ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Once upon a Time กาลครั้งหนึ่ง...จนถึงตอนนี้ (woncin)

    ลำดับตอนที่ #3 : {แก้คำผิดค่ะ} ปีหนึ่ง...เพื่อนกัน

    • อัปเดตล่าสุด 15 มี.ค. 54


    ปีหนึ่ง...เพื่อนกัน

     

                    บรรยากาศการเปิดภาคเรียนวันแรกของมหาวิทยาลัย เต็มไปด้วยสีสัน เสียงหัวเราะของการได้กลับมาเจอเพื่อน แต่สำหรับสำหรับนักศึกษาปีหนึ่งที่พึ่งก้าวย่างจากความเป็นเด็กเข้าสู่ความเป็นผู้ใหญ่ที่ต้องรับผิดชอบตัวเองมากขึ้น จัดสรรเวลาต่างๆด้วยตนเอง มันช่างเป็นเรื่องที่น่าตื่นเต้น  กับการได้เริ่มต้นสิ่งใหม่ๆ บางคนที่มีเพื่อนมาจากโรงเรียนเดิมด้วยกันก็โชคดี แต่บางคนที่ไม่มีใครมาด้วยเลย ก็อาจจะเคว้งคว้างอยู่บ้าง แต่มันก็ไม่ยากเกินไปที่จะสร้างมิตรภาพขึ้นมาใหม่

     

                    “ขอโทษครับตรงนี้มีคนนั่งหรือเปล่า” เด็กหนุ่มรูปร่างบาง ในหน้านิ่งเฉย เดินเข้ามาในห้อง ก่อนจะถามกับเด็กหนุ่มรูปร่างสูงใหญ่ที่นั่งอยู่เก้าอี้แถวหน้าสุด ข้างๆกันมีเก้าอี้ว่างอีกหนึ่งตัว

                   

                    “ไม่มีหรอก จะนั่งก็ได้ เราชื่อจองวู”

     

                    “หวัดดี เราชื่อฮีชอล”

     

                    ห้องเรียนในคลาสที่แบ่งตามกลุ่มดูเป็นแหล่งที่จะหาเพื่อนใหม่ได้ง่ายที่สุดเพราะจะต้องเจอหน้ากันไปอีกนาน อย่างน้อยที่สุดก็หนึ่งปี หรืออย่างมากที่สุดก็สี่ปี  เหล่าอาจารย์ในคาบแรกจึงให้เวลานักศึกษาหน้าใหม่ยืนขึ้นแนะนำตัวเองกับเพื่อนใหม่

     

    “สวัสดีครับ ผมลี ซองมินครับ” เสียงที่หวานเบาๆเรียกสายตาของทั้งคนห้องเกือบสามสิบคนต้องหันไปมองร่างอวบน่ารักน่ากอดที่นั่งเงียบๆหลังห้องเพียงคนเดียว ทุกคนยกยิ้มให้กับร่างเล็กที่ดูขี้อาย ก่อนจะหันกลับมาที่หน้าห้องอีกครั้งเมื่อแนะนำตัวเองครบทุกคน

     

    การเรียนวันแรกผ่านพ้นไปอย่างง่ายดายเมื่ออาจารย์ที่เข้ามาแต่ละคนก็เพียงแค่สั่งให้ไปซื้อเอกสารปะจำวิชาแต่ละวิชา อธิบายรายวิชาให้เข้าใจว่าเนื้อหาเป็นเช่นไร แจกคลอสซีลีบัส ให้นักศึกษาไปเรียมตัวเตรียมใจว่าแต่ละอาทิตย์ต้องเจอกับอะไรบ้าง จนกระทั่งเลิกคลาสเมื่อเวลาเที่ยงมาถึง

     

                    “นาย ชื่อฮีชอลใช่ไหม เราจำได้ตอนที่ลุกขึ้นมาแนะนำตัว” ร่างอวบที่นั่งหลังห้องรีบวิ่งมาข้างหน้าเพื่อให้ทันกับคนนั่งอยู่ข้างหน้าสุด และดูเหมือนจะไม่มีเพื่อนมาด้วย

     

                    “อือ ใช่ นายยย..ซองมินใช่ไหม พอดีเรายังจำชื่อไม่ค่อยได้” รอยยิ้มบางๆของคนถูกทักทำให้คนทักแสนขี้อายมีกำลังใจที่จะสานต่อมิตรภาพที่พึ่งเริ่มก่อตัวขึ้นมา

     

                    “ใช่เราชื่อซองมิน ไปกินข้าวด้วยกันนะ” ร่างอวบสรุปเองเออเองก่อนจะเดินเคียงกันไป ออกจากห้องเรียนไปตามทางเดินที่นักศึกษาแต่ละห้องก็เดินออกมา และแย่งกันเข้าไปในลิฟต์ที่มีเพียงแค่สองตัว “เราเดินลงกันดีกว่านะ ขี้เกียจรอลิฟต์ คนก็เยอะด้วย”

     

