ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    สงครามเลือดอสูร

    ลำดับตอนที่ #3 : เริ่มภารกิจ

    • อัปเดตล่าสุด 15 มี.ค. 50


               รถสีดำแล่นไปตามถนนราดยาง ผ่านบ้านเมือง และป่าไม้มากมาย มันช่างเป็นเวลาที่น่าเบื่อเสียจริง ที่ต้องนั่งอยู่บนรถเฉยๆ  เนี่ย ผมก็เลยเดาว่าโรงเรียนคงจะอยู่ในเมืองมากๆ เลยสินะ
              แต่เมื่อเวลาผ่านไปอีกราวๆ  สิบนาที ผมก็ต้องเปลี่ยนสมมุติฐานที่ว่าโรงเรียนคงจะอยู่ในเมืองมากๆ  เพราะนี่มันจะออกนอกเมืองแล้ว
              ผมไม่ชอบการรอคอย และถ้าผมต้องรอต่อไปอีก ผมคงจะต้องหงุดหงิดอย่างแรงเป็นแน่ ในที่สุดก็ตัดสินใจถามคนขับให้รู้แล้วรู้รอดไปเลย

               "อีกไกลไหมครับ"  
     
               ผู้ถูกถามมองกระจกผ่านแว่นกันแดดสีดำ แล้วกล่าวเสียงเรียบราวกับไร้อารมณ์

              "ไม่ไกลหรอกครับ ใกล้ถึงแล้ว"

              แล้วเขาก็กลับไปสนใจกับการขับรถ ปล่อยให้ผมเซ็ง กับคำตอบที่ว่า 'อีกไม่ไกล' มันจะสักกี่กิโลกันนะ
               ผมมองออกไปนอกหน้าต่างรถเพราะหากนั่งอยู่เฉยๆ คงน่าเบื่อ
              วิวทิวทัศน์นอกหน้าต่างเป็นแบบชนบท มีต้นไม้ เป็นย่อมๆ เบื้องหลังของต้นไม้เหล่านั้น คงจะเป็นธารน้ำ ที่ใสสะอาด สังเกตได้จากมีสะพานข้ามอยู่สองสามแห่ง อีกทั้งมองลงไปในลำธารเห็นกลุ่มเด็กๆ เล่นน้ำกันอย่างสนุกสนาน ใบหน้าของทุกคนล้วนประดับด้วยรอยยิ้มที่สดใสแบบเด็กๆ
              ทำให้ผมพลอยมีความสุขไปกับเด็กๆ พวกนั้นด้วย...
              รถสำดำแล่นมาจนเข้าสู่ย่านการค้าเริ่มมีคนออกมาเดินให้เห็นประปราย   แล้วก็ผ่านย่านการค้าไปอีกเข้าสู่สภาพที่ถูกรายล้อมด้วยสีเขียวของใบไม้อีกครั้ง
              ไม่นานนักรถสีดำก็จอด  เบื้องหน้ามันมีหมู่บ้านเล็กๆ แต่ทว่าจำนวนผู้คนที่เดินนั้นกลับไม่น้อยเลย 
              ผมไม่แน่ใจว่าถึงแล้วหรือไม่มีทางจะไปต่อจึงหยุดรถ ก็เลยตัดสินใจถามไป

              "ถึงแล้วหรอครับ"

              คนขับรถให้คำตอบโดยการพยักหน้าเบาๆ ครั้งหนึ่ง เป็นเชิงว่า 'ใช่'
              ผมไม่รีรอ รีบเปิดประตูรถออกไปแล้วปิดมันเบาๆ
              ลมสายหนึ่งพัดเข้ามาปะทะกับผม ส่งผลให้ทรงผมข้างผมจัดให้มันบังตาไว้ปลิวขึ้น  เผยสิ่งที่ผมซ้อนเอาไว้ออกมา โชคดีที่ไม่มีใครอยู่แถวนี้...
               รถสีดำแล่นกลับไปแล้วทิ้งให้ผมถูกรายล้อมด้วยธรรมชาติที่งดงาม สองฝั่งซ้ายขวา เป็นต้นไม้ใบเขียวสูงใหญ่  โคนต้นของมันมีต้มหญ้าเล็กขึ้นปกคลุมพื้นที่บริเวณนั้น เบื้องหน้าผมเป็นทางเดินทอดตัวยาวสู่หมู่บ้านเล็กๆ นั่น
              หลังจากดื่มด่ำกับธรรมชาติที่สวยงามแล้ว  ผมก็ออกเดินไปตามทางที่ทอดยาว 


