คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #5 : บทที่๕
บทที่๕
เฉินเหลย ปี้ซ่าน เฉินต้าเหลียน และหวังเจินจู ในยามนี้จิตใจกระวนกระวายนักด้วย มิอาจคาดเดาได้ว่าเป็นผู้ใดที่มาขอพบหลี๋หยวนจี๋หรือในอีกฐานะหนึ่ง ‘ประมุขวังศิลาขาว’ของพวกมันหากเป็นผู้มาดีย่อมดีไป แต่หากผู้มาเป็นคนวังเทวาเล่าจะจัดการฉันใด
คนทั้งสี่เพิ่งย่างเท้าเข้าอาณาบริเวณสวนขนาดใหญ่ริมทะเลสาบสีเขียวคราม พลันได้ยินเสียงบรรเลงพิณหวานละไมลอยล่องมาตามลม ยามนี้ย่อมเดาได้ผู้มามิใช่วังเทวาแน่เพราะหากมาหาเรื่องราวไฉนมีอารมณ์บรรเลงเพลงไพเราะออกมาได้ ปี้ซ่านซึ่งช่ำชองและพิสมัยในดนตรียิ่งนักถึงกับเอ่ยชมออกมา
“เพลงบุปผาผลิบาน...อืม ให้ความรู้สึกอบอุ่นถึงฤดูใบไม้ผลิอย่างแท้จริงนัก มิทราบว่าผู้เล่นเป็นผู้ใด แตกฉานทางดนตรีเพียงนี้” พลางเกิดอารมณ์อันสุนทรีย์อดหยิบขลุ่ยหยกสีขาวเหลือบชมพูใสอันเป็นสมบัติประจำกายออกมาร่วมบรรเลงมิได้
การสอดประสานของพิณและขลุ่ยกลับทำให้ผู้คนและเวรยามของวังศิลาขาวบริเวณนั้นล้วนเคลิบเคลิ้มแทบจะหลับไหลเสียสิ้น มีเพียงเฉินเหลยสองพ่อลูก และหวังเจินจู เท่านั้นที่อาจควบคุมสติอยู่ฟัง จนเสียงเพลงจบลงนั่นแล้ว ผู้คนจึงตื่นจากภวังค์
ที่มาของเสียงพิณอยู่ที่ศาลาหินอ่อนสีขาวกลางสวนดอกไม้อันบานสะพรั่ง ที่ยืนอยู่นั้นเป็นบุรุษชราผู้หนึ่งแต่งกายด้วยชุดยาวสีขาวมีเสื้อคลุมทับสีเทาจางๆดูน่าเกรงขามยิ่งนัก กับดรุณีในชุดยาวสีส้มนางหนึ่ง อายุนางรุ่นราวคราวเดียวกับหวังเจินจู หากแต่งามผุดผาดนักหนา หวังเจินจูว่าเป็นสาวงามยากจะหาผู้ใดเทียบแล้ว ดรุณีนางนี้กลับงดงามไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน มือเรียวสวยของนางลูบไล้ไปมาอยู่กับสายของพิณไม้สีน้ำตาลทองตรงหน้า ที่แท้เป็นดรุณีนางนี้เองที่เล่นดนตรีเมื่อครู่
“แม่นางน้อยอายุยังเยาว์ กลับมีความสามารถทางดนตรีถึงเพียงนี้ ข้าเลื่อมใสยิ่งนัก”ปี้ซ่านชมอย่างจริงใจ
“เจ้าวารี ท่านกล่าวหนักไปแล้ว หลานสาวข้าฝีมือยังอ่อนด้อย ไหนเลยกล้ารับคำชมจากเทพธิดาขลุ่ยหยกเช่นนาง” กลับเป็นบุรุษชราที่กล่าวอย่างถ่อมตน พลางประสานมือทักทาย
“ไม่ได้พบกันนาน ทุกท่านสบายดี?”
