คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : บทที่๑
บทที่๑
ยามทิวาอันเจิดจ้าในเมืองหลวงอย่างไคเฟิงเต็มไปด้วยผู้คนมากหลาย บ้างทำมาค้าขาย บ้างจับจ่ายซื้อของ เสียงตะโกนต่อรองราคาจ้อกแจ้กจอแจได้ยินไปทั่วหัวถนน หัวมุมถนนสายหนึ่งตั้งไว้ด้วยร้านน้ำชาสูงสามชั้นอันไม่ธรรมดาเรียกว่าหอหมื่นชา เนื่องด้วยมันเป็นสถานที่โอ่อ่ายิ่งนัก ชาวบ้านธรรมดาไหนเลยมีวาสนาเหยียบย่างผ่านประตูเข้าไปรับบริการชั้นเลิศได้ มีแต่ผู้มีอันจะกินเท่านั้นที่เยี่ยมกรายเข้าไปเป็นแขก
เถ้าแก่ร้านน้ำชานี้มีนามว่า เล่าอ้าย เคยเป็นขันทีเก่าถวายการรับใช้ฮ่องเต้พระองค์ก่อนในวังหลวงหากบัดนี้ด้วยความชราจึงขอเกษียณตัวออกมา มันจึงรู้ธรรมเนียมการรับรองลูกค้าชั้นสูงได้อย่างไม่มีบกพร่อง ดังนี้แม้เป็นเชื้อพระวงศ์มาสังสรรดื่มกินก็รู้สึกประหนึ่งอยู่ตำหนักในวังหลวงก็ปาน วันนี้ก็เช่นกัน เล่าอ้ายสั่งการจัดที่ทางชั้นบนสุดอย่างพิถีพิถันเป็นพิเศษ โต๊ะเก้าอี้หินอ่อนถูกขัดแล้วขัดเล่าจนเงาวาววับปานคันฉ่องส่องหน้า
“เสี่ยวเหมา เจ้าออกแรงขัดอีกนิด คงไม่ทำให้โต๊ะข้าเจ็บกระมัง” เล่าอ้ายดุเด็กหนุ่มอายุราวสิบห้าคนหนึ่งหลังจากที่เฝ้าดูอยู่นานด้วยความรำคาญใจนัก เด็กหนุ่มยังเยาว์กำลังวังชาควรจะดี ไฉนดูเสมือนปราศจากเรี่ยวแรงฆ่าไก่เช่นนี้
“ชุนเอ๋อ เจ้าเตรียมชุดน้ำชาแล้วกระมัง”ขันทีชราหันไปถามดรุณีผู้มีใบหน้าหมดจดชุดสีชมพูนางหนึ่งที่เพิ่งขึ้นบันไดมา
“เรียบร้อยดีแล้ว...นายท่าน” กิริยานั้นเทียบกับนางกำนัลตำหนักในก็มิต่างกัน
“สีชมพูหรือ ไฮ้...ไม่ได้...ไม่ได้ ท่านผู้มาวันนี้มิชมชอบสีชมพู ไปเปลี่ยนเสีย เป็นสีเหลืองเป็นดียิ่ง”เล่าอ้ายโบกมือไล่ ลับร่างนางนั้น ก็ปรากฎเป็นร่างของบุรุษวัยกลางคนผู้หนึ่งเดินสวนขึ้นมาด้วยอาการกระวนกระวายยิ่ง
“นายท่าน ชาดอกเหมยที่ท่านสั่งมาถึงแล้วขอรับ แต่...กาอำพันตามที่ท่านสั่งผู้น้อยกลับหาซื้อมิได้”
“อาหลู่ ผู้ใดสั่งท่านจัดหากาอำพัน ชาดอกเหมยต้องชงด้วยกาหยกขาวเท่านั้นจึงได้รสที่ประเสริฐ เจ้าอย่าได้บอกกล่าวว่าเจ้าลืมเลือนหาซื้อมา”
“หากเป็นกาหยกขาว ผู้น้อยจัดหาเรียบร้อยแล้ว” เล่าอ้ายได้ฟังก็โล่งใจยิ่งเมื่อรับรู้ว่างานลุล่วงด้วยดี
“เช่นนั้นก็ดี เจ้าลงไปรอรับรองแขกข้างล่างเถิด ประเดี๋ยวข้าจะลงไปแล้ว”
“เสี่ยวเหมา เจ้าก็พอได้แล้ว ไปได้” เด็กหนุ่มยิ้มอย่างยินดี ด้วยมันขัดโต๊ะเก้าอี้มาร่วมชั่วยามได้ จนเนื้อตัวแขนขาเมื่อยขบยิ่งนัก