                    “ตามใจสิ แต่ว่า เดี๋ยวเราต้องไปกินข้าวที่ร้านอาหารของมหาลัยนะ เพราะว่าฉันนัดเพื่อนอีกคนหนึ่งไว้ เป็นเพื่อนที่เรียนมาด้วยกัน แต่ว่าอยู่กันคนละคณะ” เด็กหนุ่มยิ้มให้กับเพื่อนคนแรกที่ได้เจอในมหาวิทยาลัยกว้างแห่งนี้

     

                    “อือ น่าอิจฉาจังมีเพื่อนมาเรียนที่เดียวกัน ถึงจะคนละคณะก็เหอะ เราดิ ไม่มีเพื่อนมาเลยสักคน” ร่างอวบบ่นนิดหน่อย ทำเสียงปอดแปดแบบที่ชอบทำเสมอๆกับเพื่อนเก่า และดูเหมือนเพื่อนใหม่เองก็จะชอบใจ

     

                    “เอาหน่า อย่างซองมินเราว่าเดี๋ยวก็คงมีคนอยากเป็นเพื่อนเยอะหรอก  เรารีบเดินไปกันดีกว่า เดี๋ยวคนเยอะ” ร่างที่ผอมบางกว่าอมยิ้มน้อยๆให้กับความน่ารักของเพื่อนใหม่ ที่เรียกสายตาของคนทั้งห้องให้หันไปมองได้ตั้งแต่แนะนำตัวครั้งแรก

     

                    “เฮ้ พวกนายอ่ะ ฉันไปกินข้าวด้วยคน” เสียงร้องเรียกมาจากด้านบนบันได ทำให้คนทั้งสองที่เดินลงบันไดแทนลงลิฟต์ต้องหันกลับขึ้นไปมอง ก่อนที่ร่างบางจะฉีกยิ้มกว้างที่เห็นเป็นคนที่นั่งด้วยเมื่อคาบเช้า

     

                    “อ้าว จองวู นี้ซองมิน” ฮีชอลเป็นคนแนะนำให้คนทั้งสองรู้จักกันอีกครั้ง เพราะก็เกือบจะแน่ใจว่าในห้องคงไม่มีใครจำชื่อเพื่อนได้หมด ก็ออกคนเยอะขนาดนั่น หรือจะจำได้ก็แค่ สามสี่คนที่นั่งอยู่ใกล้ๆกัน

     

                    “อือ หวัดดี เดี๋ยวพวกนายไปกินข้าวกันที่ไหน เราได้ยินมาว่าที่หน้าม. มีร้านอร่อยๆเยอะเหมือนกัน ไปกินที่หน้าม.เอาไหม นั่งรถฉันออกไป” เด็กหนุ่มที่เดินตามมาทีหลัง ชวนให้เพื่อนใหม่สองคนออกไปกินร้านข้าวหน้าม. ที่คนน่าจะน้อยกว่าร้านอาหารใต้คณะ

     

                    “ไม่ได้หรอก เพราะว่าฮีชอลนัดเพื่อนที่มาจากโรงเรียนเดียวกันเอาไว้ที่ร้านอาหารของมหาลัยแล้ว

    หล่ะ” เด็กหนุ่มตัวอวบบอกแทนอีกคนที่มีนัดกับเพื่อนเก่าเอาไว้แล้ว ก่อนจะส่งยิ้มหวานให้อีกครั้งตามประสาคนอารมณ์ดี

     

                    “อ้าวหรอ ไปกินที่นั้นหรอ ป่านนี้คนเยอะแล้วแน่ๆ แล้วเพื่อนของฮีชอลอยู่กลุ่มไหนหล่ะ เผื่อจะได้โทรไปบอกให้มาเจอกันที่นี้แล้วค่อยไปกินข้างนอกกัน” ดูเหมือนว่าเด็กหนุ่มที่สูงที่สุดจะยังไม่ลดละความพยายามที่จะลากเพื่อนใหม่ทั้งสองออกไปกินข้าวข้างนอกม.

     

                    “อ้อเพื่อนเราเรียนอีกคณะหน่ะ ไม่รู้ว่าเลิกหรือยัง แต่โทรไปตามไม่ได้หรอก เพราะเห็นว่าเมื่อเช้าบ่นๆอยู่ว่าลืมเอามือถือมา คงต้องไปหาที่นั้นก่อนแล้วหล่ะ แล้วไงค่อยว่ากันอีกที หรือว่าซองมินจะไปกินกับจองวูก่อนก็ได้ แล้วเดี๋ยวเราค่อยตามไปที่ห้อง” ฮีชอลหันมาให้ทางเลือกเพิ่มกับเพื่อนใหม่ เพราะป่านนี้ที่ร้านอาหารใหญ่ก็คงคนเยอะจริงๆ

     

                    “ไม่เป็นไรหรอก เราไปกินกับฮีชอลแล้วก็เพื่อนดีกว่า” ซองมินส่งยิ้มขอโทษให้กับเพื่อนใหม่อีกหนึ่งคนที่พึ่งรู้จัก อยากจะคว้ามือบางของฮีชอลแล้วลากไปตามทางเดินเพราะมัวแต่ยืนคุยอยู่แบบนี้คงคนเต็มจริงๆ

     

