คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #4 : บทที่๔
บทที่๔
เฉินเหลยสองพ่อลูกเร่งฝีเท้าขึ้นพลางสบตากันวูบ พอจะล่วงรู้เหตุการณ์ข้างหน้าแจ่มชัด เจ้าวารี...จงรักภักดีต่อท่านชายยิ่งนัก หากทราบเรื่อง คงมิปล่อยให้เหตุการณ์ผ่านพ้นไปโดยไม่ทำอันใดเป็นแน่ ดูอย่างเมื่ออดีตท่านชายซุกซน หนีหายออกไปนอกวัง แม้นกลับมาโดยมิได้ประสบอันตรายใดๆ หากทหารยามวันนั้นโดนโทษโบยตีปางตายกันถ้วนหน้าสืบเนื่องจากไม่เข้มงวดกวดขันในการตรวจยาม
บรรลุถึงห้องโถงใหญ่หออัคร กลางโถงนั้นปรากฎเป็นอิสตรีสวมชุดแพรยาวระพื้นสีม่วงอ่อนนั่งจิบน้ำชาท่วงท่าสำราญยิ่งนัก อายุนางราวสามสิบหากรูปโฉมยังหมดจดงดงามยิ่ง บุรุษใดมาพบเห็นคงอดตะลึงลานมิได้ แม้เฉินเหลยและเฉินต้าเหลียนพบเห็นจนชาชินก็ยังมิอาจไม่หยุดชมอยู่ครู่หนึ่ง เช่นเดียวกับดรุณีผู้สวมอาภรณ์สีครามข้างกาย แม้จะมีอายุเยาว์เพียงสิบห้าสิบหกปี แต่ความงดงามเช่นนี้หากจะเปรียบกับบุปผางามแล้ว คงมิมีบุปผาใดยินยอมแข่งความงามด้วยเป็นแน่ เบื้องหลังโฉมสะคราญต่างวัยทั้งสองยังมีดรุณีน่ารักอีกสี่นางซึ่งทั้งหมดล้วนสวมอาภรณ์สีเขียวจางๆต่างยืนสงบเสงี่ยมกันอยู่อย่างเงียบๆ
“ปี้ซ่าน” เฉินเหลยร้องทักเบาๆ
“พี่เหลย...ข้ากลับมาแล้ว” สตรีชุดม่วงนางนั้นลุกขึ้นอย่างกระชดกระช้อยมาหา มีดรุณีงดงามในชุดสีครามตามติดมาด้วย
“จูยี้คารวะอาจารย์ลุง ศิษย์พี่ต้าเหลียน” ดรุณีนางนี้เรียกว่า หวังเจินจู เป็นศิษย์เอกของเจ้าวังวารี...
“ต้าเหลียน...คารวะท่านอา” เฉินต้าเหลียนคารวะอย่างนอบน้อม
“ไม่พบกันครึ่งปี...ต้าเหลียน...เจ้าสง่างามขึ้นนะ”ปี้ซ่านเอ่ยชม จากนั้นหันไปเรียกดรุณีทั้งสี่
“ซวนยี้ ฟ่งยี้ ลี้ยี้ จี้ยี้ พวกเจ้าเข้ามาคารวะอาจารย์ลุง กับศิษย์พี่”
“คำนับอาจารย์ลุง...ศิษย์พี่” ดรุณีทั้งสี่ย่อกายลงอย่างงดงามยิ่ง
“ปี้ซ่าน เจ้าเล่นตลกอันใด...พาดรุณีน้อยมามากมายเช่นนี้”เฉินเหลยเอ่ยถาม
“ข้าเห็นว่าวังศิลาขาวเงียบเหงายิ่ง ออกไปท่องเที่ยวกับจูยี้ครานี้ข้าจึงรับพวกนางเป็นศิษย์ติดตามกลับมาด้วยอย่างไร” ปี้ซ่านตอบยิ้มแย้ม
