ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    美花 ; (mei hua) (woncin)

    ลำดับตอนที่ #9 : 美花 : 第七花 100%

    • อัปเดตล่าสุด 10 มิ.ย. 54


    美花:七花 (4.07.10)

     

     

            วรกายสูงสง่าประทับบนบังลังค์มังกร ออกว่าราชการงานเมืองที่มีมากมายไม่เว้นแต่ละวัน ประทับฟังอย่างเบื่อหน่าย จนกระทั้งถึงประกาศสุดท้ายจากกรมวัง

     

                    “ รัชสมัยที่สิบแห่งการปกครองโดยฮ่องเต้ ซีวอน จากฏีการ้องเรียนของชาวเมืองหลวง จึงทรงมีราชโองการถอดยศปาหยางอ๋อง ขุนนางระดับสาม เป็นเพียงชาวบ้าน ให้มีการยึดทรัยพ์ทั้งหมดเข้าพระคลังหลวง เนเรเทศไปยังดินแดนทางเหนือ สุดเขตอาณาจักร ต้องรายงานตนทุกสิบห้าวันภายใต้การกำกับของผู้คุมมณฑล สำหรับท่านอ๋องน้อย จากความผิดทำให้องค์ฮ่องเต้ต้องหลั่งพระโลหิต มีโทษประหารเก้าชั่วโคตร หากแต่น้ำพระทัย จึงทรงลดโทษเหลือเพียงกักตัวไว้ในพระราชฐานส่วนพระองค์ รับใช้ตามพระประสงค์ จบราชโองการ”

     

                    “ไม่ ฮ่องเต้ กระหม่อมเป็นอาพระองค์นะ จะส่งทำเยี่ยงนี้ไม่ได้ ข้าไม่ยอม” เสียงโวยวายจากที่ของขุนนางขั้นสามดังขึ้น พร้อมกับการถลาตัวออกมา คุกเข่าเบื้องพระพักตร์

     

                    “เพราะท่านเป็นอาเรา เราถึงได้ลงโทษเพียงแค่นี้ หากท่านเป็นคนอื่น เราคงสั่งจองจำลืมเดือนตะวันไปแล้ว ท่านอา ความผิดที่ท่านก่อขึ้นมันมากล้นจนเราไม่อาจแกล้งมองไม่เห็น ทหาร นำตัวท่านอาไป แล้วประกาศให้ประชาชนของเรารู้ทั่วกัน” สุรเสียงดังกังวานดั่งองค์ฮ่องเต้ผู้ยิ่งใหญ่ ทำให้ขุนนางเฒ่าอย่างท่านราชครูยิ้มพึงใจในศิษย์ผู้สูงศักดิ์

     

                    เมื่อทหารนำตัวอดีตอ๋องผู้ฉ้อฉลออกไปจากโถงมังกรแล้วจึงทรงผินพระพักตร์ไปทางอำมาตย์ใหญ่ที่นั่งอยู่ไม่ไกล “ท่านกรมวัง แล้วฮีชอลจะได้ปล่อยตัวออกจากเรือนอาญาเมื่อไหร่กัน”

     

                    “บัดนี้ทหารกำลังนำราชโองการไปแจ้งแก่ผู้คุมเรือนอาญา กระหม่อมคาดว่าอีกไม่เกินชั่วยาม ท่านอ๋องน้อยจะได้ออกมากระหม่อม กระหม่อมได้สั่งให้ทหารนำเกี้ยวไปด้วย เพราะถึงมีโทษใหญ่ หากแต่ก็ยังทรงยศท่านอ๋อง”

     

                    “ดีแล้ว วันนี้พอแค่นี้ ท่านกรมวัง ก็ไปดูแลเรื่องปล่อยตัวนักโทษและจัดการเรื่องฮีชอลให้เรียบ้อย เมื่อทุกอย่างเสร็จแล้วก็ให้ไปหาเราด้วยแล้วกัน” เมื่อตรัสทุกอย่างดั่งประสงค์ รักษาชีวิตของน้องน้อยที่หวังให้เคียงคู่ได้แล้ว เมื่อสิ้นการว่าราชการต่างๆฮ่องเต้จึงทรงเบิกบานพระทัยกว่าเมื่อแรกเริ่มมากนัก     