                    “อ้าว งั้นเราไปด้วยก็ได้ วันแรกกินข้าวในม.ก่อนก็ได้ แล้วเดี๋ยววันหลังค่อยไปกินข้างนอกด้วยกันนะ” ในที่สุดร่างสูงก็เป็นฝ่ายยอมแพ้

     

                    ทั้งสามคนเดินคุยกันมาตลอดทางเดินทำให้รู้จักกันมากขึ้น และเมื่อมาถึงก็ได้แต่ถอนหายใจเฮือกใหญ่ให้กับจำนวนผู้คน ร่างบางต้องหันมายิ้มขอโทษให้กับเพื่อนใหม่อีกสองคนที่เป็นทำให้ต้องมาเจอกับคนจำนวนมาก แล้วยังเสี่ยงจะไม่มีที่นั่งอีก

     

                    ร้านอาหารของมหาลัย เป็นตึกทึบติดแอร์เย็นสองชั้นมีร้านค้าหยิบย่อยมากมาย ไว้คอยบริการนักศึกษาที่เบื่อร้านอาหารของคณะตนเอง มากินอาหารที่รสชาติก็ไม่ได้อร่อยพิเศษอะไรมากมาย แต่ก็ยังดีกว่านั่งเบื่อกินแต่ของเดิมๆ และวันนี้วันเปิดเทอมวันแรก คนก็ยิ่งเยอะกว่าปรกติ      

     

     “แล้วเราจะหาเพื่อนของฮีชอลเจอไหม คนเยอะขนาดนี้” จองวู เป็นคนแรกบ่นขึ้นมาเมื่อเห็นจำนวนผู้คนที่มากมายมหาศาลขนาดนี้ แล้วยิ่งจะให้มองหาใครสักคนก็ยิ่งเป็นเรื่องยาก

     

                    “เจอสิ ซีวอนหน่ะหาไม่ยากหรอก ตัวจะสูงๆ หน่อย เดี๋ยวเราเดินเข้าไปข้างในก็คงเจอแหล่ะ ป่านนี้แล้ว น่าจะมาจองให้พวกเราแล้วหล่ะมั่ง” ร่างบางเดินนำเข้าไปในอาคารที่มีผู้คนจำนวนมาก ก่อนสอดส่องสายตามองหาเพื่อนสนิทที่ป่านนี้คงนั่นหน้าบูดรออยู่ที่ไหนสักแห่ง

     

                    “เพื่อนของฮีชอลชื่อซีวอนหรอ” ร่างอวบที่เดินมาด้วยหันไปถามชื่อเพื่อนที่มาจากโรงเรียนเดียวกันของร่างบาง ส่วนสายตาก็ช่วยมองหาคนตัวสูงๆที่น่าจะเป็นชายหนุ่มที่กำลังตามหา

     

                    “อือ ซองมินรู้จักหรอ” ฮีชอลหันขวับมามองหน้าเพื่อนใหม่อย่างแปลกใจ ที่รู้จักเพื่อนของเขา แต่คิดอีกที คนอย่างซีวอนจะมีคนรู้จักก็ไม่แปลก

     

                    “เปล่าหรอก แต่ว่าชื่อคล้ายลูกชายของ ชเว ซูมินเลยนะ” ร่างอวบรีบอธิบายต่อทันทีที่เห็นใบหน้าแสดงความสงสัย ของเพื่อนใหม่ตัวเล็กบาง แล้วยังใบหน้ามึนงงของอีกคนที่ตัวสูงกว่า “ก็เขาเป็นเจ้าของบริษัทเรือเดินสมุทรที่เราเคยทำรายงานสมัยอยู่ม.หกหน่ะ ก็เลยพอรู้ประวัติมาบ้าง ว่ามีลูกชายชื่อ ชเว ซีวอน เท่านั้นเอง แล้วชื่อเพื่อนฮีชอลก็ไปคล้ายๆเราก็เลยทัก ไม่มีอะไรหรอก”

     

                    “อ้อ แล้วเพื่อนฮีชอลนามสกุล ชเว หรือเปล่าหล่ะ” จองวูคนที่สูงที่สุดในบรรดานักเรียนปีหนึ่งทั้งสาม หันมาถามเพื่อนตัวบางๆ อย่างนึกสนุก หาเรื่องให้หัวเราะเล่น แก้เครียด ระหว่างหาเจ้าคนที่ชื่อเหมือนลูกชายบริษัทเรือเดินสมุทร

     

                    “อือ ชเว ซีวอน คือคนที่เรากำลังต้องหานั่นแหล่ะ” ร่างเล็กตอบในลำคอ ทวนคำทั้งชื่อและนามสกุล ที่บอกฐานะของคนที่ทำให้ต้องมาชะเง้อมองหาอยู่แบบนี้ ก่อนที่ใบหน้าหวานจะยิ้มกว้างออกมาเมื่อเห็นคนที่กำลังทำหน้าเบื่อโลกนั่งอยู่เพียงลำพัง “เจอแล้ว นั่นไงซีวอน”

     

                    “เอ๋! นั่นนน มันซีวอนจริงๆนิ”

     

