ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    BARTENDER

    ลำดับตอนที่ #2 : แชมเปญแก้วที่ I

    • อัปเดตล่าสุด 10 ธ.ค. 52


     

    แชมเปญแก้วที่ I

     

     

     

    แก๊ง...

    ผมส่งแก้วเปล่าให้เด็กสาวที่กำลังถอดฮู้ดออกจากหัว ก่อนจะรินวอดก้าชั้นดีให้ด้วยความคล่องแคล่ว ซึ่งหล่อนก็คว้ามากระดกซดเอื้อกทันที เธอเป็นลูกค้าประจำของบาร์ที่ผมทำงานอยู่นี้... ซึ่งคนที่มาร้านนี้บ่อย ๆ จะไม่แปลกใจนักที่เห็นเด็กตัวเล็ก ๆ นั่งดื่มวอดก้าได้อย่างสบายคอ

    “เฮ้ย พี่รัณย์ ช่วงนี้มีงานไรทำมั่งวะ” คำพูดที่ไม่น่าจะหลุดออกมาจากปากของเด็กผู้หญิงนั้นก็ถือเป็นเรื่องปกติ แต่คราวนี้ผมเดาได้ว่าเธอกำลังอารมณ์ไม่ดีเท่าไรนัก

    “มีแต่ส่งของนะช่วงนี้” ผมตอบอย่างเป็นกันเอง รินวอดก้าให้เด็กสาวต่ออีกแก้ว

    “ส่งของอีกแล้วเหรอพี่..” เธอบ่นอุบ ยกแก้วขึ้นซดพักหนึ่งก่อนกระแทกลงกับโต๊ะ “งานที่แล้วก็ให้ฉันเข้าไปส่งให้ในงานเลี้ยง น่าเบื่อเป็นบ้าเลย”

    จริง ๆ แล้วเธอเป็นคนเงียบ ๆ ไม่ชอบสุงสิงกับใคร แต่คงไม่ใช่สำหรับผมที่สนิทกับเธอมานานพอสมควร

    “แต่งานนี้ไม่น่าเบื่อนะ” เด็กสาวสบถคำหยาบนิดหน่อย ยกแก้วขึ้นกระดกอีกรอบก่อนเอ่ยถาม

    “ว่ามาเหอะ”

    “ส่งของเหมือนกัน... แต่ต้องระวังมาเฟียด้วย” ผมกล่าวพลางรินวอดก้าให้อีกแก้ว เธอเป็นเด็กสาวหน้าตาน่ารักคนหนึ่ง ติดแค่ว่านิสัยดันดิบเถื่อนเหมือนเด็กผู้ชายและออกจะชอบทำตัวลึกลับ หากผมกลับรู้ความลับของเธออยู่เยอะพอสมควร

    “มาเฟียเรอะ ดี จัดไป” เมื่อตอบรับข้อเสนอ ผมจึงจัดการบอกรายละเอียดให้เธอ... แน่นอนว่ามันเป็นงานอีกงานของผม นอกจากบาร์เทนเดอร์แล้วผมยังเป็นคนจัดหางานให้พวกรับจ้างทั่วไปด้วย

    แต่มันไม่ได้มีแค่นั้น...

    “โอเค งั้นฉันไปล่ะ” เมื่อรับงานเรียบร้อย เธอก็ตบเงินลงบนโต๊ะก่อนสวมฮู้ด และมุ่งหน้าออกจากร้านไป

    ผมเก็บเงินบนโต๊ะและบริการให้ลูกค้าที่มาอีกไม่กี่ราย หนึ่งในนั้นเป็นชายสวมแว่นดำคนหนึ่ง และผมก็รู้โดยทันทีว่านี่จะเป็นหนึ่งในลูกค้าของงานอีกงานของผม

    “เด็กคนเมื่อกี้” เขากล่าวพลางยกแก้วเบียร์ขึ้นจิบ “กำลังจะไปไหน”

    “ส่งของครับ” ผมยิ้มให้อย่างสุภาพ คนนี้ ๆ มาจากกลุ่มที่เป็นลูกค้าประจำของผมเช่นกัน... และงานอีกงานที่ว่าของผมนั่นคือ...

