห็นผลแพ้ชนะแล้ว ผมจึงเข้าไปช่วยแก้มัดซาวน์ออกก่อนเสียงหวอตำรวจจะดังขึ้นมา
ในที่สุดพวกเด็ก ๆ ก็ถูกช่วยออกไปได้อย่างปลอดภัย พวกมันก็ถูกจับกุมไปโทษฐานลักพาตัวเด็กเป็นที่เรียบร้อย ส่วนพวกนักเลงที่ได้รับบาดเจ็บนั้นได้ส่งโรงพยายาบาลกันไปบ้างนิดหน่อย ขณะที่ผมพาซาวน์เดินออกจากอาคารก็เห็นเจ้าหัวทรงแอฟโฟร่นั่นยืนมองด้านนอกอยู่ริมประตู
“เออ เป็นไงบ้างพี่” เมื่อเห็นผมจึงหันมาถามทุกข์สุข ตัวมันก็อยู่ในสภาพปกติดีครบส่วนทุกอย่าง ไม่มีบาดแผลอะไรเลย
“ขอบคุณมาก อยากได้อะไรตอบแทนไหม” ผมเอ่ยถามไปตามมารยาท เจ้าเด็กนั่นทำหน้านึกช่วงหนึ่ง ผมจึงยื่นข้อเสนอ “ผมทำงานที่บาร์อยู่ ถ้าไม่รังเกียจละก็...”
“ให้พวกผมไปกินเหล้าฟรีละกัน โอเค?” เจ้านั่นว่าซึ่งผมก็ตกลง เพราะกะจะเสนอเลี้ยงเหล้าพวกมันแต่แรกแล้ว
“แล้วน้องชื่ออะไร”
“จ๊าก”
“ฮะ?” ผมทวนคำตอบอีกรอบอย่างไม่ค่อยมั่นใจในหูตัวเองเท่าใดนัก แต่เจ้าหนุ่มนั่นก็ตอบกลับมาอย่างหนักแน่นชัดถ้อยชัดคำ
“ผม ชื่อ จ๊าก“ คนบ้าอะไรวะชื่อจ๊าก...
“เอ่อ พี่ชื่อศรัณย์นะ ไว้มาหาพี่ได้ที่เชสเซอร์บาร์” ผมแนะนำตัวเป็นอันเสร็จสรรพก่อนพวกจ๊ากจะแว๊นกลับไป ผมจึงอยู่จัดการสะสางเรื่องกับตำรวจและพวกเด็ก ๆ อีกสักพัก ส่วนหลิวก็พาซาวน์ขึ้นไปรอในรถก่อน จึงรู้ว่าคนที่โทรเรียกตำรวจให้มาจับพวกมันก็คือหลิว ตัวผมเองก็รีบจนลืมโทรเรียกไปเลย
จนเรื่องเสร็จผมจึงกลับขึ้นมาบนรถ ซาวน์นั่งข้างคนขับส่วนหลิวอพยพไปนั่งด้านหลังแทน ไม่รู้ว่าคุยอะไรกันไปบ้างหรือเปล่า แต่มันไม่น่าไว้ใจที่ทิ้งซาวน์ไว้กับหลิวชะมัด
“เป็นอะไรหรือเปล่า” ผมหันไปถามซาวน์ซึ่งเด็กหนุ่มก็ส่ายหน้า แต่ยังดูซึม ๆ นิดหน่อย อาจเป็นเพราะฤทธิ์ยาสลบนั่นล่ะมั้ง ตลอดทางมีแค่หลิวกับผมที่คุยกันส่วนซาวน์กลับนั่งเงียบ พอชวนคุยก็ถามคำตอบคำจนกระทั่งส่งหลิวที่คอนโด ทั้งคันรถจึงปกคลุมด้วยความเงียบ
“ง่วงเหรอครับ”
“เปล่าฮะ” เด็กหนุ่มตอบสั้น ๆ และไม่พูดอะไรต่อ
“พวกมันไม่ได้ทำอะไรคุณใช่ไหม”
“ฮะ” สั้นลงกว่าเดิมอีก จะอ่านใจตอนนี้ก็ไม่ได้ ผมจึงตัดสินใจเปิดวิทยุฟังเพลงทำลายความเงียบไปก่อน จนถึงบ้านเด็กหนุ่มก็ยังไม่ปริปากบ่นอะไรสักคำ เดินขึ้นห้องไปอาบน้ำอาบท่าแล้วทิ้งตัวลงนอนบนโซฟาอย่างเงียบ ๆ
