ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    มรรคบู๊ ตะลุยบู๊ลิ้ม ภาคกระบี่พเนจร

    ลำดับตอนที่ #2 : ฟงยี่ (วาตะอาราม ) กับ กระบี่สัปรังรังเค

    • อัปเดตล่าสุด 4 มี.ค. 51


                                                                                                                                                                                                                                                                                      
          ตอนที่ 2 
                    ฟงยี่ (วาตะอาราม)  กับ  กระบี่สับปะรังเค

                   ที่ไหนเนี่ย  ?  มืดจัง  หรือว่าจะเป็นโลกหลังความตาย...  แต่แปลกแฮะ  ทำไมไม่เห็นมียมทูตรหรือทางเดินไป “ปรภพ”เลย  ที่สำคัญทำไมได้กลิ่นสมุนไพรฉุนนักนะ
                   จำได้ว่า...หลังจากขอความช่วยเหลือจากชายแปลกหน้าแล้ว....อ๊ะใช่  หลังจากนั้นข้าก็วูบไปเลย  แล้ว...นี่ข้าตายแล้วหรอ ? 
                เมื่อความมืดปกครุมรอบด้านทำให้ข้ากระวนกระวายใจยิ่งนัก  ความคะนึงหาอาลัยต่าง ๆ  วิ่งเข้ามาในหัวข้า  รวดเร็วราวม้าศึก  มากมายปานใบไม้ในป่า ตอนที่ 2                                                                                                                                                                                                                                                                                                      
     พลั่งพลูดั่งแรงดันน้ำพุร้อนจากผืนพิภพ  ว่ากันว่าคนกำลังจะตายนั้นจะเห็นภาพต่าง ๆ ในชีวิต ตั้งแต่อดีตเป็นฉาก ๆ ไป  ถ้าเป็นเช่นนั้นจริง  ข้าก็อยากจะเห็นภาพในอดีต 
    ของข้ากับหยินเอ๋อ  ตั้งแต่เด็ก  จนภาพสุดท้ายที่นางเดินกลับบ้านไป 
                 แย่จริง ๆ ทั้งที่สาบานกับตัวเองไว้แล้วว่านั่น  จะไม่ใช่ภาพสุดท้ายที่ข้าจะเห็นนาง   ข้ามันไม่เอาไหน  ข้าจะไม่ได้พบนางอีกแล้ว  พอคิดถึงตรงนี้แล้ว  มันยิ่งกว่าคะนึงหา 
    ความเหงา  ความเศร้า  ความคิดถึง และความรู้สึกที่ยากจะอธิบายอีกหลาย ๆ อย่าง  มากมายมหาศาล  ประดังเข้ามาราวเขื่อนแตก  ทำใจไม่ได้จริง ๆ ข้าไม่อยากตายไปทั้งอย่างนี้  !!!
               ข้าจมอยู่กับความเสียใจนานแค่ไหนไม่อาจรู้ได้  แต่ว่าข้ารู้ว่านาน  ใช่นานขนาดนี้แต่กลับไม่เห็นมียมทูตรหน้าไหนมารับตัวข้าเลย...  “มันยังไงกันแน่นะ  ยังไง ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ” 
    วูบ ! หลังจากคิดอยู่นานพลันปรากฏแสงนวลขาว ค่อย ๆ  ลอยผ่านข้าไป  ช่างดึงดูดสายตายิ่งนัก  ข้ามองตามแสงนั้นไป  “อ๊ะ”!!!!  ข้าหลุดอุทานออกมา 
               รอบด้านจากที่เคยมืดมิด  พลันสว่างขึ้นตั้งแต่เมื่อใดไม่ทราบได้
    แม้ไม่ใคร่เข้าใจนัก  แต่บัดนี้ดูเหมือนข้าจะมายืนอยู่ตรงหน้าหลุมฝังศพของอาจารย์  โอ้...ท่านอาจารย์  ข้าคิดถึงท่านจริงๆ  ดวงวิญญาณท่างจะรู้รึไม่นะว่า... 
    ลูกศิษย์คนนี้ได้ทำในสิ่งที่ท่านได้มุ่งหวังแล้ว  ข้าได้ผดุงคุณธรรมขจัด
    สิ่งเลวร้าย  แม้ผลสุดท้ายข้าจะต้องตายก็ตาม  แต่ข้าก็ได้พยายามทำอย่างที่สุดแล้ว  ไม่มีสิ่งใดค้างคาใจอีกแล้ว...
               “ ไม่มีสิ่งใดค้างคาใจแล้วจริงน่ะหรอ ?”......
                !!!!
               “ เสียงนี้....  เสียงของอาจารย์ !!?  ใช่... เสียงของท่านจริงๆ
    อาจารย์  อาจารย์ครับ  นั่นท่านใช่มั้ย?  ท่านมารับข้าใช่มั้ยครับ  ท่านอยู่ไหน ? ”
               “ ลูกฮุ้ง...  เอ็งพอใจที่จะจบชีวิตเพียงเท่านี้เช่นนั้นรึ ? ไม่มีสิ่งใดติดค้างในใจแล้วจริงน่ะหรอ ?”
               “ ท่านอาจารย์  ข้า....”
               ข้าพยายามมองหาท่าน  ทว่าก็ไม่พบแม้เงาของใครเลย  แต่ที่ยิ่งกว่านั้น  คำถามที่ข้าได้ยินมันทำให้ข้ารู้สึกเหมือน อก ตัวเองกวงโบ๋
    บรรยายไม่ถูกจริงความหนาวเหน็บนั้นที่วูบขึ้นมาในบัดดล
                ข้าน่ะ...  จริงๆแล้วไม่มีอะไรค้างคาใจ...  จริงๆน่ะหรอ?
                 “ ความเลวร้ายที่ยังคงอยู่ในโลกนี้ล่ะ?” ข้าถามตัวเอง
                 “ ข้าทำดีที่สุดแล้ว  คงมีคนรุ่นหลังที่สานต่อเจตคติแห่งความถูกต้องให้ดำรงไว้ได้  ดังนั้นตอนนี้...ช่างมัน...”
                 “ แล้วครอบครัวเจ้าล่ะ?” ข้า...ถามตนเอง
                 “ เจ่เจ้คงดูแลท่านพ่อและท่านน้าได้  กิจการของทางบ้าน เจ่เจ้ ก็ดูแลเรื่องต่างๆได้ดีกว่าข้า  คงไม่มีอะไรต้องห่วงแล้ว...”
                  “ แล้ว...ตัวเจ้าล่ะ?” ข้า...ถามตนเอง
                  “ ช่างมัน...  พี่ชายนัยน์ตาสีม่วงคนนั้นท่าทางเป็นคนดี  เค้าคงช่วยกรบฝังกายข้าไม่ให้ทุเรตแก่ฟ้าดิน”
                   “ แล้ว....  หยินเอ๋อ ล่ะ? ข้า....ถาม.....ตนเอง
                   “................  นั่นสิ...หยินเอ๋อจะเป็นเช่นไรต่อไป  หากสิ้นท่านน้าเหมี่ยวแล้ว  นางก็เหลือตัวคนเดียว  ใครจะดูแลนาง  นางจะอยู่ยังไง  นางจะ
    มีคู่ครองที่ดูแลนาง  รักนาง  ห่วงใยนาง  อย่างที่ข้ารักนางรึเปล่านะ...........
