ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    BARTENDER

    ลำดับตอนที่ #3 : แชมเปญแก้วที่ II

    • อัปเดตล่าสุด 10 ธ.ค. 52


     

    แชมเปญแก้วที่ II

     

     

     

    เมื่อตัดสินใจได้ ผมก็พาเด็กคนนั้นขึ้นรถแล้วกลับบ้านของผมก่อน ดูเผิน ๆ เหมือนพวกลักพาตัวชะมัด... ส่วนเรื่องที่เอาเด็กแปลกหน้าเข้าบ้านนั้นไม่เป็นปัญหาอะไรเท่าใหร่นักเพราะผมอยู่คนเดียว เป็นบ้านเดี่ยวในย่านมืดของกรุงเทพที่อยู่ไม่ไกลจากบาร์เท่าใดนัก เรื่องขโมยก็ไม่ต้องห่วงเช่นกันเพราะมันไม่ได้แอ้มของบ้านผมแน่นอน

    พอผมเปิดประตูรั้วเข้ามา เสียงเห่ากรรโชกก็ดังลั่นซึ่งถ้าเป็นคนอื่นคงวิ่งหนีอุดตลุดออกจากบ้านไปแล้ว แต่สำหรับผมมันเหมือนเป็นการกล่าวต้อนรับจากสัตว์เลี้ยงที่น่ารัก ๆ ต่างหาก

    โดเบอร์แมนสามตัวกับร็อตไวเลอร์อีกสองตัววิ่งโร่เข้ามาหาทันที หางพวกมันสั่นดิก ๆ อย่างดีใจ ผมเอ่ยคำสั่งให้มันนั่งลงก่อนที่จะเข้ามาเกาะแกะอะไรผม ซึ่งพวกมันทั้งหมดก็หมอบลงตามคำสั่งทันที

     นี่เป็นเหตุผลว่าทำไมผมถึงไม่กลัวขโมยเท่าใดนัก...

    พอเปิดประตูเสร็จก็ถอยมาซด้าสามสีดำเข้ามาจอดข้างใน อุ้มเด็กคนนั้นเข้ามาในบ้าน เจ้าสัตว์เลี้ยงอีกตัวก็วิ่งเข้ามานัวเนียผมอีกต่อซึ่งเป็นอะไรที่ไม่น่าจะเลี้ยงคู่กับหมาห้าตัวหน้าบ้านของผม

    แมวนั่นเอง

    “หลบหน่อยดัชเชสส์” ซึ่งมันก็ขานเสียงรับทันทีที่ได้ยินชื่อตัวเอง มันเป็นแมวดำตลอดทั้งตัว แต่ปลายหางแต้มสีขาว ดวงตาสีอำพันกลมโต เป็นเรื่องแปลกอยู่เหมือนกันที่มันสามารถอยู่ร่วมกับสุนัขดุ ๆ ได้โดยไม่เป็นอะไร แถมในบางทียังเป็นตัวคอยคุมพวกสุนัขอีกต่างหาก

    ผมอุ้มเด็กคนนั้นขึ้นมาบนห้องนอน วางลงบนเตียงก่อน รู้สึกตัวเองจะเข้าใกล้พวกมอมยาเด็กขึ้นทุกที... เอาน่า ผมไม่ใช่พวกชอบไม้เดียวกันหรอก สุดท้ายก็แค่รอให้ตื่นแล้วพาไปส่งตำรวจดีกว่า... ระหว่างรอผมจึงลงไปให้อาหารลูก ๆ แล้วนั่งเล่นกับมัน ใช่แล้ว ผมเป็นคนรักสัตว์น่ะ... หน้าผมดูไม่เหมาะสินะ?

    โฆษณาลูก ๆ ตัวเองหน่อยดีกว่า โดเบอร์แมนตัวแรกนั่นชื่อ บารอน อีกตัวชื่อ เคานต์ ตัวสุดท้ายชื่อ เอิร์ล ส่วนร็อตไวเลอร์ตัวอ้วนนั่นชื่อ ดุ๊ค ตัวผอมชื่อ มาร์เควสถ้าถามว่าผมจำได้ยังไง อยู่กับพวกมันมาตั้งหลายปี ๆ ถ้าจำไม่ได้ก็คงแย่แล้วล่ะ

    พอจัดการกับสัตว์เลี้ยงก็ตัวเองเสร็จแล้ว ผมก็มาจัดการกับตัวเองให้เรียบร้อยต่อ ทานข้าว อาบน้ำอาบท่า จนตีสี่ก็ได้ยินเสียงจากด้านบนห้อง แสดงว่าเด็กคนนั้นรู้สึกตื่นแล้ว ผมจึงรีบขึ้นไปดูทันที

    เด็กคนนั้นกำลังนั่งอยู่บนเตียง มองไปรอบ ๆ ห้องอย่างง ๆ ก่อนจะหันมาทางผม

    “ที่ไหนเนี่ย”

    “บ้านผมเอง” ผมตอบ แต่ดูท่าทีว่าเด็กคนนั้นไม่ค่อยตกใจเท่าใดนัก ดวงตากลมโตนั้นทอดมองออกไปนอกหน้าต่าง

    “ผมจะต้องสืบให้ได้ว่าผมเป็นใคร” เด็กคนนั้นกล่าว... เออ... เอาเถอะ แต่ผมไม่ช่วยด้วยหรอกนะ บทพระเอกมันต้องไม่ใช่แบบนี้

    “แล้วจะทำยังไง?”

