ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    BARTENDER

    ลำดับตอนที่ #11 : แชมเปญแก้วที่ VIII

    • อัปเดตล่าสุด 26 ธ.ค. 53


     

    แชมเปญแก้วที่ VIII

     

     

     

    ภายในวันรุ่งขึ้น ผมมาทำงานตามปกติหลังจากไปดูอาการซาวน์ที่โรงพยาบาลแล้ว

    เด็กหนุ่มยังคงไม่ได้สติ ส่วนหมอก็ยังอับจนปัญญาในการรักษา จนผมต้องยอมตัดใจกลับมาที่บาร์อีกครั้ง... ไปหายังบุคคลเดียวที่คาดว่าสามารถตอบคำถามของผมได้

    ซึ่งพอเปิดประตูเข้าไปก็พบกับบุคคลนั้นนั่งรออยู่ก่อนแล้ว ราวกับรู้ล่วงหน้าว่าผมมีธุระด้วย

    “ซาวน์ยังไม่ฟื้นสินะ”

    “คุณรู้ใช่ไหมว่าซาวน์เป็นอะไร?” ผมสาวเท้าเดินเข้าไปในเคาน์เตอร์ด้านตรงข้ามกับร่างโปร่ง คุณเชสเซอร์ไหวไหล่เล็กน้อยก่อนจะเอ่ยตอบ

    “ขอโทษที ฉันเองก็บอกไม่ถูก” เมื่อได้ยินคำตอบผมก็อ้าปากเตรียมจะถามต่อทันที แต่ว่าเด็กหนุ่มก็ยกมือขึ้นมาเชิงให้หยุดแล้วรีบพูดแทรก “รออีกสักสามสี่วันก็คงจะฟื้นเอง...”   

    “รู้ได้ยังไงครับ?”

    “นายไม่ต้องทำอะไร รอเฉย ๆ ก็พอ” เจ้านายของผมเอ่ยตัดบท ดีดตัวลงจากเก้าอี้บาร์และเดินหายไปหลังร้าน ทิ้งให้ผมยืนเรียบเรียงความคนเดียว

    วันนี้หลิวไม่ได้มาที่ร้าน จึงรู้สึกเงียบสงบกว่าที่เคย เผลอแวบเดียวก็ถึงตีสองที่ผมจะต้องกลับบ้าน

    ผมช่วยปิดร้านและขึ้นรถ ตั้งใจจะไปดูอาการซาวน์ที่โรงพยายาบาลอีกสักรอบก่อนกลับ เพราะค่อนข้างดึกถนนจึงไม่มีรถราวิ่งเท่าใดนัก จึงเหยียบเต็มสปีดแต่พลันหางตาก็เห็นเงาวูบ ๆ ผ่านไปริมถนน

    อะไรน่ะ!?

    ผมเหยียบเบรกเอี๊ยด ก้าวลงจากรถแล้วเหลียวมองกลับไปยังทางที่ผ่านมา  ชั่งใจวิ่งกลับไปดูเจ้าสิ่งที่วูบผ่านตาผมไป และแจ็คพอตก็แตกเมื่อพบเข้ากับร่างของหญิงสาวคนหนึ่งกำลังนอนจมกองเลือดอยู่

    เซร่า!

    ผมรีบเข้าไปดูใกล้ ๆ พบว่าเธอมีรอยกระสุน รอยฟันและรอยไหม้ที่ผิวหนัง แขนขวาบิดคนละทาง ซึ่งอาการเหล่านี้คนปกติควรจะเสียชีวิตไปแล้ว แต่เธอยังหายใจอยู่รวยริน

    แน่นอน เพราะเธอเป็นแวมไพร์ เท่าที่ผมรู้ การฆ่าแวมไพร์มีแต่ต้องทำลายหัวใจกับโดนแดดเผาจนตายเท่านั้น  อาการอย่างนี้คงจะพาไปส่งโรงพยาบาลไม่ได้ สงสัยคงต้องพากลับไปที่บ้านก่อน

    ผมค่อย ๆ อุ้มเธอขึ้นมาบนรถ กลับทิศและมุ่งหน้าไปที่ร้านเค้กแทน ด้วยการที่ถนนว่างจึงทำให้ไปถึงอย่างรวดเร็ว หน้าประตูร้านปิดอยู่ครึ่งหนึ่ง และยังมีแสงไฟลอดออกมาจากด้านใน