    ช่าง.....ช่าง......     ช่างไม่ไไไไไไได้!!!!!! ไม่ๆๆๆๆๆๆ  ใครจะยอมปล่อยให้ชีวิตหยินเอ๋อเป็นไปตามยะถากรรม  ไม่ได้จริงๆ ข้าจะมาตายอยู่ที่นี่ไม่ได้
    ข้าต้องไม่ตาย....
                      วูบ.....
                      กระแสลมอบอุ่นพัดมาวูบหนึ่งจากด้านหลัง  รู้สึกตัวอีกทีฝ่ามือหนึ่งก็จับไหล่ข้าไว้อย่างแผ่วเบา  สัมผัสที่อบอุ่นนี้ข้าจำได้ไม่มีวันลืม  ท่านอาจารย์ 
                      “ ลูกฮุ้ง  ชีวิตเป็นสิ่งสูงค่า  หากยอมตัดใจตายง่ายๆ โดยไม่พยายาม ย่อมไม่ใช่วีรบุรุษ  นี่ยังไม่ถึงเวลาของเอ็ง  จงกลับไปเถอะ”
                      เป็นเสียงของอาจารย์จริงๆ ข้าดีใจยิ่งนักทันทีที่จะหันไปมอง  แสงสว่างวูบขึ้นต่อหน้า......
                      ...................
                      ...................  ที่ไหนเนี่ย ?...

                “ อ๊ะ !! น้องชายท่านได้สติแล้ว”
                อะไรกัน... ข้างงไปหมดแล้ว  เบื้องหน้าข้าหาได้เป็นหลุมศพของอาจารย์
    และไม่ได้เป็นความมืดสุดลึกล้ำอีกต่อไป  หากแต่สิ่งที่ประจักต่อสายตาข้าคือ...หลังคา
    ใช่...มันเป็นหลังคา  ดูยังไงมันก็เป็นหลังคา
                “ ดีจริงๆ ร่างกายของท่านนี่ช่างมีพลังชีวิตที่เข้มเข็งอย่างมาก  ข้าพอจะรู้เรื่องการแพทย์อยู่เพียงเล็กน้อย  หลังจากทำแผลให้ท่านแล้วยังกลัวอยู่เลย  ว่าท่านจะทนพิษบาดแผลไม่ไหว”
                 อ้อ... เข้าใจแล้ว  ข้านอนหงายตัวตรงอยู่บนพื้นนี่เอง  พี่ชายตาสีม่วงคงช่วยข้าไว้  เหลือบซ้ายแลขวาดูเท่าที่ข้าพอมีแรง  ท่าทางที่นี่คงเป็นวัดร้างที่อยู่บริเวณเนินแน่ๆ แล้ว  โอ้.... อาจารย์ครับ 
    หยินเอ๋อ  เจ่เจ้  ข้าดีใจจริงๆ ที่ยังมีชีวิตอยู่
                 ข้างๆ กายข้า  พี่ชายตาสีม่วงก่อกองไฟเหมือนจะต้มอะไรอยู่  มันจะว่าหอมก็หอม  จะว่าฉุนก็ฉุน  ข้าพยายามพยุงกายลุกขึ้นแต่มันไม่ไหวจริงๆ  แผลคงอักเสบ  เจ็บ
    มากจนร้องไม่ออกต้องทรุดตัวลงนอนอีก
                 “ อ้าวสหาย  อย่าเพิ่งรีบลุกขึ้นมาสิ  เดี๋ยวแผลจะเปิดนะ  มา...ข้าช่วยพยุง”
                 ยังดีที่บริเวณนั้นมีเสาต้นใหญ่ให้ข้านั่งพิงได้พอดี  เพิ่งได้สังเกตตัวเอง  ดูจากบริเวณที่พันผ้าพันแผลเอาไว้  ดูท่าบาดแผลในตัวข้าคงมากกว่าที่ข้าคิด 
    แต่บาดแผลพวกนี้ถูกปฐมพยบาลอย่างดี  พี่ชายท่านนี้คงมีความชำนาญไม่น้อยเลย
                 “ ผู้มีพระคุณ  ข้าขอขอบคุณท่านมาก  ชาตินี้ข้าจะไม่ลืมพระคุณที่ช่วยชีวิตของข้าเลย”  ไม่อยากเชื่อเลยว่านั่นเป็นเสียงของข้า  มันแหบพล่าและสั่นเครือซะจนตัวข้าเองยังจำไม่ได้
                 “ ไม่เป็นไรมิได้สหาย  เรื่องแค่นี้อย่าถือเป็นบุญคุณเลย  เห็นคนเดือดร้อนแล้ว
    หากอยู่ในวิสัยที่ช่วยได้  ย่อมต้องช่วยเป็นธรรมดา  อ้อ อย่าได้เรียกข้าว่าผู้มีคุณเลย ฟัง
    ยังไงชอบกล  ข้าแซ่ เจียง  ชื่อ ฟง ( ลม )  เรียกข้าว่า ฟง เฉยๆ ก็ได้ ”
                 พี่ฟง ผู้นี้วางตัวสงบเสงี่ยมเยือกเย็น  น้ำเสียงแจ่มใสไม่กระโชกโฮกฮาก  แต่นัยน์ตาดูแผงแวโศกไว้ลึกๆ ไม่รู้ว่าในชีวิตผ่านพบประสบการณ์เช่นใดมา
                 “ ไม่ได้สิพี่ฟง  บุญคุณย่อมเป็นบุญคุณ  ชีวิตเป็นสิ่งประเมิณค่าไม่ได้  ท่านช่วยให้ช้าพ้นจากความตาย  ข้าย่อมเป็นหนี้ชีวิตท่าน  ข้าโปย ฮุ้ง ไม่ใช่คนรักตัวกลัวตาย 
    ขอเพียงท่านเอ่ยปากมาข้ายินดีบุกน้ำลุยไฟตอบแทนท่านแม้ตายก็ไม่หวั่นเกรง”

                   “ น้องฮุ้ง  ท่านเพิ่งกล่าวว่าชีวิตนั้นประเมินค่ามิได้  ในเมื่อลอดพ้นจากความตายมาได้  เหตุใดยังจะเอาชีวิตไปทิ้งซะล่ะ? ”
                   ............  จริงอย่างที่พี่ฟงพูด  แย่จริงๆ ข้านี่พูดอะไรไม่ยั้งคิด  ข้าเพิ่งยินดีที่ยังไม่ตาย  ยินดีที่จะได้พบหยินเอ๋ออีก  แต่กลับพูดจาราวกับจะทิ้งชีวิต  เฮ้อ....ช่างน่าละอายใจจริงๆ
                     “ ขอโทษด้วยพี่ฟง  ข้าพลั้งปากไป”
                     “ ไม่เป็นไรหรอก  หากต้องการตอบแทนท่านจริงๆแล้วล่ะก็  จงใช้ชีวิตที่ข้าได้ช่วยไว้เพื่อคนที่ท่านรักและครอบครัวของท่านให้จงดีเถอะนะ”
                     ไม่รู้ข้าคิดไปเองรึเปล่า  ท้ายๆประโยคนี้ฟังดูเศร้าสร้อยยังไงชอบกล  ใบหน้าที่ยิ้มออกมานั้นเป็นการฝืนยิ้มรึเปล่านะ