    “ผมจำเป็นต้องมีข้อมูล คุณพอจะรู้แหล่งที่หาข้อมูลได้บ้างไหม” จุดไต้ตำตอแล้วล่ะ...

    “ผมทำงานเป็นคนขายข้อมูลอยู่ครับ อาจจะพอช่วยอะไรได้บ้าง”

    “จริงหรือ?” เขาหันมามองผมด้วยความยินดี ก่อนน้ำเสียงจะลดลงอย่างกังวลเรื่องเงิน “ขาย... แสดงว่าต้องมีค่าจ้างสินะ ผมไม่มีเงินหรอก”

    “ไม่เป็นไรครับ ไม่ต้องใช้...”

    “ไม่ได้! ผมไม่ชอบติดหนี้ใคร” โอ้... เด็กคนนี้ก็รับบทเป็นพระเอกได้เหมือนกันนะ เขาหลุบสายตามองปลายเท้าตัวเองก่อนพึมพำบอกผม “เอาอย่างอื่นเป็นค่าจ้างแทนได้ไหม?”

    “อะไรล่ะครับ”

    “ตัวผมไง”

    ...

    ขอโทษนะ ผมขอย้อนขึ้นไปดูหัวเรื่องนิยายนี้อีกรอบ... มันก็ไม่ได้มีคำว่า Yaoi ต่อท้ายนี่หว่าเฮ้ย พูดแบบนี้มันเข้าอีหรอบนิยายวายชัด ๆ เลยนะ!

     ผมกระตุกยิ้มฝืน ๆ ซึ่งดูเหมือนเด็กหนุ่มคนนั้นจะเดาสีหน้าของผมได้ดี จึงรีบเอ่ยแก้

    “ไม่ใช่ หมายถึงทำงานให้น่ะ!” ฟู่วว... ค่อยยังชั่ว มาแบบเมื่อกี้นี่เล่นเอาอ่านใจไม่ออกเลยแฮะ

    “พอจะทำอะไรเป็นบ้างล่ะครับ?” ผมเอ่ยถาม ซึ่งเขาก็ส่ายหน้าน้อย ๆ

    “ไม่รู้เหมือนกัน... พอมีงานอะไรให้ผมทำได้บ้าง?”

    “ช่วยเป็นเด็กเสิร์ฟในบาร์ของผมก่อนละกัน” ผมยื่นข้อเสนอ คราวนี้เด็กหนุ่มพยักหน้ารับตกลง ผมจึงยื่นชุดนอนให้เขา

    “อาบน้ำแล้วใส่ชุดของผมไปก่อนละกัน ใหญ่หน่อยนะ”

    “ขอบคุณครับ” เขายิ้มบาง ๆ แล้วรับเสื้อกางเกงของผมไปจัดการกับตัวเอง สักพักจึงออกมาจากห้องน้ำ ด้วยสภาพเสื้อยืดที่ยาวเกือบถึงเข่า ตัวเล็กจริง ๆ แฮะ

    “ให้ผมมาอยู่บ้านก่อนแบบนี้... จะไม่เป็นไรเหรอครับ?”

    “ไม่เป็นไรหรอก คุณนอนบนเตียงไปนะ เดี๋ยวผมจะนอนบนโซฟา”

    “ไม่ดีมั้งครับ ผม... เกรงใจน่ะ” เด็กคนนั้นก้มหน้าน้อย ๆ ซึ่งผมกลับยิ้มให้อย่างไม่ถือสา

    “ผมเป็นเจ้าบ้าน คุณถือว่าเป็นแขก” เขามองหน้าผมอย่างหนักใจ แต่ในหัวกำลังคิดว่าทำไมผมถึงใจดีจัง...  ก่อนจะเดินมานั่งบนโซฟาข้าง ๆ ผม

    “คุณชื่ออะไรงั้นหรือ?”

    “ศรัณย์ครับ แล้วคุณ...”

