ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    BARTENDER

    ลำดับตอนที่ #4 : แชมเปญแก้วที่ III

    • อัปเดตล่าสุด 10 ธ.ค. 52


     

    แชมเปญแก้วที่ III

     

     

     

    นายอ่านใจฉันได้ใช่ไหม

    เสียงความคิดของหลิวดังขึ้นมาถาม ดวงตาสีน้ำตาลเข้มนั้นจ้องผมไม่กะพริบ ผมจึงแสร้งถามกลบเกลื่อนก่อนจะยิ้มบาง ๆ

    “มีอะไรเหรอครับ?”

    อย่ามากลบเกลื่อนน่า ฉันก็อ่านใจนายได้

    คราวนี้ผมขมวดคิ้วมุ่นอยู่ในใจ การตีสีหน้าให้เป็นปกติถือว่าเป็นเรื่องถนัดของผมอยู่แล้ว... แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ไม่ติดกับของเด็กตัวแค่นี้หรอกนะ!

    “หน้าผมมีอะไรติดเหรอ?” ผมลูบ ๆ ใบหน้าตัวเองพลางตีสีหน้าสงสัย ได้ยินเสียงความคิดของหลิวที่ผิดหวังนิดหน่อยแต่ก็ยิ้มให้ผม

    “ใต้ตานายดำปี๋เลย” ในใจลึก ๆ ของหลิวอยากให้ผมอ่านใจได้จริง ๆ งั้นหรือ... ทำไมกันนะ

    “มีคนบอกผมบ่อยอยู่เหมือนกัน” แต่ไม่อยากจะเชื่อว่าเด็กคนนี้จะสงสัยผมได้เร็วขนาดนี้ แถมยังเล่นแผนเสียจนน่ากลัวจะติดกับเลยทีเดียว ผมคงต้องระวังหน่อยแล้ว... เพราะมุกเอ่ยดักก่อนลูกค้าจะสั่งนี่ผมเคยเล่นด้วยมาหลายคน ถือเป็นโจ๊กเล็ก ๆ น้อย ๆ เท่านั้น แต่ไม่มีใครคิดมาถึงเรื่องที่ผมอ่านใจได้

    “หวัดดีพี่รัณย์” เสียงเด็กหญิงอีกคนเอ่ยทักทายผมหลังเข้าร้านมานั่ง ลูกค้าประจำของผมนั่นเอง เธอถอดฮู้ดสีแดงตัวเดิมที่คลุมหัวออกพลางกระโดดขึ้นนั่งบนเก้าอี้ เห็นตัวเล็ก ๆ ความสูงร้อยห้าสิบกว่านี่จริง ๆ เธออายุสิบแปดแล้วนะ

    วันนี้เธอไม่ถามถึงงานอะไรแต่มานั่งกระดกวอดก้าเฉย ๆ ผมจึงเดินกลับมาทางหลิวอีกรอบ แต่ก็ถูกลูกค้าที่เป็นชายหนุ่มอีกคนเรียกไปหา

    “นายชื่อศรัณย์ใช่ไหม?”

    “ครับ” ผมไม่แปลกใจเท่าไหร่ที่เขารู้จักผม เพราะชื่อของผมค่อนข้างดังอยู่ในวงการมืดพอสมควร เขาสั่งค็อกเทลมาดื่มเลี้ยงคอไปอย่างนั้น จุดประสงค์ที่แท้จริงแล้วจะมาซื้อข้อมูลจากผมนั่นแหละ

    “ฉันจะขอซื้อข้อมูลจากนายหน่อย” ผมลองสบตากับเขาคนนั้นดู พบว่าเป็นนักสืบเอกชนคนหนึ่งที่ถูกว่าจ้างมาให้ตามหาเด็กหายนั่นเอง... แต่ก็เตรียมเงินมาเยอะอยู่พอควรแฮะ

    “มีเด็กผู้หญิงคนหนึ่งหายตัวจากบ้านไป เธอชื่อวิภาวี อมตนิรันดร์ ชื่อเล่นชื่อเนส อายุสิบห้าปี” เขาถามระหว่างผมกำลังผสมเฟรมมิ่งซันเซท “นายพอได้ข่าวบ้างไหม”

    “ขอรายละเอียดของเด็กผู้หญิงคนนั้นได้ไหมครับ” เขาล้วงเข้าไปในกระเป๋าก่อนหยิบรูปขึ้นมาให้ดู เธอมีผมยาวสีดำ สูงราวร้อยหกสิบ รูปร่างค่อนข้างผอม และหน้าตาถือว่าดีเลยทีเดียว

    “จากข้อมูลที่มี เธอชอบฟังเพลงมาก... ปกติเดินเที่ยวสยามกับย่านศิลปินเป็นประจำ”

    “ตกลงอยากได้ข้อมูลอะไรจากผมรึ?” ผมถามพลางเทออเรนจ์คูราโซ่และสวีทเมอร์มูธลงในแก้ว บังเอิญว่าผมเป็นคนขายข้อมูล ไม่ใช่นักสืบนะ

