ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ปฏิบัติการพิชิตใจ หนุ่มวัยใส หัวใจติดเกม

    ลำดับตอนที่ #7 : start

    • อัปเดตล่าสุด 28 ก.ย. 48


    ไอ้พี่บ้า หัวเราะอะไรนักหนาก็ไม่รู้ ทำไม คนมันจำไม่ได้นี่นา ตลกตรงไหน กะอิแค่Monkเป็นกะละมัง มันก็มังๆเหมือนกันละหน่า ไม่ต่างกันสักเท่าไหร่หรอก



    สุดท้ายกว่าพี่แกจะหัวเราะเสร็จแล้วลุกขึ้นมานั่งอธิบายให้ฉันฟัง ว่า monk เป็นคาสสองของอาชีพอโคไลท์ ซึ่งแปลเป็นไทยก็คือนักบวช ส่วนmonkก็คือพระ มิน่า ตอนฉันเป็นหนังสือโร่ๆ ถึงมีพระบู๊ได้ด้วย



    แต่ฟังแล้วก็ต้องอ้าปากค้าง เพราะพี่แกเล่าให้ฟังว่ากว่าจะเป็นmonkได้ ต้องเริ่มจากเล่นโนวิชก่อน จนจ๊อบเลเวล10ซึ่งก็คือต้องอัพสกิลเบสิคสกิล เป็นเลเวล9 ถึงจะไปเปลี่ยนเป็นอโคฯได้แล้วขั้นตอนแต่ละขั้นเนี่ย ยากชะมัด เดินไปเดินมาอยู่ได้ งงเต๊กเลย



    แต่วันนี้ฉันก็ยังไม่ได้เปลี่ยนอาชีพหรอก ยังเป็นโนวิช ผมแกละ หัวเขียวอยู่เหมือนเดิม หลังจากนั่งหลังขดหลังแข็งเล่นอยู่ประมาณสองชั่วโมง



    ก็มันยากนี่นา กว่าจะผ่านโรงฝึกมาได้ ต้องหนีไอ้หนอนชาเขียวอยู่แทบตาย (คือตายไปแล้วหลายครั้ง)กว่าจะผ่านมาได้ มันเล่นรุมฉันยิ่งกว่าฝูงปศุสัตว์แถวๆบ้านเก่าซะอีก



    แถมกว่าจะตอบคำถามมันครบเล่นเอาเหนื่อยแถบแย่ถามอะไรก็ไม่รู้ ยิ่งตอนไปทดสอบอาชีพนะ จะบ้าตาย ฉันกดมั่วๆไป อีตาแก่ที่ยื่นอยู่ดันบอกให้ฉันไปเป็นโจร บ้า โจรที่ไหนจะสวยขนาดนี้จริงไหม อย่างฉันต้องเป็นนักบวชสาวแสนสวยผู้มีจิตใจอารีสิถึงจะถูก



    “กริ่ง กินข้าวลูก”พ่อกับแม่กลับมาจากที่ทำงานแล้ว ตอนนี้ทั้งหมดนั่งอยู่ในครัวพร้อมหน้า



    “ค่า จะไปเดี๋ยวนี้คะ”ฉันกดปิดเกมแล้วdisconnectปิดเครื่องทันที



    “กลมสอบเมื่อไหร่จ๊ะ ลูก”แม่เอ่ยปากถาม



    แม่ของฉันเป็นผู้หญิงอายุเฉียดๆวัยทองแล้ว ร่องรอยของความใจดีกระจายอยู่ทั่วใบหน้า และปรากฏชัดมากบริเวณหน้าผากกับหางตา ถ้าคุณต้องการแม่ที่เข้าใจลูกมาก จนลูกสอบตกแล้วมานั่งหัวเราะเยาะลูกละก็ นี่แหละคะ แม่ฉันเอง



    “คงประมาณปลายๆกุมภาหรือไม่ก็ต้นๆมีนาละครับ”พี่กลมตอบ



    “แล้วกริ่งละ”แม่หันมาถามฉัน



    “ปลายๆกุมภานี่แหละคะ”ฉันตอบพลางตักผัดผักบุ้งใส่จานตัวเอง



    “งั้นอ่านหนังสือบ้างนะ เดี๋ยวสอบตกแม่จะหัวเราะให้”แม่พูดแล้วก้มหน้าลงกินข้าวต่อ



    “เออ นี่ กลิ้งเขาโทรมาบอกว่าเดี๋ยววันเสาร์นี้จะมาเยี่ยม จะเอาน้องเนย กับน้องนาวมาด้วย”พ่อแจ้งข่าวดี



