ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ลิขิตฟ้า...อาญาสวรรค์

    ลำดับตอนที่ #4 : บทที่๔

    • อัปเดตล่าสุด 6 พ.ค. 49


    บทที่๔

     

    เฉินเหลยสองพ่อลูกเร่งฝีเท้าขึ้นพลางสบตากันวูบ พอจะล่วงรู้เหตุการณ์ข้างหน้าแจ่มชัด เจ้าวารี...จงรักภักดีต่อท่านชายยิ่งนัก หากทราบเรื่อง คงมิปล่อยให้เหตุการณ์ผ่านพ้นไปโดยไม่ทำอันใดเป็นแน่ ดูอย่างเมื่ออดีตท่านชายซุกซน หนีหายออกไปนอกวัง แม้นกลับมาโดยมิได้ประสบอันตรายใดๆ หากทหารยามวันนั้นโดนโทษโบยตีปางตายกันถ้วนหน้าสืบเนื่องจากไม่เข้มงวดกวดขันในการตรวจยาม

     

    บรรลุถึงห้องโถงใหญ่หออัคร กลางโถงนั้นปรากฎเป็นอิสตรีสวมชุดแพรยาวระพื้นสีม่วงอ่อนนั่งจิบน้ำชาท่วงท่าสำราญยิ่งนัก อายุนางราวสามสิบหากรูปโฉมยังหมดจดงดงามยิ่ง บุรุษใดมาพบเห็นคงอดตะลึงลานมิได้ แม้เฉินเหลยและเฉินต้าเหลียนพบเห็นจนชาชินก็ยังมิอาจไม่หยุดชมอยู่ครู่หนึ่ง เช่นเดียวกับดรุณีผู้สวมอาภรณ์สีครามข้างกาย แม้จะมีอายุเยาว์เพียงสิบห้าสิบหกปี แต่ความงดงามเช่นนี้หากจะเปรียบกับบุปผางามแล้ว คงมิมีบุปผาใดยินยอมแข่งความงามด้วยเป็นแน่ เบื้องหลังโฉมสะคราญต่างวัยทั้งสองยังมีดรุณีน่ารักอีกสี่นางซึ่งทั้งหมดล้วนสวมอาภรณ์สีเขียวจางๆต่างยืนสงบเสงี่ยมกันอยู่อย่างเงียบๆ

     

    ปี้ซ่าน เฉินเหลยร้องทักเบาๆ

     

    พี่เหลย...ข้ากลับมาแล้ว สตรีชุดม่วงนางนั้นลุกขึ้นอย่างกระชดกระช้อยมาหา มีดรุณีงดงามในชุดสีครามตามติดมาด้วย

     

    จูยี้คารวะอาจารย์ลุง ศิษย์พี่ต้าเหลียน ดรุณีนางนี้เรียกว่า หวังเจินจู เป็นศิษย์เอกของเจ้าวังวารี...

     

    ต้าเหลียน...คารวะท่านอา เฉินต้าเหลียนคารวะอย่างนอบน้อม

     

    ไม่พบกันครึ่งปี...ต้าเหลียน...เจ้าสง่างามขึ้นนะปี้ซ่านเอ่ยชม จากนั้นหันไปเรียกดรุณีทั้งสี่

     

    ซวนยี้ ฟ่งยี้ ลี้ยี้ จี้ยี้ พวกเจ้าเข้ามาคารวะอาจารย์ลุง กับศิษย์พี่

     

    คำนับอาจารย์ลุง...ศิษย์พี่ ดรุณีทั้งสี่ย่อกายลงอย่างงดงามยิ่ง

     

    ปี้ซ่าน เจ้าเล่นตลกอันใด...พาดรุณีน้อยมามากมายเช่นนี้เฉินเหลยเอ่ยถาม

     

    ข้าเห็นว่าวังศิลาขาวเงียบเหงายิ่ง ออกไปท่องเที่ยวกับจูยี้ครานี้ข้าจึงรับพวกนางเป็นศิษย์ติดตามกลับมาด้วยอย่างไร ปี้ซ่านตอบยิ้มแย้ม

