ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Home คำนี้ยิ่งกว่ารัก (woncin fiction)

    ลำดับตอนที่ #16 : Photo book 100%

    • อัปเดตล่าสุด 16 มิ.ย. 53


    Photo Book

                  
                    
    อาหารเช้าส่งกลิ่นหอม ปลุกคนที่กำลังหลับใหลอยู่บนที่นอนให้ตื่นขึ้น ตามกลิ่นที่หอมหวานไปทั้งที่ดวงตายังเปิดไม่กว้าง เดินเตะลุกแมวน้อย จนฮีบอม ร้องประท้วงเสียงไม่เบา จากที่สะลึมสะลือก็ต้องตื่นเต็มตา “อ้าว ขอโทษ มองไม่เห็น มานอนขวางทางทำไม ไปนอนบนโซฟานู่นไป ก่อนจะเดินไปที่ห้องครัว

     

                “กลิ่นอะไรครับ หอมจัง อื้อ หวานด้วย” ไม่เพียงแค่กอดจากข้างหลัง แต่ชายหนุ่มยังแอบชิมความหวานจากแก้มเนียนใส ที่คงหอมและหวานกว่าของหวานใดๆ

     

                 “อื้ม ซีวอนไม่เล่นสิ ฮีชอลทำทอดไข่อยู่นะ” ร่างบางประท้วงน้อยๆ ตั้งใจทอดไข่ดาว ในขณะที่มีมือโอบกอดเอวบางเอาไว้ไม่ยอมปล่อย

     

                “ก็ทอดไปสิครับ ซีวอนไม่ได้เล่นอะไรสักหน่อย ยืนอยู่เฉยๆไม่กระดิกเลยเห็นไหม” ก็กอดเอวเอาไว้ไม่กระดิกเลยสักนิด ไม่ได้ยุ่งอะไรกับงานครัวเลยด้วย

     

               “ก็ที่ซีวอนทำนั่นแหล่ะ เรียกว่าเล่น ว่าแกล้งฮีชอล รู้ไหมปล่อยนะ จะได้ไปทานข้าวด้วยกัน” ดวงตากลมโต ลูกไม้เดิมๆที่ใช้ได้ผลทุกครั้ง

     

                ในที่สุดคนไม่ได้เล่นอะไรสักหน่อยก็ยอมปล่อยร่างบาง ช่วยยกจานสองใบที่มีอาหารเช้าเป็นไข่ดาวไม่สุก แฮมไม่ทอด และขนมปังกรอบวางคู่กับเนยเค็ม

     

                 “เดี๋ยวทานเสร็จแล้วฮีชอลจะทำความสะอาดห้องนะ เสร็จแล้วก็จะไปหาคุณลุงคุณป้ากันนะ ฮีชอลคิดถึงคุณลุงกับคุณป้าจังเลย”

     

                 “คิดถึงแต่พ่อกับแม่ ไม่คิดถึงซีวอนบ้างเลยหรอ น้อยใจนะเนี่ย อุตส่าห์เป็นคนเลี้ยงมาตั้งแต่เกิด ดูแลเปลี่ยนผ้าอ้อม อาบน้ำให้ อยากได้อะไรก็ซื้อให้ ตามใจทุกอย่าง จนโตมาเสียเด็กแบบนี้ไง” ชายหนุ่มล้อเลียนคนรักในขณะที่มือก็บรรจงทาเนยลงบนขนมปังก่อนจะยื่นส่งให้

                   “นี้ ฮีชอลแกกว่าซีวอนนะ เป็นพี่ด้วย แล้วก็ตอนที่ฮีชอลไปอยู่กับซีวอน ฮีชอลก็ไม่ได้ใส่ผ้าอ้อมแล้วสักหน่อย แล้วก็ไม่ได้เสียเด็กสักหน่อย อย่ามามั่วนะซีวอนนั่นแหล่ะเสียเด็กไม่ยอมเรียกฮีชอลว่าพี่” ร่างบางเถียงเท่าที่จะเถียงได้  มือบางก็หยิบขนมปังในจานชายหนุ่มออกมาด้วย

     

               ที่เหลืออย่าไปพูดถึง....เดี๋ยวเข้าตัว

     

                “ไม่ได้มั่ว ถ้าไม่ได้เสียเด็กไม่มาแย่งขนมปังซีวอนแบบนี้หรอก แล้วก็ซีวอนเคยอาบน้ำให้พี่ฮีชอลจริงๆนะ อุ้มลงอ่างเลยด้วย จะว่าไปตอนนั้นไม่น่าปล่อยไว้เลยจริงๆ” คำเรียกล้อเลียนคนรัก ก่อนจะมองด้วยนัยตาเป็นประกายที่สื่อความหมายแทนคำกำกวนได้ดี

     

              “ปล่อยอะไร ซีวอนจะทำอะไรฮีชอล” ใบหน้าหวานแดงกล่ำ ไม่กล้าสบตาชายหนุ่ม ทั้งที่ทำเสียงเข้ม คาดคั้นคำตอบ

     

               “เปล่าสักหน่อย ฮีชอลคิดอะไรอยู่หล่ะครับ หน้าแดงเชียว แดงกว่าซอสมะเขือเทศแล้ว”

     

              “ไม่ได้คิดสักหน่อย ซีวอนแหล่ะคิดอะไรไม่ดีอยู่แน่เลย”

     

                “ผมก็คิดเหมือนฮีชอลนั่นแหล่ะ ฮีชอลคิดดีหรือเปล่าหล่ะครับ” ซีวอนเห็นใบหน้าหวานแดงกล่ำก็ยิ่งมีความสุข อยากจะเอื้อมมือข้ามโต๊ะไปโอบกอดคนรัก

     

                “ไม่รู้แล้ว ซีวอนเก็บจานไปล้างเลยนะ ฮีชอลจะไปทำความสะอาดแล้ว” พูดแค่นั่น คนน่ารักก็ลุกขึ้นแบบไม่สนใจอะไรทั้งนั้น หาทางออกให้กับอาการเขินอาย.....จะให้บอกได้อย่างไรว่าคิดอะไรอยู่

     

                ซีวอนหัวเราะไล่หลังคนขี้อายที่เดินหนีเข้าไปในห้อง ก่อนจะเก็บจานอาหารที่ทานหมดแล้วไปเก็บล้างตามที่....พี่ฮีชอล....สั่งไว้

     

                ชายหนุ่มล้าง จานทั้งสองใบ กระทะ ตะหลิว ทั้งหมดก่อนจะเดินเข้าไปคนรักที่บอกว่าจะทำความสะอาดในห้องนอน แต่ภาพที่เห็น ชักไม่แน่ใจว่า ทำความสะอาด หรือ รื้อของกันแน่  ก็เล่นนั่งกับพื้น

    รายล้อมไปด้วยข้าวของเกะกะ หากแต่บนใบหน้าหวานกลับมีรอยยิ้มแสนสุขประดับอยู่“ฮีชอลทำอะไรครับ ทำไม ของเต็มห้องแบบนี้ แล้วยิ้มอะไร”

     

                “ก็ยิ้มรูปซีวอนไง น่ารักดีออก” ใบมือบางมีอัลบั้มรูปเมื่อครั้งยังเป็นเด็กของคนทั้งสอง พลางกวักมือเรียกให้ชายหนุ่มมานั่งดูด้วยกัน

     

                ซีวอนก้าวข้ามของที่วางอยุรอบตัวร่างบางก่อนจะเดินมานั่งซ้อนหลัง จับคนที่ตัวเล็กกว่ามานั่งตัก มองดูรูปในมือเล็กไปด้วยกัน ลืมไปเลยว่าตั้งใจจะทำอะไร

    เด็กผู้ชายสองคนบนสนามหญ้า คนหนึ่งหน้าหวาน อีกคนหน้ามีแววว่าโตขึ้นจะหล่อเข้ม กำลังล็อคคอเด็กน้อยหน้าหวาน ที่อายุมากกว่า แต่ตัวเล็กกว่า

     

                 ....รูปใบเก่าสีซีดบอกว่าเวลาได้ผ่านมานานแล้ว แต่สำหรับเด็กน้อยในรู้สึกเหมือนมันพึ่งผ่านมาเมื่อวานนี้เอง...

     


                   
     

                   รูปใบเก่าๆที่ถ่ายในบ้าน ในมือเด็กทั้งสองถือถ้วยไอติมคนละถ้วย ใบหน้าหวานยิ้มแป้นผิดกับเด็กตัวป้อมที่พยายามทำหน้าขรึม แต่ก็ปิดบังความสดใสของวัยเด็กไม่ได้

     

                   ......ไอติมถ้วยแรกที่ซีวอนซื้อให้ฮีชอล....จุดเริ่มต้นของการดูแลและเลี้ยงดู.....บทแรกของความผูกพันธ์ที่ถักทอขึ้น

             
                 

                  “ฮีชอลเล่นฟุตบอลกัน” เด็กชายวัยแปดขวบชวนพี่ชายตัวเล็กให้มาเล่นฟุตบอลด้วยกัน แทนที่จะไปนั่งเหม่อมองฟ้ากลางแดดอยู่คนเดียวเหมือนเด็กมีปัญหา

     

                    “ไม่เล่น” แก้มใสแดงเรื่อเพราะนั่งตากแดด หันมามองเด็กผู้ชายนิสัยไม่ดีที่ไม่ยอมเรียกตัวเองว่าพี่ ก่อนจะกลับไปมองท้องฟ้าที่มีแต่คนบอกว่า พ่อแม่ของเขาอยู่บนนั่น “พ่อกับแม่ เมื่อไหร่จะมารับฮีชอลครับ”

     

                    “พูดอะไรงึมงำคนเดียวอ่ะ เฮ้ย เป็นอะไร อย่าร้องไห้สิ ร้องไห้อีกแล้ว เมื่อวานก็ร้อง ร้องทุกวันไม่เหนื่อยหรอ” ซีวอนตัวป้อมเดินมานั่งข้างๆฮีชอลขี้แย ที่อยู่ดีๆก็ร้องไห้ ทั้งที่ยังไม่ได้ทำอะไรเลย

     

                    “พ่อครับ แม่ครับ เมื่อไหร่จะมารับฮีชอลกลับบ้านอ่ะ แงงงงง” ยิ่งมีคนมานั่งข้างๆเด็กขี้แยก็ยิ่งร้องไห้เสียงดัง ไม่สนว่าอีกคนที่นั่งข้างๆจะเป็นยังไง

     

                    “โอ๋ๆๆ อย่าร้องนะ อย่าร้องไห้นะฮีชอล คนดีอย่าร้องไห้นะ เจ็บตรงไหนหรือเปล่า เดี๋ยวซีวอนเป่าเพี้ยงให้นะ” มือป้อมๆโอบกอดเด็กผอมแห้งเอาไว้ เอาคำพูดที่ผู้ใหญ่ใช้มาพูดกับเด็กขี้แย สายตามองไปทั่วว่าเจ็บตรงไหน จะได้ทำพิธีเป่าให้หายเจ็บเหมือนที่พ่อทำให้เป็นประจำ

     

                    “ฮึกๆๆ ฮีชอล...คิดถึงพ่อกับแม่อ่ะ ฮึก”  เด็กน้อยซุกลงกับไหลหนาๆนุ่มๆ ร้องไห้ มีน้ำมูกไหลย้อยออกมาเลอะใบหน้าหวาน

     

                    “พ่อแม่ฮีชอลไปทำงานที่อวกาศแล้ว พ่อซีวอนบอกแบบนั้นอ่ะ  เอางี้ไหม” ซีวอนตัวป้อมนั่งคิดหาวิธีให้เด็กขี้แยเลิกร้องไห้ “ซีวอนเป็นพ่อกับแม่ให้ฮีชอลเอาไหม ฮีชอลจะได้ไม่คิดถึงพ่อกับแม่ไง”

     

                    ดวงตากลมโตหันมาจ้องเด็กชายที่นั่งข้างๆ ทั้งที่น้ำตายังไม่หยุดไหล แล้วตะโกนเสียงดังลั่นสนามหญ้า “ไม่เอา”

     

                    “แต่ซีวอนจะเลี้ยงฮีชอล ไม่รู้ด้วย ซีวอนจะตีฮีชอลถ้าฮีชอลดื้อ ถ้าไม่หยุดร้องไห้จะตีจริงๆด้วย” เด็กชายตัวป้อมเองก็ไม่ยอมเหมือนกันตะโกนเสียงดังลั่นแข่งกับเสียงร้องไห้ของเด็กชายขี้แย

     

                    “แงงงงงงงงงงงงงงงงงงง”

     

                    เพลี้ยะ

     

                    เสียงมือป้อมๆตีแขนผอมๆ อย่างแรงจนแขนขาวขึ้นเป็นรอยแดงรูปมือเล็ก เสียงร้องไห้ยิ่งดังสนั่น จนผู้ใหญ่ที่มองดูอยู่ในบ้านต้องรีบวิ่งออกมาอุ้มเด็กชายตัวผอมไว้แนบอก

     

                    “โอ๋ ฮีชอลไม่ร้องนะลูก โอ๋คนเก่งอย่าร้องนะคะ” คุณผู้หญิงของบ้านปลอบหลายชายที่พึ่งสูญเสียครอบครัวไป แล้วอยู่ดีๆวันนี้ก็ยังมาโดนเจ้าลูกชายแก่แดดตีอย่างแรงอีก สองมืออุ้มเด็กตัวเล็ก ปากก็ปลอบประโลม แต่สายตากลับหันไปดุลูกชาย พร้อมบอกสั่งให้ตามเข้าบ้านอย่างไม่มีข้อแม้

     

                    “ซีวอนตีพี่เขาทำไม” คุณแม่ที่ปรกติใจดีเสมอถามลูกชายที่นั่งอยู่ห่างๆอย่างไม่พอใจ ในขณะที่มือก็ลูบศีรษะเล็กของเด็กน้อยหน้าหวานที่นอนหนุนตักอยู่

     

                    “ไม่ได้ตีพี่สักหน่อย ซีวอนไม่มีพี่ ผมเป็นลูกคนเดียวนะ” เด็กน้อยบอกแม่แบบไม่รู้สึกผิด ก็เป็นลูกคนเดียวอยู่ดีๆจะไปตีพี่ที่ไหนได้ ที่ตีไปก็เด็กดื้อหนึ่งคนเท่านั้นเอง

     

                    “เอ๊ะ ก็ลูกตีฮีชอล แม่ไม่เคยสอนให้ลูกโกหกนะครับซีวอน”

     

                    “ผมไม่ได้โกหกสักหน่อย ผมตีฮีชอลไม่ใช่พี่อ่ะ” เด็กน้อยเถียงแม่หน้าซื่อๆ แบบว่า ไม่ได้ตีพี่จริงๆนะ ที่ตีไปอ่ะเป็นฮีชอลไม่ใช่พี่ ทำเอาคุณแม่ยังสวยได้แต่มองหน้าลูกชายตาปริบๆ แล้วมองหลานชายแบบงง