    “ผมไม่รู้” ... เออ นั่นสินะ งานของผมอีกแล้วใช่ไหมนั่นผมถือวิสาสะหยิบจี้บนห้อยคอของเด็กหนุ่มขึ้นมาดู นอกจากคำว่าโคลเวสต์แล้ว... พอลองพลิกไปด้านหลังก็เห็นอะไรสักอย่างเล็ก ๆ จนแทบมองไม่เห็น

    “มีอะไรเขียนไว้อยู่ด้วย”

    “เอ๋ ผมไม่เห็น” ผมลองเพ่งอ่านดูดี ๆ มันเล็กมากจริง ๆ ... ในที่สุดก็แกะมาได้ว่า ‘ Z O U N D ‘

    “ซาวนด์?” ผมอ่านออกเสียงตามที่แกะได้ นี่อาจเป็นคำใบ้อย่างหนึ่งอีกเหมือนกัน แต่ยังไงก็ช่าง ผมไม่คิดจะมาช่วยแก้ปัญหาให้จริง ๆ นะ แต่ถ้าจะเอาข้อมูลอะไรก็พอช่วยได้

    “อะไรคือซาวนด์?” เด็กคนนั้นเอียงคออย่างสงสัย ถามผมแล้วผมจะถามใครล่ะนั่น ไหน ๆ ก็ไหน ๆ แล้ว

    “ผมจะเรียกคุณว่าซาวน์ไปก่อนละกัน” เด็กหนุ่มคนนั้นมองหน้าผมสักพักก่อนจะยิ้มร่าออกมา ผงักหัวรับอย่างยินดี

    “ขอบคุณครับ”

    “วันนี้ไปนอนได้แล้ว พรุ่งนี้ผมต้องออกไปทำงานอีก” ผมไล่เข้าให้ไปขึ้นเตียงนอน ซึ่งซาวน์ก็ยอมทำตามแต่โดยดี ไม่รู้เหมือนกันว่าผมจะต้องอยู่กับเด็กคนนี้ถึงเมื่อไหร่ แต่ที่แน่ ๆ ผมจะพยายามทำให้นิยายเรื่องนี้ไม่กลายเป็นสีม่วงไปอีกเรื่อง!

     

    --  ----------  --  ----------  --  ----------  --  ----------  --  ----------  --  ----------  --  ----------  --  ----------  --  ----------  --

     

    ผมตื่นขึ้นมาอีกครั้งตอนแปดโมงเช้า นอนไปราว ๆ สามชั่วโมงได้ ซึ่งมันถือเป็นเรื่องปกติสำหรับผม... พอมองไปที่เตียงก็พบว่าเด็กคนนั้นไม่อยู่แล้ว

    ตื่นแล้วงั้นรึ? คงไม่ได้หนีออกจากบ้านไปนะ ไม่งั้นโดนลูก ๆ ผมฟัดตายก่อนแน่

    ผมตัดความกังวลนั้นทิ้งไปได้ เพราะถ้าเกิดเรื่องอะไรขึ้นผมคงต้องสะดุ้งตื่นเพราะเสียงเห่าของพวกมันก่อน  ผมเดินไปเข้าห้องน้ำล้างหน้าล้างตา ภาพในกระจกสะท้อนหน้าของผมที่ไม่ได้สนใจมานานอยู่พอควร จึงถือโอกาสสำรวจหนังหน้าของตัวเองบ้างเสียหน่อย

    อืม... ใต้ตาดำคล้ำขึ้นเหมือนกันแฮะ ทรงผมก็ยุ่งกระเซิงไม่เปลี่ยนซึ่งผมไม่คิดจะหวี เพราะมันคือทรงเพิ่งตื่นแต่ก็ดูเข้ากับแฟชั่นหัวรังนกของสมัยนี้ดี ส่วนต่างหูข้างซ้ายก็มีอยู่สองรู ข้างขวาอีกห้ารู รวมเป็นเจ็ดเลขสวยพอดี อย่าถามว่าทำไมผมถึงเจาะเยอะแยะนัก มันเป็นรสนิยมอย่างหนึ่งของผมเองล่ะ

    ส่วนหุ่น... มีคนบอกบ่อย ๆ ว่าผมสูงมาก แถมผอมอีกต่างหาก... ส่วนหน้าตาในความคิดของผมก็ว่ามันธรรมดา ๆ ทั่วไป ติดจะดูชั่วด้วยซ้ำ... แต่ก็โดนหลายคนบอกว่าผมหน้าตาดีมากอีกเหมือนกัน ไม่ได้ฟังผิดไปหรอก... ผมทำงานเป็นบาร์เทนเดอร์มา เจอสาวอ่อยไม่ซ้ำหน้าแทบทุกวัน ไม่นับตอนเรียนอยู่อีกนะ...

    พูดมาก ๆ เดี๋ยวจะโดนคนอ่านหมั่นไส้เอา บางทีผมอาจจะตรงสเป็คของผู้หญิงสมัยนี้ล่ะมั้ง... ไม่เคยได้ยินงั้นหรือว่าผู้หญิงชอบชายชั่ว ๆ น่ะ... ฮ่า ๆ

    ผมตัดสินใจลงไปชั้นล่างก่อนเพื่อมองหาซาวน์ ก็พบว่าห้องครัวเปิดไฟอยู่

    “ตื่นแล้วเหรอครับ” ผมชะโงกหน้าเข้าไปดู ซาวน์สะดุ้งเล็กน้อยก่อนจะหันหน้ามา ในมือมีแผ่นขนมปังอยู่ ส่วนบนโต๊ะกินข้าวก็มีแซนวิชวางอยู่บนจาน แล้วก็นมอีกแก้ว

