คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #11 : แชมเปญแก้วที่ VIII
แชมเปญแก้วที่ VIII
ภายในวันรุ่งขึ้น ผมมาทำงานตามปกติหลังจากไปดูอาการซาวน์ที่โรงพยาบาลแล้ว
เด็กหนุ่มยังคงไม่ได้สติ ส่วนหมอก็ยังอับจนปัญญาในการรักษา จนผมต้องยอมตัดใจกลับมาที่บาร์อีกครั้ง... ไปหายังบุคคลเดียวที่คาดว่าสามารถตอบคำถามของผมได้
ซึ่งพอเปิดประตูเข้าไปก็พบกับบุคคลนั้นนั่งรออยู่ก่อนแล้ว ราวกับรู้ล่วงหน้าว่าผมมีธุระด้วย
“ซาวน์ยังไม่ฟื้นสินะ”
“คุณรู้ใช่ไหมว่าซาวน์เป็นอะไร?” ผมสาวเท้าเดินเข้าไปในเคาน์เตอร์ด้านตรงข้ามกับร่างโปร่ง คุณเชสเซอร์ไหวไหล่เล็กน้อยก่อนจะเอ่ยตอบ
“ขอโทษที ฉันเองก็บอกไม่ถูก” เมื่อได้ยินคำตอบผมก็อ้าปากเตรียมจะถามต่อทันที แต่ว่าเด็กหนุ่มก็ยกมือขึ้นมาเชิงให้หยุดแล้วรีบพูดแทรก “รออีกสักสามสี่วันก็คงจะฟื้นเอง...”
“รู้ได้ยังไงครับ?”
“นายไม่ต้องทำอะไร รอเฉย ๆ ก็พอ” เจ้านายของผมเอ่ยตัดบท ดีดตัวลงจากเก้าอี้บาร์และเดินหายไปหลังร้าน ทิ้งให้ผมยืนเรียบเรียงความคนเดียว
วันนี้หลิวไม่ได้มาที่ร้าน จึงรู้สึกเงียบสงบกว่าที่เคย เผลอแวบเดียวก็ถึงตีสองที่ผมจะต้องกลับบ้าน
ผมช่วยปิดร้านและขึ้นรถ ตั้งใจจะไปดูอาการซาวน์ที่โรงพยายาบาลอีกสักรอบก่อนกลับ เพราะค่อนข้างดึกถนนจึงไม่มีรถราวิ่งเท่าใดนัก จึงเหยียบเต็มสปีดแต่พลันหางตาก็เห็นเงาวูบ ๆ ผ่านไปริมถนน
อะไรน่ะ!?
ผมเหยียบเบรกเอี๊ยด ก้าวลงจากรถแล้วเหลียวมองกลับไปยังทางที่ผ่านมา ชั่งใจวิ่งกลับไปดูเจ้าสิ่งที่วูบผ่านตาผมไป และแจ็คพอตก็แตกเมื่อพบเข้ากับร่างของหญิงสาวคนหนึ่งกำลังนอนจมกองเลือดอยู่
เซร่า!