     

             * ~ * ~ * ~ * ~ *~ * ~* ~* ~ * ~ * ~ * ~ * ~ * ~ * ~ *

     

                    ขณะทรงสำราญพระทัยในห้องทรงอักษร สายพระเนตรจับจ้องอยู่กับตำราปรัชญาเหล่าจื้อ ข้างกายมีร่างสูใหญ่ขององค์รักษ์คนสนิท ยืนถวายความปลอดภัยไม่ห่าง

     

                    “ฝ่าบา ท่านกรมวังพาท่านฮีชอลมาเข้าเฝ้า” เสียงทหารยามจากภายนอกร้องแจ้งให้คนขางได้รับทราบ องค์ฮ่องเต้เพียงพยักพัตร์น้อย ซึงฮยอน องค์รักษ์ส่วนพระองค์ก็เปิดประตูต้อนรับคนทั้งสอง

     

                    ร่างผอมของอดีตนักโทษเดินโซเซ อย่างไร้เรี่ยวแรงเข้ามาภายใน พร้อมกับขุนนางผู้ภัคดี สิ่งที่ฮ่องเต้ซีวอนทอดพระเนตรเห็น คือ ดวงตากลมโตแดงกล่ำ ใบหน้าเรียวซูบผอมลงไป แก้มใสยังมีรอยแดงจางๆ “ท่านกรมวัง ขอบใจมากที่นำนักโทษมาส่งให้เรา ท่านออกไปได้แล้ว เจ้าด้วยซึงฮยอน”

     

                    “รับด้วยเกลากระหม่อม” แม้ขุนนางเฒ่าและคนสนิทจะถวายความเคารพ หากแต่สายพระเนตรยังคงจับจ้องที่ร่างเพรียวที่นิ่งเงียบ คุกเข่าอยู่หน้าโต๊ะทรงงาน

     

            “ฮีชอล เจ้าโกรธพี่หรือไร ถึงปิดปากแน่นเช่นนั้น” วรกายสูง เสด็จมาประทับหน้าร่างเล้กที่ยังคก้มหน้านิ่งไม่พูดไม่จา เหมือนไม่รับรู้ว่ามีคนมายืนอยู่เบื้อหน้า

     

                    นิ้วพระหัตถ์เรียวขององค์ฮ่องเต้หนุ่มเชยคางเล็กขึ้นมาเพื่อให้สบตากับพระองค์ “เจ้าไม่พูดแล้วพี่จะรู้หรือว่าเจ้าโกรธเคืองพี่เรื่องอะไร หืม”

     

                    สุรเสียงทุ่มนุ้มที่เต็มไปด้วยกระแสความความห่วงใย ไม่อาจเปิดปากเล็กให้เอ่ยกล่าวสิ่งที่คับแค้นอยู่ภายใน มีแต่น้ำตาเท่านั้นที่กำลังไหลริน จนผู้สูงศักดิ์ต้องรีบ ทรุดลงนั่งเพื่อดึงรั้งศีรษะเล็กเข้าสู่อ้อมพระพาหาเพื่อปลอบโยน “อย่าร้องสิฮีชอล  เจ้ามีสิ่งใดที่อัดอั้นก็บอกพี่ โกรธเคืองเรื่องใด หากไม่พูด แล้วเราจะเข้าใจกันหรือ”

     

                    “.......” มีเพียงความนิ่งเงียบเท่านั้นที่ร่างเล็กถวายแด่ฮ่องเต้ผู้ลดองค์ลงมาทรุดอยู่กับพื้น

     

                    “โธ่ ฮีชอล หรือเจ้าโกรธพี่เรื่องที่พี่ตบหน้าเจ้ากัน พี่ขอโทษ เจ้าคงเจ็บมากใช่ไหมดูสิ ยังแดงอยู่เลย เดี๋ยวพี่จะให้หมอหลวงปรุงยามาให้เจ้า ดีไหม” ไม่ใช่แค่พระสุรเสียงอ่อนโยน แววพระเนตรนั้นทอประกายความห่วงใยอันออกมาจากพระหฤทัย ที่มีต่อน้องน้อง