“ท่านชายสบายดีกระมัง”นางถามต่อ หากสีหน้าเฉินเหลยสองพ่อลูกกลับเปลี่ยนความคิดนางเสียสิ้น
“เกิดอันใดขึ้น” เสียงหวานละมุนห้วนกระด้างขึ้นทันใด
บุรุษวัยฉกรรจ์ผู้หนึ่งนั่งตรวจตรากระดาษมากมายตรงหน้าอย่างคร่ำเคร่ง หากบ่อยครั้งใบหน้าคมคายนั้นหันมาจ้องมองบุรุษวัยกลางคนผู้คอยรับใช้อยู่ใกล้ชิด และทุกคราไปที่บุรุษหนุ่มจ้องมองราวจะถามบางสิ่ง อีกฝ่ายได้แต่ก้มศีรษะพลางส่ายหน้า ชั่วครู่มือยาวเรียววางเครื่องเขียนลงพลางทอดถอนใจอย่างไร้อารมณ์จดจ่อกับกระดาษตรงหน้าอีกต่อไป ร่างสูงยืนขึ้นช้าๆเดินกลับไปกลับมาอยู่หลายครา จนผู้เฝ้าดูอดเป็นกังวลมิได้
“ฝ่าบาท...” ที่แท้บุรุษหนุ่มผู้นี้คือ ฮ่องเต้องค์ปัจจุบัน
“ลิ่วกงกง...อิเทียนกลับมาหรือยัง” ทรงถามคำถามนี้นับเป็นครั้งไม่ถ้วนแล้ว นับแต่ทรงทราบ...พระอนุชาแอบเล็ดลอดออกไปนอกวัง
“ยังพะยะค่ะ...ทรงเปลี่ยนอิริยาบทสักครู่...เสด็จอุทยานดีหรือไม่พะยะค่ะ”
“เฮ้อ...ข้าไร้อารมณ์ทำสิ่งใดทั้งสิ้น”
“ท่านอ๋องเก้าวรยุทธล้ำเลิศ อีกทั้งองครักษ์ฝูก็ติดตามไปด้วย ทรงอย่ากลัดกลุ้มพระทัยไปเลย...”ลิ่วกงกงทูลปลอบโยน
“แต่อิเทียนยังเยาว์ ทั้งยังซุกซนเล่นอะไรแผลงนัก ยุทธจักรเวลานี้มีแต่เรื่องราววุ่นวาย แม้จะมีวรยุทธก็ใช่ว่าอิเทียนจะทันเล่ห์เหลี่ยมพวกนักเลงภายนอก”
“แต่พระองค์รับสั่งให้องครักษ์ออกตามหาแล้ว ข้าพระองค์คาดว่า...”
“เพราะข้าสั่งไปแล้วอย่างไร...กลับเงียบหายไปหมด เจ้ายังให้ข้านั่งติดที่ได้อีกหรือ” พระสุรเสียงดังเข้มขึ้น
“ไทเฮาเสด็จ” เสียงขันทีประจำการภายนอกห้องทรงพระอักษรขานเสียงดัง สตรีสูงศักดิ์ท่วงท่าสง่างดงามในอาภรณ์แพรพรรณล้ำค่าก้าวผ่านพ้นธรณีประตูเข้ามา
“ถวายพระพรเสด็จแม่...”ฮ่องเต้จะทรงคุกชงค์ลงตามราชประเพณี หากไทเฮากลับห้ามไว้พลางตรัสถามอย่างร้อนรน
“ฮ่องเต้ เทียนยี้กลับมาหรือยัง”
“ยังพะยะค่ะ...เสด็จแม่อย่างได้ร้อนพระทัยไป ลูกสั่งองครักษ์ออกตามหาแล้ว คิดว่าไม่ช้าคงทราบเรื่อง” ทรงตรัสปลอบไทเฮา แต่ลิ่วกงกงย่อมทราบ ในพระทัยยามนี้ร้อนรุ่มดังเพลิงสุม
