คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : ฟงยี่ (วาตะอาราม ) กับ กระบี่สัปรังรังเค
ตอนที่ 2
ฟงยี่ (วาตะอาราม) กับ กระบี่สับปะรังเค
ที่ไหนเนี่ย ? มืดจัง หรือว่าจะเป็นโลกหลังความตาย... แต่แปลกแฮะ ทำไมไม่เห็นมียมทูตรหรือทางเดินไป “ปรภพ”เลย ที่สำคัญทำไมได้กลิ่นสมุนไพรฉุนนักนะ
จำได้ว่า...หลังจากขอความช่วยเหลือจากชายแปลกหน้าแล้ว....อ๊ะใช่ หลังจากนั้นข้าก็วูบไปเลย แล้ว...นี่ข้าตายแล้วหรอ ?
เมื่อความมืดปกครุมรอบด้านทำให้ข้ากระวนกระวายใจยิ่งนัก ความคะนึงหาอาลัยต่าง ๆ วิ่งเข้ามาในหัวข้า รวดเร็วราวม้าศึก มากมายปานใบไม้ในป่า ตอนที่ 2
พลั่งพลูดั่งแรงดันน้ำพุร้อนจากผืนพิภพ ว่ากันว่าคนกำลังจะตายนั้นจะเห็นภาพต่าง ๆ ในชีวิต ตั้งแต่อดีตเป็นฉาก ๆ ไป ถ้าเป็นเช่นนั้นจริง ข้าก็อยากจะเห็นภาพในอดีต
ของข้ากับหยินเอ๋อ ตั้งแต่เด็ก จนภาพสุดท้ายที่นางเดินกลับบ้านไป
แย่จริง ๆ ทั้งที่สาบานกับตัวเองไว้แล้วว่านั่น จะไม่ใช่ภาพสุดท้ายที่ข้าจะเห็นนาง ข้ามันไม่เอาไหน ข้าจะไม่ได้พบนางอีกแล้ว พอคิดถึงตรงนี้แล้ว มันยิ่งกว่าคะนึงหา
ความเหงา ความเศร้า ความคิดถึง และความรู้สึกที่ยากจะอธิบายอีกหลาย ๆ อย่าง มากมายมหาศาล ประดังเข้ามาราวเขื่อนแตก ทำใจไม่ได้จริง ๆ ข้าไม่อยากตายไปทั้งอย่างนี้ !!!
ข้าจมอยู่กับความเสียใจนานแค่ไหนไม่อาจรู้ได้ แต่ว่าข้ารู้ว่านาน ใช่นานขนาดนี้แต่กลับไม่เห็นมียมทูตรหน้าไหนมารับตัวข้าเลย... “มันยังไงกันแน่นะ ยังไง ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ”
วูบ ! หลังจากคิดอยู่นานพลันปรากฏแสงนวลขาว ค่อย ๆ ลอยผ่านข้าไป ช่างดึงดูดสายตายิ่งนัก ข้ามองตามแสงนั้นไป “อ๊ะ”!!!! ข้าหลุดอุทานออกมา
รอบด้านจากที่เคยมืดมิด พลันสว่างขึ้นตั้งแต่เมื่อใดไม่ทราบได้
แม้ไม่ใคร่เข้าใจนัก แต่บัดนี้ดูเหมือนข้าจะมายืนอยู่ตรงหน้าหลุมฝังศพของอาจารย์ โอ้...ท่านอาจารย์ ข้าคิดถึงท่านจริงๆ ดวงวิญญาณท่างจะรู้รึไม่นะว่า...
ลูกศิษย์คนนี้ได้ทำในสิ่งที่ท่านได้มุ่งหวังแล้ว ข้าได้ผดุงคุณธรรมขจัด
สิ่งเลวร้าย แม้ผลสุดท้ายข้าจะต้องตายก็ตาม แต่ข้าก็ได้พยายามทำอย่างที่สุดแล้ว ไม่มีสิ่งใดค้างคาใจอีกแล้ว...
“ ไม่มีสิ่งใดค้างคาใจแล้วจริงน่ะหรอ ?”......
!!!!
“ เสียงนี้.... เสียงของอาจารย์ !!? ใช่... เสียงของท่านจริงๆ
อาจารย์ อาจารย์ครับ นั่นท่านใช่มั้ย? ท่านมารับข้าใช่มั้ยครับ ท่านอยู่ไหน ? ”
“ ลูกฮุ้ง... เอ็งพอใจที่จะจบชีวิตเพียงเท่านี้เช่นนั้นรึ ? ไม่มีสิ่งใดติดค้างในใจแล้วจริงน่ะหรอ ?”
“ ท่านอาจารย์ ข้า....”
ข้าพยายามมองหาท่าน ทว่าก็ไม่พบแม้เงาของใครเลย แต่ที่ยิ่งกว่านั้น คำถามที่ข้าได้ยินมันทำให้ข้ารู้สึกเหมือน อก ตัวเองกวงโบ๋
บรรยายไม่ถูกจริงความหนาวเหน็บนั้นที่วูบขึ้นมาในบัดดล
ข้าน่ะ... จริงๆแล้วไม่มีอะไรค้างคาใจ... จริงๆน่ะหรอ?
“ ความเลวร้ายที่ยังคงอยู่ในโลกนี้ล่ะ?” ข้าถามตัวเอง
“ ข้าทำดีที่สุดแล้ว คงมีคนรุ่นหลังที่สานต่อเจตคติแห่งความถูกต้องให้ดำรงไว้ได้ ดังนั้นตอนนี้...ช่างมัน...”
“ แล้วครอบครัวเจ้าล่ะ?” ข้า...ถามตนเอง
“ เจ่เจ้คงดูแลท่านพ่อและท่านน้าได้ กิจการของทางบ้าน เจ่เจ้ ก็ดูแลเรื่องต่างๆได้ดีกว่าข้า คงไม่มีอะไรต้องห่วงแล้ว...”
“ แล้ว...ตัวเจ้าล่ะ?” ข้า...ถามตนเอง
“ ช่างมัน... พี่ชายนัยน์ตาสีม่วงคนนั้นท่าทางเป็นคนดี เค้าคงช่วยกรบฝังกายข้าไม่ให้ทุเรตแก่ฟ้าดิน”
“ แล้ว.... หยินเอ๋อ ล่ะ? ข้า....ถาม.....ตนเอง
“................ นั่นสิ...หยินเอ๋อจะเป็นเช่นไรต่อไป หากสิ้นท่านน้าเหมี่ยวแล้ว นางก็เหลือตัวคนเดียว ใครจะดูแลนาง นางจะอยู่ยังไง นางจะ
มีคู่ครองที่ดูแลนาง รักนาง ห่วงใยนาง อย่างที่ข้ารักนางรึเปล่านะ...........
ช่าง.....ช่าง...... ช่างไม่ไไไไไไได้!!!!!! ไม่ๆๆๆๆๆๆ ใครจะยอมปล่อยให้ชีวิตหยินเอ๋อเป็นไปตามยะถากรรม ไม่ได้จริงๆ ข้าจะมาตายอยู่ที่นี่ไม่ได้
ข้าต้องไม่ตาย....