เล่าอ้ายตรวจตราความเรียบร้อยอย่างถี่ถ้วนอีกครั้งท่ามกลางความสงสัยของเหล่าบริวารในหอหมื่นชา ความพิถีพิถันที่พวกมันเห็นในวันนี้นั้นพิเศษยิ่งกว่าวันไหนๆที่ผ่านมา เช่นนี้แขกที่มาคงต้องเป็นผู้มีฐานะสูงส่งอย่างแน่แท้
มิช้านานหลังจากนั้นหน้าหอหมื่นชาก็ปรากฎร่างบุรุษหนุ่มร่างสูงโปร่งใบหน้าคมคายสองคน หนึ่งอายุราวยี่สิบยี่สิบเอ็ดปีสวมชุดตัดเย็บด้วยผ้าแพรเนื้อดีสีเทาอ่อนคลุมทับด้วยเสื้อแพรแบบโปร่งบางสีเงินอีกชั้นหนึ่ง เห็นที่เอวประดับด้วยหยกเนื้อเนียนสีเขียวอ่อนปล่อยชายเป็นพู่ห้อยยาวลงมา อีกหนึ่งดูอาวุโสกว่าราวสี่ห้าปีสวมชุดแพรเนื้อดีเช่นเดียวกันหากเป็นสีน้ำเงิน บริเวณเอวห้อยวัตถุชิ้นเล็กสีทองชิ้นหนึ่งคลับคล้ายเป็นป้ายบางอย่าง ในมือถือกระบี่ด้ามยาวฝักกระบี่เป็นสีดำลวดลายเป็นเถาวัลย์สีทองงดงาม
“เป็นที่นี่หรือหอหมื่นชา” บุรุษชุดเทาเอ่ยขึ้นเบาๆ
“เป็นที่นี่ เอ้อ...ขอรับคุณชาย”
“ฝูผิงหยวนถ้าความแตกข้าจะเอาโทษเจ้า ข้ามิอยากให้ผู้คนยุ่งยากใจ แค่หลบเลี่ยงออกมาจากสถานที่นั้นได้ก็เต็มทีแล้ว”
“คุณชาย...ท่านไม่น่าหลบออกมา ถ้ามีคนล่วงรู้ จะเป็นเรื่องใหญ่ และเป็นข้าเองที่ถูกลงโทษ” บุรุษหนุ่มนามฝูผิงหยวนอดเอ่ยซ้ำอีกหนมิได้ หลังจากพร่ำบ่นมาตลอดทางนับแต่ติดตามบุรษชุดเทามา
“เท้าของเจ้าย่อมเป็นเท้าของเจ้า ข้ามิห้าม หากเจ้าจะเดินกลับไปเวลานี้”
“ท่านย่อมรู้ว่าข้ามิอาจทำเช่นนั้นได้”
“ข้าหาทางออกมาได้ทั้งที เลิกพร่ำบ่นเป็นผู้อาวุโสสักคราได้หรือไม่ ข้าต้องการความสำราญ” บุรุษชุดเทาเอ่ย จากนั้นก็เดินนำเข้าไปในหอ
“คุณชายทั้งสอง ไม่ทราบว่าวันนี้ท่านให้เกียรติมาลิ้มรสชาเพียงอย่างเดียว หรือต้องการฟังพิณบรรเลงด้วย” เป็นบุรุษวัยกลางคนนามอาหลู่ ที่ออกมาต้อนรับทั้งสอง
“ฟังพิณด้วยย่อมประเสริฐกว่า”บุรุษชุดเทากล่าวอย่างพบสิ่งถูกใจ
“ไม่ทราบว่าบนชั้นสามมีสถานที่นั่งหรือไม่” ฝูผิงหยวนเอ่ยถาม
“ต้องขออภัยท่านทั้งสองเป็นอย่างยิ่ง ชั้นสามนั้นมีผู้จับจองแล้ว แต่ชั้นสองเราก็ตกแต่งงดงามมิแพ้กัน เชิญทางนี้” อาหลู่ผายมือเชิญอย่างนอบน้อม
“เป็นผู้ใด ร่ำรวยเงินทองถึงจับจองหอหมื่นชาทั้งชั้นได้ คุณชายจึงต้องลงมานั่งชั้นสอง” ฝูผิงหยวนประชดเปรียบเปรย ขณะที่บุรุษชุดเทาหัวเราะในลำคอเบาๆ
“จะเป็นไรไป ลองดูสักคราก็มิเสียหายไม่ใช่หรือ”