              ผมเดินปะปนไปกับผู้คนที่มองแล้วอายุคงจะประมาณสิบห้าสิบหกปี ซึ่งต่างกับผมราวฟ้ากับเหว  เดินเบียดไปเบียดมาได้ไม่นาน  ก็ต้องหลีกออกมาเพราะความอึดอัด
              ม้านั่งข้างอาคารหนึ่ง มีอยู่ห้าตัว ถูกจับจองไปแล้วสี่ตัว อีกตัวหนึ่ง มีเด็กหนุ่มผมทองนั่งไปแล้ว   แต่ผมก็ไม่ได้ขยาดแขยงอะไร เดินเข้าไปพร้อมกับใบหน้าที่ถูกแต่งด้วยรอยยิ้ม  แล้วเอ่ยถาม

              "มีใครนั่งหรือเปล่า"

              เขาเงยหน้าขึ้นมองผมด้วยสีหน้าสงสัยใคร่รู้  ก่อนจะแปรเปลี่ยนเป็นรอยยิ้มที่ออกมาพร้อมน้ำเสียงใสๆ ของเขา

              "นายก็เห็นนี่  ว่ามันไม่มีใคร  ถ้าจะนั่งก็รีบๆหน่อยละกัน เดี๋ยวมีคนมาแย่งไปเสียก่อน"

              คำพูดที่ออกมานั่นช่างยั่วโมโหเสียจริง  โชคดีของเขาที่ผมไม่ใช่โกรธง่าย  มิเช่นนั้นเขาอาจถูกหักคอจิ้มน้ำพริกแล้วเป็นแน่   ผมเดินเข้าไปนั่ง
              ทันทีที่ผมสัมผัสกับม้านั่ง เด็กหนุ่มข้างๆ ผมก็เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงที่แฝงความเป็นมิตร

              "นายชื่ออะไรหรอ"

             "รารีฟ  เอนเดอร์ฟิลด์  นายล่ะ"

              ผมย้อนถามหลังจากแนะนำตัวเองเสร็จ  ซึ่งผู้ถูกถามก็กล่าวรอยยิ้มที่ทำเอาใบหน้าอันหล่อเหลาพอจะดึงดูดความสนใจของสาวๆ ได้เป็นกอง  บิดเบี้ยวไปจนเสียรูป  เขาแบมือออกแล้ววางมันที่กลางหน้าอก  พลางยืดตัวขึ้น 

              "รูฟัส  เวลฮาร์ม"

              ผมตะลึงกับคำตอบจนดวงตาเบิกโพลง  ปากอ้า ราวกับเห็นผียังไงยังงั้น   แต่ก็รีบเก็บอาการนั้นโดยเร็วเพื่อมิให้เป็นพิรุธ
     
              [ในเมื่อเป้าหมายอยู่นี่แล้ว  ก็ไม่ต้องห่วงอะไรมากแค่ตีสนิทด้วยก็เท่านั้นเอง ภารกิจนี้ง่ายเกินคาดแฮะ]

              "นายจะมาเข้าเรียนหรือ"

              ผมมองเขาอย่างงงๆ  และมองหน้าอันใสซื่อบริสุทธิ์ของเขากลับไป  แต่ก็ตอบกลับเสียงเรียบ

              "ก็ใช่น่ะสิ"

              "นายจะเรียนสายไหนหรอ"

              เขาถามพร้อมสีหน้าลุ้นระทึก ราวกับคำตอบผมจะไปตัดสินชีวิตของเขาได้  ผมครุ่นคิดอยู่นาน ไม่รู้จะตอบยังไง  ในที่สุดรูฟัสก็เอ่ยออกมาน้ำเสียงของเขาแฝงความผิดหวังเล็กน้อยแต่ก็มีเค้าความหวังดีอยู่บ้าง

              "งั้นเอางี้...นายไปสอบคัดเลือก ที่คนๆ นั้น"

