ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ปฏิบัติการพิชิตใจ หนุ่มวัยใส หัวใจติดเกม

    ลำดับตอนที่ #10 : แผน1

    • อัปเดตล่าสุด 16 ต.ค. 48


    พระอาทิตย์ดวงโตอยู่ตรงกลางศีรษะพอดีเป๊ะ เป็นเวลาที่ฉันนั่งอ่านหนังสืออยู่บนห้อง ขณะที่ใครๆต่างพากันไปรับไอแดดในช่วงพักกลางวันอยู่ริมสนามหญ้า ไม่ใช่ว่าฉันสำออยตากแดดไม่ได้หรอกนะ แต่ว่าเมื่อเช้าฉันหลับไปตั้งนาน ต้องอ่านทบทวนซะหน่อย เดี๋ยวเรียนไม่ทันเพื่อนล่ะแย่เลย



    “อ่านอยู่ได้ หนังสือเรียนสนุกตรงไหนหรอ”นายแคมป์เดินเข้ามานั่งบนโต๊ะของตัวเอง



    “ถึงไม่สนุก แต่มันมีประโยชน์”ฉันเงยหน้าขึ้นตอบ ก่อนจะถามเขากลับว่า“นายมีอะไรหรือเปล่า ถ้าไม่มีฉันจะอ่านหนังสือต่อ”



    “แค่จะถามว่าเห็นยัยนิ้งไหม”เขายักไหล่ แล้วล้วงกระเป๋ากางเกงด้วยท่าทางกวนสุดฤทธิ์



    ฉันส่ายหน้าแล้วก้มลงอ่านหนังสือต่อไป วิชาวิทยาศาสตร์ทำไมมันยากอย่างนี้นะ เซ็งจริงๆ ไม่น่านอนดึกเลยเรา พอเป็นอย่างนี้ก็ต้องมานั่งอ่านทบทวนเอาอีก



    “ยัยนิ้งนัดไว้นานแล้ว ไม่มาช้าวะ”นายแคมป์เอ่ยปากถามนิ้งที่เพิ่งเข้ามา ฉันเงยหน้าขึ้นมาจากหนังสือนิดนึง แล้วก้มลงพยายามมีสมาธิกับหนังสือต่อไป แม้ว่าอยากจะฟังสองคนนี้พูดใจจะขาด



    “เอาเหอะ ก็มาละกัน”นิ้งนั่งลงบนเก้าอี้ข้างๆฉันซึ่งเป็นที่นั่งของแฟร์ แล้วหันหลังไปคุยกับนายแคมป์ “นายมีอะไรหรอ”



    “เออ ฉันเก็บตังค์ครบแล้ววันนี้เจอกันหลังโรงเรียนจะได้ทำพิธี” นายแคมป์พูด ตอนนี้ฉันไม่มีสมาธิกับหนังสือตรงหน้าแล้ว แต่ยังคงฝืดก้มหน้าแสร้งทำเป็นอ่านต่อไป เพื่อจะแอบฟังได้สะดวก



    “อืม แล้วซื้อชุดแต่งงานยัง”นิ้งถามด้วยน้ำเสียงเรียบๆ มันกำลังคุยกันเรื่องแต่งงานหรือ พวกเธอยังเป็นเด็กนักเรียนอยู่นะจะแต่งงานแล้วหรอ มนผิดกฎหมายนะ



    “ซื้อไว้แล้วทั้งของฉันทั้งของเธออะ แต่แหวนเธอซื้อนะ”นายเป็นผู้ชายภาษาอะไร ตอนนั้นก็ท้าฉันต่อย แถมจะแต่งงานทั้งที ยังให้ผู้หญิงซื้อแหวนแต่งงานให้อีก



    “ได้ๆ เออ แล้วเรื่องบ้านอะ เอาไงดี”



    “ตอนนี้ก็มีหลังนึงแล้วนี่หว่า คราวนี้ก็แบ่งสองพวก ไปกันบ้าน แล้วก็ตีบ้านด้วย”เฮ้ย พวกนี้มันเงินซื้อบ้านด้วยหรือนี่ ท่าจะรวยมากนะเนี่ย ฉันไม่เข้าใจเลยว่าพ่อแม่เขาคิดยังไงให้ลูกซื้อบ้านอยู่กันเอง แถมแต่งงานอีก ไม่ไหวแล้วฉันทนอยู่เฉยๆไม่ไหวจริงๆ