    “มีใครอยู่มั้ยครับ!” ผมตะโกนถามด้านใน ไม่นานนักก็มีเสียงตอบกลับมา

    “ร้านปิดแล้วค่ะ”

    “เอาของมาส่งครับ” ของที่ว่าก็หนีไม่พ้นหญิงสาวที่ผมกำลังอุ้มอยู่ เสียงก๊อกแก๊ก ๆ ดังขึ้นก่อนประตูจะถูกเลื่อนเปิด ทันทีที่คุณแมวเจ้าของร้านเห็นของที่ว่าก็ต้องตกใจ

    “ศรัณย์เดลิเวอรี่มาแล้วครับ ขอทางหน่อย” ผมแทรกตัวเข้าไปด้านในร้าน “ให้วางของตรงไหนดีครับ”

    “เมี๊ยว! ชั้นสองเลยค่ะ” ว่าพลางรีบวิ่งนำผมขึ้นไปด้านบน เปิดประตูห้องให้ ก่อนผมจะวางร่างของเซร่าลงบนเสื่อ “เซร่าไปโดนอะไรมาคะเนี่ย!

    “ผมก็อยากรู้เหมือนกัน”  ผมตอบกวน ๆ กลับไป นึกไม่ถึงว่าเจ้าหล่อนจะพุ่งตัวเข้ามากดผมเข้ากับผนังแล้วเอาเล็บจ่อคอ

    “บอกฉันมาเดี๋ยวนี้ว่าเซร่าไปโดนอะไรมา” แหย่ง่ายดีเหมือนกัน ลองเล่นด้วยไปอีกดีกว่า

    “ผมน่าจะถามคุณมากกว่า ว่าทำไมปล่อยให้เพื่อนมานอนอยู่ข้างถนนแบบนี้" ผมถามกลับไปด้วยรอยยิ้ม พลันเจ้าหล่อนก็กระชากผมกดลงบนพื้นแล้วกดเล็บเข้ามาที่คอ เป็นคนที่บ้าความรุนแรงจริง ๆ

    “โอเค ๆ ผมขับรถผ่านมาเจอนอนจมกองเลือดอยู่ เลยพามาส่งที่นี่” ผมถอนหายใจเล็กน้อยก่อนจะยิ้มออกมาอีกครั้ง "แทนที่จะมาคาดคั้นกับผม เอาเวลาไปปฐมพยาบาลคุณเซร่าไม่ดีกว่าเหรอ"

    “จ...จริงด้วย!” เจ้าหล่อนชะงักก่อนจะรีบลุกขึ้นจากตัวผม "งั้นคุณช่วยลงไปห้องน้ำข้างล่างแล้วตักน้ำขึ้นมาถังนึงทีสิ"

    ด้วยความที่ช่วยไม่ได้ ผมจึงต้องลงไปตักน้ำมาให้ตามคำขอ ส่วนเจ้าหล่อนวิ่งลงไปหยิบเลือดกระป๋องมาในตู้เย็น ก่อนเธอจะไล่ให้ผมไปรอด้านนอกเพื่อจะทำความสะอาดตัวเซร่า คงจะรวมถึงทำแผลและกรอกเลือดให้ดื่มด้วย

    “อย่าแอบดูนะคะ!” ผมตอบรับไปสั้น ๆ ก่อนยืนพิงกำแพงรอไปสักพักใหญ่ หล่อนก็เปิดประตูออกมา “คุณศรัณย์ช่วยอยู่ดูแลเซร่าสักแป๊บได้ไหมคะ เดี๋ยวฉันกลับมาค่ะ

    “จะไปไหนเหรอครับ” คุณแมวหันมาสบตากับผม ความคิดดังขึ้นมาในหัวว่า อ่า... จะบอกว่าไปตามนักล่าก็ไม่ได้... ไปไหนดี...

    นักล่า?