     

    ท่านชายสบายดีกระมังนางถามต่อ หากสีหน้าเฉินเหลยสองพ่อลูกกลับเปลี่ยนความคิดนางเสียสิ้น

     

    เกิดอันใดขึ้น เสียงหวานละมุนห้วนกระด้างขึ้นทันใด

     

     

     

                บุรุษวัยฉกรรจ์ผู้หนึ่งนั่งตรวจตรากระดาษมากมายตรงหน้าอย่างคร่ำเคร่ง หากบ่อยครั้งใบหน้าคมคายนั้นหันมาจ้องมองบุรุษวัยกลางคนผู้คอยรับใช้อยู่ใกล้ชิด และทุกคราไปที่บุรุษหนุ่มจ้องมองราวจะถามบางสิ่ง อีกฝ่ายได้แต่ก้มศีรษะพลางส่ายหน้า ชั่วครู่มือยาวเรียววางเครื่องเขียนลงพลางทอดถอนใจอย่างไร้อารมณ์จดจ่อกับกระดาษตรงหน้าอีกต่อไป ร่างสูงยืนขึ้นช้าๆเดินกลับไปกลับมาอยู่หลายครา จนผู้เฝ้าดูอดเป็นกังวลมิได้

     

                ฝ่าบาท... ที่แท้บุรุษหนุ่มผู้นี้คือ ฮ่องเต้องค์ปัจจุบัน

     

                ลิ่วกงกง...อิเทียนกลับมาหรือยัง ทรงถามคำถามนี้นับเป็นครั้งไม่ถ้วนแล้ว นับแต่ทรงทราบ...พระอนุชาแอบเล็ดลอดออกไปนอกวัง

     

                ยังพะยะค่ะ...ทรงเปลี่ยนอิริยาบทสักครู่...เสด็จอุทยานดีหรือไม่พะยะค่ะ

     

                เฮ้อ...ข้าไร้อารมณ์ทำสิ่งใดทั้งสิ้น

     

                ท่านอ๋องเก้าวรยุทธล้ำเลิศ อีกทั้งองครักษ์ฝูก็ติดตามไปด้วย ทรงอย่ากลัดกลุ้มพระทัยไปเลย...ลิ่วกงกงทูลปลอบโยน

     

                แต่อิเทียนยังเยาว์ ทั้งยังซุกซนเล่นอะไรแผลงนัก ยุทธจักรเวลานี้มีแต่เรื่องราววุ่นวาย แม้จะมีวรยุทธก็ใช่ว่าอิเทียนจะทันเล่ห์เหลี่ยมพวกนักเลงภายนอก

     

                แต่พระองค์รับสั่งให้องครักษ์ออกตามหาแล้ว ข้าพระองค์คาดว่า...

     

                เพราะข้าสั่งไปแล้วอย่างไร...กลับเงียบหายไปหมด เจ้ายังให้ข้านั่งติดที่ได้อีกหรือ พระสุรเสียงดังเข้มขึ้น

     

                ไทเฮาเสด็จ เสียงขันทีประจำการภายนอกห้องทรงพระอักษรขานเสียงดัง สตรีสูงศักดิ์ท่วงท่าสง่างดงามในอาภรณ์แพรพรรณล้ำค่าก้าวผ่านพ้นธรณีประตูเข้ามา

     

                ถวายพระพรเสด็จแม่...ฮ่องเต้จะทรงคุกชงค์ลงตามราชประเพณี หากไทเฮากลับห้ามไว้พลางตรัสถามอย่างร้อนรน

     

                ฮ่องเต้ เทียนยี้กลับมาหรือยัง

     

                ยังพะยะค่ะ...เสด็จแม่อย่างได้ร้อนพระทัยไป ลูกสั่งองครักษ์ออกตามหาแล้ว คิดว่าไม่ช้าคงทราบเรื่อง ทรงตรัสปลอบไทเฮา แต่ลิ่วกงกงย่อมทราบ ในพระทัยยามนี้ร้อนรุ่มดังเพลิงสุม

