ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    美花 ; (mei hua) (woncin)

    ลำดับตอนที่ #19 : 美花 : 第十七花 100%+Nc

    • อัปเดตล่าสุด 6 ม.ค. 54



    美花:第十

                    ในเรือนรับรองที่จัดเพื่อให้องค์หญิงย่าหนานพำนักอยู่ วันนี้ช่างดูวุ่นวายด้วยผู้คนจำนวนมากที่ถูกเกณฑ์มาต่างเร่งรีบจัดเตรียมข้าวของเพื่อการเดินทางครั้งใหญ่สู่รัฐหลู่ ไม่เว้นแม้แต่อ๋องน้อยที่หนีการฝึกซ้อมมาช่วยเก็บของ จนทุกอย่างเสร็จสิ้นใกล้ได้เวลาออกเดินทาง

     

                    “เสียดายหลงเอ๋อร์เราได้รู้จักกันน้อยเหลือเกิน หากเจ้ามาเมืองหลวงอีกก็อย่าลืมแวะเวียนไปเยี่ยมพี่ที่วังทู่หลงบ้าง”  อ๋องน้อยเอ่ยล่ำลาเด็กชายตัวน้อยที่แสนน่าเอ็นดู ไม่ลืมเชิญชวนให้กลับมาพบกันตามนิสัยเจ้าคารม

     

                    “ขอรับ แต่พี่ฮีชอลไม่ได้อยู่ที่วังหลวงหรอกหรือขอรับ” เด็กหนุ่มหน้าหวานถามท่านอ๋องด้วยความแปลกใจ ทั้งที่ตอนนี้ท่านอ๋องก็อยู่ในตำหนักส่วนพระองค์ฮ่องเต้ แต่ใยจึงให้ไปหาที่วังทู่หลง

     

                    สีหน้าของอ๋องน้อยแปรเปลี่ยนเป็นความเศร้าทันทีที่ได้ยินคำถาม “อีกไม่นานข้าก็ต้องออกไปจากที่นี้เช่นกัน และคง...ไม่มีวันได้กลับมา” คำพูดที่แผ่วเบาลงเรื่อยๆ สะท้อนความเศร้าในใจได้เป็นอย่างดี ความเศร้าแสนอาวรณ์บดบังจนลืมตัวว่าเคยแทนตัวกับเด็กคนนี้เช่นไร

     

                    “ฮ่องเต้เสด็จแล้ว” เสียงจากทหารยามหน้าประตูป่าวร้องเมื่อบุคคลสำคัญแห่งแผ่นดินเสด็จมาถึงเรือนรับรองแห่งนี้ ด้วยพระองค์เองเพื่อเป็นการให้เกรียติองค์หญิงแห่งชิงเต่า

     

                    “ถวายบังคมฝ่าบาท” องค์หญิงที่กำลังดูแลความเรียบร้อยครั้งสุดท้าย รีบออกมารับเสด็จอย่างนอบน้อม ใบหน้าหวานแปดเปื้อนด้วยรอยยิ้มเมื่อนึกถึงความสุขที่กำลังมาเยือนในเร็ววันนี้

     

                    “ทุกอย่างเรียบร้อยดีใช่ไหม อีกไม่นานต้องออกเดินทางแล้ว” ฮ่องเต้ซีวอนตรัสถามด้วยรอยยิ้มที่ปลอดโปร่งที่สุด ที่เคยประทานแด่องค์หญิงผู้นี้

     

                    “เรียบร้อยเพค่ะ ทุกอย่างเลย หากไม่ได้พระองค์ หม่อมฉันก็ไม่อาจมีวันนี้ได้ หากประสงค์สิ่งใด ขอเพียงพระองค์ให้คนไปบอก ทั้งหม่อมฉันและองค์ชายลู่ยินดีช่วยเต็มที่นะเพค่ะ”  

     

                    “สิ่งเดียวที่อยากได้ และต้องขอจากองค์หญิง คงมีเพียงแค่ความสงบเท่านั้นส่วนสิ่งอื่นที่อยากได้....” สายพระเนตรทอดมองไปยังร่างบางของอ๋องน้อยที่ยืนอยู่ไม่ห่างจากร่างของเด็กชาย “คงต้องตัดใจ”

     

                    องค์หญิงย่าหนานมองตามสายพระเนตรที่แสนเศร้าไปสิ้นสุดยังอ๋องน้อยที่เธอเห็นว่าช่างสดใสและร่าเริง แม้ในบางครั้งจะแฝงด้วยนัยของความเศร้ายามที่ไม่รู้ตัว รอยยิ้มอ่อนหวานขององค์หญิงปรากฏขึ้น ความเป็นหญิงที่เธอมี ทำให้เธอพอจะทราบความรู้สึกที่ชายหนุ่มทั้งสองแอบซ่อนไว้อยู่ภายใน “หม่อมฉันไม่เชื่อเช่นนั้นนะเพค่ะ และคิดว่าบางที..พระองค์อาจได้สิ่งที่ประสงค์แล้วก็เป็นได้ เพียงแต่ พระองค์คิดที่จะตัดพระทัยเช่นนี้เสมอ ก็เลย อาจจะมองข้ามบางอย่างไป”

     

                    “หากเป็นเช่นนั้นได้ก็ดี” ฮ่องเต้หนุ่มแย้มพระโอษฐ์บางๆ สายพระเนตรยังคงจับจ้องใบหน้าหวานที่ดูมีเค้าแห่งความเศร้า...เจ้าอาลัยในตัวเสี่ยวหลงถึงเพียงนั้นเชียวหรือ..ฮีชอล

     

                    ทหารที่จัดเตรียมประจำไปกับขบวนส่งตัวองค์หญิงสู่รัฐหลู่ เดินเข้ามากราบทูลว่าตอนนี้ขบวนพร้อมที่จะออกเดินทางแล้ว ทำให้ฮ่องเต้ซีวอนต้องละสายตากลับมายังองค์หญิงอีกครั้ง “ถึงเวลาที่องค์หญิงจะได้ออกเดินทางแล้ว”

     