    “นี่ พวกนายยังเป็นเด็กเป็นเล็กอยู่เลยนะ อะไร๊ ซื้อบ้านช่องอยู่กินกันแล้วหรือ แถมยังจะขอแต่งงานอีก ตามกฎหมายมันยังแต่งไม่ได้นะ ต้องรอให้บรรลุนิติภาวะก่อน ไม่อย่างนั้นก็ต้องให้ผู้ปกครองรับรอง แต่นั้นก็ต้องอายุ17ปีแล้วถึงจะได้”ฉันแลคเชอร์วิชาสังคมให้ทั้งสองคนนี้ฟังตาปริบๆ



    O*o   o*O สีหน้าของนายแคมป์แล้วนิ้ง ดูงงๆ ปนตกใจที่อยู่ๆฉันก็ลุกพรวดพราดขึ้นมาชี้หน้าพูดๆๆๆๆ



    “เป็นเด็กประถมก็แต่งได้ถ้ามีเงินครบ”นายแคมป์เถียงฉัน กฎหมายบ้านป่าเมืองเถื่อนไหนฟะ มีอย่างนี้ด้วยหรือ



    “จะบ้าหรือไง เขตไหนเขารับจดทะเบียนให้ยะ ต่อให้นายเงินหนาแค่ไหนเขาก็ไม่รับจดหรอก หรือถ้าจดจริงช่วยบอกฉันด้วยว่านายทะเบียนคนไหนจดให้ฉันจะไปฟ้องร้องท่านนายก”ฉันเถียงกลับด้วยหลักการวิชาสังคมเชียวนะ



    “ก๊าก กรั่กๆ อิอิ หุหุ ฮาฮา”นิ้งหัวเราะเหมือนคนบ้า อะไร ฉันซีเรียสนะ ทำไมเธอหัวเราะประหลาดอย่างนั้นละ น่ากลัวแหะ



    “หัวเราะอะไรนิ้ง เธอก็เหมือนกันนะ ตกลงแต่งานกันง่ายๆได้ยังไง พวกเรายังเป็นวัยรุ่นอนาคตไกล เธอแน่ใจหรอว่าเธอจะประคับประคองชีวิตคู่ไปได้ตลอดรอดฝั่งจนตายน่ะ ถ้าเกิดแต่งงานไปแล้วพวกเธอก็ยังไม่ได้ทำงานจะเอาเงินที่ไหนกินอยู่กัน ห๊า ชีวิตไม่มีความมั่นคง อนาคตสูญสิ้น ถ้าแย่กว่านั้น ถ้าเธอท้องป่องขึ้นมาเธอจะมีหน้ามาโรงเรียนอีกไหม เธอคิดถึงคนอื่น คิดถึงผู้ใหญ่บ้างสิแถมเด็กที่จะเกิดมาก็จะเป็นปัญหาสังคมอีก เมื่อตัวเธอเองก็ยังไม่พร้อม”ฉันยิ่งพูดนิ้งยิ่งหัวเราะมากว่าเดิม แล้วจู่ๆนายแคมป์ก็ทำหน้าเหมือนเก็ทอะไรขึ้นมา แล้วหัวเราะประสานเสียงกับนิ้งซะดังลั่น



    “เรื่องโจ๊กอะไรหรอ ท่าทางจะตลกจริงๆไม่อย่างนั้นสองคนนี้คงไม่หัวเราะลั่น ไอ้แคมป์ ไม่ต้องขนาดลงไปกองกับพื้นหรอก”นายเอซึ่งเพิ่งเดินเข้ามาในห้อง เอ่ยถามด้วยใบหน้าสุดฉงน



    “ฉันเครียดนะ สองคนนี้จะแต่งงานกัน ในวัยเรียนเนี่ยนะ”ฉันนั่งลงกุมขมับ



    “อ้าวหรอวะ แกเก็บเงินครบแล้วหรอ”นายเอหันไปถามแคมป์



    “ครบแล้ว นิ้งช่วยออกค่าแหวนนิดหน่อยอะ”นายแคมป์หยุดหัวเราะ แล้วขยับตัวมานั่งบนเก้าอี้



