ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ลิขิตฟ้า...อาญาสวรรค์

    ลำดับตอนที่ #5 : บทที่๕

    • อัปเดตล่าสุด 6 พ.ค. 49


    บทที่๕

     

                เฉินเหลย ปี้ซ่าน เฉินต้าเหลียน และหวังเจินจู ในยามนี้จิตใจกระวนกระวายนักด้วย มิอาจคาดเดาได้ว่าเป็นผู้ใดที่มาขอพบหลี๋หยวนจี๋หรือในอีกฐานะหนึ่งประมุขวังศิลาขาวของพวกมันหากเป็นผู้มาดีย่อมดีไป แต่หากผู้มาเป็นคนวังเทวาเล่าจะจัดการฉันใด

     

                คนทั้งสี่เพิ่งย่างเท้าเข้าอาณาบริเวณสวนขนาดใหญ่ริมทะเลสาบสีเขียวคราม พลันได้ยินเสียงบรรเลงพิณหวานละไมลอยล่องมาตามลม ยามนี้ย่อมเดาได้ผู้มามิใช่วังเทวาแน่เพราะหากมาหาเรื่องราวไฉนมีอารมณ์บรรเลงเพลงไพเราะออกมาได้ ปี้ซ่านซึ่งช่ำชองและพิสมัยในดนตรียิ่งนักถึงกับเอ่ยชมออกมา

     

    เพลงบุปผาผลิบาน...อืม ให้ความรู้สึกอบอุ่นถึงฤดูใบไม้ผลิอย่างแท้จริงนัก มิทราบว่าผู้เล่นเป็นผู้ใด แตกฉานทางดนตรีเพียงนี้ พลางเกิดอารมณ์อันสุนทรีย์อดหยิบขลุ่ยหยกสีขาวเหลือบชมพูใสอันเป็นสมบัติประจำกายออกมาร่วมบรรเลงมิได้

     

    การสอดประสานของพิณและขลุ่ยกลับทำให้ผู้คนและเวรยามของวังศิลาขาวบริเวณนั้นล้วนเคลิบเคลิ้มแทบจะหลับไหลเสียสิ้น มีเพียงเฉินเหลยสองพ่อลูก และหวังเจินจู เท่านั้นที่อาจควบคุมสติอยู่ฟัง จนเสียงเพลงจบลงนั่นแล้ว ผู้คนจึงตื่นจากภวังค์

     

    ที่มาของเสียงพิณอยู่ที่ศาลาหินอ่อนสีขาวกลางสวนดอกไม้อันบานสะพรั่ง ที่ยืนอยู่นั้นเป็นบุรุษชราผู้หนึ่งแต่งกายด้วยชุดยาวสีขาวมีเสื้อคลุมทับสีเทาจางๆดูน่าเกรงขามยิ่งนัก กับดรุณีในชุดยาวสีส้มนางหนึ่ง อายุนางรุ่นราวคราวเดียวกับหวังเจินจู หากแต่งามผุดผาดนักหนา หวังเจินจูว่าเป็นสาวงามยากจะหาผู้ใดเทียบแล้ว ดรุณีนางนี้กลับงดงามไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน มือเรียวสวยของนางลูบไล้ไปมาอยู่กับสายของพิณไม้สีน้ำตาลทองตรงหน้า ที่แท้เป็นดรุณีนางนี้เองที่เล่นดนตรีเมื่อครู่

     

    แม่นางน้อยอายุยังเยาว์ กลับมีความสามารถทางดนตรีถึงเพียงนี้ ข้าเลื่อมใสยิ่งนักปี้ซ่านชมอย่างจริงใจ

     

    เจ้าวารี ท่านกล่าวหนักไปแล้ว หลานสาวข้าฝีมือยังอ่อนด้อย ไหนเลยกล้ารับคำชมจากเทพธิดาขลุ่ยหยกเช่นนาง กลับเป็นบุรุษชราที่กล่าวอย่างถ่อมตน พลางประสานมือทักทาย

     

    ไม่ได้พบกันนาน ทุกท่านสบายดี?