    “ว่ารายละเอียดมาซิ”

    ...ขายข่าวสารนั่นเอง

     

    ด้วยความที่ผมทำงานอยู่ในบาร์ใต้ดิน แหล่งมั่วสุมของชาวเมืองซึ่งเป็นสถานที่รวบรวมข่าวสารอันดีเยี่ยม... ลูกค้ามักชอบมาคุยกันให้ผมฟัง หรือบางรายก็คุยกับตัวผมเองโดยตรง... ผมจึงล่วงรู้ข้อมูลข่าวสารของเมืองเป็นอย่างดี

    แต่มันไม่ได้มีแค่นั้น... นอกจากนี้แล้ว ผมยังมีความสามารถพิเศษอีกอย่างที่ไม่น่าจะมีใครทำได้

    ผมอ่านใจคนได้ครับ

    แต่จะต้องสบตาเท่านั้นถึงจะล้วงความคิดในหัวของคนนั้นออกมาได้ แล้วถ้าสบตากันนาน ๆ อาจจะรู้ไปถึงความคิดลึก ๆ ของจิตใจได้อีกด้วย... มันเป็นความสามารถแปลก ๆ ที่ผมได้มาจากปู่ตั้งแต่เด็กแล้ว

    เพราะอย่างนี้ผมจึงสามารถรู้ความลับของคนอื่น ๆ และใช้เป็นสินค้าแลกเงินชั้นดีเลยทีเดียว

    ผมจึงเป็นที่รู้จักในโซนมืดเป็นอย่างดี ได้ยินว่าคนตั้งค่าหัวผมสูงกันมาก ทำให้มีคนมาตามล่าอยู่เป็นระยะ ๆ อย่างนี้ เป็นกิจวัตรประจำวันไปแล้วล่ะ

    กริ๊ง

    “รับอะไรดีครับ” ผมเอ่ยกับลูกค้าซึ่งเป็นเด็กหนุ่มหน้าใหม่อีกคนอย่างสุภาพ ผมสีน้ำตาลประบ่าซอยยุ่ง ๆ ตามแฟชั่น ใบหน้าขาวกลมรูปไข่เหมือนผู้หญิง ดูจากรูปร่างแล้ว... อายุน่าจะราว ๆ สิบห้าถึงสิบหกปี...

    บาร์นี้เป็นบาร์ใต้ดิน ที่เปิดให้เด็กเข้าได้ทุกวัย... แน่นอนว่าเป็นผลจากอิทธิพลของเจ้าของบาร์นี้ที่สามารถต่อสู้กับอำนาจของตำรวจได้... และกลายเป็นเชสเซอร์บาร์อันโด่งดังที่สุดของเมือง

    “ขอเรดมาการิต้า” เขากล่าวเบา ๆ ใบหน้าอ่อนนั้นดูไม่ค่อยสบอารมณ์เท่าไร เป็นไปได้ว่าเลิกกับแฟนมา... ผมหยิบแก้วค็อกเทลขึ้นมาเคลือบปากแก้วด้วยมะนาวและเกลือ ก่อนใส่น้ำแข็งก้อนลงในเชคเกอร์ ตามด้วยเตกีล่า เรดคูราโซ่ น้ำมะนาว และน้ำเชื่อม ปิดฝาเชคเกอร์และเขย่าแรง ๆ ให้ส่วนผสมเท่ากัน รินลงในแก้วอย่างคล่องแคล่ว ประดับด้วยมะนาวฝานแว่นเป็นอันเสร็จ

    “ได้แล้วครับ” เด็กหนุ่มรับมาจิบอย่างเซ็ง ๆ เช่นเคย พอปากสัมผัสเหล้าปุ๊บก็เริ่มเปิดบทสนทนากับผมทันที

    “ทำไมคนเราต้องมีแฟนด้วยนะ”

    “เป็นธรรมชาติของมนุษย์ครับ” ผมตอบพร้อมยิ้มน้อย ๆ ... คาดการณ์ไว้ไม่ผิดจริง ๆ เสียด้วย ขนาดยังไม่ได้อ่านใจเลยนะ

    “น่าเบื่อชะมัดเลย” เด็กหนุ่มสบถก่อนยกแก้วขึ้นจิบอีกครั้ง ถึงเขาจะดูอารมณ์เสียแต่ก็ยังดูผู้ดีมีตระกูลอยู่ตลอดเวลา

    “มีคนที่เกิดมาเพื่อเราอยู่ครับ” ผมกล่าวเนิบ ๆ ตามบทเดิมที่ไว้ปลอบคนอกหัก “แค่เราจะหากันเจอหรือไม่เท่านั้น”