    “เออ ดีๆ อย่าลืมเลี้ยงข้าด้วยละ อุตส่าห์ช่วยแกหาเงินนะโว้ย แล้วข้าก็ยังไม่ขำเลยวะ ว่าแกจะแต่งงานมันตลกตรงไหน”



    นี่นายเอ ฉันกะว่าจะให้นายมาช่วยห้ามนะยะ อะไร นี่จะให้เขาเลี้ยงงานแต่งอีก บ้า ทำไมห้องฉันมันบ้าๆบอๆกันถึงเพียงนี้ละนี่



    “แต่งเมื่อไหร่วะ”นายเอถาม



    “เย็นนี้ ร้านเดิมอะ เออ กริ่งเธอก็เล่นนี่ ไปไหม”นายแคมป์หันมาชวนฉันไป งานแต่งหรือ ไม่มีทาง ฉันไม่ไปร่วมงานที่ไร้ซึ่งความถูกต้อง เด็ดขาด ฉันส่ายหน้าไปมา แล้วหันหลังมาอ่านหนังสือต่อ



    “ทำไมล่ะ ไปปาร์ตี้น่าหนุกออก”เอยื่นหน้ามาใกล้ๆฉัน ฉันเคยบอกไหม ว่าฉันไม่ชอบเวลาใครยื่นหน้ามาใกล้ๆ มันรู้สึกอึดอัด



    “อ่านหนังสือดีกว่า ใกล้สอบแล้วด้วย”ฉันพูดทั้งๆที่ยังไม่ได้เงยหน้าจากหนังสือ หัวสมองฉันไม่ได้จดจ่อที่ตัวหนังสือเลย แค่มองมันผ่านตาเท่านั้นเอง



    “หนังสือไม่เห็นสนุกเลย ไปงานดีกว่านะนะนะ”นายเอเซ้าซี้



    “ฉันไม่สำคัญขนาดนั้นหรอกนะ”



    “โห พูดยังกะน้อยใจเต็มประดา ชอบไอ้แคมป์หรอ หรือว่าหึง”นายเอแซวเล่นแต่ว่ามันทำให้ฉัน ซึ่งมีแผนจะต้องพิชิตใจเข้าให้ได้ ต้องสะดุ้งวาบ



    “ไม่มีทางหรอก คนอย่างลูกยอเขาไม่มีทางสนใจแกแน่ๆแคมป์ เอ แกก็พูดไป ปากพล่อยๆ ลูกยอเขาไม่สนใจแหย่ๆอย่างนี้หรอก”นิ้งพูด อืม มันก็จริง แต่ว่าฉันดูไม่เข้ากับหมอนี่ขนาดนั่นเลยหรอ ไม่น่าเชื่อ



    “เนอะ โทษที แต่ไปเหอะ เดี๋ยวแนะนำคนให้ก็ได้”นายเอยังคงเซ้าซี้



    “ไม่ ฉันไม่ไปร่วมงานแต่งงานผิดกฎหมายเด็ดขาด ยิ่งเด็กอายุไม่ถึง18ปี ห้ามออกจากบ้านหลังสี่ทุ่มด้วยนะ”ฉันพูดเรียบๆ



    “ก็เข้าที่บ้านก็ได้ เดี๋ยวบอกจุดให้”นายเอพูด ฉันเพิ่งรู้ว่านายนี้ตื้อมาก หลังจากที่รู้มานานแล้วว่ามันพูดมาเอาซะจริงๆ



    “บ้า ฉันจะไปงานแต่งสองคนนี้ได้ยังไง ผ่านทางคอมหรอ นายจะจดทะเบียนทางอินเตอร์เน็ตหรอ”ฉันมองหน้านายแคมป์อย่างงงๆ ส่วนนิ้งหัวเราะไปแล้วอีกรอบ



    “เธอหมายความว่าไง ฉันงงแล้วนะ”เอเกาหัวแกรกๆ



    “ก็สองคนนี้เขาจะจดทะเบียนสมรสกันไม่ใช่หรอไง”