     

    ท่านหยาง!!!” เฉินเหลยอุทานอย่างยินดียิ่ง นึกไม่ถึงบุคคลที่พวกมันคิดไปขอความช่วยเหลือกลับมาปรากฎตรงหน้าราวภาพนิมิตร ที่แท้ชายชราตรงหน้าคือ อาวุโสหยางที่พวกเขากล่าวถึง...หยางหยงเหยี่ยน

     

    ผู้เยาว์ทั้งหลายขอคารวะผู้อาวุโส คนทั้งสี่กล่าวพร้อมเพรียงกัน

     

    ไฮ้...เจ้าพสุธา เจ้าวารี เราคนกันเอง ไฉนกระทำอันใดให้มากพิธี

     

    สองคนนี้คงเป็นต้าเหลียน กับจูยี้กระมัง มิพบกันเนิ่นนาน พวกเจ้าเติบโตกันเช่นนี้ นับว่าข้าแก่แล้วจริงๆหยางหยงเหยี่ยนลูบเคราอันยาวสีขาวสีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใสยิ่ง จากนั้นหันไปเบื้องหลังให้เห็นดรุณีน้อยผู้ติดตามมาด้วย

     

    ผู้นี้เป็นหลานสาวข้า...เรียกว่าเหม่ยเซิน...เซินยี้ เจ้ามาคารวะท่านเจ้าทั้งสอง

     

    เซินยี้...คารวะผู้อาวุโสทั้งสอง หยางเหม่ยเซินย่อกายลงเล็กน้อย ใบหน้าแต้มยิ้มบางๆ ดูงดงามราวเทพธิดาจนเฉินต้าเหลียนอดตะลึงงันมิได้ หวังเจินจูถึงกับต้องสะกิดโดยแรงจึงค่อยรู้สึกตัว

     

    ศิษย์พี่...ท่านจ้องมองนางเช่นนี้ เสียมารยาทยิ่ง จูยี้กระซิบเบาๆให้ได้ยินเพียงสองคน

     

    จูยี้!!!” ต้าเหลียนพลันสีหน้าแดงก่ำขึ้นมาทันใด

     

    พวกอาจารย์ลุงเดินไปไกลแล้ว หรือท่านพอใจยืนอยู่ที่นี้นางร้องเตือนเบาๆ ขณะมองเห็นเฉินเหลย และปี้ซ่านชักชวนหยางหยงเหยี่ยนไปห้องรับรองในหออัคร มีหยางเหม่ยเซินเดินตามติดไปไม่ห่าง

     

    ข้า...เอ่อ

     

    ข้าอันใดเล่า...ท่านชักช้าเยี่ยงนี้ ข้าไปแล้ว จูยี้เร่งฝีเท้าติดตามผู้เป็นอาจารย์ไป ทิ้งเฉินต้าเหลียนผู้ยังยืนใบหน้าแดงก่ำราวลูกท้อไว้เบื้องหลัง

     

     

     

    ห้องโถงหออัครแบ่งเป็นสัดส่วน ที่ใหญ่ที่สุดตรงกลางเป็นห้องขนาดใหญ่ใช้เป็นที่ชุมนุมใหญ่ภายในวังศิลาขาว  ภายในจัดเก้าอี้ลดหลั่นเป็นลำดับ ที่อยู่บนยกพื้นสูงที่สุดคล้ายเป็นบัลลังก์สลักลายหงส์สีขาวสำหรับประมุข ด้านข้างซ้ายขวาต่ำลงมาเป็นของเจ้าพสุธา...วารี...อัคคี ทั้งสาม ส่วนที่เหลือเป็นของบรรดาศิษย์วังศิลาขาว และ หัวหน้าหน่วยต่างๆตามลำดับอาวุโส

     

                เฉินเหลยเดินนำอาคันตุกะทั้งสองผ่านเข้าไปยังห้องด้านขวาอันเป็นห้องรับรองที่ตกแต่งงดงามไม่แพ้ห้องใดในหออัคร พลางเรียกน้ำชาชั้นยอดจากบริวารที่รอรับใช้อยู่มารับรองแขกทั้งสอง

     