                    “ก็จริงหน่ะสิ ซองมิน ทำไมหล่ะ ไปเร็วเหอะ สงสัยเราคงโดนบ่นแน่เลย” ร่างบางจูงมือเพื่อนใหม่ทั้งสองที่ดูจะไม่อยากเดินเข้าไปใกล้เด็กหนุ่มวัยเดียวกันที่กำลังนั่งหน้าไม่สบอารมณ์ “ซีวอนมารอนานหรือ ยัง ฉันขอโทษ” ยิ้มหวานๆคืออาวุธอย่างแรกที่ร่างบางเลือกใช้ต่อสู้กับความโมโหของเพื่อนรัก

     

                    “ไปทำอะไรมา ฉันมานั่งรอตั้งนาน หรือมัวแต่เจอเพื่อนใหม่กัน” สายตาคมตวัดมองคนแปลกหน้าสองคน ที่ไม่คาดคิดว่าคนอย่างฮีชอลจะลากมาเจอ ในวันแรกแบบนี้

     

                    “ขอโทษ ฉันไม่ได้ตั้งใจ แต่ว่าอาจารย์ปล่อยช้า แล้วนี้นายไปหาอะไรกินเหอะ เดี๋ยวฉันเฝ้าโต๊ะให้ก่อนก็ได้” จากยิ้มหวานกลายเป็นยิ้มเจื่อนลงเมื่อเห็นว่าเพื่อนรักยังไม่หายโกรธ สุดท้ายก็ได้แต่ไล่ให้ชายหนุ่มไปซื้อของ พร้อมกับเพื่อนใหม่อีกสองคน

     

                    เมื่อคนทั้งสามกลับมาที่โต๊ะแล้ว ร่างบางของฮีชอลจึงได้ลุกออกไปหาซื้อของบ้าง แต่เวลานั้น ก็ไม่เหลืออะไรให้เลือกมากมายแล้ว หรือถึงเหลือก็ดูไม่น่ากินเท่าไหร่ แต่ก็ต้องซื้อกลับมา และจะบ่นโทษใครไม่ได้ เพราะเป็นตัวเองที่ช้า

     

                    “ซีวอน นี้ซองมิน” ร่างเล็กเริ่มแนะนำเพื่อนใหม่ให้ชายหนุ่มได้รู้จัก ซีวอนได้แต่ยิ้มให้น้อยๆ ก่อนที่สายตาคมจะตวัดมามองอีกหนึ่งคนที่ยังไม่รู้ชื่อ “ส่วนนี้ก็ จองวู”

     

                    “สวัสดี” เสียงทุ้มทักทายเย็นเยียบกับคนที่เพื่อนสนิทนำให้รู้จัก ก่อนจะวางช้อนส้อม บอกให้ทุกคนรู้ว่าอิ่มแล้ว “เย็นนี้ให้ฉันไปรับที่หน้าคณะหรือเปล่า หรือว่าจะกลับกับเพื่อนใหม่”

     

                    “ก็นายว่างหรือเปล่า ถ้าไม่ว่างฉันกลับเองก็ได้” เสียงแผ่วเบาในลำคอ เพราความที่รู้จักกันมานานทำให้ฮีชอลรู้ว่าเพื่อนรักกำลังไม่พอใจอะไรบางอย่างอีกแล้ว

     

                    “ฉันว่าง แล้วตกลงจะให้มารับหรือเปล่า” เสียงเข้มย้ำถามอีกครั้ง น้ำเสียงติดจะรำคาญนิดๆ

     

                    “มา” ร่างบางได้แต่รับคำสั้นๆ เวลาแบบนี้ พูดมากก็ยิ่งไปกระตุ้นอารมณ์โกรธของเพื่อน

     

                    “ดี งั้นเลิกเรียนก็รอฉันอยู่ที่คณะแล้ว จะไปรับ” ชายหนุ่มเดินถือจานข้าวที่กินไม่หมด ลุกขึ้นจากโต๊ะหากแต่ก็ยังรักษามารยาทด้วยการส่งยิ้มให้ร่างอวบที่พึ่งรู้จัก และมันคงจะดีกว่าหากเมื่อเดินออกจากโต๊ะจะไม่ได้ยินคำถามที่ฮีชอลถูกถามโดยเพื่อนใหม่อีกคน

     

                    “นี้ฮีชอลกลับบ้านกับซีวอนหรอกหรอ”

     

                    “ก็อยู่บ้านเดียวกันจะให้ฮีชอลกลับกับใคร”  ชายหนุ่มร่างสูงเดินวกกลับมาที่โต๊ะอีกครั้ง สายตาคมจ้องหน้าคนถาม มือหนาที่ถือแก้วน้ำเอาไว้กระแทกโต๊ะจนเกิดสียงดังลั่น เรียกสายตาคนทั้งหมดที่อยู่บริเวณนั้น

     

