คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #16 : 美花 : 第十四花 100% (NC) แก้คำผิดคะ
美花:第十四花
พระอาทิตย์ยามเช้าส่องแสงเรืองรองเป็นสีส้มระเรื่อ ฉายแสงลอดผ่านบานหน้าต่างเข้าสู่ห้องบรรทม จนเนตรคมต้องเปิดกว้างต้อนรับเช้าวันใหม่ พระโอษฐ์ได้รูปโน้มหาแก้มนวลที่เคยได้สัมผัสอยู่ทุกเช้าที่ทรงตื่นบรรทม แต่เช้านี้ กลับไม่มีร่างบางอยู่ในอ้อมกอด.....
ฮ่องเต้ซีวอนทรงหันพระพักตร์หาต้นห้องคนพิเศษที่มักตื่นเช้า แต่วันนี้กลับไร้วี่แววใด ทั่วทั้งห้องช่างเงียบงันจนอดหดหู่ในพระทัยไม่ได้ นานมากแล้วที่ไม่ได้เป็นเช่นนี้ และพระองค์จักไม่ยอมให้เป็นเช่นนี้อีกแล้ว
ต่อจากในนี้ ในทุกเช้า...ทุกวัน....พระองค์ต้องมีน้องน้อยเคียงข้างกาย...ไม่ปล่อยให้หายไปเฉกเช่นวันนี้
“ลีทึก” สุรเสียทุ้มตะโกนเรียกขันทีประจำตำหนักส่วนพระองค์ด้วยความโกรธกริ้วดั่งที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ทำให้ขันทีเฒ่าต้องรีบพาร่างกายที่ร่วงโรยเข้าเฝ้าฮ่องเต้หนุ่ม
“ฝ่าบาททรง~”
“เช้านี้เจ้าเห็นท่านอ๋องน้อยหรือไม่” ทรงไม่รั้งรอให้ขันทีถามจนจบ แต่ทรงขัดขึ้นเสียก่อนด้วยความร้อนพระทัย ที่เช้านี้น้องน้อยของพรองค์หายไปทั้งที่ก็ยังไม่ใช่เวลาตื่นนอน
“ท่านฮีชอล ลงฝึกที่ลานประลองหน้าตำหนักแต่เช้าแล้วกระหม่อม” ท่านขันทีตอบไปตามความจริง ใบหน้าหันเบือนไปยังกองเสื้อผ้าที่ถูกท่านอ๋องถอดทิ้งไว้อย่างไร้ระเบียบอยู่ในมุมหนึ่ง และเมื่อหันกลับมาอีกท่านลีทึกก็ตกใจตัวเอง เมื่อฮ่องเต้ที่พึ่งโกรธกริ้วกายเป็นแย้มพระโอษฐ์อยู่น้อยๆ
“อือ ลงไปนานแล้วหรือยัง แล้วมีใครเป็นคู่ซ้อมให้”
“กระหม่อมไม่ทราบเกล้า”
“อือ เจ้าไปเตรียมน้ำให้ล้างหน้าหน่อยเถอะ แล้วก็ให้ห้องเครื่องเตรียมตั้งสำหรับได้แล้ว” ทรงละองค์จากแท่นบรรทมเดินไปหยิบชุดที่ถูกถอดทิ้งไว้อย่างไม่ใยดี ขึ้นมาอย่างทะนุถนอม หากแต่ทรงรู้สึกองค์เองว่าถูกจ้องมองจึงต้องผินพระพักตร์กลับไป “ไปได้แล้ว เราจะเปลี่ยนชุดบ้าง หรือเจ้าอยากดูเราเปลี่ยนชุดเหมือนตอนเด็กๆกัน”
“เกล้ากระหม่อมมิกล้า” ทรงประทับยืนมองให้ขันทีออกไปจนลับสายตา แล้วจึงก้มพระพักตร์พับเก็บชุดของน้องน้อยที่วางไว้ระเกะระกะ ให้เป็นระเบียบนำไปวางไว้ เพื่อเคียงข้างชุดที่พระองค์จะทรงเปลื้องในเช้านี้
* ~ * ~ * ~ * ~ *~ * ~* ~ * ~ * ~ * ~ * ~ * ~ * ~ * ~ *
“ฮีชอล พี่ไมได้ดูเจ้าซ้อมไม่เท่าไหร่ ฝีมือเจ้าพัฒนาไปไวนะ” วรองค์สูงสง่าดำเนินออกมายังหน้าลานประลองที่อ๋องน้อยยึดเป็นที่ฝึกซ้อมยามเช้า ตั้งแต่ฟ้ายังไม่สาง
“หากหม่อมฉันไม่ตั้งใจฝึก แล้วหม่อมฉันจะชนะพระองค์ได้อย่างไร” ท่านอ๋องรูปร่างโปร่งบาง เหงื่อโทรมกาย ตั้งใจอยู่กับการฝึกซ้อม ไม่แม้แต่จะเบือนใบหน้าหวานๆไปทางที่ผู้สูงศักดิ์ประทับอยู่
พระขนงเรียวยางขมวดเข้าหากันด้วยขัดพระทัยทั้งสำเนียงที่แข็งกระด้างและถ้อยคำที่ดูห่างเหิน “เช้านี้เจ้าเป็นอะไรไป ทำไมรีบตื่นมาแต่เช้าขนาดนี้ ไปพักกินอะไรหน่อยเถอะ พี่ให้คนเตรียมไว้แล้ว”