                    “ขอบพระทัยฝ่าบาทมากนะเพค่ะ ที่ช่วยเราทั้งสองไว้ถึงเพียงนี้ ขอให้สวรรค์อวยพรความรักของพระองค์ให้สมหวังเช่นที่ท่านช่วยข้าและท่านหลู่” องค์หญิงไม่ลืมอำนวยพรให้ชายผู้กุมอำนาจสูงสุด แต่หนทางแห่งรักกลับริบหรี่

     

                    “หากหม่อมฉันไม่ติดสิ่งใดคงต้องขอร่วมขบวนไปส่งถึงรัฐหลู่เป็นแน่ ขอให้ท่านเดินโดยสวัสดิภาพ ไร้อุปสรรคใดๆ”อ๋องน้อยที่พึ่งเดินเข้ามาสมทบกล่าวกับองค์หญิงด้วยใจจริง

     

                    “อย่าให้ถึงขนาดนั้นเลยท่านอ๋อง แค่ท่านเป็นมิตรกับเรามากขนาดนี้ก็ดีมากแล้ว นี้ได้เวลาแล้ว หม่อมฉันทูลลาก่อนนะเพค่ะ” องค์หญิงแสนสวยย่อตัวทูลลาฮ่องเต้หนุ่มและอ๋องน้อยที่ยืนเคียงกัน ก่อนก้าวขึ้นรถม้าที่ให้คนจัดเตรียมไว้เพื่อการเดินทางไกล

     

                    ฮ่องเต้หนุ่มและอ๋องน้อยร่างบางยืนเคียงคู่อำลาองค์หญิงย่าหนานสู่รับหลู่ จนขบวนลับหายไปจากสายตา เหลือเพียงความเงียบและเรือนรองที่ปิดลงอีกครั้งเมื่อไม่มีผู้ใช้การ

     

    ฮ่องเต้หนุ่มทอดมองร่างเล็กที่ยืนอยู่เคียงข้าง ความเศร้ายิ่งปรากฏชัดมากขึ้น จนพระองค์เองอดไม่ที่จะทอดถอนพระทัย อดนึกน้อยพระทัยไม่ได้ว่าเพียงเด็กน้อยคนหนึ่งยังทำให้เศร้าได้เพียงนี้ แล้วหากวันที่ต้องออกจากวังไป น้องน้อยของพระองค์จะเศร้าบ้างหรือไม่  “เป็นอะไรไปฮีชอล คิดถึงเสี่ยวหลงหรือ”  

     

                    “ข้า...” ร่างเล็กไม่อาจให้คำตอบใดๆกู้ถามได้ คำตอบในใจมันอื้ออึงไปหมด จนไม่แน่ใจตัวเองเสียแล้วว่าที่เศร้า เพราะเหตุใดกัน “ไม่รู้”

     

            ท่อนพระกรหนารั้งบ่าเล็กเข้ามาใกล้ ลูบไล้ปลอบประโลมจิตใจที่กำลังเปราะบางให้คลายความหมองหม่น “อย่าเศร้าไปเลยฮีชอล พี่พึ่งได้รับจดหมายจากท่านอา เจ้าอยากอ่านไหม”

     

                    ใบหน้าเล็กที่จวนเจียนเสียน้ำตา พยักหน้าขึ้นลงอย่างเร็ว ในนัยน์ตามีประกายแห่งความดีใจ  นานมากแล้วที่ไม่ได้ข่าวใดจากผู้เป็นพ่อเลย

     

                    “เช่นนั้นก็เลิกเศร้านะฮีชอล ยิ้มเถอะ ยิ้มให้พี่” ใบหน้าหวานแย้มยิ้มจนเป็นที่พอพระทัย ฮ่องเต้หนุ่มกอบกุมมือเล็ก พาเดินไปยังห้องทรงงานส่วนพระองค์

     

                    ดวงตากลมก้มหลบต่ำตลอดทางที่ถูกจูงมือมา ไม่กล้าสู้สายตาผู้ใด ไม่ว่าจะเป็นทหารที่ประจำเวรยาม หรือขันที ขุนนางที่เดินไปมา ผิดกับฮ่องเต้หนุ่มที่ทรงองอาจและผึงผาย ไม่สนใจผู้ใด  

     

            ฮีชอลหน้าตาตื่นเมื่อรู้ว่ากำลังถูกพาไปยังห้องทรงงานอันเป็นเขตหวงห้ามสำหรับฮ่องเต้ “ท่านจะให้ข้าเข้าไปห้องนั้นได้อย่างไรกัน ข้าจะไม่โดนโทษหรือไร”

     

                    ฮ่องเต้หนุ่มแย้มพระโอษฐ์กับท่าทางตื่นกลัวยามเข้าสู่เขตหวงห้ามที่มิให้ผู้ใดล่วงผ่านนอกจากราชครูและองค์รักษ์เอกเพียงเท่านั้น แต่สำหรับน้องน้อย ทุกสิ่งในชีวิตได้มอบให้แก่ร่างบางไปแล้ว นับอะไรกับห้องนี้กัน “ใครจะลงโทษเจ้ากันในเมื่อพี่พาเข้ามา มานี้เถอะจดหมายจากท่านอาอยู่นี้”

     

                    ฮ่องเต้หนุ่มรั้งร่างเล็กให้นั่งบนตั่งนุ่มยื่นส่งม้วนกระดาษที่แนบมากับฎีกา ส่วนองค์เองก็ประทับลงไม่ห่าง พอจะทราบความในจดหมายที่ปาหยางอ๋องส่งจดหมายมาถึงอ๋องน้อยผู้เป็นลูกว่าคงไม่ต่างจากในฎีกาที่ยื่นมา

     

                    ใบหน้าหวานที่ดูโศกเศร้า กลับยิ่งหม่นหมองมากขึ้นทุกครั้งที่ดวงตากลมเลื่อนผ่านตัวอักษร และเมื่อถึงถ้อยคำสุดท้าย ใบหน้าหวานก็คล้ายจะนองด้วยน้ำตาเสียแล้ว

     

                    “ฮีชอลเจ้าเป็นอะไร ท่านอาเขียนมาอย่างไร” แม้จะทรงแน่พระทัยในเนื้อหา หากแต่ไม่ทรงคาดคิดว่าร่างบางจะเสียใจถึงเพียงนี้

     