    สิ้นเสียงของฉันเท่านั้น นายเอก็มีท่าทางอึ้งไปเล็กน้อย เล็กน้อยจริงๆ ประมาณ 5 วินาทีได้ ก่อนจะปล่อยเสียงหัวเราะชนิดไม่อายใครเลยแม้แต่เพื่อนๆที่เข้ามาใหม่



    “ห๊า เธอพูดใหม่สิ”นายแคมป์มองหน้าฉันอย่างไม่เชื่อในสิ่งที่ฉันพูดอะไรของมันฟะ



    “นายจะแต่งงานกับนิ้งไม่ใช่หรอ”คราวนี้ฉันตะโกนดังลั่นห้อง ทำให้พวกที่เพิ่งมาหันหน้ามามองนิ้งกับแคมป์อย่างตกตะลึง



    “อะไรนะ พวกเธอจะแต่งงานกันได้ยังไง”คราวนี้เสียงฮือฮาดังมาทั่วสารทิศ ซุบซิบนินทาสารพัด แต่กลับไม่มีใครรู้จักมาช่วยกันห้ามเอาซะเลย ซุบซิบอยู่ได้น่ารำคาญ



    “เอาละ นักเรียน เงียบได้หรือยัง ครูเข้ามาแล้วนะ”อาจารย์ประจำวิชาคณิตศาสตร์ ผู้ซึ่งสอนไม่เคยเข้าใจเลยแม้แต่นิดเดียว เดินเข้ามาในห้อง เคาะโต๊ะเสียงดังเพื่อเรียกร้องความสนใจจากนักเรียน



    ทั้งห้องรีบวิ่งเข้าที่ของตัวเอง แล้วนั่งเงียบกริบ ปล่อยให้อาจารย์สอนต่อไปเรื่อยๆอย่างน่าเบื่อหน่าย ตัวฉันเองก็รับชีทของอาจารย์มาเปิดดู อืม เนื้อหาไม่ยากแหะ แล้วลงมือทำอย่างรวดเร็ว ปล่อยให้อาจารย์ยืนอธิบายโจทย์ข้อ1 ต่อไป โดยที่ฉันปั่นไปถึงข้อสุดท้ายแล้ว



    ฉันนั่งปั่นชีทเสร็จ ก็เงยหน้ามองกระดานครู่หนึ่ง อาจารย์ยังสอนข้อ1ไม่จบเลย อะไรมันจะช้าขนาดหนัก มองซ้ายมองขวา ไม่มีใครคุยกันเลยแหะ เหมือนจะเป็นเด็กดีกัน แต่ฉันเห็นนะว่าพวกเธอแอบหยิบขนมใต้โต๊ะกินกันใหญ่

    อิอิ ห้องฉันส่งขนมต่อๆกันอย่างนี้เป็นประจำอย่างเงียบๆทุกคาบเลยทีเดียว



    เดี๋ยวคอยดูมันก็ต้องส่งมาถึงฉัน ว่าแล้ว ฉันก็หยิบหนังสือวิชาวิทยาศาสตร์แอบอ่านใต้โต๊ะอย่างสบายใจเฉิบ อิอิ



    “เลขที่ 15 ไหนบอกครูซิ ว่าทำยังไงต่อ”อาจารย์พูด แล้วท้าวสะเอวอยู่หน้าห้อง ในสายตาฉัน อาจารย์ยืนเหมือนเป็ดที่สุดเลยค่ะ



    เลขที่15 ใครหว่าทำไมไม่ลุกซะทีน่ารำคาญ รออยู่ตั้งนาน แล้วฉันมองซ้ายมองขวา เห็นเพื่อนๆจ้องตรงมาที่ฉันเป็นตาเดียว เลขที่15 คุ้นๆแหะ



    ยัยแฟร์นี่หว่า



    “แฟร์ๆ ตื่นๆ”ฉันเขย่ายัยแฟร์แรงๆ



    “หืม อารายหรอออ”ยัยนี่ตื่นขึ้นมาเช็ดน้ำลายที่ยืดอย่างสยองที่สุด



    “อาจารย์เรียก”