     

                เทียนยี้คราวนี้ซุกซนไปแล้วจริงๆ...เห็นทีข้าต้องลงโทษให้หลาบจำเสียบ้างไทเฮาทรงพิโรธอย่างยิ่ง แต่ในความเป็นจริงแล้วพระองค์กลับไม่เคยตัดพระทัยลงโทษท่านอ๋องได้สักครั้ง

     

                ไทเฮาทรงเลี้ยงดูท่านอ๋องมาแต่แบเบาะรักทะนุถนอมดังพระโอรสแท้ๆ เนื่องด้วยพระมารดาท่านอ๋อง...เจ้าจอมฝูสิ้นตั้งแต่มีพระประสูติกาล

     

    พระองค์และเจ้าจอมฝูรักใคร่ดังพี่น้องด้วยเข้าวังถวายตัวพร้อมกัน เพียงแต่พระองค์ทรงพระครรภ์และประสูติพระโอรสก่อนเนิ่นนานจึงได้รับแต่งตั้งเป็นฮองเฮา หลายปีให้หลังเจ้าจอมฝูจึงประสูติท่านอ๋อง เจ้าจอมสิ้นไปไทเฮาจึงรับท่านอ๋องมาเป็นโอรสองค์เองด้วยความสนิทเสน่หานัก ฮ่องเต้องค์ปัจจุบันก็ทรงโปรดปรานท่านอ๋องประหนึ่งอนุชาแท้ๆ

     

                ผิงหยวนก็กระไรเลย ตามใจอิเทียนนัก ดูท่าฮ่องเต้คงต้องลดขั้นเป็นการลงโทษแล้วกระมัง ไทเฮาเสนอแนะ

     

    นี่ก็อีก ที่ความเป็นไปได้หามีไม่ บิดาฝูผิงหยวน นามฝูหลิน เจ้ากรมกลาโหมคนปัจจุบัน เป็นพี่ชายแท้ๆของเจ้าจอมฝู นับได้ว่าฝูผิงหยวนเป็นนัดดาคนหนึ่งที่ไทเฮาทรงเห็นมาแต่เล็กแต่น้อย ไฉนเลยกระทำอันใดลง

     

    กราบทูลฝ่าบาท...ไทเฮา...ท่านอ๋องเก้าเสด็จกลับมาแล้วพะยะค่ะ ขันทีผู้หนึ่งเข้ามาถวายรายงาน

     

    แล้วตอนนี้อยู่ที่ใด

     

    กราบทูลไทเฮา ท่านอ๋องรอเข้าเฝ้าอยู่ที่อุทยานพะยะค่ะ

     

    ประเสริฐ...ลิ่วกงกง เจ้าไปเอาไม้เรียวมา แล้วตามข้าไปอุทยาน...ฮ่องเต้เสด็จไปกับแม่สุรเสียงไทเฮาราบเรียบน่าเกรงกลัวนัก

     

    เสด็จแม่จะทรงตีอิเทียนจริงหรือพะยะค่ะฮ่องเต้ตรัสถามขณะทรงดำเนินไปด้วยกัน หากพระมารดาไม่ปริโอษฐ์แม้แต่น้อย ดูท่าครานี้ทรงไม่อ่อนข้อให้อีกแล้วกระมัง

     

    สองพระองค์บรรลุถึงอุทยานขนาดใหญ่ รายล้อมประดับประดาไปด้วยบุปผานานาพันธ์ที่ล้วนแต่หายากลำบากยิ่ง กลางอุทยานเป็นเก๋งแปดเหลี่ยมหลังหนึ่งตั้งอยู่กลางสระน้ำที่เบื้องล่างมีน้ำใสกระจ่างเห็นเป็นฝูงปลาหลากหลายสีแหวกว่ายไปมาตามกอบัวอันชูช่อออกดอกบานสล้าง  หากบุรุษหนุ่มผู้นั่งอยู่ท่ามกลางแวดล้อมเหล่านั้นกลับทำหน้านิ่ว สีหน้าซีดเซียวนัก คล้ายข่มบางสิ่งอยู่อย่างมิอาจกลั้น มีฝูผิงหยวนยืนอยู่ใกล้ๆอย่างเป็นห่วงเป็นใย

