คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #17 : 美花 : 第十五花 100%
美花:第十五花
หลังเสร็จสิ้นราชกิจในช่วงเช้าฮ่องเต้หนุ่มทรงเสด็จเข้าห้องทรงอักษรในตำหนักหลวง นั่งอ่านฎีกาที่ถูกส่งเข้ามา หนึ่งในนั้นมีรายงายความประพฤติของปาหยางอ๋องภายใต้การควบคุมของผู้คุมมณฑลรวมอยู่ด้วย
ในรายงานได้ทูลให้ทรงทราบว่า ปาหยางอ๋องปรับปรุงพฤติกรรมให้ดีขึ้นได้มาก อีกไม่นานจะพ้นโทษเนรเทศ สามาถกลับมาใช้ชีวิตเมืองหลวงได้ดังเดิม
ทรงอ่านรายงายด้วยพระทัยที่เบิกบานยินดี เมื่อถึงเวลานั้น อ๋องน้อยของพระองค์ก็คงจะออกจากวังพอดี พระองค์จะคืนยศฐาและทรัพย์สินให้ทั้งหมด สองพ่อลูกก็จะอยู่ในเมืองหลวงได้อย่างมีความสุข
น้องน้อยก็จะไม่อยู่ห่างไกลสายพระเนตรไปไหน....
พระทัยทรงกระหวัดไปถึงน้องน้อยจนที่ทรงละมาเมื่อยามเช้า ป่านนี้คงกำลังคร่ำเคร่งอยู่กับการซ้อมมีดสั้นอยู่เป็นแน่
“ทูลฝ่าบาท ท่านราชครูขอเข้าเฝ้า พ่ะย่ะค่ะ” หนึ่งในแปดองครักษ์ลูกน้องขอซึงฮยองคุกเข่าเบื้องพระพักตร์ ทูลให้ทรงทราบว่าขุนนางเฒ่ามาขอรอเข้าเฝ้าอยู่หน้าห้องทรงอักษรแล้ว
“เชิญท่านเข้ามา แล้วให้คนจัดชาร้อนเข้ามาให้ท่านครูด้วย”
“กระหม่อม”
ฮ่องเต้หนุ่มทรงลุกขึ้นต้อนรับท่านราชครูผู้เปี่ยมไปด้วยความรู้อย่างนอบน้อม ดังที่ศิษย์พึงมีต่ออาจารย์ “ท่านครูมาหาเราถึงนี้ ไม่ทราบว่ามีเรื่องอะไร”
“ครูอยากรู้ว่าฝ่าบาททรงจัดเตรียมงานเษกสมรสไปถึงไหนแล้ว ทำไมกรมราชพิธีถึงยังไม่เริ่มทำอะไร ได้แต่บอกกับครูว่ายังไม่มีราชโอการใดๆลงมา” ขุนนางเฒ่าถามศิษย์ผู้สูงศักดิ์ด้วยความอาทรไม่ต่างจากลูกหลาน
“เรา...เรา ท่านครูถามถึงเรื่องนี้ทำไมหรือ” ทรงอ้ำอึงไม่อาจประทานคำตอบแก่พระอาจารย์ได้ หากถามจริงๆ พระองค์อาจตรัสได้เพียงว่า ....กำลังพูดคุยตกลงเลื่อนงานออกไป.......
“ครูทราบข่าวที่ไม่ดีเท่าไหร่นักหากทรงยืดเยื้อไม่เร่งให้เกิดงานมงคลครั้งนี้ เรากับชิงเต่าอาจเกิดเรื่องขุ่นข้องจนทางนั่นอาจนำไปเป็นข้ออ้างคิดก่อกบฏก็เป็นได้ กระหม่อม”
สีหน้าท่านผู้เฒ่าฉายแววกังวลจนพระองค์เองก็อดหวาดหวั่นไม่ได้ เป็นอาณาจักรใหญ่และยากที่จะพ่าย แต่หากเมื่อใดเกิดสงครามผู้คนก็พบกับความทุกข์ยากเมื่อนั้นไม่ว่าผลแห่งสงครามจะออกเป็นเช่นไรก็ตาม “ท่านครูหมายถึงเรื่องอะไรกัน”
“คนของเราในรัฐจิ้นส่งข่าวเข้ามาว่า มีการเตรียมไพร่พล แม้จะไม่มากนัก แต่ล้วนเป็นผู้มีฝีมือ เตรียมการเข้าสู่เมืองหลวงในเร็ววันนี้ หากกระหม่อมคาดการณ์ไม่ผิด การเตรียมไพร่พลในครั้งนี้อาจเพื่อชิงองค์หญิงจากชิงเต่า ให้เราและชิงเต่าเกิดความขัดแย้ง”
ฮ่องเต้หนุ่มทรงรับฟังอย่างครุ่นคิด ภาพอาณาจักรกว้างขวางมากมายด้วยรัฐน้อยใหญ่ ภูมิประเทศที่แตกต่างกันของเหนือใต้อยู่ในห้วงความคิดของพระองค์อย่างแม่นยำด้วยมีพระอาจารย์เฒ่าคอยสอน “รัฐ
หลู่ที่อยู่ติดกับชิงเต่า ใช่หรือเปล่า”
“กระหม่อม รัฐหลู่ที่อยู่ติดกับชิงเต่า ท่านหลี่เป็นผู้ปกครองอยู่ มีราชบุตรคือองค์ชายลู่กระหม่อม”
“องค์ชายลู่....เราเคยได้ยินชื่อองค์ชายผู้นี้มาก่อน น่าแปลกรัฐหลู่ไม่เคยกระด้างกระเดื่องแล้วเหตุใด....”