                     “ พี่ฟง ข้าหมดสติไปนานแค่ไหนแล้ว ? ”
                     “ หนึ่งวัน”
                     “ ตอนนี้ทางบ้านคงเป็นห่วงข้าแย่แล้ว  อาจจะคิดว่าข้าถูกพวกมันฆ่าไปแล้วก็ได้ ”
                     “ พวกมัน ?...  ศพที่อยู่บนเนินนั่นท่านเป็นคนสังหารหรอ ? ”
                     “ กล้าทำต้องกล้ารับ  ใช่  ข้าเป็นคนสู้กับพวกมันแล้วกำจัดโจรชั่วพวกนั้นเอง ”
                     “ โจรชั่วงั้นรึ อืม... คนพวกนั้นมีสิบห้าคน  น่ากลัวจะเป็นพวกโจรปีกอัคคีที่ลือกันอยู่ใช่รึไม่ ? ”
                     “ ใช่แล้วพี่ฟง  นั่นแหละพวกมัน ”
                     “ อืม.... คนเดียวบุกไปสู้กับพวกนั้นอย่างซึ่งๆ หน้า  มิน่าจึงได้บาดแผลมากมายแบบนี้  น้อง ฮุ้ง ท่านช่างกล้าหาญนัก  ข้านับถือท่านจริงๆ ”
                     แม้ยินดีแต่ข้าไม่มีแรงจะหัวร่อให้สาแก่ใจ  มีคงเอ่ยชมข้าแบบนี้ยอมรับว่าเขินอยู่เหมือนกัน
                     “ พี่ฟง ชมเกินไปแล้ว  ข้าไม่ได้เก่งกาจอะไร  เพียงแต่พ่อแม่และอาจารย์
    สั่งสอนข้ามาให้เป็นคนดียึดมั่นธรรมะขจัดอธรรม  ข้าฝึกดาบมาเพื่อการณ์นี้ ”
                     “ ฮ่ะๆๆๆ นั่นแหละน้อง ฮุ้ง  เจ้าสามารถปฏิบัติตามคำสอนของพ่อแม่
    และอาจารย์ได้  เท่านี้ก็น่าชื่อนชมแล้ว ”
              มีคนมาชื่นชมมันรู้สึกดีอย่างนี้นี่เอง  อู เทียนอั๊ง  เจ้าคงรู้สึกแบบนี้เหมือนกันสินะ  หยินเอ๋อ  ท่านจะรู้สึกชื่นชมการกระทำของข้าบ้างรึเปล่านะ  รู้มั้ยตอนนี้ข้าทำสำเร็จแล้ว 
    อ้อ  ไม่สิ... นางจะรู้ได้ยังไงกัน  ยังไม่มีใครรู้เลยนี่นา
              “ นี่น้อง ฮุ้ง  แต่ว่านะ  อย่างที่ท่านบอกนั่นแหละ  ชีวิตเป็นสิ่งประเมิณค่าไม่ได้
    แต่คนเราก็ยังคร่าชีวิตกันตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัณ  ตกลงคนเรานี่มองว่าชีวิตเป็นสิ่งใดกันแน่ ? ”
               “...................” ไม่รู้จะตอบยังไงดีเลย...  ไม่ใช่ว่าข้าไม่เข้าใจคำถามนะ  คำถามจริงๆ ไม่ได้ซับซ้อนอะไรเลย  แต่ว่า... ข้าไม่กล้าตอบ  ข้าน่ะ  เพราะอยากปกป้องคนสำคัญ
     จึงขึ้นเนินมาหวังกำจัดมารร้าย  แต่ก็เพราะแบบนี้นั่นแหละ  ข้าจึงสังหารคร่าชีวิตผู้คนเป็นครั้งแรก  มารร้ายสิบห้าคนนั้นแม้ชั่วช้าไม่สามารถให้อภัยได้  แต่นั่นก็เป็นชีวิต 
    ข้าปฏิเสธไม่ได้ว่าข้าเป็นคนทำลายชีวิตที่ประเมิณค่าไม่ได้นั่นไปสิบห้าชีวิต  ในมุมมองของพวกมัน...  ข้าย่อมเป็นฆาตกร
               ในยุทธภพข้ารู้ว่าการฆ่าฟันเป็นเรื่องปกติ  เฮ้อ.....คนอื่นตอนสังหารเอาชีวิต
    ศัตรูรู้สึกยังไงข้าไม่รู้หรอกนะ  ไม่คิดจะอยากรู้ด้วย  แต่สำหรับข้าแล้วมันเป็นความรู้สึกที่แย่มากๆ โดยเฉพาะวินาทีที่ประกายแววตาของพวกมันวูบดับลง 
    กลับเป็นตัวข้าเองที่รู้สึกราวกับวิญญาณหลุดออกจากร่าง  ข้าไม่ได้พูดเกินเลยนะ  มันรู้สึกแบบนั้นจริงๆ
    และกับคำถามของพี่ฟง...  ข้ารู้สึกว่าจริงๆแล้วเค้าก็ไม่ได้ต้องการคำตอบจากใครหรอก
               “ น้องฮุ้ง  ท่านฟื้นมานี่ก็สมควรบำรุงร่างกายสักหน่อย  ข้าขุดเผือกมาบดต้มผสมกับโสม  ท่านกินแล้วจะได้มีเรี่ยวแรงขึ้น ”
               “ โสมงั้นหรอ ?...  แถวนี้มีโสมด้วยงั้นหรอ ? ”
               “ ไม่ใช่แถวนี้หรอก  เป็นโสมของข้าเอง  ข้าพกติดตัวไว้จำนวนนึงสำหรับขาย
    ประทังชีวิต ” พี่ฟงพูดพร้อมกับเปิดย่ามสะพายให้ดู  ปรากฎว่าภายในมีโสมคุณภาพดี
    อยู่จำนวนมากที่แค่ได้กลิ่นก็รู้สึกโล่งสบายแล้ว 
               “ ขอโทษท่านด้วยพี่ฟง  ข้าให้ท่านช่วยแล้วยังต้องรบกวนใช้ของของท่านอีก
    โสมชั้นเยี่ยมนี้ท่านกลับต้องเอามาต้มโจ๊กเผือกให้ข้ากิน  ข้าละอายใจจริงๆ ไว้กลับถึงหมู่บ้านเมื่อไหร่  ข้าจะตอบแทนค่าโสมให้ท่านอย่างแน่นอน ”
               “ โธ่ น้องท่าน  อย่าได้พูดจาทำลายน้ำใจกันแบบนี้สิ  โสมเพียงต้นจะเทียบกับชีวิตคนได้ยังไง  ข้าเป็นคนปลูกโสมขายอยู่แล้ว  เมื่อถึงเวลาก็ท่องเที่ยวเอาโสมไปขาย
    ให้พอใช้ชีวิตได้ไม่ขัดสนเท่านั้น  มิได้หวังขูดรีดกำรี้กำไรอะไรกับผู้คน  น้องชายพูดเหมือนดูแครนข้า  เมื่อเห็นว่าโสมบำรุงท่านได้ข้าจึงปรุงให้ท่าน  ข้าไม่คิดจะเอาเปรียบจากคนเดือดร้อนเด็ดขาด ”
