คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #15 : 美花 : 第十三花 150%
Talk
เอาส่วนที่ไอซ์ตัดออกช่วงคอมพังมาใส่เพิ่มนะคะ โดยจะเปลี่ยนเป็นสีส้มเอาไว้คะ
ความจริงก็ไม่มีอะไรมากเป็นแค่ ท่านอ๋องพยายามหวานใส่เด็กน้อยเท่านั้นคะ แต่ไอซ์ว่ามันก็ทำให้เห็นได้ว่าท่านดูไม่เป็นตัวเองเท่าไหร่ยามอยู่กับหลงเออร์ ก็เลยเอามาลงไว้คะ
* ~ * ~ * ~ * ~ *~ * ~* ~ * ~ * ~ * ~ * ~ * ~ * ~ * ~ *
第十三花
อาทิตย์ ส่องแสงยามสายแยงตาต้นห้องประจำองค์ฮ่องเต้จนไม่อาจหลบหนีได้ จำต้องเปิดเปลือกตาขึ้นมองแท่นบรรทมที่ตนนอนอยู่ แต่ไร้ผู้เป็นเจ้าของ ที่คงออกทรงงานแต่เช้าไม่รั้งรอต้นห้องจอมขี้เกียจ
"ข้าตื่นไม่ทันท่านอีกแล้วหรือนี้ แล้วเย็นนี้เราจะได้เจอกันหรือไม่นะ" ใบหน้าสวยหวานราวอิสตรีขมวดคิ้วเรียวเข้าหากันอย่างนึกสงสัยและน้อยใจ ก่อนที่ความโศกเศร้านี้จะถูกแทนที่ด้วยความตกใจ “สายนี้ข้ามีนัดกับเสี่ยงหลง ลีทึก ท่านลีทึก ท่านอยู่ไหน”
“ดีจริงวันนี้ท่านอ๋องตื่นเองได้” ขันทีประจำราชฐานส่วนพระองค์เดินเข้ามาพร้อมคำพูดเหน็บแหนมอ๋องน้อยผู้นิยมตื่นสายเป็นนิจ “ท่านส่งเสียงเรียกข้าทำไมกัน”
“ตั้งสำหรับเร็ว แล้วก็ให้คนไปเตรียมน้ำอาบให้ข้าที ข้าล้างหน้าแล้วจะได้ไปกินข้าวแล้วค่อยอาบน้ำ เสียเวลาไม่มากนัก” อ๋องน้อยสั่งเป็นการเป็นงานยิ่งกว่าครั้งใด ยิ่งนึกถึงใบหน้าอ่อนวัยของหนุ่มน้อยเสี่ยวหลงก็ยิ่งไม่อยากให้รอนาน
“ท่านเป็นเพียงต้นห้องเหตุใดต้องมีคนมาตั้งน้ำให้อาบกัน” ใบหน้าขาวที่เต็มไปด้วยรอยประทับของรอยวิหคบาทาไม่พอใจที่ต้นห้องกิตติมศักดิ์ถืออภิสิทธ์สั่งผู้อื่นให้ทำงาน
“นะท่านลีทึก ข้าจำเป็นจริงๆ ข้าต้องรีบไปรับรองแขกของฮ่องเต้ แล้วนี้ก็ช้ามากแล้วท่านจะไม่ช่วยข้าหรือ” เพราะอ๋องสาวใสวัยกำดัดมามาก อ้อนขันทีเหี่ยวจึงไม่ใช่การยากเลยสำหรับท่านอ๋องฮีชอล
“จริงหรือ”
“จริงๆ นะท่านลีทึกผู้มีใบหน้าอ่อนเยาว์แสนเต่งตึง ช่วยข้าเถอะนะ” ดวงตากลมเป็นประกายใส ช่วยส่งเสริมให้ทุกคำพูดดูน่าหนักแน่นน่าเชื่อถือ แม้มันจะขัดกับคำพูดที่เคยพูดมาตลอด
แล้วแบบนี้มีหรือที่ท่านขันทีทึกจะรอดพ้น.....ไม่เสียหล่ะ
“ก็ได้ ข้าจะไปบอกให้คนเตรียมทั้งน้ำและสำหรับให้ท่าน ส่วนท่านก็ไปล้างหน้าเสียก่อนที่ท่านต้องรับรองจะได้ไม่รอนาน” ความใจอ่อนของขันทีลีทึกมีที่มาจากคำพูดเพียงคำเดียวเท่านั้น
.....ท่านลีทึกผู้มีใบหน้าอ่อนเยาว์แสนเต่งตึง...