              เขาชี้ไปที่ประตูบานใหญ่ ริมประตูข้างขวามีชายวัยสามสิบยืน ถือสมุดจดอยุ่ในมือ ใบหน้าเขามีรอยยิ้มประดับอยู่  คนบางกลุ่มก็เดินไปทำคุยกับเขา แล้วชายคนนั้นก็จดอะไรบางอย่างลงสมุดบันทึกของเขา แล้วหันกลับมาคุย พลันยกนิ้วขึ้นชี้ไปที่อีกคนซึ่งยืนอยู่อีกฝั่งซ้ายของประตู 
              ผมหันมาถามรูฟัสด้วยความสงสัยใคร่รู้

              "การสอบแบบไหนหรอ"

              เขายกมือข้างขวาขึ้นแล้วชูนิ้วขึ้นหนึ่งนิ้ว  ผมเพิ่งสังเกตว่าเขาใส่แหวนสีเงินครบทั้งห้านิ้ว พร้อมกำไลเงินอีกหนึ่งวง

              "ได้ยินว่าโดยใช้การประลองนะ ลองเข้าไปดูสิ"

              ผมพยักเบาๆ ให้ครั้งหนึ่งแล้วลุกขึ้นเดินไปหาชายทางขวาของประตูบานใหญ่นั่น  
              เมื่อเดินมาใกล้ถึงตัวของเขา  ชายคนนั้นกวักมือเรียกพร้อมใบหน้าที่ถูกแต่งแต้มด้วยรอยยิ้ม  ผมได้แต่ยิ้มตอบ แล้วพูดออกไปอย่างอ้ำๆ อึ้งๆ ไม่รู้ว่าเพราะอะไร

              "คือ..."

              "สอบคัดเลือกงั้นสิ"

              ผมพยักหน้าเบาๆ ชายคนนั้นยกมือขึ้นชี้ไปที่ชายอีกคนที่อยู่อีกฝากของประตู  ผมมองตามนิ้วที่ชี้ไป แล้วหันมาพยักหน้าให้เป็นการขอบคุณ  แล้วทำท่าจะเดินไป แต่ถูกเรียกให้หยุด

              "ขอให้โชคดีละกัน"

              ผมไม่หันกลับไปแกล้งทำหูทวนลม  ผมเดินลัดประตูไป  จนถึงตัวชายคนนั้น
              เขาหันมาพร้อมกับในมือมีแผ่นป้ายรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า ทำจากเหล็ก เขียนเลข 24 เอาไว้บนตัวมัน  ผมรับมันมาแล้วเงยหน้าขึ้นมองเขาอย่างงงๆ
              ชายคนนั้นชี้นิ้วไปทางประตูเล็กๆ  ข้างๆ ตัวเขา
              แต่ผมไม่เข้าใจ...
              ผมมองหน้าเขาอย่างงงๆ พลางเอียงคอเล็กน้อย  เป็นเชิงว่า 'อะไรหรอ'  แล้วถูกมองกลับด้วยสายตาที่แสดงถึงความรำคาญและเบื่อหน่ายเล็กน้อย  เขาก้มหน้าลงเล็กน้อยแล้วหลับตาลงอย่างเงียบๆ ผมสีดำที่ถูกเสยขึ้นไปห้อยลงมาบังใบหน้าของเขา แล้วกล่าวกับผมด้วยความเบื่อหน่ายที่แสดงออกมาอย่างชัดเจน

              "เดินเข้าไป"

              ได้ยินดังนั้นก็เดินเข้าไปโดย ไม่รีรอ มิเช่นนั้นเขาคงรำคาญผมมากกว่าเดิม  ผมเก็บแผ่นป้ายเอาไว้ในกระเป๋ากางเกงข้างซ้าย แล้วเร่งฝีเท้าไปเข้าไปยังทางที่คนๆ นั้นชี้มา 
    เดินเข้ามาแล้วเลี้ยวซ้าย  ก็เข้าสู่ทางที่ถูกสร้างขึ้นด้วยอิฐวางเรียงไว้เป็นลวดลายสวยงาม  สองฝั่งซ้ายขวาเป็นแนวพุ่มไม้เตี้ยๆ เบื้องหลังของมันเป็นสวนที่มีน้ำพุเป็นใจกลาง  เบื้องหน้าของผมเป็นเป็นกำแพงหินขนาดมหึมา ตั้งเป็นแนวยาวไปตลอดทางซ้ายขวา และมีช่องสำหรับผ่านเข้าอยู่ตรงกลางตัวมัน 
              เสียงผู้คนโห่ร้องเสียงดังจนฟังไม่เป็นศัพท์ดังมาจากเบื้องหลังแนวกำแพงหินนั่น ดึงดูดความสนใจของผมจากสิ่งอื่น 
              ผมวิ่งออกไปเพราะความสนใจในเสียงโห่ร้องของผู้คน   สายลมแล่นเข้ามาปะทะใบหน้าผมเสียจน 'สิ่งนั้น'  ถูกเผยออกมาอีกครั้ง แต่ผมไม่สนใจ เพราะคงไม่มีใครมาเห็นตอนนี้หรอก
     