     

    ฮ่องเต้...ไทเฮา...เสด็จ เสียงขันทีขานดัง เจ้าอิเทียนได้ยินดังนั้นก็ลุกขึ้นเพื่อคุกเข่าถวายพระพร

     

    ถวายบังคมฝ่าบาท...ถวายบังคมเสด็จแม่ ท่านอ๋องกล่าวพลางเงยหน้าขึ้น ใบหน้าคมคายซีดเซียวอย่างยิ่ง สร้างความตื่นตระหนกแก่ฮ่องเต้และไทเฮานัก และทั้งสองพระองค์มีอันต้องตกพระทัยยิ่งขึ้นเมื่อเห็นบาดแผลบนแขนข้างขวาของท่านอ๋องรูปงาม ที่บัดนี้ยังมีเลือดซึมออกมาเล็กน้อยจากการเดินทาง

     

     อิเทียน...เจ้าไปทำอันใดมา ฮ่องเต้ทรงตรงเข้ามาประคับคองเจ้าอิเทียนให้ลุกขึ้นทันที ค่อยๆจับอนุชานั่งลงบนเก้าอี้ช้าๆ ขณะที่ไทเฮาประทับนั่งลงบนเก้าอี้ข้างๆด้วยความตกพระทัย

     

    เจ้าเจ็บมากหรือไม่ อิเทียน...ขอแม่ชมดู

     

    เสด็จแม่ เพียงถูกกระบี่เล็กน้อยเท่านั้นพะยะค่ะ

     

    เล็กน้อยอันใดกัน ใบหน้าเจ้าออกซีดเซียว...ฝูผิงหยวนเจ้าเป็นองครักษ์เช่นไร ปล่อยให้ท่านอ๋องบาดเจ็บเช่นนี้ ไทเฮาทรงตวัดพระเนตรคมดุใส่

     

    พระอาญาไม่พ้นเกล้า กระหม่อมบกพร่องต่อหน้าที่ ทรงลงพระอาญาด้วยฝูผิงหยวนคุกเข่าลง ยอมรับผิด

     

    ข้าลงแน่ทีเดียวทรงหันมาตรัสเสียงแข็ง

     

    เสด็จแม่ ทุกสิ่งเป็นเรื่องสุดวิสัย...ผิงหยวนไม่...เจ้าอิเทียนพยายามอธิบาย

     

    เอาหล่ะ...เจ้ายังมิต้องอธิบายอันใดให้มากความ สำคัญคือให้หมอหลวงตรวจดูก่อนฮ่องเต้ทรงตัดบทขึ้นมายุติเหตุการณ์ที่ดูจะไม่จบสิ้น

     

    ลิ่วกงกง เจ้ามาพอดี...รีบตามหมอหลวงมาโดยเร็ว ฮ่องเต้ตรัสเมื่อทรงสอดส่ายพระเนตรเห็นขันทีคนสนิทเดินเข้ามาถึงพร้อมประคองไม้ด้ามนึงมาด้วย

     

    แล้ว...ไม้นี่

     

    เจ้าเอามาทำอันใดเล่า ยังไม่ไปตามรับสั่งฮ่องเต้อีก...ไปตามหมอหลวงมา ไทเฮาทรงตวาดแหว ลืมเสียสิ้นซึ่งพระเสาวนีย์ก่อนหน้านี้

     

     

     

    ประตูไม้แกะสลักสีขาวบานกว้างเปิดออก ภายในห้องอันตกแต่งด้วยสีขาวล้วนนั้นบนเตียงกว้างนั่งอยู่ด้วยหลี่หยวนจี๋ที่บัดนี้กำลังโคจรลมปราณรักษาอาการบอบช้ำ ร่างกายที่มีความเย็นยิ่งถูกห่อหุ้มไปด้วยละไอหมอกจางๆ ในสภาพจำศีลสภาพเช่นนี้ทำให้ผู้เปิดประตูเข้าไปอดวิตกกังวลมิได้แม้นทราบดีถึงพลังวัตรอันกล้าแข็งของบุรุษหนุ่มรูปงามตรง หน้า เพราะถึงขนาดร่างกายจำศีลย่อมแสดงว่าบอบช้ำภายในมิน้อยเลย