    “ฉันจะไป... ซื้อยามารักษาเซร่าค่ะร้านยาที่ไหนเปิดตอนตีสามมั่งนะ

    “ยาอะไรรักษาแวมไพร์ได้เหรอครับ?” ผมถามด้วยรอยยิ้มที่ประดับบนใบหน้าเช่นเคย เจ้าหล่อนเบิกตากว้าง อึ้งที่ผมรู้ตัวตนที่แท้จริงของเซร่า

    “ค... คุณพูดเรื่องอะไรคะ...”

    “เรื่องที่ว่าคุณกับเซร่าไม่ใช่ มนุษย์ไงล่ะครับ” ทันทีที่ได้ยินคำตอบ ความคิดในหัวหญิงสาวก็ตีกันวุ่น ทั้งสงสัยว่าทำไมผมถึงรู้ และควรจะฆ่าผมปิดปากดีหรือไม่

    “คุณศรัณย์... คุณรู้มากแค่ไหนกันคะเนี่ย”

    ผมรู้ว่าคุณจะออกไปทำอะไร” ไปตามนักล่าเพื่อที่จะชิงไม้กางเขนเงินของเซร่าคืนมา... นี่คือความคิดที่ผมอ่านมาได้ “ผมจะตามไปด้วย

    ไม่ได้ค่ะ! ฉันให้คุณไปด้วยไม่ได้ มันอันตรายเกินไป

    “แต่คุณไปคนเดียวน่าจะอันตรายกว่านะครับ

    ยังไงก็ไม่ได้ค่ะ!

    “…งั้นผมอยู่เฝ้าคุณเซร่าแบบสองต่อสองตลอดคืนก็ได้ครับ

    ความเงียบเข้าปกคลุมชั่วขณะ...

    ก่อนหล่อนจะหลุดกรี๊ดออกมาในความคิด แถมว่ากำลังอยากฆ่าผมมากเลยอีกด้วย

    คุณแมวรีบขึ้นไปปลุกคนที่อยู่ด้วยให้มาช่วยดูแลเซร่าก่อน โดยบอกว่าจะมาถึงก่อนพระอาทิตย์ขึ้น

    “ไปรถผมไหม”

    ไม่ล่ะค่ะ ฉันมีวิธีที่ดีกว่านั้น แต่ว่าคุณศรัณย์ต้องปิดเป็นความลับนะคะ…” เพราะเจ้าหล่อนหันหน้าไปทางอื่น ผมถึงไม่สามารถอ่านใจได้ว่าวิธีที่ว่านั่นคืออะไร

    “ได้สิครับ”

    “งั้นช่วยหลับตาแป๊บนึงได้ไหมคะ” ผมเลิกคิ้วเล็กน้อยกับคำขอ ยังไม่ยอมหลับตา

    “ทำไมเหรอครับ”

    คือฉันจะให้คุณ ขี่ฉันน่ะค่ะ…”

    ...ห๊ะ!?

    ขี่? ขี่อะไรนะ??

    “หลับตาก่อนสิคะ” ได้ยินดังนั้นจึงต้องรีบหลับตาตามที่บอกทันที ผมเห็นแสงแวบ ๆ ลอดเข้ามาเล็กน้อยก่อนหล่อนจะบอกให้ลืมตาขึ้น ซึ่งทันทีที่เห็นภาพตรงหน้าก็ต้องเหวอรับประทาน

    แมวยักษ์ตัวเท่าเสือ!

    มันจะแฟนตาซีเกินไปแล้วนะ! แต่มีแวมไพร์แล้ว มีแมวตัวเท่าเสือคงจะไม่แปลกเท่าไหร่หรอกมั้ง ไหน ๆ มันก็เป็นนิยายหมวดแฟนตาซีไปแล้วนี่นา...

    ผมทำใจยอมรับถึงอิมเมจนิยายมันจะเริ่มแปลกเพี้ยนไปเรื่อย ๆ มีทั้งมนุษย์ต่างดาว ทั้งแวมไพร์ ทั้งแมวยักษ์โผล่เข้ามาในเรื่องเป็นพรวนทั้งที่ก่อนหน้านี้เป็นแค่นิยายบาร์เทนเดอร์ธรรมดา ๆ แท้ ๆ ...  

    “ขึ้นมาเลยค่ะ!” เอาจริงดิ!?