“ขอบคุณท่านมากเหลือเกิน ท่านขันทีแสนเต่งตึงหารอยย่นไม่มี” อ๋องน้อยตะโกนไล่หลังขันทีที่เดินออกจากห้องไป ก่อนที่ในห้องบรรทมฮ่องเต้จะเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะเจ้าเล่ห์
* ~ * ~ * ~ * ~ *~ * ~* ~ * ~ * ~ * ~ * ~ * ~ * ~ * ~ *
"เสี่ยวหลงๆ" เสียงเอะอะโวยวายของอ๋องน้อยแห่งตำหนักทู่หลงพาให้คนส่ายหน้าหนี นางกำนัลที่ถูกส่งตัวมายังเรือนรับรององค์หญิงจากชิงเต่าต้องกระหืดกระหอบ ออกมาต้อนรับ
"ท่านอ๋อง ต้องการพบผู้ใดหรือเจ้าคะ" เพราะเป็นนางกำนัลชั้นปลายแถวจึงต้องนบน้อมต่อผู้คนไปทั่วไม่เว้นแม้แต่ท่าน อ๋องน้อยผู้มีชื่อเลื่องลือเรื่องความเจ้าชู้ที่แปรสภาพเป็นต้นห้องของฮ่องเต้
"เรามาหาเสี่ยวหลง เจ้าไปบอกเขาว่ามารับตามที่สัญญาแล้ว" อ๋องน้อยเลียนสำเนียงอันอ่อนโยนของฮ่องเต้หนุ่ม อีกทั้งยังส่งรอยยิ้มหวานละลายใจให้แก่สาวน้อยที่หากไม่มีเสี่ยงหลงรออยู่ อ๋องผู้นี้คงไม่ละเลยโอกาสที่จะโปรยเสน่ห์ใส่
"เจ้าคะ" นางรับคำปล่อยทิ้งให้ท่านอ๋องรอ ไม่นานเด็กหนุ่มวัยใสก็เดินเข้ามาในโถงกว้างพร้อมรอยยิ้มประทับใจผู้พบเห็น
"ท่านอ๋อง ข้าน้อยปล่อยให้ท่านรอนาน ข้าน้อยต้องขออภัยเป็นอย่างยิ่งด้วย" เด็กหนุ่มผู้มีใบหน้าอ่อนเยาว์โค้งกายคำนับผู้สูงศักดิ์กว่าอย่างนอบน้อม
"เจ้านี่ ทำตัวเคร่งเครียดราวกับขันทีเหี่ยวไปได้" ใบหน้างดงามเผลอบึ้งตึ้งยามนึกขันทีเหี่ยวที่อยู่ประจำในตำหนักส่วนพระองค์ ฮ่องเต้
"ใครกันหรือท่านอ๋อง ขันทีเหี่ยว"
"เจ้าอย่ารู้เลย แล้วก็เลิกเรียกเราว่าท่านอ๋องดีกว่า ดูห่างไกลเกินไป เรียกเราว่า..." อ๋องน้อยนิ่งคิดอยู่นานว่าควรให้เรียกว่าเช่นไร แต่แล้วเสียงนุ้มที่อยู่ในความทรงจำของบุรุษผู้หนึ่งก็ทำให้ใบหน้าหวานยิ้ม พราว "เรียกเราว่า พี่ฮีชอล"
"แต่ท่านอ๋อง~"
"ทำไม เจ้าไม่อยากได้เราเป็นพี่หรือ?" รอยยิ้มและแววตาของท่านอ๋องฮีชอลช่างลึกล้ำและอ่อนหวานจงใจให้ผู้มองต้องเขินอาย