“กระหม่อมเป็นเพียงต้นห้องที่แสนต้อยต่ำ มิอาจเอื้อมร่วมโต๊ะเวลาพระองค์เสวยพระกายาหารได้ เชิญพระองค์เสวย กระหม่อมจะขอซ้อมที่นี้ก่อน แต่หากไม่มีข้ารับใช้ จะให้กระหม่อมคอยอยู่รับใช้ เช่นนั้นจะสมควรกว่า” ดวงตากลมจ้องมองไปยังหุ่นฟางที่มีทหารนำมาให้ใหม่ในทุกวัน แขนเรียวขาวยื่นมีดออกไปปักกลางลำตัว
“ดีนี้ ในที่สุดเจ้าก็รู้ว่าเป็นแค่ต้นห้อง ที่ต้อยต่ำ แต่เจ้าคงลืมไปเช่นกันว่าคำพูดของเจ้ากำลังล่วงเกินข้า และเป็นสิ่งที่ต้องได้รับโทษ” ทรงไม่เคยกริ้วน้องน้อยของพระองค์เท่านี้มาก่อน หากแต่ครั้งนี้ทรงรับไม่ได้กับความห่างเหินที่ถูกสร้างขึ้น “และข้าจะบอกให้เจ้ารู้ไว้ ว่าต่อให้เจ้าฝึกซ้อมให้ตายเจ้าก็ไม่มีวันชนะข้า”
“กระหม่อมทราบดีว่าคงไม่มีวันนั้น แต่อย่างน้อยกระหม่อมก็ได้พยายามอย่างสุดความสามารถแล้ว” ร่างบางค่อยๆก้าวย่างไปยังหุ่นฟางที่มีดปักอยู่กลางลำตัว พยายามที่จะไม่หันไปสบพระเนตรที่ทอดมองลงมา
วงองค์สูงใหญ่ขององค์ฮ่องเต้เดินเข้าบดบังเจ้าตุ๊กตาที่ถูกมีดปักเอาไว้ จนร่างบางที่ไม่ทันระวังเกือบเดินชนพระอุระอุ่นที่ซุกตัวนอนในทุกคืนที่ผ่านมา
“ฝ่าบาท” ในที่สุดดวงตากลมต้องแหงนเงยองผู้สูงศักดิ์เกินกว่าที่ใครจะเทียบเคียงได้ ในฝ่าพระหัตถ์ทรงถือกระบี่ยาวเอาไว้มั่น พระเนตรจ้องมองนิ่ง จนน่ากลัวสมพระราชอำนาจ
“ทำไม ก็เจ้าบอกเองว่าต้องซ้อมไว้เพื่อเอาชนะข้ามิใช่รึฮีชอล นี้ไง อยากเอาชนะนัก ข้าก็จะเป็นคู่ซ้อมให้แก่เจ้าเอง” ทรงมองร่างเล็กที่อยู่ตรงหน้า ทรงพบแววของความเสียใจในตากลมที่พระองค์หลงรัก แต่ยามนี้ ความห่างเหินที่ร่างบางสร้างขึ้นทำให้พระองค์ไม่พอทัย จึงทรงแกล้งเมินเฉยไปเสีย แล้วตอบกลับด้วยความห่างเหินที่มากกว่า
“นับเป็นเกรียติแก่กระหม่อมยิ่งนักที่พระองค์ทรงสละเวลาอันมีค่าประทานแก่กระหม่อม หากมีสิ่งใดได้โปรดประทานคำแนะนำแก่กระหม่อมด้วย” มือบางคว้ามีดสั้นสลักลวดลายที่ฮ่องเต้หนุ่มประทานลงมาให้ กำแน่นในฝ่ามือ จ้องมองร่างสูงที่ดำเนินห่างออกไปจนสุดขอบลานประลอง
พระเนตรคมดุจพญามังกรทอดมองร่างเล็กที่วิ่งเข้าหาพระองค์อย่างสุดแรง มีดเล่มหากคงยิ่งนัก พุ่งเข้าพระองค์อย่างไม่รีรอ หากแต่กระบี่ในฝ่าพระหัตถ์กลับไม่กล้าที่จะยกขึ้นเพื่อป้องปัดสะกิดผิวน้องน้อยให้เพียงนิด ทรงทำได้เพียงวรองค์ให้พ้นจากมีดเล่มเล็กที่พุ่งมาอย่างรวดเร็วแต่ไร้ชั้นเชิง
ร่างบางทิ้งน้ำหักไว้ข้างหน้าพุ่งเข้าหาคู่ซ้อมอย่างบ้าคลั่ง แม้มองเห็นอย่างพร่าเลือน ได้แต่บอกกับตัวเองว่าหยดน้ำที่บดบังนั้นคือเหงื่อ หาใช่สิ่งอื่นไม่....ไม่มีทางเป็นน้ำที่ไหลมาจากตา
เมื่อทิ้งลงไปข้างซ้ายกลับพบว่าฮ่องเต้ทรงเบี่ยงออกไปด้ายขวา เมื่อพุ่งเข้าหาด้านขวา กลับมีร่างสูงสง่าประทับทางด้านซ้าย เป็นเช่นนี้อยู่ตลอด “ฝ่าบาทไม่ทรงสู้กับกระหม่อมเลย”
“แล้วเจ้าอยากให้เราสู้กันงั้นหรือฮีชอล เจ้าอยากให้เป็นเช่นนั้นหรือ” ทรงร้องถามน้องน้อย ด้วย