ผมรีบเข้าไปดูใกล้ ๆ พบว่าเธอมีรอยกระสุน รอยฟันและรอยไหม้ที่ผิวหนัง แขนขวาบิดคนละทาง ซึ่งอาการเหล่านี้คนปกติควรจะเสียชีวิตไปแล้ว แต่เธอยังหายใจอยู่รวยริน
แน่นอน เพราะเธอเป็นแวมไพร์ เท่าที่ผมรู้ การฆ่าแวมไพร์มีแต่ต้องทำลายหัวใจกับโดนแดดเผาจนตายเท่านั้น อาการอย่างนี้คงจะพาไปส่งโรงพยาบาลไม่ได้ สงสัยคงต้องพากลับไปที่บ้านก่อน
ผมค่อย ๆ อุ้มเธอขึ้นมาบนรถ กลับทิศและมุ่งหน้าไปที่ร้านเค้กแทน ด้วยการที่ถนนว่างจึงทำให้ไปถึงอย่างรวดเร็ว หน้าประตูร้านปิดอยู่ครึ่งหนึ่ง และยังมีแสงไฟลอดออกมาจากด้านใน
“มีใครอยู่มั้ยครับ!” ผมตะโกนถามด้านใน ไม่นานนักก็มีเสียงตอบกลับมา
“ร้านปิดแล้วค่ะ”
“เอาของมาส่งครับ” ของที่ว่าก็หนีไม่พ้นหญิงสาวที่ผมกำลังอุ้มอยู่ เสียงก๊อกแก๊ก ๆ ดังขึ้นก่อนประตูจะถูกเลื่อนเปิด ทันทีที่คุณแมวเจ้าของร้านเห็นของที่ว่าก็ต้องตกใจ
“ศรัณย์เดลิเวอรี่มาแล้วครับ ขอทางหน่อย” ผมแทรกตัวเข้าไปด้านในร้าน “ให้วางของตรงไหนดีครับ”
“เมี๊ยว! ชั้นสองเลยค่ะ” ว่าพลางรีบวิ่งนำผมขึ้นไปด้านบน เปิดประตูห้องให้ ก่อนผมจะวางร่างของเซร่าลงบนเสื่อ “เซร่าไปโดนอะไรมาคะเนี่ย!”
“ผมก็อยากรู้เหมือนกัน” ผมตอบกวน ๆ กลับไป นึกไม่ถึงว่าเจ้าหล่อนจะพุ่งตัวเข้ามากดผมเข้ากับผนังแล้วเอาเล็บจ่อคอ
“บอกฉันมาเดี๋ยวนี้ว่าเซร่าไปโดนอะไรมา” แหย่ง่ายดีเหมือนกัน ลองเล่นด้วยไปอีกดีกว่า
“ผมน่าจะถามคุณมากกว่า ว่าทำไมปล่อยให้เพื่อนมานอนอยู่ข้างถนนแบบนี้" ผมถามกลับไปด้วยรอยยิ้ม พลันเจ้าหล่อนก็กระชากผมกดลงบนพื้นแล้วกดเล็บเข้ามาที่คอ เป็นคนที่บ้าความรุนแรงจริง ๆ
“โอเค ๆ ผมขับรถผ่านมาเจอนอนจมกองเลือดอยู่ เลยพามาส่งที่นี่” ผมถอนหายใจเล็กน้อยก่อนจะยิ้มออกมาอีกครั้ง "แทนที่จะมาคาดคั้นกับผม เอาเวลาไปปฐมพยาบาลคุณเซร่าไม่ดีกว่าเหรอ"
“จ...จริงด้วย!” เจ้าหล่อนชะงักก่อนจะรีบลุกขึ้นจากตัวผม "งั้นคุณช่วยลงไปห้องน้ำข้างล่างแล้วตักน้ำขึ้นมาถังนึงทีสิ"
ด้วยความที่ช่วยไม่ได้ ผมจึงต้องลงไปตักน้ำมาให้ตามคำขอ ส่วนเจ้าหล่อนวิ่งลงไปหยิบเลือดกระป๋องมาในตู้เย็น ก่อนเธอจะไล่ให้ผมไปรอด้านนอกเพื่อจะทำความสะอาดตัวเซร่า คงจะรวมถึงทำแผลและกรอกเลือดให้ดื่มด้วย
“อย่าแอบดูนะคะ!” ผมตอบรับไปสั้น ๆ ก่อนยืนพิงกำแพงรอไปสักพักใหญ่ หล่อนก็เปิดประตูออกมา “คุณศรัณย์ช่วยอยู่ดูแลเซร่าสักแป๊บได้ไหมคะ เดี๋ยวฉันกลับมาค่ะ”
“จะไปไหนเหรอครับ” คุณแมวหันมาสบตากับผม ความคิดดังขึ้นมาในหัวว่า ‘อ่า... จะบอกว่าไปตามนักล่าก็ไม่ได้... ไปไหนดี...’
นักล่า?
