ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    สงครามเลือดอสูร

    ลำดับตอนที่ #2 : ปัจจุบัน ชีวิตและภารกิจที่ยาวนาน

    • อัปเดตล่าสุด 13 มี.ค. 50


                                                               
             
                                                                         -1-
             

              ผมตื่นขึ้น เพราะฝันร้ายที่น่าสะพรึงกลัวนั่น  มันฝังอยู่ในหัวผมมาตลอดตั้งแต่เหตุการณ์นั้นเกิดขึ้น 
              ตอนนี้ผม
    อายุ 82 ปีแล้ว ก็ราวๆ เด็กอายุ 16 ของพวกมนุษย์ละมั้ง  ผมอาศัยที่เขตนอกเมือง ในที่ๆ คนสมัยนี่เรียกว่า คฤหาสน์  มันอยู่ในเขตที่ถูกความเงียบกลืนกิน  เป็นถิ่นที่คนธรรมดาไม่กล้าเข้ามาเยือน เพราะบรรยากาศรอบๆ มืดมิดและวังเวง  แม้ยามกลางวันก็ยังน่ากลัว  แต่หากได้เข้ามาเยือนแล้วล่ะก็   ความกลัวก็จะถูกความงามของคฤหาสน์ดูดกลืนจนหายไปในที่สุด  
              


             
    ผมชันตัวขึ้น เอาหลังพิงไว้กับหัวเตียง พลางเหลือบมองนาฬิกาเรือนใหญ่ที่แขวน  

              "ตีสองงั้นรึ"

              ผมสะดุ้งตื่นกลางดึกรึนี่  ไม่บ่อยนักที่ผมจะตื่นกลางดึก มันจึงเป็นเรื่องแปลก

             ก๊อก ก๊อก ก๊อก 

             ประตูห้องดังลั่น ผมลุกจากเตียงแล้วเดินไปผ่านโต๊ะเขียนหนังสือตรงมุมห้อง  ก็ต้องแปลกใจ  เมือมีซองจดหมายสีขาววาง แต่ก็ไม่ได้เอะใจอะไร  รีบเดินไปเปิดประตูให้ผู้มาเยือน
              เมื่อประตูแง้มออก บุคคลหลังบานประตูก็เอ่ยออกมาโดยไม่รอให้ประตูเปิดสนิทเสียก่อน

              "คุณชายเป็นอะไรคะ"

              เจ้าของเสียงเป็นหญิงร่างใหญ่ เป็นแม่บ้านของที่นี่ ชื่อของเธอคือ 'แมทไซด์' เธอเป็นคนที่ใครๆในคฤหาสน์หลังนี่ต่างก็ไว้ไจมาก  เนื่องจากใบหน้าที่ประดับด้วยรอยิ้มเสมอ และนิสัยที่ดีมากๆ 

               "เปล่าครับ ไม่มีอะไรครับ ป้ามีอะไรหรือเปล่าครับ"

              "รู้สึกป้าจะได้ยินคุนผู้ชาย ตะโกนน่ะค่ะ ป้าละสะดุ้งหมดเลยนะคะ" 

              "ขอโทษครับ พอดีผมฝันร้ายน่ะครับ"

              "อ๋อ เหรอคะ งั้นถ้ามีอะไรเรียกป้านะคะ"