     

    ท่านชายเดินลมปราณอยู่ ปี้ซ่านเจ้าอย่ารบกวนท่านประเสริฐกว่าเฉิน
    เหลยชักชวนเจ้าวังวารีออกมาสนทนาภายนอกโดยมีเฉินต้าเหลียนและหวังเจินจูติดตามมาด้วย

     

    ท่านชายบาดเจ็บไม่น้อยจริงๆ ปี้ซ่านน้ำเสียงกังวลยิ่งนัก ฉับพลันน้ำเสียงนางแข็งกระด้างขึ้นทันใดไอสังหารแผ่รุนแรงเมื่อรำลึกถึงต้นเหตุที่ทำให้บุรุษภายในห้องต้องเป็นเช่นนี้

     

    เรื่องราวครานี้คนวังเทวาต้องชดใช้

     

    ถูกต้องเรื่องราวครั้งนี้ ข้าเองมิยินยอมให้ผ่านไปเหมือนสายลมแน่ เฉินเหลยเอ่ยสนับสนุน

     

    ท่านอา...ข้าเองก็มีความผิด...เลินเล่อ มิได้สงสัยแม้แต่น้อยว่าท่านชายมีแผนไปเสี่ยงอันตรายผู้เดียว...เฉินต้าเหลียนหลบสายตาปี้ซ่ายอย่างละอายใจ

     

    ต้าเหลียน...อย่าได้โทษตนเอง...เจ้าย่อมทราบ ท่านชายตัดสินใจกระทำสิ่งใด ต่อให้เป็นคนทั้งวังศิลาขาวก็ต้านไม่อยู่ ไข่มุกสุริยันเป็นสมบัติราชวงศ์ถัง ถูกสำนักนอกรีดเมืองเหลียวแย่งชิงไป ท่านชายย่อมมุ่งมั่นจะนำกลับมา...พวกมันต่างหากทวงหาสิ่งของอย่างไม่ละอาย ซ้ำยังทำร้ายเจ้าของแท้จริงเสียเจ็บเพียงนี้ เพียงโลหิตหยดเดียวของท่านชาย เลือดพวกมันก็สมควรนองแผ่นดินเมืองเหลียวแล้ว ปี้ซ่านเสียงเย็นยะเยียบยิ่ง สร้างความอึดอัด และแรงกดดันมากมายแก่ผู้คนรายรอบไม่รู้ตัว

     

    อาจารย์ ฟังจากที่อาจารย์ลุงและศิษย์พี่เล่า ข้าเห็นว่าวังเทวาไม่ยอมรามือเป็นแน่ เพียงแต่ยามนี้พวกมันมิล่วงรู้เท่านั้นว่าไข่มุกสุริยันอยู่ที่วังศิลาขาวแห่งนี้หวังเจินจูออกความเห็น

     

    จูยี้กล่าวได้ถูกต้อง ยามที่ท่านชายรักษาอาการอยู่เช่นนี้เราต้องปกปิดเรื่องไข่มุกสุริยันให้มิดชิดที่สุด ปี้ซ่านหยักหน้าช้าๆ ขณะที่เฉินเหลยมองเห็นเพียงเค้ายุ่งยากรางๆ

     

    ปี้ซ่านเจ้าจะยกฝ่ามือปิดฟ้าได้อย่างไร เวลาล่วงเลยมาสองวันแล้วคนวังเทวาย่อมคาดเดาได้มีบุคคลสักกี่จำพวกที่สามารถบุกไปเอาของจากมันออกมา และเป็นสถานที่ใดที่สามารถตามหาเจ้าของแท้จริงของไข่มุกนั้นได้

     