                    “ข้าไม่ได้เป็นอะไร ท่านทำงานไปเหอะ ข้าขอตัวก่อน” ร่างเล็กเดินออกจากห้องทรงงานไม่ทันให้ฮ่องเต้ซีวอนได้รั้งตัวเพื่อถามไถ่ใดๆทั้งสิ้น ในมือเล็กกำแผ่นกระดาษไว้แน่น ไม่คิดให้ผู้ใดได้เปิดอ่าน

     

                    ฮ่องเต้หนุ่มทอดมองตามร่างบางที่เดินออกไปอย่าหวั่นในพระทัย อีกเพียงไม่กี่วันต้องจากกันแล้ว หากแต่เจ้าน้องน้อยยังไม่ยอมเปิดใจให้พระองค์ได้แบ่งเบาความทุกข์โศกอีกหรือ

     

                    ....แล้วเมื่อไหร่กันฮีชอลที่พี่จะได้ใจเจ้ามาครอบครอง              

     

                 * ~ * ~ * ~ * ~ *~ * ~* ~ * ~ * ~ * ~ * ~ * ~ * ~ * ~ *

                   

                    ฮ่องเต้ซีวอนเปิดประตูเข้ามาในห้องบรรทมที่มืดสลัวมีเพียงแสงรำไรของพระอาทิตย์ยามใกล้ลาลับและตะเกียงดวงเล็กเท่านั้น ม่านโปร่งบางที่ทิ้งตัวกั้นส่วนของแท่นบรรทม พอจะมองเห็นร่างเล็กที่นอนขดตัวอยู่ด้านใน

     

                    “ฮีชอลหลับแล้วหรือ” วรองค์สูงก้าวขึ้นแท่นบรรทม สะกิดเรียกร่างเล็กอย่างแผ่วเบา เกรงจะรบกวนหากน้องน้อยเข้าสู่นิทราไปแล้ว

     

                    คำถามที่ทรงถามไปไร้เสียงตอบรับจนฮ่องเต้หนุ่มจวนเจียนจะลงจากแท่นบรรทม แต่แล้วร่างบางที่นิ่งเงียบไปนานกลับพลิกกายมากอดรั้งพระกฤษฎี(เอว) ใหญ่ไว้ ซุกหน้ากับหน้าท้องเรียบตึง หัวกลมเล็กเกยขึ้นหนุนบนพระเพลา(หน้าตัก)

     

            เสียงสะอื้นไห้ที่ดังลอดออกมายิ่งทำให้สงสัยมากขึ้น จนไม่อาจห้ามมือให้ลูบไล้ผมนุ่ม ปลอบขวัญน้องน้อยที่กำลังร้องไห้ เอ่ยถามด้วยความรักและเป็นห่วงเจ้าหัวใจดวงน้อยดวงนี้ “ฮีชอลเจ้าร้องทำไม ท่านอาเขียนจดหมายต่อว่าเจ้าหรือ”

     

                    กระแสเสียงที่เต็มไปด้วยความอ่อนโยนและรักใคร่ ยิ่งยากจะห้ามน้ำตาและเสียงสะอื้น หากแต่อ๋องน้อยผู้เคยปราศจากน้ำตาและความเศร้า ก็ยังมิกล้าบอกต้นเหตุแห่งน้ำตา ทำได้เพียงส่ายหน้าไปมา

     

                    “ส่ายหน้าหมายความว่าเช่นไรกันหืมม์” สายพระเนตรก้มต่ำมองร่างเล็กที่ซุกหน้าอยู่กับหน้าท้องของพระองค์ มองเห็นเพียงซีกหน้าที่เปรอะเปื้อนคราบน้ำตา  อยากจะเห็นใบหน้ายามนี้เสียเหลือเกิน

     

                    จะเช็ดน้ำตาที่ไหลริน...จะปลอบโยนให้คลายเศร้า...จะจัดการต้นเหตุที่ทำให้น้องน้อยต้องเสียใจ

     

                    ฮ่องเต้หนุ่มทรงรั้งร่างเล็กที่เอาแต่ซุกหน้าหนี ให้ออกห่างจนมองหยาดน้ำตาที่เกาะอยู่ตามแพขนตาหนา หากแต่ดวงตากลมที่พระองค์หลงรักกลับปิดแน่น แรงขืนตัวน้อยๆของอ๋องน้อยไม่อาจสู้แรงที่มากด้วยกำลังของฮ่องเต้หนุ่มได้เลย เมื่อพระองค์ประคองร่างบางให้ลุกขึ้นนั่งคุย

     

            นิ้วพระหัตถ์กรีดไล่น้ำตาออกจากแพขนตาก่อนก้มลงประทานรอยจุมพิตที่แสนอบอุ่นบนเปลือกตาบางที่ยังคงปิดสนิท “บอกพี่ได้ไหม ใครทำให้เจ้าร้องไห้เช่นนี้”

     

                    ฮ่องเต้ซีวอนทอดพระเนตรร่างเล็กอย่างแสนทุกข์ใจ  อยากขจัดความเศร้าออกจากผู้เป็นดั่งดวงหทัย  แต่หากไม่ยอมพูดเช่นนี้แล้วจะทรงรู้ได้อย่างไร หนึ่งพระหัตถ์เฝ้าเช็ดน้ำตาออกจากใบหน้าหวาน อีกหนึ่งคอยลูบศีรษะเล็กให้รู้ว่าไม่ได้อยู่เพียงลำพัง

     

                    ฮีชอลอ๋องน้อยผู้ได้รับความอ่อนโยนจนกำแพงที่สร้างขึ้นพังทลายลงในเวลาไม่นาน โผตัวเข้าหาฮ่องเต้หนุ่ม สองมือกอดรั้งคอหนาซบหน้าปล่อยน้ำตาให้ไหลอยู่กับบ่ากว้างของชายหนุ่มผู้สูงศักดิ์  ถ่ายทอดความในใจด้วยเสียงสั่นสะอื้น “วัน...วันนี้ หลงเอ๋อร์ไปแล้ว”

     

                    ถ้อยคำขาดห้วงหากไม่ยากเกินกว่าที่จะฟังออก กัดกินหทัยฮ่องเต้หนุ่มด้วยชื่อของเด็กน้อยที่ทรงรู้ดีว่าน้องน้อยต้องใจ แต่ก็มิอาจทำสิ่งใดได้นอกจากนิ่งฟังความในใจ และเจ็บปวดไปพร้อมกัน