     

                    พระดัชนีทรงไล้แก้มใสที่ยังคงรอยแดงของฝ่าพระหัตถ์ น้ำตาหยาดเล็กๆ ไหลงลงมาจากดวงตากลมหากแต่ยังคงไร้เสียงใดๆ แม้แต่เสียงสะอื้น

     

                    “เจ็บมากหรือ ฮีชอล อยู่ในเรือนอาญาคงไม่มีใครนำยาไปให้เจ้า มานี้นะ พี่มียาที่พอจะรักษารอยแดงช้ำอยู่บ้าง เจ้านั่งอยู่ตรงนี้ก่อนนะ” ทรงประคองร่างเล็กให้ลุกขึ้นมานั่งยัง เก้าอี้ไม้แกะสลักลายมังกร ทีทรงประทับอยู่ก่อนหน้านี้

     

                    ตลับยาสวยงาม ภายในบรรจุยารักษาที่ราคาแพงยิ่ง สำหรับฮ่องเต้เพียงพระองค์เดียว ถูกพระหัตถ์หนาแตะเนื้อยา ก่อนนำไปทาบนรอยแดงช้ำของคนที่ยังคงนั่งร้องไห้เงียบๆ “หากพี่ลงมือหนักก็บอกนะ หรือเจ้าเจ็บที่ใดอีกก็บอกพี่ อย่าเอาแต่นั่งเงียบเช่นนี้เลย ฮีชอล”

     

                    พระหัตถ์หนา แตะก้มใสเพียงแผ่วเบา กลัวน้องน้อยจะเจ็บไปกว่านี้ เนื้อยาชั้นดีถูกทาวนให้ทั่วรอยแดงช้ำ น้ำตาใสก็ยังคงไหลลงมาไม่ขาดสาย แม้ว่าพระอังคุฐ*จะคอยเกลี่ยออกก็ตาม

     

                    “เจ้าเจ็บส่วนใดอีกหรือไม่ฮีชอล ข้อมือ ข้อเท้าที่ถูกจองจำ เจ็บไหม ให้พี่ดูหน่อยนะ” เสมือนว่าองค์ฮ่องเต้ทรงมีรับสั่งกับพระองค์เอง แต่กระนั้นก็ยังทรงพูดเพื่อให้อีกคนได้ฟัง บางทีอาจได้รับรู้ถึงความห่วงหาจากพระองค์บาง

     

                    ข้อมือเล็กแดงช้ำจากเหล็กตรวนที่ถูกจองจำ ถูกชายหนุ่มผู้สูงศักดิ์ เหนือใครทั้งแผ่นดิน ทายารักษาให้อย่างแผ่วเบา ผู้ที่ไม่เคยต้องทำสิ่งนี้ให้กับใคร กำลังทายาให้แก่น้องน้อยที่กำลังโกรธเคืองและโศกเศร้า

     

                    “แล้วที่ข้อเท้าเจ้าเล่า ฮีชอล ขอให้พี่ดูหน่อยเถอะนะ” ทรงลงองค์ ต่ำกว่าร่างบาง ก้มดูข้อเท้าเล็กที่เคยขาวใสตอนนี้บวมแดง จนไม่แปลกพระทัยเลย เหตุใดเมื่อแรกเห็นจึงได้เดินโซเซเช่นนั้น

     

                    “ให้พี่ทายาให้เจ้านะ อย่าได้ถอยเท้าหนีเลย” ทรงเงยพระพักตร์บอกกับเจ้าของข้อเท้าบางที่ถอยหนี ยามที่พระองค์จะนำวางบนตัก

     

                    “หายไวๆนะ” ทรงพูดกับแผลแดงช้ำบนข้อเท้าเล็กที่ได้จากโซ่หนักที่ผูกมัดระหว่างอยู่ในเรือนอาญา “พี่จะเป็นคนทายาให้เจ้าทุกวันเอง ทาจนกว่าจะหาย อย่าร้องไห้อีกเลยนะ”