    “อ...คือ ผมทำแซนวิสให้คุณน่ะ” ใบหน้าขาวนั่นขึ้นสีแดงเรื่อ ๆ ... เอาล่ะวะ มาทำตัวน่ารักอย่างนี้ทำไมนั่น คงไม่ได้มีจุดประสงค์อะไรหรอกนะ ผมลองจ้องหน้าจนเด็กหนุ่มหันมาสบตาด้วย

    “อะไรเหรอครับ?” ... ไม่มีเจตนาอะไรแอบแฝงแฮะ

    “ไม่มีอะไร ขอบคุณครับ” ผมนั่งลงบนเก้าอี้แล้วลองหยิบทานดู... ก็ปกติทั่วไปไม่มีอะไร ในแซนวิชเป็นแฮม มีผักกาดหอม ทาเนยง่าย ๆ ไม่มีเล่นทริคอะไร ไม่นานนักซาวน์ก็เดินมานั่งบนโต๊ะพร้อมจานแซนวิสอีกชิ้น

    “ตอนกลางวันคุณทำงานอะไรเหรอ?”

    “ก็ออกรับจ้างทั่วไปน่ะครับ” ผมตอบอ้อม ๆ ตามเดิม แต่ซาวน์กลับขมวดคิ้วอย่างสงสัย

    “ผมไปด้วยได้ไหม?”

    “คงไม่ได้” จริง ๆ แล้วงานของผมคือล่าข่าวสาร เพื่อจะเอามาขายในบาร์ตอนกลางคืน เพราะว่าบางทีแค่ฟังจากปากคนอื่นอาจจะไม่ใช่ข่าวที่แน่นอน ผมจึงจำเป็นต้องไปหาข้อมูลเพิ่มเติม

    “ผมจะออกไปหาข้อมูลของตัวเองเหมือนกัน...” ซาวน์ว่าพลางหยิบแซนวิชขึ้นมากัดเคี้ยวหงุบ ๆ “ผมขอซื้อข้อมูลจากคุณตอนนี้เลยได้ไหม?”

    “ได้สิครับ” เด็กหนุ่มกลอกตานึกสักพักก่อนจะเอ่ยถามออกมา

    “มีสถานที่ไหนในกรุงเทพ ที่เกี่ยวกับ Clovest ไหม?

    “มีครับ เป็นร้านขายเครื่องประดับ อยู่ที่สยามสแควร์” ผมตอบตามที่รู้ อันที่จริงผมเดินเคยทางไปทั่วประเทศไทยแล้ว กับแค่สถานที่ในกรุงเทพทำไมถึงจะจำไม่ได้

    “แล้วสยามสแควร์อยู่ที่ไหนเหรอครับ?”

    “เดี๋ยวผมพาไปก็ได้” เพราะไหน ๆ ทางที่ผมจะไปวันนี้ก็ต้องผ่านอยู่แล้ว “ต่อจากร้านนั้นแล้วจะไปไหนต่องั้นหรือ”

    “ผมเองก็ยังไม่รู้” น้ำเสียงดูซึม ๆ ลงถนัด ผมจึงตัดสินใจให้ความช่วยเหลือไปก่อน

    “ถ้าอย่างนั้น มีอะไรก็มาพักที่บ้านผมได้ตลอดละกัน... ถ้าต้องการเงินก็มาทำงานเป็นเด็กเสิร์ฟให้บาร์ผม เดี๋ยวจะจ้างเป็นรายวันแทน”

    “ขอบคุณนะครับ” ซาวน์ยกมือไหว้ผม สีหน้าดูสบายใจขึ้นมานิดหน่อย “คุณเป็นเจ้าของบาร์เหรอ?”

    “เปล่า เดี๋ยวคืนนี้ผมจะพาไปสมัครงานให้ มาบาร์ถูกไหม?”

    “เดี๋ยวผมหาทางมาเองได้ครับ” ผมพยักหน้ารับ เมื่อตกลงกันได้จึงแยกไปอาบน้ำ ผมหาชุดที่คิดว่าตัวเล็กที่สุดของผมมาแต่สุดท้ายมันก็ยาวอยู่ดีเมื่ออยู่บนตัวเด็กหนุ่ม ส่วนกางเกงก็ขาลากพื้น... นี่ผมสูงไปหรือเขาเตี้ยไปกันแน่นะ

    แต่เสื้อดูเผิน ๆ ก็ไม่น่าเกลียดอะไร ออกแนวคล้าย ๆ พวกฮิพฮอพ ส่วนกางเกงผมจึงจัดกางพับขามันขึ้นมาแล้วกลัดเอาไว้ หาหมวกแก็ปสีแดงเหมือนเสื้อมาให้ใส่