     

                    “แล้วตีฮีชอลทำไมครับ” คุณแม่เริ่มตั้งสติได้ ถามลุกชายอีกครั้ง พลางทำใจเย็น คุยกับลูกชายคนนี้ต้องอย่ามึนตาม ไม่งั้นไม่ได้เรื่องแน่ๆ รู้อยู่เจ้าเด็กตัวป้อมแสบซนแค่ไหน

     

                    “ก็แม่กับพ่อยังตีผมเวลาผมดื้อได้เลย เมื่อกี้ฮีชอลดื้อผมก็ต้องตีฮีชอลสิครับ เด็กดื้อจะได้ไม่ดื้ออีก”

     

                    “ไม่ได้ดื้อสักหน่อย ฮีชอลยังไม่ได้ทำอะไรเลย” เด็กขี้แยที่เลิกร้องไห้ นอนหนุนตักของคุณป้ามานาน นอนเถียงคนที่อยู่ดีๆก็มาตีกันเฉยๆเลย

     

                    “ก็ร้องไห้แบบนั้นไม่เรียกว่าดื้อแล้วเรียกว่าอะไร อย่างนั้นแหล่ะคุณครูบอกว่าดื้อ ร้องไห้ไม่ยอมหยุด เด็กดื้อ เด็กขี้แย” ซีวอนตัวป้อมเถียงคนที่มาแย่งตักนุ่มๆของแม่คนอื่นไปแล้วยังมาเถียงอีก เด็กดื้อ น่าโดนตีอีกรอบ

     

                    “ไม่ดื้อ ฮีชอลไม่ดื้อนะครับคุณป้า ไม่ได้ขี้แยด้วย” ฮีชอลแหงนหน้าบอกคุณป้าคนสวย ยืนยันว่าไม่ได้ดื้อสักนิดเดียว ก็นั่งคิดถึงพ่อกับแม่อยู่ดีๆก็โดนตีแบบนี้ได้ไง

     

                    “จ๊ะไม่ดื้อนะ ฮีชอลของป้าไม่ดื้อ แล้วเราตกลงไปตีฮีชอลทำไมกัน หืม? ตัวแสบ” คุณแม่ถามลูกชายอย่างเหนื่อยใจ กับเด็กทั้งสองที่เถียงกันไปมา แบบไม่มีใครยอมใคร

     

                    “ก็ฮีชอลดื้อนิครับ ผมก็ต้องตีสิ” เด็กตัวน้อยยังยืนยันคำเดิม ไม่สนใจว่าคนโดนหาว่าดื้อจะทำหน้าบูดบึ้ง มู่ทู่แค่ไหน

     

                    “แต่ซีวอนก็ตีไม่ได้นะครับ เป็นน้องไปตีพี่ได้ยังไงกัน มาขอโทษเลยนะซีวอน” คุณแม่คนสวยสั่งลูกชายที่ยังนั่งอยู่ที่เดิมไม่สนใจคำสั่ง แถมยังกอดอกนิ่งอีกด้วย

     

                    “ไม่ขอโทษ ผมเป็นพ่อแม่ของฮีชอล ผมก็ตีฮีชอลได้ เหมือนที่พ่อกับแม่ตีผม” เหตุผลของเด็กน้อยถูกยกออกมา แทบทำให้คุณแม่ขำกลิ้ง แต่ว่าก็ต้องเก็บเอาไว้

     

                    “เราอ่ะหน่ะจะเป็นพ่อแม่ของฮีชอล จะเป็นพ่อแม่ ก็ต้องเลี้ยงดูด้วยนะ ไม่ใช่ว่าตีอย่างเดียว ต้องปกป้อง ต้องให้ความรักด้วยนะลูก ซีวอนเป็นพ่อแม่ให้ฮีชอลไม่ได้หรอก อีกอย่างนะจะเป็นแม่ ซีวอนต้องเป็นคนคลอดฮีชอลด้วยนะ เราคลอดพี่เขาออกมาหรือไง” คุณแม่มองลูกชายตัวป้อม สลับกับเด็กตัวน้อยที่นอนหน้าบึ้งอยู่ ก็ได้แต่นึกขำ

                   

                    พอจะเข้าใจว่าซีวอนคงสงสารฮีชอลที่นั่งคิดถึงพ่อและแม่ก็เลยยกตัวเองเป็นพ่อและแม่ให้ไปเลย

     

                    “งั้นผมเป็นพ่อแม่ฮีชอลไม่ได้ใช่ครับ” ซีวอนตัวป้อมถามแม่ด้วยความผิดหวังที่ไม่อาจจะเป็นได้อย่างที่ต้องการ ไม่อาจจะทำให้เด็กชายขี้แยหายคิดถึงพ่อแม่ที่จากไปอยู่บนอวกาศแสนไกล

     

                    “ครับ มาขอโทษพี่เขาเร็ว” คุณแม่ยิ้มพอใจที่ลูกชายเข้าใจแล้วว่าตัวเองไม่สามารถเป็นพ่อแม่ให้กับเด็กชายขี้แยได้

     

                    “ฮีชอล ซีวอนขอโทษนะ แต่ซีวอนก็จะอยู่กับฮีชอล คอยเลี้ยงดู และปกป้องฮีชอลนะ” เด็กตัวป้อมยอมเดินมาหาขอโทษคนที่พึ่งถูกตีไป พร้อมคำพูดที่ต้องใช้เวลาเพื่อพิสูจน์

     

                    “อืม” ใบหน้าหวานพนัยหน้าน้อยๆ ไม่นึกติดใจในคำพูดที่ต่อจากนี้มันจะทำให้ชีวิตของเขาไม่ต้องโดดเดี่ยวเหมือนเมื่อก่อน

     

                    “งั้นก็ดีกันนะ ซีวอนจะได้พาฮีชอลไปกินไอติมไปไหม” นิ้วก้อยน้อยๆของเด็กทั้งสองเกาะเกี่ยวกันไป เป็นสัญญาว่าต่อไปนี้ เด็กชายซีวอนตัวป้อม จะเลี้ยงดู และปกป้อง เด็กชายฮีชอลขี้แยตลอดไป

     

                    ไอติมถ้วยแรกที่เด็กชายซีวอนเริ่มคำสัญญาเกิดขึ้นจากไอติมรสช็อคโกแล็ตในตู้เย็น ที่เด็กชายซีวอนลงทุนตักให้อย่างไม่คิดหวง   
                 

                   “ตอนนั้นฮีชอลกินไอติมน่ารักมากเลยนะ กินเลอะทั้งปากเลย” ชายหนุ่มร่างสูงนั่งซ้อนหลังคนเคนกินไอติมเลอะชี้นิ้มลงบนรูปตรงริมฝีปากเล็กๆ ที่เลอะคราบไอติมรสช็อคโกแล็ตเป็นสีน้ำตาล ลิ้นเล็กๆแล่บออกมาเพื่อเช็ครอบๆ

     

                    “ไม่ต้องหัวเราะเลย ซีวอนก็ใช่จะไม่เลอะสักหน่อย มาว่าฮีชอล แล้วไหนตอนนั้นบอกว่าจะดูแล ไม่เห็นเช็คให้เลย แล้วยังมาหัวเราะอีก”  ใบหน้าหวานมู่น้อยๆ ขัดใจที่โดนหัวเราะเอาตอนนี้ ไม่รู้เลยว่ากำลังจะเกิดอะไรขึ้น

     

                    มือหนาจับปลายคางมนให้หันมาด้านหลัง ก่อนที่ริมฝีปากพร้อมไรหนวดจะแนบลงมาสัมผัสกับริมฝีปากที่เชิดขึ้น ก่อนที่ลิ้นหนาจะวนรอบริมฝีปากเล็กและแทรกหายเข้าไปโพรงปากลิ้มชิมรสหวาน ปรับเปลี่ยนองศาให้แนบชิด เรียวลิ้นดูดดุนลุกไล่อยู่ภายในก่อนผละออกรับอากาศเข้าไป แล้วย้ำลงไปอีกครั้งอย่างนุ่มนวลจนคนรับสัมผัสหลับตาพริ้มปล่อยให้เป็นไปตามความรู้สึก

     

                    “ซีวอน” เมื่อเป็นอิสระอีกครั้ง ฮีชอลก็ได้แต่ก้มหน้ากับอกของตัวเองเขินอาย ที่ยอมรับสัมผัสโดยง่าย แล้วไหนจะสายน้ำเล็กที่เชื่อมริมฝีปากของทั้งสองคนเมื่อยามผละออกจากกัน

     

                    “ทำไมหล่ะครับ ก็ซีวอนเช็ดคราบไอติมให้ไง ซีวอนกลัวฮีชอลโกรธนะเนี่ยถึงได้รีบเช็ดให้” ชายหนุ่มอ้างถึงคราบไอติมตั้งแต่เมื่อสิบปีก่อนมาหาความหอมหวานจากคนตรงหน้าที่ได้แต่อายม้วน

     

    “ถ้าฮีชอลโกรธอีก ซีวอนเช็คให้อีกรอบนะครับ เอาไหม” จากที่ปล่อยให้นั่งซ้อนอยู่ข้างหน้ามานาน ซีวอนก็จัดการอุ้มคนตัวเล็กแต่เด็กมานั่นบนตัก ให้หัวเล็กๆผิงไหล่หนา แผ่นหลังผิงแขนใหญ่ที่โอบรัดไว้ ปล่อยขายาวไปด้านข้าง

     

                    “ไม่เอาแล้ว ไม่รู้จักโกนหนวดบ้างเลย เจ็บออก” ใบหนาหวานได้ทีซบลงที่ไหล่หนาก่อนจะฝังคมเขี้ยวลงไป เป็นการเอาคืนที่ชายหนุ่มเอาหนวดแข็งๆมาตำหน้า

     

                    “อิจฉาหล่ะสิ คนไม่มีหนวดให้โกน ฮ่าๆๆ” ซีวอนล้อเลียนอีกหนึ่งเรื่องที่เป็นจุดอ่อนของคนรักที่ไม่เคยมีหนวดขึ้นมาให้ต้องโกนเหมือนผู้ชายคนอื่นๆ ไม่ได้รู้สึกไปกับการโดนกัดที่ไหล่หนาเลยซักนิด

     

                    “ใครว่าฮีชอลไม่มีหนวดให้โกน” ปากก็พูดไปด้วยเสียงสูงเหมือนเริ่มงอน สองมือก็เปิดรูปภาพพลิกไปพลิกมา ใบหน้าก็เริ่มยับมากขึ้น ขัดใจคนพูดที่ยังหัวเราะไม่หยุด แล้วไหนจะหนวดครึ้มๆที่ถูตามคอไม่ยอมหยุด

     

                   “นี้ไงเจอแล้ว หนวดที่ฮีชอลได้โกน” นิ้วเรียวชี้ไปยังรูปที่เด็กหนุ่มหนึ่งคนนั่งหน้าบึ้งที่คางมีรอยแผลเลือดซึม กับอีกหนึ่งหนุ่มหน้าหวานถือที่โกนหนวดยิ้มร่าสดใส



                   

                  “ซีวอน หน้าซีวอนเป็นรอยอะไรอ่ะ” ใบหน้าหวานออกอาการตกใจที่เห็นรอยคล่ำๆเหนือริมฝีปากของเด็กหนุ่ม จนต้องเข้าไปมองใกล้สัมผัสได้ถึงลมหายใจอุ่นๆ

     

                    “เอ๋ รอยอะไรครับฮีชอล อ้อ หนวดแน่เลย  ผมพึ่งโกนไปเมื่อสามวันก่อนเองนะเนี่ย ยาวอีกแล้วหรอ” เด็กหนุ่มวัยสิบห้าที่หนวดพึ่งขึ้นให้ได้โกน แล้วหนวดมันก็ขยันยาว

     

                    “ซีวอนมีหนวดให้โกนแล้วได้ไงอ่ะ  ฮีชอลยังไม่มีเลย หรือมีแล้วแต่ฮีชอลไม่รู้  ซีวอนมองให้หน่อยสิ” คนที่แก่กว่าสองปีเริ่มอิจฉาที่ตนเองไม่ได้โกนหนวดเหมือนคนตรงหน้า พยายามเขย่งให้คนตัวสูงกว่าดูว่ามีหนวดขึ้นบ้างหรือยัว “มีไหม ฮีชอลมีหนวดไหม”

     

                    ซีวอนมองใบหน้าหวานที่เขิบเข้ามาใกล้ ยิ่งริมฝีปากเล็กแต่อิ่มสวยลอยเด่นอยู่ตรงหน้า เด็กหนุ่มไม่เข้าใจว่าทำไมถึงไม่อยากมองที่เหนือรอมฝีปากหากแต่อยากทำบางอย่างกับริมฝีปากตรงหน้า “ไม่มีหรอกครับ”

     

                    “มีซิมันต้องมี ทีซีวอนยังมีเลย ฮีชอลแก่กว่าตั้งสองปีมันต้องมี แล้วซีวอนหน้าแดงทำไม ไม่สบายหรอ” เด็กหนุ่มหน้าหวานถามคนตรงหน้าที่หน้าแดงกล่ำทั้งทีเมื่อกี้ยังปรกติดีอยู่เลย

     

                    “เปล่าหรอกครับไม่ได้เป็นอะไร แต่ฮีชอลไม่มีหนวดหรอกครับ จริงๆนะ” ซีวอนปัดข้อสงสัยของร่างบางก่อนจะยืนยันว่าให้ตายยังไงเหนือริมฝีปากเล็กๆนั่นก็ไม่มีเส้นขนแข็งๆให้เห็นสักเส้น

     

                    “ไม่จริงอ่ะ มันต้องมี” เด็กหนุ่มที่ยังคงปักใจเชื่อ ว่าตัวเองน่าจะมีหนวดให้โกนบ้าง วิ่งเข้าไปในบ้าน ตั้งใจว่าจะกระจกส่องหาหนวดสักเส้น

     

                    “นั่นวิ่งทำไมลูก ฮีชอล เดี๋ยวก็ล้มไปหรอก อย่าวิ่งสิคะ” เสียงนายหญิงที่กุมอำนาจสูงสุดถามหลานชายที่วิ่งผ่านห้องนั่งเล่นไป แล้วอดห่วงไมได้ท่าวิ่งมันเหมือนเด็กกำลังจะล้มคว่ำยังไงพิกล

     

                    “ฮีชอลจะไปหาหนวดครับคุณป้า ซีวอนหนวดขึ้นแล้วอ่า แต่ฮีชอลยังไม่ขึ้นเลย มันต้องมีบ้างใช่ไหมครับ” เด็กหนุ่มพยายามหาเสียงสนับสนุนแต่คุณป้ากลับยิ้มหวานก่อนจะหัวเราะลั่นไม่ยอมสนับสนุน

     