                    “ซีวอน ใจเย็นๆ จองวูเขาไม่รู้ ก็เลยถาม ไม่ได้มีเจตนาไม่ดี” ร่างบางรีบลุกขึ้นมาห้ามอารมณ์ของเพื่อนรักที่วันนี้ขึ้นได้อย่างง่าย มือบางวางลงบนไหล่หนา ฮีชอลก็รู้ดีว่ามันไม่แปลกเลยเพราะคนอย่างซีวอนที่ห่วงความเป็นส่วนตัวต้องมีคนแปลกหน้ามาร่วมโต๊ะ แล้วยังถูกปล่อยให้รอนาน

     

                    “ยุ่งไม่เข้าเรื่อง” เสียงทุ้มพึมพำเจตนาให้คนได้ยิน ก่อนจะสะบัดไหล่ให้มือบางที่วางอยู่หลุดออก แล้วเดินหันหลัง ออกจากโรงอาหารไป ทิ้งให้เพื่อนรักหน้าซีดเผือด

     

                    “ขอโทษแทนซีวอนด้วยนะจองวู” ร่างเล็กเอ่ยขอโทษเพื่อนใหม่แทนคนที่เดินจากไปไกลแล้ว “ซีวอนเขาคงโมโหที่ต้องมารอนานแหล่ะ แต่ปรกติเขาจะอารมณ์ดีกว่านี้นะ อย่าถือสาเลยนะ” รอยยิ้มจริงใจมีให้คนมองจนต้องยอมตามนั้น

     

                    “ก็ได้ แต่พรุ่งนี้พวกนายต้องไปกินข้าวหน้าม.กับฉันนะ ไม่มากินที่นี้แล้ว คนเยอะเป็นบ้าเลย” เด็กหนุ่มบ่นอีกนิดหน่อยก่อนก้มหน้าก้มตากินอาหารในจานตรงหน้า

                   

    “พรุ่งนี้หรอ เรานัดกับเพื่อนที่โรงเรียนเก่าเอาไว้แล้วอ่ะ เห็นว่าไม่มีเรียนตอนบ่ายก็เลยนัดไว้”  ร่างอวบบ่นออกมาอย่างเสียดาย ก่อนมองเพื่อนใหม่อย่างขอโทษ

     

                    “แล้วนายหล่ะ ฮีชอลไปกินได้ไหม” จองวูหันไปถามเพื่อนอีกหนึ่งคนที่นั่งเงียบ

     

                    “ก็ได้แหล่ะมั้ง ตอนเที่ยงใช่ไหม เดี๋ยวเย็นนี้ค่อยบอกซีวอนอีกที” ฮีชอลนึกไปถึงเพื่อนสนิทที่เดินไปนานแล้ว วันพรุ่งนี้ซีวอนคงไม่ว่าอะไร เพราะคนอย่างหมอนั่น ไม่นานก็หาเพื่อนได้แล้ว

     

                    “ซีวอนอีกแล้ว เกิดหมอนั่นไม่ยอมให้นายไป จะทำไง เราไม่ต้องไปกินคนเดียวหรอ” เด็กหนุ่มขี้บ่น บ่นไปตามเรื่องตามราวที่ดูเหมือนว่าเพื่อนใหม่คนนี้จะผูกติดกับคุณชายเจ้าอารมณ์เหลือเกิน

     

                    “ไม่ขนาดนั่นหรอกหน่า บอกแล้วซีวอนไม่ได้เป็นคนงี่เง่าเหมือนวันนี้สักหน่อย ปรกติก็เป็นคนอารมณ์ดี แถมยังมนุษย์สัมพันธ์เป็นเลิศอีกด้วย” ร่างเล็กยิ้มน้อยๆ เมื่อรู้ว่าเพื่อนใหม่คงจะไม่ค่อบชอบเพื่อนสนิทของเขา

     

                    “ฮีชอลสนิทกับซีวอนน่าดูเลยนะ รู้จักกันมานานแล้วหรอ” ร่างอวบถามขึ้นขณะที่ทั้งสามเดินกลับคณะของตนเองเพื่อเข้าเรียนในคาบบ่าย ที่จะยาวไปจนถึงสามโมงกว่า

     

                    “ก็นานแล้วหล่ะ แถมตอนนี้ก็ยังอยู่บ้านซีวอนด้วย คือว่าบ้านของเราอยู่ติดกันเลยรู้จักกันแต่เด็ก แล้วก็ตอนนี้พ่อกับแม่ฉันย้ายไปอยู่ต่างจังหวัด คุณอาคุณน้าเลยให้ไปอยู่ด้วย”  ฮีชอลอธิบายความสนิทของตนเองกับเพื่อนต่างคณะให้คนทั้งสองฟังก่อนได้รับสีหน้าประมาณว่า...