    “แต่ฉันว่า ไม่มีมันเลยยังดีกว่า” ร่างเล็กบ่นพึมพำ ฟุบหน้าลงกับโต๊ะก่อนถอนหายใจยาว ๆ เฮือกใหญ่

    “หัวใจไม่ได้มีไว้แค่สูบฉีดเลือดอย่างเดียวนะครับ” ผมหัวเราะเบา ๆ เรียกให้เด็กคนนั้นชันคางขึ้นมามองหน้าผมอย่างสนใจ

    “พูดได้ดีนี่หว่า” เด็กหนุ่มหัวเราะร่วนไปกับผม “น้ำเน่าเป็นบ้า”

    “...ขอบคุณครับ” ผมกระตุกยิ้มรับน้อย ๆ ตามมารยาท เด็กนี่ก็กวนประสาทใช่ย่อยเหมือนกัน ก่อนปลีกตัวไปหาลูกค้าคนอื่นช่วงหนึ่ง สุดท้ายก็เวียนกลับมาเจอเด็กหนุ่มคนนี้อีกครั้งซึ่งแก้วได้ว่างเปล่าเป็นที่เรียบร้อย

    “รับอะไรเพิ่มมั้ยครับ”

    “ขอ... วิสกี้ซาวน์ ใส่น้ำส้มด้วยนะ” ผมรับคำ หยิบแก้วขึ้นมาเคลือบปากแก้วด้วยมะนาวและน้ำตาลทราย ก่อนใส่น้ำแข็ง สก๊อตซ์วิสกี้ น้ำส้มคั้น น้ำมะนาว และน้ำตาลทรายลงในเชคเกอร์ เขย่าแรง ๆ จนส่วนผสมเข้ากันดี กรองผ่านฝากรองใส่แก้วซาวร์ ประดับด้วยมะนาวฝานแว่นและเชอร์รี่พร้อมเสิร์ฟ

     “นายชื่ออะไรเหรอ” เด็กหนุ่มรับมาจิบพร้อมเปิดบทสนาอีกรอบ

    ศรัณย์ครับ” ผมเอ่ยบอกไปตรง ๆ ไม่เกรงเรื่องการบอกชื่อให้คนแปลกหน้าเท่าใดนัก เพราะนั่นไม่ใช่ชื่อจริงของผม เป็นเพียงชื่อปลอมที่รู้จักกันในวงการเท่านั้น ส่วนเด็กคนนี้ชื่อหลิว... ผมได้ยินความคิดล่วงหน้าของเขาตอนสบตากันแวบหนึ่งเมื่อกี้

    “ฉันหลิว” เด็กหนุ่มกล่าวพลางจิบวิสกี้ช้า ๆ “บาร์นี้เปิดถึงกี่โมงเหรอ”

    “ห้าโมงเย็นถึงตีสองครับ”

    “ แล้วตอนกลางวันนายทำอะไร?”

    “ก็รับจ้างทั่วไปแหละ” ผมตอบคำถามกำ ๆ กวม ๆ ซึ่งหลิวก็ไม่ได้ซักไซ้อะไรต่อกลับพยักหน้าอย่างเข้าใจ ก่อนหันไปมองไปรอบ ๆ ร้านพลางบ่นออกมาต่อ

    “เดี๋ยวนี้กรุงเทพเปลี่ยนไปจากแต่ก่อนเยอะมากเลยเนอะ”

    “ครับ” ผมรับคำพลางเขย่าเชคเกอร์ผสมค็อกเทลให้ลูกค้าคนอื่น และฟังคำบ่นของหลิวไปด้วย... อายุแค่นี้กลับพูดอย่างกับอยู่บนโลกนี้มานานแล้วนักเลย

    “อยู่ดี ๆ ไม่ชอบ ดันแบ่งกันเป็นโซน ๆ ... โซนมืดบ้างล่ะ โซนอังกฤษบ้างล่ะ”

    “ไชน่าทาวน์ด้วยครับ”

    “เอ้อ! ก็เยาวราชน่ะแหละ แต่คนจีนนี้มันมาตั้งถิ่นฐานอยู่นานแล้ว แต่ฉันข้องคนอังกฤษชะมัด” เด็กหนุ่มบ่นยาว ยกวิสกี้ขึ้นดื่มอีกครั้ง ก่อนวางลงและกล่าวต่อ