    “เอ่อ... ผมเคยขี่ม้านะครับ แต่แมวนี่ไม่แน่ใจว่าจะขี่ได้” แมวยักษ์แถมพูดได้อีกต่างหาก...

    แค่จับฉันไว้แน่น ๆ อย่าให้ตกก็พอค่ะ คุณแมวว่าก่อนจะร้องเมี้ยว ผมจึงต้องจำใจเดินเข้าไปนั่ง ซึ่งมันให้ความรู้สึกแปลกใหม่พิศดารมาก ๆ

    “จะซิ่งนะเจ้าคะ!”

    หลังจากนั้นผมจึงรู้ตัวว่ามีอะไรที่ศรัณย์คนนี้ยังไม่รู้จักอีกมาก...

     

    เจ้าหล่อนพาผมซิ่งแบบชนิดที่รถสปอร์ตเทียบไม่ติด เพียงไม่กี่อึดใจหล่อนก็หยุดที่หน้าโกดังเก่า ๆ แห่งหนึ่ง ส่วนผมที่ก้าวลงมาก็ต้องยันกำแพงไว้เพราะมันให้อารมณ์แบบนั่งรถไฟเหาะตีลังกามาสิบรอบ

    ไม่น่ามาเล้ย...

    ประตูโกดังนั้นปิดอยู่ คุณแมวแปลงร่างกลับเป็นมนุษย์อีกครั้ง เดินไปรอบ ๆ โกดังเพื่อหาทางเข้าก่อนจะเจอช่องลมเล็ก ๆ ด้านหลัง

    คุณแมวขอให้ผมเป็นฐานก่อนจะเหยียบบ่าผมขึ้นไป ใช้แรงที่เหนือมนุษย์ดึงกรงเหล็กออกมา แต่หาก...

    “ว...ว๊าย!” กรงเหล็กถูกกระชากหลุดออกมาพร้อมกับหญิงสาวที่หงายหลัง ซึ่งพาลทำให้ผมเสียหลักเซล้มไปด้วยกัน

    โครม!

    ผมกับคุณแมวล้มไปกองกับพื้นกันไม่เป็นท่า พาลนึกไปถึงการ์ตูนคอเมดี้เลยจริง ๆ ...พับผ่า

    หญิงสาวรีบชันตัวลุกขึ้น แล้วกระโดดรวดเดียวไปถึงช่องลมนั้นก่อนจะลอดตัวเข้าไปด้านใน ทิ้งให้ผมยืนเคว้งอยู่ด้านนอก แหม... คงจะให้ผมมาเพื่อการนี้อย่างเดียวสินะ

    ไหน ๆ ก็มาถึงนี่แล้ว จะกลับตอนนี้เลยก็ไม่ได้ (เพราะเดี๋ยวคนเขียนไม่มีเรื่องเขียน)

    ช่องลมสูงประมาณสามเมตร ด้วยการที่เรียนคาโปเอร่ามาทำให้ผมกระโดดสูงกว่าคนทั่วไปอยู่ ผมยกลังหนึ่งลังมาวางไว้ ถอยหลังไประยะหนึ่ง ก่อนวิ่งเข้าไปใช้เท้ายันกล่องส่งตัวขึ้นเกาะที่ช่องลมแล้วปีนตามเข้าไป

    ผมกระโดดลงมาบนพื้น ภายในนั้นมืดสนิทจนมองอะไรไม่เห็นจึงคลำทางเดินไปเรื่อย ๆ พลันหลังก็ชนเข้าไปร่าง ๆ หนึ่ง

    เสียงอุทานเบา ๆ จึงรู้ว่าเป็นหญิงสาวนั่นเอง

    ด้วยความที่มืดสนิท หล่อนจึงจับมือผมเอาไว้และเดินนำทางไปให้ เป็นแมวคงจะมองเห็นในที่มืดล่ะมั้ง ฉับพลันแสงไฟก็ถูกเปิดขึ้นสว่างโร่ไปทั่วทั้งโกดัง

    เร็วเท่าความคิด บางสิ่งก็พุ่งตรงเข้ามาทางเราสองคน ผมกับคุณแมวกระโดดหลบกันไปคนละทางก่อนจะตั้งหลักมองเจ้าสิ่งที่โจมตีมา

    ควาย...?