    ทันทีที่สิ้นสุดคำประกาศิต ยัยแฟร์ลุกขึ้นพรวดแล้วมองหน้าอาจารย์อย่างงงๆ อาจารย์แกคงทนสายตาบ้องแบ๋วไม่รู้เรื่องเลยของยัยแฟร์ไม่ได้ เลยสั่งให้นั่งลง



    “เลขที่10 ตอบครูแทนซิ”



    เลขที่10หรอ



    ฉันเองนี่หว่า



    เอ๊ะ แต่ทำต่อตรงไหนหว่า ฉันไม่ได้ฟังเลยแม้แต่นิดเดียว หันไปมองยัยแฟร์ที่นั่งอยู่ข้างๆ รายนั้นเพิ่งตื่นมาตะกี้เอง ไม่ได้ฟังเหมือนกัน ฉันลุกรี้ลุกรน หันว้ายหันขวา แล้วก้มลงไปหยิบแว่นสายตา ที่เก็บอยู่ในกระเป๋ามาสวมทันที



    “ไม่ได้ฟังเลยล่ะสิ หนังสือไม่มีอะไรบอกเธอได้หรอกนะ”อาจารย์ท้าวสะเอวไม่เลิก เลิกทำท่านี้เถอะค่ะ หนูขอร้อง ไม่อย่างนั้น ต่อไปคงต้องเอาเศษขนมปังมาโปรย ให้ทานเป็ด



    ฉันสวมแว่นแล้วมองกระดาน ชัดขึ้นแล้ว อะไรฟะ ทำไมอาจารย์ถามอะไรอย่างนี้เนี่ย ฉันยืนนิ่งอยู่ซักพักนึง เจ๊เป็ด(นามสมมุติ)ก็บ่นฉัน



    “เนี่ยทำยังไง”



    ไม่ใช่ว่าทำไม่ได้หรอกนะคะ แต่ไม่ได้ฟังเลย เลยงงๆอยู่ว่าอาจารย์ทำไปถึงขั้นไหนแล้ว ฉันยกมือเกาหัวแกรกๆ แล้วตอบอาจารย์อย่างเสียไม่ได้



    “ก็เอาสองร้อยสามสิบหกไปบวกกับห้าสิบเก้าไงคะ”อะไร แค่นนี้ต้องให้นักเรียนตอบ ก็โจทย์อาจารย์ทำไปถึงตรงต้องบวกเลขง่ายๆพอดีเลย



    “แล้วได้เท่าไหร่ล่ะ”อาจารย์แกยังเท้าสะเอวถาม



    “สองร้อยเก้าสิบห้าค่ะ”ฉันตอบแล้วนั่งลง



    “ถูก คราวหลังหัดฟังครูบ้างสิ เข้าใจไหม”



    ฉันพยักหน้าหงึกๆ แล้วเก็บแว่นเข้ากล่อง ไม่ชอบเลยเวลาต้องใช้แว่น สั้นแค่ร้อยเดียวเอง แต่ว่านั่งหลังห้องมองกระดานไม่เห็นเท่าไหร่ ปกติวิชานี้ฉันจะไม่ใส่แว่นเพราะยังไงก็ไม่ได้ฟังอาจารย์ ไม่ได้มองกระดานอยู่แล้ว



    “นี่ๆ ลูกยอ นายแคมป์จะแต่งงานกับนิ้งจริงหรอ”แฟร์สะกิดฉัน หล่อนตื่นแล้วก็ยุ่งเรื่องชาวบ้านต่อเลยนะยะ



    “อืม”ฉันพยักหน้าหงึกๆ



    “ห๊า จริงอะแล้วเธอจะทำยังไงล่ะ”แฟร์ทำท่าตกใจสุดขีด อะไรของมันเนี่ย ฉันเกี่ยวอะไร อย่าบอกนะว่ายัยนี่ก็รู้เหมือนกัน ตะ.... ตายแน่ๆเลย



    “ธ...เธอรู้หรอ”ฉันชี้หน้าแฟร์ รู้สึกได้ว่าตัวเองมือสั่นเหมือนนักโทษถูกตัดสินประหารชีวิตเลย



    “อ๋อ ฉันแอบได้ยินน่ะ เธอคิดจะจีบนายแคมป์จริงๆหรอ”แฟร์ยิ้มอย่างคนถือไพ่เหนือกว่า แต่แฟร์จ้า กรุณาลดเสียงลงหน่อยได้ไหม ดังจนได้ยินไปถึงไหนต่อถึงไหนแล้วน้า