     

                    องค์ฮ่องเต้ประทับยืนเต็มความสูงของพระองค์ โน้มวรกายรั้งร่างเล็กที่นั่งอยู่เข้าสู้พระพาหาอีกครั้ง ลูบปลอบศีระเล็กและแผ่นหลังบาง หวังให้คลายความโศกเศร้าลงบ้าง แต่ก็เหมือนกอดตุ๊กตาที่ไร้ชีวิต เมื่อร่างเล็กยังคงเอาแต่นิ่งงัน และปล่อยให้สายน้ำไหลลงมาไม่ขาดสาย

     

                   “หรือเจ้าโกรธพี่เรื่องท่านอากัน” เพียงแค่หลุดเรื่องที่ทรงสงสัย ก็ได้รับคำตอบ เป็นปฏิกิริยานิ่งงันเกร็งตัวของน้องน้อยในอ้อมกอดทันที

     

                    ร่างเล็กของอ๋องน้อยที่เคยยิ่งใหญ่ ขืนตัวออกจากอ้อมพระพาหาของคนที่สั่งถอดยศและขับไล่บิดาของตนทันที ดวงตากลมโต จับจ้องบุรุษผู้สูงศักดิ์ตรงหน้าด้วยความเจ็บปวด...

     

                    มีใครบางเล่าจะไม่เจ็บปวด

     

                    ....พ่อถูกขับไล่

     

                    ....บ้านที่เคยมีถูกยึด

     

                    ....ทรัพย์สินมากมายหายไป

     

                    ไม่หลงเหลือสิ่งใด...แม้แต่ศักดิ์ศรีของความเป็นชาย

     

                    ทั้งหมดถูกลิดรอนด้วยชายตรงหน้า ชายผู้สูงศักดิ์จนมิอาจแก้แค้นได้

     

                    เพียงแค่เริ่มคิดน้ำตาจากสายเล็กๆกลายเป็นนองหน้า ด้วยเกรียติที่ถูกปลูกฝังมาแต่เล็กถึงศักดิ์ศรีของความเป็นเชื้อวงศ์มังกรจักพรรดิ ไม่อาจให้ผู้ใดเห็นน้ำตาไปได้มากกว่านี้ ร่างเล็กลุกขึ้นเดินอย่างช้าๆ ไม่สนใจคำเรียกขานจากบุรุษผู้สูงศักดิ์

     

                    “ให้กระหม่อมไปนำตัวกลับมาหรือไม่ฝ่าบาท” องค์รักษ์คนสนิทที่ยีนถวายความปลอดภัยอยู่ด้านนอกมองเห็นท่านอ๋องน้อยที่เคยหยิ่งผยองเดินจากไป พร้อมเสียงเรียกขององค์ฮ่องเต้ รีบเดินเข้ามาถามเพื่อถวามยการรับใช้

     

                    “ไม่ต้องหรอก ฮีชอลคงกำลังตกใจที่รู้เรื่องของท่านอา จัดทหารไปเฝ้าหน้าห้องของฮีชอล อย่าให้คิดทำร้ายตัวเองเหมือนครั้งนั้นอีก บอกพวกมันว่า หากฮีชอลเป็นอะไรไป พวกมันจ้องรับผิดชอบชีวิตของอ๋องน้อย”  ฮ่องเต้หนุ่มทรงถอนพระปัสสาสะ ที่ตรัสไปก็เพียงแค่ขู่ หากอ๋องน้อยคิดฆ่าตัวตายอีกใครกันจะห้ามได้ ยามนี้ทรงมั่นพระทัยแล้วว่าสิ่งใดที่ทำให้น้องน้อยของพระองค์เป็นเช่นนี้

     

                    ฮีชอล เจ้าอย่าเป็นเช่นนี้อีกเลย ที่พี่ทำก็เพื่อบ้านเมือง หวังว่าสักวันเจ้าจะเข้าใจพี่..ยอมอภัยให้พี่

      

          

     

              * ~ * ~ * ~ * ~ *~ * ~* ~* ~ * ~ * ~ * ~ * ~ * ~ * ~ *

                   

