คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : บทที่๓
บทที่๓
ยามวิกาลดึกสงัดท่ามกลางป่าเขาในคืนใกล้เดือนแรมส่งให้บรรยากาศรายรอบมืดสนิทยิ่ง หากริมผาสูงชันเหนือน้ำตกขนาดใหญ่ในหุบเขาอันเงียบสงบกลับปรากฎแสงไฟส่องสว่างนวลตา ที่มาของแสงนั้นกลับเป็นหมู่ตึกขนาดใหญ่ประกอบดวยตึกใหญ่น้อยมากมาย กินบริเวณกว้างขวางครอบคลุมพื้นที่หุบเขาแทบทั้งหมด
ตัวหมู่ตึกงามสง่าแบ่งเป็นสี่ส่วน...ที่ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกรายล้อมด้วยทะเลสาบอันเป็นแหล่งที่มาของน้ำตกเบื้องล่างเรียก....หอวารี สีสะท้อนของน้ำในทะเลสาบนั้นส่งให้ตึกสองชั้นทรงเกือกม้าที่ก่อด้วยหินขาวเปลี่ยนเป็นสีครามงดงามยิ่ง...ที่อยู่ทางทิศตะวันออกบนผาที่ยื่นออกไปคือ...หออัคคี ตัวตึกทรงกลมหันหน้ารับแสงอาทิตย์ ทุกครายามพระอาทิตย์ขึ้นจะสาดแสงส่องเปลี่ยนสีตัวหมู่ตึกสีขาวเป็นสีส้มแดงดังเปลวเพลิงดูแข็งแกร่งสง่างามนัก...ส่วนที่สามเรียก...หอพสุธา เป็นตึกที่ก่อสร้างผิดแปลกจากตึกอื่น ด้วยสูงถึงสี่ชั้นคลับคล้ายปราการหากพื้นที่สร้างนั้นกลับเป็นหน้าผาอันอยู่ต่ำกว่าหมู่ตึกอื่น ดังนี้แม้จะสูงถึงสี่ชั้น ชั้นบนสุดของหมู่ตึกจึงเป็นเพียงชั้นเดียวที่อยู่บนระนาบเดียวกับหมู่ตึกที่เหลือ และที่ตั้งอยู่ศูนย์กลางเป็นหอเอก เรียกว่า...หออัคร...เป็นตึกอันกว้างขวางที่สุด รายล้อมรอบด้วยสวนขนาดใหญ่และทะเลสาบอันมีที่มาจากหอวารี จากหออัครนั้นมีสะพานงามวิจิตรเชื่อมโยงระหว่างหอทั้งสาม คือ วารี อัคคี และพสุธาเข้าด้วยกัน และด้วยเหตุที่ตึกทั้งสิ้นล้วนก่อสร้างจากหินอ่อนสีขาวบริสุทธิ์...สลักเสลางดงามด้วยช่างฝีมือชั้นยอด...เหล่าชาวยุทธ์จึงล่วงรู้จักหมู่ตึกทั้งสี่ในนาม ‘วังศิลาขาว’
ดังเช่นยามปกติ...แต่ละหมู่ตึกในวังศิลาขาวมีเวรยามเข้มแข็งยิ่งราวกับเป็นราชวังหลวง หากเงาร่างสีขาวสายหนึ่งกลับเร้นกายหลบหลีกผ่านไปอย่างง่ายดาย เล็ดลอดสายตาเวรยามชั้นแล้วชั้นเล่าราวกับเป็นสิ่งล่องหน กระทั่งบรรลุห้องโถงใหญ่หออัคร ร่างชุดขาวกำลังย่างก้าวเข้าไปกลับมีบุรุษวัยฉกรรจ์ท่วงท่าสง่างามในชุดสีเหลืองอ่อนผู้หนึ่งเดินสวนออกมา
“ท่าน...กลับมาเมื่อไร มิเห็นเวรยามมารายงาน”