                ผู้อาวุโส...เชิญจิบน้ำชา...แม่นางหยาง...เชิญ ปี้ซ่านผายมือเชิญ

     

                ผู้อาวุโสท่านเรียกข้าเซินยี้เถิด อย่าได้เรียกขานเป็นแม่นางเลย...ข้า...ไม่คุ้นชิน เหม่ยเซินเอ่ยอย่างขัดเขินยิ่ง นี่เป็นคราแรกที่นางติดตามท่านปู่ออกท่องเที่ยว ย่อมมิเคยได้ยินผู้คนเรียกขานนางเป็นอื่นนอกจากเซินยี้

     

                ฮ่า...ฮ่า...ฮ่า...เซินยี้ อยู่กับปู่ออกเก่งกล้า ยามนี้เหมือนไม่ใช่ตัวเจ้าจริงๆหยางหยงเหยี่ยนหัวร่อชอบใจยิ่ง

     

                ท่านปู่!!! เป็นผู้ใดเล่ามิให้ข้าออกมาท่องเที่ยวภายนอก ผู้คนที่ข้าเคยพบพาน นอกจากท่านก็มีเพียงอาจารย์อาเท่านั้นนางหน้าง้ำงอลงอย่างขัดใจนัก ขณะที่เฉินเหลยและปี้ซ่านชมดูด้วยความเอ็นดูยิ่ง

     

                เซินยี้...ได้ยินเจ้าพูดถึงอาจารย์อาของเจ้า ข้าพลันนึกขึ้นมาได้...ท่านเจ้าทั้งสอง ศิษย์ของข้า...หยวนจี๋ไปไหนเสียเล่า...หรือพวกท่านใช้งานประมุขหนักจนมิอาจออกมาพบผู้คนได้

     

                ผู้อาวุโส จะว่าไปข้านึกละอายนัก อันที่จริงข้ากำลังเขียนจดหมายขอความช่วยเหลือท่านพอดี ดังนั้นได้พบท่านในวันนี้ ข้ายินดีเป็นอย่างยิ่ง เฉินเหลยกล่าวด้วยสีหน้าลำบากใจ

     

                ท่านเฉินมีอันใดร้ายแรงขนาดวังศิลาขาวรับมือมิได้...นี่คงไม่ได้เกี่ยวข้องกับศิษย์ข้ากระมัง ท่านผู้เฒ่าซักถาม

     

                ผู้อาวุโสหยาง ที่ท่านชายไม่ออกมาพบท่านในวันนี้ไม่ใช่ไม่ปรารถนาที่จะออกมา แต่เป็นเพราะท่านออกมาไม่ได้ ปี้ซ่านกลับเป็นผู้ตอบแทนด้วยใบหน้าหม่นหมองลง

     

                ท่านหมายความว่าอย่างไร ข้ามิใคร่เข้าใจ

     

    ท่านชายได้รับบาดเจ็บ บอบช้ำภายในสาหัส เวลานี้รักษาอาการอยู่ จึงออกมาพบท่านมิได้ เป็นเฉินต้าเหลียนที่บอกเล่าให้ฟัง

     

                อาจารย์อาบาดเจ็บ!!!” เหม่ยเซินตื่นตระหนกยิ่งนัก

     

                เกิดเรื่องเช่นนี้ได้อย่างไร หยางหยงเหยี่ยนฉงนนัก ด้วยหลี่หยวนจี๋นั้นท่านสั่งสอนมากับมือ มีหรือจะไม่รู้ว่าพลังวัตรของศิษย์เป็นเช่นไร

     

                ท่านชายพลาดพลั้งถูกฝ่ามือของคนวังเทวา หากเรื่องราวทั้งหมดนั้นพูดแล้วยาวยิ่ง ไว้ข้าจะอธิบายให้ท่านฟัง เฉินเหลยอธิบาย

     

    เช่นนั้นพวกท่านนำข้าไปเยี่ยมหยวนจี๋ได้หรือไม่

     

    ผู้อาวุโส...เชิญทางนี้

     

     