    “จริงหรือ งั้นดีจัง จะได้กินลองกองอีกแล้ว”ฉันร้องไชโยทันที ก็พี่ชายฉันขึ้นมาจากใต้เมื่อไหร่มักจะมาพร้อมกับลองกองเป็นลังๆเลยทีเดียว เอ แต่นี่หน้าลองกองหรือยังหว่า



    ฉันนั่งกินข้าวเงียบๆปล่อยให้พ่อแม่กัพี่กลมคุยกันไปคุยกันมา แล้วก็โยนจานมาให้ฉันล้างอีกตามเคย



    %%%%%

    “นายทำการบ้านมายัง”ฉันถามนายทิว ที่นั่งอยู่ก่อนแล้ว พลางวางกระเป๋าลงบนโต๊ะ



    “วิชาอะไรอะ”ดูมันถามกลับ อย่าบอกนะว่านายไม่รู้ว่าเมื่อวานมีการบ้านอะไรบ้าง ทำไมคนรอบตัวฉันเป็นอย่างนี้หมดละวะเนี่ย



    “เมื่อวานก็มีไทย เลข แล้วก็วิทย์ไง อย่าบอกนะว่ายังไม่เสร็จซักวิชา”ฉันชี้หน้าเขา



    นายทิวรีบส่ายหน้าแล้วรื้อกระเป๋าตัวเองเอาการบ้านออกมาทำทันที เสียดายว่าจะขอมันมาดูสักหน่อยว่ามันทำมายังไง อดเลย กับเพื่อนคนอื่นในห้องฉันก็ไม่ค่อยสนิทด้วยสิ ก็แค่พอคุยกันได้ละ แต่จะไปขอเขาดูการบ้านมันยังไงๆอยู่นะฉันมองซ้ายมองขวาแล้วหันหลังไปเจอกับนายแคมป์ที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ แต่สายตามองอยู่ให้โต๊ะ



    “แคมป์ นายทำการบ้านมาหรือยัง”ฉันหันไปถาม



    “หืม อะไรหรอ ยังไม่อัพหรอก”อัพอะไรยะ ฉันถามว่าทำการบ้านมาหรือเปล่า



    “การบ้านมันอัพได้ด้วยหรอ”ฉันถามเขาอย่างซื่อๆ แถมด้วยการยื่นหน้าใสๆเข้าไปประชิด ตามความเคยชิน เวลาฉันจะพูดกับใครก็ชอบยื่นหน้าไปใกล้ๆเขา



    “การบ้านหรอ ยังหรอก”เขาเงยหน้าขึ้นมาพอดีเลย ฉันรีบทะลึ่งพรวดออกมาโดยอัตโนมัติ ก็เมื่อกี้เกือบต้องหอมแก้มนายนี่อยู่แล้วนี่นา



    “เอาของเราไปลอกไหม”ฉันถามถึงจะรู้ว่ามันไม่ดีก็เหอะ แต่ตั้งแต่ฉันอยู่ห้องนี้มาสามสี่เดือน เอ๊ะจะห้าเดือนแล้วนี่หว่า ทำให้ฉันได้รู้ว่า ควรจะพูดอย่างนี้ดีกว่าบอกเขาว่า ‘เดี๋ยวเราสอนให้ก็ได้นะ’เพราะเพื่อนๆแต่ละคน ลอกเก่งอย่างเดียวเลย



    “ไม่อะ ขี้เกียจทำ”เขาก้มหน้าไปสนใจกับของที่อยู่ใต้ต่อ



    “ทำอะไรอะ”ฉันยังคงยุ่งกับเขาไม่ลดละ



    “ยุ่ง”เขาพูดจาด้วยน้ำเสียงตัดเยื่อใยโดยสิ้นเชิง



    “ใจร้าย”ฉันทำหน้ามุ่ยใส่เขา



    คนเล่นเกมไร้หัวใจอย่างนี้หรือ คนติดเกมไม่มีความรับผิดชอบหรือเปล่า ดุสิการบ้าก็ไม่ทำให้เดานะ อ่านหนังสือแยมโรลอยู่แน่ๆเลย