    “จู่ ๆ ดันเข้ามาซื้อที่ในกรุงเทพ เอาเป็นย่านของตัวเองไปเฉย แต่แทนที่จะทำแบบเจริญ ๆ ดันทำแบบเป็นอารยธรรมย้อนยุค อังกฤษเก่า ๆ เสียอย่างนั้น”

    “ประมาณว่า ต้องการจะรักษาอารยธรรมของตัวเองเอาไว้... แต่ดันเอามาตั้งในไทยสินะ”

    “นั่นสิ! ต้องการอะไรกันแน่นะ” หลิวว่าพลางแกว่งวิสกี้ซาวน์ในแก้วไปมา “แล้วโซนมืดที่เราอยู่นี่ก็กินที่กรุงเทพไปเสี้ยวหนึ่ง กลายเป็นแหล่งชุกชุมของอะไรไม่รู้... รัฐบาลนี่คิดอะไรอีกนะ”

    “คงต้องการกวาดสิ่งสกปรกมาอยู่ในมุม ๆ เดียว แทนที่จะให้กระจายไปทั่วทั้งเมืองแหละมั้ง”

    “คงงั้น” หลิวรับคำ มองหน้าผมพักหนึ่งแล้วเปลี่ยนเรื่อง “นายรับจ้างอะไรเหรอ”

    “จริง ๆ ก็คือขายข่าวสารครับ” ผมตอบตามตรง เรียกให้หลิวต้องเอ่ยต่อด้วยความสนใจ

    “จริงเหรอ? งั้นฉันซื้อได้ไหม”

    “ได้สิครับ” ผมยิ้มเล็กน้อย “อยากรู้เรื่องอะไร ถามผมมาได้หมดทุกเรื่องล่ะ”

    “เจ๋งชะมัดเลย อ๊ะ ฉันต้องไปแล้วล่ะ” เด็กหนุ่มรีบกระดกวิสกี้ซาวน์จนหมดแก้ว กระโดดลงจากเก้าอี้แล้ววางเงินลงบนโต๊ะ “ไว้จะแวะมาใหม่นะ!”

    “ครับ” ผมตอบรับพร้อมส่งรอยยิ้มบอกลาให้ ฉวยโอกาสอ่านใจตอนสบตากันอีกครั้ง ที่ต้องรีบไปก็เพราะกลับบ้านเกินตีสองไม่ได้งั้นหรือ... เป็นเด็กที่น่าเอ็นดูอยู่เหมือนกันแฮะ ว่าพลางคิดถึงอดีตตัวเองตอนอายุสิบห้าเท่าเด็กคนนั้น...

    ...

    ไม่ต้องคิดถึงดีกว่า ฮ่า ๆ ๆ

    “เฮ้ นายน่ะ” หญิงสาวคนหนึ่งเอ่ยเรียกผม หล่อนมีผมสีน้ำตาลแกมแดง ดวงตาสีเขียวใบไม้เป็นประกายดูแปลกตา ไม่น่าจะใช่เลนส์...

    “รับอะไรดีครับ”

    “มีเลือดสด ๆ สักแก้วมั้ย” ...ผมกระตุกยิ้มเล็กน้อยกับมุกที่ไม่น่าเล่น ก่อนตัดสินใจเอ่ยปฏิเสธอย่างสุภาพ ลองสบตากับเธอคนนั้น

    “ไม่มีครับ”

    “ว้า... ฉันจะหาเลือดสด ๆ กินได้ที่ไหนเนี่ย” ปรากฏว่านั่นไม่ใช่มุกตลกอะไร เธอมาหาเลือดกินจริง ๆ แล้วก็... เป็นไปได้ว่าอาจจะเป็น...

    ผีดูดเลือด

    “โรงพยาบาลครับ ไปขอซื้อเลือดบริจาคได้” ผมให้คำแนะนำไปตามมารยาท ไม่อยากจะรีบเชื่อเท่าใดนักเพราะพวกชอบกินอะไรแปลก ๆ ก็มีอยู่ไม่น้อย “รับอะไรดื่มแก้กระหายก่อนดีไหมครับ”

    “ขอเมนูหน่อยสิ” ผมจึงยื่นแผ่นเมนูให้เธอไปตามคำขอ หญิงสาวรับมาพลิก ๆ ดูก่อนเอ่ยสั่งเมนูที่ถูกใจ “ขอบลัดดี้ แมร์รี่”