"เปล่าขอรับ.....พี่ฮีชอล" ใบหน้าขาวใสถูกขับด้วยความอายต่อสายตาทอประกายของฮีชอลจนแดงกล่ำ เสี่ยวหลงก้มหน้ามิกล้าสบสายตาคู่หวานที่มองแล้วอดวาบวามไม่ได้
"ฮึๆๆ" เสียงหัวเราะในลำคอขาวด้วยฮีชอลรู้ดีว่าสายตาของตนมีผลเช่นไรต่อเด็กหนุ่มผู้น่ารักตรงหน้า "งั้นเราก็ไปเที่ยวเล่นกันดีกว่า พี่จะพาเจ้าไปดูฉ่อยที่หนึ่งดีไหม น้องน้อ...." เสียงหวานชะงักลงพร้อมใบหน้าเชิดรั้นอย่างเด็กหวงของ "พี่เรียกเจ้าว่า หลงเอ๋อร์ได้หรือไม่"
"ขอรับ"
ฮีชอลไม่สนใจว่าเสี่ยงหลงจะตอบรับว่าเช่นใด ด้วยยังวนเวียนอยู่กับความคิดที่ทำให้ชะงักคำพูด แม้วันนี้อ๋องร่างบางจะเลียนแบบคำพูดที่แสนสุภาพและอ่อนโยนจากฮ่องเต้มามากมาย แต่สิ่งที่หนึ่งที่หวงแหนและคิดอยากให้เป็นคำพิเศษเพื่อให้ชายผู้นั้นใช้ เรียกขาน...น้องน้อย
ท่านจะรู้บ้างไหมว่าทำสิ่งใดต่อใจข้าบ้าง...แค่คำเดียว แต่ข้ากลับหวงมันมากขนาดนี้....
"พี่...เอ่อ พี่ฮีชอล" เสียงแผ่วเบาพร้อมมือที่โบกพัดไปมาเรียกสติของฮีชอลให้กลับคืนมา "ท่าน เอ้ย! พี่ฮีชอลไม่สบายหรือขอรับ หน้าแดงราวกับมีไข้"
"เปล่าหรอก หน้าพี่ก็เป็นเช่นนี้เสมอ เจ้าอย่ากังวลไปเลย เราไปกันเถอะ" มือบางยกจับใบหน้าเรียวของตนเอง แม้บอกออกไปเช่นนั้น แต่กลับนึกแปลกใจตนเอง
...ข้าเป็นเอามากขนาดนี้เชียวหรือ...หลงเอ๋อร์ คงต้องใช้เจ้าเพื่อทำให้ข้ากลับเป็นคนเดิม
มือบางคว้าจับมือเล็กมากระชับมั่นแน่นไว้ในมือพาเด็กน้อยออกเดินจากเรือน รับรองไม่สนใจสายตาอยากรู้อยากเห็นของเหล่านางกำนัลและทหารที่ยืนประจำการ
* ~ * ~ * ~ * ~ *~ * ~* ~ * ~ * ~ * ~ * ~ * ~ * ~ * ~ *
อ๋องน้อยฮีชอลพาหลงเออร์หรือเสี่ยวหลงเดินไปตามคอกม้าหลวงที่ซีวอนที่หนึ่งสัตว์อันแสนพิสดารและมีคุณค่าทางจิตใจอาศัยอยู่
“วันนี้พี่จะพาหลงเออร์นั่งซีวอนที่หนึ่งไปชมทุ่งกว้างหลังวังหลวง” อ๋องน้อยร่างโปร่งบอกเล่าแผนที่คิดไว้จนหลุดเรียกชื่ออันไม่สมควร