     

                    อ๋องน้อยซึมซับความอ่อนโยนที่ไม่เคยได้รับจากผู้ใดผ่านท่อนพระกรที่โอบแน่นคอยลูบไล้แผ่นหลัง แต่ก็ไม่อาจหยุดยั้งน้ำตาและก้อนสะอื้นได้ “อะ...องค์หญิงก็ไปแล้ว.....ท่านพ่อก็ไม่กลับมา แล้วยัง..มีลูกกับใครก็ไม่รู้.ฮึก ข้าไม่เหลือใครแล้ว ไม่มีใครแล้วจริงๆ”

     

                    “ฮีชอล” ฮ๋องเต้หนุ่มได้แต่ครางเรียกชื่อน้องน้อยในอ้อมกอด นี้เองหรือเหตุผลที่ทำให้น้องของพี่ร้องไห้...และนี้คงเป็นสาเหตุที่ทำให้ท่านอาผู้มักใหญ่ยอมอยู่ในที่ทุรกันดาร เพื่อครอบครัวแสนสุข...แล้วท่านมาทิ้งลูกชายที่แสนอ่อนแอแบบนี้ให้อยู่เพียงผู้เดียวได้อย่างไร....

     

            “อ่ะ..อีกไม่นาน...ข้าก็ต้องอยู่คนเดียว ซีวอนที่หนึ่ง ที่สอง หรือแม้แต่ท่านก็จะทิ้งข้าไปกันหมด ไม่มีใครรักข้าเลย ไม่มีเลย”  น้ำตาหยดแล้วหยดไหลรินจนบ่ากว้างที่ซบอยู่เปียกชื้น

     

                    ฮ่องเต้หนุ่มทรงเจ็บปวดไม่น้อยเมื่อได้ยินเสียงสะอื้นของร่างเล็ก.....ทำไมจึงกล้าพูดเช่นนี้ หรือตลอดมาไม่เคยรับรู้ความรักที่พระองค์มีให้เลย  “ฮีชอล พี่อย่างไรที่รักเจ้า เจ้าสองตัวนั่นก็จะอยู่กับเจ้าไม่ทิ้งไปไหน อย่าร้องไห้นะฮีชอล” แต่แม้นเจ็บสักเท่าไหร่ พระองค์ก็ยังคงปลอบขวัญน้องน้อยที่กลัวการอยู่เพียงลำพัง แม้จะทรงกังขาใจดวงน้อยของร่างบาง

     

                    ..ใจเจ้าเคยมีพี่บ้างไหมฮีชอล เจ้าถึงไม่รับรู้ความรักที่มากล้น เจ้าถึงลืมไปว่าพี่อยู่ตรงนี้คอยเฝ้ารอเจ้าเสมอมา..

     

            “ไม่จริง” ร่างเล็กที่สะอึกสะอื้นโผล่งออกมาเสียงดัง “อีกไม่นานข้าก็ต้องออกไปอยู่ข้างนอก ท่าก็ต้องมีฮ่องเฮา มีสนมอีกเป็นร้อย ไหนเลยจะสนใจข้า แล้วยังจะเหลือไว้รักข้าได้อีกหรือ เจ้าสองตัวนั่น อีกไม่นานก็คงลืมข้าไปเช่นกัน เหมือนท่านที่จะลืมข้าไป”

     

                    ฮ่องเต้หนุ่มได้แต่นิ่งงัน เจ็บปวดไม่แพ้ร่างบางตรงหน้าเมื่อนึกถึงความจริงที่กำลังจะเกิด หากแต่พระองค์รับรู้ได้ว่าสิ่งหนึ่งที่หลุดจากปากเล็กนั่นผิดไปจากความจริง.....พี่ไม่มีวันลืมเลือนเจ้าไปได้หรอกฮีชอล....ใจของพี่จะอยู่กับเจ้าที่อยู่แสนห่างไกลไปจนตลอดชีวิต

     

                    พระหัตถ์หนารั้งร่างบางออกห่าง เช็ดคราบน้ำตาที่ไหลรินไม่ขาดสาย “เจ้าลืมตามองพี่เถอะฮีชอล อย่าหลับตาอีกเลยนะ”ดวงตาแดงก่ำเปิดกว่าตามรับสั่ง “โธ่ ช้ำไปหมดแล้วฮีชอล” นิ้วพระหัตถ์เช็ดรอยน้ำตารอบเปลือกตาที่บวมช้ำอย่างแสนเบา โน้มองค์พระทับรอยจุมพิตลงบนเปลือกตาทั้งสองข้าง “หยุดร้องนะคนดี น้ำตาเจ้ากำลังทำร้ายพี่อยู่นะ”

     

                    ...น้ำตาเจ้ากัดกินหัวใจพี่...รู้ไว้นะฮีชอล

     

                    ฮีชอลโผตัวเข้าอ้อมพระอุระอุ่นอีกครั้ง พยายามเก็บน้ำตาให้ไหลกลับลงไปตามถ้อยรับสั่ง ซึมซับความรู้สึกที่ไม่เคยได้จากผู้ใด และคงไม่มีผู้ใดให้ได้อีกแล้วตราบชั่วชีวิตนี้

     

                    คนทั้งสองในอ้อมกอดของกันและกันท่ามกลางความมืดที่โรยตัวมาพร้อมความหนาวเย็น แต่ไม่อาจแทรกซึมเข้าสู่อ้อมกอดที่โอบแน่น ในห้องมีเพียงแสงริบหรี่ของตะเกียงที่น้ำมันแห้งลงทุกขณะ ดุจดังความรักของคนทั้งคูที่ริบหรี่ใกล้ดับลงด้วยเหลือเวลาอีกเพียงชั่ววัน ก่อนต้องแยกจาก

     

                    “ฮีชอลมืดแล้ว อาบน้ำเถอะนะ พี่จะอาบให้เอง” ทรงถามร่างเล็กในอ้อมกอดที่ซุกหน้าอยู่กับคอของพระองค์อย่างนิ่งเงียบไร้เสียงสะอื้นหรือหยาดน้ำตา มีการตอบรับเพียงแค่พยักหน้าเท่านั้นเอง “งั้นเจ้ารอพี่ที่นี้ก่อนพี่จะไปเตรียมน้ำให้นะ”