วูบ.....
กระแสลมอบอุ่นพัดมาวูบหนึ่งจากด้านหลัง รู้สึกตัวอีกทีฝ่ามือหนึ่งก็จับไหล่ข้าไว้อย่างแผ่วเบา สัมผัสที่อบอุ่นนี้ข้าจำได้ไม่มีวันลืม ท่านอาจารย์
“ ลูกฮุ้ง ชีวิตเป็นสิ่งสูงค่า หากยอมตัดใจตายง่ายๆ โดยไม่พยายาม ย่อมไม่ใช่วีรบุรุษ นี่ยังไม่ถึงเวลาของเอ็ง จงกลับไปเถอะ”
เป็นเสียงของอาจารย์จริงๆ ข้าดีใจยิ่งนักทันทีที่จะหันไปมอง แสงสว่างวูบขึ้นต่อหน้า......
...................
................... ที่ไหนเนี่ย ?...
“ อ๊ะ !! น้องชายท่านได้สติแล้ว”
อะไรกัน... ข้างงไปหมดแล้ว เบื้องหน้าข้าหาได้เป็นหลุมศพของอาจารย์
และไม่ได้เป็นความมืดสุดลึกล้ำอีกต่อไป หากแต่สิ่งที่ประจักต่อสายตาข้าคือ...หลังคา
ใช่...มันเป็นหลังคา ดูยังไงมันก็เป็นหลังคา
“ ดีจริงๆ ร่างกายของท่านนี่ช่างมีพลังชีวิตที่เข้มเข็งอย่างมาก ข้าพอจะรู้เรื่องการแพทย์อยู่เพียงเล็กน้อย หลังจากทำแผลให้ท่านแล้วยังกลัวอยู่เลย ว่าท่านจะทนพิษบาดแผลไม่ไหว”
อ้อ... เข้าใจแล้ว ข้านอนหงายตัวตรงอยู่บนพื้นนี่เอง พี่ชายตาสีม่วงคงช่วยข้าไว้ เหลือบซ้ายแลขวาดูเท่าที่ข้าพอมีแรง ท่าทางที่นี่คงเป็นวัดร้างที่อยู่บริเวณเนินแน่ๆ แล้ว โอ้.... อาจารย์ครับ
หยินเอ๋อ เจ่เจ้ ข้าดีใจจริงๆ ที่ยังมีชีวิตอยู่
ข้างๆ กายข้า พี่ชายตาสีม่วงก่อกองไฟเหมือนจะต้มอะไรอยู่ มันจะว่าหอมก็หอม จะว่าฉุนก็ฉุน ข้าพยายามพยุงกายลุกขึ้นแต่มันไม่ไหวจริงๆ แผลคงอักเสบ เจ็บ
มากจนร้องไม่ออกต้องทรุดตัวลงนอนอีก
“ อ้าวสหาย อย่าเพิ่งรีบลุกขึ้นมาสิ เดี๋ยวแผลจะเปิดนะ มา...ข้าช่วยพยุง”
ยังดีที่บริเวณนั้นมีเสาต้นใหญ่ให้ข้านั่งพิงได้พอดี เพิ่งได้สังเกตตัวเอง ดูจากบริเวณที่พันผ้าพันแผลเอาไว้ ดูท่าบาดแผลในตัวข้าคงมากกว่าที่ข้าคิด
แต่บาดแผลพวกนี้ถูกปฐมพยบาลอย่างดี พี่ชายท่านนี้คงมีความชำนาญไม่น้อยเลย
“ ผู้มีพระคุณ ข้าขอขอบคุณท่านมาก ชาตินี้ข้าจะไม่ลืมพระคุณที่ช่วยชีวิตของข้าเลย” ไม่อยากเชื่อเลยว่านั่นเป็นเสียงของข้า มันแหบพล่าและสั่นเครือซะจนตัวข้าเองยังจำไม่ได้
“ ไม่เป็นไรมิได้สหาย เรื่องแค่นี้อย่าถือเป็นบุญคุณเลย เห็นคนเดือดร้อนแล้ว
หากอยู่ในวิสัยที่ช่วยได้ ย่อมต้องช่วยเป็นธรรมดา อ้อ อย่าได้เรียกข้าว่าผู้มีคุณเลย ฟัง
ยังไงชอบกล ข้าแซ่ เจียง ชื่อ ฟง ( ลม ) เรียกข้าว่า ฟง เฉยๆ ก็ได้ ”
พี่ฟง ผู้นี้วางตัวสงบเสงี่ยมเยือกเย็น น้ำเสียงแจ่มใสไม่กระโชกโฮกฮาก แต่นัยน์ตาดูแผงแวโศกไว้ลึกๆ ไม่รู้ว่าในชีวิตผ่านพบประสบการณ์เช่นใดมา
“ ไม่ได้สิพี่ฟง บุญคุณย่อมเป็นบุญคุณ ชีวิตเป็นสิ่งประเมิณค่าไม่ได้ ท่านช่วยให้ช้าพ้นจากความตาย ข้าย่อมเป็นหนี้ชีวิตท่าน ข้าโปย ฮุ้ง ไม่ใช่คนรักตัวกลัวตาย
ขอเพียงท่านเอ่ยปากมาข้ายินดีบุกน้ำลุยไฟตอบแทนท่านแม้ตายก็ไม่หวั่นเกรง”
“ น้องฮุ้ง ท่านเพิ่งกล่าวว่าชีวิตนั้นประเมินค่ามิได้ ในเมื่อลอดพ้นจากความตายมาได้ เหตุใดยังจะเอาชีวิตไปทิ้งซะล่ะ? ”
............ จริงอย่างที่พี่ฟงพูด แย่จริงๆ ข้านี่พูดอะไรไม่ยั้งคิด ข้าเพิ่งยินดีที่ยังไม่ตาย ยินดีที่จะได้พบหยินเอ๋ออีก แต่กลับพูดจาราวกับจะทิ้งชีวิต เฮ้อ....ช่างน่าละอายใจจริงๆ
“ ขอโทษด้วยพี่ฟง ข้าพลั้งปากไป”
“ ไม่เป็นไรหรอก หากต้องการตอบแทนท่านจริงๆแล้วล่ะก็ จงใช้ชีวิตที่ข้าได้ช่วยไว้เพื่อคนที่ท่านรักและครอบครัวของท่านให้จงดีเถอะนะ”
ไม่รู้ข้าคิดไปเองรึเปล่า ท้ายๆประโยคนี้ฟังดูเศร้าสร้อยยังไงชอบกล ใบหน้าที่ยิ้มออกมานั้นเป็นการฝืนยิ้มรึเปล่านะ
“ พี่ฟง ข้าหมดสติไปนานแค่ไหนแล้ว ? ”
“ หนึ่งวัน”
“ ตอนนี้ทางบ้านคงเป็นห่วงข้าแย่แล้ว อาจจะคิดว่าข้าถูกพวกมันฆ่าไปแล้วก็ได้ ”