    “โอเค ดูดีแล้ว” อันที่จริงซาวน์เป็นเด็กหน้าตาผิวพรรณดีอยู่เป็นทุนเดิม ถึงจะใส่เสื้อยังไงก็ขึ้นหมด พอทุกอย่างลงตัวแล้วผมจึงพาออกมาขึ้นรถ

    “ถ้าผมไม่อยู่ อย่าออกมานอกบ้านนะ” ไม่ต้องบอกเหตุผลซาวน์ก็พอจะรู้ เพราะพอพวกเราก้าวออกมาจากบ้านปุ๊บ พวกลูก ๆ ของผมก็ส่งเสียงทักทายทันทีจนผมต้องออกคำสั่งให้มันไปนั่งเงียบ ๆ แล้วพาซาวน์เดินเลี่ยงออกมาขึ้นรถ ผมลองถามไปเรื่อย ๆ ระหว่างทางเผื่อว่าอาจจะนึกอะไรขึ้นมาออกได้บ้าง แต่ว่าไม่มีอะไรคืบหน้าเท่าใดนัก

    ในที่สุดรถก็มาจอดที่หน้าร้าน ผมหยิบกระเป๋าเงินขึ้นมาหยิบแบงค์ห้าร้อยให้ซาวน์ ซึ่งเด็กหนุ่มก็มองหน้าผมอย่างงง ๆ

    “เอาไปหาซื้อเสื้อใส่”

    “แต่ว่า...”

    “มาหาผมตอนห้าโมงที่บาร์ ทำงานให้ผมหนึ่งวันเป็นค่าตอบแทน โอเคนะ?” ผมตัดบทสรุป ซึ่งซาวน์ก็จำต้องยอมรับข้อตกลง ก่อนผมจะหยิบปากกากับเศษกระดาษขึ้นมาจดเบอร์โทรของตัวเองให้

    พอซาวน์ลงจากรถปุ๊บผมจึงขับตามทางของตัวเองต่อ จริง ๆ ผมไม่กังวลว่าซาวน์จะหนีไปเลยหรือเปล่า เพราะจากที่อ่านความคิดเมื่อครู่นี้แล้วพบว่าซาวน์ก็ชอบผมอยู่พอสมควร แล้วไม่มีความคิดที่จะหนีอยู่ในหัวเลยแม้แต่น้อย

    เป้าหมายของผมวันนี้กะว่าจะไปหาข้อมูลของนักธุรกิจชื่อดัง เขาว่ากันว่าทำธุรกิจมืดและเป็นเป้าสายตาของตำรวจอยู่ ดูท่าจะเป็นข่าวสารที่น่าจะขายดี... ระหว่างทางขับรถผมเหลือบไปเห็นป้ายร้านชื่อคุ้น ๆ ซึ่งทำให้ผมต้องสะดุดอ่าน

    แมวเหมียวขนมเค้ก

    เหมือนได้ยินที่ได้มาก่อน... อ้อ! จากแวมไพร์สาวนั่นเอง ไหน ๆ ก็ผ่านแล้ว แวะเข้าไปดูสักเดี๋ยวหนึ่งก็ได้

    ผมจอดรถลงที่หน้าร้าน ก่อนจะเปิดประตูเข้าไป ภายในมีตู้กระจกอยู่ชิดผนังทั้งด้านซ้ายและขวา เค้กหน้าตาน่าทานถูกจัดเรียงไว้อย่างเป็นระเบีบบ ด้านในสุดมีเคาน์เตอร์เป็นชั้นกระจกมีเค้กปอนด์วางเรียงราย กับหญิงสาวผมสีทองยืนประจำอยู่

    “ยินดีต้อนรับค่ะ” เธอกล่าวเสียงใส พอสังเกตใกล้ ๆ จึงเห็นว่าดวงตาของเธอเป็นสีทองด้วยเหมือนกัน ผมเก็บความประหลาดใจเอาไว้ก่อนจะยิ้มรับ พลันประตูร้านด้านหลังก็ถูกเปิดออกพร้อมร่างของหญิงสาวผมสีน้ำตาลแดงคนเดิมที่เคยเจอกัน

    “อ้าว นายนั่นเอง” หล่อนเดินเข้ามาหาก่อนจะยิ้มยิงฟันให้ “มาจนได้สินะ ฉันขอเสนอเค้กนี่เลย”

    ความคิดที่ผมอ่านได้แฝงเจตนาร้ายไว้อย่างชัดเจน ก่อนผมจะถูกลากไปหยุดหน้าตู้ ๆ หนึ่ง ซึ่งหน้าตาของเค้กทำเอาผมหน้าแหย เค้กสีขาวแต่ถูกวางทาบด้วยปลาทูทั้งตัว... ย้ำ! ปลาทู!