     

                    ฮ่องเต้หนุ่มรั้งร่างเล็กลงกับที่นอนนุ่มอีกครั้ง ก่อนดำเนินไปทางห้องสรงน้ำ  จัดเตรียมน้ำอุ่นหอมกรุ่นกลิ่นน้ำมันหอม หวังให้คนอาบได้คลายความเศร้าหมองลง

     

            วรองค์สูงดำเนินกลับมาในห้องบรรทมคิดว่าน้องน้อยจะผลัดเสื้อผ้าเพื่อเตรียมอาบน้ำ แต่กลับพบร่างเล็กนอนนิ่งอยู่ในท่าเดิมเปลือกตาปิดแน่น “ฮีชอลทำไมยังไม่เปลี่ยนชุด หืมม์”

     

                    “ก็ท่านว่าจะอาบน้ำให้ข้า ข้าก็เลยไม่แน่ใจว่าต้องเปลี่ยนชุดหรือไม่” เสียงหวานตอบอ้อมแอ้มอยู่ในลำคอ ไม่กล้าสบพระเนตรจนได้ยินเสียหัวเราะเบาๆ จึงจ้องช้อนตาขึ้นมองอย่างสงสัย

     

                    “โธ่ฮีชอล พี่เปลี่ยนให้เจ้าเองก็ได้” ฮ่องเต้ซีวอนจับร่างกายที่แสนบอบบางของอ๋องน้อยให้ลุกยืนที่พื้น คลายปมสายคาดเอวออกจนสาบเสื้อที่ทาบทบกันอยู่เคลื่อนออกจากกัน เผยผิวขาวที่แดงเรื่อไปทั้งตัวเพราะความเขินอายแต่ดวงตากลมก็ยังมองพระองค์ไม่กระพริบ

     

                    ลูกแก้วสีนิลใสที่จ้องมองฮ่องเต้หนุ่มดูคล้ายจะแวววาวด้วยหยดน้ำ หากแต่พระองค์ก็เลือกที่จะเฉยเสีย ไม่ตอกย้ำให้น้องน้อยต้องจมอยู่ในความเศร้า และทรงหยอกล้อร่างเล็กให้กลับคืนสู่ความสดใส “เขินหรือ”

     

                    ใบหน้าหวานแดงก่ำพยักหน้ารับขึ้นลงอย่างช้าๆ แต่ไม่ละสายตาออกจากพระพักตร์คมเข้มเลยสักนิด ด้วยอยากจารจำทุกรายละเอียดของชายผู้นี้ลงสู่หัวใจ

     

                    ทรงมองแล้วแย้มพระโอษฐ์เอ็นดูในอาการของอ๋องเจ้าสำราญที่ชื่อเสียงเลื่องลือไปทั่วเมืองหลวงถึงเสน่ห์และความเจ้าชู้ที่มากล้น แต่ผู้ใดจะรู้บ้างว่าเวลานี้กลับเขินอายจนหน้าแดอยู่ในตำหนักส่วนพระองค์ฮ่องเต้ยิ่งเมื่อทั้งชุดถูกรั้งออกจนเหลือเพียงผิวกายขาวใสใบหน้าหวานก็ยิ่งแดงก่ำเสียยิ่งกว่าลูกท้อในสวนหลวง “เช่นนั้นให้พี่อุ้มเจ้าไปดีไหม หรืออยากจะขี่หลังไป”

     

                    “ขี่หลัง” ฮีชอลตอบโดยไม่ต้องคิด แก้มใสแดงปลั่งไม่ต่างจากสาวใสจนฮ่องเต้หนุ่มอดแย้มพระโอษฐ์ไม่ได้ ก่อนรับร่างเล็กขึ้นหลังแล้วพาเดินไปยังอ่างน้ำน้ำที่ทรงเตรียมด้วยองค์เอง

     

                    ร่างของอ๋องน้องถูกหย่อนลงน้ำที่หอมกรุ่นอย่างช้าๆ ผิวกายที่แดงอยู่ค่อยแดงขึ้นอีกเพราะอุณหภูมิของน้ำ ดวงตากลมหลับพริ้มอย่างสบายกายและใจ ความเศร้าหมองเสียใจที่ถูกสร้างขึ้นค่อยๆสลายไป เพียงแค่ได้รับความรักจากหนึ่งคน....หนึ่งรักที่แสนยิ่งใหญ่

     

                    “สบายขึ้นไหมฮีชอล” เสียงทุ้มที่แสนอ่อนโยนปลุกให้ฮีชอลรู้สึกถึงแรงบีบนวดอย่างเอาใจจากไหล่ทั้งสองข้าง

     

                    ร่างเล็กที่ปลดเรื่องทุกข์ออกจากใจได้เพียงไม่นาน กลับต้องรู้สึกถึงความเศร้าอีกครั้ง เมื่อนึกได้ว่า มือที่หยาบกระด้างที่มอบสัมผัสนี้ คือพระหัตถ์ที่โอบกอดปลอบประโลมเสมอยามอ่อนแอ หากแต่ในสักวันหนึ่ง มืออบอุ่นคู่นี้จะโอบกอดผู้อื่น จะไม่มีวันเป็นของเขาไปตลอดกาล แล้วไยจึงมาทำให้อาวรณ์ทั้งที่จวนเจียนต้องลาจากกันในอีกไม่ช้านาน

     

                    “พอเถอะ ไม่ต้องแล้ว ข้าอาบน้ำเองได้ ท่านออกไปก่อน” ไหล่เล็กเบี่ยงหนีพระหัตถ์หนาที่คอยเอาใจ บอกกล่าวทั้งน้ำตา ก่อนทรุดกายลงในน้ำให้ท่วมหัว ปิดบังสายน้ำที่ไหลออกมาไม่หยุด

     

                    วรองค์สูงที่ทอดมองอยู่ตกพระทัยที่เห็นน้องน้อยทรุดตัวลงไปเช่นนั้น ทรงทราบดีว่าบ่าเล็กแบกรับความทุกข์โศกเอาไว้มาก แต่ภาพที่พระองค์ก็ทำร้ายกันมากเช่นกัน...เจ้าไม่สนใจเลยหรือไรว่าพี่ยังอยู่ตรงนี้