“หากเข้ามาในวังโดยมิให้ผู้ใดล่วงรู้...ข้ายังทำมิได้ มิทำให้...อาจารย์ต้องขายหน้าหรอกหรือ” สุ่มเสียงคนตอบเบาอย่างยิ่ง ที่แท้กลับเป็นบุรุษชุดขาวผู้ช่วยเหลือเจ้าอิเทียน นามหลี่หยวนจี๋นั่นเอง
หลี่หยวนจี๋ปลดหมวกผ้าคลุมหน้าสีขาวโปร่งออก ใต้หมวกนั้นปรากฎบุรุษหนุ่มรูปงามคมคายยากจะหาใครเทียบอายุราวยี่สิบผู้หนึ่ง หากใบหน้านั้นกลับพร่างพราวด้วยเหงื่อเม็ดเล็กๆ อีกทั้งสีหน้าก็ซีดขาวราวกระดาษ
“ท่าน...บาดเจ็บหรือ” บุรุษชุดเหลืองแตกตื่นยิ่ง
“พี่ต้าเหลียน เล็กน้อยเท่านั้น...”หลี่หยวนจี๋เอ่ยเช่นนั้น หากเมื่อสืบเท้าไปเบื้องหน้าร่างกายกลับซวนเซล้มลง ที่แท้เขารีบผละจากเจ้าอิเทียนและฝูผิงหยวนมาอย่างรีบร้อนเพราะอาการบาดเจ็บ เฉินต้าเหลียนถลันเข้าประคองร่างนั้นไว้ทันท่วงทีพลางส่งเสียงร้องเรียกผู้คนดังลั่น
“ใครรีบเร่งไปเรียนท่านพ่อ กับตามหมอโอสถมาโดยเร็ว”
“ไปทำสิ่งใดมา ไฉนบาดเจ็บเช่นนี้” เฉินต้าเหลียนประคองบุรุษชุดขาวไปนั่งเก้าอี้ใหญ่ตัวหนึ่ง พลางยื่นมือหมายตรวจแตะชีพจรอีกฝ่าย
“ตั้งแต่เกิดมา...ข้าเพิ่งเห็น....ท่านตื่นตกใจก็คราวนี้” หลี่หยวนจี๋มิเพียงไม่ตอบ กลับเอ่ยสิ่งที่เขาเห็นว่าไร้สาระเป็นที่สุด
“ใบหน้าท่าน...ยามนี้...ดูท่าคงขาวซีด...กว่าข้าพเจ้า...อีกกระมัง”
“ท่านหยุดเจรจาได้หรือไม่ ให้ข้าพเจ้าตร...”เฉินต้าเหลียนกล่าวไม่ทันจบประโยคก็พบว่าอีกฝ่ายสิ้นสติไปเสียแล้ว
“ท่าน...ท่านชาย...หยวนจี๋!!” เฉินต้าเหลียนเรียกด้วยความตกใจยิ่งนัก พลันมีร่างบุรุษวัยกลางคนผู้หนึ่ง กับชราอีกผู้หนึ่งย่างเข้าห้องโถงมาอย่างร้อนรน
“ต้าเหลียน...เกิดอันใดขึ้น ใยท่านชายบาดเจ็บมาเช่นนี้” บุรุษวัยกลางคนกล่าวอย่างตื่นตระหนกเมื่อเห็นบุรุษชุดขาวใบหน้าซีดเผือดสลบไสลไม่ได้สติอยู่บนเก้าอี้ ขณะที่ผู้ชราลงมือตรวจแตะชีพชรอย่างรวดเร็ว ชายชราผู้นี้ย่อมเป็นหมอโอสถแน่แล้ว
“ข้ามิทราบ...ยังมิทันไต่ถาม ท่านชายก็หมดสติแล้ว” เฉินต้าเหลียนกล่าว ใบหน้าเขาซีดเผือดไม่แพ้ผู้สิ้นสติบนเก้าอี้