              “ เอ่อ พี่ฟง  ข้าขอโทษ  ข้าไม่ได้ตั้งใจหมิ่นน้ำใจท่าน  หากข้าพูดสิ่งใดพรั้งไป
    โปรดยกโทษให้ข้าด้วย ”
              พี่ฟงไม่ว่าอะไร  ได้แต่ยิ้มน้อยๆ ออกมา  ข้าก็ไม่ได้เอ่ยอะไรอีก  แต่โสมพวกนั้นแค่ดูก็รู้แล้วว่าแต่ละต้นสูงค่าแค่ไหน  กว่าจะปลูกได้แต่ละต้นไม่ใช่เรื่องง่ายๆ
    กับคนแปลกหน้าที่ไม่เคยรู้จักกันแต่อย่างใดเช่นข้า  พี่ชายท่านนี้กับมอบมันให้ข้าอย่างกับเป็นเพียงเรื่องเล็กน้อย  ข้าซาบซึ้งในความใจกว้างและเปิดเผยของพี่ชายตาสีม่วงท่านี้จริงๆ
    หากมีโอกาศข้าจะตอบแทนน้ำใจท่านอย่างแน่นอน
                ในความเงียบนั้นยังได้ยินเสียงเผือกบดเดือดปุดๆ อยู่  พี่ฟงใช้หม้อและถ้วยชามที่น่าจะยังมีหลงเหลืออยู่ในวัดร้างแห่งนี้มาใช้ประโยชน์  เค้าตักโจ๊กเผือกผสมโสมให้ข้าชามนึง
                “ น้องชาย  ท่านมีแรงพอจะตักกินเองได้หรือไม่  คือ...  ข้ามีเรื่องต้องกระทำ ”
                “ ข้างนอกนั้นมืดแล้ว  ท่านจะออกไปทำสิ่งใด ? มันอันตรายนะ ” แล้วข้าก็รับถ้วยโจ๊กมา  โชคดีจริงๆ ที่แขนข้าไม่เจ็บมาก
                “ ข้าปล่อยให้ศพคนพวกนั้นเน่าไปโดยไร้การกลบฝังไม่ได้  ข้าจะไปฝังศพพวก
    เค้าให้เรียบร้อย ”
                 “ ท่านหมายถึงศพโจรชั่วพวกนั้นน่ะหรอ ? ”
                 “ ใช่... ทุกคนล้วนต้องมีหลุมศพเป็นของตัวเอง  ถึงแม้พวกนั้นจะเป็นโจรชั่ว  แต่พวกมันก็ตายตกไปหมดแล้ว  ถือว่าสิ้นสุดไม่สมควรจองเวรกันอีก 
    อีกอย่างข้ายังเชื่อว่าไม่มีใครเป็นคนเลวมาตั้งแต่เกิด  ตอนนี้พวกนั้นตายก็เหมือนกับตอนเกิด  คือไม่สามารถกระทำชั่วได้  ดังนั้นแค่หลุมศพเท่านั้นเอง  ถือว่าทำบุญช่วยเหลือผู้ตาย ”
                  ข้าได้แต่รับฟังอย่างสงบ  ถูกของพี่ฟง  ข้าไม่มีเหตุผลให้ต้องโต้แย้ง  ยังไงซะคนก็ตายไปแล้ว
                  “ เช่นนั้นให้ข้าช่วยท่านเถอะ ”
                  “ ไม่เป็นไรน้องฮุ้ง  ท่านกินโจ๊กแล้วพักผ่อนเถอะ ”
                  แต่เพียงแค่พี่ฟงก้าวข้ามธรณีประตูออกไปแค่นั้นเอง  พลัน!! มีซุ่มเสียงโหยหวนฟังดูน่าขยักแขยงดังขึ้นให้ได้ยินอย่างชัดเจน

              “ บัดซบๆๆๆๆๆๆ  ไอ้เดรฉานชั่วตัวไหน  บังอาจสังหารศิษย์รักทั้งสิบห้าของข้า ”
              น้ำเสียงนี้แฝงไว้ด้วยพลังวัตร  การสั่นสะเทือนของเสียงกลับทำให้ใจข้าสั่นไหวตามอย่างช่วยไม่ได้  บ้าที่สุด  นี่ข้ากำลังกลัว 
    เสียงนั้นทำให้โจ๊กที่กระเดือกลงคงไปผ่านลิ้นไปโดยลืมจะรับรู้รสของมัน  รู้สึกเหมือนตัวเองลืมหายใจ
              “ น้อง ฮุ้ง ตั้งสติดีๆ ไว้  หายใจลึกๆ เสียงนั่นแค่ขู่เท่านั้นมันทำอะไรท่านไม่ได้หรอก  แต่ดูท่าทางแขกไม่ได้รับเชิญจะเอะอะเกินไปจริงๆ เฮ้อ~...ใครกันนะ ? ”
             น่าประหลาดยิ่ง  ทำไมพี่ฟงยังคงความสงบเยือกเย็นได้เพียงนี้  แม้หันหลังให้ข้า
    แต่ก็พอจะจินตนาการออกว่า  พี่ฟง  คงไม่ทำหน้าตาเหลอหลาแตกตื่นเป็นอันขาด
             ตึง!!!
          ใครบางคนโดดลงพื้นลงมาอย่างแรง  มองผ่านแผ่นหลังของพี่ฟงออกไป  ปรากฎเป็นชายแก่หลังค่อมงุ้มงอ  ไม่สิ  มันกำลังค่อยๆ ยืดตัวตรงขึ้นมา 
    ผมขาวยาวรุงรังที่สยายไปตามลมดูแล้วช่างน่ารำคาญ  ใบหน้าเหี่ยวย่นแสดงถึงอายุขัยที่มากโขอยู่  ดวงตามันลอกแลกกลิ้งกรอกไปมา  แสดงถึงบุคลิกที่ไม่น่าไว้ใจ 
    ชายแก่สวมเสื้อผ้าสีหม่นๆที่ส่งกลิ่นสาบน่าเคลื่อนเหียน  ดีนะที่ข้างกายข้ามีย่ามใส่ต้นโสมของพี่ฟงอยู่
    กลิ่นฉุนของโสมช่วยทำให้ข้าหายใจหายคอได้สะดวกขึ้น
             แคร้ง!!!!
             ชายแก่โยนบางอย่างลงบนพื้นต่อหน้าพี่ฟง  นี่ก็น่าแปลก  ดูเหมือนพี่ฟงหาได้สะทกสะท้านกับสิ่งที่เกิดขึ้นเลยแม้แต่น้อย  อันที่จริงจะแปลก  ก็คงตั้งแต่ที่ข้าบอกว่า
    ข้าเป็นผู้สังหารโจรชั่วทั้งสิบห้า  พี่ฟงนอกจากจะไม่มีท่าทีตื่นตกใจแล้ว  ยังดูเป็นปกติ
    จนเหมือนกับไม่ใส่ใจด้วยซ้ำ  บางที...  พี่ฟงท่านนี้อาจไม่ใช่คนปลูกโสมขายธรรมดา
    ซะแล้ว  นั่นสิ... คนขายโสมที่พกกระบี่
              เอาเถอะ  เรื่องนั้นเอาไว้ก่อน  ประเด็นตอนนี้คือไอ้บางอย่างที่ชายแก่คนนั้นโยน
    ลงพื้นคือดาบใหญ่ของข้าไม่ใช่หรอ?