สุรเสียงที่แสนปวดร้าว เพียงแค่วันนี้ พระองค์ยังมิอาจสู้ได้ แล้วอีกไม่กี่วันข้างหน้าที่จะมาถึง พระองค์จะทำใจได้หรือที่ต้องอาวุธเพื่อทำร้ายคนที่ทรงรักดุจดั่งดวงใจ
“แต่พระองค์มีกระบี่อยู่ในมือ พระองค์ทรงอยู่ในลานประลอง หากไม่สู้แล้วจะทำอะไร”
“ได้ ฮีชอลถ้าเจ้าปรารถนาเช่นนั้น เราอยู่ในสนามประลอง เรามีกระบี่อยู่ในมือ เราจะทำให้เจ้าเห็นว่า หากเราสู้กับเจ้า แล้วมันจะเป็นเช่นไร” ฮ่องเต้ซีวอนทรงปิดพระเนตรลง เพื่อให้ลืมภาพน้องน้อยที่แสนรัก ก่อนเปิดพระเนตรอีกครั้ง เพื่อย้ำกับตัวเองว่า นี้คือสนามประลอง และผู้ที่อยู่ตรงหน้า คือคู่ต่อสู้ที่แสนอ่อนหัดไม่ต่างจากเด็กน้อย
มีดสั้นในมือบางพุ่งเข้าหาวรองค์สูงหนา ลมพัดอื้ออึ้งอยู่ในหู เพียงแค่ขยับพระหัตถ์ก็สร้างแรงมหาศาลผลักให้ร่างกายที่บอบบางถดถอยออกไป และเพียงแค่คิดขว้างมีดสั้นให้ฝ่าแรงลมเพื่อเข้าถึง กระบี่อ่อนพลิ้วไหวก็ปัดมีดเล่มนั้นออกไปดุจไร้น้ำหนัก คมกระบี่ที่เคลื่อนไหวดุจแพรไหมตวัดปาดจนรู้สึกได้ถึงความเย็นวาบผ่านแก้มไป
“ฮีชอล!” สุรเสียงตกพระทัย ทรงละทิ้งกระบี่คมถลากายเข้าหาร่างบางที่ยืนนิ่งดั่งต้องมนต์ “เจ้า...พี่ขอโทษ” พระหัตถ์ที่ละทิ้งจากอาวุธเอื้อมมือเข้าใกล้แก้มเนียนที่ต้องคมกระบี่จนโลหิตไหลแดงตัดกับความซีดของผิว
มือเล็กปัดพระหัตถ์หนาออกห่างทันทีที่สัมผัสได้ถึงความอบอุ่นจากวรกายสูง อีกทั้งยังผลักดันดิ้นรนไม่ให้สองกายแนบชิดไปกว่าที่เป็น ยอมแพ้ต่อน้ำตาที่หลั่งรินจนไม่อาจหลอกลวงตัวเองได้ “ ท่านอย่ามายุ่งกับข้า ออกไป ออกไปให้ไกล”
“ฮีชอลเจ้าเป็นอะไรไป ฮีชอล พี่ขอโทษ” พระหัตถ์หนาไม่ทรงยอมแพ้เรี่ยวแรงอันน้อยนิด รั้งร่างบางเข้ามาแนบชิดในอ้อมพระพาหา กดใบหน้าเล็กให้แนบพระอุระ กระซิบพร่ำบอกคำขอโทษ
“ไม่ๆ ออกไป ไปให้ไกล อย่ามาสนใจข้าอีก อย่าทำดีต่อข้าอีกเลย อย่าทำเช่นนี้อีกเลย” ร่างเล็กที่ดิ้นรนจนกลายเป็นยอมอยู่นิ่งในอ้อมพระพาหาอันอบอุ่น บาดผลบนใบหน้าไม่เจ็บปวดเท่าหัวใจดวงน้อยที่กำลังพ่ายแพ้
“จะให้พี่ไปไหนได้อีกฮีชอล สายตาของพี่มองหาแต่เจ้า จนมันไม่เหลือเอาไว้สนใจใครได้อีก อย่าร้องไห้นะคนดี อย่าร้องไห้อีกเลย ไม่ว่าเรื่องใดที่เจ้าโกรธเคือง พี่ขอโทษ ยกโทษให้พี่เถิดนะ” ทรงขอโทษแม้จะไม่รู้ว่าเรื่องใดที่ทำให้ร่างเล็กในอ้อมพระพาหาโกรธเคือง ทรงยอมทุกอย่างขอเพียงน้ำตาเม็ดเล็กจะหยุดหลั่งริน ขอเพียงจะได้รับรอยยิ้มสดใสเช่นเดิม
“ท่านจะมองข้าเพื่ออะไร จะเก็บข้าไว้ตรงไหน ในเมื่ออีกไม่นานท่านก็ต้องเข้าพีธีกับองค์หญิงย่าหนาน แล้วท่านยังจะทำแบบนี้อีกทำไม” ร่างเล็กที่รู้จักกับความพ่ายแพ้ของหัวใจเป็นครั้งแรกระเบิดสิ่งที่อยู่ในใจมานาน ในอ้อมกอดที่แสนอบอุ่น
ในอ้อมกอดที่ไม่มีสิทธิ์เป็นเจ้าของ....แต่ก็ยังหวงแหน
“ฮีชอล!” เจ้าของอ้อมกอดตกพระทัยกับสิ่งที่ได้ยินจากปากน้องน้อย ทรงโอบกระชับให้รัดแน่น ป้องกันลมหนาวที่พัดหวีดหวิว แต่คงไม่อาจปกป้องความเจ็บที่กินลึกอยู่ในใจดวงน้อย พระพักตร์คมซบลงบนกลุ่มผมหนานุ่ม น้ำตามังกรเม็ดเล็กลอบไหลลงมาอย่างเงียบๆ