    “เผื่อว่านายอาจจะเคยได้ยินข่าวเรื่องเด็กที่หายตัวไปบ้าง ไม่มีเลยงั้นหรือ?” นักสืบหนุ่มคนนั้นถาม ผมลองกลอกตาใช้ความคิดพักหนึ่ง โยงไปหลาย ๆ เหตุการณ์... ชอบเล่นดนตรีงั้นหรือ

    “ไม่มีนะครับ แต่ถ้าหากจะให้ผมหาข้อมูลเรื่องนี้ก็ช่วยได้นะ” ผมประดับมะนาวฝานแว่นลงบนแก้วก่อนยกเสิร์ฟให้ชายหนุ่ม เขารับมาแต่ยังไม่จิบทานโดยทันที

    “ดีเหมือนกัน ไว้ฉันจะมาหาเรื่อย ๆ” เขาว่าก่อนจะส่งรูปให้ผม แล้วหยิบโทรศัพท์ขึ้นคุยธุระส่วนตัว ผมจึงผละตัวเดินกลับมาทางหลิวอีกครั้ง บางทีเรื่องวงการดนตรีเขาอาจจะช่วยผมได้

    “ขอโทษนะครับ” ผมเอ่ยทักเด็กหนุ่มที่วุ่นกับการสเก็ตรูปแก้วแชมเปญ เรียกให้หลิวเงยหน้าขึ้นมา

    “หืม?”

    “เคยเห็นเด็กคนนี้ไหม” ผมลองยื่นรูปให้ดู แต่หลิวกลับส่ายนหน้าน้อย ๆ ผมจึงถามต่อ

    “วงการดนตรีช่วงนี้มีข่าวอะไรแปลก ๆ หรือเปล่าครับ?” ผมสบตากับเด็กหนุ่ม ความคิดของเขาไล่ลำดับเหตุการณ์ที่ตนรู้อย่างเป็นระเบียบ ก่อนข่าว ๆ หนึ่งที่เขาคิดถึงขึ้นมาจะทำให้ผมสะดุด

    “แปลก ๆ เหรอ... ไม่รู้เหมือนกันแฮะ” คำว่าไม่รู้ของหลิวที่จริงแล้วดันมีข้อมูลน่าสนใจ ๆ อยู่เป็นกอง และข่าวที่ทำให้ผมสะดุดที่สุดก็คือ...

    “แล้วพอได้ยินเรื่องมือกลองปริศนาของวง Crackup ไหมครับ?”

    “เคยสิ นั่นก็แปลกอยู่เหมือนกันนะ” หลิวพยักหน้าแล้วเริ่มว่ารายละเอียด “เขาเป็นมือกลองปริศนาที่สวมถุงกระดาษบนหัวตลอด ไม่มีใครรู้ว่าเป็นใคร หญิงหรือชาย กระทั่งคนในวงเองก็ยังไม่รู้ ตอนนี้กำลังบูมอยู่เลยล่ะ”

    ไม่รู้อะไรที่ดลใจทำให้ผมเชื่อมเหตุการณ์เด็กหายกับมือกลองปริศนาเข้าด้วยกัน แล้วพบว่ามันมีความเป็นไปได้อยู่มากเหมือนกัน ยกตัวอย่างเหตุการณ์คร่าว ๆ คือพ่อแม่อาจห้ามไม่ให้เธอเล่นดนตรี เธอจึงหนีออกจากบ้านเพื่อไปเล่นกลองให้วง แต่ไม่อยากให้พ่อแม่ตามจับได้เลยใส่ถุงกระดาษไว้ตลอดเวลา

    เป็นเหตุการณ์มั่ว ๆ ที่ผมจับมาชนกันภายในเวลาเสี้ยววินาที แต่ก็น่าจะโยงกันได้มากที่สุดแล้ว

    “แต่เจ้าหัวถุงนั่นตีกลองแน่นเป็นบ้าเลย! ฉันยังนับถือ... ว่าแต่ถามทำไมเหรอ?” หลิวเอียงคออย่างสงสัย ในใจคิดว่า อยากได้ข้อมูลคนนี้ไปขายสินะ ซึ่งก็ถูกเผงอีกเหมือนเคย

    “ก็อยากได้ข้อมูลน่ะครับ มีคนเขาถามมา”

    “ฉันเองก็อยากรู้เหมือนกันนะว่าเจ้านั่นเป็นใครกันแน่” เด็กหนุ่มว่าเสียงใสอย่างตื่นเต้น “ไปสืบกันดูไหม?”

    “หืม จะช่วยผมสืบรึ” ผมหัวเราะน้อย ๆ ซึ่งหลิวพยักหน้ารับอย่างจริงจัง

    “เอาสิ พรุ่งนี้วันเสาร์ นายว่างใช่มั้ย”

    “ครับ” แต่ไม่ทันจะพูดอะไรต่อ ซาวน์ก็เดินเข้ามาหาผมก่อนจะชะงักเล็กน้อยเมื่อเห็นหลิว

    “เอ่อ...” ซาวน์ยื่นใบกระดาษที่จดรายการเอาไว้ให้ผมโดยไม่สบตา “ลูกค้าเขาสั่งมาน่ะครับ”

    “ขอบคุณครับ” ผมรับใบกระดาษมาก่อนจัดการผสมค็อกเทลอย่างรวดเร็ว ท่ามกลางบรรยากาศที่เงียบลงอย่างอึดใจ หลิวมองหน้าซาวน์ส่วนซาวน์มองหน้าผม ไม่นานผมก็วางแก้วไวน์ลงบนถาดและยกให้ซาวน์เอาไปเสิร์ฟ พอเด็กหนุ่มเดินไปหลิวก็เปิดบทสนทนาต่อทันที

    “หน้าตาเหมือนเด็กผู้หญิงเลย” ว่าไปไม่ค่อยดูตัวเองเท่าไหร่ “ตกลงให้ฉันไปด้วยนะ?”