              สิ้นเสียง ป้าแมทไซด์ก็เดินออกจากประตูห้องไป ทิ้งไว้ให้ห้องของผมถูกความเงียบกลืนกินอีกครั้ง  ผมเดินไปที่ระเบียงห้องที่ยื่นออกนอกส่วนของคฤหาสน์ เพื่อรับลมเย็นๆ ที่มักจะพัดอยู่ตลอด   วันนี้สายลมโบกแรงกว่าวันอื่นๆ มาก
              ผมใช้มือซ้ายจับระเบียงจะเย็นเฉียบเนื่องจากถูกลมโกรก  ความคิดสนุกๆ แล่นเข้าหัว  และอยากจะทำเสียเดี๋ยวนั้นเลย ผมมองไปเบื้องหน้าระเบียง 
               ต้นไม้ต้นสูงตั้งอยู่เบื้องหน้าผม  กิ่งก้านสาขาของมันยื่นยาวออกมานอกลำต้น  ช่างเหมาะเจาะจริงๆ...
              ผมเหวี่ยงตัวออกนอกระเบียงโดยมีแขนซ้ายเป็นแกนหมุน  ทะยานออกไปกลางอากาศ  ผมกะระยะให้ลงที่กิ่งหนึ่งของต้นไม้ต้นนั้น 
             แต่ผมพลาด
             ผมกะพลาด แต่ก็ยื่นมือออกไปโดยสัญชาตญาณ คว้ากิ่งไม้ไว้แล้วใช้เป็นแกนหมุนตัว ขึ้นมายืนบนกิ่งไม้กิ่งนั้นไว้ โชคดีที่มันพอจะรับน้ำหนักผมไว้ได้ ไม่เช่นนั้นผมคงร่วงลงไปอีกรอบแน่
              ผมกระโดดลงจากกิ่งนั้น ลงบนอีกิ่งหนึ่งที่อยู่เบื้องล่าง แต่คราวนี้กิ่งมันอ่อนกว่าที่ผมเห็น ผมจึงดีดตัวขึ้นหมุนตัวกลางอากาศขึ้นไปเกาะกิ่งที่อยู่สูงที่สุด  ผมห้อยต่องแต่งอยู่บนนั้น...
     

             ผมเล่นสนุกอยู่กับต้นไม้ต้นนั้นอยู่นาน เป็นเวลาประมาณ 4 ชั่วโมง 

             ตอนนี้เป็นเวลา ประมาณ  6 โมงเศษ ๆ   ผมเหวี่ยงตัว เข้ามาในห้องก่อนที่ป้าแมทไซด์จะเปิดประตูเข้ามาพร้อมกับใยหน้ายิ้มแย้ม ในมือถือถาดอาหาร ซึ่งผมแอบปลายหางตามอง  เห็น ขนมปัง ขวดเนย แล้วก็นมที่ใส่แก้ว
             ป้าวางถาดอาหารลงบนโต๊ะ ข้างๆ เตียง  แล้วพูดกับผมด้วยใบหน้าที่ ยิ้มแย้ม

             "กินเสดแล้ว ก็ไปหาคุณท่านด้วยนะคะ คุณท่านเรียกน่ะค่ะ" 

              "ครับ"

              ผมไม่เข้าใจว่า คุณพ่อจะเรียกไปทำไมแต่ก็ตอบกลับไปว่า ครับ   ป้าแมทไซด์หันหลังกลับแล้วก้าวฉับๆ ออกจากห้องไป คงเพราะมีงานมากกระมัง  แต่เธอก็ไม่ลืมปิดประตูห้องตามมารยาท 
             ผมซึ่งกำลังคิดว่าครั้งนี้คุณพ่อจะมีเรื่องอะไร เพราะหากครั้งใดที่คุณพ่อเรียกต้องมีเรื่องเกี่ยวกับภารกิจครั้งใหม่หรืออาจเป็นเรื่องที่หาใครทำไม่ได้  และผมก็ภาวนาให้มันเป็นอย่างแรกมากกว่าอย่างหลัง 
             แล้วผมก็หันไปจัดการกับอารที่ป้าแมทไซด์เอามาให้...  

              ก๊อก  ก๊อก ก๊อก

              แล้วป้าแมทไซด์ก็เปิดหระตูออกมา พร้อมกับกล่าวด้วยน้ำเสียงสดใส แบบอารมณ์ดี โดยที่ผมชักจะเริ่มรำคาญขึ้นมานิดๆ แต่ก็เก็บอาการไว้ในใจ

              "คุณท่านบอกให้ใส่ชุดเท่ๆ ไปด้วยนะคะ"

              "...."