“ไม่ว่าเจ้าจะรู้สิ่งใดมา แต่สิ่งเดียวที่อยู่ในใจของพี่ สิ่งเดียวที่อยากให้เจ้าจำไว้....พี่รักเจ้าคนเดียวเท่านั้น น้องน้อยของพี่”
* ~ * ~ * ~ * ~ *~ * ~* ~ * ~ * ~ * ~ * ~ * ~ * ~ * ~ *
“เจ้าไม่คิดจะพูดสิ่งใดเลยหรือ ฮีชอล” ฮ่องเต้หนุ่มทรงตรัสถามอ๋องน้อยผู้นิ่งเงียบไป ตั้งแต่พระองค์ตรัสบอกคำรักออกมา จนพาเข้ามาในตำหนัก เพื่อทำแผลให้ แต่กระนั้นก็ยังไม่มีคำพูดใดหลุดออกมาจากกลีบปากอิ่มนี้เลย มีเพียงหยาดน้ำใสๆเท่านั้น ที่ทำให้พระองค์รู้ว่า ไม่ได้กำลังประทับอยู่กับตุ๊กตากระเบื้องแก้ว แสนบอบบาง
“........”
“ทำไม ยังนิ่งเฉยอยู่อีก ไม่รู้หรือว่า กำลังขัดบัญชาฮ่องเต้อยู่” ฮ่องเต้ซีวอนทรงยกพระขนงขึ้น แม้ถ้อยรับสั่งดูเหมือนจะทรงกริ้ว หากแต่พระสุรเสียงกลับนุ่มทุ้ม พระพักตร์ปรากฏรอยยิ้มอบอุ่น ทอดพระเนตรคนเจ็บด้วยความรักใคร่
“ข้า...ข้าไม่รู้ว่าจะต้องพูดอะไร ไม่รู้ว่าต้องทำเช่นไร ไม่รู้ว่าควรเชื่อในคำพูดของท่านหรือไม่ ไม่รู้อะไรทั้งสิ้น” คำพูดที่กลั่นออกมาจากใจดวงเล็ก พร้อมน้ำตาที่ยังไม่หยุดไหล ทำให้อ๋องน้อยรู้สึกทั้งรำคาญและกวาดกลัวตัวเอง
เดิมอ๋องน้อยฮีชอลที่ใครๆรู้จัก เป็นคนที่ไม่เคยเกรงกลัวผู้ใด ไม่เคยรักใคร เจ้าชู้จนคนรู้ทั้งเมือง เปลี่ยนผู้หญิงและเด็กหนุ่มหน้าหวานแทบไม่ซ้ำกัน
แต่วันนี้ ต่อหน้าชายผู้สูงศักดิ์และคำว่ารัก...มันทำให้ดวงใจที่เคยนึกว่าหายไปกลับสั่นไหว ทั้งที่คนตรงหน้าเป็นผู้ที่ทำลายศักดิ์ศรีความเป็นชายของเขาจนหมดสิ้น ทำให้น้ำตาเครื่องหมายของความอ่อนแอหลั่งริน จนน่าสมเพช
นิ้วเรียวยาวของฮ่องเต้หนุ่มเกลี่ยไล่หยดน้ำใส พระพักตร์ยังคงมอบรอยยิ้มอบอุ่นดังแสงตะวันให้แก่น้องน้อย แม้ถ้อยคำที่ทรงได้ยินจะทำให้น้อยพระทัย “เจ้ายังไม่รู้ก็ไม่เป็นไร ขอเพียงแค่ตอบพี่ตามที่ใจเจ้ารู้สึกก็เพียงพอ” พระหัตถ์หนารั้งร่างแบบบางเข้ามาไว้ในอ้อมพระพาหา กระซิบตรัสถามข้างใบหูเล็ก “พี่กอดเจ้าไว้แบบนี้ เจ้ารู้สึกดีหรือไม่”
“....” ร่างเล็กในอ้อมพระพาหา ไม่มีคำตอบใด นอกจากเสียงสะอื้นไห้ที่ดังขึ้นกว่าเดิม และใบหน้าหวานที่พยักหน้าขึ้นลง
“พี่ลูบหัวเจ้าแบบนี้ คลายกังวลขึ้นบ้างไหม”
ความอบอุ่นที่ฮีชอลสัมผัสได้จากพระหัตถ์ทำให้ใบหน้าหวานที่เปรอะเปื้อนคราบน้ำตาได้แต่พยักหน้าขึ้นลงเป็นคำตอบ ไร้คำพูดใดๆ
ฮ่องเต้หนุ่มรั้งร่างเล็กให้ออกห่าง แม้ร่างบางจะขืนตัวแต่ก็ไม่อาจสู้แรงได้ ฮ่องเต้หนุ่มจึงได้เห็นใบหน้าหวานเต็มตาอีกครั้ง ทรงก้มลง ประทับริมพระโอษฐ์ลงบนเปลือกตาบางที่ปิดลงช้า “พี่ซับน้ำตาให้เข้าแบบนี้ รังเกียจพี่หรือไม่ ฮีชอล”
“ม่ะ...ไม่” ใบหน้าหวานก้มหลบไม่กล้าสบสายพระเนตรที่มองจ้องมา รู้สึกหน้าตนเองร้อนผ่าว และคงแดงกล่ำ ยามนี้อ๋องน้อยเข้าใจความรู้สึกของสาวน้อยขี้อายเป็นอย่างดี
“แล้วหากพี่จะ...”