    ไม่รอให้ผมงง มันก็เหลียวกลับมาพุ่งโจมตีใส่คุณแมวทันที เมื่อหันไปดูที่มาของมันก็พบเข้ากับร่างของชายสามคนอยู่ในชุดผ้าคลุม คงจะเป็นพวก นักล่าที่ว่า

    ดูเหมือนว่าเพราะผมเป็นมนุษย์  มันจึงไม่ได้สนใจผมเท่าไหร่ พุ่งเป้าโจมตีไปที่คุณแมวพร้อมกันทั้งสามคนทันที บังเอิญว่าผมไม่ชอบพวกหมาหมู่เท่าไหร่ซะด้วย

    จากภาพรวมแล้วคนที่ตัวใหญ่สุดน่าจะรับมือด้วยง่ายสุด ไม่รู้ว่ามันใช้กลยุทธอะไรถึงสามารถโจมตีได้โดยไม่มีอาวุธ อีกคนหนึ่งเป็นชายร่างเล็กสวมแว่น เหมือนจะเป็นพวกคลั่งไสยศาสตร์ ส่วนคนสุดท้ายคือชายสวมฮู้ดที่ไม่ค่อยโดดเด่นเท่าใดนัก แต่ผมสัมผัสได้ว่าคนนี้ร้ายกาจที่สุด

    สู้กับมนุษย์ธรรมดามาเยอะแล้ว ลองสู้กับอะไรแปลก ๆ ดูบ้างดีกว่า...

    ผมชักปืนขึ้นมายิงขัดการโจมตีของพวกมัน ชายร่างเบิ้มคือเป้าหมาย มันยกแขนขึ้นมากันเอาไว้ กระสุนกระทบกับบางสิ่งดังเคร้ง เหมือนกับเป็นเสียงโล่  

    ดูจากเมื่อครู่นี้แล้วคงจะมีความสามารถเสกอาวุธในอุดมคติได้ ที่ลำบากก็คืออาวุธนั้นล่องหน แต่ความเสียหายเป็นเรื่องจริง มันไม่รอให้ผมตั้งตัวเสกอาวุธขึ้นมาทันที

    ชั่ววินาทีที่ผมอ่านใจจึงรู้ว่ามันคือธนู มันง้างตรงมาทางผมและปล่อยมือยิง ด้วยสายตาที่ยังคงจ้องมาที่ผมทำให้รู้ว่ามันเล็งมาที่ไหน จึงสามารถหลบได้อย่างสบาย ๆ

    ผมชักปืนที่เหน็บเอาไว้ขึ้นมายิงสวน มันใช้โล่ที่มองไม่เห็นกันเอาไว้ก่อนจะเสกอาวุธชิ้นใหม่ขึ้นมา ทำให้รู้ว่ามันใช้เวลาในการเสกประมาณสามวินาทีเท่านั้น

    ผมปลีกตัวเข้าไปหลบหลังลังไม้ แต่ไม่ได้ผลเมื่อมันตวัดอาวุธที่ว่าครั้งเดียวลังก็กระจุย คงจะเป็นอะไรสักอย่างที่โจมตีได้ในระยะสามเมตร แต่แปลกที่มันไม่ฟาดเข้ามาต่ออีกครั้งทั้งที่มีโอกาสโจมตีผมแล้ว แต่กลับสร้างอาวุธชิ้นใหม่ขึ้นมาอีก

    หรือว่าอาวุธแต่ละชิ้น ใช้ครั้งเดียวแล้วจะหมดไป?