     

                    พระหัตถ์ใหญ่จุ่มลงน้ำยึดจับไหล่บางทั้งสอง ฉุดขึ้นมาเหนือน้ำด้วยความโกรธเคืองเจือบนความน้อยใจ ตวาดก้องอย่างที่ไม่ทำต่อน้องน้อยของพระองค์ “ฮีชอลเจ้าทำบ้าอะไร”

     

                    ดวงตาแดงช้ำสบพระเนตรวาวโรจน์ที่แสนน่ากลัว น้ำตาที่ถูกชะล้างออกไปเอ่อล้นออกมาอีกครั้ง ก่อนโผซบวรกายใหญ่ที่ให้ความรู้สึกแสนอบอุ่นและปลอดภัยทุกครั้งที่เข้าใกล้ พรั่งพรูความสับสนมากมายในใจจนหมด “ข้ากลัว กลัวว่าวันพรุ่งนี้จะมาถึง ท่านรู้บ้างไหม ท่านทำให้สับสนเพียงใด ในวันที่ทุกคนทิ้งข้าไปแต่ข้าก็ยังมีท่าน ยังได้รู้ว่ามีหนึ่งคนที่จะอยู่กับข้า มีหนึ่งคนที่จะไม่ทิ้งข้าไปเหมือนคนอื่น  ท่านทำให้ข้ารู้จักกับสิ่งแปลกใหม่ แต่พอถึงวันพรุ่งนี้ ข้ากลับต้องเลือก ท่านรู้ไหม ข้าอยากทิ้งทุกอย่าง เกรียติยศ ศักดิ์ศรี ยศตำแหน่ง อยากเป็นเพียงคนธรรมดา ขอแค่ได้อยู่กับท่านแบบนี้ไปชั่วชีวิต...แต่มันก็เป็นไปไม่ได้ เพราะข้าคือฮีชอล คืออ๋องที่ต้องรับหน้าที่ต่างๆแทนท่านพ่อที่ทิ้งข้าไปอยู่แดนไกล กับครอบครัวใหม่ของท่าน  ข้ามีสิ่งที่ต้องรับผิดชอบ มีชื่อเสียงแห่งปาหยางอ๋องให้ต้องดูแล...ทำไมข้าถึงเอกทางที่ต้องการไม่ได้ ทำไมข้าจึงอยู่กับท่านไมได้”

     

                    ถ้อยคำที่แสนวกวนได้ถ่ายทอดความรู้สึกแสนสับสนของคนพูดออกมาจนหมด และมันก็สร้างอารมณ์ที่แสนหลากหลายให้แก่คนฟัง ด้วยดีใจเมื่อได้ยินถ้อยคำที่ไม่ต่างจากการสารภาพรัก แม้นไม่ใช่แต่ก็เปิดเผยให้รู้ว่าน้อยน้อยมีใจดุจเดียวกับพระองค์ ต่อเมื่อได้ยินคำปรารภที่ร่างบางต้องการ ฮ่องเต้หนุ่มก็รู้ได้ว่าวันพรุ่งนี้พระองค์ต้องเอาชนะร่างบางเพื่อให้หนทางข้างหน้ายังได้อยู่เคียงกัน แต่แล้วผลการประลองที่ทรงกำหนดได้ก็ต้องแปรเปลี่ยนพร้อมหัวใจที่ขาดวิ่น เมื่อรู้ว่าทางที่น้องน้อยเลือก และทางที่ปรารถนาไม่ใช่หนทางเดียวกัน

     

                    ....พี่ยอมให้เจ้าทุกอย่างนะฮีชอล...แม้พี่จะทรมานกับมันก็ตาม

     

                    “จูบข้าหน่อยได้ไหม” ความเงียบงันถูกแทนที่ด้วยเสียงหวานที่หักห้ามความเขินอายจนกล้าร้องขอสัมผัสแสนลึกซึ้ง

     

                    “ฮีชอล” ฮ่องเต้หนุ่มตกพระทัยกับคำขอร้องแม้นนั้นเป็นสิ่งที่พระองค์ยินดีจะมอบให้ แต่เวลานี้พระองค์ก็ทราบดีว่าไม่ห้ามหักห้ามให้หยุดลงเพียงที่น้องน้อยร้องขอ...  “ฮีชอลหากพี่จูบเจ้า  มันจะไม่หยุดเพียงเท่านั้น เจ้ายอมได้หรือ”

    Nc

     

     

    วรกายใหญ่ช้อนร่างเล็กขึ้นอุ้ม ควานหาเสื้อตัวในที่เปียกชื้นมาห่มคลุมน้องน้อยพากลับห้องบรรทมที่แสนอุ่นสบาย เสียงพระสรวลก้องเมื่อสบสายตากับดวงตากลมที่มองมาก่อนหลบหนีไปซุกกับพระอุระ พร้อมกับหน้าหวานที่แดงก่ำ

     

                    อ๋องน้อยที่ถูกวางลงบนแท่นบรรทมเอื้อมจับพระหัตถ์ใหญ่ไว้ทันที ยอมสบพระเนตรคมทั้งที่แสนเขินอาย “ท่านจะไปไหน ไม่นอนกับข้าหรือ”

     

                    เสียงหวานใสที่เต็มไปด้วยสำเนียงออดอ้อนทำให้ไม่อาจห้ามพระทัยลงสูดดมความหอมจากแก้มใสที่แดงปลั่ง “นอนสิ แต่พี่จะไปหาชุดให้เจ้าใส่ก่อน ไม่หนาวหรืออยู่แบบนี้”

     

                    “หนาวสิ” ฟันขาวขบกัดกับริมฝีปากตนเอง คิดถึงช่วงเวลาอันน้อยนิดก่อนใกล้รุ่งดวงตาที่เศร้าหม่นต้องก้มหลบไม่อาจให้ชายสูงศักดิ์ผู้นี้ได้เห็นแล้วอ้อมแอ้มเบาๆออกมา “แต่หากมีท่านมานอนกอดข้าไว้ ก็คงหายหนาว” ถ้อยคำสุดท้ายที่วอนขอทำให้ร่างเล็กต้องแหงนหน้าสบพระเนตรคมอย่างขอร้อง “นอนกอดข้านะ”

     

                    “ฮีชอล” ฮ่องเต้หนุ่มครางชื่อที่แสนเล่อค่าสำหรับพระองค์ด้วยพระทัยวูบไหว รับรู้สิ่งที่ร่างเล็กกำลังนึกคิด และบั่นทอนความสุขอันแสนสั้นนี้ ก่อนลงนอนคว้าร่างเล็กที่เปล่าเปลือยเข้ามาแนบชิดไม่ห่างกาย ปกป้องอากาศหนาวเย็นด้วยพระองค์เอง

     

            ....เพียงแค่น้องน้อยบอก มีหรือพี่จะไม่ทำให้.....