              ลอดผ่านช่องขนาดใหญ่นั้นมาก็ต้องตะลึงกับความมหึมาของสถานที่นี้...
              ตรงกลางเป็นเป็นเวทีขนาดยักษ์ ข้างบนมีเด็กหนุ่มสองคนกำลังเข้าห้ำหั่นกันอย่างเอาเป็นเอาตาย  เวทีนั้นรายล้อมด้วยที่นั่งที่ถูกทำเป็นขั้นบันไดสูงได้สัก  20 เมตร มีผู้ชมนั่งอยู่บนนั่นประปราย พร้อมกับแสดงท่าทางในการเชียร์ออกมา   เหนือหัวผมเป็นทีวีจอขนาดมหึมาคงมีไว้สำหรับพวกที่มองไม่เห็นกระมัง 
             ผมรีบเดินไปหาที่นั่งโดยเร็วเพราะไม่อยากพลาดดูการห้ำหั่นกันของสองหนุ่มบนเวที
              และแล้วสายตาผมก็เหลือบไปเห็นเด็กหนุ่มหน้าตาคุ้นๆ คนหนึ่ง ที่นั่งอยู่แถวที่สามนับจากข้างล่าง   ผมสีทองของเขาดูโดดเด่น
              รูฟัสนั่นเอง...
              เขานั่งอ้าปากตระโกนเชียร์หนึ่งในสองคนที่อยู่บนเวที   เอามือป้องปากตระโกนเสียหน้าแดงก่ำ   ผมไม่รอช้ารีบเดินเข้าไปหาโดยไม่ให้เขารู้ตัว
              ผมนั่งลงข้างๆ เขาอย่างเงียบๆ กะว่าจะทำให้ตกใจเสียหน่อย

              "นายเลขอะไรหรอ"

              เขารู้ได้ยังไง... แถมยังหันมาถามเสียงเรียบ  แต่มุมปากแฝงรอยยิ้มน้อยๆ ไว้ ซึ่งปฏิกิริยานี้ก็ทำเอาผมอึ้งไปไม่น้อย แต่ผมก้ไม่ใส่ใจอะไรมาก  ตอบกลับไปด้วยท่าทางสนุกสนานตามแบบของผม

              "24…นายล่ะ"

              เขาเปลี่ยนน้ำเสียงที่ราบเรียบเมื่อครู่นี้เป็นแบบอารมณ์ดี  หันหน้ามาตอบคำถามของผม

              "23"

               ผมแทบสับสน  ก่อนผมมารับป้ายแผ่นนั้นก็ไม่เห็นใครเดินนำนี่นา  แล้วเจ้านี่มายังไงถึงได้รวดเร็วขนาดนี้  
              ผมตะลึงกับความสามารถของรูฟัสอยู่สักครู่ ก่อนจะหันไปดูเด็กหนุ่มสองคนบนเวที
              คนหนึ่งผมสีฟ้า  ส่วนอีกคนผมสีเทา อ่อนๆ เกือบขาว   ใบหน้าของคนผมฟ้าเต็มไปด้วยความโกรธแค้นเนื่องจากสาเหตุใดไม่มีใครทราบ  ส่วนอีกฝ่ายหนึ่ง ใบหน้าไร้เค้าโครงของอารมณ์ นิ่งเฉยจนยากที่จะอธิบายว่าเขากำลังคิดอะไร
              เวลานี้ทั้งสองคนกำลังตั้งท่านิ่งดูเชิงกันอยู่   เด็กหนุ่มผมสีครามคงทนกับสิ่งที่เขาเรียกว่า อยู่เฉยๆ ไม่ได้ จึงออกเดินวนไปวนมารอบเด็กหนุ่มผมเทา ผู้ไม่เคยกระดุกกระดิกแม้แต่ปลายนิ้ว