“ พวกมัน ?... ศพที่อยู่บนเนินนั่นท่านเป็นคนสังหารหรอ ? ”
“ กล้าทำต้องกล้ารับ ใช่ ข้าเป็นคนสู้กับพวกมันแล้วกำจัดโจรชั่วพวกนั้นเอง ”
“ โจรชั่วงั้นรึ อืม... คนพวกนั้นมีสิบห้าคน น่ากลัวจะเป็นพวกโจรปีกอัคคีที่ลือกันอยู่ใช่รึไม่ ? ”
“ ใช่แล้วพี่ฟง นั่นแหละพวกมัน ”
“ อืม.... คนเดียวบุกไปสู้กับพวกนั้นอย่างซึ่งๆ หน้า มิน่าจึงได้บาดแผลมากมายแบบนี้ น้อง ฮุ้ง ท่านช่างกล้าหาญนัก ข้านับถือท่านจริงๆ ”
แม้ยินดีแต่ข้าไม่มีแรงจะหัวร่อให้สาแก่ใจ มีคงเอ่ยชมข้าแบบนี้ยอมรับว่าเขินอยู่เหมือนกัน
“ พี่ฟง ชมเกินไปแล้ว ข้าไม่ได้เก่งกาจอะไร เพียงแต่พ่อแม่และอาจารย์
สั่งสอนข้ามาให้เป็นคนดียึดมั่นธรรมะขจัดอธรรม ข้าฝึกดาบมาเพื่อการณ์นี้ ”
“ ฮ่ะๆๆๆ นั่นแหละน้อง ฮุ้ง เจ้าสามารถปฏิบัติตามคำสอนของพ่อแม่
และอาจารย์ได้ เท่านี้ก็น่าชื่อนชมแล้ว ”
มีคนมาชื่นชมมันรู้สึกดีอย่างนี้นี่เอง อู เทียนอั๊ง เจ้าคงรู้สึกแบบนี้เหมือนกันสินะ หยินเอ๋อ ท่านจะรู้สึกชื่นชมการกระทำของข้าบ้างรึเปล่านะ รู้มั้ยตอนนี้ข้าทำสำเร็จแล้ว
อ้อ ไม่สิ... นางจะรู้ได้ยังไงกัน ยังไม่มีใครรู้เลยนี่นา
“ นี่น้อง ฮุ้ง แต่ว่านะ อย่างที่ท่านบอกนั่นแหละ ชีวิตเป็นสิ่งประเมิณค่าไม่ได้
แต่คนเราก็ยังคร่าชีวิตกันตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัณ ตกลงคนเรานี่มองว่าชีวิตเป็นสิ่งใดกันแน่ ? ”
“...................” ไม่รู้จะตอบยังไงดีเลย... ไม่ใช่ว่าข้าไม่เข้าใจคำถามนะ คำถามจริงๆ ไม่ได้ซับซ้อนอะไรเลย แต่ว่า... ข้าไม่กล้าตอบ ข้าน่ะ เพราะอยากปกป้องคนสำคัญ
จึงขึ้นเนินมาหวังกำจัดมารร้าย แต่ก็เพราะแบบนี้นั่นแหละ ข้าจึงสังหารคร่าชีวิตผู้คนเป็นครั้งแรก มารร้ายสิบห้าคนนั้นแม้ชั่วช้าไม่สามารถให้อภัยได้ แต่นั่นก็เป็นชีวิต
ข้าปฏิเสธไม่ได้ว่าข้าเป็นคนทำลายชีวิตที่ประเมิณค่าไม่ได้นั่นไปสิบห้าชีวิต ในมุมมองของพวกมัน... ข้าย่อมเป็นฆาตกร
ในยุทธภพข้ารู้ว่าการฆ่าฟันเป็นเรื่องปกติ เฮ้อ.....คนอื่นตอนสังหารเอาชีวิต
ศัตรูรู้สึกยังไงข้าไม่รู้หรอกนะ ไม่คิดจะอยากรู้ด้วย แต่สำหรับข้าแล้วมันเป็นความรู้สึกที่แย่มากๆ โดยเฉพาะวินาทีที่ประกายแววตาของพวกมันวูบดับลง
กลับเป็นตัวข้าเองที่รู้สึกราวกับวิญญาณหลุดออกจากร่าง ข้าไม่ได้พูดเกินเลยนะ มันรู้สึกแบบนั้นจริงๆ
และกับคำถามของพี่ฟง... ข้ารู้สึกว่าจริงๆแล้วเค้าก็ไม่ได้ต้องการคำตอบจากใครหรอก
“ น้องฮุ้ง ท่านฟื้นมานี่ก็สมควรบำรุงร่างกายสักหน่อย ข้าขุดเผือกมาบดต้มผสมกับโสม ท่านกินแล้วจะได้มีเรี่ยวแรงขึ้น ”
“ โสมงั้นหรอ ?... แถวนี้มีโสมด้วยงั้นหรอ ? ”
“ ไม่ใช่แถวนี้หรอก เป็นโสมของข้าเอง ข้าพกติดตัวไว้จำนวนนึงสำหรับขาย
ประทังชีวิต ” พี่ฟงพูดพร้อมกับเปิดย่ามสะพายให้ดู ปรากฎว่าภายในมีโสมคุณภาพดี
อยู่จำนวนมากที่แค่ได้กลิ่นก็รู้สึกโล่งสบายแล้ว
“ ขอโทษท่านด้วยพี่ฟง ข้าให้ท่านช่วยแล้วยังต้องรบกวนใช้ของของท่านอีก
โสมชั้นเยี่ยมนี้ท่านกลับต้องเอามาต้มโจ๊กเผือกให้ข้ากิน ข้าละอายใจจริงๆ ไว้กลับถึงหมู่บ้านเมื่อไหร่ ข้าจะตอบแทนค่าโสมให้ท่านอย่างแน่นอน ”
“ โธ่ น้องท่าน อย่าได้พูดจาทำลายน้ำใจกันแบบนี้สิ โสมเพียงต้นจะเทียบกับชีวิตคนได้ยังไง ข้าเป็นคนปลูกโสมขายอยู่แล้ว เมื่อถึงเวลาก็ท่องเที่ยวเอาโสมไปขาย
ให้พอใช้ชีวิตได้ไม่ขัดสนเท่านั้น มิได้หวังขูดรีดกำรี้กำไรอะไรกับผู้คน น้องชายพูดเหมือนดูแครนข้า เมื่อเห็นว่าโสมบำรุงท่านได้ข้าจึงปรุงให้ท่าน ข้าไม่คิดจะเอาเปรียบจากคนเดือดร้อนเด็ดขาด ”
“ เอ่อ พี่ฟง ข้าขอโทษ ข้าไม่ได้ตั้งใจหมิ่นน้ำใจท่าน หากข้าพูดสิ่งใดพรั้งไป