    “จะดีมากเลยล่ะถ้านายเหมาเค้กนี้ไป... อ...อร่อยนะจะบอกให้” หน้าหญิงสาวดูกล้ำกลืนที่จะพูดอยู่เหมือนกัน ทำให้ผมเดาเหตุการณ์ได้ไม่ยาก... คนที่อุตริทำเค้กนี่ขึ้นมาคือแม่สาวหน้าเหมือนแมวคนนั้นสินะ

    “เอ่อคือ... ต้องขอโทษด้วยจริง ๆ ผมแพ้ปลาน่ะครับ” ผมอ้างเอาตัวรอดไปอย่างนั้นซึ่งจริง ๆ ไม่ได้แพ้หรอก

    “แง้ว! ทำไมถึงแพ้ล่ะคะ ปลาน่ะอร่อยที่สุดในโลกแล้วนะ” เอ่อ... อร่อยก็จริงนะ แต่เอามากินกับเค้กนี่ไม่ไหวมั้งครับ...

    “อย่าเหมารวมว่าคนอื่นจะคิดเหมือนเธอสิ!” หญิงสาวตาสีใบไม้หันไปปราม ฮ่ะ ๆ นั่นสินะ รีบหาทางออกห่างจากเจ้าเค้กนี้ดีกว่า

    “ผมกำลังมองหาเค้กช็อคโกแลตอยู่น่ะ”

    “ถ้าเค้กช็อคโกแลตละก็ อยู่ตู้ด้านขวาค่ะ” หญิงสาวผมทองกล่าว ซึ่งทำให้ผมอยากจะกำมือชูขึ้นเฮดัง ๆ รอดแล้วสินะส่วนสาวคนข้าง ๆ ผมกลับเดินหันขวับเดินไปกระซิบกับเธอ แต่ถึงอย่างนั้นเสียงก็แว่วเข้าหูมาให้ผมได้ยินอยู่ดี

    “ไปชี้ทางสว่างให้หมอนั่นทำไม อีกนิดเดียวเค้กปลาทูนั่นก็จะขายออกอยู่แล้วนะ!”

    “ไม่เป็นไรหรอก ถ้าเขาไม่อยากซื้อก็อย่างไปบังคับเขาสิ” แม่เจ้า เหมือนนางฟ้ากับซาตานเลยจริง ๆ นะ ผมรู้สึกขอบคุณแม่สาวหน้าเหมือนแมวคนนี้ลึก ๆ ถึงเธอจะเป็นคนทำเค้กน่ากลัวนั่นขึ้นมาก็เถอะ

    ก่อนแวมไพร์สาวจะเดินกลับมาหาผมพร้อมความคิดว่า หนอย รอดตัวไปได้นะ ยัยแมวใจดีจริงเล้ยทำเอาคนถูกปองร้ายเหงื่อตกไปเลยทีเดียว คนผมทองนั่นชื่อแมวงั้นเหรอ... ก็เหมาะกับหน้าดีเหมือนกัน

    สุดท้ายผมก็ได้แบล็คฟอเรสต์กับเค้กสตรอเบอร์รี่นมสดมาอย่างละสองชิ้น เผื่อแบ่งให้ซาวน์กินด้วย

    “ขอบคุณนะคะ โอกาสหน้าเชิญใหม่ค่ะ” คุณแมวกล่าวสบตากับผม ในใจนั่นแอบแฝงไว้ว่าอยากให้ผมซื้อเค้กรสปลากลับไปด้วยอยู่ดี แล้วก็เสียดายที่ผมไม่ได้กิน เอ่อ... เธอคิดว่ามันอร่อยจริง ๆ ด้วยแฮะ พระเจ้า

    ในที่สุดผมก็ได้ออกรถขับไปทำงานต่อจริง ๆ เสียที... บริษัทที่ผมเข้าไปทำการสืบนั้นคือบริษัทเทรดดิ้ง หรือพวกนำเข้าสินค้า ซึ่งผมได้ขอนัดเวลาพบท่านประธานบริษัทที่เขาลือกันให้แซ่ดล่วงหน้ามาแล้ว สรุปคือเขาให้ตารางนัดเจอมาตอนเที่ยงของวันนี้

    ผมมาที่นี่ในฐานะ นักสัมภาษณ์’ … ที่จะมาสัมภาษณ์งานของบริษัทนี้เพื่อนำไปเป็นข้อมูลชองเว็บไซต์ ชุดของผมอยู่ในแบบกึ่งทางการ เสื้อเชิ้ตแขนยาวสีดำผูกเนคไทกับกางเกงแสลช คิดว่าไม่น่าจะเป็นที่สะดุดตาเท่าใดนัก แต่ผมก็ยังถูกมองตลอดเหมือนเคย ผมนั่งรออีกสักพักจึงถูกเรียกขึ้นไปคุยด้วย

    “สวัสดีครับ” ผมเอ่ยทักทาย ซึ่งชายแก่ก็กล่าวรับและผายมือมาทางเก้าอี้ด้านหน้าของตน ผมจัดการวางหน้าสัมภาษณ์การทำงานของบริษัท พร้อมอุปกรณ์บันทึกเสียงคู่ใจ... แต่ของสำคัญไม่ใช่เสียงที่ออกมาจากปากผู้ถูกสัมภาษณ์ แต่เป็นเสียงในความคิดของเขาต่างหาก

    “ช่วงนี้มีโปรเจคอะไรน่าสนใจอยู่ไหมครับ” ผมถามเพื่อหยั่งเชิง ซึ่งแน่นอนว่าคำตอบเอาหน้าถูกเอื้อนเอ่ย ส่วนความคิดด้านในนั้นไม่เงียบด้วย ก่อนที่เขาจะตอบเพียงเสี้ยววิ ผมได้ยินความคิดด้านในมาเต็ม ๆ ว่า ก็ต้องนำเข้าฝิ่นจากจีนอยู่แล้ว!’