“ท่านหยาง!!!” เฉินเหลยอุทานอย่างยินดียิ่ง นึกไม่ถึงบุคคลที่พวกมันคิดไปขอความช่วยเหลือกลับมาปรากฎตรงหน้าราวภาพนิมิตร ที่แท้ชายชราตรงหน้าคือ อาวุโสหยางที่พวกเขากล่าวถึง...หยางหยงเหยี่ยน
“ผู้เยาว์ทั้งหลายขอคารวะผู้อาวุโส” คนทั้งสี่กล่าวพร้อมเพรียงกัน
“ไฮ้...เจ้าพสุธา เจ้าวารี เราคนกันเอง ไฉนกระทำอันใดให้มากพิธี”
“สองคนนี้คงเป็นต้าเหลียน กับจูยี้กระมัง มิพบกันเนิ่นนาน พวกเจ้าเติบโตกันเช่นนี้ นับว่าข้าแก่แล้วจริงๆ”หยางหยงเหยี่ยนลูบเคราอันยาวสีขาวสีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใสยิ่ง จากนั้นหันไปเบื้องหลังให้เห็นดรุณีน้อยผู้ติดตามมาด้วย
“ผู้นี้เป็นหลานสาวข้า...เรียกว่าเหม่ยเซิน...เซินยี้ เจ้ามาคารวะท่านเจ้าทั้งสอง”
“เซินยี้...คารวะผู้อาวุโสทั้งสอง” หยางเหม่ยเซินย่อกายลงเล็กน้อย ใบหน้าแต้มยิ้มบางๆ ดูงดงามราวเทพธิดาจนเฉินต้าเหลียนอดตะลึงงันมิได้ หวังเจินจูถึงกับต้องสะกิดโดยแรงจึงค่อยรู้สึกตัว
“ศิษย์พี่...ท่านจ้องมองนางเช่นนี้ เสียมารยาทยิ่ง” จูยี้กระซิบเบาๆให้ได้ยินเพียงสองคน
“จูยี้!!!” ต้าเหลียนพลันสีหน้าแดงก่ำขึ้นมาทันใด
“พวกอาจารย์ลุงเดินไปไกลแล้ว หรือท่านพอใจยืนอยู่ที่นี้”นางร้องเตือนเบาๆ ขณะมองเห็นเฉินเหลย และปี้ซ่านชักชวนหยางหยงเหยี่ยนไปห้องรับรองในหออัคร มีหยางเหม่ยเซินเดินตามติดไปไม่ห่าง
“ข้า...เอ่อ”
“ข้าอันใดเล่า...ท่านชักช้าเยี่ยงนี้ ข้าไปแล้ว” จูยี้เร่งฝีเท้าติดตามผู้เป็นอาจารย์ไป ทิ้งเฉินต้าเหลียนผู้ยังยืนใบหน้าแดงก่ำราวลูกท้อไว้เบื้องหลัง
ห้องโถงหออัครแบ่งเป็นสัดส่วน ที่ใหญ่ที่สุดตรงกลางเป็นห้องขนาดใหญ่ใช้เป็นที่ชุมนุมใหญ่ภายในวังศิลาขาว ภายในจัดเก้าอี้ลดหลั่นเป็นลำดับ ที่อยู่บนยกพื้นสูงที่สุดคล้ายเป็นบัลลังก์สลักลายหงส์สีขาวสำหรับประมุข ด้านข้างซ้ายขวาต่ำลงมาเป็นของเจ้าพสุธา...วารี...อัคคี ทั้งสาม ส่วนที่เหลือเป็นของบรรดาศิษย์วังศิลาขาว และ หัวหน้าหน่วยต่างๆตามลำดับอาวุโส