                    ฮีชอลเดินเข้าไปในห้องน้ำ หน้าแทบจะแนบกับกระจกบานใหญ่ พยายามเพ่งหาเส้นขนแข็งๆสักเส้นที่โผล่ขึ้นมาแล้ว หรือกำลังจะโผล่แทงขึ้นมาก็ยังดี

     

                    “ว่าไงมีไหมคะฮีชอล” คุณป้ายังสวยเดินเข้ามาหาหลานรัก ก่อนจะช่วยเพ่งหา แต่มองหายังไงก็เจอแต่ขนอ่อนๆขึ้นอยู่ทั่วไปไม่มีทีท่าว่าจะอะไรที่มันมากกว่านั้นเลย

     

                    “ไม่มีอ่าครับคุณป้า แต่ซีวอนยังมีเลย ฮีชอลแก่กว่าตั้งสองปี ตัวก็เตี้ยกว่า แถมยังไม่ยอมมีหนวดอ่ะ  ฮีชอลอยากโกนหนวดอ่าคุณป้า” ใบหน้าหวานอดอิจฉาคนที่อ่อนกว่าไม่ได้ น้ำตาปริ่มๆจะไหล เพราะน้ยใจที่ดูยังไงก็ด้อยกว่าซีวอนทุกทาง

     

                    “อย่าร้องไห้สิคะ อยากโกนหนวดหรอ เดี๋ยวป้าช่วย” คุณป้าได้แต่ยิ้มเอ็นดูหลานตัวน้อยน่ารักขี้อ้อนแต่เล็ก เป็นใครจะใจร้ายได้ ในเมื่อฮีชอลไม่มีหนวด เดี๋ยวป้าช่วยเอง “นี้ใครอยู่ข้างนอกไปหาคุณซีวอนให้เข้ามาในนี้ที”

     

                    แล้วสักพักเด็กหนุ่มที่ถูกคุณแม่เรียกตัวก็เดินเข้ามาในห้องน้ำอย่างงง อยู่ดีๆเรียกให้เข้ามาหาในห้องน้ำ แถมในห้องน้ำยังมีคนหน้าหวานอีกคนรออยู่ด้วย “มีไรครับแม่”

     

                    “ซีวอนหนวดยาวแล้วนะ ให้พี่เขาโกนให้เอาไหม” เสียงหวานๆของคุณแม่ยังไม่ดึงดูดใจให้ซีวอนยอมตามใจได้ทำกับดวงตากลมโตเป็นประกายใสแจ๋วบ่งบอกว่าอยากทำเป็นที่สุด

     

                    “เอางั้นก็ได้ครับ ให้ฮีชอลโกนหนวดให้ก็ได้” ชายหนุ่มยอมตกลงง่ายๆไม่ได้คิดอะไร “ซีวอนมีที่โกนหนวดไฟฟ้าอยู่ที่ห้อง โกนง่ายๆ ฮีชอลก็น่าจะใช้ได้แหล่ะ”

     

                    “ไม่เอาไม่ที่โกนหนวดไฟฟ้า จะเอาที่โกนหนวดธรรมดา นะซีวอนนะ ฮีชอลอยากลองบ้างอ่ะ เพื่อนที่ห้องของฮีชอลก็เคยโกนแบบนั้นกัน นะ” ดวงตากลมโตส่องแสงแบบอ้อนวอนขอร้อง ปากเล็กๆเม้มเข้ากัน

     

                    “ก็ได้”  ในที่สุดก็ต้องยอมให้พี่ชายตัวเล็กใช้ที่โกนหนวดแบบธรรมดา โกนหนวดให้กับเขา โดยมีคุณแม่นั่งเป็นกำลังใจให้มือใหม่หัดโกนหนวด

     

                    “ฮีชอลต้องเอา เชฟวิ่งครีมป้ายก่อนนะ มันจะได้ลื่นๆโกนง่ายๆ” ซีวอนสองขั้นตอนให้กับคนไม่มีหนวดแต่อยากโกนจนต้องมาโกนหนวดของชาวบ้าน

     

                    “อือ รู้หน่า นั่งนิ่งๆสิ ถ้าพลาดไม่รู้ด้วย” มือใหม่หัดโกนหนวดร้องเบาๆอย่างรำคาญเจ้าของหนวดที่ใจดีให้ยืมโกน ห่อนจะหยิบเจ้าเชฟวิ่งครีม พ่นใส่มือแล้วไปยีจนทั่วคางกว้างของเด็กหนุ่ม “จะโกนแล้วนะ”

     

                    ดวงตากลมโตจับจ้องใบหน้าคมในระยะใกล้ ค่อยๆกดน้ำหนักลงบนเหนือริมฝีปาก ไล่มาตามคาง ทำไปเรื่อยๆ ดวงหน้าหวานยิ้มแป้นอย่างมีความสุข 

     

                    “โอ้ย! / อ่ะ!  สองเสียงประสานกันทันที เมื่อดวงตาเผลอจ้องเข้าไปในดวงตาคู่คมที่เคยหลบเลี่ยงจะจ้องตามานาน เพราะบางอย่างที่อยู่ข้างในตาคมๆ ทำให้สมาธิที่มีหายไป เผลอกดแรงจนมันบาดลึกเข้าไปในเนื้อผู้เอื้อเฟื้อหนวด

     

                    “ซีวอนเจ็บไหม ฮีชอลขอโทษ ไม่ได้ตั้งใจนะ”ใบหน้าหวานเหยเกมีน้ำตาปริ่มๆ รีบหาน้ำมาล้างครีมออกจนหมด หากระดาษทิชชู่มาซับเลือดที่ไหลซึมๆตามรอยแผลโดนบาด

     

                    “ไม่เป็นไรหรอกครับ ฮีชอลไม่ต้องกลัวนะ โอ๋อย่าร้องไห้นะ”

     

                    “ฮีชอลอย่าร้องไห้นะลูก ซีวอนไม่เจ็บหรอกหนังหนาจะตายไป” คุณแม่ที่นั่งดูอยู่รีบเข้ามาปลอบหลานสุดที่รัก  เช็ดน้ำตาเม็ดเล็กๆให้อย่างเอ็นดู พลางมองหาวิธีจะทำให้หยุดร้องไห้ แล้วสุดท้ายก็ลงเอยที่กล้องถ่ายรูป

     

                    เด็กหนุ่มที่ได้แผลมาใหม่ๆไม่อยากถ่ายแต่ก็จำใจต้องถ่าย ส่วนคนที่พึ่งขวัญเสียพอเห็นกล้องถ่ายรูป แถมได้ถ่ายพร้อมกับที่โกนหนวดและผู้โชคร้ายก็กลับมายิ้มร่าได้ดังเดิม

     

                    นี้เป็นหนวดแรกและหนวดสุดท้ายที่ฮีชอลได้โกน อย่างน้อยชีวิตนี้ก็ได้โกนหนวดแล้ว แม้จะครั้งเดียวก็ตามใครมาถามฮีชอลก็จะมีรูปนี้เป็นหลักฐานว่าเคยโกนหนวดแล้ว ไม่ต้องอาย และอิจฉาคนอื่นๆแล้ว



               
                  

                 “แต่หนวดที่ฮีชอลได้โกนมันก็หนวดซีวอนอยู่ดีแหล่ะครับ” รูปที่ทำให้ถึงอดีตทำให้ชายหนุ่มได้แต่ยิ้ม ยังไงหนวดที่ฮีชอลได้โกนมันก็หนวดของเขา ไม่เคยได้โกนของตัวเองสักที

     

                    “แต่ก็ได้โกนนะ ของใครมันไม่สำคัญหรอก มันอยู่ที่ว่าได้โกนหรือเปล่า” ร่างบางบนตักกว้างเริ่มงอน วันนี้เป็นอะไรจะพูดอะไร จะทำอะไรก็โดนล้อตลอด ชักงอนจริงๆแล้วนะ

     

                    ริมฝีปากและหน้าหวานๆเชิดขึ้น บอกให้เจ้าของตักรู้ว่าคนตัวเล็กกลับมางอนอีกแล้ว และถ้าไม่รีบง้อก็คงกลายเป็นเรื่องใหญ่ “ครับ ได้โกนก็ได้โกน ถึงมันจะเป็นของซีวอน แถมฮีชอลยังทำบาดคางฮีชอลด้วย”

     

                    “เอ๊ะ ! จะย้ำทำไมเล่าว่าของใคร แล้วที่มันบาดอ่ะเพราะซีวอนต่างหาก ฮีชอลไม่ได้ทำอะไรสักนิดเลย แล้วมาโทษกันได้ไง” มือบางๆตีลงบนท่อนแขนที่โอบรัดอยู่อย่างแรง แต่มันก็ไม่ได้ทำให้ชายหนุ่มสะดุ้งสะเทือนได้เลย

     

                    “ฮีชอลครับ วันนี้ทำร้ายซีวอนสองรอบแล้วนะ คืนนี้จะคิดบัญชีให้น่าดูเลย” คำขู่สุดท้ายของชายหนุ่มทำให้คนแอบคิดไปไกลได้แต่หน้าแดง แต่หน้าหวาน ปากสวยก็ยังเชิดไม่เลิก “ทำร้ายเขาแล้วยังมางอนอีก คนขี้

    งอน” แม้จะล้อแบบนั้นแต่มือหนาสองข้างก็ไม่ยอมปล่อยร่างบางให้เป็นอิสระ คนขี้งอนก็ยังคงนั่งบนตักชายหนุ่ม

     

                    “ไม่ได้ขี้งอนสักหน่อย ซีวอนแหล่ะ ขี้แกล้ง ชอบแกล้งฮีชอลเรื่อยเลย” ใบหน้าหวานเบือนหน้าหนีคนขี้แกล้ง อยากจะฝังรอยฟันลงไปบนไหล่หนาๆ แต่ก็เหมือนชายหนุ่มจะรู้ทัน รีบประกบลงไปเรียวปากสวยเสียก่อนที่จะประกบกับไหล่ของเขา

     

                    “อือ....จูบคนขี้งอนมันหวานขนาดนี้เลยนะเนี่ย สงสัยต้องทำให้งอนบ่อยๆเนอะ” ชายหนุ่มล้อเลียนคนบนตักอย่างมีความสุข ก็ตั้งแต่ตื่นเช้ามาเขาได้ทั้งกอด ทั้งหอม ทั้งจูบ แถมยังมีคนมานั่งบนตักให้กอดสบายๆแบบนี้อีก

     

                    “อื้มมม ซีวอนแกล้งฮีชอลอีกแล้ว อ่า  ปล่อยเลย ปล่อยๆๆๆ” มือบางทุบบนแขนหนาให้ชายหนุ่มคลายมือออก แต่มันก็ยังไร้สุดท้ายก็ยังนั่งหน้าบูดอยู่บนตักกว้าง

     

                    “ฮ่าๆๆๆ  ฮีชอลงอนน่ารักจังเลย” เสียงหัวเราะก้อง ยิ่งทำให้คนขี้งอน งอนหนัก นึกไม่ออกจะพูดอะไร จะทำอะไรก็โดนแกล้งไปหมด 

     

                    อ่า.....ฮีชอลโดนแกล้ง น่าสงสารที่สุด

     

              “ไม่ได้งอนสักหน่อย ซีวอนมั่ว”

     

                    “ไม่ได้งอนแล้วทำหน้าเชิดทำไมหล่ะครับ แล้วดูปากสินั่น ยิ่งบวมแล้วมาทำเชิดๆแบบนี้ แอบยั่วซีวอนหรือเปล่าเนี่ย ฮีชอลต้องคิดไม่ซื่อกับซีวอนแน่ๆเลย เป็นคนทะลึ่งตั้งแต่เมื่อไหร่ จำได้นะว่าไม่ได้เลี้ยงให้ทะลึ่งอ่ะ”

     

                    “ซีวอนนนน บอกว่าไม่ได้งอนก็ไม่ได้งอนสิ แล้วก็ไม่ได้คิดอะไรทะลึ่งด้วย ออกไปสิถ้ากลัวฮีชอลคิดไม่ซื่ออ่ะ” อีกครั้งที่ฮีชอลทุบตีแขนหนาๆที่ไม่สะเทือนกับอะไรทั้งสิ้น

     

                    “คร้าบฮีชอลของผมไม่ได้ทะลึ่ง แล้วไม่ได้งอนด้วย แต่ฮีชอลทำหน้าเหมือนเด็กคนนี้เลย” เรียวนิ้วใหญ่ชี้ที่รูปเด็กน้อยหน้าหวานที่ดูกี่ทีก็ทำให้ซีวอนขำได้เสมอ

     

                    คนไม่งอนได้แต่นั่งจ้องภาพสีซีดตาปริบๆ ไม่กล้าพูดอะไรมาก ก็พอจะรู้ว่าตอนนี้กับอารมณ์ในภาพไม่ต่างกันเท่าไหร่หรอก เถียงไปก็คงโดนแกล้งอีก

     

                  รูปเด็กชายผมบ็อบ แหว่งๆ หน้าเชิดสูง ริมฝีปากเบะออก สองแก้มใสเปรอะเปื้อนคราบน้ำตา แอบมีน้ำมูกไหลน้อยๆจากจมูก ใบหน้าเหยเก กำลังจะร้องไห้อีกครั้ง  


                 

                    ตอนเย็นหลังเลิกเรียนเด็กทั้งหลายต่างจับกลุ่มกันนั่งเล่นตามประสารอให้ผู้ปกครองมารับ เสียงเด็กผู้หญิงที่นั่งจับกลุ่มเล่นหมากเก็บกันอยู่สามสี่คน พูดถึงเด็กชายเพียงหนึ่งเดียวในกลุ่ม ที่นั่งเรียบร้อย ไม่ค่อยพูดไม่ค่อยจา“ฮีชอลทำผมแบบนี้แล้วหน้าหวานดีเนอะ”

     

                    “นั่นสิ ยิ่งตอนเช้าๆมีน้องชายมาส่งยิ่งน่ารักใหญ่เลย  นาริมอิจฉาจัง อยากมีน้องชายเท่ๆแบบนี้บ้าง” เด็กหญิงตัวเล็กท่าทางแก่แดดกว่าใคร ทำท่าที่ดูไม่เหมาะกับเด็กป.หกสักเท่าไหร่

     

                    “ยี้ น้องชายเธออ่หน่ะ ดำยิ่งกว่าอะไรอีก ไม่เห็นเหมือนน้องชายฮีชอลเลย ออกจะหล่อ แล้วเวลาเดินกับฮีชอลยิ่งน่ารักใหญ่เลยเนอะ” ซอลบิ เด็กหญิงตัวกลมมองแล้วอดไม่ได้จะชมเพื่อนชายที่สนิทด้วยว่าน่ารัก ก็ฮีชอลน่ารักจริงๆนี้หน่า

     

                    “ ทำไมไม่มีใครชมว่าฮีชอลหล่อบ้างเลยอ่ะ เอาแต่ชมซีวอน ชมว่าฮีชอลเท่บ้างสิ นะๆๆ” เด็กน้อยหันมองหน้าเพื่อน อยากได้ยินว่าเท่สักคำ