    เฮ้อ...ความปรารถนาสุดท้ายขององค์หลงจี สร้างความลำบากให้ท่านชายจริงๆ...ไข่มุกสุริยัน...ผลึกจันทรา...นางฟ้าหยกขาว สมบัติล้ำค่าราชวงศ์ถังสามสิ่งนี้ หากตกอยู่ในมือผู้อื่นดวงพระวิญญาณบรรพกษัตริย์ทั้งหลายย่อมไม่สงบสุขเป็นแน่ บัดนี้ท่านชายได้ไข่มุกสุริยันกลับมา นับได้ว่าบรรลุความปรารถนาองค์หลงจีส่วนหนึ่งแล้ว ปี้ซ่านรำพึงออกมา

     

                ท่านพ่อ ท่านอาในฐานะข้าในพระองค์ของราชวงศ์ถัง แม้ต้องพลีกายถวายชีวิตจนต้องสิ้นโลหิตหยาดสุดท้าย ข้าก็จะช่วยเหลือและปกป้องคุ้มครองท่านชายให้บรรลุทุกสิ่งตามความปรารถนาแห่งบรรพกษัตริย์ให้จงได้ เฉินต้าเหลียนกล่าวอย่างหนักแน่น ยังผลให้ผู้อาวุโสทั้งสองปลื้มปิติยิ่งนัก

     

                ศึกครั้งกับวังเทวาในครั้งนี้ พวกเราจะประมาทมิได้ ได้ยินว่าพวกมันเพิ่งแต่งตั้งประมุขคนใหม่ คิดว่าฝีมือคงร้ายกาจมิใช่น้อย เฉินเหลยวิตกกังวลเป็นอย่างยิ่ง วังเทวาเป็นสำนักลึกลับในดินแดนเหลียว มิค่อยมีผู้คนรู้จัก ทั้งวรยุทธ์ก็แปลกพิสดารไม่คล้ายวรยุทธ์ในภาคกลาง หากหลี่หยวนจี๋ไม่ได้รับบาดเจ็บสาหัส เรื่องเช่นนี้คงไม่ต้องนำมาคิดให้วุ่นวาย แต่ในยามเช่นนี้มิทราบจะเตรียมการรับมือประการใดดี

     

                ข้ามีความคิดเห็นประการหนึ่ง เฉินต้าเหลียนกล่าวขึ้นหลังจากทั้งหมดเงียบไปเพราะใช้ความคิดอยู่ครู่ใหญ่

     

    ท่านพ่อ ท่านอา ไฉนเราไม่ส่งเทียบเชิญผู้อาวุโสหยางมาเล่า

     

    จริงด้วย อาวุโสหยางเป็นอาจารย์ท่านชาย ทั้งยังเป็นที่นับหน้าถือตาในยุทธภพ ได้ท่านออกหน้า วังเทวาย่อมต้องเกรงใจอยู่บ้าง หวังเจินจูสนับสนุน

     

    จริงอย่างพวกเจ้าว่า หากแต่หลังจากท่านชายจากมา ผู้อาวุโสก็เดินทางท่องเที่ยวไปทั่ว ไม่ทราบจะไปติดตามได้ที่ใด ปี้ซ่านขมวดคิ้วเรียวยาวเข้าหากัน

     

    ทั้งหมดสนทนากันถึงยามนี้ บริวารวังศิลาขาวผู้หนึ่งเดินตรงมาหารายงานเจ้าวังทั้งสองถึงการมาเยือนของอาคันตุกะสองคน

     

    เรียนเจ้าวังทั้งสอง มีชาวยุทธสองคนมาขอพบประมุข

     

    มีคนมาขอพบท่านชายอย่างนั้นหรือ เฉินเหลยถามย้ำ

     

    ท่านเจ้าพสุธา...พวกเขารออยู่ที่สวนด้านหน้า

     

    ท่านพ่อ...หรือว่าจะเป็นพวกวัง...

     

    ...ไปดูด้วยตาย่อมประเสริฐกว่า....เจ้าอย่าเพิ่งคาดเดาเลย

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×