     

                    ร่างเล็กที่ถูกรัดแน่นไม่รู้สึกอึดอัดเลยสักนิด มีเพียงความคิดที่อยากครอบครองพื้นที่ตรงนี้ไว้ตลอดกาลเพียงผู้เดียว แม้นไม่อาจเป็นจริง หากเป็นได้แค่เพียงฝันสร้างความสุขให้ตราตรึงผ่านไปในแต่ละวัน “ข้าอยากอยู่แบบนี้ไปตลอด อยู่กับท่าน เคียงคู่ท่านเช่นนี้ ไม่อยากให้พระอาทิตย์ขึ้นสู่ท้องฟ้าเลย”

     

                    น้ำตาเม็ดเล็กที่ไหลออกมาจากผู้เป็นดั่งดวงพระทัย พาให้ดวงหทัยของฮ่องเต้หนุ่มไหววูบและเจ็บร้าวไม่ต่างกัน ข้อนิ้วพระหัตถ์งอเช็ดหยาดน้ำสายเล็กออกจากใบหน้าหวาน “อย่าร้องไห้นะฮีชอล เจ้าอย่าทำให้ค่ำคืนนี้ต้องเปื้อนหยดน้ำตาสิ จงมอบรอยยิ้มให้กับพี่ บอกให้พี่รู้ว่าเจ้าก็มีความสุขที่เราได้อยู่ด้วยกัน”

     

                    เหมือนร่างเล็กจะปล่อยผ่านคำพูดฮ่องเต้หนุ่ม เพราะมัวแต่จับจ้องอยู่ที่ข้อนิ้วพระหัตถ์ม่วงช้ำ จนต้องยึดแน่นเพื่อมองดูให้ชัด ความห่วงใยแล่นขึ้นในทันที “ท่านไปโดนอะไรมา ทำไมถึงช้ำแบบนี้ เพราะเมื่อครู่ใช่ไหม ที่ท่านเอามือมารองหลังข้าไว้ ใช่ไหม”

     

                    “ไม่เป็นไรหรอก เท่านี้เอง ดีกว่าให้หลังของเจ้าต้องช้ำเป็นไหนๆ อย่ากังวลเลยนะฮีชอล เป็นห่วงตัวเจ้าเองไม่ดีกว่าหรือ พี่เห็นนะว่าบวมช้ำแค่ไหน” เป็นครั้งแรกที่ทรงหลบตาน้องน้อย ด้วยไม่ทรงคุ้นชินเอาเสียเลยกับความห่วงใยที่ได้รับ และเต็มอิ่มไปกับความรู้สึกหอมหวานเช่นนี้

     

                    มีใครสักคนเป็นห่วงด้วยใจรัก...มันดีเช่นนี้เอง...

     

                    “ท่านอย่าเปลี่ยนเรื่อง มือของท่านเป็นขนาดนี้แล้วยังบอกว่าไม่เป็นไรได้อย่างไรกัน” ร่างเล็กจ้องมองรอยช้ำวงกว้างบนพระหัตถ์อย่างรู้สึกผิด อยากจะหายามาทาก็ไม่อาจฝืนกายให้ลุกขึ้นได้สะดวกนัก

     

                    “เจ้าเป็นห่วงพี่มากหรือ”

     

                    สุรเสียงเบาแผ่วดุจเด็กน้อยที่หวาดกลัวคำตอบทำให้ร่างเล็กต้องลอบยิ้มออกมา “มากสิ ท่านทำเช่นนี้ไม่ห่วงตัวเองหรืออย่างไร”

     

                    “พี่ห่วงเจ้ามากกว่าฮีชอล” ฮ่องเต้หนุ่มรับสั่งถ้อยคำจากพระทัยกระซิบข้างหูเล็ก ไม่อยากให้ข้อความตกหล่นไปแม้เพียงเสี้ยวความรู้สึกที่แฝงไปกับสายลม

      

            ใบหน้าหวานแดงก่ำรับรู้ได้ถึงความสัจจริงของคำพูด จนด้วยคำพูด ปล่อยให้ความเงียบสงบโรยตัวเข้ามาปกคลุมพร้อมความอุ่นซ่านในหัวใจ

     

                    “ฮีชอลเรียกพี่ว่า พี่ สักครั้งได้ไหม” สุรเสียงทุ้มดังผ่าความเงียบ สายพระเนตรมองใบหน้าเล็กที่ซุกอยู่กับต้นพระพาหา “แล้วลองแทนตัวเองว่าผู้อื่น(เค้า)*ดูสักหน่อย”

     

                    “หืมม์?” ดวงตาใสเต็มไปด้วยความสงสัย จ้องพระพักตร์เข้มที่แฝงด้วยนัยหยอกล้ออย่างมีความสุข จนริมฝีปากเล็ก ยับย่นเข้าหากันอย่างไม่พอใจ ที่ดูเหมือนกำลังถูกแกล้งเช่นนี้ “ทำไมข้าต้องแทนตัวเองว่าผู้อื่นด้วยเล่า ข้าไม่ใช่ผู้หญิงเสียหน่อย”

     

                    “เจ้าไม่ใช่ผู้หญิง แต่เจ้าก็แย่งที่ของฮองเฮาในอนาคตไปเสียหมดแล้ว ทั้งที่บนเตียงนี้ ทั้งหัวใจของพี่ เจ้าก็ได้ไปหมด เรียกให้พี่ชื่นใจสักนิดไม่ได้เชียวหรือ ไม่ต้องเรียกตัวเจ้าว่าผู้อื่นก็ได้ แต่เรียกข้าว่าพี่สักครั้งเถอะนะ” ฮ่องเต้หนุ่มทำเสียงออดอ้อนน้อยน้อยอีกครั้ง พระเนตรเต็มไปด้วยประกายแห่งความสุขดุจดั่งเด็กน้อยที่กำลังเริงรื่น