                    “ซึงฮยอนเจ้าว่า สิ่งที่เราทำมันน่าโกรธมากเลยหรือ ฮีชอลถึงได้ไม่ยอมเอ่ยปากกับเราแม้แต่คำเดียว เช่นนี้” ฮ่องเต้หนุ่มทรงปรึกษากับองค์รักษ์คนสนิท ด้วยความกังวลพระทัยถึงอาการของน้องน้อย

     

                    “ไม่ว่าใครก็คงโกรธหล่ะกระหม่อม คนที่เคยมีทุกอย่าง หากเพียงชั่วข้ามคืนกลับไม่เหลือสิ่งใดเลย แม้แต่ตำแหน่งที่ติดตัวมาแต่กำเนิด ” องค์รักษ์คนสนิท สันนิษฐานตามสิ่งที่เห็นอยู่

     

                    “งั้นหรือ แล้วเราจะทำยังไงให้ฮีชอลยอมเปิดปากพูด ยอมกลับเป็นฮีชอลคนเดิม ที่เที่ยวเล่นสนุกสนาน” ทรงรำพึงกับตัวเอง เบาๆ ทอดสายพระเนตรไปไกล ถึงวันแรกที่พบเจอ

     

                    “อย่างท่านอ๋อง กระหม่อมว่า คงซึมเศร้าได้ไม่นานนัก แล้วจะกลับมาเป็นดังเก่า” ซึงฮยอนคาดเดาจานิสัยช่างสำราญของอ๋องน้อย ที่ไม่เก็บเรื่องใดมาคิด

     

                    “เราไม่คิดว่ามันจะเป็นเช่นนั้น อย่างที่เจ้าบอก คนที่เคยมีทุกอย่าง แต่สูญเสียมันไปในชั่วข้ามคืน เรื่องร้ายที่ผ่านเข้ามามากเกินไป อาจเปลี่ยนแปลงคนได้”

     

                    “หากเป็นเช่นที่ฝ่าบาททรงวิตก กระหม่อมว่า ท่านอ๋อง อาจปลีกตัวและรู้สึกแปลกแยกจากทุกคน มองเห็นคนทั้งโลกเป็นศัตรู”  

     

                    “เฮ้อ!  แค่ที่ผ่านมา เราว่ามันก็ยากพอแล้ว เราเกรงว่าจะทำร้ายร่างกายตัวเองอีก คงต้องให้ทหารเฝ้าระวังเอาไว้อย่าให้คลาดสายตา ยามกลางคืนก็คงต้องออกคำสั่งให้มานอนกับเรา” ฮ่องเต้หนุ่มถอนพระปัสสาสะ อย่างเหนื่อยพระทัย

     

                    “กระหม่อม จะให้ทหารคอยเฝ้าสังเกตการณ์ไว้อย่างใกล้ชิด จะไม่มีเหตุการณ์เช่นคราวก่อนอีกแล้ว ท่านอ๋องจะไม่มีแตะต้องของมีคมใดๆ แม้แต่เข็มสักเล่ม”

     

                    “อือ สั่งทหารให้เคร่งครัด อย่าให้พลาดอีก” ฮ่องเต้หนุ่มพอจะโล่งพระทัย หากแต่อีกหนึ่งสิ่งที่ลอยล่องอยู่ในความคิด กลับเพิ่มความหนักพระทัยอีกครั้ง “ เจ้าว่าหากฮีชอลรู้ว่าการนำตัวเข้ามาในวังครั้งนี้เป็นหนึ่งในแผนการที่เราวางไว้เพื่อหวังดึงท่านอาออกจากตำแหน่ง จะเกิดสิ่งใดขึ้น” ยามนี้ ฮ่องเต้มิอาจสนพระทัยในตำราตรงหน้า ในห้วงความคิดมีแต่ภาพน้องน้อยเมื่อยามเช้า

     