ถ้อยรับสั่งที่ขาดหาย ทำให้อ๋องน้อยขี้อาย ต้องช้อนสายตากลมโตขึ้นมองพระพักตร์คมที่โน้มเข้ามาใกล้จนริมพระโอษฐ์เกือบแนบชิดกับริมฝีปากของตนเอง ใบหน้าหวานยิ่งแดงกล่ำ อยากซ่อนหนี หากแต่คางมนกลับถูกรั้งไว้ไม่ให้ไปไหน
“...จูบน้องของพี่ ได้หรือไม่”
ร่างบางไร้คำตอบใดๆให้แก่ฮ่องเต้หนุ่ม มีเพียงเปลือกตาบางที่ปิดลง หยดน้ำเล็กๆยังไหลมาไม่ขาดสาย แพขนตาที่เปียกชื้นขยับเยื้อนแผ่วเบา
ฝีพระโอษฐ์อุ่นร้อนแนบชิดกลีบปากนุ่ม มอบสัมผัสละมุนให้แก่น้องน้อยที่พระองค์รัก ลมหายใจร้อนผ่าวต่างรินรดกันและกัน ปากอิ่มเจ่อบวมจากสัมผัสที่รุนแรงมากขึ้น ลิ้นร้อนที่ไล่เลียไปทั่วกลีบปากทำให้ร่างเล็กต้องสั่นเทาทั้งที่เคยคุ้นยามเป็นผู้กระทำ
ลมหายใจร้อนถูกช่วงชิง ทำให้กลีบปากที่เริ่มบวมช้ำต้องเปิดออกเพื่อนำอากาศเข้าไป แต่กลับกลายเป็นการเปิดช่องให้ลิ้นที่อุ่นร้อนได้เข้าไปสัมผัสความหวานที่ซ่อนตัวอยู่ภายใน โพรงปากถูกสำรวจจนทั่ว แม้ลิ้นเล็กจะผลักไส แต่กลายเป็นถูกพันแนบกับลิ้นหนา ร่างกายของทั้งสองแนบชิด จนรับรู้ได้ถึงอุณหภูมิที่พุ่งสูงด้วยแรงอารมณ์
เพราะเสียงครางแผ่วเบาดั่งคนใกล้หมดลมทำให้ฮ่องเต้หนุ่มต้องยอมผละออกจากความหอมหวานอย่างแสนเสียดาย ทรงทอดพระเนตรใบหน้าเนียนที่แดงก่ำ ดวงตาปรือปรอยอย่างคนอ่อนล้าและฉ่ำเยิ้มจนดูยั่วยวนดั่งผลยิงโถ้ว(เชอร์รี่)บวมช้ำวาวน้ำใส หากร่างบางไม่หอบน้อยๆ ฮ่องเต้หนุ่มคงไม่รั้งรอที่จะเชยชมผลไม้รสหวานนี้อีกครั้ง “หากครั้งนี้ พี่จะขอ....”