    หาอะไรชื่อคล้าย ๆ เลือดมาดื่มแทนงั้นเหรอ... เฮ้อ พิลึกคนดีจริง ๆ ไว้หาโอกาสสบตาแล้วอ่านใจดูอีกรอบดีกว่า

    ผมหยิบแก้วชนิดไฮบอลขึ้นมา เทวอดก้าใส่ลงไปก่อนเติมน้ำมะนาว ตามด้วยซอสทาบาสโก กับซอสลี แอนด์ เพอร์รินส์ ปรุงรสด้วยเกลือป่นและพริกไทยป่น หันไปหยิบเหยือกน้ำมะเขือเทศเติมลงไปครึ่งแก้ว ก่อนใช้ช้อนบาร์คนส่วนผสมให้เข้ากัน ใส่น้ำแข็งลงไปจนเต็มแก้ว ตามด้วยยอดขึ้นช่ายฝรั่งเป็นอันเสร็จ

    “กลิ่นฉุนจริง” หล่อนเอ่ยวิจารณ์ นี่เป็นสูตรเหล้าเข้มข้นที่ฉุนด้วยซอสเปรี้ยว และเผ็ดกลมกล่อม ในยุโรปนิยมดื่มกันมาก หญิงสาวรับมาลองจิบก่อนจะย่นจมูกน้อย ๆ

    “แปลก ๆ ดี เออ... นี่นาย”

    “ครับ?”

    “นายพอจะรู้วิธีปลอบใจคนไหม” ผมยิ้มให้คำถามและตอบตามตรง... เธอกำลังหนักใจเรื่องเพื่อนสาวของตนเองสินะ

    “พอรู้บ้างครับ”

    ฉันมีเพื่อนคนนึงกำลังซึมเพราะดันไปฝันเห็นแฟนที่เสียชีวิตไปเข้า ฉันควรปลอบใจหล่อนยังไงดี หญิงสาวร่ายยาว ใบหน้าสวยเริ่มฉายแววกังวล ผมนิ่งคิดไปสักพักก่อนเอ่ยตอบ

    “แฟนของเธอเสียชีวิตนานหรือยังครับ?”

    “เป็นร้อยปีแล้ว”

    “...” ผมไม่รู้จะตอบยังไงกับมุกนี้ รอสบตากับเธออีกครั้งจึงพบว่ามันเป็นเรื่องจริง เฮ้ย... เป็มแวมไพร์จริง ๆ งั้นเรอะ อย่ามาล้อเล่นน่า... ผมทำหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออกก่อนตัดสินใจเอ่ย “เป็นคนลืมยากน่าดูเลยนะ”

    “ใช่ ฉันยังทำใจได้แล้วเลย” หญิงสาวบ่นอุบพลางยกบลัดดี้แมร์รี่ขึ้นดื่ม “ฉันเองก็ปลอบใจคนไม่ค่อยเก่งด้วยสิ”

    “ถ้าคิดว่าลืมไม่ได้จริง ๆ ผมว่าอย่าไปฝืนใจให้ลืมดีกว่า” ผมเอ่ยตามที่คิดตรง ๆ “ให้คิดเสียว่าคน ๆ นั้นจากเราไปแค่กาย แต่ใจของเขายังอยู่กับเราตลอด”

    “แต่มันก็อดเจ็บปวดไม่ได้อยู่ดีนะ”

    “ทำไมถึงจะต้องเจ็บปวดกับอดีตที่มีความสุขของตัวเองด้วยล่ะครับ?”

    “ก็... อดีตที่แสนสุขนั้นไม่สามารถกลับมาเป็นจริงได้อีกแล้วไง” เธอกล่าวพลางขมวดคิ้วอย่างสงสัย “นายไม่คิดอย่างนั้นเหรอ?”