“ครูก็ยังไม่อาจทราบได้ว่าเกิดเหตุใดขึ้น แต่หากเป็นดั่งที่คาดการณ์ไว้ การจัดพระราชพิธีในเร็ววัน ดูเป็นหนทางที่หลีกเลี่ยงสงครามได้ดีที่สุด”
หนทางแก้ไขที่ขุนนางเฒ่าเสนอให้ทรงทำ บีบคั้นพระทัยของพระองค์ให้ปวดร้าว เพียงแค่ไม่ถึงเดือน พระองค์ก็ไม่อาจเลื่อนได้จริงหรือ ความสุขที่ได้ครอบครองดวงใจน้องน้อยช่างสั้นเพียงนี้จริงหรือ หากวันนี้ต้องยอมละจากน้องน้อยมา แล้วความสุขในวันวานจะทดแทนความเจ็บปวดที่ต่างจะได้รับหรอกหรือ
แม้คำรักที่ปรารถนาจะได้ยินจากน้องน้อยยังไม่มี...แต่พระองค์ก็แน่ใจว่าหัวใจสองดวงไม่ได้คิดต่างไปจากกันเลย
ทรงคำนึงอย่างครุ่นคิด นึกย้อนไปถึงวันที่ทรงเจรจากับองค์หญิงจากชิงเต่า ความนัยที่ไม่อาจพูด หากแต่สายตาหวานซึ้งคู่นั้นเปิดเผยออกมา...หรือว่า?
“ท่านครู ขอให้เราได้พูดกับองค์หญิงจากชิงเต่าก่อนได้หรือไม่ แล้วต่อจากนั้นไม่ว่าจะเป็นเช่นไร หรือต้องทำสิ่งใด เราก็จะทำ ทำโดยตั้งใจ” พระเนตรคมปิดสนิทรับรู้ด้วยหน้าที่ว่าความสุขมิอาจอยู่กับพระองค์ได้นานไปกว่านี้แล้ว
“ฝ่าบาท....” ท่านราชครูผู้อภิบาลฮ่องเต้หนุ่มแต่เยาว์วัย เพียงแค่นี้มีหรือที่จะดูไม่ออกว่าชายหนุ่มผู้สูงศักดิ์กำลังเจ็บปวดเช่นไรกับสิ่งที่นำมาทูล แม้มังกรจะสง่างามและทะนงตนเพียงไรก็ใช่ว่าจะไร้หัวใจ “ครูขอโทษ”
น้ำตาท่านผู้เฒ่าที่คลออยู่ในดวงตาหม่นแสง ทำให้พระโอษฐ์ต้องแย้มยิ้มอีกครั้ง ความอาทรที่ทรงได้รับจากราชครู ทดแทนความรักจากพ่อท่านแม่ ที่พระองค์ขาดไปได้ตลอดมา แต่ความรักเช่นนี้ก็มิอาจทดแทนอีกหนึ่งคนสำคัญที่กำลังจะสูญเสียไป “ท่านอย่าร้องไห้เลย เรารู้นานแล้วว่าวันนี้ต้องมาถึงแต่ก็ยังดื้อดึงไปเอง และเราก็รู้ดีว่าไม่มีสิ่งใดสำคัญไปกว่าหน้าที่ ที่เราต้องทำให้ดีที่สุด”
“พระองค์ทรงโตขึ้นมาก รู้องค์บ้างไหมกระหม่อม ทรงเป็นฮ่องเต้ด้วยใจไม่ใช่หน้าที่ดังวันเก่าอีกแล้ว”
“เราโตขึ้นขนาดเลยหรือ คงเป็นเพราะท่านพ่อท่านแม่ ที่รีบหนีเราไป แล้วก็เพราะท่านที่ยัดเยียดให้เราอยู่ทุกวัน เดี๋ยวเราจะออกไปที่เรือนรับรอง เผื่อว่าบางที....อืมมม ช่างมันเหอะ มันก็เป็นแค่ความหวังที่แขวนไปสายลม” ฮ่องเต้หนุ่มทรงตัดพระทัยจากความหวังที่เคยคิดไว้ จากนี้จะทรงทำสิ่งที่เพิกเฉยมานาน และจะเก็บเกี่ยวความสุขสุดท้ายให้ได้มากที่สุด
* ~ * ~ * ~ * ~ *~ * ~* ~ * ~ * ~ * ~ * ~ * ~ * ~ * ~ *
เสียงหัวเราะครื้นเครงดังมาจากเรือนรับรองช่างต่างจากพระทัยที่เงียบงันของฮ่องเต้หนุ่มยิ่งนัก เสียงของความสนุกไม่ทำให้ทรงเบิกบานพระทัยได้เลยสักนิด คงมีเพียงช่วงเวลาเดียวเท่านั้นที่จะทรงปลดวางสิ่งต่างๆลงแต่ช่วงเวลาที่มีน้อยนิดนั้น กำลังจะหมดไป
เสียงหัวเราะใสที่ตราตรึงในพระทัย ดังลอยมาพร้อมกับเสียงหัวเราะอื่นที่ไม่ทรงใส่ใจ พระขนงเรียวยาวขมวดเข้าหากัน ทรงจำไม่ผิดเป็นแน่ ไม่มีทางจำผิด ไม่ว่าสิ่งใดของน้องน้อยทรงจำได้แม่นยำ แล้วเหตุใด เสียงนี้จึงดังมาเรือนรับรองขององค์หญิงจากชิงเต่าได้
“ฮ่องเต้เสด็จ” เสียงของทหารประจำเรือนรับรองที่ถูกส่งตัวมา ร้องบอกให้คนข้างใจเตรียมถวายการต้อนรับฮ่องเต้หนุ่มที่ดำเนินมาพร้อมขบวนองค์รักษ์ บอกให้รู้ว่าทรงมาครั้งนี้ ไม่ใช่เป็นการส่วนพระองค์
ผู้คนทั้งหลายในเรือนรับรอง ล้วนนั่งนิ่งก้มหน้าเพื่อรอคอการมาถึงขององค์ฮ่องเต้ แม้ผู้คนจะมากมาย แต่ร่างของน้องน้อยที่ดูเพรียวบางก็โดดเด่นในสายพระเนตรเสมอ “ยืนขึ้นเหอะ”
ดวงตากลมโตที่มองช้อนขึ้นมาดูเต็มไปด้วยความหวาดหวั่น และคำถามมากมาย พระองค์เห็นชัดถึงความโศกเศร้าในดวงตาคู่นั้น จนอยากโอบคว้าเข้ามาปลอบประโลมกระซิบถาม...น้องน้อยของพี่เป็นอะไร เหตุใดดวงตาช่างเศร้านัก....