เฉินเหลยเดินนำอาคันตุกะทั้งสองผ่านเข้าไปยังห้องด้านขวาอันเป็นห้องรับรองที่ตกแต่งงดงามไม่แพ้ห้องใดในหออัคร พลางเรียกน้ำชาชั้นยอดจากบริวารที่รอรับใช้อยู่มารับรองแขกทั้งสอง
“ผู้อาวุโส...เชิญจิบน้ำชา...แม่นางหยาง...เชิญ” ปี้ซ่านผายมือเชิญ
“ผู้อาวุโสท่านเรียกข้าเซินยี้เถิด อย่าได้เรียกขานเป็นแม่นางเลย...ข้า...ไม่คุ้นชิน” เหม่ยเซินเอ่ยอย่างขัดเขินยิ่ง นี่เป็นคราแรกที่นางติดตามท่านปู่ออกท่องเที่ยว ย่อมมิเคยได้ยินผู้คนเรียกขานนางเป็นอื่นนอกจากเซินยี้
“ฮ่า...ฮ่า...ฮ่า...เซินยี้ อยู่กับปู่ออกเก่งกล้า ยามนี้เหมือนไม่ใช่ตัวเจ้าจริงๆ”หยางหยงเหยี่ยนหัวร่อชอบใจยิ่ง
“ท่านปู่!!! เป็นผู้ใดเล่ามิให้ข้าออกมาท่องเที่ยวภายนอก ผู้คนที่ข้าเคยพบพาน นอกจากท่านก็มีเพียงอาจารย์อาเท่านั้น”นางหน้าง้ำงอลงอย่างขัดใจนัก ขณะที่เฉินเหลยและปี้ซ่านชมดูด้วยความเอ็นดูยิ่ง
“เซินยี้...ได้ยินเจ้าพูดถึงอาจารย์อาของเจ้า ข้าพลันนึกขึ้นมาได้...ท่านเจ้าทั้งสอง ศิษย์ของข้า...หยวนจี๋ไปไหนเสียเล่า...หรือพวกท่านใช้งานประมุขหนักจนมิอาจออกมาพบผู้คนได้”
“ผู้อาวุโส จะว่าไปข้านึกละอายนัก อันที่จริงข้ากำลังเขียนจดหมายขอความช่วยเหลือท่านพอดี ดังนั้นได้พบท่านในวันนี้ ข้ายินดีเป็นอย่างยิ่ง” เฉินเหลยกล่าวด้วยสีหน้าลำบากใจ
“ท่านเฉินมีอันใดร้ายแรงขนาดวังศิลาขาวรับมือมิได้...นี่คงไม่ได้เกี่ยวข้องกับศิษย์ข้ากระมัง” ท่านผู้เฒ่าซักถาม
“ผู้อาวุโสหยาง ที่ท่านชายไม่ออกมาพบท่านในวันนี้ไม่ใช่ไม่ปรารถนาที่จะออกมา แต่เป็นเพราะท่านออกมาไม่ได้” ปี้ซ่านกลับเป็นผู้ตอบแทนด้วยใบหน้าหม่นหมองลง
“ท่านหมายความว่าอย่างไร ข้ามิใคร่เข้าใจ”
“ท่านชายได้รับบาดเจ็บ บอบช้ำภายในสาหัส เวลานี้รักษาอาการอยู่ จึงออกมาพบท่านมิได้” เป็นเฉินต้าเหลียนที่บอกเล่าให้ฟัง
“อาจารย์อาบาดเจ็บ!!!” เหม่ยเซินตื่นตระหนกยิ่งนัก
“เกิดเรื่องเช่นนี้ได้อย่างไร” หยางหยงเหยี่ยนฉงนนัก ด้วยหลี่หยวนจี๋นั้นท่านสั่งสอนมากับมือ มีหรือจะไม่รู้ว่าพลังวัตรของศิษย์เป็นเช่นไร