              “ ไอ้ลูกหมาทั้งสอง  บอกมา  ใครมันเป็นเจ้าของดาบเส็งเคร็งเล่มนี้ ”
              หนอย....พ่อเอ็งสิเส็งเคร็งไอ้แก่  ข้าน่ะตีมันขึ้นมาอย่างปรานีต  แม้ไม่ใช่ดาบวิเศษวิโสอะไร  แต่มันก็เป็นดาบที่ดีนะโว้ย!!  นี่ถ้าค่ามีแรงพอจะตะโกนออกไปล่ะก็
    ข้าคงตะโกนใส่หน้ามันแบบนี้เป็นแน่ แต่แม้ข้าไม่พูดอะไร  พี่ฟงก็เปิดปากแล้ว
                  “ ผู้อาวุโส...  สุขภาพปากเป็นสิ่งสำคัญมีผลต่อบุคลิกภาพ  สมควรดูแลให้จงดี  มิเช่นนั้นกลิ่นปากจะทำให้ผู้คนเบือนหน้าหนีกันหมด 
    สำหรับท่านข้าขอแนะนำให้เอาใจใส่อย่างมากๆ สมควรขัดฟันด้วยยางมะละกอ  และบ้วนปากด้วยน้ำเกลืออุ่นๆ ”
                  “ หุบปาก...  ไอ้เด็กตาม่วง  ใครใช้ให้เอ็งวิภาควิจารณ์ปากของข้า  อยากตายเร็วนักใช่มั้ย ? ”
                  “ อ้าว...  ท่านไม่พอใจข้อแนะนำของข้ารึ  ท่านไม่ชอบสิ่งใดล่ะ  ยางมะละกอ
    หรือว่าน้ำเกลืออุ่น  เช่นนั้นลองใช้รากไม้ทุบสีฟันหลังอาหารเช้ากลางวันเย็นแล้วตบท้ายด้วยการเคี้ยวใบฝรั่ง  จะช่วยให้....”
                  “ บอกให้หุบปากโว้ย....  หนอย  ไอ้ทารกเมื่อวานซืน  มิรู้จักพ่อเอ็งซะแล้ว
    ทำปากดีต่อหน้าข้า  คงไม่รู้สิว่าข้าเป็นใคร  ข้ามีฉายาว่าพยายมเดนตาย  ท้วง  อั้ว
    เหอๆๆๆ เป็นไงล่ะไอ้ทารก  กลัวจนฉี่ราดเลยล่ะสิ เหอๆๆๆ ”
                  พอได้ยินชื่อ  ข้ายอมรับจริงๆ ว่าตกใจจนหายใจติดขัด  ฉายานี้  ชื่อนี้  ข้าได้
    ยินมาเนิ่นนาน  ตัวชั่วช้าที่แสนจะโหดร้าย  มันเป็นจอมสังหารที่ละโมบ  บ้ากาม  และทำเรื่องเลวร้ายจนเลื่องลือซะยิ่งกว่ากลุ่มโจรปีกอัคคีซะอีก
                   ย่ำแย่ซะแล้ว  รอดชีวิตมาได้กลับต้องมาเจอมารร้ายยิ่งกว่าแบบนี้  ตัวข้าที่สมบูรณ์พร้อมยังไม่แน่ว่าจะเอาชนะมันได้  ไม่สิ  แค่คิดจะหนีให้ได้ก็ดูห่างไกลความจริงเต็มที
                  “ ฉายาอะไร เชยสิ้นดี คิดได้ยังไงเนี่ย  ผู้อาวุโส  ท่านนี่ขาดศาสตร์และศิลป์ในการใช้คำแน่ๆ เลย  หากเป็นข้าล่ะก็นะ  หากต้องใช้ฉายาแบบนี้ข้าคงมุดหน้าอยู่ในป่าไปตลอดชีพแน่ ”
                  น่าน.... ฝีปากร้ายใช่เล่น  หากเรื่องกลิ่นปากเป็นการราดน้ำมันเข้าไปในกองไปละก็  เมื่อกี๊พี่แกเล่นซาดดินระเบิดซ้ำลงไปอีก  ข้าชักเริ่มหวาดกับการกระทำของพี่ฟงจริงๆ ก็ตอนนี้ไอ้เฒ่า ท้วง อั้ว 
    มันโกรธจนหน้าเปลี่ยนสีจากซีดเป็นแดงไปซะแล้ว
                  “ บังอาจ!! ในเมื่องเอ็งรนหาที่ตายเช่นนี้  ข้าก็จะละชีวิตทารกน้อยเช่นเอ็งมิได้แล้ว  จงตายตกไปซะ ”
                  วูบ!!!
                  “ พี่ฟงระวัง!!! ”  ข้าฝืนเจ็บแผลที่อกตะเบ็งร้องเตือนออกไป
                  กึก!!!
                  เหมือนเสียงอะไรกระทบกัน  พี่ฟงหันหลังให้ข้า  ดังนั้นข้าจึงเห็นไม่ถนัด  ผู้
    มีพระคุณของข้าจะเป็นอะไรรึไม่?!!!
             ทว่าผิดคาด!!!  เจ้ามารเฒ่าต้องถอยออกไปเป็นหลายก้าว  แต่ทางพี่ฟงไม่เคลื่อนย้ายถอยกลับเข้ามาเลยซักก้าว  เค้าค่อยๆลดมือลง  ข้าถึงกับนัยน์ตาเปิกโพลง
    กระบี่ไม่ปลดฝักของพี่ฟงไปอยู่ในมือของเค้าตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?!!  ส่วนทางเจ้าเฒ่า
    ก็ถึงกับตกตะลึง  มันดูมือที่ผอมซีดของมันกำลังสั่นเพราะถูกตีอย่างแรง  รอยแดงขึ้นเป็นแนวชัดเจน
             “ ผู้อาวุโสอย่าใจร้อน  หากข้าพลั้งปากพูดอะไรผิดไป  ก็ขอโปรดอภัยให้ข้าด้วย”
             คำพูดนั้นสุภาพอ่อนน้อม  แต่น้ำเสียงของพี่ฟงกลับแฝงด้วยพลังอย่างประหลาด
    อีกทั้งท่าทางก็ดูสง่าผ่าเผย  กลับเป็นไอ้เฒ่าแซ่ ท้วง นั่นซะอีกที่แสดงอาการหวั่นเกรงออกมาชั่วขณะหนึ่ง
             “ ไอ้ทารกนัยน์ตาม่วง  นับว่าฝีมือเอ็งนั้นก็ไม่ใช่ชั่ว  พอจะนับเป็นชาวยุทธ์ปลายของปลายแถวอยู่ได้บ้าง  จงบอกชื่อเสียงเอ็งมา ”
             “ ข้าไม่ใช่คนมีชื่อเสียงอะไร  ไม่จำเป็นต้องใส่ใจความเป็นมาหรอก  เอาอย่างนี้แล้วกัน  ผู้อาวุโส  ข้ามีโสมหายากอยู่นิดหน่อย  ข้าจะให้ท่านเป็นการขอคมา 
    ถือว่าเลิกแล้วต่อกัน  ต่างคนต่างไปไม่ยุ่งเกี่ยวกันท่าเห็นว่าเป็นยังไง ”
             “ ฮ่า  โสมหายากงั้นรึ  ดี...  ดีจริงๆ โสมนั่นข้าต้องเอาอยู่แล้ว  และข้าก็จะฆ่าเอ็งด้วย  ย๊ากกกกก !!! ”