“ฉันจะไป... ซื้อยามารักษาเซร่าค่ะ” ร้านยาที่ไหนเปิดตอนตีสามมั่งนะ
“ยาอะไรรักษาแวมไพร์ได้เหรอครับ?” ผมถามด้วยรอยยิ้มที่ประดับบนใบหน้าเช่นเคย เจ้าหล่อนเบิกตากว้าง อึ้งที่ผมรู้ตัวตนที่แท้จริงของเซร่า
“ค... คุณพูดเรื่องอะไรคะ...”
“เรื่องที่ว่าคุณกับเซร่าไม่ใช่ ‘มนุษย์’ ไงล่ะครับ” ทันทีที่ได้ยินคำตอบ ความคิดในหัวหญิงสาวก็ตีกันวุ่น ทั้งสงสัยว่าทำไมผมถึงรู้ และควรจะฆ่าผมปิดปากดีหรือไม่
“คุณศรัณย์... คุณรู้มากแค่ไหนกันคะเนี่ย”
“ผมรู้ว่าคุณจะออกไปทำอะไร” ไปตามนักล่าเพื่อที่จะชิงไม้กางเขนเงินของเซร่าคืนมา... นี่คือความคิดที่ผมอ่านมาได้ “ผมจะตามไปด้วย”
“ไม่ได้ค่ะ! ฉันให้คุณไปด้วยไม่ได้ มันอันตรายเกินไป”
“แต่คุณไปคนเดียวน่าจะอันตรายกว่านะครับ”
“ยังไงก็ไม่ได้ค่ะ!”
“
งั้นผมอยู่เฝ้าคุณเซร่าแบบสองต่อสองตลอดคืนก็ได้ครับ”
ความเงียบเข้าปกคลุมชั่วขณะ...
ก่อนหล่อนจะหลุดกรี๊ดออกมาในความคิด แถมว่ากำลังอยากฆ่าผมมากเลยอีกด้วย
คุณแมวรีบขึ้นไปปลุกคนที่อยู่ด้วยให้มาช่วยดูแลเซร่าก่อน โดยบอกว่าจะมาถึงก่อนพระอาทิตย์ขึ้น
“ไปรถผมไหม”
“ไม่ล่ะค่ะ ฉันมีวิธีที่ดีกว่านั้น แต่ว่า
คุณศรัณย์ต้องปิดเป็นความลับนะคะ
” เพราะเจ้าหล่อนหันหน้าไปทางอื่น ผมถึงไม่สามารถอ่านใจได้ว่าวิธีที่ว่านั่นคืออะไร
“ได้สิครับ”
“งั้นช่วยหลับตาแป๊บนึงได้ไหมคะ” ผมเลิกคิ้วเล็กน้อยกับคำขอ ยังไม่ยอมหลับตา
“ทำไมเหรอครับ”
“คือ
ฉันจะให้คุณ ‘ขี่’ ฉันน่ะค่ะ
”
...ห๊ะ!?
ขี่? ขี่อะไรนะ??
“หลับตาก่อนสิคะ” ได้ยินดังนั้นจึงต้องรีบหลับตาตามที่บอกทันที ผมเห็นแสงแวบ ๆ ลอดเข้ามาเล็กน้อยก่อนหล่อนจะบอกให้ลืมตาขึ้น ซึ่งทันทีที่เห็นภาพตรงหน้าก็ต้องเหวอรับประทาน
แมวยักษ์ตัวเท่าเสือ!
มันจะแฟนตาซีเกินไปแล้วนะ! แต่มีแวมไพร์แล้ว มีแมวตัวเท่าเสือคงจะไม่แปลกเท่าไหร่หรอกมั้ง ไหน ๆ มันก็เป็นนิยายหมวดแฟนตาซีไปแล้วนี่นา...
ผมทำใจยอมรับถึงอิมเมจนิยายมันจะเริ่มแปลกเพี้ยนไปเรื่อย ๆ มีทั้งมนุษย์ต่างดาว ทั้งแวมไพร์ ทั้งแมวยักษ์โผล่เข้ามาในเรื่องเป็นพรวนทั้งที่ก่อนหน้านี้เป็นแค่นิยายบาร์เทนเดอร์ธรรมดา ๆ แท้ ๆ ...
“ขึ้นมาเลยค่ะ!” เอาจริงดิ!?