นิ้วเรียวสวยขึ้นปิดริมพระโอษฐ์บางที่กำลังเอื้อนเอ่ย ดวงตาโตมองพระพักตร์ที่อยู่ใกล้ “อย่าขอข้าเลย เพราะคงให้มันแก่ท่านไม่ได้” สายพระเนตรคมกล้าเศร้าหมองลง หากแต่พระโอษฐ์ยังยิ้มแย้มดุจจะปลอบน้องน้อยว่าไม่เป็นไร อย่าเสียใจ แม้พระองค์กำลังจะเจ็บมากเพียงใดก็ตาม “ข้ามิอาจตอบคำถามได้อย่างที่ท่านต้องการ แม้ว่าใจข้าจะต้องการมันเช่นกัน”
“ฮีชอล” ฮ่องเต้หนุ่มฟังถ้อยคำจนจบสิ้น จับมือบางคลี่ออกบรรจงจุมพิตลงไปบนนิ้วเรียวยาวดุจลำเทียน ทีละนิ้ว ทีละนิ้ว สายตาคมจ้องจับใบหน้าหวาน จนดวงตากลมไม่อาจสู้สายพระเนตรได้ ทรงรั้งร่างเล็กให้แนบชิดจนแทบขึ้นเกยนั่งบนตักใหญ่ “หากได้คำตอบเช่นนั้นพี่คงไม่ถามเจ้าอีก ปล่อยให้เป็นไปตามที่ใจเจ้าต้องการเถอะนะ ฮีชอล”
พระหัตถ์หนาโอบอุ้มร่างเล็กขึ้นจากตั่งไม้แข็งกระด้าง วางลงบนที่นอนนุ่มที่นอนเคียงกันทุกค่ำคืน ทรงตามลงไปนอนไม่ห่าง ชักพาร่างของน้องน้อยมาแนบชิดให้ต่างได้รับรู้ความต้องการในกันและกัน
สองสนิทชิดชมสมคู่ เชิงชู้เชิงชมสมศรี
ต่างองค์เกษมเปรมปรีดิ์ ในที่สวนสวรรค์ชั้นใน
“เหนื่อยไหมคนดี” ทรงตรัสถามน้องน้อยที่ยังคงหลับตาพริ้ม ใบหน้าหวานซุกหน้าลงกับพระอุระแกร่งไม่กล้าสู้หน้าและตอบคำถามใดๆ
“ไม่ตอบพี่อีกแล้ว พี่จะรู้หรือว่าเจ้ามีความสุขไม่ใช่ความสุขของพี่เพียงผู้เดียว”
“......”
ใบหน้าหวานที่ซุกซ่อนอยู่ได้แต่งึมงำแผ่วเบาหากแต่ฮ่องเต้หนุ่มก็ไม่คั้นเอาคำตอบ ด้วยคำถามที่ทรงตรัสถามไปนั้น องค์เองก็ทรงรู้คำตอบเป็นอย่างดี
“ฮีชอลพี่ไม่แกล้งเจ้าแล้ว แต่ว่าคราวนี้เจ้าต้องตอบว่าเดินไหวหรือไม่ หรือจะให้พี่อุ้มไปห้องน้ำ”
สุรเสียงทุ้มตรัสถามร่างเล็กที่ซุกกายแนบแน่น อย่างแสนรัก
“ไปทำไม” เสียงแผ่วเบาที่ไม่ดังไปกว่าเดิมเท่าไหร่ อู้อี้ออกมาจากร่างบางที่ยังสงสัยแต่ก็เขินอายเกินกว่าจะมองหน้าใครได้ในเวลานี้
“ก็ไปล้างตัวเจ้าอย่างไรหล่ะ ไหวหรือเปล่าอ๋องน้อยคนเก่ง” ทรงถามย้ำอีกครั้ง ด้วยความเป็นห่วง อาจต้องให้คนเตรียมน้ำให้ใหม่ เพราะน้ำที่เตรียมไว้แต่เช้าอาจเย็นจัดจนทำให้ใครบางคนล้มป่วยได้
“ไม่ไหว ท่านอุ้มข้าไปหน่อยสิ” อ๋องน้อยคนเก่งแม้จะเขินอายแต่ก็รู้ดีว่าขาของตนเองตอนนี้ไร้เรี่ยวแรงที่จะทรงกายให้ยืนได้ แค่เพียงขยับเล็กน้อยก็ปวดร้าวเสียแล้ว
“พี่ให้คนเตรียมน้ำให้ก่อนนะ จะได้อาบน้ำอุ่น” ทรงตั้งใจจะผละออกจากร่างบาง หากแต่ถูกรั้งไว้จากคนที่ก้มหน้ามุดหมอนไปแล้วทันทีที่พระองค์ลุกขึ้น
“ท่านให้คนเตรียมน้ำใหม่ คนอื่นก็รู้สิว่าเมื่อกี้....ไม่เอาหรอก ข้าอาบน้ำเย็นได้” เสียงอู้อี้ที่ดังออกมาทำให้ฮ่องเต้หนุ่มไม่อาจกลั้นพระสรวลได้ ทรงทราบดีว่าน้องน้อยของพระองค์ป่านนี้หน้าหวานคงแดงจัดเป็นแน่
“แต่เจ้าจะไม่สบายเอาได้นะ”
“ไม่เป็นไรหรอก ก็ยังดีกว่าให้คนอื่นรู้”