“ท่านชายพลาดพลั้งถูกฝ่ามือของคนวังเทวา หากเรื่องราวทั้งหมดนั้นพูดแล้วยาวยิ่ง ไว้ข้าจะอธิบายให้ท่านฟัง” เฉินเหลยอธิบาย
“เช่นนั้นพวกท่านนำข้าไปเยี่ยมหยวนจี๋ได้หรือไม่”
“ผู้อาวุโส...เชิญทางนี้”
หลี่หยวนจี๋ยามนี้โคจรลมปราณรักษาอาการมาได้สามชั่วยามแล้ว ใบหน้าอันเคยซีดขาวราวกระดาษนั้นบัดนี้เริ่มมีเลือดฝาดขึ้นมาบ้าง พลันได้ยินเสียงฝีเท้าดังขึ้นใกล้ๆก่อนจะได้ยินเสียงเปิดประตูเข้ามาในห้องอย่างแผ่วเบา แม้นได้ยินเสียงเช่นนี้แต่เขายังโคจรลมปราณไม่ครบรอบ จึงมิอาจตัดทอนถอนพลังลืมตาขึ้นดูผู้ล่วงล้ำเข้ามาในห้องอันเป็นที่รโหฐานได้
ผู้มา...ย่อมมิใช่คนในวังเป็นแน่ ด้วยทุกคนในวังย่อมล่วงรู้และได้รับคำสั่งห้ามเด็ดขาดจากเฉินเหลยมิให้เข้ามารบกวนขณะเขารักษาอาการเช่นนี้ คิดได้ดังนั้นจิตใจก็ร้อนรุ่มกระวนกระวายนัก ยิ่งได้ยินเสียงฝีเท้าเข้ามาใกล้ตนเองเท่าไหร่ยิ่งร้อนรน จึงรีบโคจรลมปราณอย่างรีบเร่ง พลันได้ยินเสียงแหลมเล็กของสตรีดังขึ้นเบาๆ
“ท่านรีบเร่งโคจรลมปราณเช่นนี้ มิช้าลมปราณจะแตกซ่าน ถึงเวลานั้นข้าคงมิต้องลงมือลงแรงมากมายกระมัง”
สตรีหรือ...มีสตรีคิดฆ่าเขา
ใบหน้าคมคายผุดไปด้วยเม็ดเหงื่อหลั่งไหลออกมา สีหน้าขาวซีดขึ้นอีกครา
“ขนาดบาดเจ็บสาหัสท่านยังรูปงามปานนี้ น่าเสียดายจริงๆ”
ลมหายใจหลี่หยวนจี๋เริ่มติดขัด ร่างกายกระสับกระส่ายนัก
“ทรมาณมากหรือ ให้ข้าช่วยท่านดีหรือไม่”นางกล่าว ก่อนเขาจะสัมผัสได้ถึงมือเรียวลูบไล้บนใบหน้าเขาอย่างแผ่วเบา จากนั้นร่างกายเหมือนมีพลังอันเย็นเยียบสายหนึ่งสอดแทรกเข้ามา โลหิตไหลเวียนกลับสวนทาง ลมปราณภายในสับสนยากจะควบคุมได้อีกต่อไป
“เท่านี้ท่านคงไปพบยมบาลได้อย่างไม่ยากเย็นแล้ว...ดังนั้นไข่มุกสุริยันที่ท่านได้มา หากข้านำไปชื่นชมต่อ ท่านคงไม่ขัดข้อง”
เห็นหลี่หยวนจี๋ร่างกายสั่นไหวอย่างยากที่จะควบคุมก่อนจะกระอักเลือดออกมาคำหนึ่ง ร่างล้มพับไปด้านข้าง นางยิ้มออกมาอย่างสาสมใจก่อนสาวเท้าไปที่หน้าต่าง
แอ๊ด...