“ท่านชายหายตัวไปสามเดือน โดยไม่บอกกล่าวผู้ใดแม้แต่เจ้าซึ่งเป็นคนสนิทแท้ๆ ซ้ำร้ายยังบาดเจ็บกลับมาเช่นนี้ ดูท่าเรื่องราวที่เกิดคงเป็นเรื่องใหญ่ไม่น้อย...”เฉินเหลยเอ่ยเบาๆกับบุตรชาย หากเมื่อเห็นหมอโอสถเฒ่าละมือจากข้อมืออันเย็นชื้นของหลี่หยวนจี๋ก็ถามอย่างร้อนรน
“โอ้วแช ท่านชายเป็นอย่างไร”
“ท่านเหลย...ท่านชายบอบช้ำภายในสาหัสไม่น้อย แต่โอสถทิพย์ที่ข้าปรุงขึ้นจะทำให้อาการทุเลาได้...” หมอโอสถโอ้วแชกล่าว สร้างความโล่งใจแก่เฉินเหลย และเฉินต้าเหลียนสองพ่อลูกไม่น้อย
“ยามนี้ต้องให้ท่านชายพักผ่อนให้มาก ข้าจะไปจัดยาให้”
“ขอบคุณท่านมาก” เฉินเหลยกล่าวก่อนหันกายไปสั่งการบริวารภายนอกเตรียมเคลื่อนย้ายหลี่หยวนจี๋ไปพักผ่อน
เป็นยามบ่ายมากแล้วหากแต่บุรุษหนุ่มรูปงามที่ทอดกายนอนบนเตียงขนาดใหญ่ในห้องนอนอันงดงามซึ่งล้วนประดับด้วยสีขาวทั้งสิ้นไม่มีทีท่าจะลืมตาคืนสติขึ้นมาแต่อย่างใด
เฉินต้าเหลียนเดินกลับไปมาด้วยทีท่าร้อนใจยิ่ง ล่วงมาหนึ่งวันแล้ว แม้หมอโอสถจะกล่าวว่าอาการบอบช้ำไม่น้อย แต่ก็มีโอสถทิพย์ช่วยรักษาไฉนป่านนี้จึงไม่ฟื้น พลันได้ยินเสียงแผ่วเบามาจากร่างบนเตียง
“...ท่านเดินไปมาอยู่นาน...มิคิดพักบ้างหรือ”
“ท่านชาย...ท่านฟื้นแล้ว...นี่เป็นเรื่องน่ายินดียิ่ง” เฉินต้าเหลียนราวกับได้ยินเสียงสวรรค์ ปราดเข้าไปสำรวจตรวจตราทันที
“เสี่ยวหมิง เจ้าไปเรียนท่านพ่อว่าท่านชายฟื้นแล้ว”เขาร้องบอกทารกวัยสิบสามสิบสี่คนหนึ่งที่อยู่ภายในห้องนั้นด้วยความยินดี
“ครับอาจารย์” เด็กน้อยนั้นรับคำก่อนวิ่งพละไปตามคำสั่งอย่างรวดเร็ว
“ท่านรู้สึกอย่างไรบ้าง”
“ไม่เป็นไรแล้ว” หยวนจี๋ยิ้มแย้มออกมาเล็กน้อยพลางยันกายหมายลุกนั่ง
“อย่าเพิ่งลุกเลย ท่านบอบช้ำไม่น้อย” เฉินต้าเหลียนกดร่างอีกฝ่ายไว้
“อาการข้า ข้าย่อมทราบดี...”ร่างสูงบนเตียงยันกายนั่งได้สำเร็จ
“ท่านนี่...รั้นนัก ข้าไม่ยอมถูกท่านพ่อลงโทษเพียงเพราะเรื่องนี้หรอกนะ”
“ทำสิ่งใดไว้เล่า ท่านลุงเหลยจึงคาดโทษ” หลี่หยวนจี๋ถามอย่างสงสัย
“ท่านหายออกจากวังไปร่วมสามเดือนไม่บอกกล่าว ท่านพ่อคาดโทษข้าสารพัดที่ปล่อยท่านหายไป ยิ่งท่านกลับมาสภาพราวจะสิ้นชีวิตก็ยิ่งโมโหข้าใหญ่โต” เฉินต้าเหลียนเอ่ยออกมาด้วยอดโมโหคนตรงหน้าไม่ได้