ทรงรู้สึกได้ถึงบางอย่างกำลังตะกุยตะกายอยู่กับเสื้อคลุมมังกรที่ทรงใส่อยู่จึงต้องก้มมองเห็นเป็นเจ้าซีวอนที่สองที่ตัวไม่น้อยเท่าไหร่แล้ว มาทักทายและคงอยากให้พระองค์เล่นกับมันเหมือนทุกครั้งที่ได้เจอ พระโอษฐ์แย้มยิ้ม มองอาการสิงโตตัวน้อยที่ขี้เล่นขี้งอน และเอาแต่ใจ เดินหันหลังให้พระองค์ที่ขัดใจมัน นิสัยช่างไม่ต่างกันเลยกับร่างโปร่งบางที่นิ่งเงียบอยู่ตรงหน้า
....จะให้ข้าทำไรได้....
“ฮีชอลทำไมเจ้ากับตัวยุ่งนี้ถึงมาอยู่ที่นี้ได้ ไม่ใช่ว่าควรซ้อมอยู่ที่ตำหนักหรอกหรือ” ทรงถามอ๋องน้อยที่นิ่งงัน ด้วยพระทัยที่หวั่นไหวในคำตอบไม่น้อย หากแต่ต้องแสดงว่าสบายดีไม่ว่าคำตอบจะออกมาเช่นไร
“ท่านอ๋องพาเจ้าฉ่อยที่สองมาให้ข้ากับเสี่ยวหลงเล่นเพค่ะ อย่าทรงว่าท่านอ๋องเลย” องค์หญิงจากชิงเต่ารีบออกตัวให้แก่ท่านอ๋องที่ใจดีพาสัตว์เลี้ยงน่ารักมาให้เล่นคลายเหงา แม้ว่าชื่อของสัตว์เลี้ยงจะสะดุดพระกัณฑ์ แต่คำตอบนั้นก็สร้างความปวดร้าวให้แก่ฮ่องเต้หนุ่มจนลืมเลือนชื่อที่น่าขันนั้นไป
“อย่างนั้นหรือ แต่เวลานี้เรามาเพื่อจะคุยเรื่องสำคัญกับองค์หญิงก็สมควรที่เจ้าจะกลับได้แล้วฮีชอล หากเจ้ายังอยากชนะเราก็ควรตั้งใจฝึกไม่ใช่เอาแต่วิ่งเล่นอยู่แบบนี้” ทรงรู้ดีว่าถ้อยคำดูแสนห่างเหินแต่เวลานี้ควรหรือที่จะบอกให้ใครรู้ว่าเราเป็นเช่นไร
“กระหม่อมทูลลา” อ๋องน้อยที่เงียบตั้งแต่พระองค์เสด็จมาถึง กล่าวทูลลาอย่างง่ายดาย แต่ในดวงตาคู่กลมที่มองมายังฮ่องเต้ช่างปวดร้าวสื่อถึงใจที่กำลังจะแตกลงทุกที
..ใช่ว่าเจ้าคนเดียวที่เจ็บเมื่อเห็นพี่อยู่ที่นี้ ใช่ว่าพี่ไม่รู้ว่าเจ้าหมายปองสิ่งใดในเรือนรับรอง แต่เอาเถิด สิ่งที่พี่จะทำ มันจะทำให้เจ้าเจ็บปวดยิ่งกว่านี้มากนัก หากวันใดเจ้าได้สมหวังในสิ่งที่หมายปอง พี่คงทำได้เพียง..ยินดี...และโศกเศร้า ไปพร้อมกัน
* ~ * ~ * ~ * ~ *~ * ~* ~ * ~ * ~ * ~ * ~ * ~ * ~ * ~ *
ฮ่องเต้หนุ่มดำเนินกลับตำหนักส่วนพระองค์ด้วยพระทัยที่เบิกบานกว่าครั้งไหนๆ แม้จะมีเรื่องให้พระองค์ต้องครุ่นคิดและดำเนินการอย่างเร่งด่วน
ร่างน้องน้อยที่นั่งหน้าบึ้งอยู่บนตั่งในห้องบรรทม หันมองออกไปยังสวนเปิดกลางตำหนัก เรียกรอยแย้มสรวลให้ปรากฏขึ้น ทรงดำเนินเข้าไปใกล้โอบกอดน้องน้อยจากด้านหลัง ซุกพระพักตร์ลงกับซอกคอขาว รู้สึกได้ว่าร่างเล็กในอ้อมพระพาหาสะดุ้งจนสุดตัว
“ทำไมกลับมาเร็วนัก หล่ะ ท่านควรอยู่กับองค์หญิงย่าหนานให้นานกว่านี้มิใช่หรือ” ประโยคแสนทำร้ายคนพูดและคนฟังไม่ทรงทำให้พระองค์ตกพระทัยเท่ากับน้ำเสียงสั่นพร่า