“เอ่อ... ผมเคยขี่ม้านะครับ แต่แมวนี่ไม่แน่ใจว่าจะขี่ได้” แมวยักษ์แถมพูดได้อีกต่างหาก...
“แค่จับฉันไว้แน่น ๆ อย่าให้ตกก็พอค่ะ” คุณแมวว่าก่อนจะร้องเมี้ยว ผมจึงต้องจำใจเดินเข้าไปนั่ง ซึ่งมันให้ความรู้สึกแปลกใหม่พิศดารมาก ๆ
“จะซิ่งนะเจ้าคะ!”
หลังจากนั้นผมจึงรู้ตัวว่ามีอะไรที่ศรัณย์คนนี้ยังไม่รู้จักอีกมาก...
เจ้าหล่อนพาผมซิ่งแบบชนิดที่รถสปอร์ตเทียบไม่ติด เพียงไม่กี่อึดใจหล่อนก็หยุดที่หน้าโกดังเก่า ๆ แห่งหนึ่ง ส่วนผมที่ก้าวลงมาก็ต้องยันกำแพงไว้เพราะมันให้อารมณ์แบบนั่งรถไฟเหาะตีลังกามาสิบรอบ
ไม่น่ามาเล้ย...
ประตูโกดังนั้นปิดอยู่ คุณแมวแปลงร่างกลับเป็นมนุษย์อีกครั้ง เดินไปรอบ ๆ โกดังเพื่อหาทางเข้าก่อนจะเจอช่องลมเล็ก ๆ ด้านหลัง
คุณแมวขอให้ผมเป็นฐานก่อนจะเหยียบบ่าผมขึ้นไป ใช้แรงที่เหนือมนุษย์ดึงกรงเหล็กออกมา แต่หาก...
“ว...ว๊าย!” กรงเหล็กถูกกระชากหลุดออกมาพร้อมกับหญิงสาวที่หงายหลัง ซึ่งพาลทำให้ผมเสียหลักเซล้มไปด้วยกัน
โครม!
ผมกับคุณแมวล้มไปกองกับพื้นกันไม่เป็นท่า พาลนึกไปถึงการ์ตูนคอเมดี้เลยจริง ๆ ...พับผ่า
หญิงสาวรีบชันตัวลุกขึ้น แล้วกระโดดรวดเดียวไปถึงช่องลมนั้นก่อนจะลอดตัวเข้าไปด้านใน ทิ้งให้ผมยืนเคว้งอยู่ด้านนอก แหม... คงจะให้ผมมาเพื่อการนี้อย่างเดียวสินะ
ไหน ๆ ก็มาถึงนี่แล้ว จะกลับตอนนี้เลยก็ไม่ได้ (เพราะเดี๋ยวคนเขียนไม่มีเรื่องเขียน)
ช่องลมสูงประมาณสามเมตร ด้วยการที่เรียนคาโปเอร่ามาทำให้ผมกระโดดสูงกว่าคนทั่วไปอยู่ ผมยกลังหนึ่งลังมาวางไว้ ถอยหลังไประยะหนึ่ง ก่อนวิ่งเข้าไปใช้เท้ายันกล่องส่งตัวขึ้นเกาะที่ช่องลมแล้วปีนตามเข้าไป
ผมกระโดดลงมาบนพื้น ภายในนั้นมืดสนิทจนมองอะไรไม่เห็นจึงคลำทางเดินไปเรื่อย ๆ พลันหลังก็ชนเข้าไปร่าง ๆ หนึ่ง
เสียงอุทานเบา ๆ จึงรู้ว่าเป็นหญิงสาวนั่นเอง
ด้วยความที่มืดสนิท หล่อนจึงจับมือผมเอาไว้และเดินนำทางไปให้ เป็นแมวคงจะมองเห็นในที่มืดล่ะมั้ง ฉับพลันแสงไฟก็ถูกเปิดขึ้นสว่างโร่ไปทั่วทั้งโกดัง
เร็วเท่าความคิด บางสิ่งก็พุ่งตรงเข้ามาทางเราสองคน ผมกับคุณแมวกระโดดหลบกันไปคนละทางก่อนจะตั้งหลักมองเจ้าสิ่งที่โจมตีมา
ควาย...?