“เทียนยี้คราวนี้ซุกซนไปแล้วจริงๆ...เห็นทีข้าต้องลงโทษให้หลาบจำเสียบ้าง”ไทเฮาทรงพิโรธอย่างยิ่ง แต่ในความเป็นจริงแล้วพระองค์กลับไม่เคยตัดพระทัยลงโทษท่านอ๋องได้สักครั้ง
ไทเฮาทรงเลี้ยงดูท่านอ๋องมาแต่แบเบาะรักทะนุถนอมดังพระโอรสแท้ๆ เนื่องด้วยพระมารดาท่านอ๋อง...เจ้าจอมฝูสิ้นตั้งแต่มีพระประสูติกาล
พระองค์และเจ้าจอมฝูรักใคร่ดังพี่น้องด้วยเข้าวังถวายตัวพร้อมกัน เพียงแต่พระองค์ทรงพระครรภ์และประสูติพระโอรสก่อนเนิ่นนานจึงได้รับแต่งตั้งเป็นฮองเฮา หลายปีให้หลังเจ้าจอมฝูจึงประสูติท่านอ๋อง เจ้าจอมสิ้นไปไทเฮาจึงรับท่านอ๋องมาเป็นโอรสองค์เองด้วยความสนิทเสน่หานัก ฮ่องเต้องค์ปัจจุบันก็ทรงโปรดปรานท่านอ๋องประหนึ่งอนุชาแท้ๆ
“ผิงหยวนก็กระไรเลย ตามใจอิเทียนนัก ดูท่าฮ่องเต้คงต้องลดขั้นเป็นการลงโทษแล้วกระมัง” ไทเฮาเสนอแนะ
นี่ก็อีก ที่ความเป็นไปได้หามีไม่ บิดาฝูผิงหยวน นามฝูหลิน เจ้ากรมกลาโหมคนปัจจุบัน เป็นพี่ชายแท้ๆของเจ้าจอมฝู นับได้ว่าฝูผิงหยวนเป็นนัดดาคนหนึ่งที่ไทเฮาทรงเห็นมาแต่เล็กแต่น้อย ไฉนเลยกระทำอันใดลง
“กราบทูลฝ่าบาท...ไทเฮา...ท่านอ๋องเก้าเสด็จกลับมาแล้วพะยะค่ะ” ขันทีผู้หนึ่งเข้ามาถวายรายงาน
“แล้วตอนนี้อยู่ที่ใด”
“กราบทูลไทเฮา ท่านอ๋องรอเข้าเฝ้าอยู่ที่อุทยานพะยะค่ะ”
“ประเสริฐ...ลิ่วกงกง เจ้าไปเอาไม้เรียวมา แล้วตามข้าไปอุทยาน...ฮ่องเต้เสด็จไปกับแม่”สุรเสียงไทเฮาราบเรียบน่าเกรงกลัวนัก
“เสด็จแม่จะทรงตีอิเทียนจริงหรือพะยะค่ะ”ฮ่องเต้ตรัสถามขณะทรงดำเนินไปด้วยกัน หากพระมารดาไม่ปริโอษฐ์แม้แต่น้อย ดูท่าครานี้ทรงไม่อ่อนข้อให้อีกแล้วกระมัง
สองพระองค์บรรลุถึงอุทยานขนาดใหญ่ รายล้อมประดับประดาไปด้วยบุปผานานาพันธ์ที่ล้วนแต่หายากลำบากยิ่ง กลางอุทยานเป็นเก๋งแปดเหลี่ยมหลังหนึ่งตั้งอยู่กลางสระน้ำที่เบื้องล่างมีน้ำใสกระจ่างเห็นเป็นฝูงปลาหลากหลายสีแหวกว่ายไปมาตามกอบัวอันชูช่อออกดอกบานสล้าง หากบุรุษหนุ่มผู้นั่งอยู่ท่ามกลางแวดล้อมเหล่านั้นกลับทำหน้านิ่ว สีหน้าซีดเซียวนัก คล้ายข่มบางสิ่งอยู่อย่างมิอาจกลั้น มีฝูผิงหยวนยืนอยู่ใกล้ๆอย่างเป็นห่วงเป็นใย