     

                    “แล้วจะให้พูดว่าอะไรเล่า”  แก้วตาใสตวัดค้อนใส่ชายหนุ่มผู้เป็นเจ้าของอ้อมพระกรที่แสนอบอุ่น ปกป้องความหนาวเย็นของอากาศและจิตใจให้ห่างไกล

     

                    “เจ้าอยากพูดสิ่งใดก็พูดเถิด ขอเพียงออกจากเจ้า พี่ก็อยากจะได้ยินทั้งนั้น”

     

                    “งั้นท่านฟังดีๆนะ ข้าจะพูดแค่รอบเดียวเท่านั้น” ร่างเล็กพาตัวขึ้นแนบชิดพระกรรณ แอบเก็บรอยยิ้มแห่งความสนุกที่จะได้แกล้งมังกรจักพรรดิ์ผู้นี้ “ผู้อื่นไม่พูดหรอก ท่านพี่”

     

                    ฮ่องเต้หนุ่มที่ทรงคาดหวังถึงถ้อยคำหวานล้ำ ไม่อาจกลั้นพระสรวลได้เมื่อทรงได้ยินคำพูดของน้อยน้อย ได้แต่ส่ายพระพักตร์กับองค์เองที่คาดหวังดุจดังไม่รู้จักอ๋องน้อยผู้นี้ดีพอ “ขอบใจเจ้ามานะฮีชอล แค่นี้พี่ก็พอใจแล้ว”

     

                    ร่างเล็กมองพระพักตร์เปื้อนยิ้มของฮ่องเต้หนุ่ม แล้วระงับความเขินอายกลั้นใจพูดเบาๆกับพระอุระที่ซุกหน้าหลบซ่อน “ข้ารักท่าน ฮ่องเต้ของข้า”

     

                    ถ้อยคำแสนแผ่วเบาที่ลอยออกมาจากกลีบปากเล็กพาให้หทัยของฮ่องเต้หวิวโหวงด้วยความสุขที่ถูกเติมเต็ม ถ้อยคำที่รอคอยมาแสนนานในที่สุดก็ได้รับฟัง ทรงโอบรัดร่างบางให้แนบแน่น ให้รับฟังเสียงของพระทัยที่กระหน่ำรัวราวกับกลองศึก พระพักตร์ยิ้มกว้างอย่างที่สุด ก้มลงกระซิบริมหูเล็กเบาๆ ถ่ายทอดทั้งหมดของความรู้สึกที่แสนลึกล้ำลงไปกับข้อความ “พี่ก็รักเจ้ามาก ยอดรักของพี่”  

     

            ทั้งสองอิ่มเอิบด้วยความรักที่มอบให้แก่กัน เฝ้าบอกรักด้วยทุกการกระทำและคำพูด เก็บซ่อนความทุกข์โศกเอาไว้ภายใน ตักตวงทุกช่วงเวลาแห่งความสุขให้ยาวนาน....จนไม่อาจข่มตาลงได้

                     

                    ความสุขจะคงอยู่ตราบนานชั่วชีวิต....หากวันพรุ่งนี้จะไม่มาถึง

     

              * ~ * ~ * ~ * ~ *~ * ~* ~ * ~ * ~ * ~ * ~ * ~ * ~ * ~ *

    อธิบาย

                    ผู้อื่นหรือ เปี๋ยเหริน เป็นคำพูดแทนตัวเองของผู้หญิงสมันก่อน แปลได้ว่า “เค้า” เป็นคำใช้แอ๊บให้ดูน่ารักของคนจีนอ่าค่ะ  

     

    Talk

            มาแล้วค่ะ กับความป่วงสุดพลัง ขอโทษที่ทำให้ต้องรอนานนะค่ะ

                    ครั้งนี้ไอซ์มาพร้อมกับสองศรีพี่น้องที่รู้สึกว่าจะย่ำแย่พิกล ดูงงงวยกับชีวิตจริงๆค่ะ เฮ้อ ! ปลุกสองเด็กน้อยไป ไอซ์ก็เขินไป เปิดเพลงฟัง อยู่ดีๆ ก็หูก็สะดุด กับเพลง I’ve got you Under my skin งี้ แล้วลุงแกเล่นร้องซะ อ๊าก เขินตัวเอง แล้วยังมี Tonight I celebrate my love for you และที่เขินหนักคือ let’s make love แบบว่า ทุกคนค่ะ อยากแนะนำให้หาฟังจริงค่ะ กระซิกๆ

                    แหง่ะ กลายเป็นแนะนำเพลงไปแล้ว 555 ขอโทษค่ะ สำหรับสองพี่น้องไอซ์อยากให้มันออกมาเศร้านิดๆ แต่ว่าดูจะป่วงเสียมากกว่า ขอโทษน่ะค่ะ แล้วก็ไอซ์ได้ส่งอีเมล์ให้บางส่วนแล้วนะค่ะ ตามที่ไอซ์พอจะมีอยู่บ้าง(แต่คาดว่ามีผู้ตกหล่นแน่ๆ)  ส่วนท่านอื่นที่อยากอ่าน ให้ทิ้งน้องแมวไว้นะค่ะ (อย่าคาดหวังกับเอ็นซีนะค่ะ)

    พี่กิ๊ก

     

    พี่หนูดี

     

    พี่คิดตี้แคท

     

    คุณหนอน

     

    คุณ kururu

     

    แพท

     

    ส้ม

     

    คุณใต้สะดือฯ

     

    นุ๊ก

     

    คุณhee angle

    คุณ natty_heechul

     

    คุณ p_QUEEN_q

     

    คุณเชย

     

    คุณ adilahc

     

    คุณ emik@

     

    คุณ phennnn

    คุณ คุณฮี_Cin[02]

     

    คุณ niksabella

     

    คุณ nitka

     

    คุณ sarang

     

    คุณ simba กด rella

     

     

              

            เซี่ยเซี่ยหนี่


    Jelly

    fish

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×