“ฮีชอลเป็นอะไร เจ้าร้องไห้ทำไมคนดีของพี่” ทรงหมุนร่างเล็กกลับมา พระเนตรคมจับจ้องบนใบหน้าหวาน หยาดน้ำตาเม็ดเล็กทำให้ร่างบางดูเปราะบางจนพระองค์อยากเก็บไว้ในตำหนักแต่เพียงเท่านั้น
“เรื่องของข้า ท่านอย่ายุ่งเลย ก็แค่คนบ้าๆเท่านั้นเอง” ร่างเล็ก ปลดท่อนพระกรใหญ่ออกจากเอวได้ จึนหันหน้ากลับไปมองต้นไม้ที่พลิ้วไหวตามสายลมดังเดิม
“เรื่องของเจ้าก็เหมือนเรื่องของพี่ บอกมาเถิดว่ามีเรื่องอะไร” ทรงคว้าร่างเล็กเข้ามาในท่อนพระหาพาอีกครั้ง ให้แผ่นหลังบางแนบชิดกับพระอุระถ่ายทอดความอบอุ่นไปสู่น้องน้อย
“ท่านอย่าทำแบบนี้อีกเลยได้ไหม อย่าเป็นห่วงข้า อย่ารักข้า อย่าดูแลข้าอีกเลยไม่ได้หรือไร ในสักวันท่านจะลืมได้อย่างที่เคยพูดไว้ แต่ข้าไม่สามารถทำแบบท่านได้ เข้าใจไหม” ร่างเล็กสั่นสะท้าน เหลือตามองไปยังยอดไม้สูงที่ถูกลมพัดจนสั่นพริ้ว ตั้งใจจะกลั้นน้ำตาไม่ให้ไหลริน แต่มันก็ยังไหลลงมาอาบแก้ม หยดลงบนพระหัตถ์หนาที่โอบประสานอยู่ตรงเอว
ทรงมองน้องน้อยด้วยความรู้สึกผิด ที่พูดถ้อยคำเหล่านั้นออกไป แม้เพียงแค่คิดก็ผิดมากแล้ว สุรเสียงทุ้มครางเรียกชื่อน้องน้อยด้วยความเจ็บปวดไม่ต่างกัน “ฮีชอล”
“ท่านอย่าพึ่งพูดอะไร ให้ข้าพูดให้จบเสียก่อน ข้ารู้ตัวดีว่าเป็นเพียงแค่คนธรรมดา แต่เมื่อข้ารับใครเข้ามาสักคน แม้จะเป็นคนสูงศักดิ์ที่ข้าไม่คู่ควรสักเพียงใด ข้าก็ไม่อาจทำให้ใจลืมคนผู้นั้นได้ และสุดท้ายก็คงเป็นข้าที่จะจำเรื่องราวเหล่านี้ได้เพียงผู้เดียว ต้องเจ็บอยู่คนเดียวในขณะที่ท่านจำข้าไม่ได้ หยุดเถอะ เพื่อข้าเพื่อองค์หญิงย่าหนาน ท่านทำให้ข้าได้หรือไม่” ดวงตากลมไม่อาจที่จะปล่อยน้ำใสให้ไหลลงมา ถ้อยคำที่ฝืนพูดจนจบ กลั่นออกมาจากใจที่กำลังเจ็บช้ำ ทั้งที่ก่อนหน้านั้นไม่เคยต้องกลัว
...ที่เป็นแบบนี้ก็เพราะท่าน ฮ่องเต้ซีวอน...
“ฮีชอลเจ้ามาขอให้พี่หยุดตอนนี้คงไม่ได้แล้ว พี่ไม่อาจหยุดรักเจ้า ไม่อาจหยุดดูแลเจ้าได้อีก และพี่ก็สามารถลืมเจ้าได้เช่นกัน” ทรงก้มลงแนบพระโอษฐ์ร้อนกับลำคอระหง “พี่ทำให้เจ้าไม่ได้ฮีชอล อย่าร้องขออะไรแบบนี้อีกเลยนะ น้องน้อยของพี่”
ไม่มีคำตอบจากร่างเล็ก มีเพียงความนิ่งเงียบและหัวใจสองดวงที่กำลังสื่อถึงกันผ่านลมหนาวที่พัดหวีดหวิว น้ำตาเม็ดเล็กค่อยๆจางหายไป
ไม่ว่าวันข้างหน้าจะเป็นเช่นไร....แต่จงเก็บเกี่ยวความสุขของวันนี้ไว้ไม่ดีกว่าหรือ....