ไม่รอให้ผมงง มันก็เหลียวกลับมาพุ่งโจมตีใส่คุณแมวทันที เมื่อหันไปดูที่มาของมันก็พบเข้ากับร่างของชายสามคนอยู่ในชุดผ้าคลุม คงจะเป็นพวก ‘นักล่า’ ที่ว่า
ดูเหมือนว่าเพราะผมเป็นมนุษย์ มันจึงไม่ได้สนใจผมเท่าไหร่ พุ่งเป้าโจมตีไปที่คุณแมวพร้อมกันทั้งสามคนทันที บังเอิญว่าผมไม่ชอบพวกหมาหมู่เท่าไหร่ซะด้วย
จากภาพรวมแล้วคนที่ตัวใหญ่สุดน่าจะรับมือด้วยง่ายสุด ไม่รู้ว่ามันใช้กลยุทธอะไรถึงสามารถโจมตีได้โดยไม่มีอาวุธ อีกคนหนึ่งเป็นชายร่างเล็กสวมแว่น เหมือนจะเป็นพวกคลั่งไสยศาสตร์ ส่วนคนสุดท้ายคือชายสวมฮู้ดที่ไม่ค่อยโดดเด่นเท่าใดนัก แต่ผมสัมผัสได้ว่าคนนี้ร้ายกาจที่สุด
สู้กับมนุษย์ธรรมดามาเยอะแล้ว ลองสู้กับอะไรแปลก ๆ ดูบ้างดีกว่า...
ผมชักปืนขึ้นมายิงขัดการโจมตีของพวกมัน ชายร่างเบิ้มคือเป้าหมาย มันยกแขนขึ้นมากันเอาไว้ กระสุนกระทบกับบางสิ่งดังเคร้ง เหมือนกับเป็นเสียงโล่
ดูจากเมื่อครู่นี้แล้วคงจะมีความสามารถเสกอาวุธในอุดมคติได้ ที่ลำบากก็คืออาวุธนั้นล่องหน แต่ความเสียหายเป็นเรื่องจริง มันไม่รอให้ผมตั้งตัวเสกอาวุธขึ้นมาทันที
ชั่ววินาทีที่ผมอ่านใจจึงรู้ว่ามันคือธนู มันง้างตรงมาทางผมและปล่อยมือยิง ด้วยสายตาที่ยังคงจ้องมาที่ผมทำให้รู้ว่ามันเล็งมาที่ไหน จึงสามารถหลบได้อย่างสบาย ๆ
ผมชักปืนที่เหน็บเอาไว้ขึ้นมายิงสวน มันใช้โล่ที่มองไม่เห็นกันเอาไว้ก่อนจะเสกอาวุธชิ้นใหม่ขึ้นมา ทำให้รู้ว่ามันใช้เวลาในการเสกประมาณสามวินาทีเท่านั้น
ผมปลีกตัวเข้าไปหลบหลังลังไม้ แต่ไม่ได้ผลเมื่อมันตวัดอาวุธที่ว่าครั้งเดียวลังก็กระจุย คงจะเป็นอะไรสักอย่างที่โจมตีได้ในระยะสามเมตร แต่แปลกที่มันไม่ฟาดเข้ามาต่ออีกครั้งทั้งที่มีโอกาสโจมตีผมแล้ว แต่กลับสร้างอาวุธชิ้นใหม่ขึ้นมาอีก
หรือว่าอาวุธแต่ละชิ้น ใช้ครั้งเดียวแล้วจะหมดไป?