     

                    “ไม่มีใครมองว่าฮีชอลเท่หรอก จริงๆนะ ก็ฮีชอลทำผมเหมือนพวกเราเลย”  กาอินมองหน้าหวานๆของเพื่อนแล้วนึกถึงผมทรงเดียวกันสั้นเท่าติ่งหู แต่ทำไมฮีชอลทำแล้วดูดีอยู่คนเดียวก็ไม่รู้

     

                    “มันเหมือนผู้หญิงมากเลยหรอ” คิ้วเรียวขมวดมุ่นปากจู๋เข้าหากันเหมือนกำลังใช้ความคิด “งั้นช่วยฮีชอลหน่อยสิ” ดวงตากลมโตวาวเป็นประกายเหมือนนึกอะไรได้

     

                    “ให้ช่วยอะไร” ชอลบีรีบยื่นหน้าเข้ามาใกล้ทำให้คนที่เหลือต้องสุมหัวกันเหมือนเป็นความลับระหว่างชาติ ที่รั่วไหลแล้วอาจเกิดสงครามได้

     

                    “ตัดผมให้ฮีชอลหน่อย เอาแบบนั่นอ่ะ” เด็กน้อยที่ถูกบิวท์อารมณ์จนเหมือนกำลังพูดเรื่องสำคัญ กระซิบเสียงแผ่ว ก่อนชี้มือไปที่หัวเหม่งๆของเพื่อนคนหนึ่งที่พึ่งศึกจากเณร

     

                    “หูยยยย ฮีชอลจะเอาแบบนั้นเลยหรอ” กาอินมองตามแล้วตกตะลึงกับความคิดเพื่อน

     

                    “อืม แบบนั้นเลย จะได้เท่กว่าฮีชอลไง” เด็กชายที่เริ่มฝังหัวตัวเองด้วยค่านิยมผิดๆว่าผมใครเกรียนกว่าก็เท่กว่า บอกเพื่อนสาว ก่อนจะลุกขึ้นลากมือเพื่อนๆทั้งหมดให้ตามไปเป็นลูกเป็ด

     

                    ในมือเด็กหญิงสามคนมีกรรไกรคนละเล่ม ต่างกำลังรุมล้อมเด็กชายที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ “ฮีชอลเอาจริงๆหรอ” กาอินถามอีกครั้งอย่างไม่แน่ใจ แบบนี้ก็ดีอยู่แล้ว จะทำไปทำไมไม่รู้

     

                    “อือ เร็วๆสิ เดี๋ยวครูมาเห็น แล้วอดเลย” สิ้นคำ เด็กน้อยทั้งสามต่างก็เข้ารุมหัวเล็กๆของเพื่อนอย่างเมามันส์ จนลืมมองคนที่เดินเข้ามาในห้องเรียน

     

                    “ทำอะไรกันหน่ะ” เสียงแก่ๆของครูเหี่ยวๆ เดินเข้ามาในห้องเรียนก่อนจะเห็นเด็กหญิงสองสามคนกำลังทำอะไรบางอย่างน่าสงสัย จนอดจะถามไม่ได้

     

                    “เปล่าคะครู” ซอลบิตอบครูเสียงใส ซ่อนกรรไกรไว้ด้านหลัง ใช้ตัวอวบอ้วนของตัวเองบดบังเด็กชายที่นั่งอยู่ด้านหลังเอาไว้

     

                    “แล้วนั่นใครนั่งอยู่ข้างหลังออกมาเดี๋ยวนี้นะ” ถึงจะมองไม่ถนัดแต่ก็เห็นว่ามีใครตัวเล็กๆนั่งอยู่ และถ้ามองไม่ผิดก็น่าจะเป็น “ฮีชอลหรือเปล่า ออกมาหาครูเดี๋ยวนี้นะ”

     

                    แล้วร่างเล็กก็โผล่ออกมาจากหลังเพื่อน เป็นฮีชอลที่เธอเอ็นดูจริงๆ แต่ฮีชอลตอนนี้กลับทำให้เธอขำจบไม่สามารถกลั้นได้ ผมบ๊อบที่เคยน่ารักสดใส มันเว้าๆแหว่งๆ สั้นๆยาวๆ แต่งความทั้งหมดมันอยุ่เหนือใบหูเล็ก แทบจะสั้นเท่ากับคิ้ว

     

                    “ฮีชอล ทำอะไรกับผมตัวเอง” หลังจากที่ตั้งสติได้ คุณครุก็กลับมาถามไถ่ลูกศิษย์ไม่ได้รู้เลยว่าที่หัวเราะไป ทำลายความมั่นใจกันแค่ไหน

     

                    “ผมให้เพื่อนตัดผมให้ครับ ผมอยากเท่แบบซีวอนบ้างนิครับครู แล้วมันก็เลยต้องสั้นหนิครับครู” เด็กน้อยบอกเล่าความคิดของตนให้ครูฟัง ตอนนี้เริ่มไม่มั่นใจทรงผมตัวเองแล้ว “ ทำไมครูขำหล่ะครับ ไม่ชมว่าผมหล่อสักหน่อยหรือครับ”

     

                    “ไม่หล่ะจ๊ะ นี้ถ้าไม่ใช่ฮีชอลครูอาจต้องเรียกผู้ปกครองก็ได้นะ ออกไปเล่นข้างนอกห้องได้แล้วนะ ครูจะปิดห้องแล้ว”

     

                    “ครับ/คะ” เด็กน้อยสี่คนตอบรับอย่างพร้อมเพรียงกันก่อนจะคว้ากระเป๋ามาถือเดินออกจากห้องไปนั่งรอพ่อแม่ที่สนาม

     

                    “อ่ะ ฮีชอลนั่นซีวอนนี้หน่า ที่เล่นบอลอยู่ที่สนามหน่ะ เท่จังเลยเนอะ” นาริมที่ยังไม่เลิกเพ้อ กระตุกชายกางเกงของเพื่อนสนิทอย่างตื่นเต้น

     

                    “อืม ไม่เห็นเท่เลย ฮีชอลเท่กว่าอีก” ริมฝีปากเล็ก เชิดขึ้น งอนเพื่อนสาวที่ยังเอาแต่ชมน้องชายตัวเองไม่เลิก พี่ชายอยู่ตรงนี้ทั้งคนไม่เห็นชมเลย

     

                    “ก็ฮีชอลไม่เท่เท่าซีวอนหรอก ซีวอนเด็กกว่าตั้งสองปี แต่ก็ตัวสูงกว่า แถมยังหล่อกว่าด้วย เรื่องอะไรนาริมต้องชมฮีชอลด้วย” เด็กสาวหันมามองหน้าเพื่อนก่อนสะบัดกลับไปพร้อมแก้มป่องๆพองลม

     

                    “ฮีชอลเท่กว่าซีวอนแล้วอย่ามาง้อนะ” เด็กชายฮีชอล เดินหนีเพื่อนไปนั่งที่ม้านั่งข้างสนามรอทั้งคนเล่นบอลให้เลิกเล่น และรอให้รถที่บ้านมารับ

     

                    ดวงตากลมโตจ้องมองน้องชาย หาความแตกต่างที่ทำให้ซีวอนเท่ และตัวเองไม่เท่ เอาจริงๆแล้ว คิดแบบไม่เข้าข้างตัวเอง..... “ฮีชอลก็หน้าตาดีกว่าซีวอนอีกนะ อาจจะแค่เตี้ยกว่านิดหนึ่ง หน้าซีวอนก็อาจจะคมกว่านิดๆ แต่ตาฮีชอลก็กลมกว่าตาซีวอน แถมฮีชอลยังขาวกว่าซีวอนด้วย ตัวก็นิ่มน่ากอดกว่า แล้วฮีชอลเท่ไม่เท่าซีวอนตรงไหนอ่า” คนที่กำลังหาว่าตรงไหนที่บกพร่องเพลินจนลืมมองว่าคู่แข่งความเท่กำลังเดินเข้ามาใกล้ๆ

     

                    “ฮีชอล ฮ่าๆๆๆๆๆ” เด็กชายซีวอนชี้หน้าหวานๆ ขำกับทรงผมใหม่ที่แตกต่างจากเมื่อเช้า  ขำจนต้องเอากุมท้องเอาไว้ ไม่สนว่าใครเดินไปมา จะหันกลับมามอง

     

                    “ขำอะไรเล่า” ใบหน้าหวานพองลม ปากอิ่มเชิดขึ้น มองหน้าคนถามไม่พอใจ อยู่ดีๆก็เดินมาขำ

     

                    “ฮ่าๆๆๆ ขำผมฮีชอล แหว่งขนาดนี้เลย ฮ่าๆๆๆๆ ไปตัดที่ไหนมา  ซีวอนจะได้ไม่ไปตัด ฮ่าๆๆๆ” เด็กหนุ่มยังคงขำไม่เลิกกับทรงผม ไม่ได้มองว่าคนโดนขำน้ำตาไหลลงมาเป็นทางแล้ว

     

                    “หยุดหัวเราะเลยนะ บอกให้หยุดไง หยุดสิ” ฮีชอลน้ำตาไหล น้ำมูกไหลลงมา ยิ่งทำให้หน้าหวานน่าหัวเราะขึ้นไปอีก

     

                    เด็กทั้งสองนั่งบนม้านั่งตัวเดียวกันรอรถจากที่บ้านมารับ แต่คนหนึ่งก็เอาแต่หัวเราะ หันหน้าไปมองก็ยิ่งหัวเราะใหญ่ ในขณะที่อีกคนก็นั่งร้องไห้ขี้มูกโป่ง เป็นแบบนี้จนกระทั่งกลับมาถึงบ้าน

                   

                    “ฮีชอลไม่โกรธซีวอนแล้วนะ ดีกันนะ” ซีวอนเริ่มรู้สึกว่าพี่ชายเริ่มโกรธจริงจัง เมื่อพูดด้วยก็ไม่พูด ถามอะไรก็ไม่ตอบ ขนาดเอาไอติมมาให้ยังไม่มีแม้แต่คำขอบคุณ

     

                    “ไม่ หยุดหัวเราะทำไม่เล่า หัวเราะไปเลย  ฮีชอลวอนแล้ว” แล้วคนที่ยอมรับว่างอนก็เดินหนีไปปล่อยให้เด็กชายอีกคนได้แต่นั่งมองหน้าแม่ตาปริบๆ

     

                    “มองอะไรลูก ซีวอนทำพี่เขางอนก็ไปง้อเองนะ อยากหัวเราะขนาดนั่นเอง สู้ๆนะลูกแม่” คุณแม่ยังสาวบอกกับลุกชายก่อนเดินหายไปอีกคน ความจริงเธอเห็นก็ขำแหล่ะกับผมแหว่งขนาดนั่น แต่จะให้หัวเราะก็กระไรอยู่

     

                    เด็กชายซีวอนเดินวนรอบบ้านก่อนได้ยินเสียงคนร้องไห้กระซิกๆดังมาจากห้องเก็บของจากที่ตั้งใจจะวิ่งหน้าตั้ง แต่พอตั้งใจฟังจะว่าเสียงผีก็ไม่ใช่ มันคล้ายๆเสียงของฮีชอล จึงต้องลองถามดูไม่ใช่ค่อยเผ่นยังทัน “ฮีชอล ฮีชอลหรือเปล่า”

     

                    “อืม จะหัวเราะอะไรอีกเล่า” เสียงใสตอบกลับมาจากภายในห้องแคบ จนทำให้เด็กชายมั่นใจว่าในห้องป็นคน ไม่ใช่ผี

     

                    “เปล่าไม่ได้หัวเราะแล้ว ฮีชอลโกรธซีวอนหรอ ไม่โกรธนะ มาง้อแล้ว” มือป้อมๆเปิดประตูเข้าไปพบกับแพนด้าตาแดงนั่งซุกหน้ากับเข่าร้องไห้ใหญ่เลย “ฮีชอล”

     

                    “เข้ามาทำไม ฮีชอลโกรธอยู่นะ ออกไปเลย” มือเล็กดันตัวคนที่เปิดเข้ามาก่อนปิดประตูใส่หน้าอีกครั้ง “ห้ามเปิดเข้ามานะ จนกว่าฮีชอลจะหายงอนด้วย

     

                    “แต่ฮีชอลไม่ได้ล็อคประตูอ่ะ ให้ซีวอนเข้าไปเหอะนะ”

     

                    “ไม่” เสียงหวานตะโกนออกมาจากด้านในด้วยเสียงห้วน

     

                    “ตามใจ” เด็กน้อยวัยเก้าขวบนั่งจุมปุ๊กอยู่หน้าประตูห้องเก็บของที่มีคนอยู่ข้างใน นั่งรอไปเรื่อยๆจนกระทั่งเสียงสะอื้นเงียบหายไป จนต้องส่งเสียงถามเบาๆ “ฮีชอล ฮีชอล”

     

                    “......”