                    “หากท่านอ๋องทราบ กระหม่อมว่า เรื่องราวคงรุกลามใหญ่โต ยิ่งหากทราบเรื่อง การถอดยศท่านปาหยางอ๋องว่าเป็นที่พระองค์ทรงตั้งพระทัยไว้แต่แรก ท่านอ๋องอาจหาโอกาสเพื่อลอบปลงพระชนม์ฝ่าบาท” แม้รู้ว่าฝีมือฮ่องเต้มิอาจหาผู้ใดเทียบเคียงได้ แต่องค์รักษ์ก็ยังคงอดหวั่นเกรงมิได้

     

                    “เรื่องนั้นเราไม่เกรงเลยซึงฮยอน เราเกรงแค่ว่า ฮีชอลจะทำร้ายตัวเองอีก เรากลัวแค่ว่า เราอาจไม่มีโอกาสช่วยน้องได้เป็นครั้งที่สอง” สุรเสียงกังวลจนมิอาจปกปิดได้มิด

     

                    “กระหม่อมจะให้ทุกคนที่รู้เรื่องปิดปากให้สนิท จะไม่ให้แผนการของฝ่าบาทต้องล่วงรู้ถึงท่านอ๋องเป็นอันขาด” องคักษ์คนสนิท สร้างความสบายพระทัยแก่เจ้าเหนือชีวิต โดยหารู้ไม่ว่า ไม่ทันการเสียแล้ว...

     

                    ร่างโปร่งที่ต้องโทษทำให้ฮ่องเต้หลั่งโลหิตถูกบังคับให้นำพระกายาหารสำหรับฮ่องเต้มาถวาย แต่ต้องหยุดชะงักเพื่อฟังเรื่องราวที่คนภายในห้องกำลังพูดคุย เมื่อแน่ใจว่า นั้นเป็นเรื่องของตน ร่างบาหยุดชะงักเพื่อฟังสิ่งต่างๆที่อาจเป็นความลับ

     

                    ความเงียบรอบข้างทำให้ได้ยินเรื่องราวต่างๆได้เป็นอย่างดี อาจไม่เข้าใจทั้งหมด หากแต่ก็รับรู้ได้รางเลือน เมื่อนำมาปะติดปะต่อจนมั่นใจได้ว่า ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นกับตนและครอบครัว เป็นสิ่งที่มีคนตั้งใจให้มันเป็น

     

                    เรียวฟันขาวสะกดกั้นตนเอง กัดริมฝีปากเผือดสีมิให้น้ำตาต้องหลั่งรินแก่โชคชะตาที่แสนโหดร้าย ดวงตากลมโตวาวโรจน์ แค้นเคืองคนที่ทำลายทุกสิ่งในชีวิต

     

                    จากความหวาดเกรงในอำนาจของชายผู้หนึ่ง บัดนี้ร่างบางไม่สนใจในสิ่งใด นอกจากความแค้นที่สุมอยู่เต็มหัวใจ

     

                    แค้นที่ต้องชำระ...แม้จะยากยิ่งเพียงใด 

     

              * ~ * ~ * ~ * ~ *~ * ~* ~* ~ * ~ * ~ * ~ * ~ * ~ * ~ *

                    ราตรีที่แสนเงียบเหงา ร่างบางแนบกายนิ่งชิดติดผนัง มือบางซุกใต้หมอนหนุน ดวงตากลมหลับตาแน่นสนิท หันหลังให้ร่างสูงที่นอนร่วมเตียงปิดทางออกจนมิด หากจะลงจากเตียงกว้าง คือต้องผ่านร่างสูงของชายผู้สูงศักดิ์เท่านั้น

     

                    ลมหายใจอ่อนๆ พระอุระหนาขยับขึ้นลงสม่ำเสมอตามจังหวะการหายใจ บอกได้ว่าคนสำคัญของแผ่นดิน เข้าสู่ห้วงนิทราแล้ว ดวงตากลมโตจึงเปิดกว้างขึ้นพร้อมรอยยิ้ม

     

                    ไม่สามารถสู้ได้...ใช่ว่าจะไร้หนทางเอาชนะ ... 