เมื่อรวบรวมข้อมูลของศัตรูได้พอสมควร ถึงเวลาที่จะต้องโต้กลับบ้างแล้ว
ผมชักปืนยิงใส่มันอีกครั้งสองนัด ปะทะกับโล่มันหนึ่งนัดและทะลุผ่านไปอีกนัด เป็นอย่างที่คิดเอาไว้ มันสร้างโล่ขึ้นมาอีกครั้งก่อนจะพุ่งตัวเข้ามาหาผม ผมไม่รอเวลาอ่านใจ รีบวิ่งหลบไปอีกทางก่อนมันจะฟาดแรงมหาศาลลงพื้นจนแตกออกเป็นวงกว้าง เหมือนจะเป็นค้อนยักษ์
แรงอัดทำให้เศษไม้ปลิวว่อน ผมยกแขนขึ้นบังก่อนจะอัดปืนรัวไปอีกครั้ง มันใช้โล่กันและเสกธนูขึ้นมายิงใส่ เฉียดปลายผมไปหวุดหวิด ส่วนกระสุนยิงเฉี่ยวแขนมันหนึ่งนัดแต่ดูเหมือนจะไม่ค่อยมีผลเท่าไรนัก ไม่รอเวลาให้มันตั้งตัว ผมหันปืนขึ้นรัวใส่มันอีกครั้ง ซึ่งมันก็ไม่ยอมอยู่เป็นเป้านิ่งเฉย ๆ วิ่งหลบไปหลังลังทันที
ผมใส่กระสุนเข้าไปใหม่ ตั้งท่ารออยู่อีกฝั่งหนึ่ง แต่ลังไม้ที่กั้นระหว่างผมกับมันก็พลันทะลุออกเหมือนโดนปืนใหญ่ยิง ผมรีบหมอบลงกับพื้น เศษไม้ปลิวบาดผิวและเสื้อขาดวิ่น มันฉวยโอกาสนั้นกระโดดข้ามลังมา ง้างมือขึ้นเหมือนจะฟาดผมให้แหลกคาพื้น
หากผมไวกว่า ดีดม้วนตัวหลบออกมาจากรัศมี แรงฟาดส่งผลให้ผมกระเด็นออกไป มันรีบสร้างโล่ขึ้นมาใหม่ชั่วขณะเดียวกับที่ผมอัดกระสุนใส่มัน
ดูเหมือนว่ามันจะรู้ว่าตนเองเสียเปรียบเวลาผมรัวปืนยิง มันถึงสร้างโล่ขึ้นมาซ้อน ๆ กันหลายอันขณะที่ผมกำลังตั้งหลัก ผมรีบหันไปสบตาถึงรู้ว่ามันกำลังจะปาหอกมา
ผมก้มหัวลงต่ำหลบแล้วชักปืนขึ้นยิงอีกครั้ง ปะทะกับโล่หลายชั้นของมันซึ่งมันก็รีบสร้างเพิ่มขึ้นมา ผมเหลือกระสุนไว้อีกสามนัดก่อนดีดตัวหลบออกไปหลังกำแพง
ไม่มีเวลาใส่กระสุนเพิ่ม กำแพงคอนกรีตก็ถูกทำลายในระยะไกล ธนูยิงทะลุคอนกรีตได้เลยสินะ ผมรีบออกห่างจากกำแพงนั้นพลางใส่กระสุนเพิ่มแล้วยิงสวนไป ไม่ได้ผลเพราะปะทะเข้ากับโล่ของมันอีกครั้ง
มันสร้างธนูขึ้นมาอีก ผมอ่านใจดูเป้าหมายที่มันจะยิงก่อนเสี่ยงคว้าท่อนเหล็กขึ้นมากันเอาไว้ เป็นไปตามที่คิด ธนูของมันไม่สามารถทะลวงท่อนเหล็กได้ ก็หมายความว่าท่อนเหล็กก็น่าจะโจมตีมันได้เหมือนกัน พอจะเริ่มมองเห็นทางที่จะซัดมันให้หมอบแล้ว
มันกำลังวิ่งตรงมาที่ผมพร้อมสร้างค้อนยักษ์ขึ้นมา ผมลดปืนลงและเปลี่ยนเป็นวิ่งหนีซึ่งมันก็วิ่งตามผมมา น่าแปลกทั้งที่ตัวใหญ่แต่กลับวิ่งเร็ว แต่ก็ยังเร็วไม่เท่าผม
ผมแกล้งชะลอฝีเท้าลง มันจึงเข้ามาใกล้ผมมากขึ้นก่อนจะง้างค้อนขึ้นเตรียมฟาด พลันผมก็รีบเปลี่ยนตำแหน่งวิ่งตรงไปอีกทาง มันเหวี่ยงค้อนตามมาฟาดโดยไม่ทันดูให้ดี ว่าพวกของมันกำลังต่อสู้อยู่ในบริเวณนั้นด้วย!