    หลี่หยวนจี๋ยามนี้โคจรลมปราณรักษาอาการมาได้สามชั่วยามแล้ว ใบหน้าอันเคยซีดขาวราวกระดาษนั้นบัดนี้เริ่มมีเลือดฝาดขึ้นมาบ้าง พลันได้ยินเสียงฝีเท้าดังขึ้นใกล้ๆก่อนจะได้ยินเสียงเปิดประตูเข้ามาในห้องอย่างแผ่วเบา แม้นได้ยินเสียงเช่นนี้แต่เขายังโคจรลมปราณไม่ครบรอบ จึงมิอาจตัดทอนถอนพลังลืมตาขึ้นดูผู้ล่วงล้ำเข้ามาในห้องอันเป็นที่รโหฐานได้

     

    ผู้มา...ย่อมมิใช่คนในวังเป็นแน่ ด้วยทุกคนในวังย่อมล่วงรู้และได้รับคำสั่งห้ามเด็ดขาดจากเฉินเหลยมิให้เข้ามารบกวนขณะเขารักษาอาการเช่นนี้ คิดได้ดังนั้นจิตใจก็ร้อนรุ่มกระวนกระวายนัก ยิ่งได้ยินเสียงฝีเท้าเข้ามาใกล้ตนเองเท่าไหร่ยิ่งร้อนรน จึงรีบโคจรลมปราณอย่างรีบเร่ง พลันได้ยินเสียงแหลมเล็กของสตรีดังขึ้นเบาๆ

     

    ท่านรีบเร่งโคจรลมปราณเช่นนี้ มิช้าลมปราณจะแตกซ่าน ถึงเวลานั้นข้าคงมิต้องลงมือลงแรงมากมายกระมัง

     

    สตรีหรือ...มีสตรีคิดฆ่าเขา

     

    ใบหน้าคมคายผุดไปด้วยเม็ดเหงื่อหลั่งไหลออกมา สีหน้าขาวซีดขึ้นอีกครา 

     

    ขนาดบาดเจ็บสาหัสท่านยังรูปงามปานนี้ น่าเสียดายจริงๆ

     

    ลมหายใจหลี่หยวนจี๋เริ่มติดขัด ร่างกายกระสับกระส่ายนัก

     

    ทรมาณมากหรือ ให้ข้าช่วยท่านดีหรือไม่นางกล่าว ก่อนเขาจะสัมผัสได้ถึงมือเรียวลูบไล้บนใบหน้าเขาอย่างแผ่วเบา จากนั้นร่างกายเหมือนมีพลังอันเย็นเยียบสายหนึ่งสอดแทรกเข้ามา โลหิตไหลเวียนกลับสวนทาง ลมปราณภายในสับสนยากจะควบคุมได้อีกต่อไป

     

    เท่านี้ท่านคงไปพบยมบาลได้อย่างไม่ยากเย็นแล้ว...ดังนั้นไข่มุกสุริยันที่ท่านได้มา หากข้านำไปชื่นชมต่อ ท่านคงไม่ขัดข้อง

     

    เห็นหลี่หยวนจี๋ร่างกายสั่นไหวอย่างยากที่จะควบคุมก่อนจะกระอักเลือดออกมาคำหนึ่ง ร่างล้มพับไปด้านข้าง นางยิ้มออกมาอย่างสาสมใจก่อนสาวเท้าไปที่หน้าต่าง

     

     

    แอ๊ด...

     

    เสียงประตูห้องเปิดออกช้าๆ ภาพที่ปรากฎภายในห้องกลับทำให้ผู้คนที่อยู่ภายนอกตระหนกตกใจยิ่งนักเมื่อเห็นบุรุษหนุ่มผู้เป็นเจ้าของห้องสลบไสลไม่ได้สติอยู่บนเตียงใหญ่กับคราบเลือดที่กระอักออกมาเปรอะเปื้อนชุดสีขาวที่สวมใส่ มีร่างผู้บุกรุกชุดดำยืนอยู่ริมหน้าต่างก่อนร่างนั้นจะปีนข้ามกรอบหน้าต่างกระโจนลงไป เฉินเหลยและเฉินต้าเหลียนติดตามร่างชุดดำนั้นไปทันที มีปี้ซ่านออกไปสั่งการบริวารให้ติดตามไปช่วยเหลือเฉินเหลย สองพ่อลูก ส่วน หยางหยงเหยี่ยนตรงรี่เข้าไปตรวจแตะชีพจรของศิษย์รัก