              พูดจบป้าก็ก้าวออกจากห้องไป 




              ปราสาทของเราแบ่งออกเป็นสองส่วนและแบ่งออกย่อยๆอีก 4 ส่วน โดยที่ส่วนที่อยู่ข้างบนฝั่งซ้ายคือส่วนที่หนึ่ง ฝั่งขวาคือส่วนที่สอง และข้างล่างฝั่งซ้ายคือส่วนที่สาม ฝั่งขวาคือส่วนที่สี่ อีกโซนหนึ่งก็เป็นแบบนี้เหมือนกัน ทั้งหมดถูกกำหนดเพื่อให้ง่ายต่อการจดจำ
             ห้องของคุณพ่ออยู่โซนซ้ายของปราสาทในส่วนที่หนึ่ง  ส่วนห้องของผมอยู่โซนขวาส่วนที่สอง บริเวณริมของตัวคฤหาสน์  กว่าจะเดินไปถึงจึงต้องใช้เวลาเกือบสิบนาที      
             ตอนนี้ผมยืนอยู่หน้าห้องของคุณพ่อ  เบื้องหน้าผมเป็นประตูใหญ่สูงราว 3 เมตร สองฝั่งของประตูมีเสาเตี้ย หัวเสาเป็นรูปสิงโตที่กำลังหมอบอยู่ ดูราวกับเป็นการคำนับผู้ที่ผ่านไปมารวมถึงผู้ที่จะเข้าไปข้างในด้วย  ไม่นานผมก็ผลักมันออก เสียงคำรามของมันดังเสียจนผมตกใจ   
             
              "ไง มาแล้วหรอ" 

              คุณพ่อเอ่ยออกมาท่ามกลางความมืดที่มีแสงสลัวๆ โดยไม่รีรอ ขณะนั่งอยู่บนเก้าอี้ เบื้องหน้าเขาเป็นโต๊ะขนาดใหญ่ ทั้งซ้ายและขวามือผมเป็นตู้หนังสือขนาดมหึมา ทำให้ห้องที่แสนจะกว้าขวาง แคบไปถนัดตา 

              "มานี่สิ"

              เขาพูดทั้งๆ ที่ใบหน้ายังก้มอยู่กับหนังสือเล่มหนึ่งในมือของเขา  พร้อมกับกวักมือเรียก ผมเดินเข้าไปหาเขาแล้วหยุดยืนอยู่หน้าโต๊ะ  

             "เรียกผมมามีอะ...."

              พูดหยุดพูดกระทันหัน เพราะเขายกมือขึ้นห้ามไว้ 

              "คือทางเราได้ข่าวมาว่า'พวกมัน'  วางแผนที่จะถล่มกระกูลแวมไพร์ของเราอีกครั้ง  สายของเราว่ามาอย่างงั้นน่ะนะ"  

              "แล้วจะให้ทำอะไรครับ"

               "ก็..."

              ถึงตอนนี้เขาก็เงยหน้าขึ้น เผยให้เห็นเค้าโครงหน้าอย่างลางๆ เพราะไม่ค่อยมีแสงไฟ มีแต่เพียงแสงตะเกียงที่ตั้งอยู่มุมห้องทั้งสองฝั่ง  ใบหน้าเรียวยาวของเขากับสัดส่วนที่ลงตัว ทำเอาผมตะลึง ผมยาวๆ ของเขาพาดไปข้างหลัง ต่างจากผมซึ่ง ไว้ผมยาวลงมาถึงแค่ส่วนคอและปล่อยให้มันพาดลงมาบังตาข้างหนึ่ง
     
               "ภารกิจก็แค่เข้าไปในโรงเรียนปะปนกับนักเรียนแล้วจับตาดู คนที่ชื่อ  เอ่อ... "