“พี่ต้าเหลียน...ข้าทราบว่าเอาแต่ใจ ทำให้ท่านต้องเป็นห่วง...ข้า...”หลี่หยวนจี๋เอ่ยเสียงอ่อนเขาย่อมทราบ เฉินต้าเหลียนเป็นห่วงเขายิ่งกว่าชีวิตตนเอง
“อ่อ...ท่านทราบหรือ” เฉินต้าเหลียนส่งเสียงประชด
“ข้า...ขอโทษ” เขาเอ่ยพลางพยายามลุกขึ้นไปหาบุรุษที่สนิทสนมรักใคร่ราวพี่น้อง
“โอ๊ะ...”เสียงอุทานผะแผ่ว หากทำให้ทั้งผู้ยืนยู่ข้างเตียงและเฉินเหลยที่เพิ่งผลักบานประตูเข้ามาใจวาบ
“ท่านชาย!!!” สองพ่อลูกอุทานพร้อมกัน พลันถลันเข้ามาหาประคองให้นั่งลงบนเตียง
“ไม่...ไม่เป็นไร เพียงลุกเร็วไปเท่านั้น” หากเฉินเหลยกลับเรียกบริวารภายนอกเข้ามาสั่งให้ตามหมอโอสถโอ้วแชมาโดยไว
“ท่านชายด้วยพลังวัตรของท่านยากจะมีใครต่อกรด้วย ใครกันทำท่านบาดเจ็บถึงขนาดนี้ได้”เฉินเหลยเอ่ยถามด้วยความข้องใจยิ่ง
“จริงของท่านพ่อ ฝีมือเช่นท่านน้อยคนนักจะรับมือได้”
“เป็นคนวังเทวา”หลี่หยวนจี๋ตอบเสียบเรียบ
“ที่แท้ สำนักนอกรีดเมืองเหลียว ข้าจะไปเอาเลือดพวกมันมาขอขมาท่าน” เฉินต้าเหลียนอารมณ์คุกกรุ่นนัก คิดผลุนผลันออกไปแก้แค้นโดยไม่อาจรอแม้เพียงเสี้ยวนาที
“ต้าเหลียน!!! อย่าวู่วาม” เฉินเหลยปรามเสียงหนัก
“ท่านพ่อ พวกมันทำร้ายท่านชายบาดเจ็บสาหัส หรือท่านไม่แค้นเคือง”
“วังเทวาเป็นชาวยุทธ อยู่ในดินแดนเหลียว วรยุทธ์ลึกล้ำพิสดาร ท่านชายยังพลาดพลั้งเสียที หรือเจ้าคิดว่าเจ้าสามารถเอาชนะพวกมันได้”
“ที่ข้าสงสัย วังเทวาอยู่ในดินแดนเหลียว ไฉนมาหาเรื่องผู้คนถึงที่นี่ได้”
“มันเข้ามาเพื่อติดตามหาของ...ของที่มิใช่ของมัน” คนบนเตียงกล่าว
“หาของ...ของอันใด”เฉินเหลยงุนงง
“ไข่มุกสุริยัน!!” คำตอบของหลี่หยวนจี๋ ส่งให้สองพ่อลูกนิ่งอึ้งไป
“ท่าน...ที่จากไปไม่บอกกล่าว คงไม่ได้ไปลักไข่มุกสุริยันมากระมัง” เฉินต้าเหลียนถามเสียงดัง
“ผิดแล้ว พี่ต้าเหลียน...การติดตามทวงของตนเองคืน...ท่านเรียกลักขโมยหรือ”
“ท่านชายเรื่องใหญ่ปานนี้ ไฉนออกไปแต่ผู้เดียว หากท่านประสบเภทภัย ข้าไหนเลยมีหน้าไปพบพระพักตร์พระบิดาท่าน” เฉินเหลยเอ่ยร้อนรนนัก
“ท่านลุง...มาจนถึงทุกวันนี้พระบิดาสิ้นพระชนม์ไปเสียเนิ่นนานแล้ว ข้าไม่มีใครอีก มีเพียงท่านลุงที่คอยดูแลเสมือนเป็นบิดา พี่ต้าเหลียนเป็นเหมือนพี่ชาย ข้าไม่ปรารถนาให้ใครบาดเจ็บล้มตายเพื่อข้าอีก...”