    “โอเคครับ” บางทีให้หลิวช่วยอาจจะเร็วกว่าเดิม เพราะผมไม่ค่อยได้เดินย่านศิลปินเสียเท่าไหร่ด้วย

    “งั้นพรุ่งนี้เจอกัน!”

     

    --  ----------  --  ----------  --  ----------  --  ----------  --  ----------  --  ----------  --  ----------  --  ----------  --  ----------  --

     

    บ่ายสามโมง ผมยืนอยู่หน้าร้านขายกีตาร์ที่หนึ่งในย่านศิลปิน บนทางเท้าเต็มไปด้วยคนดินเยอะเป็นพิเศษ คงเพราะวันนี้เป็นวันเสาร์ มีเปิดท้ายขายของ ดนตรีเปิดหมวก ครึกครื้นเฮฮาตามประสาพวกวัยรุ่น

    ผมยืนอยู่พักเดียว คนที่รอก็มาถึง เด็กหนุ่มอยู่ในชุดเสื้อวอร์มแฟชั่นพอดีตัวสีแดง รูดซิปลงมาเห็นจี้ห้อยคอรูปดาว กางเกงยีนส์สบาย ๆ กับรองเท้าผ้าใบสีเดียวกับเสื้อ ดูกลมกลืนไปกับพวกคนที่เดินย่านนี้เป็นอย่างดี ส่วนผมก็อยู่ชุดเสื้อเชิ้ตแขนยาวสีขาวกับกางเกงสีดำ เพราะเวลาไปทำงานจะได้ไม่ต้องเปลี่ยนชุดซ้ำ ๆ

    “รอนานมั้ย” ผมส่ายหน้าแทนคำตอบ ก่อนจะกวาดตามองไปรอบ ๆ

    “คุณพอจะรู้จักย่านนี้ดีใช่ไหม”

    “หลับตาเดินยังได้! บ้านฉันอยู่แถวนี้ล่ะ” เด็กหนุ่มชี้ ๆ เข้าไปในซอยแยก “เออนี่ เดี๋ยวฉันจะพาไปร้านขายซีดีร้านหนึ่งละกัน เขาเป็นแฟนพันธุ์แท้ของวงนั้นอยู่”

    ผมพยักหน้ารับเพราะคราวนี้ก็ต้องพึ่งหลิวอย่างเดียวแล้ว เขาพาผมเดินตามทางเท้าที่เต็มไปด้วยแผงลอยขายของต่าง ๆ ซึ่งเด็กหนุ่มก็มองอย่างสนใจไปตลอดทาง ว่าไปหลิวนี่ตัวเล็กชะมัดเลยแฮะ ดูด้านหลังอย่างกับเด็กอายุสิบสอง หรือว่าผมตัวสูงไปกันนะ... คิดไปเพลิน ๆ สักพักก็...

    ผลั่ก!

    เหมือนมีไหล่สวนมากระแทกจัง ๆ จนผมต้องหันขวับกลับไปมองหน้าคนชน ซึ่งเขาก็หันกลับมามองผมเหมือนกันเฮ้ย!? นั่นมัน...!!

    “ขอโทษครับพี่” เขายกมือไหว้ผ่าน ๆ ผมที่กำลังอึ้งอยู่กับสุดยอดทรงผม... นั่นมัน อ... แอฟโฟร่!

    ก่อนผมจะละสายตาจากหัวมามองหน้าเจ้าของทรงผมสุดซี๊ดนั่น พร้อมความคิดของมันที่ดังเต็มหัวผมว่า

    มองหาพ่อง ไม่เคยเห็นคนหล่อเหรอวะ ไม่รับไหว้กูอีก!’

    ไอ้เด็กเวรนี่ ความคิดของมันทำเอาส้นเท้าผมกระตุกโดยไม่รู้ตัว งั้นเดี๋ยวพ่อสอยหน้าให้สักเปรี้ยงดีมั้ยนั่น?