“เมื่อสักครูพี่ฮีชอลเรียกว่าอะไรหรือขอรับ” ใบน้าเล็กขมวดมุ่นสงสัยในสิ่งที่ได้ยิน
“ก็...เรียกว่าฉ่อยที่หนึ่งเจ้าได้ยินเป็นอย่างอื่นงั้นหรือ” แม้เสียงที่ถามจะเป็นปรกติใบหน้าหวานจะปราศจากพิรุธให้สงสัย แต่เหงื่อเม็ดเล็กต่างแย่งกันขึ้นบนหน้าผากมน
“ข้าน้อยคงหูแว่วไปเอง แล้วเจ้าฉ่อยที่หนึ่งอยู่อีกไกลหรือไม่ขอรับ” เสี่ยวหลงตอบกลับไปอย่างใสซื่อ เพราะไม่คาดคิดว่าในแผ่นดินนี้จะมีผู้ใดกล้าเอาชื่อโอรสสวรรค์ผู้แสนสูงส่งมาตั้งชื่อสัตว์เลี้ยงชั้นต่ำ
“ไม่หรอ เจ้าตัวประหลาดนั่นอย่างไรหล่ะ” นิ้วเรียวชี้ไปยังเจ้สัตว์รูปร่าหน้าตาประหลาด ขนตายาวฟันยื่น หลังโหนกนูนไม่เรียบตรงแสนสง่าเหมือนม้าทั่วไป
“นี้หรือฉ่อยที่หนึ่งของท่าน เอ้ย พี่ฮีชอล” เสี่ยวหลงรีบเปลี่ยนสรรพนามทันทีที่ได้รับรังสีน่ากลัวจากดวงตากลม “มันช่างหน้าตาประหลาด เหมือนม้าพิการเสียจริง”
“มันไม่ใช่ม้าพิการหรอก แต่เป็นอูฐ เห็นทูตจากอาหรับที่นำมาถวายฮ่องเต้กล่าวไว้ว่า มันเป็นพาหนะในทะเลทรายและเพราะแบบนั้นมันจึงต้องปรับตัวให้เข้ากับที่อยู่”
“แล้วข้าจะได้ขี่มันไหม” เสี่ยวหลงมองหน้าเจ้าของสัตว์ประหลาดอย่างคาดหวัง
“ได้สิ แต่ยังไม่ใช่ตอนนี้ เจ้าต้องให้มันได้กินอิ่ม เล่นกับมันให้คุ้นเคยเสียก่อน” ร่างเพรียวเปิดประตูคอกใหญ่ พาเด็กน้อยเข้าใกล้เจ้าอูฐตัวใหญ่
มือบางลูบหน้ายื่นยาวอย่างคุ้นเคย อีกมือก็ป้อนหญ้าเข้าปากที่มีฟันเหยิน รอยยิ้มอ่อนโยนมีให้สัตว์เลี้ยงมากวีรกรรม กระซิบเสียงเบา ข้างใบหูใหญ่ “อูฐโง่ วันนี้แกห้ามดื้อนะ”
หัวใหญ่พยักหน้าขึ้นลงเหมือนรับรู้ ทำให้เจ้าของแสนตื้นตันที่มีสัตว์เลี้ยงแสนฉลาด สมกับเป็นสัตว์ในวังหลวง
“มันดุไหมขอรับ”
“ไม่หรอก เชื่องจะตาย ลองลูบหัวมันสิ” อ๋องน้อยถือโอกาสจับมือเล็กขึ้นลูบหัวขนาดใหญ่ของอูฐ โดยมีมือของตนเกาะกุมอยู่ สายตาที่ทอดมองเสี่ยวหลงทอประกายวิบวับ