    เมื่อรวบรวมข้อมูลของศัตรูได้พอสมควร ถึงเวลาที่จะต้องโต้กลับบ้างแล้ว

    ผมชักปืนยิงใส่มันอีกครั้งสองนัด ปะทะกับโล่มันหนึ่งนัดและทะลุผ่านไปอีกนัด เป็นอย่างที่คิดเอาไว้ มันสร้างโล่ขึ้นมาอีกครั้งก่อนจะพุ่งตัวเข้ามาหาผม ผมไม่รอเวลาอ่านใจ รีบวิ่งหลบไปอีกทางก่อนมันจะฟาดแรงมหาศาลลงพื้นจนแตกออกเป็นวงกว้าง เหมือนจะเป็นค้อนยักษ์

    แรงอัดทำให้เศษไม้ปลิวว่อน ผมยกแขนขึ้นบังก่อนจะอัดปืนรัวไปอีกครั้ง มันใช้โล่กันและเสกธนูขึ้นมายิงใส่ เฉียดปลายผมไปหวุดหวิด ส่วนกระสุนยิงเฉี่ยวแขนมันหนึ่งนัดแต่ดูเหมือนจะไม่ค่อยมีผลเท่าไรนัก ไม่รอเวลาให้มันตั้งตัว ผมหันปืนขึ้นรัวใส่มันอีกครั้ง ซึ่งมันก็ไม่ยอมอยู่เป็นเป้านิ่งเฉย ๆ วิ่งหลบไปหลังลังทันที

    ผมใส่กระสุนเข้าไปใหม่ ตั้งท่ารออยู่อีกฝั่งหนึ่ง แต่ลังไม้ที่กั้นระหว่างผมกับมันก็พลันทะลุออกเหมือนโดนปืนใหญ่ยิง ผมรีบหมอบลงกับพื้น เศษไม้ปลิวบาดผิวและเสื้อขาดวิ่น มันฉวยโอกาสนั้นกระโดดข้ามลังมา ง้างมือขึ้นเหมือนจะฟาดผมให้แหลกคาพื้น

    หากผมไวกว่า ดีดม้วนตัวหลบออกมาจากรัศมี แรงฟาดส่งผลให้ผมกระเด็นออกไป มันรีบสร้างโล่ขึ้นมาใหม่ชั่วขณะเดียวกับที่ผมอัดกระสุนใส่มัน

    ดูเหมือนว่ามันจะรู้ว่าตนเองเสียเปรียบเวลาผมรัวปืนยิง มันถึงสร้างโล่ขึ้นมาซ้อน ๆ กันหลายอันขณะที่ผมกำลังตั้งหลัก ผมรีบหันไปสบตาถึงรู้ว่ามันกำลังจะปาหอกมา

    ผมก้มหัวลงต่ำหลบแล้วชักปืนขึ้นยิงอีกครั้ง ปะทะกับโล่หลายชั้นของมันซึ่งมันก็รีบสร้างเพิ่มขึ้นมา ผมเหลือกระสุนไว้อีกสามนัดก่อนดีดตัวหลบออกไปหลังกำแพง

    ไม่มีเวลาใส่กระสุนเพิ่ม กำแพงคอนกรีตก็ถูกทำลายในระยะไกล ธนูยิงทะลุคอนกรีตได้เลยสินะ ผมรีบออกห่างจากกำแพงนั้นพลางใส่กระสุนเพิ่มแล้วยิงสวนไป ไม่ได้ผลเพราะปะทะเข้ากับโล่ของมันอีกครั้ง

    มันสร้างธนูขึ้นมาอีก ผมอ่านใจดูเป้าหมายที่มันจะยิงก่อนเสี่ยงคว้าท่อนเหล็กขึ้นมากันเอาไว้ เป็นไปตามที่คิด ธนูของมันไม่สามารถทะลวงท่อนเหล็กได้ ก็หมายความว่าท่อนเหล็กก็น่าจะโจมตีมันได้เหมือนกัน พอจะเริ่มมองเห็นทางที่จะซัดมันให้หมอบแล้ว

    มันกำลังวิ่งตรงมาที่ผมพร้อมสร้างค้อนยักษ์ขึ้นมา ผมลดปืนลงและเปลี่ยนเป็นวิ่งหนีซึ่งมันก็วิ่งตามผมมา น่าแปลกทั้งที่ตัวใหญ่แต่กลับวิ่งเร็ว แต่ก็ยังเร็วไม่เท่าผม

    ผมแกล้งชะลอฝีเท้าลง มันจึงเข้ามาใกล้ผมมากขึ้นก่อนจะง้างค้อนขึ้นเตรียมฟาด พลันผมก็รีบเปลี่ยนตำแหน่งวิ่งตรงไปอีกทาง มันเหวี่ยงค้อนตามมาฟาดโดยไม่ทันดูให้ดี ว่าพวกของมันกำลังต่อสู้อยู่ในบริเวณนั้นด้วย!