“ฮ่องเต้...ไทเฮา...เสด็จ” เสียงขันทีขานดัง เจ้าอิเทียนได้ยินดังนั้นก็ลุกขึ้นเพื่อคุกเข่าถวายพระพร
“ถวายบังคมฝ่าบาท...ถวายบังคมเสด็จแม่” ท่านอ๋องกล่าวพลางเงยหน้าขึ้น ใบหน้าคมคายซีดเซียวอย่างยิ่ง สร้างความตื่นตระหนกแก่ฮ่องเต้และไทเฮานัก และทั้งสองพระองค์มีอันต้องตกพระทัยยิ่งขึ้นเมื่อเห็นบาดแผลบนแขนข้างขวาของท่านอ๋องรูปงาม ที่บัดนี้ยังมีเลือดซึมออกมาเล็กน้อยจากการเดินทาง
“อิเทียน...เจ้าไปทำอันใดมา” ฮ่องเต้ทรงตรงเข้ามาประคับคองเจ้าอิเทียนให้ลุกขึ้นทันที ค่อยๆจับอนุชานั่งลงบนเก้าอี้ช้าๆ ขณะที่ไทเฮาประทับนั่งลงบนเก้าอี้ข้างๆด้วยความตกพระทัย
“เจ้าเจ็บมากหรือไม่ อิเทียน...ขอแม่ชมดู”
“เสด็จแม่ เพียงถูกกระบี่เล็กน้อยเท่านั้นพะยะค่ะ”
“เล็กน้อยอันใดกัน ใบหน้าเจ้าออกซีดเซียว...ฝูผิงหยวนเจ้าเป็นองครักษ์เช่นไร ปล่อยให้ท่านอ๋องบาดเจ็บเช่นนี้” ไทเฮาทรงตวัดพระเนตรคมดุใส่
“พระอาญาไม่พ้นเกล้า กระหม่อมบกพร่องต่อหน้าที่ ทรงลงพระอาญาด้วย”ฝูผิงหยวนคุกเข่าลง ยอมรับผิด
“ข้าลงแน่ทีเดียว”ทรงหันมาตรัสเสียงแข็ง
“เสด็จแม่ ทุกสิ่งเป็นเรื่องสุดวิสัย...ผิงหยวนไม่...”เจ้าอิเทียนพยายามอธิบาย
“เอาหล่ะ...เจ้ายังมิต้องอธิบายอันใดให้มากความ สำคัญคือให้หมอหลวงตรวจดูก่อน”ฮ่องเต้ทรงตัดบทขึ้นมายุติเหตุการณ์ที่ดูจะไม่จบสิ้น
“ลิ่วกงกง เจ้ามาพอดี...รีบตามหมอหลวงมาโดยเร็ว” ฮ่องเต้ตรัสเมื่อทรงสอดส่ายพระเนตรเห็นขันทีคนสนิทเดินเข้ามาถึงพร้อมประคองไม้ด้ามนึงมาด้วย
“แล้ว...ไม้นี่”
“เจ้าเอามาทำอันใดเล่า ยังไม่ไปตามรับสั่งฮ่องเต้อีก...ไปตามหมอหลวงมา” ไทเฮาทรงตวาดแหว ลืมเสียสิ้นซึ่งพระเสาวนีย์ก่อนหน้านี้
ประตูไม้แกะสลักสีขาวบานกว้างเปิดออก ภายในห้องอันตกแต่งด้วยสีขาวล้วนนั้นบนเตียงกว้างนั่งอยู่ด้วยหลี่หยวนจี๋ที่บัดนี้กำลังโคจรลมปราณรักษาอาการบอบช้ำ ร่างกายที่มีความเย็นยิ่งถูกห่อหุ้มไปด้วยละไอหมอกจางๆ ในสภาพจำศีลสภาพเช่นนี้ทำให้ผู้เปิดประตูเข้าไปอดวิตกกังวลมิได้แม้นทราบดีถึงพลังวัตรอันกล้าแข็งของบุรุษหนุ่มรูปงามตรง หน้า เพราะถึงขนาดร่างกายจำศีลย่อมแสดงว่าบอบช้ำภายในมิน้อยเลย