            มารเฒ่าซัดผ่ามือมาอย่างเร่งร้อน  แต่แทนที่พี่ฟงจะหลบ  เค้ากลับฟุ่งตัวออกไปหามันตรงๆ
            “ โอ๊ยยยยยยยยย!!!! ”
            เสียงร้องโหยหวนแหบพล่า  ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าเจ้าเฒ่าคงโดนเข้าอีกแล้ว  ข้าทั้งตื่นแต้น  ทั้งตระหนก  ความเจ็บปวดต่างๆ ถูกลืมเลือนจนหมดสิ้น  ความอยากรู้ทำให้ข้ากระเสือกกระสนลุกขึ้นไปดูที่ประตู
            !!!!  สิ่งที่เห็นตรงหน้าสมควรให้ข้าตื่นเต้นดีใจแล้วจริงๆ ภาพเจ้ามารเฒ่าเอามือกุมไหล่ขวาที่สั่นเทา  มันน่าสะใจสุดๆ ดูท่ามันจะเจ็บปวดน่าดู  พี่ฟงทำอะไรลงไปนะ
    ดูเค้านิ่งเฉยยืนตรงๆ ไม่ได้มีการตั้งท่าอะไรเป็นพิเศษ
             “ ข้าให้โอกาศท่านแล้ว  กลับไม่ยอมรับ  ทำไมไม่ถนอมชีวิตที่เหลือเอาไว้  กลับมาเร่งร้อนก่อกรรมเช่นนี้  ท่านต้องอายุสั้น ”
             “ ไอ้เด็กบัดซบ  พ่นน้ำลายพอรึยัง  เห็นข้าไม่เอาจริงก็อย่าเพิ่งได้ใจ  เอ็งใช่มั้ย
    ที่เอาชีวิตลูกศิษย์ของข้า ”
                  ถึงตรงนี้ข้าจึงโพล่งแทรกขึ้น  “ เฮอะ... ก็กะอยู่แล้ว  พ่อแม่ของสุนัขไฉนจะไม่เป็นสุนัขไปได้ล่ะ ฟังนะไอ้เฒ่าชั่ว  อย่าไปใส่ร้ายคนอื่น 
    ดาบเล่มนั้นเป็นขอข้าเองโว้ย  คนจริงกล้าทำกล้ารับไม่โยนบาปให้คนอื่น  และคนที่แพ่งกระบาลลูกศิษย์ของเอ็งก็คือข้าคนนี้  ไม่ต้องให้คนอื่นเดือดร้อนแทนข้า  ถ้าจะเอาเรื่องก็มาเอาเรื่องที่ข้าคนนี้นี่ ”
                  “ ที่แท้เป็นเอ็งไอ้เด็กชั่ว !!! ตายซะเถอะ ”
                  สวรรค์ช่างทำให้ข้าตกใจซ้ำซ้อนจริงๆ มารเฒ่าพุ่งผ่ามือคู่มาที่ข้าในพริบตา  ไม่ทันได้ตั้งตัว !!!  นี่ข้าต้องตายที่นี่หรอเนี่ย....
                  !!!! ....... 
                  .............
                  .............  ข้ายังไม่ตาย  สวรรค์โปรด  ข้ายังไม่ตายจริงๆ   ฝ่ามือเจ้าเฒ่าห่างหน้าของข้าไปแค่หุลเศษๆ  มันสะดุดอะไรรึไง  เปล่าหรอก...  กระบี่ทั้งฝักของพี่ฟงลั้งตัว
    เจ้าเฒ่าไว้  คมกระบี่คงจะบาดคอมันไปแล้ว  ถ้าหากพี่ฟงปลดมันออกจากฝักละก็นะ  ท่าทางมารร้ายจะตกใจกว่าข้าซะอีก  หน้ามันยิ่งซีดเห็นเม็ดเหงื่อค่อยๆไหลลงอย่างชัดเจน 
    มันคงจะตกใจมากความเร็วระดับนี้บางทีมันอาจไม่เชื่อว่าจะมีคนตามมันทันในพริบตา  ข้าเองก็ตะลึง  ข้าน่ะมองไม่ทันด้วยซ้ำว่าพี่แกมาตอนไหน
                 “ มารร้าย  รู้ไว้ด้วยว่าโลกนี้มันพัฒนาไปแค่ไหนแล้ว  วิทยายุทธทั่วหล้าล้วนพัฒนาไม่จบสิ้น  เจ้ามัวแต่หมกตัวทำชั่วไม่มองดูโลก  คิดว่าวรยุทธที่เจ้ามีมันสูงล้ำนักรึไง ”
    พูดไม่พูดเปล่า  พี่ฟงตวัดกระบี่ทีเดียว  ร่างเจ้ามารเฒ่าราวถูกกระแทกกระเด็นลอยไปอย่างแรงจนหลังกระแทกกับต้นไม้ใหญ่กระดอนลงดินอย่างทุลักทุเล 
    โดยมีใบไม้แห้งยามราตรีร่วงลงมาเป็นฉากหลัง  ดูไปก็ขบขันไม่น้อย 
                ใบหน้าที่พี่ฟงอบรบมันเมื่อกี๊ดูขึงขังผิดจากที่เคยเห็น  ชักอยากรู้ซะแล้วสิ  ว่าพี่ชายท่านนี้เป็นใครกันแน่
                 พรวด!!! มารเฒ่าลุกขึ้นมาบรรยากาศดูเปลี่ยนไปในบัดดล  ข้ารู้สึกเหนียวหนืดในลำคอ  เหมือนอากาศรอบด้านถูกอัดแน่นจนหายใจลำบาก  จะว่าไป
     ประกายตาของมารเฒ่าดูน่ากลัวกว่าที่ผ่านๆ มา  ประกายคาวาวโรจที่แฝงแววแค้นจับใจ
                 “ ไอ้พวกเด็กชั่ว  ทำให้ข้าต้องใช้กำลังเต็มพลังจนได้  พวกเอ็งต้องแหลกเหลว
    จำซากศพไม่ได้ ”
                 ขนลุก  น้ำเสียงช่างน่าขยักแขยงจริงๆ  รู้สึกได้เลยว่ามันทำอย่างที่พูดได้แน่นอน
                 “ พลังวัตรมากมายจริงๆ ขืนเข้าไปฟันสุ่มสี่สุ่มห้า  มีหวังถูกพลังกระแทกตีกลับมาสาหัสแน่ๆ ข้าคงต้องรับมืออย่างจริงจัง ”
    ถึงจะพูดแบบนั้นแต่พี่ฟงก็ยังดูสงบเยือกเย็นอยู่ดี  ไม่รู้สิ...  ทั้งๆที่สถานการณ์ล่อแหลมแบบนี้  แต่ข้าเองกลับรู้สึกได้ว่า  ข้าไม่ตายแน่ๆ  ใช่...  มั่นใจเลยล่ะ 
    อาจเป็นเพราะ  ข้ารู้สึกได้ว่า  เจียง ฟง ผู้ช่วยชีวิตข้าไว้  ต้องเก่งกว่ามารแซ่ ท้วง แน่ๆ
                ย๊ากกกกกก !!!
                ไอ้มารเฒ่าหาได้พุ่งเข้าโจมดีเร่งร้อนเกินกว่าสายตามองเห็น  ทั้งข้า  และพี่ฟง
    เห็นการเคลื่อนไหวของมันอย่างชัดเจน  เพียงแต่นนั่นก็ยังรวดเร็วเกินกว่าที่ข้าจะทำอะไรได้ทันอยู่ดี
                “ ในเมื่อไม่สำนึกก็จงรับกรรมไปซะ ”
                ควั่บ !!!