เสียงประตูห้องเปิดออกช้าๆ ภาพที่ปรากฎภายในห้องกลับทำให้ผู้คนที่อยู่ภายนอกตระหนกตกใจยิ่งนักเมื่อเห็นบุรุษหนุ่มผู้เป็นเจ้าของห้องสลบไสลไม่ได้สติอยู่บนเตียงใหญ่กับคราบเลือดที่กระอักออกมาเปรอะเปื้อนชุดสีขาวที่สวมใส่ มีร่างผู้บุกรุกชุดดำยืนอยู่ริมหน้าต่างก่อนร่างนั้นจะปีนข้ามกรอบหน้าต่างกระโจนลงไป เฉินเหลยและเฉินต้าเหลียนติดตามร่างชุดดำนั้นไปทันที มีปี้ซ่านออกไปสั่งการบริวารให้ติดตามไปช่วยเหลือเฉินเหลย สองพ่อลูก ส่วน หยางหยงเหยี่ยนตรงรี่เข้าไปตรวจแตะชีพจรของศิษย์รัก
“อาวุโส ท่านชายเป็นอย่างไรบ้าง” ปี้ซ่านซักถามร้อนรนหลังจากกลับเข้ามา
หวังเจินจู และหยางเหม่ยเซินต่างสีหน้าซีดเผือด ค่อยๆก้าวเข้ามาอย่างเงียบเชียบชมดูอยู่ด้วยความเป็นห่วงไม่ห่าง
“หยวนจี๋ ลมปราณแตกซ่าน ไอเย็นเข้าแทรก” ท่านผู้เฒ่าอุทานอย่างตื่นตระหนกพลางประคองร่างอันอ่อนปวกเปียกขึ้นนั่ง มือล้วงขวดสีเขียวออกมาขวดหนึ่งเทยาออกมาเป็นลูกกลมๆสีใสๆป้อนใส่ปากผู้เป็นศิษย์ จากนั้นประกบฝ่ามือเข้าที่กลางหลังถ่ายทอดลมปราณอันกล้าแข็งของตนเข้าไปช่วยเหลือ
เจ้าวังวารีเห็นหยางหยงเหยี่ยนเริ่มรักษาอาการหลี่หยวนจี๋ ก็ชักชวนสองดรุณีออกมาเพื่อมิให้เป็นการรบกวนท่านผู้อาวุโส
“อาจารย์อาบาดเจ็บอยู่ ยังมาถูกลอบทำร้ายอีก ช่างโชคร้ายจริงๆ”หยางเหม่ยเซินเอ่ยเสียงสั่น
“ไม่ว่ามันจะเป็นใคร หากได้ตัวมันกลับมา ข้า...ไม่ปล่อยมันไว้แน่!!” ปี้ซ่านเอ่ยเสียงอำมหิต
“จูยี้ เจ้าไปสั่งการเพิ่มเวรยามให้หนาแน่นขึ้น หากพวกมันปล่อยปละให้ผู้ใดเล็ดลอดเข้ามาอีก ข้าจะลงโทษสถานหนัก ไม่ไว้ชีวิตแม้เพียงคนเดียว”
“ศิษย์รับคำสั่ง”
หยางหยงเหยี่ยนรักษาอาการบอบช้ำแก่หลี่หยวนจี๋ล่วงเลยมาสามชั่วยามแล้ว สีหน้าหลี่หยวนจี๋จึงเริ่มมีเลือดฝาดอีกครั้ง ลมหายใจที่ติดขัดเริ่มกลับเป็นปกติ ท่านผู้เฒ่าค่อยๆถอนฝ่ามือจากกลางหลังผู้เป็นศิษย์ จากนั้นประคองร่างที่ยังไม่ได้สตินอนลงบนเตียง ยื่นมือตรวจชีพจรอีกครั้ง ก่อนถอนหายใจออกมาเบาๆ
“อาวุโสหยาง ท่านชาย...” ปี้ซ่านที่เพิ่งผลักประตูเข้ามา พร้อมกับสองดรุณี หยางเหม่ยเซินและหวังเจินจู เอ่ยถาม
“ข้าให้โอสถน้ำผึ้งขาวเพื่อขับไอเย็นในร่าง และกรุยจุดชีพจรให้ ลมปราณเป็นปกติแล้ว อีกสักครู่คงจะฟื้น”
“ได้ยินเช่นนี้ ข้าก็เบาใจ...ขอบคุณอาวุโสที่ช่วยเหลือท่านชายในครั้งนี้”