              "ไอ้ผมฟ้านั่นเป็นดาวประจำโรงเรียนชื่อ รูเฟียรัส แหะๆ คล้ายฉันเลย  ส่วนอีกคนพอๆ กัน แต่นิ่งกว่า ชื่อ เบลล์" 

              รูฟัสหันมาแนะนำทั้งสองที่อยู่บนเวที   ซึ่งยังคงนิ่งอยู่ยกเว้นเจ้ารูฟียรัส นั่น ที่ยังเดินวนอยู่รอบๆ เบลล์
     
              "ขอยอมแพ้ครับ"

              จู่ๆ เบลล์ก็ประกาศยอมแพ้ออกมาอย่างชัดเจน เล่นเอาอีกฝ่ายและผู้ชมเงียบไปโดยปริยาย  รวมทั้งผมด้วย  เซ็งชะมัด...

              "การต่อสู้ของฉันกับนายยังไม่จบนะ"

              รูเฟียรัสแผดเสียงออกมาอย่างไม่เกรงใจ พร้อมกับชี้บิ้วไปยังอีกฝ่ายซึ่งกำลังจะเดินลงจากเวที 
             เบลล์มองรูเฟียรัสผ่านหัวไหล่ของตนแล้วพูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่ยากจะคาดเดาอารมณ์

              "ใช่  มันยังไม่จบ มันยังมีต่อ แต่ไม่ใช่ตอนนี้"

              แล้วเจ้าของคำพูดก็เดินลงเวทีไป เขาเดินเลี้ยวออกไปทางช่องขนาดมหึมาท่ผมเพิ่งจะเข้ามา  ขณะเดียวกับที่รูเฟียรัสก็เดินลงเวทีไปพร้อมกับสบถออกมาตลอดทางที่เดิน

              "ต่อไป"

              ชายคนหนึ่งโผล่มาจากมุมอับสายตาซึ่งผมก็ไม่ทันสังเกต  ชุดสีขาวเช่นเดียวกับคนที่อยู่หน้าประตูบานใหญ่นั่นดูกลมกลืนไปกับเวทีสีขาวสะอาด   เขาประกาศออกมาเสียงดัง  กระทั่งผมซึ่งนั่งอยู่ห่างยังได้ยินชัดแจ๋ว

              "เบอร์ 23 กับ 18"

               "อ้า...นั่นฉันนี่ รอนี่ เดี๋ยวจะแสดงให้ดู"

              รูฟัสเด้งขึ้นจากที่นั่งทันที พร้อมกับตะโกนออกมาเสียงดังด้วนความดีใจอย่างยิ่ง  แล้วกระโจนลงไปถึงพื้นในคราเดียว   แล้ววิ่งขึ้นเวทีไป  โดยที่ยังไร้วี่แววของคู่ต่อสู้

              "ออกมาเซ่"

             ขึ้นไปแล้วยังไม่วายตะโกนออกไป เสียเสียงดังลั่นพอๆ กับผู้คุม
             แต่ทว่า
              สายลมหอบตัวหมุนติ้ว อยู่กลางเวที ฝุ่นทรายใบไม้ใบหญ้าถูกหอบขึ้นไปรวมอยู่กับพายุลูกนั้น  มันแปรเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลเพราะฝุ่นและทรายที่เข้าไปปะปน 
              ปรากฏเป็นเด็กหนุ่มผมสีเขียวเข้ม นัยตาสีเขียวดูมีเสน่ห์ โผล่ออกมาจากใจกลางพายุลูกนั้น  พร้อมกับในปากคาบดอกไม้สีขาวนวล  เขาไม่พูดพร่ำทำเพลง ออกมาก็หยิบใบไม้ใบปากยืนให้รูฟัสอย่างรวดเร็ว เสียจนผู้ที่ยืนอยู่ข้างหน้าผงะถอยหลังไปเล็กน้อย แล้วทำสีหน้างงๆ

              "ให้คุณครับ"

              เขาเอ่ยด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม  รูฟัสซึ่งยังไม่หายงงกับเหตุการณ์เมื่อครู่ ยังทำหน้าเหลอหลาแต่ก็เข้าไปรับมันมาอย่างง่าย ดาย  แล้วโค้งตัวให้

             "ไม่เกรงใจแล้วนะครับ"