     

                    ไม่มีเสียงตอบรับ จนซีวอนต้องเปิดปะตูเข้าไป เห็นคนกำลังงอน นอนหลับอย่างเป็นสุข ปล่อยให้เขานั่งรออยู่ข้างนอกตั้งนาน มองซ้ายมองขวา ไม่เห็นใคร สุดท้าย เด็กเก้าขวบต้องยอมให้เด็กสิบเอ็ดขวบผู้หลับใหล ขี่หลังกลับขึ้นห้องนอน แล้วก็หลับไปด้วยกันเหมือนทุกคืนที่ผ่านมา
                 
                

                    คนบนตักหนานั่งเงียบไม่ยอมพูดจา ยิ่งมองรูปก็ยิ่งแค้นใจ ทั้งผมแหว่งๆ ทั้งหน้าตาที่เลอะเปรอะเปื้อน แล้วไหนยังจะความสูงที่มีไม่มากอีก แล้วจะเอาอะไรไปสู้กับไอ้คนที่ที่เป็นเจ้าของตัก ยิ่งตอนนี้ไม่ต้องพูดถึง ทั้งความสูง ทั้งไอ้แขนล่ำ  ทั้งหน้าตา มันเกินกว่าคำว่าเท่ ที่คนอย่างฮีชอลจะเอื้อมถึงไปนานมากแล้ว

     

                    “เป็นอะไรครับฮีชอล กำลังคิดใช่ไหมว่าเด็กในภาพกำลังงอนได้น่ารักเลยอ่ะ เหมือนฮีชอลของซีวอนเลย งอนได้น่ารัก น่ากอดที่สุดเลย” คนน่ารัก นากอด ถูกทั้งกอด ทั้งหอมแก้มนวลๆ ซะเต็มแรง อย่างดิ้นหนีก็ดิ้นไมได้

     

                    “อืมมมม  ไม่ต้องมากอดเลย  ตอนนั้นนะขำได้ขำดี”  มือบางๆฝาดลงที่แขนหนาอีกหลายทีทั้งหมั่นเขี้ยว ทั้งหมั่นไส้ เอะอะกอด เอะอะหอม ถ้าเผลอๆก็มีจูบ คนอะไร ฉวยโอกาสตลอดเลย

     

                    “แต่ก็รักนะครับ รักที่สุดเลย เนี่ยถ้าไม่รัก วันนั้นไม่พาขึ้นไปนอนหรอก แล้วก็ไม่กอดทุกๆวันแบบนี้ด้วย เพราะงั้นฮีชอลต้องให้ซีวอนกอดทุกวัน หอมทุกวันนะครับ” เหมือนจะเป็นคำขอ แต่ชายหนุ่มก็ไม่จำเป็นต้องรอได้รับอนุญาต ก็ในเมื่อทำแบบนี้มาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว  

     

                    “อื้ม จะให้ไปไหนได้เล่า ก็อยู่กับซีวอนแบบนี้ตลอดอ่ะ ไม่เคยไปไหนสักที มีแต่ซีวอนแหล่ะ ที่ทิ้งฮีชอลไป” คนพูดเสียงเจื้อยแจ้ว ลืมนึกไปว่าครั้งหนึ่งก็เคยคิดแอบหนีออกจากบ้าน

     

                    “ถึงซีวอนไม่อยู่ แต่ใจของซีวอนก็อยู่กับฮีชอลไม่เคยไปอยู่ที่ไหนเลยนะ อยู่ตรงนี้ตลอดเลย” มือหนาลงบนแผ่นอกบาง ตรงที่หัวใจดวงน้อยเต้น ใบหน้าหวานขึ้นสีเพราะความเขินอาย ริมฝีปากแดงเรื่อเพราะลิปกรอสที่ชื่อซีวอน

     

                    “ฮีชอลก็รักซีวอนนะ ไม่รู้ว่ารักได้ไง แต่รู้ไหม ตอนที่ไม่มีซีวอนอยู่ด้วย ฮีชอลร้องไห้ทุกวัน ตอนที่ไม่มีซีวอนนอนอยู่ข้างๆ ฮีชอลนอนไม่หลับ” ร่างเล็กซุกทั้งตัวให้เข้าแนบกับแผงอกหนาๆ หดหู่เมื่อคิดถึงความทรงจำบางช่วงที่แม้ไม่มีอะไรให้นึกถึง แต่ความอ้างว้าง ก็ยังคงตรึงแน่นในความทรงจำ



                

            “ไม่เอา ไม่ไป ฮีชอลจะอยู่ที่นี้” เสียงร้องไห้ดังระงมของเด็กหนุ่มในชุดม.ปลายหลบอยู่ด้านหลังของเด็กหนุ่มในเครื่องแบบม.ต้น ใบหน้าหวานมีแต่คราบน้ำตา ไม่ยอมมองใครต่อใครที่นั่งอยู่ในห้องรับแขก

     

                    ฮีชอล และซีวอน กลับมาจากโรงเรียนด้วยรอยยิ้มเหมือนทุกวัน แต่เมื่อกลับเข้ามาในบ้าน มองเห็นรถแปลกตาจอดอยู่ในที่จอดรถ มองงเห็นชายหญิงที่รู้จัก แต่ไม่สนิทด้วยคู่ รอยยิ้มก็แปรเปลี่ยนเป็นใบหน้านิ่งเฉย ก่อนจะกลายเป็นเสียงร้องไห้ เมื่อรับรู้ว่าชายหญิงคู่นี้มาทำไม

     

                    “เราจะรับฮีชอลไปอยู่ด้วยกันนะครับ  ผมรู้สึกว่าหลานของเรา เราเองน่าจะเป็นฝ่ายต้องดูแลแก ดีกว่าให้คนอื่นต้องมาเดือดร้อน”   

     

    “เราก็ไม่ได้เดือดร้อนอะไรนะคะ ทุกคนที่นี้รักฮีชอลมาก อีกอย่างเราเองก็เลี้ยงแกมาตั้งนานแล้ว ถ้าหากคุณคิดถึงหลานก็มาหาที่นี้ได้” นายหญิงของบ้าน พยายามถ้วงเวลาให้หัวหน้าครอบครัวคนเก่งกลับมาจัดการปัญหาใหญ่ตรงหน้า เธอเลี้ยงฮีชอลมากับมือ รักเหมือนลูก และจะไม่ยอมให้ใครมาพรากไปได้เด็ดขาด

     

                    “ถ้าผมเลี้ยง คุณเองก็ไปเยี่ยมได้นี้ครับ คุณมาเอาหลานของเราไปนานแล้ว สมควรที่จะคืนหลานให้เราได้แล้วนะครับ ป่ะฮีชอลขึ้นไปเก็บของ แล้วไปอยู่กับอานะ” ชายวัยกลางคนหันไปหาหลายชายหน้าหวาน จะเอื้อมมือไปหา แต่หลายชายกลับหนีด้วยการไปซ่อนอยู่หลังลูกชายคนเดียวของเจ้าของบ้าน แล้วร้องไห้เสียงดัง

     

                    “โอ๋ ไม่ร้องนะฮีชอล ป้าไม่ยอมให้ใครพาหนูไปไหนทั้งนั้นนะจ๊ะ” นายหญิงของบ้านคว้าตัวหลานชายสุดที่รัก มากอดไว้แนบอก ปลอบประโลมให้หายกลัว โดยมีลูกชายตัวใหญ่ นั่งกั้นระหว่างผู้ที่อ้างตัวเป็นอาเอาไว้ให้

     

                    “ฮีชอลไม่ไปนะครับคุณป้า ขอฮีชอลอยู่กับคุณป้านะครับ” เสียงหวานกระซิบร้องขอ กลัวว่าต้องไปอยู่กับคนที่ไม่รู้จัก กลัวจะไม่ได้เจอใครที่นี้อีก

     

                    “จ๊ะป้าก็ไม่ให้หนูไปไหนนะ ตาซีวอน พาพี่กลับขึ้นบนห้องก่อนป่ะ แล้วอยู่เป็นพี่เขาด้วยนะลูก” เธอส่งหลายชายให้กับลูกชาย มองเด็กทั้งสองเดินขึ้นบันไดบ้านไป ไม่อยากให้ฮีชอลต้องนั่งกลัวอยู่ตรงนี้นาน

     

                    “คุณจงใจกันเรากับฮีชอลนิครับ คุณหญิง” ชายวันกลางคนอย่าง คิม จองอิล บอกเสียงเข้มไม่พอใจ ที่ถูกกีดกันแบบนี้ทั้งทีตัวเองก็เป็นอาแท้ๆ

     

                    “คะ ดิฉันไม่อยากให้ฮีชอลต้องทนกลัวอยู่แบบนั้น เราเลี้ยงดูแลฮีชอลมาอย่างดี ทะนุถนอมแกมาก ไม่อยากให้ต้องมานั่งกลัวอะไรที่ร้ายๆหรอกนะคะ แล้วถ้าคุณยืนกรานจะพาฮีชอลไปให้ได้ คงต้องคุยกับสามีดิฉันแทน”

     

                    “ฮึเลี้ยงดูแบบทะนุถนอม หรือเลี้ยงให้มันเป็นตุ๊ดกันแน่ตะ ดูสิ เด็กผู้ชายอะไร แค่นี้ก็ร้องไห้แล้ว นี้ถ้าฉันเป็นคนเลี้ยง ป่านนี้คงได้ตีกันบ้างแล้ว ไม่มีที่จะมาอ่อนปวกเปียกอะไรแบบนี้” หญิงแก่หน้าเหี่ยวย่น อย่างคิม ยองซุก บ่นหลานชายของสามีแบบไม่พอใจ

     

                    “มันจะมากไปแล้วนะ คุณกำลังว่าหลายชายตัวเองนะคะ แล้วที่นี้เราก็ไม่ตีกันแบบไร้เหตุผลหรอกคะ” นายหญิงตระกูลชเว ขึ้นเสียงทันทีที่แขกผู้มาเยือนว่าหลานรักของเธอ แล้วยังจ้องจะตีกันอีก แบบนี้ถ้าฮีชอลไปอยู่ด้วย คงไม่แคล้วนต้องโดนทำร้าย

     

                 ในขณะที่ผู้ใหญ่กำลังถกเถียงอยู่ข้างล่าง เด็กน้อยที่ถูกพาขึ้นมาในห้องนอนที่ใช้ร่วมกับซีวอน ก็กำลังร้องไห้อยู่ในอ้อมกอดของน้องชายกลางที่นอนกว้าง “ฮือๆๆ  ซีวอน ฮีชอลไม่ไปนะ ฮีชอลจะอยู่กับซีวอนกับคุณลุงคุณป้า”

     

                    “ครับ ไม่มีใครให้ฮีชอลไปไหนแน่ๆ เชื่อซีวอนนะ” เด็กม.ต้นนั่งกอดปลอบพี่ชายอยู่แบบนั้น ทั้งลูบหลัง ลูบหัว ทั้งคำพูดปลอบประโลม หวังให้คนอ่อนแอได้คลายใจ

     

                    “จริงๆนะ ซีวอนจะไม่ไล่ให้ฮีชอลไปอยู่ที่อื่นนะ” ดวงตากลมโตแดงช้ำ จ้องมองใบหน้าคมของคนพูด อย่างขอคำสัญญา ครอบครัวของฮีชอลที่มีอยู่ตอนนี้ก็แค่คนที่นี้เท่านั้น คนในบ้านไม่กี่คน แต่เป็นโลกทั้งโลกของร่างบาง

     

                    “ครับ ซีวอนจะไม่ไล่ฮีชอลไปไหน เราจะอยู่ด้วยกันนะครับ ทุกคนที่นี้รักฮีชอล ซีวอนรักฮีชอลนะ” คำว่ารักที่พูดออกมา ตอนนั้นเด็กหนุ่มเองก็ไม่รู้ว่ายังไง รู้ว่าแค่ว่า อยากปกป้องคนบอบบางคนนี้ไปเรื่อย อยากเห็นรอยยิ้ม อยากได้ยินเสียงหัวเราะ อยากให้มีฮีชอลอยู่ข้างๆ

     

                    “ฮีชอลก็รักซีวอนนะ” เสียงหวานๆพูดออกมาตามที่รู้สึก ไม่จำเป็นต้องหาคำอธิบายว่ายังไง รู้แค่รัก รู้แค่ว่าได้รับความรักจากกันก็เพียงพอแล้ว สำหรับเด็กน้อยทั้งสองในเวลานั้น รอให้โตกว่านี้ รอให้พร้อมกว่านี้ แล้วค่อยหาความหมายของคำว่ารักด้วยกัน แต่ตอนนี้... “ซีวอน ฮีชอลง่วงอ่ะ ขอนอนก่อนนะ พอพวกคุณอากลับไปแล้ว ซีวอนค่อยปลุกฮีชอลนะ” เสียงหวานๆที่ยังติดสะอื้นอยู่นิดๆ บอกกับเด็กหนุ่มที่อายุน้อยกว่าแต่ตัวกลับโตกว่า ก่อนจะเลื่อนตัวลงไปนอนหนุนตักหนา

     

                    “ฮีชอลไปนอนหนุนหมอน” เด็กหนุ่มหัวเราะพี่ชาย เมื่อกี้ยังร้องอยู่ดีๆ แล้วก็ง่วง ล้มตัวลงนอนหนุนตักกันเฉยๆเลย ทั้งทีหมอนก็มีออกจะเยอะ

     

                    “ไม่เอา ถ้าหนุนหมอนเกิดซีวอนลากฮีชอลลงไปให้คนพวกนั้นทำไง ฮีชอลต้องป้องกันไว้ก่อน ให้ฮีชอลนอนเหอะ อย่าชวนพูดนะ วันนี้เรียนมาเหนื่อยที่สุดเลย”  คนหลับตาพริ้ม แต่ยังพูดเจื้อยแจ้ว มือบางคว้าท่อนแขนมากอดเอาไว้ ก่อนฝังหน้าลงไป ซุกหาไออุ่นจากร่างกาย

     

                    “ครับ หลับฝันดีนะครับ” ซีวอนกระซิบเสียงแผ่วข้างหูคนที่อ้างว่าเรียนมาเหนื่อย เหมือนเจ้าของตักไม่ต้องไม่เหนื่อยเลย สักนิดเดียว มือหนาข้างที่ไม่ถูกดึงไป เกลี่ยผมนุ่มออกจากหน้าผากไม่ให้แยงตาคนหลับ ก่อนจะหมุนวนเล่นเพลินๆ

     

                    ในห้องนอนที่เด็กน้อยคนหนึ่งหลับไปอย่างสบายใจ ส่วนอีกคนก็นั่งเป็นหมอนอย่างมีความสุข ขัดแย้งกับข้างล่างที่ผู้ใหญ่สี่คน ที่กำลังถกเถียงกันหน้าเคร่งเครียด

     

                    “ฮีชอลโตมากับเรา ยังไงๆผมก็ไม่ยอมให้คุณเอาตัวฮีชอลไป” นายใหญ่แห่งตระกูลชเวที่พึ่งกลับมารับรู้เรื่องร้อนใจ ถึงกับประกาศกร้าว ไม่สนใจใครทั้งนั้น

     

                    “แต่ผมเป็นญาติเพียงคนเดียวที่หลงเหลืออยู่ของฮีชอล คุณจะไม่ให้เราเอาตัวไปได้ไงกัน ถึงคุณจะเลี้ยงแกมา ก็ตาม” นายคิม จองอิล ญาติคนสุดท้ายของฮีชอลอ้างสิทธิที่ละเลยไปนาน

     

                    “คุณเป็นญาติแล้วยังไง เคยรู้บ้างไหมว่าตอนที่ฮีชอลเสียใจเป็นยังไง รู้บ้างไหมว่าแกเป็นเด็กแบบไหน คุณไม่รู้อะไรเลยสักอย่าง แล้วคุณจะเลี้ยงฮีชอลได้ยังไงกัน” นายหญิงของบ้านที่เลี้ยงดูใกล้ชิดและเข้าใจฮีชอลมากกว่าใครจะเป็นรองก็แค่ลูกชาย กล่าวอย่างเหลืออด คนพวกนี้เป็นใคร จะมาพรากฮีชอลไปจากเธอ

     

                    “เป็นเด็กแบบไหน ก็เด็กอ่อนแออ่ะสิ พวกคุณเลี้ยงให้หลานผมอ่อยแอปวกเปียกขนาดนั้น ถ้าให้ผมเลี้ยง ก็คงเป็นเด็กเข้มแข็ง ไม่อ่อนแอแบบนี้”

     

                    “ฮึ กร้าวร้าวหล่ะสิไม่ว่า” คุณนายแอบกระซิบเบาๆกับสามี ไม่หวังให้คนนอกได้ยิน

     