บุคคลทั้งสองนั่งดื่มชารสเลิศอันลือชื่อของหอหมื่นชาได้ครู่หนึ่ง ดรุณีชุดสีแดงนางหนึ่งก็เริ่มบรรเลงพิณเป็นท่วงทำนองไพเราะเพราะพริ้ง จิตใจที่ขุ่นมัวของฝูผิงหยวนเมื่อครู่เจือจางลงทีละน้อย ส่วนบุรุษหนุ่มที่ถูกเรียกหาเป็นคุณชายมีทีท่าสำราญใจยิ่งนัก ทันใดนั้นมีเสียงกรี๊ดร้องของสตรีนางหนึ่งดังมาจากบนชั้นสามกลบเสียงดนตรีเสียสิ้น ดรุณีน้อยผู้บรรเลงพิณถึงกับตื่นตระหนกจนพลาดทำสายพิณขาด สายตาทุกคู่บนชั้นสองของหออันโอ่อ่าพลันห็นร่างสีเหลืองร่างหนึ่งลอยละลิ่วผ่านลงไป บุรุษชุดเทาและฝูผิงหยวนได้สติก็พลิ้วกายกระโจนจากระเบียงตามลงไปทันที เอื้อมมือจับร่างนั้นไว้ได้พร้อมกันก่อนที่จะร่างนั้นกระแทกพื้น ผู้ที่ทั้งสองช่วยเหลือไว้กลับเป็นดรุณีนางหนึ่งที่บัดนี้ร่างกายอ่อนระทวยไม่ได้สิ้นสติ ฝูผิงหยวนตรวจแตะชีพจรนางก็พบว่าเพียงสิ้นสติไปด้วยความหวาดกลัวเท่านั้น
“นางเพียงสิ้นสติไป”
“เป็นผู้ใดอำมหิตเพียงนี้ ทิ้งขว้างผู้คนลงมาดังสิ่งของ” บุรุษชุดเทาเอ่ยอย่างโมโหโกรธา ขณะที่ฝูผิงหยวนโอบอุ้มนางขึ้นพาเดินกลับเข้าไปในหอ ส่งนางให้กลับผู้รับใช้ของหอคนหนึ่งกำชับให้พานางไปพัก จากนั้นก็ย่างเท้าติดตามบุรุษชุดเทาขึ้นบันไดไปสู่ชั้นสาม
ชั้นสามหอหมื่นชาตกแต่งด้วยสีขาวทั้งหมดดูหรูหรางดงามยิ่ง สมเป็นร้านน้ำชาชั้นยอดที่สุด ที่โต๊ะหินอ่อนตรงกลางนั้นเป็นบุรุษหนุ่มแต่งตัวหรูหราด้วยชุดแพรสีน้ำตาลทองผู้หนึ่งนั่งอยู่รายล้อมรอบด้วยบริวารอันเป็นชายฉกรรจ์ทั้งสิ้นราวหกเจ็ดคน ทั้งหมดสนทนากันอย่างสำเริงสำราญปานประหนึ่งเมื่อครู่มิมีสิ่งใดเกิดขึ้น ขัดกับสีหน้าของบุรุษวัยกลางคนที่ยืนอยู่ด้านข้างอย่างสิ้นเชิง ฝูผิงหยวนจดจำออกว่ามันเป็นผู้มาต้อนรับเขากับคุณชายนั่นเอง
“ว่าอย่างไร ดรุณีน้อยของเจ้าขัดใจคุณชายของเรา จะชดใช้อย่างไร” บริวารคนหนึ่งของคนชุดสีน้ำตาลทองเอ่ยออกมา
“ชุนเอ๋อตกไปเช่นนั้นคงบาดเจ็บยิ่ง คุณชายกรุณาเลิกแล้วต่อกันสักคราเถิด” อาหลู่สีหน้าซีดขาว ด้วยทั้งเกรงบารมีคนตรงหน้า ทั้งห่วงดรุณีน้อยที่ตนเองรักเอ็นดูเหมือนบุตร อยากลงไปดูว่านางบาดเจ็บสักเพียงใดก็มิกล้า ทั้งในเวลายุ่งยากลำบากเช่นนี้ เล่าซ่านกลับมิอยู่ อาหลู่จึงกระวนกระวายใจยิ่งนัก ฉับพลันได้ยินเสียงสอดแทรกมาจากบันได
“เป็นผู้ใดโยนดรุณีนางหนึ่งลงไป” ทั้งหมดหันไปเห็นเป็นบุรุษหนุ่มอายุเยาว์ชุดสีเทาหรูหราผู้หนึ่ง และบุรุษชุดน้ำเงินรุ่นราวคราวเดียวกันกับมันอีกผู้หนึ่ง เบื้องหลังคนทั้งสองนั้นยังประกอบไปด้วยผู้คนที่มารับบริการในหอหมื่นชาซึ่งพากันชักชวนขึ้นมาเพื่อชมดูเหตุการณ์
“เป็นข้าพเจ้าเอง มีอันใดหรือไม่” บุรษชุดสีน้ำตาลทองตอบ