“ท่านชาย ท่านเป็นถึงโอรสขององค์ชายหลงจีรัชทายาทแห่งราชวงศ์ถัง พวกข้าไม่อาจเอื้อม”เฉินเหลย เฉินต้าเหลียน ซาบซึ้งในน้ำใจของหลี่หยวนจี๋นัก
ที่แท้หลี่หยวนจี๋กลับเป็นถึงทายาทราชวงศ์ถังที่ล่มสลาย
“ข้าทราบดี ออกไปคราวนี้...เป็นการกระทำที่เอาแต่ใจนัก ข้าผิดที่ทำให้พวกท่านต้องเป็นกังวลวุ่นวาย แต่หากข้าบอกกล่าวพวกท่าน และผู้ที่บาดเจ็บกลับมาคราวนี้เป็นพวกท่าน ข้า...คงรู้สึกผิดยิ่งกว่า”
“ท่านชาย ตระกูลเฉินเป็นข้าในพระองค์มาตั้งแต่องค์ปฐมกษัตริย์ถังเกาจู่ ติดตามรับใช้สนองเบื้องพระยุคลบาทมานานปี ชีวิตลูกหลานตระกูลเฉินล้วนพลีได้เพื่อราชวงศ์ถัง เกิดเหตุการณ์เช่นนี้ต่อท่าน นับว่าข้าเป็นลูกหลานอกตัญญูแล้ว” เฉินเหลยกลับเป็นฝ่ายโทษตนเอง
“ข้าตัดสินใจ...กระทำการเอง บรรพชน...ไหนเลยจะตำหนิท่าน” หลี่หยวนจี๋กล่าวถึงตอนนี้เริ่มเหนื่อยอ่อน ด้วยเพิ่งพลิกฟื้นขึ้นมา พอดีกับประตูห้องเปิดออก เป็นหมอโอสถเดินเข้ามา
“โอ้วแช ท่านมาพอดี รีบมาตรวจอาการท่านชาย”
บุรุษชรานั่งลงข้างๆเตียง ยื่นมือจับชีพจรหลี่หยวนจี๋อย่างรวดเร็ว
“เป็นเช่นไร...ท่านหมอโอ้ว ข้า...แข็งแรงดีกระมัง” เขายังมีอารมณ์ขัน หากสีหน้าหมอชราไม่ขันด้วย
“ท่านชาย...ท่านเจ็บสาหัสไม่น้อย ยังมีอารมณ์ล้อเล่นเป็นทารกเช่นแต่ก่อน...ข้าจะไปจัดยาให้รับประทาน ท่านเดินลมปราณรักษาอาการได้ แต่อย่าได้หักโหมเป็นอันขาด”
“เช่นนั้น ท่านชายสมควรพักให้มาก...พวกข้าไม่รบกวนแล้ว” เฉินเหลยสองพ่อลูกชักชวนกันตามร่างชราของโอ้วแชออกไป ให้หลี่หยวนจี๋ได้พักผ่อน
ประตูไม้สีขาวบานใหญ่ปิดสนิทลงอย่างแผ่วเบา หลี่หยวนจี๋ที่อยู่ภายในห้องจึงเริ่มรวบรวมลมปราณเพื่อรักษาอาการ ผ่านไปชั่วครู่สภาพร่างกายเริ่มปรับเปลี่ยนให้อยู่ในสภาวะจำศีล
หลังจากเฉินเหลยสองพ่อลูกออกมาจากห้องนอนของหลี่หยวนจี๋ ก็เดินสนทนากันมาตามระเบียงชั้นสองของหออัคร
“ท่านชายบอบช้ำมิใช่น้อยทีเดียวในคราวนี้”เฉินเหลยกล่าวอย่างเป็นกังวล ขณะที่ต้าเหลียนหน้าสลดนัก
“ข้าสมควรติดตามท่านไปด้วย ไม่น่าพลั้งเผลอให้ท่านออกไปผู้เดียวเช่นนี้”
“น้ำใจท่านสุดประเสริฐ บาดเจ็บปานนั้นยังคำนึงถึงความปลอดภัยพวกเรา ต้าเหลียน ตระกูลเฉินเราเป็นราชองครักษ์ประจำพระองค์มาโดยตลอด เจ้าเป็นทายาทคนเดียวของตระกูล ต่อไปต้องภักดีต่อท่านชายให้มาก”
“ข้าทราบแล้ว ท่านพ่อ”
สนทนากันถึงตอนนี้เวรยามคนหนึ่งของหออัครรุดเข้ามารายงาน
“เรียนเจ้าวังพสุธา...คุณชาย เจ้าวังวารีกลับมาแล้ว ขณะนี้อยู่ที่ห้องโถง”
ความคิดเห็น