               เขาหยิบกระดาษแผ่นหนึ่งออกมาจากลิ้นชักใต้โต๊ะ แล้วเอีงคอซ้ายขวา มองไล่ไปทีละบรรทัด ในที่สุดก็ผงะถอยหลังพร้อมกับทำตาโต มุมปากฉีกยิ้มออกมา รวมแล้วคงเป็นอารมณ์ดีใจมากกว่าอารมณ์เสีย

              "รูฟัส....ใช่ๆ รูฟัสนี่แหละ จับตามองไว้ให้ดีๆ ล่ะ"

             ผมเบ้ปากแล้วกอดอกอยางเซงๆ เพราะภารกิจก็แค่'จับตาดู'งั้นหรอ น่าเบื่อชะมัด

               "แต่ว่า สายของเราบอกว่าทุกครั้งที่เจ้ารูฟัสเนี่ยจะได้รับอุบัติเหตุหรืออะไรทำนองนี่เนี่ย.... จะต้องมีคนมาช่วยไว้ได้ทุกครั้งไป พ่อก็เลยเดาว่ามันคงมีคนคอยคุ้มครองอยู่เสมอ"

               เขาโยกตัวมาข้างหน้าเล็กน้อย ทำตาตี่ๆ ที่ทำให้ใบหน้าเขาเสียรูป แล้วพูดด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด

               [นี่สิมันต้องอย่างนี้ มีอะไรมาท้าทายหน่อยมันก็สนุกดี]

              ผมแอบฉีกยิ้มชั่วร้ายออกมาภายใต้ผมที่ห้อยลงมาบัง   แล้วคลายมือที่กอดอก ออกแล้วทำท่าจะเดินออกจากห้องไป  แต่คุณพ่อกลับเรียกให้หยุดหว้เสียก่อน  ผมมองเขาผ่านหัวไหล่

               "เริ่มงานพรุ่งนี้ พ่อจะให้คนไปส่ง"

               เขาคลายน้ำเสียงที่เคร่งเครียด แปนเปลี่ยนเป็นน้ำเสียงปกติของเขา แล้วโยกตัวกลับไป แล้วยัดกระดาษแผ่นนั้นลงลิ้นชักใต้โต๊ะ  ต่อด้วยการก้มหน้าอ่านหนังสือเล่มหนาของเขาต่อไป 


                                                                          -2-



               วันรุ่งขึ้นเมื่ออาทิตย์ฉายแสง สีส้มอ่อนๆ ออกมา คนในคฤหาสน์ก็คงตื่นกันหมดแล้ว เว้นผม...

               ก๊อก ก๊อก


               เสียงเคาะประตูดังขึ้นถี่ๆ ปลุกผมตื่นจากความฝันที่โหดร้ายนั่นอีกครั้ง  ผมชันตัวท่อนบนขึ้นพิงกับเตียง  เอามือสองข้างขยี้ตาให้หายง่วง  แล้วลุกจากเตียง เดินไปเปิดประตู ต้อยรับผู้มาเยือน  
               ผมเปิดประตูทั้งที่กำลังอยูสภาพเปลือยท่อนบน 
               ผู้มาเยือนซึ่งก็คือป้าแมทไซด์นั่นเอง ยืนตะลึงอยู่สักครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยปากด้วยน้ำเสีบงสดใสของเธอ

              "คะ..คือ คุณท่านให้มาเตรียมตัวน่ะค่ะ"

              "เตรียมตัว ? "

              ผมเอียงคอพร้อมขมวดคิ้วแต่เธอจะเห็นคิ้วของผมหรือเปล่านะ   ป้ายิ้มออกมาก่อนจะตอบ

              "ก็ภารกิจของคุณหนูไงคะ"

              ได้ยินดังนั้นผมก็คลายคิ้วที่ขมวดจนแทบชนกันกลับคืนรูปเดิม 

              "ครับ"

              "เสร็จ แล้วรีบลงไปนะคะ"

              ป้าพูดทิ้งท้ายไว้ก่อนจะพาร่างอ้วนๆ ของเธอ เดินออกจากห้องไปตามทางเดินจนหายไปจากสายตาผม   
               