     

                    อาวุธแหลมคม ถูกดึงออกมาจากใต้หมอน โลหะเงาสะท้อนเล่นแสงกับดวงจันทร์กลมโตที่ส่องแสงเหลืองนวล ลมหนาวพัดผ่านหน้าต่าง ให้สะท้านกาย

     

                    มือบางยกกริชประจำกายขึ้นเหนือร่างหนา ดวงตากลมจ้องที่อุระด้านซ้ายไม่กระพริบ หมายจะปักกริชทิ่มแทงลงไป จนลืมสังเกตการณ์เคลื่อนไหวแผ่วเบา

     

                    ร่างบางพุ่งกริชลงไปที่แผ่นอกกว้างอย่างรวดเร็วเพียงแค่ตากระพริบ คมกริชจะแทรกตัวผ่านผิวเนื้อที่หยาบหนา คมทั้งสองด้านจะบาดลึกเปิดปากแผลให้กว้าง ก่อนที่ปลายอันแหลมคมจะตัดเส้นเลือดที่หล่อเลี้ยงหัวใจ

     

                    .....จบสิ้นแผ่นดินซีวอนฮ่องเต้ในคืนนี้

                   

                    แต่สิ่งที่อ๋องน้องต้องการกลับไม่เป็นดังคาด คนที่หลับลึกใช้พระหัตถ์หยาบจับข้อมมือบางที่กำกริชแน่น โดยไม่แม้แต่จะลืมพระเนตรขึ้นมอง

     

                    “เจ้าคิดว่าจะใช้กริชนี้เอาชีวิตพี่ได้งั้นหรือ” สุรเสียงนุ่มทุ้ม แม้ดวงเนตรยังไม่ลืม แต่สามารถหยุดปลายคมแหลมก่อนที่จะสัมผัสวรกายเพียงแค่เยื่อกระดาษบางขวางกั้น

     

                    “....” ไร้เสียงตอบรับใด หากแต่ข้อมือบางที่ถูกหยุดชะงักเหนือแผ่นอกหนากลับดิ้นรนขัดขืน หากแต่ก็ไร้สิ้นหนทาง เว้นเสียแต่ว่าผู้ที่จับนั้นจะยอมปล่อย

     

                    พระเนตรคมเปิดกว้างจ้องมองใบหน้าหวานของผู้ที่กำกริซอยู่เหนือพระหทัย “เจ้าคิดจะฆ่าคนทั้งที่น้ำตาอาบหน้างั้นหรือ ฮีชอล” นิ้วพระหัตถ์ไกล่เกลี่ยแก้มใส ไล้น้ำตาใสออกไปจากใบหน้าหวาน

     

                    “.....”

     

                “น้ำตาของเจ้าอย่าให้มันรินไหลนักสิ พี่ไม่ชอบมองเลย” ฮ่องเต้หนุ่มประทับนั่ง ปล่อยพระหัตถ์จากข้อมือเล็ก รั้งไหล่บางเข้ามาในอ้อมพระพาหา กดทับใบหน้าเล็กให้ซุกกับอ้อมพระอุระแสนอุ่น

     

            “ข้าไม่จำเป็นต้องทำตามสิ่งที่ท่านชอบ องค์ฮ่องเต้ ข้าแค่ทำตามสิ่งที่ข้าปรารถนา” แม้ยังสะอึกสะอื้นในพระอุระ หากแต่ฝีปากท่านอ๋องก็ยังไม่ลดความเก่งกล้าลงไป

     

                    “สิ่งที่เจ้าปรารถนาคืออะไรหล่ะ ชีวิตพี่งั้นหรือ ฮีชอล?” ทรงถามคนในอ้อมพระพาหาอีกครั้ง พระหัตถ์ลูบไล้ผมนุ่ม

     

                    “หากท่านไม่สั่งประหารข้า สักวันวันข้าจะกลับมาฆ่าท่านอีก” เสียงสั่นไหว ดังเล็ดลอดออกมาทั้งน้ำตาของคนพูด ที่สั่นไหวไปกับความอบอุ่นที่ได้รับยามอ่อนแอ

     