                พี่ฟงแทงกระบี่ทั้งฝักออกไปแล้ว  นี่สิถึงจะเรียกว่าเร็ว  ออกอาวุธทีหลังแต่ถึงก่อน  อันที่จริงมันเร็วมากจนข้ามองไม่เห็นหรอก 
    ข้ามองเห็นตอนที่ออกกระบวนท่าเสร็จสิ้นแล้ว  กระบี่ทั้งฝักทิ่มสวนเข้าที่ไหล่ขวา  แรงปะทะยังคงทำให้มันถอยไปอีก
    แต่มันฝืนตัวไว้ไม่ให้ล้มเสียงกระดูกหักกร๊อบแกร๊บลั่นไม่หยุด  แต่ยังไม่จบ  พี่ฟงจู่ๆ ไปโผล่ตรงหน้าของมันตั้งแตเมื่อไหร่ไม่ทราบได้  พริบตานั้นมารเฒ่าราวกับเห็นผี  แววตามันแสดงความกลัวอย่างสุดขีด
               ในพริบตาเดียวกันพี่ฟงแสดงกระบวนท่างัดกระบี่จากล่างขึ้นบนทะยานขึ้นราว
    วิหคราตรีทะยานฟ้า  ปลายคางเจ้ามารชั่วหงายชี้ฟ้าตามแรงกระบี่โดยแรงจนตัวมันถึงกับลอยขึ้นตาม  ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมากจนมันร้องครวญครางออกมาไม่ทัน  ไม่สิ
    มารเฒ่าโดนโจมตีที่คางแบบนี้คงยากจะร้องออก  ถ้าข้าดูไม่ผิดข้าว่าข้าเห็นฟันมันกระจายออกมาหลายซี่ด้วยซ้ำ
               ตุ้บ!!!
               ร่างมารเฒ่าตกลงพื้นอย่างหมดสภาพ  แขนขวามันไร้เรี่ยวแรงท่าทางกระดูก
    หัวไหล่คงแตกละเอียด  โครงหน้ามันบิดเบี้ยวจนดูไม่รู้ว่าเป็นคนคนเดียวกันกับที่พบตอนแรก  ตัวมันสั่น  หายใจติดขัดจนเห็นได้ชัด  ในขณะที่พี่ฟงลงมายืนอย่างสง่าดังเดิม
               แต่นึกไม่ถึง  เจ้าเฒ่ายังพยายามลุกขึ้นอย่างทุลักทุเล  ดูเหมือนมันจะพยายาม
    ผนึกลมปราน  บ้าไปแล้ว?  ดูก็รู้ว่าฝีมือห่างกันมากมันยังคิดจะสู้อีกงั้นหรอ?
                 ย๊ากกกกกกก!!!
                 มารชั่วตะโกนก้องทำท่าจะพุ่งเข้ามา!!!!! ทว่า!!!!  มันกับเร่งร้อนพุ่งไปอีกทาง
    มันหนีไปด้วยวิชาตัวเบาที่นับว่าเร็วพอตัว
                 “ พี่ฟง ไม่ตามไปจัดการมารชั่วนั่นล่ะ”
                 “ เฮ้อ...  ไม่ล่ะ  ข้าไม่อยากฆ่าใครโดยไม่จำเป็น  เพียงแค่นี้มันคงสำนึกได้บ้างแล้ว  หากมันยังก่อกรรมอีก  สวรรค์ต้องลงโทษมันเอง ”
                 ในเมื่อพี่ฟงไม่คิดจะฆ่ามัน  ข้าก็ไม่มีสิทธิ์คาดคั้นเค้า  ข้าจึงไม่พูดเรื่องนี้อีก
                                         ................................................

                 เมื่อหมดเรื่องแล้วพี่ฟงก็พยุงเข้ามาในวัด  พี่ฟงเพียงแค่ดื่มน้ำแก้กระหายเท่านั้น  ไม่สิ  ลงมือไปขนาดนั้นเค้าต้องเหนื่อยมากแน่ๆ
                 “ พี่ฟง  ท่าน....  เคยเอาชีวิตใครรึเปล่า? ” เมื่อฟังคำถามข้า  พี่ฟงก็นิ่งเงียบไปหลาบอึดใจ  นี่หรือว่าข้าทำให้เค้าโกรธซะแล้ว
                 “.......................”
                 “.......................”
                 “ เฮ้อ....  มากมายนัก ”
                 “ งั้นหรอ? ...  ท่านคงรู้สึกแย่เหมือนกัน ”
                 “ ใช่  แต่รู้สึกแย่ก็ยังดีกว่า  หากฆ่าคนโดยมิรู้สึกรู้สาอะไร  นั่นย่อมไม่ใช่คน  แต่เป็นสัตว์โลกที่อาศัยสัญชาตญาณเท่านั้น  ข้าว่าข้ายังต้องการรับรู้ว่าข้าเป็นคนที่มีเลือดเนื้อและจิตใจ ”
                  “ ข้าเห็นด้วยนะ  ข้าก็ว่ารู้สึกแย่ยังดีซะกว่า ”
                  “ แต่ในยุทธภพก็มีเหตุจำเป็นหลายอย่าง  ดังนั้นข้าจึงบอกกับตัวเองเสมอว่า
    เมื่อหลีกเลี่ยงไม่ได้จริงๆ ตอนนั้นค่อย....”
                   คำต่อไปแม้ไม่พูดออกมาแต่ข้าก็เข้าใจ  ดูเหมือนข้าได้ซึมซับความเป็นชาวยุทธมาจากพี่ฟงท่านนี้  ไม่รู้ทำไม  แต่ดูเหมือนเราจะพูดจากันถูกคอ 
    พวกเราเจรจากันอยู่หลายเรื่องอย่างออกรส  จนรู้สึกว่ามันดึกแล้ว  พี่ฟงจึงให้ข้าพักผ่อน  ส่วนเค้าเองก็ขอตัวไปฝังศพ  โดยขอยืมดาบใหญ่ของข้าต่างพลัว
                    จนเวลาผ่านไปนานแค่ไหนไม่รู้  ความเจ็บระบบทำใหก้ข้าหลับๆตื่นๆ  รู้สึกแย่ชะมัด...พี่ฟงยังคงไม่กลับมา  รู้สึกนี่เป็นคืนที่น่าเบื่อจริงๆ ทั้งที่เพิ่งผ่านเรื่อง
    น่ากลัวถึงขั้นเป็นตายมาไม่นาน  แต่ความสงัดเงียบแห่งราตรีกลับทำให้รู้สึกว่าเรื่องทั้ง
    หมดนั้นราวกับโกหก
             พูดถึงการต่อสู้กันที่ผ่านมานั้น  จำได้ว่าพี่ฟงไม่ชักกระบี่ออกจากฝักด้วยซ้ำ  ว่า
    แล้วก็หยิบกระบี่ของเค้าขึ้นมาดู  ทันทีที่ดึงออกมาจากฝักเท่านั้นแหละ
             โอ้.....  นี่สิ  เส็งเคร็งของจริง!!!  