     

                    อ้อ...เป็นแบบนี้นี่เอง มิน่าหล่ะ

     

                    คนทั้งสามเดินเข้าห้องเรียนที่มีคนมานั่งรอเรียนอยู่บ้างประปราย ที่นี้หลายคนก็เดินมาทำความรู้กันกันอีกครั้ง จับกลุ่มคุยกันสำหรับคนที่คุยแล้วถูกคอ แล้วก็เดินจากไป สุดท้ายสามคนก็ยังนั่งที่เดิมมองหน้ากันยิ้มๆ สงสัยว่าต่อไปก็มีเพื่อนสนิทกันแค่นี้เป็นแน่

     

                    นาฬิกาเรือนเล็กที่แขวนไว้หลังห้องให้ผู้สองได้เห็นเวลาได้ชัดเจนบอกว่าบ่ายสามโมงอันเป็นเวลาเลิกแล้วจึงปล่อยนักศึกษาปีหนึ่งที่เริ่มยุกยิกให้เก็บของ เลิกเรียนได้แล้ว สิ้นคำบอกของผู้สอนทั้งหมดก็พร้อมใจกันยิ้มแฉ่ง

     

                    “แล้วเดี๋ยวฮีชอลรอซีวอนมารับใช่ไหม แล้วนายหล่ะซองมินกลับยังไง” จองวูหันมาถามเพื่อนที่เริ่มสนิทกันแล้ว เพราะตลอดเวลาที่อาจารย์สอนก็นั่งคุยกันเบาๆทั้งคาบเรียน

     

                    “อ้อเราเอาพี่เต่ามาหน่ะ จอดไว้ที่คณะ เดี๋ยวเราไปนั่งรอซีวอนเป็นเพื่อนนะ” ร่างอวบหันมาหาร่างเล็กที่นั่งเงียบๆขำๆ เพื่อนใหม่ “ขำอะไรกันเล่า ทั้งฮีชอลทั้งจองวูเลย”

     

                    “ก็ พี่เต่าของซองมินหน่ะสิ พาเต่ามาโรงเรียนด้วยหรอ แล้วตอนกลางวันไม่ไปให้อาหารเต่ากินมันก็หิวสิ” ร่างบางบอกเล่าสาเหตุที่หัวเราะ พร้อมทั้งล้อเลียนเพื่อนใหม่

     

                    “ก็ให้เรียกว่าอะไรเล่า ซองมินเห็นคันนี้มาตั้งแต่เด็ก เป็นรถของพ่ออีกที ก็ต้องเรียกด้วยความเคารพหน่อยสิ อย่ามาหัวเราะนะ แล้วจองวูจะไปรอเป็นเพื่อนฮีชอลไหม”   

     

                    “ไม่หล่ะ เรากลับก่อนดีกว่า ยังไม่พร้อมเจอเพื่อนของฮีชอลอีกรอบ ไปหล่ะ พรุ่งนี้เจอกัน ถ้ามาก่อนก็จองที่ให้ด้วยนะ” ชายหนุ่มยัดหนังสือใส่กระเป๋าสะพายแล่ง บกมือให้ก่อนเดินออกจากห้องเรียน ปล่อยให้อีกสองคนที่ยังเก็บของไม่เสร็จเดินตามออกมาทีหลัง

     

                    “ซองมินกลับก่อนก็ได้นะ คงรอไม่นานหรอก” ฮีชอลบอกกับเพื่อนใหม่ที่ใจดีอุตส่าห์เดินลงมารอเป็นเพื่อน แต่เมื่อยืนหน้าคณะก็ยังไม่เห็นรถคันที่นั่งเมื่อเช้าจึงได้แต่หันไปบอกอย่างเกรงใจ

     

                    “ไม่เป็นไรหรอก ก็นั่งคุยไปรอไปไง นั่งรอคนเดียวน่าเบื่อออก นี้ แล้วฮีชอลกับซีวอนก็สนิทกันมากเลยสิ ใช่ไหม น่าอิจฉาจัง มีเพื่อนที่สนิทกันมากขนาดนี้ รู้จักกันมาทั้งชีวิตด้วย อยากมีแบบนี้บ้างจัง”

     

                    คนถูกอิจฉาได้แต่ยิ้มรับ ไม่ตอบว่าอะไร ก็ความจริงที่ว่าเขาสองคนเป็นเพื่อนที่สนิทกันมันก็ใช่ แต่ว่าทั้งฮีชอลก็เพื่อนเพียงแค่คนเดียวเท่านั้น หากเข้ามหาลัยแล้วอยู่คณะเดียวกับซีวอน ฮีชอลก็คงไม่ได้มีเพื่อนเพิ่มอีกเลย....แบบนี้ก็ดีแล้ว อย่างน้อยก็มีเพื่อนเพิ่มอีกตั้งสองคน

     

                    “อุ้ย นั่นรถใครเท่จัง เท่กว่าพี่เต่าเปิดเหม่งของซองมินอีก ว่าไปก็อยากมีแบบนั้นนะ แต่เอาไม่ไหวแน่เลย มีหวังล้มตั้งแต่ยังไม่ได้สตาร์ท” นิ้วป้อมชี้ไปที่มอเตอร์ไซค์คันใหญ่สีส้มสวยสะดุดตา ที่ส่งเสียงคำรามมาแต่ไกล เรียกสายตาของคนทั้งมหาลัย

     

                    “อ่า มาแล้ว นั่นซีวอนไง เมื่อเช้าต้องเอามอเตอร์ไซค์มาเพราะซีวอนตื่นสาย สงสัยต่อไปก็คงได้ซ้อนมอเตอร์ไซค์ทุกวันแน่” ร่างบางแค่ได้ยินเสียงคำรามทุ้มของเจ้าBMW k1300s ก็จำได้โดยไม่ต้องหันไปมอง แล้วยิ่งเห็นรถสีสดแบบนั้น คงมีอยู่แค่คนเดียวที่เอามันมามหาลัยแบบนี้ 