โปรดยกโทษให้ข้าด้วย ”
พี่ฟงไม่ว่าอะไร ได้แต่ยิ้มน้อยๆ ออกมา ข้าก็ไม่ได้เอ่ยอะไรอีก แต่โสมพวกนั้นแค่ดูก็รู้แล้วว่าแต่ละต้นสูงค่าแค่ไหน กว่าจะปลูกได้แต่ละต้นไม่ใช่เรื่องง่ายๆ
กับคนแปลกหน้าที่ไม่เคยรู้จักกันแต่อย่างใดเช่นข้า พี่ชายท่านนี้กับมอบมันให้ข้าอย่างกับเป็นเพียงเรื่องเล็กน้อย ข้าซาบซึ้งในความใจกว้างและเปิดเผยของพี่ชายตาสีม่วงท่านี้จริงๆ
หากมีโอกาศข้าจะตอบแทนน้ำใจท่านอย่างแน่นอน
ในความเงียบนั้นยังได้ยินเสียงเผือกบดเดือดปุดๆ อยู่ พี่ฟงใช้หม้อและถ้วยชามที่น่าจะยังมีหลงเหลืออยู่ในวัดร้างแห่งนี้มาใช้ประโยชน์ เค้าตักโจ๊กเผือกผสมโสมให้ข้าชามนึง
“ น้องชาย ท่านมีแรงพอจะตักกินเองได้หรือไม่ คือ... ข้ามีเรื่องต้องกระทำ ”
“ ข้างนอกนั้นมืดแล้ว ท่านจะออกไปทำสิ่งใด ? มันอันตรายนะ ” แล้วข้าก็รับถ้วยโจ๊กมา โชคดีจริงๆ ที่แขนข้าไม่เจ็บมาก
“ ข้าปล่อยให้ศพคนพวกนั้นเน่าไปโดยไร้การกลบฝังไม่ได้ ข้าจะไปฝังศพพวก
เค้าให้เรียบร้อย ”
“ ท่านหมายถึงศพโจรชั่วพวกนั้นน่ะหรอ ? ”
“ ใช่... ทุกคนล้วนต้องมีหลุมศพเป็นของตัวเอง ถึงแม้พวกนั้นจะเป็นโจรชั่ว แต่พวกมันก็ตายตกไปหมดแล้ว ถือว่าสิ้นสุดไม่สมควรจองเวรกันอีก
อีกอย่างข้ายังเชื่อว่าไม่มีใครเป็นคนเลวมาตั้งแต่เกิด ตอนนี้พวกนั้นตายก็เหมือนกับตอนเกิด คือไม่สามารถกระทำชั่วได้ ดังนั้นแค่หลุมศพเท่านั้นเอง ถือว่าทำบุญช่วยเหลือผู้ตาย ”
ข้าได้แต่รับฟังอย่างสงบ ถูกของพี่ฟง ข้าไม่มีเหตุผลให้ต้องโต้แย้ง ยังไงซะคนก็ตายไปแล้ว
“ เช่นนั้นให้ข้าช่วยท่านเถอะ ”
“ ไม่เป็นไรน้องฮุ้ง ท่านกินโจ๊กแล้วพักผ่อนเถอะ ”
แต่เพียงแค่พี่ฟงก้าวข้ามธรณีประตูออกไปแค่นั้นเอง พลัน!! มีซุ่มเสียงโหยหวนฟังดูน่าขยักแขยงดังขึ้นให้ได้ยินอย่างชัดเจน
“ บัดซบๆๆๆๆๆๆ ไอ้เดรฉานชั่วตัวไหน บังอาจสังหารศิษย์รักทั้งสิบห้าของข้า ”
น้ำเสียงนี้แฝงไว้ด้วยพลังวัตร การสั่นสะเทือนของเสียงกลับทำให้ใจข้าสั่นไหวตามอย่างช่วยไม่ได้ บ้าที่สุด นี่ข้ากำลังกลัว
เสียงนั้นทำให้โจ๊กที่กระเดือกลงคงไปผ่านลิ้นไปโดยลืมจะรับรู้รสของมัน รู้สึกเหมือนตัวเองลืมหายใจ
“ น้อง ฮุ้ง ตั้งสติดีๆ ไว้ หายใจลึกๆ เสียงนั่นแค่ขู่เท่านั้นมันทำอะไรท่านไม่ได้หรอก แต่ดูท่าทางแขกไม่ได้รับเชิญจะเอะอะเกินไปจริงๆ เฮ้อ~...ใครกันนะ ? ”
น่าประหลาดยิ่ง ทำไมพี่ฟงยังคงความสงบเยือกเย็นได้เพียงนี้ แม้หันหลังให้ข้า
แต่ก็พอจะจินตนาการออกว่า พี่ฟง คงไม่ทำหน้าตาเหลอหลาแตกตื่นเป็นอันขาด
ตึง!!!
ใครบางคนโดดลงพื้นลงมาอย่างแรง มองผ่านแผ่นหลังของพี่ฟงออกไป ปรากฎเป็นชายแก่หลังค่อมงุ้มงอ ไม่สิ มันกำลังค่อยๆ ยืดตัวตรงขึ้นมา
ผมขาวยาวรุงรังที่สยายไปตามลมดูแล้วช่างน่ารำคาญ ใบหน้าเหี่ยวย่นแสดงถึงอายุขัยที่มากโขอยู่ ดวงตามันลอกแลกกลิ้งกรอกไปมา แสดงถึงบุคลิกที่ไม่น่าไว้ใจ
ชายแก่สวมเสื้อผ้าสีหม่นๆที่ส่งกลิ่นสาบน่าเคลื่อนเหียน ดีนะที่ข้างกายข้ามีย่ามใส่ต้นโสมของพี่ฟงอยู่
กลิ่นฉุนของโสมช่วยทำให้ข้าหายใจหายคอได้สะดวกขึ้น
แคร้ง!!!!
ชายแก่โยนบางอย่างลงบนพื้นต่อหน้าพี่ฟง นี่ก็น่าแปลก ดูเหมือนพี่ฟงหาได้สะทกสะท้านกับสิ่งที่เกิดขึ้นเลยแม้แต่น้อย อันที่จริงจะแปลก ก็คงตั้งแต่ที่ข้าบอกว่า
ข้าเป็นผู้สังหารโจรชั่วทั้งสิบห้า พี่ฟงนอกจากจะไม่มีท่าทีตื่นตกใจแล้ว ยังดูเป็นปกติ
จนเหมือนกับไม่ใส่ใจด้วยซ้ำ บางที... พี่ฟงท่านนี้อาจไม่ใช่คนปลูกโสมขายธรรมดา
ซะแล้ว นั่นสิ... คนขายโสมที่พกกระบี่
เอาเถอะ เรื่องนั้นเอาไว้ก่อน ประเด็นตอนนี้คือไอ้บางอย่างที่ชายแก่คนนั้นโยน
ลงพื้นคือดาบใหญ่ของข้าไม่ใช่หรอ?