“บ้านเมืองมีกฎหมาย ชีวิตคน หาใช่สิ่งของผักปลา เจ้าทำเช่นนี้มิเกรงอาญาบ้างเมืองหรือไร”บุรุษชุดเทาเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเยือกเย็นยิ่ง
“อาญาบ้านเมืองแล้วอย่างไร ผู้ใดทำอะไรข้าได้ พวกท่านอย่าสอดมายุ่งประเสริฐกว่า” บุรุษชุดสีน้ำตาลทองยังมีท่าทีสำราญยิ่ง
“เจ้าเป็นใคร สูงส่งมาจากไหน คุณชายข้าไม่รับรู้ แต่อาญาบ้านเมืองศักดิ์สิทธิ์ เจ้าทำผิด เจ้าต้องรับผิดชอบ มิใช่เรียกหาเอาค่าชดใช้จากผู้อื่น” ฝูผิงหยวนเป็นเดือดเป็นแค้นอย่างยิ่งเมื่อพบว่าอีกฝ่ายมิเพียงไม่สำนึกแต่ยังกล่าววาจาจาบจ้วงคุณชายมันอีก
“ดรุณีนางนั้นเป็นหญิงรับใช้ นางต้องรับใช้ก็เป็นเรื่องที่ควรแล้ว แต่กลับขัดใจข้า ข้าเหยียนหยุนหลงทำแค่นี่ยังนับว่าน้อย มิทราบหนักส่วนใดของคุณชายเจ้า” ที่แท้บุรุษชุดสีน้ำตาลทองกลับเป็นบุตรชายโทนของ ‘เหยียนหย่งจิ้ง’ มหาอำมาตย์ผู้เป็นที่นับหน้าถือตาในราชสำนัก อีกทั้งพี่สาวเหยี่ยนหยูเยี่ยยังเป็นที่โปรดปรานกินตำแหน่งถึงกุ้ยเฟย เหยียนหยุนหลงจึงได้หลงลำพองเช่นนี้
“ที่แท้ คุณชายเหยียน บิดาท่านเหยียนหย่งจิ้งเป็นขุนนางที่ประเสริฐผู้หนึ่ง แต่ข้าข้องใจนักใยท่านเหยียนกลับสั่งสอนบุตรให้ประเสริฐมิได้” บุรุษชุดเทากล่าวเช่นนี้นับเป็นการราดน้ำมันลงกองไฟชัดๆ ผู้ใดจะทนทานให้ผู้อื่นลบหลู่บิดาตนได้
การเอ่ยวาจาท้าตีท้าต่อยของบุรุษหนุ่มชุดเทายังผลให้เกิดเสียงอื้ออึงในหมู่คนดู ด้วยฝ่ายที่ถูกถากถางจนใบหน้าเปลี่ยนสีกระทัยหันนั้นมีอำนาจวาสนาเพียงใดผู้คนในไคเฟิงล้วนรับรู้ ดูท่าบุรุษหนุ่มรูปงามอายุเยาว์ตรงหน้ามิพ้นเดือนร้อนในครานี้เป็นแน่
“เจ้ากล่าววาจาจาบจ้วงบิดาข้า หากวันนี้ไม่ได้โลหิตเจ้าข้าไม่ขอแซ่เหยียน” เหยียนหยุนหลงโบกมือให้บริวารรุมล้อมเข้ามา
“บังอาจ เจ้าทำเช่นนี้...” ฝูผิงหยวนตวาดเสียงลั่นพลางเข้ามาขวางไว้
“ผิงหยวน!!”บุรุษชุดเทาปรามเสียงหนัก
“ช้าก่อน คุณชายเหยียน...ท่านทั้งสอง ข้าพเจ้าขอความกรุณาด้วยเถิด” เล่าอ้ายที่กลับมาทันท่วงทีโถมเข้ามาขวางกลางวงนักเลงนั้น หันหน้าเข้าหาเหยียนหยุนหลงปากเจรจาขอร้องมิหยุด ขณะที่ฝ่ายบุรุษชุดเทา และฝูผิงหยวนกลับมีใบหน้าซีดเผือดลงเมื่อสังเกตชายชราผู้มาใหม่ได้ถนัดถนี่
“คุณชายเหยียน ท่านเป็นผู้ใหญ่ ท่านย่อมไม่ถือผู้น้อย ข้าพเจ้าขอร้องต่อท่าน เลิกรากันสักครา”
“เจ้าคนจองหองนี้อวดดีกล่าววาจาดูหมิ่นบิดาข้า เล่ากงกง เจ้าหลีกไปมิเช่นนั้นข้ามิเกรงใจแล้ว” เหยียนหยุนหลงตะหวาดใส่ พลางสะบัดแขนผลักเล่าอ้ายด้วยอารมณ์โกรธ ลืมสิ้นซึ่งความสลักสำคัญของอดีตขันทีคู่พระทัยอดีตฮ่องเต้ที่แม้บิดาของตนเองยังต้องเกรงใจ ฝูผิงหยวนเห็นดังนั้นก็รุดเข้าไปยื่นมือประคองเล่าอ้ายเอาไว้