    “ศรัณย์! ทำอะไรอยู่น่ะ” เสียงเรียกของหลิวทำให้ผมต้องละสงครามจากเจ้าหัวทรงแอฟโฟร่นั่นไว้ก่อน แล้วรีบเดินตามร่างเล็กไป การที่ผมได้ยินเสียงในใจของชาวบ้านที่มีต่อผม นั่นจึงทำให้ผมมีความอดทนมากเป็นพิเศษ เพราะความคิดภายในกับสิ่งที่แสดงออกมาของหลายคนนั้นมักจะแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง

    “ถึงแล้ว” หลิวผลักเข้ามาในร้านขายซีดีที่หนึ่ง ก่อนจะดิ่งเข้าไปหาเจ้าของร้าน ทักทายด้วยความสนิทสนมอยู่พอสมควร

    “ลุงรู้มั้ยว่าวง Crackup จะไปเล่นคอนเสิร์ตที่ไหน”

    “รู้อยู่แล้ว! พรุ่งนี้จะไปเล่นที่แจ็คกี้ไลฟ์เฮ้าส์แถวนี้เอง” คุณลุงเจ้าของร้านตอบอย่างมั่นใจ ท่าจะเป็นแฟนพันธุ์แท้จริง ๆ ด้วยแฮะ

    “เออ แล้วลุงรู้เรื่องมือกลองวงนั้นมั้ย?”

    “มนุษย์หัวถุงนั่นน่ะเหรอ แม้แต่ในวงเองยังไม่มีใครรู้เลย” แล้วถ้าสวมถุงกระดาษตลอดเวลา ผมคงจะสบตาด้วยไม่ได้เป็นแน่ ๆ คงต้องหาทางอื่นอย่าง... สโตรกเกอร์

    “แล้วอัลบั้มของวงนั้นออกยังฮะ?”

    “ออกแล้วไม่นานนี้ ที่จัดคอนก็เพราะจะโปรโมทอัลบั้มตัวเองนี่แหละ” หลิวพยักหน้ารับก่อนจะหันมาหาผม “อยากถามอะไรอีกมั้ย?”

    ผมส่ายหน้าแทนคำตอบ เพราะคงไม่มีใครมีข้อมูลของเจ้าหัวถุงนั่นอีกแล้ว ถ้าหากผมไปสืบมาจนได้คงต้องเป็นข่าวที่ขายดีแน่ ๆ แถมช่วงนี้ก็ได้ยินคนพูดถึงอยู่เยอะเหมือนกัน

    “ขนาดแฟนพันธุ์แท้ยังไม่รู้เลย ถ้าเรารู้คงเจ๋งเป็นบ้าเลยเนอะ” หลิวว่าพลางเดินออกมาจากร้านก่อนยกแขนขึ้นดูนาฬิกาข้อมือสีแดง... บ่ายสามโมงครึ่งแล้ว “ฉันพาไปอีกร้านละกัน”

    เด็กหนุ่มนำทางผมมายังร้านขายเครื่องดนตรีแห่งหนึ่ง เจ้าของร้านเป็นชายหนุ่มถักทรงเดดล็อค ดูท่าอายุจะน้อยกว่าผม

    “อ้าว ว่าไงหลิว” เขาเดินมาขยี้หัวเด็กหนุ่มก่อนจะมองมาถามผม “ใครล่ะนั่น”

    “เพื่อนหลิวน่ะ เออ เฮียติ่งพอได้ข่าวของวง Crackup บ้างไหม?” นับคนที่ห่างกันเป็นสิบปีอย่างผมเป็นเพื่อนด้วยเหรอนี่ ก็ยังดีกว่าบอกว่าเป็นพ่อแหละนะ

    “เจ้านั่นอะนะ พรุ่งนี้จะไปเล่นที่ไลฟ์เฮ้าส์แถวนี้แล้วนี่”

    “อื้อ! หลิวหาข่าวของเจ้าหัวถุงนั่นอยู่น่ะ”

    “บุคคลลึกลับในตำนานเลยนะเว้ยนั่น แต่ก็พอรู้บ้างนิดหน่อยนะ” ชายหนุ่มนิ่งนึกครู่เดียวแล้วกล่าวต่อ “เวลาสัมภาษณ์หรืออะไรเจ้าตัวไม่เคยตอบคำถามสักครั้งเลยนะ มีข่าวมานิดหน่อยว่าน่าจะเป็นผู้หญิง”

    ผู้หญิงงั้นเหรอ อย่างนี้ก็ตรงตามเรื่องที่วางไว้เข้าไปอีกนิดแล้ว ผมกวาดตาดูโปสเตอร์รอบ ๆ ร้านและเจอกับวง Crackup ซึ่งมือกลองนั่นดูค่อนข้างสูงอยู่เลยทีเดียว... แต่จากข้อมูลที่มี เธอสูงแค่ร้อยหกสิบกว่าไม่ใช่รึ

    ผมลองสังเกตที่รองเท้า... เป็นรองเท้าผ้าใบ อย่างนี้ก็น่าจะใส่เสริมส้นได้ แต่คนในรูปสวมเสื้อวอร์มแขนยาวขายาวทำให้ดูตัวใหญ่ มันยิ่งห่างไกลจากภาพของเด็กที่กำลังตามหาอยู่เข้าไปอีก

    “แค่นี้แหละเฮีย เดี๋ยวหลิวไปแล้ว” หลิวเอ่ยลาก่อนจะยกแขนดูนาฬิกา เขาพะวงเรื่องเวลาอยู่พอสมควรเพราะกลัวว่าผมจะไปจัดร้านสาย