    “ยุ่ง”พอไม่พูดเรื่องเกมละอัธยาศัยแย่ลงทันตาเห็นเลยทีเดียว



    ฉันเบื่อที่จะนั่งมองเขาที่เอาแต่นั่งมองอะไรใต้โต๊ะ เลยตัดสินใจเดินออกไปหายัยพลอยกับทับทิมซะหน่อยดีกว่า



    “นี่ๆ ป้อง พลอยอยู่หรือเปล่า”ฉันชะโงกหน้าเข้าไปถามป้องที่นั่งริมประตูของห้องม.4/1



    “พลอยหรือ ไม่อยู่นะ แต่ว่ามาแล้ว ลองไปดูที่ห้องทับทิมดูสิ”ป้องบอก แล้วก้มหน้าลงทำการบ้านต่อ เฮ้อ นี่ขนาดเด็กห้องคิงนะเนี่ยยังมาทำการบ้านเอาตอนเช้าเลย



    “ทับทิม”ฉันวิ่งโร่ไปห้องสองที่อยู่ติดกันทันที



    “เฮ้ย ลูกยอ เข้าไม่ได้ๆ ดูป้ายหน้าห้องสิ”เพื่อนห้องสองคนนึงรั้งฉันไว้ไม่ให้เข้าห้อง ป้าย เป้ยอะไรของมันฟะ ฉันชะงักแล้วหยุดมองประตู



    ‘เข้าได้เฉพาะอาจารย์และนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่4/2 ห้ามนักเรียนห้องอื่นเข้า’



    อะไรเนี่ย โรงเรียนเกิดบ้ากฎอะไรขึ้นมากันฟะ ไม่ไหวๆ แล้วฉันจะเข้าไปหาทับทิมได้ยังไงกัน เฮ้อทีห้องฉันละไม่มีป้ายอย่างนี้เลย หรือว่ามีแล้วไม่มีใครสนใจก็ไม่รู้สิ



    “เออรุ้ง แล้วทับทิมอยู่ไหม”



    “ทับทิมไม่อยู่หรอก ลูกยอ เห็นว่าจะไปซื้อของที่สหกรณ์น่ะ”รุ้งโผล่หน้าออกมาบอกฉัน



    โอเค ไปสหกรณ์โดยไม่ไปหาฉันก่อนเนี่ยนะ ไอ้เพื่อนบ้า ฉันเลยเดินกลับห้องตัวเองโดยไม่สนใจใครอีกแล้ว เซ็งชะมัด ไม่น่าทำการบ้านมาเลย ไม่อย่างนั้นก็มีอะไรทำตอนเช้าแล้ว



    “ลูกยอ”เสียงออดอ้อนจากยัยแฟร์ตัวดีที่เพิ่งมาถึงโรงเรียน



    “จะเอาการบ้านใช่ไหม แปปนึง”ฉันล้วงเข้าไปในกระเป๋า แล้วหยิบการบ้านมาให้ยัยแฟร์ ประจำเลยอย่างนี้ทุกวัน ถ้าวันไหนยัยนี่ทำมาเอง หิมะที่ขั้วโลกเหนือจะเปลี่ยนเป็นสีม่วง



    “ขอบใจจ๊ะคนสวย”



    และแล้ว ฉันก็กลับมาว่างเหมือนเดิม ทำอะไรดีหว่า เอาวะ หยิบหนังสือคู่มือเกมมาอ่านก็ได้ ตอนนี้เบสิคกิลของฉันเลเวล4 แล้วละ ลองดูดีกว่าว่าจะเปลี่ยนอาชีพยังไง



    เดินไปโบสถ์กลางเมืองพรอนเทร่า



    แล้วไอ้เมืองพรอนเทร่ามันอยู่ตรงไหนเนี่ย มองซ้ายมองขวา ยัยแฟร์ไม่น่าจะเล่นเกมนี้หรอก นายทิวยิ่งไม่น่าจะเล่น สงสัยต้องพึ่งเป้าหมายแล้ว ไม่เป็นไร เอาเป็นแผนใกล้ชิดแล้วกัน