    “นำเข้าเครื่องเขียนจากสิงคโปร์ครับ ผลิตจากวัสดุชั้นดีแถมขายในราคาถูก” ความคิดต่อหน้ากับลับหลังมันก็ต่างกันอย่างนี้แหละครับ ถือว่าหมอนี่เป็นนักธุรกิจได้อยู่เพราะกล้าสบตากับผมตรง ๆ ตอนพูดโกหก ผมหลอกถามเอาข้อมูลอีกหลาย ๆ คำถามก่อนจะตัดบทออกมา เท่านี้ก็ได้ข้อมูลที่น่าเชื่อถือมาเยอะพอจะขายให้ลูกค้าแล้ว

    เพราะช่วงนี้มีคนมาถามผมเรื่องบริษัทนี่อยู่พอสมควร ผมไม่สบายใจเท่าไหร่เวลาต้องขายข่าวที่ไม่มีอะไรยืนยันแน่ชัดไป งาน พิสูจน์ข่าวลือ จึงเป็นหน้าที่ของผมในตอนกลางวัน... ในบางครั้งก็จะออกตามล่าข่าวที่น่าสนใจด้วยตัวเอง สรุปแล้ว...

    ผมเป็นทั้งบาร์เทนเดอร์ คนขายข่าว ขายความลับ และนักล่าข่าวสาร...

    พอยกแขนขึ้นดูนาฬิกา เพิ่งบ่ายสองโมง งานเสร็จเร็วกว่าที่คิดเอาไว้แฮะ... เดี๋ยวกลับบ้านเอาเค้กไปเก็บ แล้วนอนพักสักเดี๋ยวค่อยไปทำงานดีกว่า... ว่าแต่ตอนนี้ซาวน์จะอยู่ไหนแล้วนะ คิดได้จึงขับรถกลับทางเดิม และจอดดูบริเวณร้าน Clovest นั่น... พอชะโงกหาดูก็พบว่าไม่อยู่แล้ว

    เดี๋ยวคงมาเจอผมที่บาร์เองแหละมั้ง...

    แน่นอนว่าผมยังยืนยันเจตนารมณ์เดิม นิยายเรื่องนี้จะต้องไม่เป็นสีม่วงครับ!

     

    --  ----------  --  ----------  --  ----------  --  ----------  --  ----------  --  ----------  --  ----------  --  ----------  --  ----------  --

     

    ตกสี่โมงครึ่ง ผมมาเตรียมเปิดร้านตามเวลาเหมือนเคย

    ส่วนซาวน์ยังไม่มา จนกระทั่งห้าโมงเวลาเปิดร้าน ซาวน์ก็ยังไม่มา... อาจจะยังหาทางมาไม่ถูกล่ะมั้ง โทรศัพท์ก็ไม่ยอมโทรมาอีกต่างหาก คงไม่โดนใครลักพาตัวไปขายหรอกนะ?

    จนถึงหกโมงเย็น คนที่มาหาผมยังไม่ใช่ซาวน์ กลับเป็นหลิวเสียแทน เด็กหนุ่มเดินเข้ามานั่งบนเก้าอี้บาร์ที่เดิม เขาอยู่ในชุดนักเรียนเอกชนธรรมดา ๆ ทั่วไปแถมวันนี้ยังดูอารมณ์ดีเป็นพิเศษ

    เขาทักทายผมแล้วหยิบเมนูขึ้นมาดู เงยหน้าขึ้นมาสบตาผมแล้วอ้าปากสั่ง

    “เอา...”

    “วิมเลท?” ผมเอ่ยดักก่อนหลิวจะสั่ง เรียกความงุนงงจากลูกค้าได้เป็นอย่างดี ซึ่งหนึ่งในสิบความคิดของหลิวภายในเสี้ยววินั้นถูกเผงอยู่ความคิดหนึ่งคือ อ่านใจเราได้เรอะ?

    “นายรู้ได้ไง”

    “เดาเอาครับ” แสร้งโกหกไปดื้อ ๆ ก่อนจะยิ้มกรุ้มกริ่ม หยิบแก้วแชมเปญขึ้นมาหยอดน้ำแข็งลงไป ตามด้วยวอดก้าและน้ำมะนาว ประดับด้วยมะนาวฝานเป็นอันเสร็จอย่างรวดเร็ว

    “เออนี่ ฉันวาดรูปนายมาด้วย” หลิวว่าก่อนจะหยิบกระเป๋าเป้ขึ้นมาเปิด แล้วคว้าแฟ้มใหญ่ ๆ ขึ้นมาเปิดให้ผมดู... มันเป็นรูปสเก็ตภาพเหมือนซึ่งคนในรูปเป็นผมกำลังหันข้างอยู่... วาดตอนไหนเนี่ย?