“แล้วเจ้าไปเรือนรับรองทำไมกัน ที่นั่นมีอะไรงั้นหรือ” คำถามของฮ่องเต้หนุ่มทำให้ใบหน้าหวาน เชิดรั้นขึ้นแม้จะยังอยู่ในอ้อมพระพาหา เรียกให้รอยพระสรวลที่หายไปกลับมาอีกครั้ง
“ท่านยังไปได้ ทำไมข้าไปไม่ได้” อ๋องน้อยตอบฮ่องเต้หนุ่มด้วยเสียงห้วน ดวงตากลมเหลือบมองค้อนผู้สูงศักดิ์ที่นั่งซ้อนหลังอยู่ ยิ่งได้ยินเสียงหัวเราะในลำคอเบาๆก็ยิ่งเชิดใบหน้าหวานขึ้น
“เจ้าไปได้ แต่ไปทำไมหืมมม์ บอกพี่ได้ไหม” ชายผู้สูงศักดิ์มองท่าทางของน้องน้อยแล้วได้แต่ อมยิ้ม ดีพระทัยที่ความสดใสกลับคืนสู่ร่างบางอีกครั้ง
“ก็อีกไม่นานท่านกับองค์หญิงย่าหนานก็ต้องมาอยู่ด้วยกัน ก็เหลือเพียงหลงเอ๋อร์คนเดียว เหมือนข้าที่ออกจากวังไปก็ต้องอยู่คนเดียว ไปผูกสัมพันธ์เอาไว้เพื่อภายหน้าก็ไม่ผิดไม่ใช่หรือ” ใบหน้าหวานเบี่ยงหลบพระโอษฐ์หนาที่ซุกไซ้อยู่แถวแก้ม
ฮ่องเต้ซีวอนทรงได้ฟังคำตอบของน้องน้อยแล้วอดหมันเขี้ยวไม่ได้ ฟัดแก้มใสแรงๆหลายที “เจ้ากล้าพูดว่าจะผูกสัมพันธ์กับพูดอื่นต่อหน้าพี่เชียวหรือฮีชอล”
“ชายอื่นที่ไหนกัน ท่านก็รู้จักหลงเอ๋อร์ของข้าไม่ใช่หรือ” น้องน้อยในอ้อมพระพาหาเบิกตากว้างใส่ฮ่องเต้หนุ่ม คล้ายจะยั่วให้ฮ่องเต้หนุ่มอิจฉาเด็กชายตัวเล็ก
“เราอย่าพูดถึงคนอื่นเลย เจ้าหิวหรือยังฮีชอล” ทอดเนตรดวงตากลมทอประกายใส ได้แต่แย้มพระโอษฐ์ ดีใจ แต่ก็ทรงรู้ดีว่าหากพูดต่อไป คงได้ทรงกริ้วเจ้าเด็กหลงเอ๋อร์คนนี้เป็นแน่ ที่กล้ามาทำให้อ๋องน้อยคนนี้หลงใหล
“ท่านหิวแล้วหรอ ข้าออกไปบอกให้ขันทีคนเก่งของท่านเตรียมตั้งสำหรับให้นะ” ร่างบางๆค่อยหมุดลอดใต้พระพาหาใหญ่ หวังจะออกไปบอกให้ขันทีเหี่ยวจัดสำรับมื้อเย็นได้แล้ว
พระพักตร์คมเข้มของฮ่องเต้หนุ่มพราวด้วยรอยยิ้ม เมื่อรู้ว่าอ๋องคนโปรด หวังจะมุดลอดใต้พระพาหา พระองค์จึงคิดแกล้งคนรักด้วยความเอ็นดู รั้งแขนเรียวไว้จนสุดแรง กระชากให้ลงมาบนพระเพลา (ตัก) มองใบหน้าหวานที่แดงจัด “เจ้าจะให้ลีทึกเตรียมได้อย่างไร ที่พี่ว่าหิวหน่ะ พี่อยากกินเนื้อนุ่มๆแบบนี้” พระทนต์ขาวขบเบาลงบนซอกคอขาว สูดดมกลิ่นน้ำมันหอมที่ถูกบรรจงแต้มแตะตั้งแต่เช้า “หอมกลิ่นแบบนี้ด้วย แล้วลีทึกจะทำได้อย่างไรคนเก่ง มีแต่เจ้านั่นแหล่ะที่ทำให้พี่ได้”
“แล้วข้าจะไปหาให้ท่านได้ที่ไหนกัน คนเป็นฮ่องเต้เขาเลือกมากแบบนี้หรือไง” อ๋องน้อยที่เคยได้ชื่อว่าเอาแต่ใจ มองพระพักตร์ฮ่องเต้ที่ได้ชื่อว่าสุขุมและทรงติดอย่างเคืองนิดๆ แต่แล้วใบหน้าหวานกลับแดก่ำและร้อนผ่าว เมื่อได้มองประกายในพระเนตร และความนัยที่ทรงตรัสออกมา “ท่านนนน เป็นฮ่องเต้แล้วพูดแบบนี้ได้ไงกัน ไม่อายคนอื่นบ้างหรือไงกัน”
เสียงพระสรวลก้องทั่วห้องบรรทม มองหน้าแดงก่ำของร่างบาง พระนลาฏ(หน้าผาก)กว้างสัมผัสกับหน้าผากมนของร่างในอ้อมพระพาหา ปลานพระนาสิกอยู่ชิดปลายจมูกเชิดรั้น สัมผัสได้ถึงลมหายใจร้อนผ่าว “หน้าผากเจ้าร้อนเชียว เขินพี่หรือฮีชอล”
“ใครเขินท่านเล่า ข้าไม่ใช่หญิงสาวที่จะมาเขินต่อหน้าท่านหรอกนะ ปล่อยข้าได้แล้ว ท่านไม่หิวแต่ข้าหิวนะ” อ๋องน้อยฮีชอลรู้ดีว่าถึงอย่างไรคงปกปิดความเขินอายเอาไว้ไม่ได้ ทางเดียวที่จะหนีพ้นคือเดินออกมาจากห้องบรรทม
“เจ้หิวหรือ อยากได้กินแน่นๆแบบนี้ไหม”ทรงวางมือเลกลงบนต้นพระกรที่เต็มไปด้วยกล้ามเนื้อแน่นๆ ยิ่งทำให้คนถูกถามเขินอายจนไม่กล้าสบตา แต่ก็ไม่รู้ว่าจะทอดสายตาไปทางทิศใด