     

                    “โห เท่จัง นี้วันไหนว่างๆ ฮีชอลขโมยกุญแจรถ แล้วเอามาขี่เล่นกันเหอะ” ร่างอวบกระซิบกระซาบข้างหูเล็ก วางแผนร้ายไม่ให้ใครได้ยิน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเจ้าของรถที่เข้ามาใกล้

     

                    “ไม่ได้หรอก เจ้านั่นรักมอเตอร์ไซค์ยิ่งกว่าอะไร ฮีชอลขี่มีหวังคงเหมือนลูกลิงเกาะรถอยู่ ไม่เท่เหมือนเจ้านั่นหรอก แล้วอีกอย่างเราก็คงเอาไม่อยู่เหมือนนายนั่นแหล่ะ รถบ้าอะไร หนักชะมัด” ฮีชอลบ่นๆเบา แค่เคยจับให้มันตั้งตรงยังเกือบล้ม

     

                    “รอนานยัง” ซีวอนเปิดหน้ากากหมวกกันน็อคออก จอดรถริมฟุตบาทตรงหน้าร่างบาง ก่อนจะหันไปเห็นเพื่อนใหม่ของฮีชอลที่ยืนยิ้มมองรถอย่างสำรวจ “ซองมินหวัดดีครับ”

     

                    “อ่ะ หวัดดีครับ รถของซีวอนสวยดีจัง ตัวนี้ไม่ค่อยเห็นเลย” ใบหน้าหวานขึ้นสีแดงที่เผลอมองรถจนลืมทักทายคนแถมชายหนุ่มยังจับได้อีก

     

                    “อือ มันใหญ่เลยไม่ค่อยมีคนใช้มั่ง ซองมินก็ชอบบิ๊กไบรท์หรอ” ซีวอนชวนเพื่อนใหม่คุยทั้งที่ก็ยังไม่ลงจากรถ

     

                    “อือ ก็มันเท่ดี แต่คงขี่ไม่ไหว อื้อซองมินไปก่อนแล้วกันนะแล้วพรุ่งนี้เจอกันนะฮีชอล” ร่างอวบตัดบท เดินไปขึ้นรถพี่เต่าน้อยสีชมพูหวานสุดที่รักที่จอดนิ่งอยู่ที่จอดรถของคณะ

     

                    ซีวอนและฮีชอลมองซองมินจนลับสายตา ก่อนที่ร่างบางจะขึ้นซ้อนข้างหลัง เกาะเอาคนขับไว้แน่นเพราะรู้อยู่แล้วว่า ชายหนุ่มขับเร็วแค่ไหน

     

                    “ซีวอนพรุ่งนี้ตอนเที่ยง ฮีชอลไปกินข้าวข้างนอกม.นะ จะไปหรือเปล่า” ร่าบางพูดแข่งกับสายลมที่พัดตีดังหวีดหวิว พาลจะกลืนเสียงไม่ให้ไปถึงคนที่นั่งอยู่ข้างหน้า ที่กำลังมีสมาธิพามอไซค์คันใหญ่ลัดเลาะไปตามถนน

     

                    “ไปทำไม ไปกับใคร” เสียงทุ้มติดจะไม่พอใจอยู่นิดๆ ถามขึ้นทันทีที่ต้องหยุดติดไฟแดง กลางสี่แยกใหญ่

     

                    “ก็ไปกินข้าว ไปกับจองวู ไปหรือเปล่า”

     

                    “ไม่” คำตอบห้วนๆเท่านั้นก่อนที่ชายหนุ่มจะเร่งเครื่องผ่าไฟแดงบิดคันเร่งให้วิ่งออกไป ความเร็วที่เพิ่มขึ้นบอกอารมณ์คนขับได้เป็นอย่างดี ว่าไม่พอใจสิ่งที่ฮีชอลบอก

     

                    ตลอดทางร่างบางที่นั่งซ้อนอยู่ข้างหลัง ได้แต่เกาะเอวคนขี่ไปเงียบๆ ไม่กล้าพูดอะไรอีก เพราะรถที่ขับเร็วแล้วยังอารมณ์ที่ขึ้นสูงของคนขี่ ไม่รู้ว่าถ้าพูดอะไรออกไปจะทำให้ซีวอนโกรธอีกหรือเปล่า....

     

                    มอเตอร์ไซค์คันใหญ่แล่นเข้ามาจอดเทียบหน้าบ้านหลังใหญ่ที่แวดล้อมด้วยสนามหญ้าและต้นไม้ใหญ่ ปล่อยให้ร่างเล็กที่ซ้อนมาได้ลงที่หน้าบันได้เข้าบ้าน ก่อนที่จะพารถแล่นเข้าไปเก็บในโรงรถ แล้วเดินเลยผ่านร่างบางที่รออยู่เข้าไปในบ้านโดยไม่สนใจจะมอง

     

                    “ซีวอน นายโกรธฉันหรือไง” ฮีชอลเดินตามร่างสูงที่เดินผ่านไปเหมือนเขาเป็นแค่อากาศธาตุ ใบหน้าคมนิ่งเฉย

     

                    “......”