“อือ ตามใจ ปล่อยมือพี่ก่อน พี่จะใส่เสื้อคลุมแล้วค่อยอุ้มเจ้าไปอาบน้ำ” มือบางยอมละออกจากพระหัตถ์แข็งแรงอย่างว่าง่าย คว้าเปะปะหาผ้านวมขึ้นคลุมกาย แต่ผ้านวมผืนนั้นไม่ได้อยู่บนที่นอน มันถูกเตะทิ้งหล่นลงไปนานแล้ว
“ไม่ต้องหาอะไรแล้ว ไปล้างตัวเถอะนะ ดูสิคราบอะไรเต็มตัวเจ้าไปหมด เลอะมาถึงพี่ด้วย” ทรงหยอกล้อคนในอ้อมพระหัตถ์ที่ยังซุกหน้ากับกับพระอุระ กลีบปากที่เจ่อบวมแดงก่ำย่นเข้าหากัน
“อ่ะๆๆ เย็นๆๆ” ร่างบางที่ถูกปล่อยลงในถังไม้น้ำที่บรรจุน้ำเคยอุ่น ร้องลั่นด้วยความตกใจเมื่อสัมผัสกับความเย็น เรียกรอยแย้มพระโอษฐ์ให้ปรากฏขึ้น
“ก็พี่บอกเจ้าแล้ว ว่าให้คนเตรียมน้ำอุ่นให้ใหม่ เจ้าก็ไม่ยอม กลัวอะไรไม่เข้าท่าเลย มานี้ม่ะ” ทรงลงไปนั่งซ้อนหลังในถังน้ำใบเดียวกัน รั้งร่างบางเข้ามาโอบกอดมอบความอบอุ่น ความเย็นเพียงนี้ไม่อาจทำอะไรได้ ผู้ที่เคยฝึกวิชาต่างๆเช่นพระองค์ได้
“ก็ท่านนั่นแหล่ะ ข้าบอกแล้วว่าข้าให้ไม่ได้ ก็ยัง....” ใบหน้าหวานแดงก่ำขึ้นอีกครั้งเมื่อนึกถึงคำพูดที่ตรัสถามและคำตอบของตนเองทั้งที่ถูกความหนาวเย็นทำให้ซีดลงไปบ้างแล้ว
“พี่ขอโทษ ที่ใช้กำลังข่มเหงช่วงชิงมา” พระพักตร์คมยิ้มกริ่มกับคำพูดขององค์เอง ที่พูดเพื่อหาข้ออ้างให้ร่างบาง “อุ่นขึ้นไหม”
“อือออ สบายดีจัง” ที่ว่าสบายดีนั้น เพราะร่างบางกำลังได้รับการปรนนิบัติจากฮ่องเต้หนุ่ม น้ำเย็นที่ค่อยๆอุ่นขึ้นถูกราดลงลงบนลาดไหล่เล็ก ตามด้วยการบีบนวดอย่างพอเหมาะจนรู้สึกอย่างหลับในอ้อมพระพาหานี้ หากจะไม่รู้สึกถึงสิ่งแปลกปลอมที่ล่วงล้ำเข้ามาในช่องทางแคบที่กำลังอ่อนล้า “อ่ะ...ท่านทำอะไรอืมมมม...หน่ะ”
“เจ้าหันมากอดคอพี่ไว้สิ พี่จะพาลูกของเราให้ออกจากตัวเจ้า ก่อนที่จะทำให้น้องของพี่จะรู้สึกไม่สบายตัว” ทรงตรัสหน้าเฉยอย่างไม่รู้สึกอะไร ในขณะที่คนที่หันหน้าเข้าหาพระองค์ได้แต่ก้มหน้างุดเขินอายในถ้อยรับสั่ง
“อ่ะ....อื้อ...” เสียงหวานครางลั่นเมื่อนิ้วที่เข้าไปกำลังจะทำเกินกว่าพาสิ่งแปลกปลอมออกมา จนร่างบางไม่อาจเก็บเสียงไว้ได้
“เจ้าต้องการอีกหรือ ฮีชอล” เพราะหันหน้าเข้าหากันและร่างบางยังอยู่บนวรองค์ ฮ่องเต้หนุ่มจึงรู้สึกได้ถึงส่วนอ่อนไหวที่เกร็งแน่นขึ้นอีกครั้ง แม้จะทรงถามเช่นนั้นหากนิ้วเรียวของพระองค์ยังทรงหมุนควานหยอกล้ออยู่ภายใน
“ม่ะ...อ่ะ...ท่ะ...แกล้ง อ่า...” ร่างบางกลั้นเสียงจนหลุดออกมาไม่เป็นคำ ริมฝีปากถูกขบเม้มจนขึ้นรอยฟัน เล็บมนจิกลงบนพระพระปฤษฎางค์
“อ้าว หรอกหรือ!” ทรงถามอย่างกลั้นพระอารมณ์ขัน ก่อนจะไล่เบี้ยถามร่างบางอีกครั้ง “แล้วตกลงว่าอย่างไร ต้องการหรือไม่”
“อือออ.” ใบหน้าหวานพยักหน้าน้อยๆทำให้พระองค์ไม่อาจกลั้นพระสรวลได้ พระหัตถ์หนาค่อยลูบไล้ส่วนแข็งขึ้นที่แดงเรื่อและเกร็งแน่น อย่างเบามือ ค่อยๆเร่งจังหวะให้เร็วขึ้น นิ้วเรียวที่อยู่ภายในหมุนวนสัมผัสจุดอ่อนไหวที่คงบอบช้ำอย่างแผ่วเบาแต่เร่งร้อน จนในที่สุด ส่วนที่แข็งชันและสั่นเทาก็ปลดปล่อยสายน้ำขุ่นข้นออกมาอีกครั้ง เปรอะเปื้อนพระหัตถ์ที่ยังประคองไว้