                                                                       -3-


     
               ทางเดินในคฤหาสน์หลังนี้รวมๆ กันคงได้สักประมาณหนึ่งหรือสองกิโลเมตร หากจะเดินให้อาจต้องใช้เวลานานสักหน่อย  ซึ่งบางวันหากผมคิดอะไรสนุกออกมาก็อาจจะมาเดินรอบบ้านสักรอบสองรอบ ก็เป็นการออกกำลังกายที่ดีจริงๆ 
               ตอนนี้ผมอยู่ในชุด เสื้อเชิ้ตสีดำ กางเกงขายาวสีน้ำเงินเข้ม รองเท้าผ้าใบสีขาว ผมเดินมาตามทางเดินที่ทอดตัวยาวเป็นเส้นตรง  จนกระทั่งมาถึงบันไดวน

               
    ผมไม่เดินลงแบบธรรมดาๆ แน่... 
               ผมจับราวบันไดด้วยมือซ้าย ก่อนจะเหวี่ยงตัวข้ามราวบันไดจากชั้นสองลงไปชั้นหนึ่ง   รับน้ำหนักตัวด้วยปลายเท้าพร้อมย่อตัวลงต่ำเพิ่อลดแรงกระแทก ก่อนจะกลับมาท่ายืน  แล้วเสยผมที่ห้อยลงมาบังตาขึ้นไป  
               เดินไปตามทางเดินไม่นานนัก แล้วเลี้ยวซ้ายผมก็มาอยู่ที่หน้าประตูคฤหาสน์  สองฝั่งซ้าย ขวาเป็นเสาสูง ขึ้นไปค้ำยันหลังคาไว้มิให้พังลงมา  โคนเสามีกระถางต้นไม้วางอยู่ช่วยทำให้มีชีวิตชีวาขึ้นมา   
              เบื้องหน้าคฤหาสน์มีรถสีดำจอดอยู่คันหนึ่ง  แต่ว่ามันเป็นรถที่มีขับอยู่ตามท้องถนน ไม่ใช่รถที่มีความดึงดูดใจที่ผมคาดหมายไว้   
      
              "อ้าว...อรุณสวัสดิ์ พร้อมจะไปแล้วใช่ไหม  "  

              เสียงคุณพ่อปรากกฏออกมาพร้อมกับร่างกายที่โผล่มาจากไหนไม่ทันสังเกต เขาอยูในเสื้อโค้ตสีน้ำเงินเข้ม ยาวลากพื้น   มองรวมๆ กับผมยาวๆ ของเขาแล้ว นับว่าเข้ากันได้ดีทีเดียว   ผมมองเขาเดินจนกระทั่งมาหยุดอยู่ตรงหน้า แล้วจึงพยักหน้าน้อยๆ ให้   เขาเดินเข้ามาใกล้ๆ โค้งตัวเข้ามาเนื่องจากว่าตัวเขาสูงกว่าผม แล้วยกมือขึ้นลูบหัวผมอย่างเอ็นดู  แล้วกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล พร้อมกับใบหน้าที่ยิ้มแย้ม

              "ระวังตัวด้วยนะ" 

               ผมไม่ได้ตอบอะไรกลับได้แต่ก้มหน้ามองดินรับความหวังดีจากพ่อ แล้วผมก็เดินผ่านเขาไป ปล่อยให้เขามองตามหลังผมอย่างเงียบๆ  
               ผมเปิดประตูแล้วก้าวขึ้นไป ความรู้สึกว่าจะจากบ้านไปนานเริ่มเข้ามาในหัวของผม รู้สึกดังนั้นผมก็หันหน้าไปมองคฤหาสน์ที่อยู่ทางซ้ายมือ มองภาพคุณพ่อที่ใบหน้าถูกประดับด้วยรอยยิ้ม ยิ้มแบบที่ไม่สามารถหาได้จากที่อื่นได้
               [นี่หรือความนู้สึกที่จะจากบ้าน]

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×