“กงกง ท่านเป็นอะไรหรือไม่”
“คุณชายท่านนี้ ข้าไม่เป็น...ท่าน...คุณชายฝูผิงหยวนใช่หรือไม่ ไม่ได้พบคุณชายเนิ่นนานคุณชายเติบโตถึงเพียงนี้ สง่างามขึ้นจริงๆ” เล่าอ้ายลูบแขนลูบไหนฝูผิงหยวนอย่างดีใจที่ได้พบกับบุตรชายสหายเก่าแก่
“ที่แท้ องครักษ์ฝู...ข้ามีตาแต่ไร้แววจริงๆ”เหยียนหยุนหลงประสานมือคารวะอย่างประชดประชัน
“ฝูผิงหยวนท่านเป็นองครักษ์วังหลวงขั้นสาม แล้วเล่นตลกอันใดยอมเป็นข้ารับใช้เจ้าคนไม่รู้ที่ต่ำที่สูง” เหยียนหยุนหลงชี้ไปด้านหลังอันมีบุรุษชุดเทายืนอยู่ เล่าอ้ายที่ฝูผิงหยวนประคองอยู่พลันหันกลับไปดูด้วยเช่นกัน ขันทีชราพลันเบิกตากว้างด้วยความไม่คาดคิด จากนั้นก็ทรุดลงคุกเข่าทันทีท่ามกลางความงุงงงของทุกคน
“บ่าวเล่าอ้าย ถวายบังคมท่านอ๋องเก้า ขอท่านอ๋องทรงพระเจริญ”
เหยียนหยุนหลงชาวาบไปทั้งตัวประหนึ่งถูกราดรดด้วยน้ำอันเย็นยิ่ง มันล่วงเกินท่านอ๋องก็ผิดมากแล้ว นี่เป็นท่านอ๋องเก้า...เจ้าอิเทียน...อนุชาที่องค์ฮ่องเต้ทรงโปรดปรานที่สุด ดูท่าคนไม่รู้ที่ต่ำที่สูงกลับเป็นมันเสียแล้ว บังอาจลบหลู่บุรุษผู้เรียกได้ว่าเหนือกว่าผู้ใดในหล้าหากอยู่ใต้คนผู้เดียว...ฮ่องเต้องค์ปัจจุบัน
“ถ...ถวายบังคมท่านอ๋อง...กระหม่อมไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง ล่วงเกินท่านอ๋อง ขอทรงอภัยด้วย” มันคุกเข่าละล่ำละลักเสียงสั่นเครือ ขณะที่ผู้คนภายในหอล้วนแตกตื่นตะลึงลานพากันคุกเข่าถวายพระพรอย่างลนลาน
“ทุกท่าน ตามสบายเถิด” เจ้าอิเทียนโบกมืออย่างเบื่อหน่าย ความอุตสาหะพยายามหนีออกจากวังมาเที่ยวชมเมืองจบสิ้นลงคราวนี้เอง ขณะที่องครักษ์ประจำพระองค์สบสายตา...ความแตกครานี้ หาใช่ฝีมือกระหม่อมไม่ ทรงลงอาญาไม่ได้นะกระหม่อม
“ขอบพระทัยท่านอ๋อง” ผู้คนในหอพากันลุกขึ้นอย่างเรียบร้อย
“เล่าอ้ายมิได้ถวายการต้อนรับให้สมพระเกียรติ ขอทรงอภัยด้วย”
“เล่ากงกง ข้ามามิตั้งใจให้เป็นที่เอิกเกริก จึงไม่ได้แจ้งให้ผู้คนล่วงรู้ ช่างเถอะ” เล่าซ่านได้ฟังดังนั้นก็มีสีหน้าแช่มชื่นขึ้น
“คุณชายเหยียน พื้นหอหมื่นชาน่าพิศมัยจนท่านนึกอยากคุกเข่าไปจนเย็นกระมัง ยังไม่ลุกอีก” เจ้าอิเทียนหันมาเห็นเหยียนหยุนหลงและเหล่าบริวารยังคุกเข่าอยู่ท่าเดิมก็อดนึกรำคาญใจไม่ได้
“กระหม่อมมิกล้า กระหม่อม... กระหม่อมล่วงเกินท่านอ๋อง สมควร...”