“กินข้าวไหมครับ” ผมตามขึ้นมาถามซึ่งเด็กหนุ่มก็ปฏิเสธ พลิกตะแคงหน้าเข้าซุกกับพนักพิงโซฟาแล้วเอาผ้าห่มคลุมโปง แบบนี้ต้องมีเรื่องอะไรแน่นอน
“มากินข้าวก่อน” ผมดึงผ้าห่มออกอย่างถือวิสาสะ ซึ่งซาวน์ก็ยอมลุกขึ้นเดินตามลงมาแต่โดยดี ผมทำข้าวต้มปลาไม่นานก่อนตักใส่สองถ้วยมาให้ซาวน์ เด็กหนุ่มยกมือไหว้ผมก่อนก้มหน้าก้มตากินอย่างไม่พูดอะไรสักแอะ แล้วผมจะอ่านใจยังไงเนี่ย
ผมนั่งลงตรงกันข้ามกับซาวน์ ซึ่งยังคงก้มหน้าไม่ยอมสบตากับผมสักที หลิวคงไม่ได้บอกอะไรไปหรอกนะ มันชักแปลก ๆ แล้วสิ
“ซาวน์” เอ่ยเรียกชื่อเด็กหนุ่มซึ่งคราวนี้ก็ยอมเงยหน้าขึ้นมาสบตากับผมแต่โดยดี ทำให้พอโล่งใจไปได้หนึ่งเปราะ “เป็นอะไรหรือเปล่าครับ ถามจริง”
“ไม่มีอะไรหรอกครับ” ซาวน์ก้มหน้าลงตักข้าวต้มเข้าปากต่อ ผมจึงต้องใช้ไม้แข็งแล้ว
“ช่วยมองหน้าผมเวลาคุยด้วยครับ” ผมเอ่ยเสียงเรียบ ซึ่งเด็กหนุ่มก็รีบเงยหน้าขึ้นมาสบตากับผมทันที ในใจคิดว่ากำลังจะโดนผมดุชัวร์ ๆ ผมจึงเผยรอยยิ้มให้ผ่อนคลายลง
“บอกผมมาเถอะ มีเรื่องอะไรเหรอ” ไม่ทันที่ผมจะอ่านใจ ซาวน์ก็ค่อย ๆ เอ่ยตอบผมอย่างแผ่วเบา
“ผมไม่อยากเป็นตัวถ่วงของคุณ” พูดจบเด็กหนุ่มก็หลบตาลงอีกครั้ง “ผมมาอยู่บ้านคุณ แล้วยังทำให้คุณเดือดร้อนอีก”
...นี่คิดมากเรื่องนี้เหรอเนี่ย?
“พูดอะไรน่ะครับ ตอนนี้คุณเข้ามาเป็นครอบครัวของผมแล้วนะ” ผมกล่าวเนิบ ๆ เรียกให้เขาเงยหน้าขึ้นมามองอย่างตกใจ
“แต่ว่าคุณเพิ่งรู้จักผมแค่ห้าวัน...”
“แล้วยังไง” ผมเผยรอยยิ้มอ่อนโยนก่อนเอื้อมมือไปลูบหัวทุยนั่นเบา ๆ “ไม่ต้องคิดมากหรอกครับ”
ดูเหมือนซาวน์จะดีขึ้นมาหน่อยแต่ว่าในใจยังอัดเต็มไปด้วยความรู้สึกนั้น ก้มหน้าตักข้าวต้มปลาเข้าปากทานต่อพักหนึ่งแล้วเปลี่ยนเรื่อง คราวนี้ซาวน์เป็นฝ่ายชวนผมคุยบ้าง
“แล้วทำไมคุณยังไม่แต่งงานเหรอ”
“ยังหาคนดี ๆ ไม่เจอน่ะครับ” ประมาณว่าเข้ามาแล้วออกไปตลอดทุกราย ยังหาคนที่ใช่ไม่ได้เสียทีเลยยังโสดแบบนี้ อายุก็จะขึ้นเลขสามอยู่แล้ว สงสัยมีแววว่าจะโสดไปตลอดชีวิตแน่ ๆ
ซาวน์เอียงคออย่างประหลาดใจแต่ก็ไม่ได้ถามอะไรต่อ เอาเป็นว่าตอนนี้จบลงด้วยดี พระเอกในนิยายที่ไร้แก่นสารอย่างผมทำภารกิจลุล่วงแล้วในตอนนี้
แล้วตอนหน้าจะเป็นยังไง จะไร้แก่นสารเหมือนเดิมหรือเปล่าล่ะนั่น...
เมื่อไหร่จะหาพล็อตหลักได้สักทีเนี่ย!?
ความคิดเห็น