    ตูมมม!

    ด้วยในระยะประชั้นชิดทำให้ผมโดนแรงอัดกระเด็นไปด้วย ซึ่งชายสวมฮู้ดเองก็โดนแรงอัดกระเด็นไปอีกทางเช่นเดียวกับผม จังหวะที่มันหันไปมองชายสวมฮู้ด ผมรีบตีอ้อมไปด้านหลังแล้วฟาดท่อนเหล็กเข้าไปที่กลางหัวของมันทันที

    ต่อให้แข็งแรงแค่ไหน โดนท่อนเหล็กอัดเข้าไปกลางกระหม่อมก็ไม่พ้นเสียหลักล้มลงกับพื้น ผมไม่รอให้มันลุกขึ้น เหยียบหลังมันเอาไว้แล้วยิงปืนใส่เข้าไปอีกสามนัด ร่างของมันกระตุกชักก่อนจะแน่นิ่งไปที่สุด

    ผมปาดเลือดบนแก้มก่อนจะมองไปทางคุณแมว ฝั่งนั้นดูเหมือนว่าจะเรียบร้อยแล้วเหมือนกัน  ชายสวมฮู้ดหมอบอยู่กับพื้นเลือดนอง หญิงสาวจึงหยิบไม้กางเขนของเซร่าออกมาจากตัวมันแล้วหันหลังไป พลัน...

    ชายสวมฮู้ดที่คิดว่าน่าจะสิ้นฤทธิ์ไปแล้วกลับค่อย ๆ หยิบปืนขึ้นมาและเล็งไปทางหญิงสาว ผมไม่รอให้มันลั่นไกปืน เดินไปเหยียบมือของมันดังกร๊อบก่อนจะเตะซ้ำเข้าไปที่ปลายคาง คราวนี้จึงจะสิ้นฤทธิ์ไปของจริง

    ประมาทไปนะครับคุณแมว

    เชอะ ถ้ามันยิงมาฉันก็หลบได้อยู่แล้วหล่อนว่าพลางเชิดใส่ผม แล้วอีกอย่าง ฉันชื่อ เหมียวย่ะ!

    ผมหัวเราะเบา ๆ ถึงอย่างนั้นก็จะเรียกคุณแมวอยู่ดี ผมลากเจ้าพวกนักล่าทั้งสามคนมามัดรวมกันไว้ เห็นสภาพแล้วสงสารเลยต้องเรียกรถพยาบาลมาด้วย  

    กี่โมงแล้วคะหลังจากบอกเวลาไป หล่อนก็เปลี่ยนร่างเป็นแมวยักษ์อีกครั้ง คิดว่าจะรอให้ผมไปนั่งแต่กลับออกตัววิ่งไปเลยอย่างรวดเร็ว

    เฮ้ย!?

    แล้วผมจะกลับยังไงล่ะนั่น... ปล่อยให้ผมยืนมึนอยู่สักพักหล่อนถึงจะตีโค้งวิ่งกลับมา

    ขอโทษค่ะ ลืมไปว่าคุณมาด้วย

    ใจร้ายเกินไปแล้วนะครับ...

     




    ------------------------
    ***ชี้แจ้งแถลงไข***
    หลายคนคงกำลังอ้าปากค้าง ว่าทำไมมันถึงหลุดโลกไปได้ขนาดนี้กัน
    คนเขียนต้องฝากขอโทษด้วยจริง ๆ  เนื่องจากนิยายเรื่องนี้เป็นนิยายที่เชื่อมโยงกับเรื่องอื่น ๆ จึงมีการผสมพล็อตกับคนอื่นเข้ามาด้วย มันจึงออกจะปนกันมั่วไปหน่อย
    สำหรับคนที่อยากจะอ่านเรื่องราวของเซร่ากับเหมียว เข้าไปในรูปด้านล่างนี้เลยนะ






    ด้านซ้ายคือเซร่า ด้านขวาคือเหมียว
    วาดโดย วานรเพลิง

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน
    นิยายแฟร์ 2024

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×