     

    อาวุโส ท่านชายเป็นอย่างไรบ้าง ปี้ซ่านซักถามร้อนรนหลังจากกลับเข้ามา

     

     หวังเจินจู และหยางเหม่ยเซินต่างสีหน้าซีดเผือด ค่อยๆก้าวเข้ามาอย่างเงียบเชียบชมดูอยู่ด้วยความเป็นห่วงไม่ห่าง 

     

    หยวนจี๋ ลมปราณแตกซ่าน ไอเย็นเข้าแทรก ท่านผู้เฒ่าอุทานอย่างตื่นตระหนกพลางประคองร่างอันอ่อนปวกเปียกขึ้นนั่ง มือล้วงขวดสีเขียวออกมาขวดหนึ่งเทยาออกมาเป็นลูกกลมๆสีใสๆป้อนใส่ปากผู้เป็นศิษย์ จากนั้นประกบฝ่ามือเข้าที่กลางหลังถ่ายทอดลมปราณอันกล้าแข็งของตนเข้าไปช่วยเหลือ  

     

    เจ้าวังวารีเห็นหยางหยงเหยี่ยนเริ่มรักษาอาการหลี่หยวนจี๋ ก็ชักชวนสองดรุณีออกมาเพื่อมิให้เป็นการรบกวนท่านผู้อาวุโส

     

    อาจารย์อาบาดเจ็บอยู่ ยังมาถูกลอบทำร้ายอีก ช่างโชคร้ายจริงๆหยางเหม่ยเซินเอ่ยเสียงสั่น

     

    ไม่ว่ามันจะเป็นใคร หากได้ตัวมันกลับมา ข้า...ไม่ปล่อยมันไว้แน่!!” ปี้ซ่านเอ่ยเสียงอำมหิต

     

    จูยี้ เจ้าไปสั่งการเพิ่มเวรยามให้หนาแน่นขึ้น หากพวกมันปล่อยปละให้ผู้ใดเล็ดลอดเข้ามาอีก ข้าจะลงโทษสถานหนัก ไม่ไว้ชีวิตแม้เพียงคนเดียว

     

    ศิษย์รับคำสั่ง

     

     

    หยางหยงเหยี่ยนรักษาอาการบอบช้ำแก่หลี่หยวนจี๋ล่วงเลยมาสามชั่วยามแล้ว สีหน้าหลี่หยวนจี๋จึงเริ่มมีเลือดฝาดอีกครั้ง ลมหายใจที่ติดขัดเริ่มกลับเป็นปกติ ท่านผู้เฒ่าค่อยๆถอนฝ่ามือจากกลางหลังผู้เป็นศิษย์ จากนั้นประคองร่างที่ยังไม่ได้สตินอนลงบนเตียง ยื่นมือตรวจชีพจรอีกครั้ง ก่อนถอนหายใจออกมาเบาๆ

     

    อาวุโสหยาง ท่านชาย... ปี้ซ่านที่เพิ่งผลักประตูเข้ามา พร้อมกับสองดรุณี หยางเหม่ยเซินและหวังเจินจู เอ่ยถาม

     

    ข้าให้โอสถน้ำผึ้งขาวเพื่อขับไอเย็นในร่าง และกรุยจุดชีพจรให้ ลมปราณเป็นปกติแล้ว อีกสักครู่คงจะฟื้น

     

                ได้ยินเช่นนี้ ข้าก็เบาใจ...ขอบคุณอาวุโสที่ช่วยเหลือท่านชายในครั้งนี้

     

                เจ้าวารี หยวนจี๋เป็นศิษย์คนเดียวของข้า ข้าย่อมช่วยเหลืออยู่แล้ว อย่าได้เกรงใจไป...เจ้าวังพสุธา กับต้าเหลียนเล่า

     

                พวกเขายังไม่กลับมา

     