“ ไอ้ลูกหมาทั้งสอง บอกมา ใครมันเป็นเจ้าของดาบเส็งเคร็งเล่มนี้ ”
หนอย....พ่อเอ็งสิเส็งเคร็งไอ้แก่ ข้าน่ะตีมันขึ้นมาอย่างปรานีต แม้ไม่ใช่ดาบวิเศษวิโสอะไร แต่มันก็เป็นดาบที่ดีนะโว้ย!! นี่ถ้าค่ามีแรงพอจะตะโกนออกไปล่ะก็
ข้าคงตะโกนใส่หน้ามันแบบนี้เป็นแน่ แต่แม้ข้าไม่พูดอะไร พี่ฟงก็เปิดปากแล้ว
“ ผู้อาวุโส... สุขภาพปากเป็นสิ่งสำคัญมีผลต่อบุคลิกภาพ สมควรดูแลให้จงดี มิเช่นนั้นกลิ่นปากจะทำให้ผู้คนเบือนหน้าหนีกันหมด
สำหรับท่านข้าขอแนะนำให้เอาใจใส่อย่างมากๆ สมควรขัดฟันด้วยยางมะละกอ และบ้วนปากด้วยน้ำเกลืออุ่นๆ ”
“ หุบปาก... ไอ้เด็กตาม่วง ใครใช้ให้เอ็งวิภาควิจารณ์ปากของข้า อยากตายเร็วนักใช่มั้ย ? ”
“ อ้าว... ท่านไม่พอใจข้อแนะนำของข้ารึ ท่านไม่ชอบสิ่งใดล่ะ ยางมะละกอ
หรือว่าน้ำเกลืออุ่น เช่นนั้นลองใช้รากไม้ทุบสีฟันหลังอาหารเช้ากลางวันเย็นแล้วตบท้ายด้วยการเคี้ยวใบฝรั่ง จะช่วยให้....”
“ บอกให้หุบปากโว้ย.... หนอย ไอ้ทารกเมื่อวานซืน มิรู้จักพ่อเอ็งซะแล้ว
ทำปากดีต่อหน้าข้า คงไม่รู้สิว่าข้าเป็นใคร ข้ามีฉายาว่าพยายมเดนตาย ท้วง อั้ว
เหอๆๆๆ เป็นไงล่ะไอ้ทารก กลัวจนฉี่ราดเลยล่ะสิ เหอๆๆๆ ”
พอได้ยินชื่อ ข้ายอมรับจริงๆ ว่าตกใจจนหายใจติดขัด ฉายานี้ ชื่อนี้ ข้าได้
ยินมาเนิ่นนาน ตัวชั่วช้าที่แสนจะโหดร้าย มันเป็นจอมสังหารที่ละโมบ บ้ากาม และทำเรื่องเลวร้ายจนเลื่องลือซะยิ่งกว่ากลุ่มโจรปีกอัคคีซะอีก
ย่ำแย่ซะแล้ว รอดชีวิตมาได้กลับต้องมาเจอมารร้ายยิ่งกว่าแบบนี้ ตัวข้าที่สมบูรณ์พร้อมยังไม่แน่ว่าจะเอาชนะมันได้ ไม่สิ แค่คิดจะหนีให้ได้ก็ดูห่างไกลความจริงเต็มที
“ ฉายาอะไร เชยสิ้นดี คิดได้ยังไงเนี่ย ผู้อาวุโส ท่านนี่ขาดศาสตร์และศิลป์ในการใช้คำแน่ๆ เลย หากเป็นข้าล่ะก็นะ หากต้องใช้ฉายาแบบนี้ข้าคงมุดหน้าอยู่ในป่าไปตลอดชีพแน่ ”
น่าน.... ฝีปากร้ายใช่เล่น หากเรื่องกลิ่นปากเป็นการราดน้ำมันเข้าไปในกองไปละก็ เมื่อกี๊พี่แกเล่นซาดดินระเบิดซ้ำลงไปอีก ข้าชักเริ่มหวาดกับการกระทำของพี่ฟงจริงๆ ก็ตอนนี้ไอ้เฒ่า ท้วง อั้ว
มันโกรธจนหน้าเปลี่ยนสีจากซีดเป็นแดงไปซะแล้ว
“ บังอาจ!! ในเมื่องเอ็งรนหาที่ตายเช่นนี้ ข้าก็จะละชีวิตทารกน้อยเช่นเอ็งมิได้แล้ว จงตายตกไปซะ ”
วูบ!!!
“ พี่ฟงระวัง!!! ” ข้าฝืนเจ็บแผลที่อกตะเบ็งร้องเตือนออกไป
กึก!!!
เหมือนเสียงอะไรกระทบกัน พี่ฟงหันหลังให้ข้า ดังนั้นข้าจึงเห็นไม่ถนัด ผู้
มีพระคุณของข้าจะเป็นอะไรรึไม่?!!!
ทว่าผิดคาด!!! เจ้ามารเฒ่าต้องถอยออกไปเป็นหลายก้าว แต่ทางพี่ฟงไม่เคลื่อนย้ายถอยกลับเข้ามาเลยซักก้าว เค้าค่อยๆลดมือลง ข้าถึงกับนัยน์ตาเปิกโพลง
กระบี่ไม่ปลดฝักของพี่ฟงไปอยู่ในมือของเค้าตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?!! ส่วนทางเจ้าเฒ่า
ก็ถึงกับตกตะลึง มันดูมือที่ผอมซีดของมันกำลังสั่นเพราะถูกตีอย่างแรง รอยแดงขึ้นเป็นแนวชัดเจน
“ ผู้อาวุโสอย่าใจร้อน หากข้าพลั้งปากพูดอะไรผิดไป ก็ขอโปรดอภัยให้ข้าด้วย”
คำพูดนั้นสุภาพอ่อนน้อม แต่น้ำเสียงของพี่ฟงกลับแฝงด้วยพลังอย่างประหลาด
อีกทั้งท่าทางก็ดูสง่าผ่าเผย กลับเป็นไอ้เฒ่าแซ่ ท้วง นั่นซะอีกที่แสดงอาการหวั่นเกรงออกมาชั่วขณะหนึ่ง
“ ไอ้ทารกนัยน์ตาม่วง นับว่าฝีมือเอ็งนั้นก็ไม่ใช่ชั่ว พอจะนับเป็นชาวยุทธ์ปลายของปลายแถวอยู่ได้บ้าง จงบอกชื่อเสียงเอ็งมา ”
“ ข้าไม่ใช่คนมีชื่อเสียงอะไร ไม่จำเป็นต้องใส่ใจความเป็นมาหรอก เอาอย่างนี้แล้วกัน ผู้อาวุโส ข้ามีโสมหายากอยู่นิดหน่อย ข้าจะให้ท่านเป็นการขอคมา
ถือว่าเลิกแล้วต่อกัน ต่างคนต่างไปไม่ยุ่งเกี่ยวกันท่าเห็นว่าเป็นยังไง ”
“ ฮ่า โสมหายากงั้นรึ ดี... ดีจริงๆ โสมนั่นข้าต้องเอาอยู่แล้ว และข้าก็จะฆ่าเอ็งด้วย ย๊ากกกกก !!! ”
มารเฒ่าซัดผ่ามือมาอย่างเร่งร้อน แต่แทนที่พี่ฟงจะหลบ เค้ากลับฟุ่งตัวออกไปหามันตรงๆ