                    “ถึงอย่างนั้นก็เหอะ แต่ยังไงพ่อของฮีชอล เพื่อนของผมก็ฝากเขาเอาไว้กับเรา ผมเสียใจที่คุณคิดว่าเราเลี้ยงไม่ดีพอ แต่ว่าเราก็สามารถปรับปรุงได้” นายใหญ่แห่งตระกูลชเวไม่ยอมอ่อนข้อให้ เขาไม่ไว้ใจสองสามีภรรยาคู่นี้เลย ฮีชอลอยู่กับเขามาเกือบสิบปี พึ่งมาเรียกร้องเอาตอนนี้

     

                    “ถ้างั้นเราก็ไปเจอกันในศาลแล้วกัน” คิม  ยองซุก ปล่อยไพ่ไม้สุดท้ายออกมา ทำให้เจ้าบ้านทั้งสองได้แต่นิ่งอึ้ง ถึงแม้ฮีชอลจะโตแล้ว แต่การให้ขึ้นศาลก็ดูเหมือนจะโหดร้ายเกินไป

     

                    “เออะ....” หญิงสาวเจ้าของบ้านได้แต่เรียกเอาไว้ แต่ก็ไม่อาจพูดอะไรออกมาได้

     

                    “ทำไมคะ เริ่มอยากเปลี่ยนใจแล้วใช่ไหม”

     

                    “ถ้าคุณพาฮีชอลไปอยู่ด้วย แล้วจะให้เราไปพบได้ตลอดใช่ไหมครับ” ในที่สุดนายใหญ่แห่งตระกูลชเว ก็ต้องยอมอ่อนข้อให้ในที่สุด เพราะไม่อยากให้จิตใจของเด็กน้อยที่ประคบประหงมมาต้องเสียหาย

     

                    “ก็ ถ้าคุณยินยอมที่จะให้ฮีชอลกับเรามา ผมก็คงยอมให้คุณพบบ้างในบางครั้ง” ผู้ที่ถือไพ่เหนือกว่า กระหยิ่มยิ้มย่องอย่างผู้ชนะ

     

                    “เราขอเวลาหนึ่งอาทิตย์ได้ไหม”หญิงกลางคนเริ่มต่อรอง เวลาหนึ่งอาทิตย์ อาจดูมาก แต่มันคงไม่พอสำหรับการทำใจเพื่อจากลา โดยเฉพาะสำหรับเด็กทั้งสองคน

     

                    “ก็ได้ อีกหนึ่งอาทิตย์ ผมจะมารับฮีชอล”

     
    ~100%~


                     ช่วงหนึ่งอาทิตย์จากนั้นเป็นช่วงเวลาที่บ้านตระกูลชเว มีแต่ความหดหู่ รอยยิ้ม เสียงหัวเราะที่เคยมีอยู่ตลอดเวลา มันหายไปพร้อมๆกับการนับถอยหลังเวลาของการลาจาก

     

                    หนึ่งวันที่เต็มไปด้วยน้ำตา ของฮีชอล ดวงตากลมโตแดงช้ำ ได้แต่พูดว่าไม่มีใครรัก 

     

                    สองวันที่น้ำตาแห้งหายไป เข้าใจว่าเพราะรัก ทุกคนถึงต้องให้ไปอยู่กับญาติเพียงคนเดียวที่เหลืออยู่

     

                    สามวันที่นั่งเงียบ ไม่อยากให้โลกต้องหมุนต่อไป อยากให้หยุดเวลาไว้เพียงเท่านั้น

     

                    สี่วันที่.....

     

                    ห้าวัน.......

     

                    หกวัน.....

     

                    เจ็ดวัน.....และแล้ววันนี้ก็มาถึง วันที่ต้องเอ่ยคำลา วันที่สมาชิกในบ้านต้องจากลากัน

     

                    “ซีวอน ฮีชอลไม่อยากไป ไม่ไปได้ไหม อย่าให้เขาพาฮีชอลไปนะ” เด็กตัวเล็กๆนั่งร้องไห้อยู่ในอ้อมกอดของเด็กชายที่อายุน้อยกว่าข้างๆกระเป๋าใบใหญ่ที่อัดแน่นทั้งเสื้อผ้าและสารพัดรูปถ่าย

     

                    “ซีวอนก็ไม่อยากให้ฮีชอลไป แต่ถ้าฮีชอลไม่ไปคุณอาของฮีชอลก็จะฟ้อง แล้วทีนี้ ฮีชอลไม่กลัวต้องขึ้นศาลหรอครับ  ฮีชอลไปแล้ว แต่เราก็ยังเจอกันที่โรงเรียนได้นะ  ซีวอนจะไปแต่เช้าไปรอฮีชอลที่โรงเรียนนะ” เด็กหนุ่มพยายามเกลี้ยกล่อม คนในอ้อมกอด นึกไปก็ใจหาย ห้องที่เคยนอนด้วยกัน จะไม่มีอีกแล้ว คนตัวเล็กๆนุ่มนิ่มๆ  เหมาะแก่การนอนกอด

     

                    “ซีวอนสัญญาแล้วนะว่าจะไปหาฮีชอลตอนเช้า ต้องมากินข้าวด้วยกันนะ ต้อง กินข้าวเที่ยงด้วยกัน แล้วก็ต้องอยู่รอเจอตอนเย็นด้วยนะ ห้ามทิ้งฮีชอลนะ” หนุ่มน้อยปากเบะขอคำสัญญาจากคนที่มอบอ้อมกอดให้

     

                    “สัญญาสิ ซีวอนจะไปรอฮีชอลหน้าประตูทุกวัน เราจะเดินเข้าไปในโรงเรียนด้วยกันเหมือนทุกวัน ซีวอนจะไปส่งฮีชอลที่ห้องเรียน จะไปรับตอนพักเที่ยง นะครับ”

     

                    “สัญญานะ”

     

                    “ครับ สัญญา”

     

                    นิ้วก้อยหนาเกาะพันเกี่ยวกับนิ้วก้อยเล็กเอาไว้ แทนคำสัญญาที่ให้

     

                    “ฮีชอลเสร็จหรือยังลูก” นายหญิงของบ้านเดินขึ้นมา แม้เสียงที่ถามจะยังเป็นปรกติแต่ดวงตาแดงกล่ำ ก็บอกได้ว่าคนขึ้นมาเรียกก็ไม่ได้มีความสุขไปกว่ากันเลย

     

                       “มาให้กอดทีนะลูก” คุณป้ายังสาวคว้าตัวหลานรักเข้ามาโอบกอด สองป้าหลาน น้ำตาไหลพราก “ไปอยู่นู้นแล้ว อย่าลืมติดต่อกลับมาบ้างนะลูก แล้วก็อย่าดื้อ อย่าซน ให้เขาดุเขาตีได้นะ ถ้าอยากได้อะไร ให้โทรมาบอกป้านะ แล้วป้าจะฝากซีวอนไปให้นะ”

     

                    “ครับ คุณป้า” ใบหน้าหวานพยักหน้า รับคำอยู่ในลำคอ  ก่อนจะถูกคุณป้าจูงมือมีน้องชายตัวสูงเดินเคียงข้างลงไปด้านล่าง ที่มีหนึ่งชายหนึ่งหญิงที่รู้จักได้ไม่เกินหนึ่งอาทิตย์ เห็นหน้าไม่เกินหนึ่งครั้ง นั่งรอหน้าบึ้งอยู่ ในขณะที่คุณลุงกลับทำหน้านิ่ง นั่งอยู่บนโซฟาอ่านหนังสือพิมพ์

     

                    “คุณพ่อครับ ฮีชอลลงมาแล้ว”  ซีวอนลูกชายคนเดียวของบ้านร้องบอกกับผู้เป็นพ่อที่ยังคงนั่งอ่านหนังสือพิมพ์ นิ่งๆ เหมือนไม่สนใจ จนคนที่กำลังลาจากทำท่าจะร้องไห้หนักกว่าเดิม

     

                    “ฮีชอลมาหาลุงหน่อยสิ มานั่งตรงนี้” เสียงทุ้มแสนอบอุ่น เรียกให้หลานชายที่รักเหมือนลูกให้มานั่งข้างๆบนโซฟาตัวกว้าง กอดเข้าไว้แนบอก สองมือลูบศรีษะเล็กอย่างถนุถนอม “ไปอยู่คนเดียวอย่าอ่อนแอ อย่ายอมให้ใครรังแกนะลูก ลุงน่าจะเลี้ยงให้เราเข้มแข็งกว่านี้ แต่ในเมื่อมันแก้ไขไม่ได้ เราก็ต้องเข้มแข็งที่สุด ถ้าถึงที่สุดแล้วรับไม่ได้แล้ว บอกลุงนะลูก ลุงจะไปพาฮีชอลกลับมาเอง”

     

                    “ขอบคุณครับ คุณลุง” ในอ้อมกอดที่อบอุ่น ทดแทนอ้อมกอดของพ่อที่จากไป ร่างบางร้องไห้ออกมาอีกครั้ง รับรู้ได้ถึงความรัก ที่ได้รับ

     

                    “ไปกันได้หรือยัง มัวแต่โอ้เอ้อยู่นั่น น่ารำคาญ” เสียงแหลมแสบแก้วหูของหญิงแก่ดังขึ้น ก่อนจะกระชากแขนเรียวออกจากอ้อมกอดเจ้าของบ้าน ไม่สนใจสายตาของใคร  แล้วรีบเดินลิ่วออกจากบ้านหลังใหญ่ไปขึ้นรถที่จอดรอไว้หน้าปะตูไม้กรุกระจกสี ปล่อยให้เด็กในบ้านยกกระเป๋าสองสามใบเดิมตามไป

     

                    “ซีวอน อย่าลืมสัญญานะ” มือเล็กและมือใหญ่ที่จับกันไว้แน่น ถูกแรงที่มากกว่าของผู้ใหญ่ดึงรั้งจนคลายออกจากกัน พร้อมๆกับน้ำตาของเด็กน้อยทั้งสองที่หลั่งลงมาอย่างช้าๆ

     

                    “ฮีชอลลลลลลลลลลลล” เสียงตะโกนลั่นของเด็กชายตัวสูงใหญ่ ถูกนายใหญ่ของบ้านรั้งเอาไว้ไม่ให้วิ่งตามรถคันสวยที่กำลังแล่นออกจากประตูบ้าน ผ่านรั้วบ้านไปไกลทุกทีๆ

     

                    “พ่อครับ ฮีชอลไปแล้ว ไปแล้ว ไม่อยู่กับผมแล้ว เขาไปแล้วววว” แม้จะดูเป็นผู้ใหญ่มากแค่ไหน แม้จะปกป้องบางคนมาตลอด แต่เด็กก็คือเด็ก ซีวอนซุกหน้าเข้าหาพ่อ ร้องไห้เสียใจกับอีกส่วนหนึ่งของชีวิตที่จากไป

     

                    “ไม่ร้องนะซีวอน พรุ่งนี้ไปโรงเรียนก็ได้เจอนะลูกนะ”

     

                    คำของพ่อทำให้ลูกชายเฝ้าอ้อนวอนกับพระเจ้า ขอให้วันพรุ่งนี้มาถึงเร็วๆ อยากให้ถึงเวลาที่จะเจอ ได้พูดคุย ได้นั่งมอง  ได้นั่งเล่น คนที่เป็นเหมือนอีกครึ่งของชีวิต คนที่อยู่ร่วมในทุกลมหายใจ

     

     

                    หกโมงครึ่ง เวลาเช้ามากเกินกว่าที่จะมีใครมาโรงเรียน แต่วันนี้เด็กหนุ่มชุดนักเรียนม.ต้น แต่งตัวเรียบร้อยถือกระเป๋านักเรียนใบใหญ่ ไม่มีทีท่าง่วงงุน กลับมายืนอยู่หน้าโรงเรียนมองไปตามทางเดิน เฝ้ารอใครสักคนที่จะเดินเข้าโรงเรียนไปด้วยกัน

     

                    “นี้ซีวอนจะเข้าแถวแล้วนะ ทำไมเธอยังไม่เข้าโรงเรียนอีก” อาจารย์เวรหน้าประตูโรงเรียนถามเด็กหนุ่มที่เธอเห็นตั้งแต่มาเช้า แต่ไม่ยอมเข้าโรงเรียนสักที

     

                    “ครับอาจารย์” สุดท้าย คนที่มารอตั้งแต่หกโมงครึ่ง ก็ต้องเลิกรอ เดินเข้าไปโรงเรียนเพียงลำพัง เขาไม่ได้เดินเข้าโรงเรียนคนเดียวมานานแค่ไหนแล้ว.....เกือบสิบปีแล้ว

     

                    เมื่อเสียงสัญญาณหมดเรียนช่วงเข้าที่แรกที่ชายหนุ่มเดินไปยังคงเป็นที่เดิมเหมือนทุกครั้ง ห้องเรียนของอีกคนที่วันนี้ตอนเช้าเขาไม่ได้มาส่ง “พี่ครับ ฮีชอลไปทานข้าวแล้วหรือครับ” เขาถามที่ดูเหมือนคาดหวังบางอย่าง ขอให้คำตอบเป็นใช่

     

                    “ไม่นะ วันนี้ฮีชอลไม่มาโรงเรียน อ้าวนายไม่รู้หรอ” เพื่อนร่วมห้องที่ยังคงนั่งอยู่ในห้องตะโกนตอบรุ่นน้อง แบบงง ก็อยู่บ้านเดียวกันจะมาถามทำไม

     

                    “ขอบคุณครับพี่” ชเว ซีวอนเดินคอตกไปที่หน้าประตูโรงเรียนอย่างคาดหวังว่า เพราะยังไม่ลงตัวทำให้ฮีชอลไม่มาเรียนคาบเช้า แต่ก็จะมาทันในคาบบ่าย จะเดินเข้ามาแล้วจะเจอเขาเป็นคนแรก

     

                    ทุกๆวันเด็กหนุ่มจะมารอคอยคนที่สัญญาเกี่ยวก้อยกันเอาไว้ว่าจะเขาโรงเรียนด้วยกัน แต่ผ่านไปเกือบหนึ่งอาทิตย์ ก็ยังไม่เห็นวี่แววของใครคนนั้น ทุกเที่ยงที่เดินไปหาที่ห้องอย่างคาดหวัง แต่ก็ได้คำตอบเดิมๆกลับมาจนบางครั้งคนรอก็เริ่ม....ท้อ

     

                    “ซีวอน ซีวอน ซีวอน ทางนี้ มองมาหน่อยสิ ทางนี้” เสียงที่ไม่ดังไปกว่าเสียงอื่นที่เชียร์เด็กหนุ่มม.ต้นอยู่ข้างสนาม

     

                    เสียงที่น่าจะกลืนหายไปสายลม เสียงเดียวที่ไม่มีทางสู้กับเสียงอื่นๆได้

     

                    เด็กหนุ่มที่กำลังเล่นบาสอยู่ในสนามไม่สนใจเสียงต่างมากมาย ใจจดจ่ออยู่แค่บอลลูกกลมๆ แต่เสียงบางเสียงก็ทำให้หยุดชะงัก หยุดนิ่ง เสียงที่คุ้นเคยตลอดมา

     