“เนื้ออย่างนี้ข้ากินไม่ลงหรอก ให้ข้าออกไปหาลีทึกเถอะนะ” อ๋องน้อยใช้วิธีสุดท้ายด้วยเสียงออดอ้อนเอาใจ ดั่งที่เคยใช้ได้ผลมาตลอดกับทุกคนไม่ว่าจะเพศใด วัยใด
“แล้วรีบกลับมานะ ลมพัดเย็นๆแบบนี้ ไม่มีเจ้าให้กอดแล้วพี่หนาวตัวจนเหมือนอยากจะเป็นไข้” ทรงละจากร่างเล็ก ส่งประคองให้ลุกขึ้นจากพระเพลา หากแต่ไม่ลืมส่งคำหวานให้เลือดได้มารวมตัวที่ใบหน้าหวานจนแดงปลั่ง
ลับร่างบางพระพักตร์ที่แย้มพระโอษฐ์ตลอดเวลากลายเป็นนิ่งขรึมดังเช่นก่อนเก่าอีกครั้ง แม้การเข้าพบองค์หญิงย่าหนานในครั้งนี้จะทำให้พระองค์เลิกกังวลกับบางเรื่อง แต่กลับมีเรื่องหนักใจให้ต้องคิด ต้องทำอย่างรอบคอบที่สุดเพื่อความสงบสุขของสามแผ่นดิน และสี่หัวใจ
“ทำไมทำหน้าแบบนั้นหล่ะ หิวข้าวมากเลยหรือ” ฮีชอลเดินเข้ามาเพื่อบอกให้ฮ่องเต้ออกไปทานข้าวที่ตั้งสำหรับไว้แล้ว แต่กลับต้องมาพบกับพระพักตร์เคร่งขรึม จนอดถามด้วยห่วงใยไม่ได้
ทันทีที่ทรงรู้องค์ว่าทำให้น้องน้อยเป็นห่วง พระพักตร์คมกลายกลับเป็นแย้มยิ้มอีกครั้ง หวังเอาใจคนที่อ๋องน้อยที่พระองค์รัก “เปล่าหรอก เจ้าอย่าสนใจเลย พี่ยิ้มแบบนี้เจ้าพอใจหรือยัง”
“อือ แบบนี้สิ ค่อยเหมาะเป็นฮ่องเต้ที่ทรงพระเมตตา ไม่ใช่หน้าบึ้งตึง คงไม่เคยมีใครบอกท่านให้รู้เป็นแน่ ว่าเวลาท่านทำหน้านิ่ง น่ากลัวยิ่งกว่าอะไรเสียอีก ดวงตาท่าน เคยทำให้ข้าแอบผวาด้วยนะรู้หรือเปล่า” อ๋องน้อยลากวรองค์สูงใหญ่ให้ดำเนินออกมายังสวนกลางตำหนัก สถานที่จัดโต๊ะในมื้อเย็นเช่นนี้
“อย่างนั้น แต่เดี๋ยวนี้ตาพี่คงทำให้เจ้าเขินอายได้มากกว่าหวาดผวาใช่ไหมฮีชอล เจ้าถึงขยันทำหน้าแดงอยู่แบบนี้” ทรงใช้มองร่างบางด้วยพระเนตรที่แน่ใจว่าทำให้น้องน้อยเขินอายแล้วมันเป็นจริง เมื่อใบแก้มใสแดงเรื่อขึ้นมา
“ก็รู้แล้วยังจะถามอีก” ปากเล็กๆงุบงิบอยู่กับตนเองเบาๆแต่ก็ทำให้คนที่ประทับอยู่ข้างๆได้ยินชัดเจน
“ฮีชอล” ทรงเรียกให้ดวงตากลมหันมามองพร้อมคำถาม ก่อนจะเอ่ยถามในสิ่งที่คิดเอาไว้ในใจด้วยสุรเสียงแสนนุ่ม “ คืนนี้อาบน้ำให้พี่หน่อยสิ ได้ไหม”
“ไม่...” ร่างเล็กที่ถูกขอร้องให้อาบน้ำให้ ปฏิเสธในทันทีโดยไม่ต้องคิด ภาพความทรงจำที่เกิดขึ้นในอ่างน้ำกับชายหนุ่มสูงศักดิ์ผู้นี้ยังตราตรึงไม่เลือนหาย
“ตามใจเจ้า พี่ไม่บังคับเจ้าหรอก” แม้พระโอษฐ์จะตรัสว่าไม่บังคับ แต่สายพระเนตรก็กำลังอ้อนวอนน้องน้อยด้วยแววตาเศร้าซึ้งจนน่าสงสาร
ฮีชอลจำต้องก้มมองอาหารในจานตรงหน้า แทนที่จะเงยหน้าสบตาลึกเข้าไปในดวงตาคู่คมที่แทนอารมณ์ผู้เป็นเจ้าของได้ดียิ่งนัก
ยามไม่พอพระทัย ด้วยตาคู่นี้ ทอแสงราวกับมีเปลวไฟเผาผลาญผู้ที่ถูกจ้องมองให้มอดไหม้
ยามโกรธ สายตาก็นิ่งเฉยราวกับไม่มีความรู้สึกใดๆต่อผู้ที่ถูกคล้ายดั่งคนไม่มีตัวตน
ยามรัก ก็กลายเป็นหวานช้ำ ไม่ปกปิดความรู้สึกที่มากล้น จนผู้ถูกมองได้แต่เขินอาย
ยามออดอ้อน ก็กลายเป็นดั่งดวงตาของเด็กน้อยที่ขอร้องเพื่อให้ได้มาในสิ่งสำคัญ จนไม่อาจขัดใจได้
“แล้ววันนี้ท่านไปหาองค์หญิงย่าหนานทำไมหรือ” อ๋องน้อยเปลี่ยนเรื่องให้พ้นจากคำร้องขอและดวงแสนเศร้าสร้อย
“เจ้าอยากรู้หรือ? ”
ใบหน้าคมปรากฏรอยแย้มยิ้มที่ฮีชอลต้องบอกตัวเองว่าไม่น่าไว้ใจเอาเสียเลย แต่เพราะความอยากรู้ก็ทำให้ใบหน้าหวานต้องพยักหน้าขึ้นลง ก่อนจะรู้สึกพลาดไปถนัด รู้เมื่อสายไปเสียแล้ว...