“ โอ๊ยยยยยยยยย!!!! ”
เสียงร้องโหยหวนแหบพล่า ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าเจ้าเฒ่าคงโดนเข้าอีกแล้ว ข้าทั้งตื่นแต้น ทั้งตระหนก ความเจ็บปวดต่างๆ ถูกลืมเลือนจนหมดสิ้น ความอยากรู้ทำให้ข้ากระเสือกกระสนลุกขึ้นไปดูที่ประตู
!!!! สิ่งที่เห็นตรงหน้าสมควรให้ข้าตื่นเต้นดีใจแล้วจริงๆ ภาพเจ้ามารเฒ่าเอามือกุมไหล่ขวาที่สั่นเทา มันน่าสะใจสุดๆ ดูท่ามันจะเจ็บปวดน่าดู พี่ฟงทำอะไรลงไปนะ
ดูเค้านิ่งเฉยยืนตรงๆ ไม่ได้มีการตั้งท่าอะไรเป็นพิเศษ
“ ข้าให้โอกาศท่านแล้ว กลับไม่ยอมรับ ทำไมไม่ถนอมชีวิตที่เหลือเอาไว้ กลับมาเร่งร้อนก่อกรรมเช่นนี้ ท่านต้องอายุสั้น ”
“ ไอ้เด็กบัดซบ พ่นน้ำลายพอรึยัง เห็นข้าไม่เอาจริงก็อย่าเพิ่งได้ใจ เอ็งใช่มั้ย
ที่เอาชีวิตลูกศิษย์ของข้า ”
ถึงตรงนี้ข้าจึงโพล่งแทรกขึ้น “ เฮอะ... ก็กะอยู่แล้ว พ่อแม่ของสุนัขไฉนจะไม่เป็นสุนัขไปได้ล่ะ ฟังนะไอ้เฒ่าชั่ว อย่าไปใส่ร้ายคนอื่น
ดาบเล่มนั้นเป็นขอข้าเองโว้ย คนจริงกล้าทำกล้ารับไม่โยนบาปให้คนอื่น และคนที่แพ่งกระบาลลูกศิษย์ของเอ็งก็คือข้าคนนี้ ไม่ต้องให้คนอื่นเดือดร้อนแทนข้า ถ้าจะเอาเรื่องก็มาเอาเรื่องที่ข้าคนนี้นี่ ”
“ ที่แท้เป็นเอ็งไอ้เด็กชั่ว !!! ตายซะเถอะ ”
สวรรค์ช่างทำให้ข้าตกใจซ้ำซ้อนจริงๆ มารเฒ่าพุ่งผ่ามือคู่มาที่ข้าในพริบตา ไม่ทันได้ตั้งตัว !!! นี่ข้าต้องตายที่นี่หรอเนี่ย....
!!!! .......
.............
............. ข้ายังไม่ตาย สวรรค์โปรด ข้ายังไม่ตายจริงๆ ฝ่ามือเจ้าเฒ่าห่างหน้าของข้าไปแค่หุลเศษๆ มันสะดุดอะไรรึไง เปล่าหรอก... กระบี่ทั้งฝักของพี่ฟงลั้งตัว
เจ้าเฒ่าไว้ คมกระบี่คงจะบาดคอมันไปแล้ว ถ้าหากพี่ฟงปลดมันออกจากฝักละก็นะ ท่าทางมารร้ายจะตกใจกว่าข้าซะอีก หน้ามันยิ่งซีดเห็นเม็ดเหงื่อค่อยๆไหลลงอย่างชัดเจน
มันคงจะตกใจมากความเร็วระดับนี้บางทีมันอาจไม่เชื่อว่าจะมีคนตามมันทันในพริบตา ข้าเองก็ตะลึง ข้าน่ะมองไม่ทันด้วยซ้ำว่าพี่แกมาตอนไหน
“ มารร้าย รู้ไว้ด้วยว่าโลกนี้มันพัฒนาไปแค่ไหนแล้ว วิทยายุทธทั่วหล้าล้วนพัฒนาไม่จบสิ้น เจ้ามัวแต่หมกตัวทำชั่วไม่มองดูโลก คิดว่าวรยุทธที่เจ้ามีมันสูงล้ำนักรึไง ”
พูดไม่พูดเปล่า พี่ฟงตวัดกระบี่ทีเดียว ร่างเจ้ามารเฒ่าราวถูกกระแทกกระเด็นลอยไปอย่างแรงจนหลังกระแทกกับต้นไม้ใหญ่กระดอนลงดินอย่างทุลักทุเล
โดยมีใบไม้แห้งยามราตรีร่วงลงมาเป็นฉากหลัง ดูไปก็ขบขันไม่น้อย
ใบหน้าที่พี่ฟงอบรบมันเมื่อกี๊ดูขึงขังผิดจากที่เคยเห็น ชักอยากรู้ซะแล้วสิ ว่าพี่ชายท่านนี้เป็นใครกันแน่
พรวด!!! มารเฒ่าลุกขึ้นมาบรรยากาศดูเปลี่ยนไปในบัดดล ข้ารู้สึกเหนียวหนืดในลำคอ เหมือนอากาศรอบด้านถูกอัดแน่นจนหายใจลำบาก จะว่าไป
ประกายตาของมารเฒ่าดูน่ากลัวกว่าที่ผ่านๆ มา ประกายคาวาวโรจที่แฝงแววแค้นจับใจ
“ ไอ้พวกเด็กชั่ว ทำให้ข้าต้องใช้กำลังเต็มพลังจนได้ พวกเอ็งต้องแหลกเหลว
จำซากศพไม่ได้ ”
ขนลุก น้ำเสียงช่างน่าขยักแขยงจริงๆ รู้สึกได้เลยว่ามันทำอย่างที่พูดได้แน่นอน
“ พลังวัตรมากมายจริงๆ ขืนเข้าไปฟันสุ่มสี่สุ่มห้า มีหวังถูกพลังกระแทกตีกลับมาสาหัสแน่ๆ ข้าคงต้องรับมืออย่างจริงจัง ”
ถึงจะพูดแบบนั้นแต่พี่ฟงก็ยังดูสงบเยือกเย็นอยู่ดี ไม่รู้สิ... ทั้งๆที่สถานการณ์ล่อแหลมแบบนี้ แต่ข้าเองกลับรู้สึกได้ว่า ข้าไม่ตายแน่ๆ ใช่... มั่นใจเลยล่ะ
อาจเป็นเพราะ ข้ารู้สึกได้ว่า เจียง ฟง ผู้ช่วยชีวิตข้าไว้ ต้องเก่งกว่ามารแซ่ ท้วง แน่ๆ
ย๊ากกกกกก !!!
ไอ้มารเฒ่าหาได้พุ่งเข้าโจมดีเร่งร้อนเกินกว่าสายตามองเห็น ทั้งข้า และพี่ฟง
เห็นการเคลื่อนไหวของมันอย่างชัดเจน เพียงแต่นนั่นก็ยังรวดเร็วเกินกว่าที่ข้าจะทำอะไรได้ทันอยู่ดี
“ ในเมื่อไม่สำนึกก็จงรับกรรมไปซะ ”
ควั่บ !!!