    “นี่ๆ แคมป์พรอนเทร่าเนี่ย มันอยู่ตรงไหนหรอ”ฉันพยายามใจกล้าหน้าด้านหันหลังไปถามไอ้ตู้เกมเดินได้



    “เธอเล่นแร๊กยังไงไม่รู้จักพรอนฯ”เขาเงยหน้าขึ้นมาถามด้วยน้ำเสียงเย็นยะเยียบ เอาวะกริ่งยังไงแกก็ยังมีสเน่ห์พอให้ไอ้บ้านี่มันเงยหน้าขึ้นมาได้



    “เค้าเพิ่งหัดเล่นงะ”ฉันยิ้มแหยๆ



    “เธอเกิดที่เมืองอะไร”เขาถาม เอ๊ะ นายยังไม่ได้ตอบคำถามฉันเลยนะ แต่ว่าเอาใจมันหน่อยแล้วกัน



    “ไม่รู้”ฉันส่ายหน้าดุกดิกๆ



    “ยัยติงต๊อง เธอเลิกอาชีพไร”



    “นักบวช”



    “งั้นเธอก็เกิดที่พรอนนะสิ ยัยงั่ง”เขาเขกหัวฉัน โอ้ยเจ็บนะเฟ้ย รู้ไหมว่าฉันยังไม่เคยให้ใครเขกหัวมาก่อนเลยนอกจากคนในบ้าน



    “อ้าว แคมป์คุยกับเพื่อนเป็นด้วยหรอ”นิ้งเดินเข้ามาถามอย่างประหลาดใจเป็นที่สุด ดูจากสีหน้าเธอมองฉันอย่างกับฉันเป็นแม่ไก่ออกลูกเป็นคนอย่างนั้นแหละ



    “ทำไม”แคมป์มองหน้านิ้งอย่างไม่เข้าใจ ท่าทางนายจะโง่มากถึงโง่ที่สุดนะ



    “ช่างเหอะ จะมาบอกว่าออดสองดังแล้ว”นิ้งชี้ไปที่นาฬิกาข้อมือของตัวเอง ออดสองแล้วหรือ ทำไมเร็วอย่างนี้ละตายๆ วิ่งลงบันไดจะทันไหมนะ



    ว่าแล้วเราทั้งสามก็วิ่งกระหืดกระหอบมาหน้าลิฟท์ทันที โอ้ย จะทันไหมเนี่ย ลิฟท์จ้ามาเร็วๆสิจ๊ะ ไม่อย่างนั้นแกจะสวยน้อยกว่าฉันนะยะ ย้าก มองนาฬิกา อีกหนึ่งนาที ลิฟท์จ้าลิฟท์ ยังติดอยู่ชั้น 1 เลย ฉันหันไปมองหน้านิ้งอย่างร้อนใจ แต่ท่าทางนายแคมป์จะยังดูไม่ร้อนใจอะไรเลย



    “เราวิ่งลงไปดีไหม เดี๋ยวไม่ทันนะ”นิ้งเสนอความคิดเห็น



    “นี่พวกเธอทำไมยังไม่ลงไปเข้าแถวกันอีก”ระหว่างที่เรารีรอกันอยู่ก็มีเสียงโหดร้ายดังมาจากข้างหลัง อาจารย์พิสมัยนี่เอง อ๊าก ตายแน่ๆฉัน



    “จะไปเดี๋ยวนี้ค่า/คร้าบ”ฉันวิ่งหนีมาอย่างไม่คิดชีวิตอะไรฟะ ทำไมอาจารย์ต้องมองหน้าฉันอย่างกับจะกินเลือดกินเนื้อด้วย



    หมับ



    นายแคมป์คว้าข้อมือฉันแล้ววิ่ง กรี๊ด ไม่รู้ตอนนี้หน้าฉันแดงเป็นลูกตำลึงสุกแล้วหรือยัง ไม่ค่อยมีใครมาจับมือฉันอย่างนี้หรอกนะ เพราะฉันไม่ชอบใครใครจูงมือ….