“ท่านชายเดินลมปราณอยู่ ปี้ซ่านเจ้าอย่ารบกวนท่านประเสริฐกว่า”เฉิน
เหลยชักชวนเจ้าวังวารีออกมาสนทนาภายนอกโดยมีเฉินต้าเหลียนและหวังเจินจูติดตามมาด้วย
“ท่านชายบาดเจ็บไม่น้อยจริงๆ” ปี้ซ่านน้ำเสียงกังวลยิ่งนัก ฉับพลันน้ำเสียงนางแข็งกระด้างขึ้นทันใดไอสังหารแผ่รุนแรงเมื่อรำลึกถึงต้นเหตุที่ทำให้บุรุษภายในห้องต้องเป็นเช่นนี้
“เรื่องราวครานี้คนวังเทวาต้องชดใช้”
“ถูกต้องเรื่องราวครั้งนี้ ข้าเองมิยินยอมให้ผ่านไปเหมือนสายลมแน่” เฉินเหลยเอ่ยสนับสนุน
“ท่านอา...ข้าเองก็มีความผิด...เลินเล่อ มิได้สงสัยแม้แต่น้อยว่าท่านชายมีแผนไปเสี่ยงอันตรายผู้เดียว...”เฉินต้าเหลียนหลบสายตาปี้ซ่ายอย่างละอายใจ
“ต้าเหลียน...อย่าได้โทษตนเอง...เจ้าย่อมทราบ ท่านชายตัดสินใจกระทำสิ่งใด ต่อให้เป็นคนทั้งวังศิลาขาวก็ต้านไม่อยู่ ไข่มุกสุริยันเป็นสมบัติราชวงศ์ถัง ถูกสำนักนอกรีดเมืองเหลียวแย่งชิงไป ท่านชายย่อมมุ่งมั่นจะนำกลับมา...พวกมันต่างหากทวงหาสิ่งของอย่างไม่ละอาย ซ้ำยังทำร้ายเจ้าของแท้จริงเสียเจ็บเพียงนี้ เพียงโลหิตหยดเดียวของท่านชาย เลือดพวกมันก็สมควรนองแผ่นดินเมืองเหลียวแล้ว” ปี้ซ่านเสียงเย็นยะเยียบยิ่ง สร้างความอึดอัด และแรงกดดันมากมายแก่ผู้คนรายรอบไม่รู้ตัว
“อาจารย์ ฟังจากที่อาจารย์ลุงและศิษย์พี่เล่า ข้าเห็นว่าวังเทวาไม่ยอมรามือเป็นแน่ เพียงแต่ยามนี้พวกมันมิล่วงรู้เท่านั้นว่าไข่มุกสุริยันอยู่ที่วังศิลาขาวแห่งนี้”หวังเจินจูออกความเห็น
“จูยี้กล่าวได้ถูกต้อง ยามที่ท่านชายรักษาอาการอยู่เช่นนี้เราต้องปกปิดเรื่องไข่มุกสุริยันให้มิดชิดที่สุด” ปี้ซ่านหยักหน้าช้าๆ ขณะที่เฉินเหลยมองเห็นเพียงเค้ายุ่งยากรางๆ
“ปี้ซ่านเจ้าจะยกฝ่ามือปิดฟ้าได้อย่างไร เวลาล่วงเลยมาสองวันแล้วคนวังเทวาย่อมคาดเดาได้มีบุคคลสักกี่จำพวกที่สามารถบุกไปเอาของจากมันออกมา และเป็นสถานที่ใดที่สามารถตามหาเจ้าของแท้จริงของไข่มุกนั้นได้”