ร่างบางทิ้งตัวลงบนพระวรกายสูงที่ตนนั่งซ้อนอยู่อย่างสิ้นแรง ลมหายใจหอบเหนื่อย ยังคงอื้ออึงอยู่กับสิ่งที่พึ่งหลุดลอยไป ร่างบางที่ปลดปล่อยมากกว่าครั้งใดกำลังอ่อนแรงเกินกว่าจะทำสิ่งใดได้อีกแล้วในวันนี้
“อือ ลูกของเราออกมาจากตัวเจ้าหมดพอดี ขึ้นเถอะนะ แช่น้ำนานๆแล้วเจ้าจะป่วยไป” วรองค์แข็งแรงหยัดกายขึ้น พาร่างเล็กที่เกาะเกี่ยวไว้ด้านหน้าให้ขึ้นจากน้ำ โดยมีพระหัตถ์หนาโอบประคองกันน้องน้อยไร้เรี่ยวแรงที่จะเกาะเกี่ยว
“แล้วท่านหล่ะ” เพราะเป็นผู้ชายไม่ต่างกัน และเพราะเกาะเกี่ยวไว้เช่นนี้ทำให้อ๋องน้อยรับรู้ได้ถึงบางสิ่งที่กำลังแข็งตัวและต้องได้รับการปลดปล่อยออกมา
“ไม่เป็นไรหรอก เดี๋ยวพี่ค่อยจัดการมันเอง เจ้าอย่ากังวลเลย แค่นี้ก็บอบช้ำจะแย่ยังเป็นห่วงคนอื่นอีก” ทรงแย้มพระสรวลให้น้องน้อย ที่พระองค์โอบอุ้มมาตรงหน้ากระจกบานใหญ่ สะท้อนร่างเล็กขาวที่ประดับรอยแดง ส่วนพระองค์เองหากถอดเสื้อคลุมดู เบื้องหลังคงเต็มด้วยรอยจิกของเล็บ
ทรงแต่งตัวประทานให้น้องน้อยที่ทรงกายไว้ไม่ไหวจนต้องประคองเอาไว้ตลอด ก่อนจะพาอุ้มกลับมายังที่นอนที่ยับย่นและเปรอะเปื้อน “เจ้านอนได้หรือเปล่า หรือจะนอนที่ตั่งไม้ก่อน”
“นอนที่ตั่งไม้ แต่ท่านต้องเอาผ้านวนมาปูก่อนนะ” แม้จะเหนื่อยเพียงใด แต่ความเอาแต่ใจที่มีผู้ตามใจตลอดก็ยังคงอยู่ไม่ทำให้อ๋องน้อยเปลี่ยนแปลง
“เจ้านี้น้า..” ทรงวางร่างเล็กในอ้อมพระพาหาลงกับเตียงนุ่ม ก่อนจะคว้าผ้านวมที่หล่นอยู่และหมอนใบใหญ่ ไปปูให้บนตั่งไม้ แล้วดำเนินกลับมาโอบอุ้มร่างบางลงนอนอีกครั้ง
“นอนพักก่อนนะ พี่ไปเข้าห้องน้ำสักหน่อย” ทรงทอดพระเนตรมองเจตนาให้ร่างเล็กรู้ทรงมีพระประสงค์เข้าห้องน้ำเพื่อสิ่งใด “แล้วเดี๋ยวเราไปกินข้าว....” ทรงมองออกไปนอกหน้าต่างเห็นพระอาทิตย์ใกล้ตั้งตรง “อือ แล้วเราค่อยไปกินข้าวเที่ยงกัน”
ทรงจุมพิตบนเปลือกตาบางที่หลับพริ้มรับการสัมผัส ก่อนดำเนินหายเข้าไปในห้องน้ำ เพื่อจัดการต่อความปรารถนาที่เกิดขึ้น
ดวงตากลมจ้องมองพระปฤษฎางค์กว้าง อีกครั้งด้วยความเศร้าก่อนจะแปรเปลี่ยนเป็นรอยยิ้มอ่อนๆ “ข้าก็ไม่อยากให้มีสิ่งใดพรากท่านไป แต่มันจะได้จริงหรือ”
...สิ่งที่ท่านร้องขอ ข้ามอบให้แก่ท่านมาเนิ่นนานแล้ว....
* ~ * ~ * ~ * ~ *~ * ~* ~ * ~ * ~ * ~ * ~ * ~ * ~ * ~ *
Talk
จากตอนแรกตั้งใจให้หวาน แต่เอิ่มมมมมมมมมันกลายเป็นแบบนี้ได้อย่างไรไม่ทราบคะ แต่ตอนนี้กำลังเขินตัวเองมากเป็นครั้งแรกที่แต่งเองแบบเป็นขั้นตอนขนาดนี้ อ๊ากกกกกกกกกก เขิน
ใครอยากได้น้องเอ็นและน้องซีให้ทิ้งน้องแมวไว้นะคะส่วนแต่บางท่าน ได้แก่ คุณ eyezatis น้องส้ม คุณเชย พี่หนูดี พี่ kitty cat คุณfrery พี่กิ๊ก คุณหนอนน้อย ซึ่งไอซ์มีน้อแมวและแน่ใจว่ายังอ่านอยู่ไอซ์ขอถือวิสาสะส่งให้แล้วนะคะ
เซี่ยเซี่ยหนี่
Jelly fish
ความคิดเห็น