    “ปล่อย”ฉันสะบัดแขนขวาที่นายแคมป์ดึงไป แล้วใช้มือซ้ายยึดราวบันไดไว้เหนียวแน่น



    “เดี๋ยวไม่ทันหรอก”เขาหันมาพูดเร็วๆแล้วพยายามดึงฉันลงไป



    “ม่ายยยยยยยยยยยย”ฉันร้องดังลั่น ไม่มีทาง ฉันไม่ห้นายจูงมือฉันลงบันไดเด็ดขาด ไม่มีทาง



    “นี่เธอเร็วๆสิ นิ้งไปแล้ว”เขายังคงดึงฉันต่อไป นี่ฉันแทบจะอดราวบันไดไว้แล้วนะ นายยังไม่ปล่อยฉันอีกหรอ ฉันกับนายแคมป์ยื้อกันสุดฤทธิ์เลยทีเดียว



    “ลงมา”เขาเริ่มอารมณ์บ่จอย ตวาดใส่ฉันซะดังลั่น หนูกลัวคะแม่ แต่กลัวน้อยกว่าต้องลงไป



    “นายปล่อยสิ”ฉันแทบจะร้องไห้อย่างมะรอมมะร่อแล้ว หนูกลัวคะ หนูกลัว



    “เธอจะกลัวอะไรนักหนา ลงมา”เขาดึงแขนฉันให้ตามเขามา



    “ม่ายยยยยยยยยยยยยยยยย”



    “ทำไม”



    “นายปล่อยสิ ฉันกลัวบันได”



    โอ้ย ความลับแตกแล้วฉัน  ฉันกลัวการลงบันไดสุดฤทธิ์ โดยเฉพาะเมื่อมีคนจูงมืออยู่ มันไม่มั่นใจเลย กลัวตกบันไดมาก สาเหตุที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะ....



    “นี่ๆ แข่งกันลงบันได”เสียงเพื่อนสนิทของฉันสมัยอยู่อนุบาลสองร้องเรียก



    “ได้เลย ไม่มีปัญหา”ฉันรับคำ แล้ววิ่งลงบันไดกัน



    คิดภาพเด็กห้าขวบวิ่งไล่กันลงบันไดสิคะ คนนึงมัดแกละสองข้าง อีกคนนึงรวบผมจุก วิ่งลงบันไดกันมาอย่างสนุกสนาน



    โครม!!!!



    เพื่อนของฉันสะดุดขั้นบันได ร่วงลงไปข้างล่าง



    ฉึก!!



    ดินสอแหลมๆที่เพื่อนข้างล่างถืออยู่ จิ้มลงบนแก้มเธอทันที เลือดงี้ อาบเต็มแก้มเลย  ไส้ดินสอหักคาอยู่อย่างนั้น เลือดไหลอาบแก้ม เป็นภาพที่สยดสยองมาก สำหรับฉันในตอนนั้น




    นายแคมป์พยักหน้าเหมือนจะเข้าใจแล้วปล่อยมือฉันวิ่งลงไปทันที ส่วนฉันจะทำยังไงได้ละคะ ก็ปล่อยจากราวบันได แล้วข่มใจตัวเองวิ่งตามไป หวังว่าจะทันเข้าแถวนะ



    “สาย”เสียงจากนรกดังขึ้น



    “อาจารย์คะ เพลงชาติยังไม่ขึ้นเลย ไม่ถือว่าสาย”ฉันพูดรัวๆ สลับกับเสียงหอบ แล้ววิ่งไปที่แถวทันทีโดยไม่ฟังคำคัดค้านจากอาจารย์แต่อย่างใด





    “ทั้งหมดตรง เคารพธงชาติ”เสียงจากท่านประธานนักเรียนสุดหล่ออีกแล้ว



    “ประเทศไทย~~~~”ทั้งโรงเรียนประสานเสียงร้องเพลงชาติ



    -----------

    หวัดดีคะ มาอัพแล้วนะคะ สบายดีไหมทุกๆคน



    เราไม่อยากกินยาเลยอะ ขมชะมัด เม็ดเบ้อเริ้ม ไม่น่าเลย เป็นข้อต่อขากรรไกรอักเสบ อ้าปากได้ไม่กวาง แค่สองเซน ไม่งั้นเจ็บ ลำบากมากเวลาต้องพูดเสียงดังหรือตะโกน เดี๋ยวอาทิตย์หน้าต้องซ้อมเชียร์ซะแล้วสิ จะไหวไหมนะ



    โพสๆๆๆรักคนอ่านนะเจ้าคะ

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×