“เฮ้อ...ความปรารถนาสุดท้ายขององค์หลงจี สร้างความลำบากให้ท่านชายจริงๆ...ไข่มุกสุริยัน...ผลึกจันทรา...นางฟ้าหยกขาว สมบัติล้ำค่าราชวงศ์ถังสามสิ่งนี้ หากตกอยู่ในมือผู้อื่นดวงพระวิญญาณบรรพกษัตริย์ทั้งหลายย่อมไม่สงบสุขเป็นแน่ บัดนี้ท่านชายได้ไข่มุกสุริยันกลับมา นับได้ว่าบรรลุความปรารถนาองค์หลงจีส่วนหนึ่งแล้ว” ปี้ซ่านรำพึงออกมา
“ท่านพ่อ ท่านอาในฐานะข้าในพระองค์ของราชวงศ์ถัง แม้ต้องพลีกายถวายชีวิตจนต้องสิ้นโลหิตหยาดสุดท้าย ข้าก็จะช่วยเหลือและปกป้องคุ้มครองท่านชายให้บรรลุทุกสิ่งตามความปรารถนาแห่งบรรพกษัตริย์ให้จงได้” เฉินต้าเหลียนกล่าวอย่างหนักแน่น ยังผลให้ผู้อาวุโสทั้งสองปลื้มปิติยิ่งนัก
“ศึกครั้งกับวังเทวาในครั้งนี้ พวกเราจะประมาทมิได้ ได้ยินว่าพวกมันเพิ่งแต่งตั้งประมุขคนใหม่ คิดว่าฝีมือคงร้ายกาจมิใช่น้อย” เฉินเหลยวิตกกังวลเป็นอย่างยิ่ง วังเทวาเป็นสำนักลึกลับในดินแดนเหลียว มิค่อยมีผู้คนรู้จัก ทั้งวรยุทธ์ก็แปลกพิสดารไม่คล้ายวรยุทธ์ในภาคกลาง หากหลี่หยวนจี๋ไม่ได้รับบาดเจ็บสาหัส เรื่องเช่นนี้คงไม่ต้องนำมาคิดให้วุ่นวาย แต่ในยามเช่นนี้มิทราบจะเตรียมการรับมือประการใดดี
“ข้ามีความคิดเห็นประการหนึ่ง” เฉินต้าเหลียนกล่าวขึ้นหลังจากทั้งหมดเงียบไปเพราะใช้ความคิดอยู่ครู่ใหญ่
“ท่านพ่อ ท่านอา ไฉนเราไม่ส่งเทียบเชิญผู้อาวุโสหยางมาเล่า”
“จริงด้วย อาวุโสหยางเป็นอาจารย์ท่านชาย ทั้งยังเป็นที่นับหน้าถือตาในยุทธภพ ได้ท่านออกหน้า วังเทวาย่อมต้องเกรงใจอยู่บ้าง” หวังเจินจูสนับสนุน
“จริงอย่างพวกเจ้าว่า หากแต่หลังจากท่านชายจากมา ผู้อาวุโสก็เดินทางท่องเที่ยวไปทั่ว ไม่ทราบจะไปติดตามได้ที่ใด” ปี้ซ่านขมวดคิ้วเรียวยาวเข้าหากัน
ทั้งหมดสนทนากันถึงยามนี้ บริวารวังศิลาขาวผู้หนึ่งเดินตรงมาหารายงานเจ้าวังทั้งสองถึงการมาเยือนของอาคันตุกะสองคน
“เรียนเจ้าวังทั้งสอง มีชาวยุทธสองคนมาขอพบประมุข”
“มีคนมาขอพบท่านชายอย่างนั้นหรือ” เฉินเหลยถามย้ำ
“ท่านเจ้าพสุธา...พวกเขารออยู่ที่สวนด้านหน้า”
“ท่านพ่อ...หรือว่าจะเป็นพวกวัง...”
“...ไปดูด้วยตาย่อมประเสริฐกว่า....เจ้าอย่าเพิ่งคาดเดาเลย”
ความคิดเห็น