    “จุ๊ๆ เบาๆหน่อยก็ได้ เดี๋ยวไม่ให้ลอกการบ้านนะ”ฉันชี้นิ้วแตะปากเป็นเชิงเตือน พลางกวาดสายตามองหาว่าใครได้ยินบ้างหรือเปล่า



    “ได้ๆ”ยัยแฟร์ลดเสียงลงเป็นเสียงกระซิบ หน็อย ทีไม่ให้ลอกการบ้านยอมฟังเชียว อิอิ



    “อย่าไปบอกใครนะ”



    “ตกลง”



    ฉันมองยัยแฟร์พยักหน้าหน่อยนึงแล้วหันไปอ่านหนังสือต่ออย่างเพลินๆ เออ..มันเพลินมากไปหน่อยจนกว่าจะรู้สึกตัวก็คาบวิทยาศาสตร์แล้ว



    “นักเรียนกราบ”ฮิตเลอร์(หัวหน้าห้องฉันเองแหละ ชื่อจริงๆเธอชื่อตวง แต่เธอชอบเผด็จการทุกคนเลยเรียกว่าฮิตเลอร์)บอกทำความเคารพ ถึงแม้เราจะอยู่ม.4แล้ว แต่ก็ต้องเคารพอาจารย์เหมือนสมันป.4เปี้ยบ



    “ซาหวาดดีคร้าบ/สวัสดีค่ะ”นักเรียนชายห้องฉันชอบลากเสียงกวนอาจารย์เหมือนเดิม แม้ว่าอาจารย์วรทัยจะโหดแค่ไหน แต่ก็ไม่เคยโหดแบบไร้เหตุผล เราทุกคนเลยรักอาจารย์ (ยกเว้นเวลาโดนทำโทษนะคะ)



    “เอาล่ะ เดี๋ยววันนี้เราจะขึ้นเรื่องใหม่นะ แต่ก่อนที่จะเรียนครูขอให้พวกเธอจับกลุ่มทำโครงงานการสำรวจ เรียกง่ายๆว่าทำโพล ในหัวข้อต่างๆกันไป กลุ่มละ ห้าคน ตามหัวข้อที่ครูตั้งให้…”อาจารย์วรทัยยังไม่ทันพูดจบ ก็มีเสียงตะโกนโหวกเหวก ฉันอยู่กลุ่มด้วยนะ ขอคนนั้นอยู่กับคนนี้ อะไรไม่รู้ดังระงม



    “เงียบก่อนสิ ไม่อย่างนั้นเธอจะทำรายงานได้ถูกได้ยังไง ฟังครูก่อน”อาจารย์วรทัยเคาะโต๊ะ ทำให้คนที่เงียบอยู่แล้วอย่างฉันละสายตาจากหนังสือวิทยาศาสตร์ขึ้นมามองอาจารย์ทันที



    “ครูจะให้พวกเธอทำรายงานนำเสนอออกมาเป็นป้ายนิเทศ งานนี้ถือเป็นคะแนน20คะแนนไม่มีหารเข้าใจไหม แล้วจะต้องนำไปโชว์ด้วย เข้าใจไหม ตอนงานปลายภาค ไหนใครไม่เข้าใจถามก่อนได้นะ”อาจารย์ชอบย้ำเสมอว่าเข้าใจไหม เข้าใจไหม เพราะอะไรก็ไม่รู้สิ แต่ว่าเริ่มชินแล้ว



    “ค่า/คร้าบ”



    “เอาละ จับกลุ่มแล้วเอารายชื่อมาส่งครู”



    จบคำของผู้เป็นอาจารย์ทั้งห้องต่างพร้อมใจกันส่งเสียงอึกทึกครึกโครม ตะโกนข้ามหัวกันอย่างไม่เกรงใจใครเลยแม้แต่นิด นี่แหละข้อเสียของห้องฉัน มันทำอะไรไม่เคยเกรงใจใครเลย