                    “พี่ทำแบบนั้นไม่ได้หรอก ฮีชอล พี่ทำกับเจ้าแบบนั้นไม่ได้จริงๆ หากเจ้าต้องการชีวิตพี่เพื่อแก้แค้นให้กับท่านลุง ก็ลงมือก่อนที่ฟ้าจะสาง” ถ้อยคำแสนอบอุ่น ไม่เหมือนว่ากำลังตรัสเรื่องสำคัญ สุรเสียงคล้ายว่ากำลังขับกล่อมเด็กน้อย

     

                    “ท่านประมาทฝีมือข้างั้นหรือฝ่าบาท ท่านคงคิดว่าข้าไร้ความสามารถจมไม่อาจปลิดชีวิตท่านได้ ท่านเป็นโอรสสวรรค์ที่ฝักใฝ่ในพญายมงั้นหรือ”

     

                    “เปล่าเลยฮีชอล พี่ไม่ได้ประมาทจนหาญกล้าวางชีวิตไว้ในมือของพญายม แต่ฝีมือแบบเจ้างั้นหรือที่จะเอาชีวิตพี่ได้ เรี่ยวแรงก็เท่านี้ ทำอะไรพี่ไม่ได้หรอกนะ” พระองค์ตรัสแก้ให้น้องน้อยเจ้าใจ “หากเจ้าอยากฆ่าพี่นัก พี่จะสอนให้เอาไหม ทุกสิ่งที่พี่รู้ พี่จะสอนเจ้าเอง”

     

                    “.....” ร่างบางที่ซุกอยู่นิ่งอึ้งในคำกล่าวที่ได้ยิน

     

                    “เงียบทำไมกัน ก็เจ้าแค้นพี่เรื่องท่านอาไม่ใช่หรือ พี่ก็จะให้โอกาสเจ้า อีกสามเดือนเรามาประลองกัน หากเจ้าชนะ พี่จะคืนทุกอย่างให้แก่เจ้า รวมถึงอิสรภาพที่เจ้าต้องการ แต่ภายในสามเดือนนี้ พี่จะเป็นคนสอนการต่อสู้ทั้งหมดให้เจ้าเอง ตกลงไหม” ฮ่องเต้หนุ่มทรงก้มพระพักตร์ถามร่างบางในอ้อมพระพาหา

     

            “....” ไร้ซึ่งคำตอบรับอีกครั้ง หากแต่โอรสสวรรค์ก็ล่วงรู้ได้ว่า ร่างบางยอมรับในข้อเสนอนี้แล้ว พระโอษฐ์ทรงแย้มออก ก่อนโน้มตัวลงนอนอีกครั้ง พร้อมร่างเล็กของน้องน้อย

     

                    “พี่ยอมรับว่าทั้งหมดเป็นแผนที่พี่ต้องการให้มันเกิด แต่คืนชมจันทร์ของเรามันไม่ใช่แผนการลูกไม้เล่ห์กลใดๆทั้งสิ้น หากเจ้าอยากโกรธแค้นพี่เพราะเรื่องราวทั้งหมด ก็จงรู้ไว้ว่าคืนนั้นเกิดขึ้นจากความไม่ตั้งใจ แต่เป็นค่ำคืนที่พี่มีความสุขและตราตรึงในใจไปตลอด” พระโอษฐ์หนาประทับลงบนกลุ่มผมนุ่ม ขับกล่อมบทเพลงรักกลางฤดูหนาว ให้น้องน้อยหลับฝันดี          

     

              * ~ * ~ * ~ * ~ *~ * ~* ~* ~ * ~ * ~ * ~ * ~ * ~ * ~ *

     

                    พระอังคุฐ = นิ้วโป้ง

     

    Talk

     

            อ่าปล่อยค้างมาหลายวัน ในที่สุดก็ได้มาลง เอามาต่อแล้วนะคะ ครบร้อยแล้วด้วย

                    เหมือนจะโหด แต่ไม่โหซะงั้น งงๆกับตัวเอง

                    ดูอึนๆนะคะ เพราะว่า บราซิลกลับบ้านไปเที่ยวเดียวกับอาร์เจนตินาเลย เฮ้อ ไม่เหลือแล้วบอลโลก

     

                   

                    เซี่ยเซี่ยหนี่

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×