             ไอ้ของพรรนี้เรียกเป็นกระบี่ไม่ได้แล้วมั้ง  เศษเหล็กสนิมเขรอะนี่ชักออกมาจากฝักทีงี๊สนิมร่วงกราว  ไม่เท่านั้น  รอยแตก  บิ่น  และร้าว 
    แสดงความทุเรศของตัวมันเองออกมาอย่างโจ่งแจ้ง  ให้ตายสิไม่ว่ามองยังไงก็หาส่วนที่มันเป็นคมกระบี่ไม่เจอเลย  เอ่อ
    ก็ใช่อยู่หรอก  ไอ้เศษเหล็กนี่มันแบน  แต่ส่วนที่น่าจะเป็นคมน่ะ  ข้าลองเอานิ้วถูดู  มันเล่นบิ่นคานิ้วข้าเลย  อึ่ม....  เข้าใจล่ะที่แท้ที่พี่ฟงไม่ยอมปรดกระบี่จากฝักเพราะแบบนี้นี่เอง 
              ตอนแรกข้าหลงคิดว่าเค้าไม่ปรดฝักกระบี่เพราะต้องการเพิ่มน้ำหนักในการโจมตี
    ซะอีก  ที่แท้ขีนปลดฝักออกไปล่ะก็... แค่ฟันถูกผิวหนังกระบี่ก็หักแล้วมั้ง  ไม่สิ  ข้าว่ามันคงแตกเป็นเสี่ยงๆ ไปเลยต่างหาก 
              ฮึ่ย... ไม่รู้จะสรรคหาคำพูดไหนมาอธิบายไอ้กระบี่เล่มนี้แล้ว  อ้อใช่...
     สับประรังเค  คำนี้แหละเหมาะเลย  ....ใช่แล้ว  นึกออกแล้ว  สิ่งแรกที่ข้าจะตอบแทนให้พี่ฟงได้  ข้าว่าข้าจะตีกระบี่ให้พี่แกใหม่ซักเล่มดีกว่า  เห็นแล้วสักดิ์ศรีช่างตีเหล็ก
    เดือดปุดๆ เลย
                                        .................................................

               วันรุ่งขึ้นเสียงนกร้องจิ๊บๆ ปรุกให้ข้าตื่น  อันที่จริงก็ไม่ค่อยได้หลับหรอก  พี่ฟง
    กับเข้ามาตอนก่อนฟ้าสางไม่นาน  เค้านั่งพิงเสาอีกฝั่ง  ถึงแม้จะหลับตาแต่ทว่าเค้าหลับ
    ได้จริงๆ น่ะหรอ
               “ น้อง ฮุ้ง หมู่บ้านท่านอยู่ใกล้ๆ ที่นี่ใช่มั้ย? ”
               “ ใช่พี่ฟง  ลงเนินแล้วไปทางตะวันตกอีกเล็กน้อย ”
               “ หมู่บ้านของท่านคงมีหมอใช่มั้ย? ”
                  “ ย่อมมีแน่นอน  เฮ้อ...  ต้องรบกวนพี่ท่านอีกแล้ว  ขอโทษด้วย ”
                  “ ไม่เป็นไรหรอก  แค่นี้เอง  การปฐมพยาบาลเบื้องต้นน่ะยังไม่พอหรอก  ท่านสมควรต้องไปหาหมอให้รักษาอย่างถูกวิธี  ท่านบอกทางให้ข้าด้วยแล้วกัน  ข้าจะแบกท่านไปเอง ”
                   “ ขอบคุณพี่ฟง  แต่ไม่จำเป็นต้องเข้าไปถึงหมู่บ้าหรอก  มี่ที่ที่นึงข้าอยากให้ท่านพาไป  ไปถึงที่นั่นแล้วก็ปลอดภัยเหมือนกัน  แล้วจากนั้นค่อยเรียกท่านหมอก็ยังไม่สาย ”
                   “ ได้สิ  เอาล่ะท่านค่อยๆ ลุกขึ้นนะ ”
                   ว่าแล้วพี่ฟงก็เอาเศษผ้าในวัดมัดดาบไว้กับตัวข้า  แล้วก็แบกข้าขึ้นหลังเหมือนเป็นสำภาระ 
                    ขณะออกจากวัดร้าง  พี่ฟงหันมาคารวะให้กับวัดร้างอีกครั้งที่เมื่อคืนได้อาสัยหลับนอน  ตรงนี้เองข้าจึงสังเกตเห็นเรื่องนึง
                    “ พี่ฟง  การที่เรามาพบกันและท่านช่วยข้าไว้ทั้งที่เราไม่รู้จักกัน  คงเป็นโชคชะตา  ท่านเชื่อเรื่องโชคชะตาหรือไม่ ”  พูดไปพลาง 
    ข้าก็ชี้ป้ายชื่อวัดร้างบนเนินแห่งนี้ให้พี่พงดู  มันเป็นป้ายไม้เก่าๆ แต่ล่องรอยสลักก็ยังเห็นได้อย่างชัดเจน  บนป้ายสลักไว้ว่า  ฟงยี่  ( วาตะอาราม ) 
                     “ อืม....  นั่นสิ  นี่ก็คงเป็นโชคชะตาจริงๆ ”  ฟังน้ำเสียงแล้วท่าทางพี่ฟงจะสดชื่น ( เค้าแบกข้าอยู่  ข้ามองไม่เห็นหน้าเค้าหรอก )
                     “ ฮ่ะๆๆๆๆ  ดี  ต่อไปนี้ข้าจะเรียกท่านว่า  เจียงฟงยี่ซะเลยดีมั้ย? ”
                     “ โธ่ น้อง ฮุ้ง อย่าล้อข้าเล่นเลย  ข้าตัวนิดเดียวจะกลายเป็นวัดทั้งวัดได้ยังไงกัน ”
                     ทั้งข้าทั้งพี่ฟงหัวเรากันร่วน  รู้สึกดีจริงๆ ที่ได้พบพี่แก  ข้าว่าพี่ฟงต้องเป็นจอมยุทธมี่ชื่อแน่ๆ แต่แปลก  ทำไมข้าไม่เคยได้ยินชื่อจอมยุทธชื่อ เจียง ฟง มาก่อนเลย
    มีฝีมือขนาดนี้ต้องไม่ใช่อยู่ๆ ก็โผล่มาแน่ๆ หรือจะเป็นพวกชอบเร้นกาย
                     “ ขอโทษด้วยพี่ฟง  ท่านพอจะบอกได้มั้ยว่าท่านเป็นใครกันแน่ ? ”
                     “ บอกไปแล้วไม่ใช่หรอ  ข้า เจียง ฟง เป็นคนปลูกโสมขาย  ไม่มากไม่น้อยไปกว่านั้น ”
                     แล้วในระหว่าเดินทางเราก็ไม่ได้เจรจากันอีก  ในเมื่อพี่ฟงประกาศตัวไปว่าอย่างนั้น  ข้าก็ไม่อยากเซ้าซี้
                 ระหว่างเดินทาง  ก็ไม่ได้เงียบอะไรมากหรอก  รอบด้านได้ยินเสียงนกร้องไม่หยุด  ราวกับเนินลูกนี้กำลังพูด  แต่แล้วพี่ฟงก็เอ่ยปากออกมาก่อน
                “ น้อง ฮุ้ง ท่านจะให้ข้าไปทางไหนต่อ ? ”
                “ ทางไหนน่ะหรอ?...”
                ข้าอาจจะเจ็บจนเพี้ยนไปแล้วก็ได้นะ  บาดเจ็บขนาดนี้แต่ที่ที่ข้าคิดจะไปกลับไม่ใช่โรงหมอหรือบ้านตัวเอง  เอาน่า...  ไหนๆ ก็รอดชีวตมาแล้ว 
    ขอไปเจอให้หายคิดถึงหน่อยเถอะ  แน่นอนที่ที่ข้าอยากจะไปคือบ้านของหยินเอ๋อ
                                    ...........................................................

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×