     

                    “นี้ซีวอน อย่าเงียบแบบนี้ได้ไหม จะให้ทำยังไงหล่ะ” ร่างบางเร่งฝีเท้าเดินขึ้นไปดักหน้ามองใบหน้าคมที่เบือนหนีไปอีกด้าน ไม่ยอมมองหน้าอยู่ดี “ฉันไม่ไปกินกับจองวูวันพรุ่งนี้ก็ได้”

     

                    ใบหน้าคมสันหันกลับมาอีกครั้ง คิ้วเข้มได้รูปยกขึ้นเป็นเชิงถามด้วยความสงสัย “ไม่จำเป็น ฉันไปกินกับคนอื่นได้ เพื่อนฉันไม่ได้มีแค่นาย ฮีชอล หลีก”

     

                    ฮีชอลมองหน้าชายหนุ่มนิ่ง ไม่เข้าใจที่ได้ยิน แต่ก็ไม่คิดจะหลบ ยังคงยืนมองหน้านิ่งอยู่แบบนี้ จนชายหนุ่มต้องผลักร่างบางเบาๆให้พ้นทาง ก่อนจะเดินขึ้นบันไดโดยไม่สนใจร่างเล็กอีกเลย

     

                    “ซีวอนนนน” เสียงหวานร้องเรียกเพื่อนสนิทที่เดินขึ้นบันไดไป แต่ก็เงียบไร้การตอบรับ  ปล่อยให้ใบหน้าหวานบูดบึ้ง มองแผ่นหลังกว้างที่ยืดตรงอย่างสง่างาม

     

                    “เป็นอะไรไปลูกฮีชอล” เสียงหวานจากคุณแม่ยังสาวเดินออกจากห้องที่นั่งอยู่ก่อนเข้ามาหาเพื่อนของลูกชายที่เธอเห็นมาตั้งแต่เล็ก ใบหน้าบูดบึ้ง ปากอิ่มเบะออก

     

                    “สวัสดีครับ คุณน้า ก็ซีวอนเขาโกรธผมเรื่องอะไรไม่ทราบแล้วก็ หนีขึ้นไปแล้ว เฮ้อ” ฮีชอลถอนหายใจเบาๆ ฟ้องแม่ของชายหนุ่มที่หนีหายขึ้นไปชั้นบนของบ้านแล้ว

     

                    “ยังไม่ชินกับความเจ้าอารมณ์ของซีวอนอีกหรอฮีชอล อย่าไปสนใจเลย ปล่อยไปเหอะ ไปนั่งกินขนมกับน้าดีกว่า” หญิงกลางคนจับมือที่ใหญ่กว่ามือของเธอเพียงนิด ให้เดินตามไปในห้องที่เธอนั่งอยู่ก่อนแล้ว ปล่อยให้เจ้าลูกชายตัวดี ขึ้นไปโมโหบนห้องคนเดียว  

     

                    นับจากวันนั้น ร่างบางแทบจะไม่พาเพื่อนใหม่ที่ชื่อจองวูมาให้เพื่อนสนิทอย่างซีวอนได้เห็นอีกเลย นอกเสียจากว่ามันจะจำเป็นจริงๆ และไม่ใช่ซีวอนที่ไม่อยากเจอกับจอง จองวูเองก็เคยบอกไว้ว่า ไม่อยากเจอกับซีวอนเช่นเดียวกัน

     

                    สุดท้ายแล้ว...ปีหนึ่งที่ผ่านพ้นไป เพื่อนใหม่ของร่างบางที่ได้รับการยอมรับจากเพื่อนเก่าก็เหลือเพียงแค่ซองมินคนเดียวเท่านั้น แต่ความมิตรภาพระหว่าง เพื่อนใหม่ทั้งสามก็ยังคงถักทอต่อไป แม้อาจต้องหลบเลี่ยงการพบเจอ ของสองหนุ่มร่างสูงเท่านั้นเอง

    * ~ * ~ *~ * ~* ~* ~ * ~ * ~ * ~ * ~ * ~ * ~ *

    Talk

                    สวัสดีคะ เรื่องนี้เป็นการเล่าย้อนหลังนะคะ อย่าคิดมากคะ กว่าเอ็นซีของจริงจะมาก็นู้นนนนนนนนน ปีสาม

                    เรื่องนี้ไอซ์จะเอามาลงทีเดียวทั้งตอน มันก็จะช้า ถึงช้ามาก นะคะ เพราะว่าในสต็อกหมดแล้วอ่าคะ

                   ส่วนที่ถามเรื่องโรค ไอซ์ยังตอบไม่ได้นะคะ ต้องรอดูในเรื่อง หุหุ แล้วก็เรื่องรถ 555 ไม่มีอะไรหรอกคะ แต่เอ็นซี ในรถ น่าสนใจมากกกกกกกกกกกกก

    ขอบคุณทุกคอมเม้มท์คะ

    fish Jelly

    6 sep. 53




    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×