พี่ฟงแทงกระบี่ทั้งฝักออกไปแล้ว นี่สิถึงจะเรียกว่าเร็ว ออกอาวุธทีหลังแต่ถึงก่อน อันที่จริงมันเร็วมากจนข้ามองไม่เห็นหรอก
ข้ามองเห็นตอนที่ออกกระบวนท่าเสร็จสิ้นแล้ว กระบี่ทั้งฝักทิ่มสวนเข้าที่ไหล่ขวา แรงปะทะยังคงทำให้มันถอยไปอีก
แต่มันฝืนตัวไว้ไม่ให้ล้มเสียงกระดูกหักกร๊อบแกร๊บลั่นไม่หยุด แต่ยังไม่จบ พี่ฟงจู่ๆ ไปโผล่ตรงหน้าของมันตั้งแตเมื่อไหร่ไม่ทราบได้ พริบตานั้นมารเฒ่าราวกับเห็นผี แววตามันแสดงความกลัวอย่างสุดขีด
ในพริบตาเดียวกันพี่ฟงแสดงกระบวนท่างัดกระบี่จากล่างขึ้นบนทะยานขึ้นราว
วิหคราตรีทะยานฟ้า ปลายคางเจ้ามารชั่วหงายชี้ฟ้าตามแรงกระบี่โดยแรงจนตัวมันถึงกับลอยขึ้นตาม ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมากจนมันร้องครวญครางออกมาไม่ทัน ไม่สิ
มารเฒ่าโดนโจมตีที่คางแบบนี้คงยากจะร้องออก ถ้าข้าดูไม่ผิดข้าว่าข้าเห็นฟันมันกระจายออกมาหลายซี่ด้วยซ้ำ
ตุ้บ!!!
ร่างมารเฒ่าตกลงพื้นอย่างหมดสภาพ แขนขวามันไร้เรี่ยวแรงท่าทางกระดูก
หัวไหล่คงแตกละเอียด โครงหน้ามันบิดเบี้ยวจนดูไม่รู้ว่าเป็นคนคนเดียวกันกับที่พบตอนแรก ตัวมันสั่น หายใจติดขัดจนเห็นได้ชัด ในขณะที่พี่ฟงลงมายืนอย่างสง่าดังเดิม
แต่นึกไม่ถึง เจ้าเฒ่ายังพยายามลุกขึ้นอย่างทุลักทุเล ดูเหมือนมันจะพยายาม
ผนึกลมปราน บ้าไปแล้ว? ดูก็รู้ว่าฝีมือห่างกันมากมันยังคิดจะสู้อีกงั้นหรอ?
ย๊ากกกกกกก!!!
มารชั่วตะโกนก้องทำท่าจะพุ่งเข้ามา!!!!! ทว่า!!!! มันกับเร่งร้อนพุ่งไปอีกทาง
มันหนีไปด้วยวิชาตัวเบาที่นับว่าเร็วพอตัว
“ พี่ฟง ไม่ตามไปจัดการมารชั่วนั่นล่ะ”
“ เฮ้อ... ไม่ล่ะ ข้าไม่อยากฆ่าใครโดยไม่จำเป็น เพียงแค่นี้มันคงสำนึกได้บ้างแล้ว หากมันยังก่อกรรมอีก สวรรค์ต้องลงโทษมันเอง ”
ในเมื่อพี่ฟงไม่คิดจะฆ่ามัน ข้าก็ไม่มีสิทธิ์คาดคั้นเค้า ข้าจึงไม่พูดเรื่องนี้อีก
................................................
เมื่อหมดเรื่องแล้วพี่ฟงก็พยุงเข้ามาในวัด พี่ฟงเพียงแค่ดื่มน้ำแก้กระหายเท่านั้น ไม่สิ ลงมือไปขนาดนั้นเค้าต้องเหนื่อยมากแน่ๆ
“ พี่ฟง ท่าน.... เคยเอาชีวิตใครรึเปล่า? ” เมื่อฟังคำถามข้า พี่ฟงก็นิ่งเงียบไปหลาบอึดใจ นี่หรือว่าข้าทำให้เค้าโกรธซะแล้ว
“.......................”
“.......................”
“ เฮ้อ.... มากมายนัก ”
“ งั้นหรอ? ... ท่านคงรู้สึกแย่เหมือนกัน ”
“ ใช่ แต่รู้สึกแย่ก็ยังดีกว่า หากฆ่าคนโดยมิรู้สึกรู้สาอะไร นั่นย่อมไม่ใช่คน แต่เป็นสัตว์โลกที่อาศัยสัญชาตญาณเท่านั้น ข้าว่าข้ายังต้องการรับรู้ว่าข้าเป็นคนที่มีเลือดเนื้อและจิตใจ ”
“ ข้าเห็นด้วยนะ ข้าก็ว่ารู้สึกแย่ยังดีซะกว่า ”
“ แต่ในยุทธภพก็มีเหตุจำเป็นหลายอย่าง ดังนั้นข้าจึงบอกกับตัวเองเสมอว่า
เมื่อหลีกเลี่ยงไม่ได้จริงๆ ตอนนั้นค่อย....”
คำต่อไปแม้ไม่พูดออกมาแต่ข้าก็เข้าใจ ดูเหมือนข้าได้ซึมซับความเป็นชาวยุทธมาจากพี่ฟงท่านนี้ ไม่รู้ทำไม แต่ดูเหมือนเราจะพูดจากันถูกคอ
พวกเราเจรจากันอยู่หลายเรื่องอย่างออกรส จนรู้สึกว่ามันดึกแล้ว พี่ฟงจึงให้ข้าพักผ่อน ส่วนเค้าเองก็ขอตัวไปฝังศพ โดยขอยืมดาบใหญ่ของข้าต่างพลัว
จนเวลาผ่านไปนานแค่ไหนไม่รู้ ความเจ็บระบบทำใหก้ข้าหลับๆตื่นๆ รู้สึกแย่ชะมัด...พี่ฟงยังคงไม่กลับมา รู้สึกนี่เป็นคืนที่น่าเบื่อจริงๆ ทั้งที่เพิ่งผ่านเรื่อง
น่ากลัวถึงขั้นเป็นตายมาไม่นาน แต่ความสงัดเงียบแห่งราตรีกลับทำให้รู้สึกว่าเรื่องทั้ง
หมดนั้นราวกับโกหก
พูดถึงการต่อสู้กันที่ผ่านมานั้น จำได้ว่าพี่ฟงไม่ชักกระบี่ออกจากฝักด้วยซ้ำ ว่า
แล้วก็หยิบกระบี่ของเค้าขึ้นมาดู ทันทีที่ดึงออกมาจากฝักเท่านั้นแหละ
โอ้..... นี่สิ เส็งเคร็งของจริง!!!