“เจ้าวารี หยวนจี๋เป็นศิษย์คนเดียวของข้า ข้าย่อมช่วยเหลืออยู่แล้ว อย่าได้เกรงใจไป...เจ้าวังพสุธา กับต้าเหลียนเล่า”
“พวกเขายังไม่กลับมา”
“ท่านปู่ อาจารย์อาไม่เป็นไรแน่นะ ทำไมป่านนี้ยังไม่ฟื้น” หยางเหม่ยเซินนั่งลงข้างเตียง จ้องมองใบหน้าหลี่หยวนจี๋ที่ยังซีดเซียวอยู่บ้างอย่างเป็นกังวล
ชั่วครู่เปลือกตาที่ปิดพริ้มค่อยๆกระพริบน้อยๆลืมขึ้น
“ใคร...” เสียงอ่อนระโหยเอ่ยขึ้นราวกระซิบ หากเสียงกระซิบนี้กลับสร้างความโล่งใจอย่างมากมายแก่ผู้คนภายในห้อง ราวเป็นเสียงจากสวรรค์
“หยวนจี๋ เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง” หยางหยงเหยี่ยนถามอย่างห่วงใย
“อาจารย์...ท่าน...หรือ”
“เป็นอาจารย์เอง เด็กเอย เจ้าเป็นอย่างไร”
“ศิษย์...ไม่เป็นไรแล้ว...ขอบคุณอาจารย์...ที่ช่วยเหลือ”ร่างสูงค่อยๆขยับตัวหมายจะกราบคารวะ
“เจ้าเพิ่งจะฟื้น อย่าขยับเขยื้อนให้วุ่นวายเลย” ผู้เป็นอาจารย์รั้งร่างศิษย์ไว้ให้นอนลง
“จริงสิ...ไฉนท่านอยู่ที่นี่ได้” หลี่หยวนจี๋เอ่ยถามอย่างสงสัย
“อาจารย์อา ใช่แต่ท่านปู่นะ เซินยี้ก็อยู่ที่นี่ด้วย” ดรุณีน้อยชุดส้มที่นั่งบนเตียงจับมือเขาเขย่าเบาๆ
“อา...เซินยี้ เป็นเจ้าจริงๆ...ไม่พบกันสองปี เจ้ายังดูซุกซนไม่เปลี่ยนแปลง...” ประมุขวังศิลาขาวเสียงแจ่มใสขึ้น
“อาจารย์อา!!!” หยางเหม่ยเซินหน้างอง้ำเป็นครั้งที่สองของวันแล้ว หากหยางหยงเหยี่ยนหัวร่อออกมาอย่างสุขใจ บรรยากาศที่หายไปนานนับแต่หลี่หยวนจี๋ลาจากมากลับมาอีกครั้ง
“ท่านอาซ่าน จูยี้ พวกท่าน...กลับมาแล้ว” หลี่หยวนจี๋จ้องมองเลยไป เห็นเป็นเจ้าวารีกับหวังเจินจูก็ทักอย่างยินดี
“ท่านชาย” ปี้ซ่านค้อมกายเล็กน้อยเป็นการทักทาย ขณะหวังเจินจูย่อกายลงคารวะอย่างงดงาม
“ครึ่งปีที่ไม่พบกัน ท่านอา ท่านยังงดงามมิเปลี่ยนแปลง”
“ดูเถิดท่านชาย กับสาวแก่เยี่ยงข้าท่านยังมิวายหว่านเสน่ห์” ปี้ซ่านเอ็ดอย่างไม่จริงจังนัก ปีนี้นางอายุสามสิบสองแล้วหากยังคงความงามไม่เปลี่ยนแปลงก็ดูจะเป็นเรื่องแปลกพิสดารนัก แม้นางยังดูงดงามอยู่มากแต่ไหนเลยจะสู้เมื่อยามเป็นดรุณีน้อยได้
“อาจารย์...ท่านยังมิได้บอกข้า...ไฉนท่านอยู่ที่นี่ได้”
“อาจารย์เพียงออกมาท่องเที่ยวเท่านั้น ผ่านวังศิลาขาว จึงแวะมาเยี่ยมเยียนเจ้า นึกไม่ถึงอาจารย์มาได้เวลาประจวบเหมาะจริงๆ...เจ้าเล่าให้อาจารย์ฟังสักครา เรื่องราวเป็นมาอย่าง ไรเจ้าจึงบาดเจ็บได้”
“วันนั้นข้า...”
ความคิดเห็น