“ข้ามาด้วยเรื่องส่วนตัว ไม่เปิดเผยฐานะ โทษเจ้าไม่ได้ ลุกขึ้นเถิด”
“ขอบพระทัย...ท่านอ๋อง หากมิมีสิ่งใดแล้ว กระหม่อมมีกิจต้องไปกระทำ กระหม่อมทูลลา” เหยียนหยุนหลงกล่าวคำอำลาก็หมายหันกายจากไป
“ช้าก่อนคุณชาย...”
“ดรุณีน้อยผู้นั้น ท่านมิคิดจะชดใช้ให้นางหรืออย่างไร”
“ทูลท่านอ๋อง ชุนเอ๋อมิได้บาดเจ็บอันใด แค่ตื่นตกใจเล็กน้อย ข้าพระองค์เห็นว่า...” เล่าอ้ายไม่ปรารถนาให้เรื่องยืดยาว เสี่ยวชุนเป็นสาวใช้เล็กๆ เทียบกับเหยียนหยุนหลงผู้เป็นถึงบุตรชายมหาอำมาตย์เอก ไข่เปลือกบางไหนเลยกระทบกับภูผาแกร่งได้ วันนี้ท่านอ๋องออกหน้าให้ หากวันหน้าย่อมทำนายได้เรื่องราวบาดหมางสร้างความเสียหน้าแก่เหยียนหยุนหลงครั้งนี้จะไม่สิ้นสุด
“เล่ากงกง คุณชายเหยียนมิใช่คนแล้งน้ำใจ น้ำใจเล็กน้อยเพียงนี้คุณชายย่อมเต็มใจอย่างแน่นอน หรือมิใช่คุณชายเหยียน” เจ้าอิเทียนเอ่ยนุ่มนวลน่าฟัง หากแต่คนฟังแจ่มแจ้งยิ่ง...มันถูกขู่เข็ญแน่แล้ว
“พะยะค่ะ ย่อมเป็นเรื่องเล็กน้อยจริงๆ กระหม่อมจะให้บริวารนำค่าปลอบขวัญมามอบให้แม่นางเสี่ยวชุนแน่นอน...เอ้อ...กระหม่อมทูลลา” เหยียนหยุนหลงประสานมือคารวะแล้วหมุนกายจากไปพร้อมบริวารด้วยใบหน้าแดงก่ำราวถูกเหล็กร้อนนาบ
“ขอบพระทัยที่ทรงช่วยเหลือ” เล่าอ้ายทำท่าจะคุกเข่ากราบอีกหน หายังมิทันได้สมใจหมายเจ้าอิเทียนรุดมาห้ามไว้
“กงกง เจ้าจะกราบกรานข้าวันหนึ่งกี่ครากัน”
“เช่นนั้นข้าพระองค์จะสั่งจัดน้ำชารสเลิศที่สุดมาถวาย...ท่านอ๋องเชิญประทับทรงพระสำราญก่อน คุณชายฝูเชิญ”
“ประเสริฐยิ่ง แต่เจ้าเร่งเข้ามือเถิด ข้าเกรงจะมีเวลามินานนัก”คำพูดของเจ้าอิเทียนสร้างความฉงนต่อผู้คนรายรอบนัก หากจะหาบุคคลที่ไม่แปลกใจกับคำกล่าวนั้นเห็นจะมีเพียงฝูผิงหยวนผู้เดียว
ความคิดเห็น