ไอ้ของพรรนี้เรียกเป็นกระบี่ไม่ได้แล้วมั้ง เศษเหล็กสนิมเขรอะนี่ชักออกมาจากฝักทีงี๊สนิมร่วงกราว ไม่เท่านั้น รอยแตก บิ่น และร้าว
แสดงความทุเรศของตัวมันเองออกมาอย่างโจ่งแจ้ง ให้ตายสิไม่ว่ามองยังไงก็หาส่วนที่มันเป็นคมกระบี่ไม่เจอเลย เอ่อ
ก็ใช่อยู่หรอก ไอ้เศษเหล็กนี่มันแบน แต่ส่วนที่น่าจะเป็นคมน่ะ ข้าลองเอานิ้วถูดู มันเล่นบิ่นคานิ้วข้าเลย อึ่ม.... เข้าใจล่ะที่แท้ที่พี่ฟงไม่ยอมปรดกระบี่จากฝักเพราะแบบนี้นี่เอง
ตอนแรกข้าหลงคิดว่าเค้าไม่ปรดฝักกระบี่เพราะต้องการเพิ่มน้ำหนักในการโจมตี
ซะอีก ที่แท้ขีนปลดฝักออกไปล่ะก็... แค่ฟันถูกผิวหนังกระบี่ก็หักแล้วมั้ง ไม่สิ ข้าว่ามันคงแตกเป็นเสี่ยงๆ ไปเลยต่างหาก
ฮึ่ย... ไม่รู้จะสรรคหาคำพูดไหนมาอธิบายไอ้กระบี่เล่มนี้แล้ว อ้อใช่...
สับประรังเค คำนี้แหละเหมาะเลย ....ใช่แล้ว นึกออกแล้ว สิ่งแรกที่ข้าจะตอบแทนให้พี่ฟงได้ ข้าว่าข้าจะตีกระบี่ให้พี่แกใหม่ซักเล่มดีกว่า เห็นแล้วสักดิ์ศรีช่างตีเหล็ก
เดือดปุดๆ เลย
.................................................
วันรุ่งขึ้นเสียงนกร้องจิ๊บๆ ปรุกให้ข้าตื่น อันที่จริงก็ไม่ค่อยได้หลับหรอก พี่ฟง
กับเข้ามาตอนก่อนฟ้าสางไม่นาน เค้านั่งพิงเสาอีกฝั่ง ถึงแม้จะหลับตาแต่ทว่าเค้าหลับ
ได้จริงๆ น่ะหรอ
“ น้อง ฮุ้ง หมู่บ้านท่านอยู่ใกล้ๆ ที่นี่ใช่มั้ย? ”
“ ใช่พี่ฟง ลงเนินแล้วไปทางตะวันตกอีกเล็กน้อย ”
“ หมู่บ้านของท่านคงมีหมอใช่มั้ย? ”
“ ย่อมมีแน่นอน เฮ้อ... ต้องรบกวนพี่ท่านอีกแล้ว ขอโทษด้วย ”
“ ไม่เป็นไรหรอก แค่นี้เอง การปฐมพยาบาลเบื้องต้นน่ะยังไม่พอหรอก ท่านสมควรต้องไปหาหมอให้รักษาอย่างถูกวิธี ท่านบอกทางให้ข้าด้วยแล้วกัน ข้าจะแบกท่านไปเอง ”
“ ขอบคุณพี่ฟง แต่ไม่จำเป็นต้องเข้าไปถึงหมู่บ้าหรอก มี่ที่ที่นึงข้าอยากให้ท่านพาไป ไปถึงที่นั่นแล้วก็ปลอดภัยเหมือนกัน แล้วจากนั้นค่อยเรียกท่านหมอก็ยังไม่สาย ”
“ ได้สิ เอาล่ะท่านค่อยๆ ลุกขึ้นนะ ”
ว่าแล้วพี่ฟงก็เอาเศษผ้าในวัดมัดดาบไว้กับตัวข้า แล้วก็แบกข้าขึ้นหลังเหมือนเป็นสำภาระ
ขณะออกจากวัดร้าง พี่ฟงหันมาคารวะให้กับวัดร้างอีกครั้งที่เมื่อคืนได้อาสัยหลับนอน ตรงนี้เองข้าจึงสังเกตเห็นเรื่องนึง
“ พี่ฟง การที่เรามาพบกันและท่านช่วยข้าไว้ทั้งที่เราไม่รู้จักกัน คงเป็นโชคชะตา ท่านเชื่อเรื่องโชคชะตาหรือไม่ ” พูดไปพลาง
ข้าก็ชี้ป้ายชื่อวัดร้างบนเนินแห่งนี้ให้พี่พงดู มันเป็นป้ายไม้เก่าๆ แต่ล่องรอยสลักก็ยังเห็นได้อย่างชัดเจน บนป้ายสลักไว้ว่า ฟงยี่ ( วาตะอาราม )
“ อืม.... นั่นสิ นี่ก็คงเป็นโชคชะตาจริงๆ ” ฟังน้ำเสียงแล้วท่าทางพี่ฟงจะสดชื่น ( เค้าแบกข้าอยู่ ข้ามองไม่เห็นหน้าเค้าหรอก )
“ ฮ่ะๆๆๆๆ ดี ต่อไปนี้ข้าจะเรียกท่านว่า เจียงฟงยี่ซะเลยดีมั้ย? ”
“ โธ่ น้อง ฮุ้ง อย่าล้อข้าเล่นเลย ข้าตัวนิดเดียวจะกลายเป็นวัดทั้งวัดได้ยังไงกัน ”
ทั้งข้าทั้งพี่ฟงหัวเรากันร่วน รู้สึกดีจริงๆ ที่ได้พบพี่แก ข้าว่าพี่ฟงต้องเป็นจอมยุทธมี่ชื่อแน่ๆ แต่แปลก ทำไมข้าไม่เคยได้ยินชื่อจอมยุทธชื่อ เจียง ฟง มาก่อนเลย
มีฝีมือขนาดนี้ต้องไม่ใช่อยู่ๆ ก็โผล่มาแน่ๆ หรือจะเป็นพวกชอบเร้นกาย
“ ขอโทษด้วยพี่ฟง ท่านพอจะบอกได้มั้ยว่าท่านเป็นใครกันแน่ ? ”
“ บอกไปแล้วไม่ใช่หรอ ข้า เจียง ฟง เป็นคนปลูกโสมขาย ไม่มากไม่น้อยไปกว่านั้น ”
แล้วในระหว่าเดินทางเราก็ไม่ได้เจรจากันอีก ในเมื่อพี่ฟงประกาศตัวไปว่าอย่างนั้น ข้าก็ไม่อยากเซ้าซี้
ระหว่างเดินทาง ก็ไม่ได้เงียบอะไรมากหรอก รอบด้านได้ยินเสียงนกร้องไม่หยุด ราวกับเนินลูกนี้กำลังพูด แต่แล้วพี่ฟงก็เอ่ยปากออกมาก่อน
“ น้อง ฮุ้ง ท่านจะให้ข้าไปทางไหนต่อ ? ”
“ ทางไหนน่ะหรอ?...”
ข้าอาจจะเจ็บจนเพี้ยนไปแล้วก็ได้นะ บาดเจ็บขนาดนี้แต่ที่ที่ข้าคิดจะไปกลับไม่ใช่โรงหมอหรือบ้านตัวเอง เอาน่า... ไหนๆ ก็รอดชีวตมาแล้ว
ขอไปเจอให้หายคิดถึงหน่อยเถอะ แน่นอนที่ที่ข้าอยากจะไปคือบ้านของหยินเอ๋อ
...........................................................
ความคิดเห็น