.....รอยยิ้มที่ไม่น่าไว้ใจ คือรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ อย่างไรหล่ะ
“งั้นเจ้าก็ต้องทำให้มีข้อแลกเปลี่ยน พี่ถึงจะเล่าให้ฟังได้” พระพักตร์ดั่งเด็กชายจอมเจ้าเล่ห์ที่วางกลอุบายล่อหลวงเด็กน้อยให้ตกหลุมพราง ช่างแตกต่างจากฮ่องเต้หนุ่มที่ออกทรงงานอยู่ทุกวัน
“ทำไมต้องมีข้อแลกเปลี่ยนด้วยเล่า ท่านเล่าให้ข้าฟังเลยไม่ได้หรือ” ริมฝีปากอิ่มที่มันวาวด้วยคราบจากอาหารเชิดรั้น เสียงใสขึ้นจมูกอย่างแสนงอนตามนิสัย
“ไม่ได้หรอก เรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญที่ไม่ควรมีใครรู้ แต่เจ้าอยากรู้พี่ก็จะบอก แต่ต้องมีข้าแลกเปลี่ยนเจ้าตกลงไหม” ฮ่องเต้หนุ่มทรงอารมณ์ยิ่งนักที่ได้แกล้งให้น้องน้อยทำหน้าประหลาดๆที่พระองค์ชอบทอดพระเนตร
“แล้วท่านจะแลกกับอะไร ข้าไม่มีเงินหรอกนะ เพราะท่านยึดไปหมดแล้ว” ดวงตากลมมองชายหนุ่มสูงศักดิ์ผู้แสนเจ้าเล่ห์อย่างไม่วางใจ ไม่แน่ใจว่าสิ่งใดกันที่จะต้องนำมาแลกเปลี่ยน แต่แล้วเสียงหวานก็ต้องร้องขึ้นด้วยความตกใจ เมื่อร่างทั้งร่างถูกยกลอยขึ้น
ฮ่องเต้หนุ่มไม่อาจห้ามพระทัยไม่ให้เอ็นดูน้องน้อยที่ทำคิ้วเรียวขมวดเข้าหากัน แก้มใสพองลม อย่างคนใช้ความคิด จนต้องโอบอุ้มให้มานั่งอยู่บนพระเพลาอีกครั้ง สองพระกรโอบรั้งเอวเล็กไว้แน่น กระซิบข้อแลกเปลี่ยนชิดริมหูเล็ก”
“มีให้เจ้าเลือก หนึ่งยอมอาบน้ำให้พี่ หรือ สอง ยอมเป็นของว่างมื้อดึกสำหรับคืนนี้ให้แก่พี่”
เพียงลมร้อนท่ามกลางลมหนาวก็ทำให้เส้นขนละเอียดลุกชัน แต่ทางเลือกที่มีอยู่ก็ยิ่งทำให้รู้สึกชัดถึงความร้อนผ่าวของใบหน้าที่เลือดมารวมตัวกันอยู่ “ข้าไม่อยากฟังแล้ว ท่านปล่อยข้าลงเหอะ เดี๋ยวใครมาเห็นเข้า”
มือเล็กที่พยายามแกะแงะๆพระหัตถ์หนาออกจากเอวเล็ก ดูไม่เป็นผลเมื่อฮ่องเต้นุ่มยังทรงแย้มพระโอษฐ์กว้าง กอดรัดน้องน้อยแน่น “ไม่มีใครมาเห็นหรอก แต่หากเจ้าให้พี่ปล่อย เจ้าก็ต้องเลือดมาข้อใดข้อหนึ่งแล้วหล่ะ อย่าลืมนะว่าเจ้าเป็นต้นห้องของพี่ก็ต้องดูแลพี่ จำได้หรือเปล่า”
“ข้าต้องเลือกจริงๆหรือ” เสียงอ่อยของฮีชอลไม่มีผลให้ฮ่องเต้พระทัยอ่อนลงได้เลย เมื่อทรงพยักพักตร์หนักแน่น ถึงสิ่งที่ต้นห้องคนพิเศษต้องเลือกทำ
“แล้วท่านจะปล่อยข้า และเล่าเรื่องที่ท่านไปพบองค์หญิงย่าหนานให้ข้าฟังนะ” เสียงใสขอความมั่นใจอีกครั้งก่อนตัดสินใจเลือก
“อือ เจ้าก็รู้ว่าพี่เป็นฮ่องเต้ พูดแล้วคืนคำได้หรือ สัญญาว่าจะปล่อยให้เจ้าไปนั่งที่เดิม และจะเล่าเรื่องที่อยากรู้ให้ฟัง ทีนี้บอกพี่ได้หรือยังว่าเลือกข้อไหน แต่ถ้าเป็นพี่นะ พี่จะเลือกข้อสอง ไม่ต้องทำอะไรเลย แค่นอนนิ่งๆให้พี่ได้ชิมรสหวานเท่านั้นเอง” แล้วพระเนตรหวานซึ้งที่ฉายแววบางอย่างที่ฮีชอลไม่เคยเห็น แล้วยังคำแนะนำถึงตัวเลือกทำให้อ๋องน้อยอดคิดถึงยามออกทรงงานไม่ได้
....ท่านเป็นแบบนี้ได้อย่างไร ช่างแตกต่างกับฮ่องเต้ที่คนทั้งหล้าเกรงกลัวยิ่งนัก....