    “เฮ้ย จะรีบไปไหน อุส่าห์มาทั้งที มานั่งคุยกันก่อนมา ๆ” แต่ชายหนุ่มหัวเดดล็อคนั่นกลับลากหลิวกับผมไปนั่งโซฟาก่อนหยิบโค้กมาให้คนละขวด เด็กหนุ่มหันมามองหน้าผมเป็นนัย ๆ เชิงถามว่า เป็นอะไรหรือเปล่า

    “งานผมเริ่มตั้งห้าโมง ยังไม่สายหรอกครับ” ผมตอบก่อนชายหนุ่มจะเดินมานั่งตรงข้าม เปิดฝาโค้กแล้วหยิบขึ้นมายกกระดกอย่างเป็นกันเอง

    “เออ แล้วกีตาร์ตัวใหม่ที่แกซื้อไปเป็นไงบ้างแล้ววะ”

    “เสียงดีกว่าตัวเก่าอีกเฮีย” หลิวตอบก่อนหยอดหลอดใส่ขวดโค้กแล้วดื่มบ้าง เล่นกีตาร์ด้วยงั้นรึ?

    “ร้านเฮียดีอยู่แล้วน่า!” ชายหนุ่มหัวเราะดัง ๆ “เฮ้ย น้องชาย เล่นดนตรีป่ะ”

    ...น้องชาย? เขาเรียกผมเรอะ ผมอายุมากกว่าเขานะรู้สึก

    “ไม่ได้เล่นน่ะ” เอาจริง ๆ ผมชอบเล่นกีตาร์กับกลองตอนเรียนอยู่มัธยม ตั้งวงกับเพื่อนตระเวนเล่นไปทั่วตามประสาเด็กวัยรุ่นนั่นแหละ แต่จบมาก็ไม่ค่อยได้เล่นแล้ว

    “แล้วเล่นเป็นบ้างมะ”

    “ฉันว่านายน่าจะเล่นเป็นอยู่นา” หลิวหันมาซักซึ่งในหัวทายว่าผมต้องเล่นกีตาร์เป็นแน่ ๆ ... ถูกเผงอีกแล้ว ผมชักสงสัยว่าเจ้าเด็กนี่มันอ่านใจได้จริง ๆ แล้วสิ

    “ก็เคยเล่นกีตาร์กับกลองเป็นอยู่...”

    “จริงด้วย” เด็กหนุ่มผิวปากหวือ “โชว์หน่อย!”

    “ลืมหมดแล้วครับ” ผมหัวเราะแห้ง ๆ ซึ่งความจริงก็ยังไม่ลืมหรอก แต่ยังไม่อยากเล่นแค่นั้น

    “ถ้าอยากได้ของดี ๆ มาร้านเฮียได้นะเว้ย กีตาร์ของพวกเทพ ๆ ใช้กันทั้งนั้น!

    “ครับเฮีย” ผมรับมุกไปอย่างนั้น พอสบตาอ่านความคิดแล้วพบว่าเขาก็เป็นคนดีอยู่เหมือนกัน ไม่มีความคิดลับหลังต่อผมเลยสักนิด

    “เออใช่ ช่วงนี้เดินระวัง ๆ หน่อยนะ มันมีนักเลงบางกลุ่มเริ่มมาก่อกวนย่านนี้แล้ว” ชายหนุ่มว่าพลางยกโค้กขึ้นกระดกเอื้อก ๆ

    “เฮียเคยเจอไหม”

    “ยังว่ะ มันจะมาเป็นกลุ่มห้าหกคน ส่วนมากจะชอบมาไถเงิน เดินกับเพื่อนเป็นกลุ่ม ๆ ไว้ดีกว่า” เขาเตือนซึ่งหลิวก็พยักหน้ารับ อันที่จริงผมก็เคยได้ยินข่าวมาแล้วเหมือนกันตอนทำงานในบาร์

    “เฮียติ่ง หลิวไปแล้วนะ หมอนี่มีธุระอีก” เด็กหนุ่มเอ่ยตัดบทโดยใช้ผมเป็นข้ออ้าง ซึ่งเฮียติ่งที่ว่านั่นก็พยักหน้ารับแล้วแกว่งมือไล่

    “เออ ๆ ไว้มาหาอีกได้นะเว้ย” แล้วหลิวกับผมก็ออกจากร้านนั้นมา คนยังครึกครื้นไม่เปลี่ยนแปลง เด็กหนุ่มก้มมองนาฬิกาก่อนหันขวับมาหาผม

    “นายต้องไปจัดร้านนี่ กลับเลยไหม” ซึ่งตอนนี้ก็สี่โมงกว่าแล้ว ผมพยักหน้ารับ ค่อยไปตามสืบพรุ่งนี้ต่อก็ได้ ผมเดินกลับไปที่ ๆ จอดรถเอาไว้ก่อนขับกลับบาร์โดยมีหลิวติดรถไปด้วย

    ในที่สุดก็มาถึงบาร์ในเวลาสี่โมงครึ่ง เริ่มมีคนมาร้านกันแล้ว แต่พอมอง ๆ หาดูก็ไม่พบซาวน์ วันนี้เด็กหนุ่มออกไปข้างนอกเหมือนเคย คงไม่โดนใครทำอะไรละมั้ง