              เด็กหนุ่มนัยน์ตาสีเขียวกล่าวอย่างมีมารยาท  ซึ่งรูฟัสก็ไม่ได้ให้คำตอบอะไรเพียงแต่ยิ้มให้ อย่างอ่อนโยนราวกับเป็นยิ้มของเด็กที่กำลังมีความสุข 
              เด็กหนุ่มนัยตาเขียว ผายมือข้างขวาออกไปด้านข้างตัว แล้วเกร็งนิ้วไว้
              อากาศภายในมือหมุนวนราวกับพายุขนาดย่อม  แล้วก็ซัดมันออกจากฝ่ามือไปทางรูฟัส
              รูฟัสพลิกตัวหลบได้อย่างฉิวเฉียด  พายุลูกนั่นบั่นเนื้อผ้าของเขาจนขาดเป็นรอย  หันหน้ามองเด็กหนุ่ม โดยมีรอยยิ้มอยู่บนใบหน้า ยิ้มจนตาเขาหยีเล็กลง  แล้วพูดออกมา

              "ฉันว่าเราอยู่ห่างกันเกิน"

              เด็กหนุ่มนัยน์ตาเขียวเอียงคอแล้วทำหน้างง  แล้วเอ่ยออกมาอย่างสับสนกับคำพูดของรูฟัส

              "เอ๋ !?"

              แต่ก่อนจะได้พูดคำต่อไป  เขาก็ต้องผงะถอยหลังเพราะความตะลึงบวกกับความสับสน แล่นเข้าถาโถมดุจคลื่นกระหน่ำ
             เพราะร่างของรูฟัสย่นระยะมาอยู่ตรงหน้าเขาในระยะประชิด...
               เขาหมุนตัวแล้วดีดขาเข้าใส่ปลายคางของเด็กหนุ่ม จนร่างเขาลอยละลิ่วกลางอากาศ  ก่อนจะถูกกระแทกด้วยกำปั้นหนักๆ ของรูฟัสที่ บัดนี้เลื่อนร่างขึ้นมาอยู่เหนือเด็กหนุ่ม  
              ร่างเด็กหนุ่มกระแทกพื้นอย่างแรงดัง  ปึ้ก  เขาไม่พูดอะไรออกมา เขาหมดสติไปแล้ว...
              รูฟัสเดินไปยังร่างไร้สติแล้ววางดอกสีขาวที่เพิ่งได้มาบนร่างของเด็กหนุ่ม ในสภาพที่แทบเรียกได้ว่าไม่ถูกแตะ   แล้วเอ่ยขึ้นเบาๆ

              "ที่ฝีมือ..."

              "พอแค่นั้นแหละ"

              ผู้คุมคนเดิมปรากฏกายออกมาเช่นเดียวครั้งแรกที่ผมเห็น  คือออกมาจากมุมอับสายตา  เขาเดินเข้ามาหารูฟัส แล้วพูดอะไรบางอย่างกับเขา
              รูฟัสพยักหน้าแล้วเดินกลับมาทางผมซึ่งยังทึ่งในฝีมือของเขาอยู่  
              เมื่อเขานั่งลง ผมก็ปรบมือให้เขาสามที เป็นเชิงว่า 'สุดยอด' ซึ่งรูฟัสก็ยิ้มตอบอย่างเขินๆ  แล้วบอกกับผมอย่างอายๆ

              "นั่นแค่สองในสิบนะ"

              ผมไม่ได้พูดอะไรกลับไปเพียงแต่ยิ้มให้  พลันผู้คุมประกาศเสียงดังลั่นเช่นครั้งแรก

              "24 กับ 19"

              ผมแสดงท่าทีตกใจเล็กน้อย ก่อนจะเก็บอาการไว้ แล้วหันหน้าไปทางรูฟัสแล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงคล้ายล้อเลียน

              "รอนี่ เดี๋ยวจะแสดงให้ดู"