                ท่านปู่ อาจารย์อาไม่เป็นไรแน่นะ ทำไมป่านนี้ยังไม่ฟื้น หยางเหม่ยเซินนั่งลงข้างเตียง จ้องมองใบหน้าหลี่หยวนจี๋ที่ยังซีดเซียวอยู่บ้างอย่างเป็นกังวล

     

    ชั่วครู่เปลือกตาที่ปิดพริ้มค่อยๆกระพริบน้อยๆลืมขึ้น

     

    ใคร... เสียงอ่อนระโหยเอ่ยขึ้นราวกระซิบ หากเสียงกระซิบนี้กลับสร้างความโล่งใจอย่างมากมายแก่ผู้คนภายในห้อง ราวเป็นเสียงจากสวรรค์

     

    หยวนจี๋ เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง หยางหยงเหยี่ยนถามอย่างห่วงใย

     

    อาจารย์...ท่าน...หรือ

     

    เป็นอาจารย์เอง เด็กเอย เจ้าเป็นอย่างไร

     

    ศิษย์...ไม่เป็นไรแล้ว...ขอบคุณอาจารย์...ที่ช่วยเหลือร่างสูงค่อยๆขยับตัวหมายจะกราบคารวะ

     

    เจ้าเพิ่งจะฟื้น อย่าขยับเขยื้อนให้วุ่นวายเลย ผู้เป็นอาจารย์รั้งร่างศิษย์ไว้ให้นอนลง

     

    จริงสิ...ไฉนท่านอยู่ที่นี่ได้ หลี่หยวนจี๋เอ่ยถามอย่างสงสัย

     

    อาจารย์อา ใช่แต่ท่านปู่นะ เซินยี้ก็อยู่ที่นี่ด้วย ดรุณีน้อยชุดส้มที่นั่งบนเตียงจับมือเขาเขย่าเบาๆ

     

    อา...เซินยี้ เป็นเจ้าจริงๆ...ไม่พบกันสองปี เจ้ายังดูซุกซนไม่เปลี่ยนแปลง... ประมุขวังศิลาขาวเสียงแจ่มใสขึ้น

     

    อาจารย์อา!!!” หยางเหม่ยเซินหน้างอง้ำเป็นครั้งที่สองของวันแล้ว หากหยางหยงเหยี่ยนหัวร่อออกมาอย่างสุขใจ บรรยากาศที่หายไปนานนับแต่หลี่หยวนจี๋ลาจากมากลับมาอีกครั้ง

     

    ท่านอาซ่าน จูยี้ พวกท่าน...กลับมาแล้ว หลี่หยวนจี๋จ้องมองเลยไป เห็นเป็นเจ้าวารีกับหวังเจินจูก็ทักอย่างยินดี

     

    ท่านชาย ปี้ซ่านค้อมกายเล็กน้อยเป็นการทักทาย ขณะหวังเจินจูย่อกายลงคารวะอย่างงดงาม

     

    ครึ่งปีที่ไม่พบกัน ท่านอา ท่านยังงดงามมิเปลี่ยนแปลง

     

    ดูเถิดท่านชาย กับสาวแก่เยี่ยงข้าท่านยังมิวายหว่านเสน่ห์ ปี้ซ่านเอ็ดอย่างไม่จริงจังนัก ปีนี้นางอายุสามสิบสองแล้วหากยังคงความงามไม่เปลี่ยนแปลงก็ดูจะเป็นเรื่องแปลกพิสดารนัก แม้นางยังดูงดงามอยู่มากแต่ไหนเลยจะสู้เมื่อยามเป็นดรุณีน้อยได้  

     

    อาจารย์...ท่านยังมิได้บอกข้า...ไฉนท่านอยู่ที่นี่ได้

     

    อาจารย์เพียงออกมาท่องเที่ยวเท่านั้น ผ่านวังศิลาขาว จึงแวะมาเยี่ยมเยียนเจ้า นึกไม่ถึงอาจารย์มาได้เวลาประจวบเหมาะจริงๆ...เจ้าเล่าให้อาจารย์ฟังสักครา เรื่องราวเป็นมาอย่าง ไรเจ้าจึงบาดเจ็บได้

     

    วันนั้นข้า...

     

     

     

     

     

               

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×