    “ฉันแอบถ่ายรูปนายไปวาดน่ะ ช่วงนี้ไม่มีอะไรทำ” เด็กหนุ่มยกแก้วแชมเปญขึ้นจิบก่อนส่งยิ้มร่าให้ผม “ให้ฉันวาดรูปนายบ่อย ๆ เลยได้ไหม”

    “ได้สิครับ” แล้วทำไมต้องรูปผมด้วยล่ะนั่น พอลองสบตาดูแล้วอ่านความคิดก็ได้เหตุผลมาว่าเพราะผมน่าสนใจดี... แล้วมันน่าสนยังไงล่ะ?

     “วาดรูปสวยดีนะครับ” ผมเอ่ยชมตามความจริง เพราะมันเป็นภาพระดับมืออาชีพที่วาดขายกันเลย

    “ฉันวาดรูปขายน่ะ” อายุแค่นี้ก็หาเงินได้เองแล้วงั้นหรือ?... พลางนึกย้อนถึงอดีตตัวเองตอนอายุเท่าเด็กคนนี้บ้าง หึ ๆ ... เหลวไหลสิ้นดีเลยล่ะ

     หกโมงครึ่ง... ประตูร้านถูกเปิดเข้ามาอีกครั้งพร้อมร่างที่เดิมเข้ามา ซาวน์นั่นเอง เด็กหนุ่มมองมาสบตากับผม  ในใจร้องดีใจที่มาถึงร้านได้สักที

    หลงทางสินะ...

    “มาแล้วครับ” ซาวน์เดินเข้ามาหาก่อนจะมองหน้าผมสลับกับหลิวไปมา... ด้วยความคิดว่าผมดูใกล้ชิดกับเจ้าเด็กนี่กว่าลูกค้าคนอื่นธรรมดางั้นเหรอ ผมจึงผละตัวออกก่อนเดินไปหาซาวน์

    “ทำไมมาช้าจังครับ” หลงทางจนต้องขอความช่วยเหลือจากตำรวจแทนคนธรรมดา เป็นเด็กที่ฉลาดใช่ย่อยเหมือนกันนะ

    “ก็... มาไม่ถูก เลยขอให้คุณตำรวจช่วยพามาให้” ร่างเล็กตอบ จ้องหน้าผมด้วยดวงตาใสแป๋ว ในหัวคิดกลัวว่าผมจะดุที่มาช้า พอได้ยินความคิดของซาวน์แล้วผมก็หลุดยิ้มออกมา

    “เด็กนายเหรอศรัณย์” หลิวเอ่ยแทรกขึ้นมาก่อนหัวเราะน้อย ๆ

    “จะมาสมัครเป็นเด็กเสิร์ฟใหม่น่ะครับ เดี๋ยวขอตัวสักครู่นะ” ผมเอ่ยบอกลูกค้าก่อนจะพาซาวน์ไปหลังร้าน ผมติดต่อกับเจ้านายเอาไว้ก่อนหน้านี้แล้วว่าจะมีคนมาสมัครเป็นเด็กใหม่ เขาจึงให้ชุดมาใส่ทำงานไปก่อนค่อยไปสัมภาษณ์งานอีกที

    ผมจัดชุดให้ซาวน์ ใบหน้าของเด็กหนุ่มยังดูกังวลเล็กน้อยกับงานใหม่

    “ผมไม่รู้ว่าต้องทำยังไงบ้าง...”

    “ก็แค่จดรายการอาหารที่ลูกค้าสั่ง แล้วเอาไปให้พ่อครัว พออาหารเสร็จก็นำไปเสิร์ฟ แค่นั้นแหละ” ผมเอ่ยสรุปรวม ๆ เพราะจริง ๆ แล้วซาวน์เป็นเด็กฉลาดไหวพริบดี คงไม่ต้องห่วงอะไรมาก

    ผมพาซาวน์ออกมาจากห้องแต่งตัว ก่อนจะเรียกเด็กเสิร์ฟมาคนหนึ่งให้ช่วยแนะนำอะไรอย่างอื่นกับซาวน์ ทิ้งเอาไว้และกลับมาประจำที่เดิม หลิวยังคงนั่งจิมวิมเลทอย่างสบายใจ

    “มาแล้วครับ”

    “ศรัณย์” ผมเงยหน้าจากแก้วแชมเปญสบตากับเด็กหนุ่ม ดวงตากลมโตสีน้ำตาลเข้มจ้องมองผม พลันความคิดของหลิวที่ผมได้ยินก็ทำเอาผมชะงัก

     

    นายอ่านใจฉันได้ใช่ไหม

     

     

     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×