    “ผมไม่คิดอย่างนั้นนะ” ผมยิ้มบาง ๆ พลางกลอกตาขึ้นเหมือนนึกย้อนอดีต “แทนที่จะไปเจ็บปวดเวลาฝันถึงอดีต ผมกลับมีความสุขเวลาได้เห็นอดีตนั้นอีกครั้ง... เหมือนกับว่าเขายังอยู่กับเราตลอดเวลา ไม่ได้จากไปไหน”

    ผมหยุดช่วงและมองหน้าคู่สนทนา ปรากฏว่าเธอกำลังนั่งฟังอย่างตั้งใจ... หืม ได้ผลด้วยแฮะ

    “จริงอยู่ว่าอดีตนั้นไม่สามารถกลับมาเป็นจริงได้อีก... แต่การได้เห็นหน้าเขาคนนั้นอีกครั้ง มันน่าเสียใจยังไง?” เมื่อเห็นว่าคู่สนทนาไม่ตอบอะไร ผมจึงกล่าวต่อ “ถ้าเรารักเขาจริง แค่ได้เห็นหน้าอีกครั้ง ถึงแม้จะเป็นแค่ในฝัน มันก็น่าพอใจจะแย่อยู่แล้ว... ดีกว่าไม่ได้เห็นอีกเลยนะ”

    “จริงของนาย...” หญิงสาวมองหน้าผมอย่างอึ้งเล็กน้อย “นายดูปลงโลกดีจังเลยนะ”

    “เป็นคำชมหรือเปล่าครับ” ผมหัวเราะน้อย ๆ ตามหน้าที่ “อดีตที่แสนสุขนั้นไม่ได้มีไว้ให้เรามานั่งเสียดาย... แต่มีไว้ให้เราสุขสมเวลาหวนนึกถึงอีกครั้งต่างหาก ฝากบอกเพื่อนคุณด้วยนะ”

    “อื้ม...” หล่อนพยักหน้ารับ พลางยกบลัดดี้แมร์รี่ขึ้นจิบต่อ ใบหน้าดูผ่อนคลายกว่าเดิม

    “อีกอย่าง เขาที่มีเพื่อนดี ๆ คอยห่วงใยอยู่ตลอดแบบนี้... ผมว่าเขาก็โชคดีอยู่เหมือนนะครับ” ผมแสร้งยิ้มอย่างจริงใจอีกครั้ง พลางจัดการผสมค็อกเทลให้ลูกค้าข้าง ๆ ไปด้วย

    “...ฉันก็ไม่ได้ดีขนาดนั้นหรอก”

    “หืม ดูคุณเป็นห่วงเขามากอยู่เหมือนกันนะครับ” ผมรินวิสกี้ลงในแก้วไวน์ ผสมกันเป็นโอลแฟชั่นด์ก่อนส่งให้ชายหนุ่มลูกค้าด้านข้าง ๆ และเอ่ยกับเธอต่อ “ความห่วงใยที่คุณมี ต้องช่วยเขาไว้ได้มากแน่ ๆ”

    “นายเป็นโฮสต์หรือเปล่าเนี่ย” หล่อนหัวเราะน้อย ๆ ซึ่งผมก็ยิ้มรับไว้ “เดี๋ยวฉันต้องไปแล้ว ขอบคุณสำหรับคำแนะนำมากนะ”

    “ไม่เป็นไรครับ” เป็นบาร์เทนเดอร์ เหมือนต้องรับงานฟังคนปรับทุกข์ไปในตัวด้วยเลย ซึ่งก็เจอมาแล้วสารพัดเรื่องละครที่ต้องฟัง...

    “ฉันต้องไปแล้ว ว่าง ๆ ก็แวะมาที่ร้านเค้กของฉันได้นะ ชื่อร้านแมวเหมียวขนมเค้ก อยู่แถวราชเทวีน่ะ” หญิงสาวหยิบเงินขึ้นมาวางไว้ ก้าวลงจากเก้าอี้ หากก่อนที่จะออกจากร้านไปก็หันควับมายิ้มแยกเขี้ยวให้ผมอีกรอบ

    “ไม่สิ! บังคับให้มาต่างหาก ถ้าไม่มาฉันจะดูดเลือดนายซะ!”

    “ไว้ผมจะไป ขอบคุณครับ” ผมยิ้มบอกลาให้อย่างสุภาพอีกครั้งก่อนเหลือบดูนาฬิกา ได้เวลาปิดร้านแล้ว... ลูกค้าเริ่มทยอยกลับบ้านกลับช่องกันไป ผมจึงเริ่มจัดการเก็บร้าน หากเสียงประตูก็ถูกเปิดเข้ามาอีกครั้ง

    ใครกันนะ มาตอนจะปิดร้านแบบนี้

    “ร้านปิดแล้วนะครับ” ผมหันไปดูลูกค้าที่มาใหม่ เขาเป็นเด็กผู้ชายร่างผอม ชุดขาด ๆ หน้าตามอมแมม เดินโซซัดโซเซเข้ามาก่อนจะล้มฟุบลงตรงหน้า ผมจึงรีบเข้าไปรับเอาไว้ซึ่งทันท่วงที  เด็กหนุ่มคนนั้นยังไม่หมดสติไปทีเดียว แค่แขนขาอ่อนเปลี้ยเหมือนหมดแรง

    “เป็นอะไรหรือเปล่าครับ?”