    “นี่ๆ ลูกยอ หากลุ่มสิ”ยัยแฟร์สะกิดฉัน



    “อ้าว เธอก็ช่วยสิ”ยัยนี่ไม่เคยช่วยฉันหากลุ่ม แต่ต้องให้ฉันกระเตงไปเข้ากลุ่มด้วยเสมอ แต่ก็ดีว่ายังช่วยงานบ้าง ตามคำสั่ง ไม่สั่งไม่ทำ



    “แคมป์นายมีกลุ่มยัง”ฉันตัดสินใจถามแคมป์



    “ก็มี”



    “ครบยัง”ฉันถาม หายใจเข้าลึกๆ พุทธ หายใจออกยาวๆ โธ ขรึมไว้ๆ นายแคมป์มันไม่รู้เรื่องรู้ราว อ่านหนังสือRo newsต่อไปไม่สนใจใคร



    “ไม่รู้ ไปถามไอ้เอ”มันยังไม่เงยหน้ามาพูดกับฉันเลย



    “เอๆ นายมีกลุ่มยัง”ฉันถามคำถามซ้ำๆเดิมๆกับเออีกครั้ง



    “มีแล้ว แต่ยังไม่ครบ ลูกยออะ”



    “มีสองคนเอง อยู่ด้วยได้ไหม”



    “ได้ๆ”นายเอพยักหน้าแล้วไม่สนใจ อะไร นั่งอ่านเกมเมอร์นิวส์ต่อไป ไม่สนใจใครเลย ฉันเลยหันไปถามนิ้งที่ยืนอยู่ข้างๆเอ



    “นิ้งอยู่กับเราใช่ไหม”นิ้งพยักหน้าแล้วก้มลงอ่านแมกกาซีนอะไรก็ไม่รู้ต่อไป ไม่สนใจฉัน ไรของมันวะเนี่ย



    “เราเขียนชื่อส่งอาจารย์นะ”นิ้งพยักหน้าไม่สนใจฉัน เอาไงดี ต้องมีกลุ่มล่ะสิ ปัญหา ถ้าไม่ต้องมีฉันก็ทำคนเดียวไปแล้ว เพราะสงสัยว่าชะตากรรมของฉันต่อไปคงต้องทำคนเดียว หันไปหายัยแฟร์ว่าจะให้มันช่วยเขียนรายชื่อซะหน่อย



    ยัยแฟร์กลับนิ่ง ไม่ขยับเขยื้อน ฉันทดลองเรียกมันอีกครั้ง แล้วก้มหน้ามองมันตรงๆ ถึงสรุปได้ว่า.....มันหลับใน



    สุดท้ายฉันก็ต้องมานั่งเขียนรายชื่อ ไปจับฉลากหัวข้อรายงานคนเดียว โดยมีลูกน้องกลุ่มสี่คนที่สามคนนั่งอ่านหนังสือไร้สาระ อีกคนนั่งหลับ



    ---

    เดี๋ยวไปงานหนังสืออีกดีกว่า ไปมาสามวันรวดตั้งแต่มันเปิด เดี๋ยวไปอีก อิอิ

    ---



    โย่วๆ สวัสดีเจ้าค่ะ วันนี้สบายกายสบายใจ(หรอ)มาก(ไม่หรอก) คือวันนี้ประกาศผลสอบแล้วค่ะ ผลคือ...





    ผ่าน ฉลุย



    ผ่านหมดทุกวิชาเลยค่ะ ดีใจมาก ส่วยสุขภาพกาย ก็ปกติดี ถ้าไม่นับว่าเจ็บขากรรไกร คงอีกนานกว่าจะหาย ยิ่งเราต้องไปร้องเพลงเชียร์ด้วยยิ่งแล้วใหญ่เลย เจ็บไม่หายซะที เซ็ง

    วันนี้ไปงานหนังสือมา ไปรอบที่สองแล้ว รอบแรกได้มา13เล่ม หุหุ น้องเอาไปอ่านแล้วด้วย เราอ่านไปได้สองเล่มเองเพราะต้องไปโรงเรียน แล้ววันนี้ก็ไปมาอีก ไปเจอน้องคนนึงมา น้องเขาน่ารักมากๆ หุหุ เอาไว้เราค่อยคืนเงินให้นะจ๊ะ



    รักคนอ่านนะค่ะ โพสๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×