              พลันสีหน้าของรูฟัสเปลี่ยนไปเป็นแบบบึ้งตึง คิ้วทั้งสองของเขาขมวดเข้าหากัน  แล้วทำแกมป่องแบบเด็กๆ จ้องผมด้วยสายตาที่โกรธแค้น  แล้วจึงเปลี่ยนกลับเป็นรอยยิ้มที่เอาไว้แก้เขินในแบบของเขา 
              ผมไม่กระโจนลงมาแบบเขาแต่กลับก้าวเดินลงมาทีละขั้น แล้วหันขึ้นไปมอง พบว่าคู่ต่อสู้ไปรออยู่บนนั้นแล้ว  อย่างน้อยก็ไม่ต้องรอนานแบบรูฟัสแต่คู่ต่อสู้ของผมกลับเล่นกล้ามเป็นมัดๆ  เขาไว้ทรงผมเป็นแนวเส้นตรงไว้กลางหัวของเขา ทำเอาผมแอบขำ  หึ หึ ออกมาเบาๆ 
              เดินขึ้นไปเหยียบพื้นเวทีได้ก็เข้าใจแล้วว่าทำไมเด็กหนุ่มถึงหมดสติไปชั่วพริบตา  พื้นนั้นแข็งกว่าที่ผมคิดไว้มาก 

              "หวัดดี"

              ผมเอ่ยปากก่อนที่บุคคลเบื้องหน้าจะทันได้พูด  ตอนนี้ความตึงเครียดในใจผมได้คลายออกไปกับคำพุดนั้นบ้างแล้ว
              แต่ดูเหมือนอีกฝ่ายจะยังเงียบอยู่ เขาจ้องเขม็งมาทางผม โดยไม่ละสายตาตั้งแต่ผมขึ้นเวทีมาแล้ว 
     
              "ฉันชื่อ ครานาร์  ฟลอโครส จะไม่ขอพูดไปมากกว่านี้"
     
             แม้เวลาพูดเขาก็จ้องผมตาเขม็ง ยังคงอยู่ในอาการเคร่งเครียด  ซึ่งผมก็ยิ้มแหยๆ กับอาการนั้น  ครานาร์ตั้งท่าเตรียมต่อสู้ได้อย่างหมดจดไร้ช่องว่าที่จะเข้าถึง   แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีวิธี...
             ด้วยความติดสนุกๆ ที่แล่นเข้าหัวผม
              ผมเร่งความเร็วสูงสุด อย่างที่คนในตระกูลแวมไพร์เคยทำมาก่อน เพราะจะทำให้เสียการควบคุมตัว แต่ผมถูกฝึกมาให้ควบคุมความเร็วของตัวเองได้ตามต้องการ 
              ผมเร่งความเร็วแล้ววิ่งวนไปรอบตัวของอครานาร์  แล้วซัดฝ่ามือไปตามจุดบอดที่ไร้การป้องกัน 
             
              ในสายตาของผู้ชมทั้งหลายรวมทั้งตัวของรูฟัสเอง  ร่างของผมคงกระพริบไปแว้บหนึ่งแล้วกลับมายืนที่เดิม  เหมือนเดิม แต่สิ่งที่เปลี่ยนไปกลับเป็นร่างกายของอครานาร์ ที่ยืนอย่างบิดเบี้ยวไม่เป็นท่า แล้วลมตึงลงกับพื้นแข็งๆ นั่น ราวกับถูกลอบทำร้าย  
              ผมเสยผมขึ้นเพียงครึ่งหน้า เพื่อให้มองเห็นอะไรต่อมิอะไร  สังเกตุได้ว่าผู้ชมทั้งหมดบัดนี้หน้าตาเหยเกเพราะความสับสนที่แล่นเข้าครอบงำ  ความคิดของพวกเขาเขา  ไม่เว้นกระทั่งรูฟัสที่นั่งอ้าปาก ดวงตาเบิกโพลง ราวกับเห็นผี  

              "เอาล่ะ"

              ผู้คุมโผล่ออกมาเหมือนผี ทำเอาผมสะดุ้งโหยงรีบถอยหนีไปทิศตรงข้ามของเสียง  ก่อนจะตั้งสติแล้วเดินไปหาผู้คุม ซึ่งยืนทำหน้างง มองผมด้วยสายตาแปลกพิกล  เขาเดินเขามาแล้ว  เอ่ยกับผมด้วยน้ำเสียงราบเรียบ 

              "ฉันดูแล้วนะ เธอจัดอยู่ในวิชาแขนง ไฟเตอร์  สายความเร็วละกันนะ แต่ถ้าไม่พอใจละก็  เธอก็สามารถเลือกได้เหมือนกัน ฉันแนะนำได้แค่นี้"

             
           

              

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×