“ไม่มีทาง ข้าเลือกข้อแรก แล้วท่านก็ปล่อยข้าได้แล้ว” ร่างบางบอกเสียงสั่น ก่อนถูกปล่อยออกจากอ้อมพระกร แก้มใสก็ถูกประทับหนักๆหนึ่งครั้ง
“ตามใจเจ้า พี่อุตส่าห์แนะนำหนทางที่จะไม่เหนื่อยให้แล้วนะ แล้วนั่นจะไปไหนกันฮีชอล ไม่กินข้าวแล้วหรือ คืนนี้เจ้าต้องอาบน้ำให้พี่นะ” เมื่อทรงเห็นน้องน้อยเดินหนีเข้าตำหนักก็กลับตะโกนเตือนลั่นดุจดังกลับเป็นเด็กชายวัยร่าเริงอีกครั้งหาใช่ฮ่องเต้หนุ่มไม่
“ข้าจะเข้าเตรียมน้ำให้ท่านอาบ แล้วยังไม่ต้องตามมานะ” ร่างบางตะโกนผ่านช่องหน้าต่าง เดินหายไปยังระเบียงทางเดินมุ่งตรงสู่ห้องบรรทมที่เชื่อมต่อกับห้องสรงน้ำ
ฮ่องเต้หนุ่มมองตามความน่ารักของน้องน้อย ที่สร้างรอยยิ้มให้แก่พระองค์เสมอ แม้จะดื้อบ้างในบางครั้ง เอาแต่ใจกับบางเรื่อง และที่หนักไปกว่าทุกอย่าง ความเจ้าชู้ที่ดูเหมือนจะยังไม่หายไป แต่พระองค์ก็รักอ๋องน้อยฮีชอล...อ๋องน้อยผู้ร่าเริง นำความอบอุ่นมาสู่หัวใจที่หนาวเหน็บ
...แล้วพี่จะทำใจปล่อยเจ้าไปได้อย่างไรกัน..ฮีชอล....
* ~ * ~ * ~ * ~ *~ * ~* ~ * ~ * ~ * ~ * ~ * ~ * ~ * ~ *
ขออธิบายเรื่องรัฐหลู่นะคะ
รัฐหลู่มีอยู่จริงในช่วงชุนชิวของจีน อยู่ในช่วงชุนชิวจ้านกั่ว ที่จีนแบ่งออกเป็นรัฐๆๆๆ มีบุคลสำคัญที่โด่งดังเช่น ขงจื้อ เล่าจื้อ ซึ่งเป็นนักปราชญ์ของจีน และเป็นช่วงเวลาก่อนที่จิ๋นซีฮ่องเต้จะทำการรวมจีนคะ ปัจจุบัน รัฐหลู่ก็คือ มณฑล ซานตง ที่อยู่ติดกับชิงเต่า ลงมาทางใต้ของปักกิ่งคะ
ไหนๆก็ไหนๆ ขออธิบายเรื่องยุคเวลาในเรื่องฮวาด้วยเลยนะคะ คือฮวาเนี้ย ไอซ์ตั้งให้เป็นยุคลอยๆ คือว่าไม่ระบุลงไปนะคะ ง่ะ ยิ่งงงกันไม่หนอ เอาเป็นในเรื่องนี้ ก็น่าจะอยู่ในช่วง หมิง มีการเดินเรือสำเภาแล้วโดยขันทีนามว่าเจิ้งเฮอ และเมืองหลวงก็อยู่ที่ปักกิ่งคะ
Talk
ครบร้อยแล้วคร้า ฉลองงงงงงง
เรื่องที่ฮ่องเต้ไปแอบเจรจากับองค์หญิงนั้น รอฟังพร้อมอ๋องนอนตอนหน้านะคะ เพราะอ๋องอุตส่าห์เสี่ยงไปอาบน้ำให้ฮ่องเต้ เราจะไปรู้ก่อนก็คงไม่ดีนะคะ อิอิ
ส่วนตอนหน้าจะมีเอ็นซีในห้องน้ำหรือไม่ไอซ์ก็ยังไม่ทราบเหมือนกันนะคะ ต้องรอดูอารมณ์ตอนนั้นก่อน แต่ถึงอย่างไรก็จะทำให้หวานที่สุดดดดดดดดด (เท่าที่สามารถ) ค่ะ
ปล. มีใครคิดถึงบ้านหลังเล็กๆบ้างไหมคะ ตอนหน้าเจอกันที่โฮมนะคะ (แต่ถ้าน้องน้องซีของวันส์มาไวก็เจอกันที่วันส์นะคะ)
เซี่ยเซี่ยหนี่
Jelly fish
ความคิดเห็น