    “มองหาเด็กคนนั้นเหรอ” หลิวที่เอ่ยทักทำเอาผมสะดุ้งน้อย ๆ

    “เปล่าครับ” ผมปฏิเสธ พอสบตาด้วยก็ได้ยินความคิดที่กำลังสงสัยความสัมพันธ์ของผมกับเด็กคนนั้นอยู่ “เอ่อ... เขาเป็นญาติห่าง ๆ ของผมน่ะ”

    ฉิบ! หลุดปากบอกไปทำไม อีกฝ่ายยังไม่ได้เอ่ยปากถามเลยด้วยซ้ำ... หากหลิวทำเพียงพยักหน้ารับพลางหันไปถอดกระเป๋าเป้ออกจากบ่า แล้วกระโดดขึ้นนั่งบนเก้าอี้บาร์

    ไม่สงสัย?... ไม่สิ อาจจะสงสัยแต่แกล้งทำเป็นไม่คิดอะไรอยู่ก็ได้... แต่ไม่อยากจะเชื่อ ผมไม่เคยหลุดอะไรน่าสงสัยให้ใครเห็นมาก่อนเลยนะ ผมพะวงอยู่ในความคิดแต่ยังคงตีสีหน้ายิ้มแย้มเหมือนเคย

    ไม่นานผมก็จัดร้านเรียบร้อยและมีหลิวสั่งมาทาดอร์เย็น ๆ ประเดิมเป็นเจ้าแรก ผมใช้แก้วโอลด์แฟชั่น ใส่น้ำแข็งทุบลงไปพักไว้ ก่อนใส่น้ำแข็งก้อนลงในเชคเกอร์ ตามด้วยเตกีล่า น้ำสับปะรด และน้ำมะนาว เขย่าแรง ๆ อย่างรวดเร็วและรินใส่แก้วที่เตรียมไว้ ประดับด้วยมะนาวฝานแว่นแล้วส่งให้หลิว

    “อยากทำงานแบบนี้บ้างจัง น่าสนุกชะมัด” เด็กหนุ่มรับมาจิบดื่มก่อนผ่อนลมออกจากปากอย่างชื่นใจ มาทาดอร์เหมาะกับอากาศร้อน ๆ เป็นอย่างดี ถือว่าหลิวตาถึงที่สั่งมาดื่มในวันนี้

    กริ๊ง...

    เสียงกระดิ่งบนประตูดังต้อนรับผู้มาใหม่ นั่นคือซาวน์ เด็กหนุ่มก้าวเข้ามาในร้านก่อนยกมือไหว้ผมอย่างมีมารยาท

    “สวัสดีครับ” ผมรับไหว้ก่อนยิ้มทักทาย ซึ่งหลิวก็หันไปมองแล้วยิ้มให้เช่นกัน ร่างเล็กชะงักน้อย ๆ “เอ่อ... ผมไปเปลี่ยนชุดก่อนนะ”

    ผมพยักหน้ารับก่อนมองตามเด็กหนุ่มเดินเข้าห้องแต่งตัวไป หลิวจึงหันมาพูดกับผมต่อ

    “ดูเหมือนจะไม่ค่อยชอบฉันนะ”

    “หืม รู้ได้ยังไงครับ?” ผมถามซึ่งความจริงก็เป็นอย่างนั้น ซาวน์ดูไม่ค่อยชอบหลิวเท่าไหร่ตั้งแต่เมื่อวานก่อนแล้ว ส่วนเหตุผลที่ก็ไม่แน่ใจนักเพราะไม่มีโอกาสได้ถามเรื่องนี้เสียที... แต่แม้กระทั่งหลิวเองยังรู้ตัว เป็นคนเซนส์ดีจริง ๆ

    “ศรัณย์” เด็กหนุ่มหันหน้ามาหาผมอีกรอบ ก่อนจะสบตาด้วย ซึ่งทำให้ผมรู้ว่าสิ่งที่จะเกิดขึ้นไม่ใช่เรื่องดีแล้วแน่ ๆ

    “นายอ่านใจได้ใช่ไหม?”

    “พูดเรื่องอะไรน่ะครับ” ผมแสร้งยิ้มขำราวกับว่ามันเป็นเรื่องตลกอย่างหนึ่ง แต่ทว่าหลิวกลับมองหน้าผมเขม็ง ไม่มีแววล้อเล่นด้วย ซึ่งผมก็รู้ดีว่าตอนนี้หลิวกำลังสงสัยผมจริง ๆ แล้วดูท่าจะไม่ยอมเลิกราง่าย ๆ ด้วย

    “ฉันถามจริงนะ ไม่ต้องมากลบเกลื่อนหรอก” เด็กหนุ่มเอ่ยพลางหยิบมาทาดอร์ขึ้นจิบ ลดความตึงเครียดระหว่างบทสนทนา

    “ทำไมถึงคิดว่าผมอ่านใจได้ล่ะ” ผมตีหน้าระรื่นพลางผสมค็อกเทลให้ลูกค้าที่นั่งถัดไป “ผมเดาใจคุณเก่งงั้นรึ”