    “หิว...” รู้สึกเหมือนตัวเองงานเข้า... จะปล่อยเอาไว้ก็ไม่ได้ด้วยสิ ผมตัดสินใจอุ้มเด็กคนนั้นขึ้นมาวางไว้บนโซฟา เบาหวิวเลยแฮะ อาจจะเป็นเด็กจรจัดทั่วไป

    ผมก็ไม่ใช่คนใจไม้ไส้ระกำอะไรขนาดนั้น เดินเข้าครัวไปขออนุญาตพ่อครัวที่กำลังเก็บของอยู่ ทำแซนวิสมาให้เด็กคนนั้น พอเขาเห็นปุ๊บก็รีบหยิบทานทันที

    “อุบ แค่ก ๆ ๆ” ไปตามสเต็ปที่คิดไว้ ผมจึงยื่นแก้วนมให้ต่อซึ่งเขาก็รับมาดื่มเอื้อก ๆ ทีเดียวหมดแก้ว จนกระทั่งทุกอย่างถูกผลาญไปจนหมดเกลี้ยง ตาโต ๆ นั่นก็หันมาจ้องหน้าผมปริบ ๆแล้วความคิดที่อ่านได้ก็ทำเอาผมชะงัก

    ในหัวมีแต่คำถามเต็มไปหมด ทั้งตัวเองเป็นใคร ชื่ออะไร มาจากไหน และ...

    “เอ่อ... ที่นี่ที่ไหนเหรอ”

    “เชสเซอร์บาร์ครับ”

    “แล้วผมเป็นใคร?” เป็นไปได้ว่าความจำเสื่อมจริง ๆ ด้วย

    “ผมจะรู้ไหมล่ะครับนั่น” ผมยิ้มค้างไว้อย่างนั้นพลางลอบถอนหายใจ เด็กหนุ่มดูกระวนกระวายเล็กน้อยก่อนจะตัดสินใจเอ่ยออกมา

    “ผมจำอะไรไม่ได้เลย ตื่นมาก็อยู่กลางถนนเลย” งานเข้าใช่ไหมครับ.. แบบนี้เรียกว่างานเข้าใช่ไหม มาเจอคนที่ชีวิตถอดแบบมาจากหนังอีกแล้ว ส่วนคนรับเคราะห์ก็ต้องเป็นผมสินะ?

    “มีอะไรติดตัวบ้างไหมครับ”

    “มีแค่จี้ห้อยคอนี้” เด็กคนนั้นหยิบขึ้นมาให้ผมดู ตัวจี้นั้นเป็นแผ่นสี่เหลี่ยมสลักไว้ว่า Clovest ... อืม ผมคงไม่ต้องมาช่วยแก้ปริศนาให้เด็กคนนี้หรอกนะ?... แค่นี้ก็เหนื่อยจะแย่แล้ว...

    แล้วจะจัดการกับเด็กคนนี้ยังไงดีเนี่ย?

    “เดี๋ยวผมมานะ” ผมหยิบจานและแก้วไปเก็บในครัว แต่พอกลับมาเห็นสภาพของเด็กตรงหน้าก็ทำให้ผมต้องถอนหายใจออกมาอีกเฮือก เมื่อเจ้าตัวดันชิงหลับคาโซฟาไปเสียดื้อ ๆ ทิ้งภาระให้พระเอกอย่างผมอีก...

    ผมตัดสินใจผละตัวออกไปเก็บร้าน ปล่อยเด็กคนนั้นให้นอนไปก่อน จนกระทั่งพ่อครัวทยอยกลับบ้านกันหมดแล้ว ผมจึงวนกลับมาที่เด็กคนนี้อีกครั้งซึ่ง... ยังคงหลับสนิท

    เอาไงดีว้า ทิ้งไว้ก็ไม่ได้

    คงมีอยู่หนทางเดียว เป็นไงเป็นกัน... อย่างน้อยหัวเรื่องก็ไม่ได้จั่วไว้ว่านิยายวายล่ะนะ!

     


     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×