                    “พลั่ก” เสียงลูกบอล ลอยละลิ่วมาปะทะกับแผ่นหลังกว้าง จนเจ้าตัวหันไปมองหน้าคนที่โยนมา

     

                    “ช่วยไม่ได้นะเว้ย แกอยากเหม่อเอง” เสียงคนที่โยนมารีบดักคอเพื่อนเอาไว้ก่อน เพราะเห็นตั้งท่าจะโวย “อยู่ในสนามเหม่อได้ไงวะ”

     

                    “เออ ขอโทษ เหมือนฉันได้ยินเสียงใครเรียกเลยวะ” ชายหนุ่มมองไปรอบๆสนาม หาที่มาของเสียงที่ยังดังก้องอยู่ในหู

     

                    “สาวๆเขาก็เรียกชื่อแกทั้งนั้นแหล่ะไอ้วอนเอ้ย”

     

                    “ไม่ นี่ไม่ใช่ เฮ้ย! ฮีชอล” ซีวอนเดินออกจากสนามไม่สนใจใครทั้งสิ้น เดินเข้าไปหาคนที่สัญญาไว้ว่าจะเดินเข้าโรงเรียนด้วยกัน “ฮีชอลทำไม~” คำพูดที่ตั้งใจว่าจะตัดพ้อ แต่กลายเป็นต้องรับร่างบางเข้ามาไว้ในอ้อมกอดโดยไม่ทันตั้งตัว “ฮีชอลเป็นอะไรครับ ฮีชอล”

     

                    “......”ไม่มีคำตอบรับมีแต่ไอร้อนที่แผ่ออกมาจากร่างเล็กๆและเสียงร้องไห้จนชายหนุ่มไม่แน่ใจแล้วว่าเสื้อของตนที่เปียกนั่น เปียกเหงื่อหรือเปียกน้ำตากันแน่ อยากจะปลอบ แต่ก็ไม่รู้ว่าจะเริ่มที่ตรงไหน เรื่องอะไร

     

                    “ฮีชอล บอกกับซีวอนก่อน มันเรื่องอะไร ทำไมไม่มาโรงเรียน ร้องไห้ทำไม” หลายคำถามที่อยู่ในหัวทยอยออกมาถามคนที่กำลังร้องไห้ ผิวขาวใสที่เคยอมชมพู กลายเป็นรอยแดงๆจาง จนเด็กหนุ่มต้องขมวดคิ้ว

     

                    “ซีวอน  ฮีชอลคิดถึงคุณลุง คุณป้า คิดถึงซีวอน” ฮีชอลร้องไห้อยู่กับอกของเด็กหนุ่มรุ่นน้องไม่สนใจจะตอบคำถามมากมายที่ถูกถาม

     

                    “ครับ ซีวอนก็คิดถึงฮีชอล ทุกคนคิดถึงฮีชอลนะ อย่าร้องนะครับ ป่ะซีวอนพาไปกินไอติมนะ” สุดท้ายซีวอนก็ต้องจูงมือเล็กๆไปที่ร้านไอติมหน้าโรงเรียน ร้านเดิมที่เคยมาด้วยกัน

     

                    เด็กหนุ่มพาคนที่กำลังร้องไห้ไม่ฟังอะไรไปนั่งด้านสุดของร้านก่อนจะเดินมาสั่งไอติมโคนสองโคนสำหรับตัวเอง และอีกคนที่นั่งรอไอติมไปทำให้น้ำตาหยุดไหล

     

                    “ฮีชอลครับ หยุดร้องไห้ได้แล้วนะครับ เดี๋ยวน้ำตาลงไปที่ไอติม แล้วไอติมจะเค็มไม่อร่อยนะ” ซีวอนเช็ดน้ำตาจากใบหน้าหวาน ชี้ชวนให้กินไอติมที่อยู่ในมือ

     

                    “ฮีชอล ไม่อยากอยู่กับคุณอาแล้ว ซีวอนช่วยหน่อยสิ” ดวงตากลมโตมองอย่างอ้อนวอน ถ้าหากไม่ได้กลับไปที่บ้านหลังเดิมอันอบอุ่น ชีวิตคงเปลี่ยนไปตลอดกาล

     

                    “แล้วซีวอนจะพูดกับพ่อให้นะ ยังไงพ่อก็ต้องรีบไปรับฮีชอลแน่ๆ แล้วทำไมฮีชอลไม่มาเรียนเลย รู้ไหมว่าซีวอนมารอตั้งแต่หกโมงครึ่งทุกวัน ไปหาฮีชอลที่ห้องทุกวัน” เด็กหนุ่มถามสิ่งที่อยากรู้ ก็เราสัญญากันแล้วไม่ใช่หรือไง

     

                    “ฮีชอลขอโทษ” มือบางวางลงบนมือหนาของเด็กหนุ่ม สะอึกสะอื้นที่ผิดสัญญา “แต่คุณอาให้ฮีชอลย้ายโรงเรียน ย้ายไปอยู่ใกล้ๆบ้าน แล้ว...แล้ว..แล้วก็ ให้ฮีชอลดูฮึก...ฮึก...น้องๆลูกของคุณอาด้วย”

     

                    “อะไร เขาเอาฮีชอลไปใช้งานได้ไงกัน....แล้วรอยแดงๆตามตัวนี้เป็นเพราะพวกเขาใช่ไหม เขาทำร้ายฮีชอลใช่ไหม” ตอนนี้เด็กม.ต้นอย่างซีวอนโกรธคนที่บอกว่าเป็นว่าของฮีชอล  เขาเลี้ยงมาอย่างดี ไม่เคยต้องดูแลใคร ไม่เคยที่จะดุ หรือตี แล้วคนพวกนั้นเป็นใครกัน

     

                    “เปล่าหรอก ฮีชอลทำตัวเองแหล่ะ” ใบหน้าหวานก้มต่ำ หลุบตาลงไม่สบสายตากับเจ้าของสายตาแสนดุ ที่ใช้เสมอ ยามไม่พอใจอะไร

     

                    “แล้วฮีชอลได้แผลพวกนี้มาได้ จะบอกว่าล้มหรือไง ห่ะ?” เด็กหนุ่มที่โตเกินวัยเพราะต้อดูแลคนที่แก่กว่า คาดคั้นเอาคำตอบจากคนที่เริ่มลนลาน

     

                    “อือ ฮีชอลล้มเอง ไม่ได้มีใครทำอะไรหรอก เชื่อฮีชอลนะ” จากแค่วางมือ กลายเป็นเขย่าแขนแรงๆ โน้มน้าวให้เชื่อในคำพูดที่พูดมา แต่ดูเหมือนคนที่เลี้ยงกันมาจะไม่เชื่อ

     

                    “ฮีชอลครับ ต่อให้ฮีชอลล้มทับไม้แขวนเสื้อ แขนฮีชอลก็ไม่ขึ้นเป็นแนวแบบนี้ แล้วก็จะไม่มีรอยมือ ไม่มีรอยกัดแบบนี้หรอกนะ บอกมาว่าเขาทำอะไรฮีชอล” ซีวอนชี้ไปตามรอยแดงช้ำต่างๆที่เห็นตามแขนและคอ แล้วไหนยังจะรอยที่มองไม่เห็นใต้ชุดนักเรียนอีก

     

                    “........................”

     

                    “ฮีชอล ถ้าฮีชอลไม่บอก ซีวอนจะไปเอาเรื่องนะ” เด็กหนุ่มเริ่มใช้อำนาจของผู้ปกครอง และคนเลี้ยง ดุพี่ชายหน้าหวานที่ยังเอาแต่ก้มหน้านิ่ง ไม่ยอมพูดจา

     

                    “เปล่าไม่มีอะไรทั้งนั้นแหล่ะ  ซีวอนอย่าไปเอาเรื่องใครนะ ฮีชอลต้องไปแล้ว นะ ไปก่อนนะ แล้วเดี๋ยวฮีชอลจะมาหาใหม่นะ”ฮีชอลบอกลาด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยน้ำตา ก่อนจะรีบลุกขึ้นจากเก้าอี้

     

                    “ไม่! ไม่ให้ไปไหนทั้งนั้น ถ้าวันนี้ฮีชอลยังคุยไม่รู้เรื่อง” แขนที่แข็งแรงกว่าและมีกล้ามเนื้อมากกว่ารั้งข้อมือบางเอาไว้ ดวงตาที่เคยอบอุ่น ขี้เล่น มีแต่ความคมดุ จ้องใบหน้าที่เต็มไปด้วยน้ำตาอย่างเอาจริงตามที่พูด

     

                    “ก็พูดแล้วไง ให้ฮีชอลไปเหอะนะ ฮีชอลต้องไปรับน้อง ฮีชอลทิ้งน้องมา นะ” ดวงตากลมโตมองอย่างอ้อนวอนให้ปล่อยข้อมือออก อย่าทำให้ช้าไปกว่านี้ เพราะฮีชอลกลัว....

     

    กลัวการลงโทษที่แสนน่ากลัว ทั้งตบ ทั้งตี หยิก แล้วไหนจะเด็กร้ายๆอีกสองคนที่คอยแกล้งฮีชอลสารพัด ซีวอนปล่อยฮีชอลก่อนเหอะนะ

     

                    “ฮีชอล!!!” ทันทีเผลอผ่อนแรงที่จับไว้ คนตัวเล็กอย่างฮีชอลก็รีบดึงมือออกแล้ววิ่งออกจากร้านไอติม ไม่สนใจเสียงเรียกที่ตามหลังไป

     

                    “เฮ้ย!!! ฮีชอล” เสียงของเด็กหนุ่มตะโกนลั่นร้านเมื่อเห็นคนที่พึ่งหนีออกไปล้มลงที่หน้าร้านไอติม จนเด็กหนุ่มเองยังวิ่งออกไปรับไว้ไม่ทัน โชคดีที่คนหน้าร้าน เห็นท่าทีไม่ดี ประคองเอาไว้ได้

     

                    “ฮีชอล เป็นไงมั่ง  ขอบคุณนะครับ” ซีวอนหันไปโค้งขอบคุณคนที่พยุงพี่ชายเขาเอาไว้ก่อนจะรับร่างบางมาไว้ สัมผัสได้ถึงไอร้อนที่มากขึ้นกว่าเดิม ใบหน้าหวานขึ้นแดงเข้าเพราะพิษไข้ “ฮีชอลไปโรงบาลนะเดี๋ยวให้รถมารับนะ”

     

                    “ไม่ ฮีชอลต้องไปรับน้องเดี๋ยวคุณอาตี ปล่อยฮีชอลนะ” คนที่ไมไหวเพราะพิษไข้ แต่ก็ยังรั้นที่จะไปน้องอีกสองคนเพราะกลัวจะถูกตีอย่าทารุณ

     

                    “ไม่ต้องไปไหนแล้ว ใครมันกล้าทำอะไรฮีชอลอีกให้มันรู้ไป” ซีวอนจัดการพาคนป่วยให้ขึ้นขี่หลังเดินกลับไปที่โรงเรียน ป่านนี้รถจากที่บ้านคงมารอรับแล้ว

     

     

                    ทันทีที่ถึงโรงพยาบาล ฮีชอลก็ได้เจอกับทั้งคุณลุงคุณป้าที่คิดถึง คนทั้งสองมารอตั้งแต่ที่ซีวอนโทรไปบอกว่าจะพาคนป่วยมาหาหมอ

     

                    “พ่อครับ พาฮีชอลกลับบ้านเหอะนะครับ” เด็กหนุ่มนั่งคุยกับพ่อระหว่างที่รอให้แม่พาคนป่วยเข้าไปหาหมอ

     

                    “ก็คงต้องเป็นแบบนั้น ไปอยู่แค่ไม่ถึงอาทิตย์ ทั้งป่วย ทั้งมีแต่รอยตี รอยอะไรเต็มตัวไปหมด นี้ฮีชอลคงกลัวน่าดูถึงไม่กล้าบอกใคร แล้วถ้าวันนี้ไม่มาหาลูก ก็คงแย่” นายใหญ่ถอนหายใจเฮือกเป็นห่วงหลานรักที่หมอกำลังตรวจอาการ

     

                    “เราไม่น่าให้ฮีชอล ~อ่ะ” คำพูดของซีวอนถูกขัดด้วยเสียงโทรศัพท์ของคนป่วยที่ฝากกระเป๋าเอาไว้ หน้าจอขึ้นเป็นเบอร์แปลกที่เจ้าของเครื่องไม่ได้บันทึกชื่อเอาไว้

     

                    “สวัสดีครับ”

     

                    /นี้ฮีชอล ป่านนี้แกอยู่ไหน ทำไมไม่ไปรับลูกฉัน รู้ไหมว่าลูกฉันร้องไห้แล้ว กลับมาแกเจอดีแน่/ เสียงผู้หญิงแหลมสูง จนเด็กหนุ่มต้องยกโทรศัพท์ห่างจากหู

     

                    “คุณจะทำอะไรฮีชอล” ซีวอนถามกลับไปด้วยความไม่พอใจ ทั้งน้ำเสียง ทั้งคำเรียกแบบนี้ ไม่เคยมีใครใช้กับฮีชอล แล้วผู้หญิงคนนี้เป็นใครกัน

     

                    /แกเป็นใคร มารับโทรศัพท์ของหลานฉันได้ไง/

     

                    “แล้วคุณหล่ะเป็นใคร มาใช้ฮีชอลของผมแบบนี้ได้ไง” เด็กหนุ่มถามกลับไป จนคนเป็นพ่อที่นั่งอยู่ข้างๆต้องหันไปมอง พอจะเดาได้ว่าใครโทรมา จึงยื่นมือไปขอโทรศัพท์จากลูกชาย

     

                    /ฉันก็เป็นอาของฮีชอลมันไง แล้วแกเป็นใคร/ เสียงแหลมสูงตอบคำถามของคนลุกโดยไม่รู้ว่าตอนนี้โทรศัพท์ถูกเปลี่ยนมือไปแล้ว

     

                    “ผมก็เป็นประธานชเวกรุ๊ปไงครับ คุณนายคิม วันนี้ผมจะพาฮีชอลกลับบ้าน และจะไม่ให้ฮีชอลไปอยู่กับคุณอีก ถ้ายังไงเก็บของของฮีชอลมาคืนให้ด้วยนะครับ” ชายวัยกลางคนรีบปิดประเด็นไม่อยากให้ทนฟังเสียงแหลมแสบแก้วหูนาน

     

                    /คุณกล้าหรอ นั่นหลานแท้ๆของสามีฉัน ฉันเคยบอกไปแล้วนะ ว่าถ้าคุณมีปัญหา เราจะฟ้องศาลแล้วคุณก็คงรู้นะว่าผลจะเป็นยังไง/

      