    “ก็ไม่เชิง แต่ฉันคิดว่าใช่” หลิวเอียงคอเล็กน้อยก่อนคว้าแฟ้มออกมาจากกระเป๋า หยิบกระดาษออกมาหนึ่งแผ่นแล้วยื่นให้ผม

    “ฉันให้”

    “ขอบคุณครับ” ผมรับมาดู มันเป็นรูปผมกำลังยิ้มที่วาดและลงเงาด้วยดินสอ แบบนี้อัดกรอบตั้งโชว์ไว้ที่บ้านได้เลย ผมชื่นชมอยู่สักพักก่อนเก็บมันลงในลิ้นชัก คิดว่าหลิวคงเลิกซักผมเรื่องอ่านใจแล้วแต่ว่าไม่ใช่อย่างนั้น

    “นี่ เรื่องนี้บอกใครไม่ได้เหรอ”

    “เรื่องอะไรครับ?”

    “ที่นายอ่านใจได้ไง” ...อย่ามาตัดบทสรุปเอาเองแบบนี้สิ อันที่จริงเรื่องนี้ใครจะรู้ก็ไม่เป็นไร แต่ผมไม่อยากให้ใครรู้เพราะมันอาจกลายเป็นเรื่องใหญ่ได้

    “ผมจะอ่านใจได้ยังไงครับ ไม่ได้เหมือนในนิทานนา” แต่มันยิ่งกว่าเหมือนอีกล่ะ

    “โลกนี้มันมีอะไรแปลก ๆ มาตั้งนานแล้วล่ะ” เด็กหนุ่มหัวเราะ คีบมะนาวฝานบนแก้วมาเลีย “แล้วฉันไม่บอกใครหรอกนะ อ่านใจฉันดูก็ได้เอ้า!

    หลิวเงยหน้าขึ้นมาสบตากับผม นี่รู้แม้กระทั่งว่าเวลาอ่านใจต้องสบตาก่อนเลยงั้นหรือเนี่ย? เด็กคนนี้เป็นใครกันแน่ สงสัยผมอาจจะเผลอเข้าใกล้หลิวมากเกินฐานะของลูกค้าจนมาถูกจับได้แบบนี้... แต่ที่แน่ ๆ นั้นมันอันตรายเกินเสียแล้ว

    หากเมื่อสบตากับเด็กหนุ่ม กลับได้ยินเพียงแค่ วางใจเถอะเท่านั้น ไม่มีลับลมคมในอะไรทั้งสิ้น...

    “ไร้สาระน่าครับ” ในที่สุดผมก็ตัดสินใจตีหน้าเครียดเอ่ยตัดบท หวังให้เด็กหนุ่มถอดใจเลิกสงสัยผมซะ แต่ว่ามันไม่ง่ายเหมือนคนอื่น ๆ ... เกิดมายี่สิบแปดปีเพิ่งรู้สึกเหมือนตนเองเจอศึกหนักเข้าแล้วจริง ๆ  

    “ฉันรู้จักกับนายมากี่วันแล้วนะ...” หลิวกล่าวก่อนหลุบตาลง ทิ้งมะนาวลงในแก้วแล้วหยิบขึ้นจิบต่อ “เพิ่งรู้จักกันแค่สามวัน นายคงไม่บอกเรื่องนี้กับฉันง่าย ๆ”

    ที่แน่ ๆ หลิวดูมั่นใจมากว่าผมอ่านใจได้ จนผมนึกกลัวว่าการกระทำของผมมันดูออกง่ายขนาดนั้นเลยเหรอไง เด็กอายุสิบห้าอย่างหลิวถึงเดาออกได้ง่าย ๆ ภายในเวลาอันรวดเร็วแบบนี้

    “ถึงนายไม่ยอมรับก็เรื่องของนาย แต่ฉันมั่นใจว่าต้องใช่ชัวร์” เด็กหนุ่มยกนิ้วขึ้นชี้หน้าอย่างหยอกล้อ ผมยิ้มตอบอย่างไม่ถือสาอะไร ถึงเจ้าเด็กคนนี้รู้มันก็ไม่เสียหายอะไรนักหรอก เพราะถ้าจะเอาไปบอกคนอื่นก็ไม่มีหลักฐานมายืนยันได้อยู่ดีว่าผมอ่านใจได้จริง

    ไม่นานซาวน์ก็เดินออกมาพร้อมชุดเด็กเสิร์ฟที่เป็นแบบเดียวกับผม แต่แขนเสื้อกับขากางเกงเป็นแบบสั้น ผมเอ่ยลากับหลิวตามมารยาทก่อนจะเดินไปหาเด็กหนุ่ม

    “เจ้าของบาร์รออยู่ด้านบนแล้วครับ” ผมบอกซาวน์ซึ่งร้องหวาในใจทันที สงสัยคงจะไม่ได้เตรียมตัวอะไรไว้แต่ว่าไม่น่าจะเป็นปัญหาอะไร เพราะเจ้านายเขาค่อนข้างใจดีไม่ซีเรียสอะไรมาก ผมพาซาวน์ขึ้นไปชั้นห้าของตึกก่อนเปิดประตูเข้าไป ด้านในเป็นห้องกว้าง ๆ ที่เรียบง่ายและหรูหรา ตรงกลางมีโต๊ะทำงานกับเด็กหนุ่มคนหนึ่งนั่งอยู่