ตูมมม!
ด้วยในระยะประชั้นชิดทำให้ผมโดนแรงอัดกระเด็นไปด้วย ซึ่งชายสวมฮู้ดเองก็โดนแรงอัดกระเด็นไปอีกทางเช่นเดียวกับผม จังหวะที่มันหันไปมองชายสวมฮู้ด ผมรีบตีอ้อมไปด้านหลังแล้วฟาดท่อนเหล็กเข้าไปที่กลางหัวของมันทันที
ต่อให้แข็งแรงแค่ไหน โดนท่อนเหล็กอัดเข้าไปกลางกระหม่อมก็ไม่พ้นเสียหลักล้มลงกับพื้น ผมไม่รอให้มันลุกขึ้น เหยียบหลังมันเอาไว้แล้วยิงปืนใส่เข้าไปอีกสามนัด ร่างของมันกระตุกชักก่อนจะแน่นิ่งไปที่สุด
ผมปาดเลือดบนแก้มก่อนจะมองไปทางคุณแมว ฝั่งนั้นดูเหมือนว่าจะเรียบร้อยแล้วเหมือนกัน ชายสวมฮู้ดหมอบอยู่กับพื้นเลือดนอง หญิงสาวจึงหยิบไม้กางเขนของเซร่าออกมาจากตัวมันแล้วหันหลังไป พลัน...
ชายสวมฮู้ดที่คิดว่าน่าจะสิ้นฤทธิ์ไปแล้วกลับค่อย ๆ หยิบปืนขึ้นมาและเล็งไปทางหญิงสาว ผมไม่รอให้มันลั่นไกปืน เดินไปเหยียบมือของมันดังกร๊อบก่อนจะเตะซ้ำเข้าไปที่ปลายคาง คราวนี้จึงจะสิ้นฤทธิ์ไปของจริง
“ประมาทไปนะครับคุณแมว”
“เชอะ ถ้ามันยิงมาฉันก็หลบได้อยู่แล้ว” หล่อนว่าพลางเชิดใส่ผม “แล้วอีกอย่าง ฉันชื่อ ‘เหมียว’ ย่ะ!”
ผมหัวเราะเบา ๆ ถึงอย่างนั้นก็จะเรียกคุณแมวอยู่ดี ผมลากเจ้าพวกนักล่าทั้งสามคนมามัดรวมกันไว้ เห็นสภาพแล้วสงสารเลยต้องเรียกรถพยาบาลมาด้วย
“กี่โมงแล้วคะ” หลังจากบอกเวลาไป หล่อนก็เปลี่ยนร่างเป็นแมวยักษ์อีกครั้ง คิดว่าจะรอให้ผมไปนั่งแต่กลับออกตัววิ่งไปเลยอย่างรวดเร็ว
เฮ้ย!?
แล้วผมจะกลับยังไงล่ะนั่น... ปล่อยให้ผมยืนมึนอยู่สักพักหล่อนถึงจะตีโค้งวิ่งกลับมา
“ขอโทษค่ะ ลืมไปว่าคุณมาด้วย”
“ใจร้ายเกินไปแล้วนะครับ...”
------------------------
***ชี้แจ้งแถลงไข***
หลายคนคงกำลังอ้าปากค้าง ว่าทำไมมันถึงหลุดโลกไปได้ขนาดนี้กัน
คนเขียนต้องฝากขอโทษด้วยจริง ๆ เนื่องจากนิยายเรื่องนี้เป็นนิยายที่เชื่อมโยงกับเรื่องอื่น ๆ จึงมีการผสมพล็อตกับคนอื่นเข้ามาด้วย มันจึงออกจะปนกันมั่วไปหน่อย
สำหรับคนที่อยากจะอ่านเรื่องราวของเซร่ากับเหมียว เข้าไปในรูปด้านล่างนี้เลยนะ
ความคิดเห็น