                    “ใช่ผมรู้ผลแล้ว เพราะตอนนี้ฮีชอลอยู่ที่โรงพยาบาลกำลังให้หมอตรวจอย่างละเอียด แล้วผมก็คิดว่าผลการตรวจของโรงพยาบาลที่ว่าหลายผมถูกพวกคุณทำร้ายจะทำให้ชนะในศาลได้ หรือถ้ามันไม่พอ ผมว่าเงินที่ผมพอจะมีอยู่บ้างก็น่าจะพอที่จะทำให้ผมได้หลานชายผมคืน” ชายวัยกลางคนท่าทีสบายๆ นิ่งๆ แต่คนที่สนิทด้วยก็รู้ว่าตอนนี้กำลังเอาจริง

     

                    /นี้คุณ คุณ..../

     

                    “อะไรคุณ พรุ่งนี้เอาของฮีชอลมาคืนที่บ้านผมด้วย ถ้าไม่มาคุณได้เจอทนายความของผมพร้อมหมายศาลแน่” ท่านประธานใหญ่กดตัดสายทันที ขี้เกียจฟังเสียงแหสมแสบแก้วหู ก่อนจะหันมายิ้มให้ลูกชายที่กำลังยิ้มแป้นหลังจากนั่งฟังที่พ่อพูดโทรศัพท์ “ว่าไงเรา ยิ้มแป้นเชียว”

     

                    “แน่นอนสิครับ โธ่พ่อ ผมนอนคนเดียวตั้งหลายคืนเหงาจะตาย แถมไม่มีฮีชอลไว้ให้แกล้ง ให้ดูแลอีก มันเหมือนอะไรในชีวิตไปเลยนะครับพ่อ” เด็กหนุ่มยิ้มดีใจในที่สุดก็ได้ฮีชอลคืนมาสักที

     

                    “เรานี้มันติดฮีชอลเกินไปแล้วหรือเปล่าเนี่ย เจ้าลูกชาย” มือหนาของพ่อขยี้ผมลูกชายไปมา พลางหัวเราะ ที่เห็นลูกชายติดพี่ชายเกินหว่าเด็กม.ต้นคนอื่นๆ

     

                    “ก็แหม โตมาด้วยกันนี้ครับ อีกอย่าง ฮีชอลและติดผมมากกว่าอีก ไม่ได้เจอกันไม่กี่วันเป็นโรค siwonsick ต้องมาหาหมอแบบนี้เลย”

     

                    “โรคใหม่หรือไงเรา” พ่อยิ้มตามลูกชาย เป็นรอยยิ้มแรกตั้งแต่ที่ฮีชอลย้ายออกไป ความจริงแล้วไม่ใช่แค่ซีวอนที่ติดเด็กผู้ชายตัวเล็กหน้าตาหน้าน่ารัก แต่เป็นคนทั้งบ้านที่ติดฮีชอล เป็นคนทั้งบ้านที่ต้องมองหาอย่างห่วงใยว่าฮีชอลกำลังทำอะไร

                   

    “ครับ ถูกพบโดยศาตราจารย์ ชเว ซีวอน อ่ะ คุณแม่ออกมาแล้ว” เด็กหนุ่มรีบเดินเข้าไปช่วยคุณแม่คนสวยประคองอีกคนที่เดินสะโหลสะเหลออกมาจากห้องตรวจ

     

                    “ซีวอนพาฮีชอลไปนั่งรอก่อนนะเดี๋ยวแม่ไปเอายาก่อน”

     

                    “ครับแม่” เด็กหนุ่มประคองคนป่วยมาตรงกลางระหว่างตนเองและพ่อที่นั่งหน้าหล่อมองอยู่

     

                    “ไหวไหมลูก นอนหนุนตักลุงก่อนไหม” เสียงอบอุ่นถามหลานชายที่ตาปรือลงๆทุกทีอย่างเอ็นดู ก็หลานชายคนนี้น่ารักน่าถนอมมากกว่าลูกชายตัวถึกๆ

     

                    “ครับคุณลุง” เพียงแค่นั้น จากเด็กม.ปลายก็กลายร่างเป็นเด็กตัวน้อย โน้มตัวหนุนตักคุณลุงใจดี ขาห้อยอยู่ที่พื้น ดวงตากลมปิดลง สบายกับมืออุ่นๆที่ลูบผมไปมา

     

                    “ฮีชอลเอาขาพาดกับตักซีวอนไหม” เด็กหนุ่มถามด้วยความหวังดีกลัวพี่ชายจะเมื่อยขา

     

                    “............”

     

                    “อ้าว! หลับไปแล้ว สงสัยไม่ค่อยได้นอนแน่เลยครับพ่อ” ซีวอนจัดการเอาขาเล็กๆพาดไว้บนตักตนเอง จัดท่าให้นอนสบาย รอคุณแม่ไปจัดการเรื่องยา

     

                    รอไม่นาน คุณแม่คนสวยก็จัดการทุกอย่างเสร็จ เห็นสองพ่อลูกเป็นที่นอนของหลานชายตัวน้อยก็ยิ้มหัวเราะในความเอ็นดู ชี้นิ้วไปที่คนนอนสบาย “หลับไปแล้วหรือคะ”

     

                      “หลับไปแล้ว กลับบ้านได้หรือยัง จะได้พาฮีชอลกลับไปพักที่บ้าน”

     

                    “เสร็จแล้วหล่ะคะ แต่นี้หมอก็บอกว่าให้พักมากๆ นอนพักเสาร์อาทิตย์ก็คงหายพอดี”

     

                    “ป่ะงั้นเรากลับบ้านกันดีกว่าเนอะ ซีวอนเอาพี่เราขึ้นหลังไปแล้วกันนะ คนกำลังสบายไปปลุกเดี๋ยวงอแง” คุณพ่อพยุงหลานชายขึ้น รอให้ลูกชายพร้อมแล้วจึงประคองให้อยู่บนหลังกว้าง

     

                    “ชี้เซาจริงๆหลานชายคุณ” นายใหญหันไปพูดเบาๆกับภรรยาสาวที่เดินจูงมือกันไปอย่างมีความสุข

     

                    “แหม ทำอย่างกับไม่ใช่หลานคุณงั้นแหล่ะ แล้วนี้อาของฮีชอลว่ายังไงคะ ฉันไม่ให้ฮีชอลไปอยุ่กับใครแล้วนะ ฉันเลี้ยงของฉันมาไม่เคยตี ไม่เคยให้ทำอะไรหนักๆ แต่นี้อะไร ตามตัวมีแต่รอยโดนตี ฉันไม่ยอมนะคะ” คุณป้าคนสวยหวงหลานชายผู้น่ารัก ประกาศกร้าว ยังไงๆก็ไม่มีทางยอม

     

                    “อืม เขาจะไม่มายุ่งแล้วหล่ะ แล้วก็พรุ่งนี้จะเอาของฮีชอลมาคืนให้แล้ว ถ้าเขามายุ่งอีก ผมก็คงต้องเอาเรื่องบ้างแล้ว ไม่ปล่อยไปหรอก มาทำหลานผมแบบนี้ได้ไง ยิ่งเจ้าลูกชายคุณก็คงไม่ยอม”

     

                    “นั่นสิคะ นี้พวกพี่ป้าน้าอาที่รออยู่ที่บ้านคงดีใจ ที่รู้คุณหนูฮีชอลกลับมาแล้ว” รอยยิ้มที่หายไปเกือบอาทิตย์ของคนในบ้านกลับมาอีกครั้ง

     

                 แต่มันก็........

     

               “ฮีชอลครับ ตื่นไปอาบน้ำก่อนนะครับ” เด็กหนุ่มปลุกคนป่วยขี้เซาที่ไม่ยอมตื่นไปอาบน้ำตั้งแต่กลับมา จนนี้ก็เกือบสองทุ่มแล้ว

     

                    “อื้อ” เสียงครางในลำคอรำคาญที่ถูกปลุก ก่อนจะมุดหน้าลงกับหมอนนุ่มที่แสนคิดถึง

     

                    “งั้นซีวอนเช็ดตัวให้นะครับ”  คนพูดจัดการรองน้ำอุ่นใส่ชาม ก่อนจะค่อยๆถอดเสื้อผ้าคนป่วยทีละชิ้นๆ ผิวขาวใส ที่เคยสวย มีแต่รอยแผลช้ำ สารพัดจะมี ทั้งโดนตี โดนหยิก แล้วยังมีรอยฟันเล็กๆของเด็ก “นี้คงโดนไอ้เด็กนิสัยไม่ดีแกล้งแน่ๆเลย”

     

                    มือหนาค่อยๆลูบผ้าเนื้อนุ่มไปตามร่างกายบอบบางก่อนจะรีบหาชุดนอนมาใส่ให้กับคนที่ยังหลับไม่รู้เรื่อง ผิดกับอีกคนที่วันนี้คงนอนไม่หลับหัวใจเต้นสั่นระรัว ความรู้สึกแปลกๆที่เกิดขึ้น จนอยากจะทำอะไรสักอย่าง แต่ก็ไม่กล้า

     

                    เด็กหนุ่มล้มตัวลงนอน จะกอดร่างบางที่หลับไปแล้ว แต่ความคิดไม่ดีที่ก่อตัวขึ้นก็ทำให้ต้องรีบปล่อยมือออก นอนลืมตาโพร่งไม่สามรถข่มตาหลับได้....     




                   

               “นี่ ซีวอน แล้วทำไมจากคืนนั้นซีวอนถึงขอคุณลุงแยกห้องกับฮีชอลหล่ะ รู้ไหมแรกๆนะ ฮีชอลนอนไม่หลับเลยอ่ะ” คนที่เคยตัวเล็กยังไงก็ยังตัวเล็กแบบนั้น หันมาถามชายหนุ่มเจ้าของตัก ที่ต่อจากวันนั้นก็แยกห้องนอนกัน

     

                    “ก็ถ้าไม่แยกห้องนอนนะครับ ฮีชอลได้มีสามีตั้งแต่เรียนไม่จบม.ปลายแน่ๆ” ชายหนุ่มพูดแบบไม่รู้สึกกระดากใจตัวเอง แถมยังรัดเอวบางแน่นขึ้น แถมยังเฉยชิมริมฝีปากบางที่ยังเจ่อไม่เลิกเบาอีกครั้งเรียกสีหน้าแดงเรื่อให้เห็น

     

                    “ทะลึ่งแต่เด็กเลยหรอเนี้ย” คนหน้าแดง โวยขึ้นมาอีกรอบ อยากจะตีแขนล่ำๆ แต่ตีไปก็ไร้ประโยชน์ คนทะลึ่งตั้งแต่คงไม่สะท้านกับแรงของฝ่ามือบางๆ

     

                    “อะไรกันครับ ว่าซีวอนได้ไง ฮีชอลแหล่ะ แอบยั่วซีวอน คนอะไรไม่รู้ โดนแก้ผ้าแล้วก็ยังนอนหลับได้ นี้ต้องวางแผนมาแล้วแน่เลยใช่ไหม ทำให้ซีวอนใจแตกตั้งแต่เด็กๆแบบนี้”  คนพูดทำหน้าเจ้าเล่ห์

     

                    “บ้าหรอ ใครจะไปยั่วซีวอนกัน ถ้าจะยั่วมันต้องแบบนี้” เด็กหัดดื้อแสนซน ประกบริมฝีปากเจ่อบวมของตัวเองลงบนริมฝีปากของคนรัก ก่อนจะถอนออกอย่างรวดเร็ว แต่มันก็ไม่ทันเสียแล้ว เมื่อมือหนากดท้ายทอยเล็กให้คนแสนยั่วต้องรับรสจูบแสนเร่าร้อน

     

    .               ....จากจูบไร้เดียงสาของฮีชอลกลายเป็นจูบดุเดือดของซีวอน

     

                    “ใครสอนให้ฮีชอลยั่วแบบนี้กันเนี้ย เด็กไม่ดี ต้องโดนลงโทษ” ชายหนุ่มยืนขึ้นพร้อมๆกับที่อุ้มร่างบางเอาไว้ ก่อนเอาไปวางบนเตียงนุ่ม สายตาหื่นๆจ้องมองคนบนเตียงพร้อมรอยยิ้ม

     

                    “ไม่เอา ฮีชอลขอโทษ ง่า ซีวอน เราจะไปหาคุณลุงคุณป้ากันไง ไม่แกล้งฮีชอลนะ นะๆๆๆ”  คนที่หลังติดเตียงนุ่มอ้อมวอนชายหนุ่ม ดันอกหนาไว้สุดแรง แต่ก็ไม่สะแล้ว เมื่อผู้ปกครองแสนโหดก้มลงหาความหอมหวานจากลำคอขาว....บทลงโทษแสนหวานเริ่มต้นขึ้นตั้งแต่พระอาทิตย์ยังไม่อยู่บนกึ่งกลางท้องฟ้า

     

                    ความทรงจำแสนหวานที่กำลังก่อตัวขึ้น ให้คนทั้งคู่ได้จดจำ และนึกถึง เหมือนกับเรื่องเก่าๆที่ผ่านมาแล้ว มีทั้งดีและไม่ดี แต่ทุกเรื่องเมื่อกลับไปนึกถึงก็จะมีแต่ความรู้สึกดีๆ  แม้มันจะร้ายกาจในตอนนั้น แต่อย่างน้อยก็ได้รู้ว่า....มีหนึ่งคนที่จะเคียงข้างเราไปเสมอ  

     

    E.N.D




                

    Talk

     

                    ตอนนี้มีที่มาจากสองพล็อตของสองคนคะ ขอบคุณนะคะ

                  คือzonk “ตอนหน้าลองย้อนรอยตอนเด็กๆสิว่าซีวอนเลี้ยงฮีชอลยังไง เจอกันยังไง บลาๆ

                  และพี่โอที่ว่า “แล้วก็อยากเห็นคนหัดดื้อพยศบ้างอยากจะรู้ว่าคุณชายจะมีวิธีปราบพยศคนหัดดื้ออย่างไร                                      

                    จบแล้วคะ โฮกกกกกกกก กว่าจะจบได้ เล่นเอาเหนื่อยทั้งคนปั่นและคนอ่าน ตอนจบมันดูแสนอึน ยังไงพิกล อย่างว่าหล่ะคะ ปั่นตอนพระอาทิตย์ยังอยู่ อากาศมันร้อน (เกี่ยวไหมนี้)

                  ตอนหน้าฮีชอลของซีวอน จะได้ดูแลคุณชายบ้างแล้ว แต่จะออกมาเป็นยังไงนั่นก็ต้องรอไปก่อนนะคะ ส่วนไอซ์ก็ขอไปปั่น อาณาจักรน้ำแข็งก่อน(รู้สึกชื่อไม่มงคลเท่าไหร่เลย รักแช่แข็ง เรื่องเลยถูกแช่แข็งซะ)  

                 ไอซ์ฝากด้วยนะคะ 美花 เป็นจีนโบราณคะ อ่านว่า เหมยฮวา แปลว่าดอกไม้ที่สวยงามคะ  

       ขอบคุณทุกคอมเม้มท์นะคะ
                       

    Dr.
    Fu        


                

             

                 

                  




    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×