    ใช่แล้ว เจ้าของบาร์เป็นเพียงแค่เด็กหนุ่มอายุราว ๆ สิบห้าเท่านั้น แต่ผมไม่เชื่อว่าเขาจะอายุสิบห้าจริง มันอาจเป็นแค่ภายนอกที่ดูเด็กกว่าวัย เพราะเวลาพูดคุยด้วยแล้วผมยังต้องเกรงราวกับคนตรงหน้าอายุมากกว่าผมนัก

    “เข้ามาสิ” เสียงนั้นเอ่ยอย่างนุ่มนวล ผมสะกิดหลังซาวน์ที่ตัวแข็งทื่อให้เดินเข้าไปด้านใน โดยมีผมตามเข้าไปเป็นเพื่อนเพื่อไม่ให้ร่างเล็กประหม่ามาก

    “ซาวน์ใช่ไหม มานั่งนี่มา” เด็กหนุ่มผายมือมาทางเก้าอี้ตรงข้ามโต๊ะทำงาน ส่วนผมไปนั่งรอบนโซฟา เจ้าของบาร์นี้ผมเองก็ไม่ทราบว่าชื่อจริงชื่ออะไร แต่เรียกกันติดปากว่า เชสเซอร์’ … ไม่มีใครรู้ประวัติความเป็นมาอะไรเลย

    “คิดไงจะมาทำงานที่นี่ล่ะ”

    “ไม่มีที่ไปครับ” เขาตอบตรง ๆ ไม่อ้อมค้อม เรียกรอยยิ้มบนมุมปากจากผม เช่นเดียวกันกับเจ้านายที่หัวเราะร่าอย่างถูกใจ

    “เป็นเด็กของเจ้าศรัณย์งั้นรึ” ซาวน์ทำหน้าเหวอกับคำถาม หันมามองหน้าผมอย่างอึ้ง ๆ มึน ๆ เหมือนจะขอคำตอบ

    “เป็นญาติห่าง ๆ กันน่ะครับ” ผมตอบให้แทนก่อนอมยิ้มขำ “เขาหนีออกจากบ้านมาขอพักอาศัยอยู่กับผมก่อน เลยหางานให้เขาทำ”

    “เห~ งี้นี่เอง” เด็กหนุ่มเอนหลังพิงกับพนักโซฟา ก่อนจะยกกาแฟขึ้นจิบ “ชอบแมวหรือเปล่า

    “ชอบครับ” ซาวน์ตอบ ดูงง ๆ กับคำถาม แต่จริง ๆ มันเป็นคำถามประจำเวลาสัมภาษณ์คนเข้ามาทำงาน ซึ่งผมก็โดนในตอนแรกเหมือนกัน... น่ากลัวว่าคนที่ตอบไม่ชอบจะไม่ได้เข้าทำงานน่ะสิ

    “จะเอาค่าจ้างแบบรายวันสินะ วันละห้าร้อย โอเคไหม” ถือว่าเยอะมากสำหรับงานเด็กเสิร์ฟ เพราะปกติค่าจ้างในบาร์อื่นตกวันละร้อยถึงสองร้อยเท่านั้น

    “ครับ” ซาวน์ผงกรับหงึก หันมามองหน้าผมอีกครั้งซึ่งผมก็ยิ้มให้กำลังใจไป

    “คิดว่าจะทำงานนี้ได้ไหม?”

    “เอ่อ ทำงานได้ แต่ไม่รู้ว่าทำเป็นหรือเปล่าครับ” ทั้งผมและเจ้านายนิ่งเงียบไปสักพักก่อนจะหลุดหัวเราะออกมาพร้อมกัน เรียกความงุนงงจากซาวน์ว่าตัวเองพูดอะไรผิดตรงไหน

    “โอเค! โอเค ฉันรับนายเข้าทำงาน ถ้ามาบ่อยจะให้โบนัสเยอะ ๆ เลยด้วยเอ้า” คุณเชสเซอร์หัวเราะชอบใจ ทีผมทำงานมาเป็นปีไม่เห็นมีโบนัสอะไรให้เลยนะ

    ในที่สุดการสัมภาษณ์งานก็จบลงด้วยดี เป็นอันตกลงว่าซาวน์ได้เข้าทำงาน แต่ก่อนที่ผมกับเด็กหนุ่มจะออกจากห้องไป เจ้านายก็เอ่ยทิ้งท้ายขึ้นมาพร้อมเสียงหัวเราะ

    “ระวังด้วยล่ะ”

     

     

     

    ซาวน์ วาดโดยบอม อยากอ่านเรื่องของซาวน์คลิกเข้าไปในรูปเลยจ้ะ


    พอสบตาด้วยความคิดของเธอมีเพียงแค่ ร้อนโว้ย!’ ... ร้อนแล้วยังกินวอดก้าอีกอะนะ ให้ตายเถอะ
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×