เสี่ยวหลงก้มหน้าเขินอายไม่กล้าสบสายตาชายหนุ่มร่างโปร่ง ใบหน้าอ่อนเยาว์แดงซ่านเบนความสนใจไปที่ตาโปนและขนตายาวของเจ้าอูฐตรงหน้า “น่ารักดีจังเจ้าฉ่อยที่หนึ่ง”
อูฐตัวใหญ่ที่มีนามว่าซีวอนที่หนึ่ง แต่กลับถูกเรียกว่าฉ่อยที่หนึ่งนิ่งชะงัก หยุดเคี้ยวหญ้าที่มีคนพยายามยัดเหยียดเข้าสู่ปาก มองใบหน้าแปลกประหลาดอย่างโกรธขึ้ง พ่นลมร้อนและน้ำลายใส่เด็กน้อย
“เจ้าออกไปข้างนอกก่อน เห็นทีพี่คงต้องสั่งสอนเจ้าอูฐนิสัยเสียตัวนี้เสียแล้ว” ฮีชอลมอเด็กน้อยจนลับสายตาก่อนหันมาเล่นงานเจ้าอูฐดื้อตัวนี้
“ไอ้อูฐโง่ ทำแบบนั้นได้ไง ไอ้เจ้าของ เอ้ย!ให้อูญคนให้ไม่สั่งสอน”นิ้วเรียวจิ้มลงบนหน้าใหญ่ ปากอิ่มพร่ำด่าไปถึงผู้ที่ทรงปรานอูฐโง่ตัวนี้ลงมาให้ “ไอ้อูฐหัวเน่า”
“พรืดดด”
“อี้ แกพ่นลมใส่ข้าอีกแล้ว ไอ้อูฐไม่รักดี เดี๋ยวก็ให้ขันทีเหี่ยวอบรมซะเลย นิสัยจะได้ดีขึ้น” ปากสวยเจื้อยแจ้วบ่นอูฐตัวใหญ่ มือบางก็ผลักหน้าซ้ายทีขวาทีเป็นการสั่งสอน
“พรืดดดดดดดดดดดดดดดดดดด แฟร่ะ” เมื่อทนการสั่งสอนไม่ไหว เจ้าซีวอนที่หนึ่งจึงต่อสู้ด้วยการพ่นลมเหม็นและใช้ลิ้นหนาตวัดใบหน้าหวานจนเปียกเยิ้มด้วยน้ำลายเหนียวๆ ก่อนหันหางเมินเฉยเจ้านายตัวบาง
“ไอ้ซีวอนที่หนึ่ง” เสียงเรียกก้องพร้อมเตะเข้าทีที่ขาหลังอย่างออมแรง พูดต่อด้วยความโกรธ “ไอ้
งี่เง่า วันนี้ข้าตั้งใจจะพาไปวิ่งเล่น แกไม่ต้องไปแล้ว ซีวอนที่สองโตเมื่อไหร่ข้าจะขี่มันแทน ส่วนแกก็อยู่แต่ในคอกไปแล้วกัน”
คำขู่แสนน่ากลัว จนเจ้าอูฐตัวใหญ่ต้องหันมาง้องอนเจ้านาย ด้วยการวางหัวใหญ่ลงบนลาดไหล่เล็กเคลียแก้มใสไปมาอย่างออดอ้อน
มือบางผลักหัวใหญ่ออกจากบ่า เผยรอยยิ้มเป็นต่อ “แกไม่ต้องประจบเลย ถ้าอยากไปก็ต้องทำตัวดีๆ ห้ามงี่เง่า”
เจ้าอูฐตัวใหญ่รู้คำ เชื่อฟังเจ้านาย ย่อเข่าทรุดตัวลงกับพื้น นั่งนิ่งเตรียมพร้อมให้คนขึ้นหลัง จนได้รับคำชมและลูบหัวเป็นรางวัล
ฮีชอลหาน้ำแถวนั้นหลังหน้าเป็นที่เรียกร้อยพร้อมกับที่เสี่ยวหลงเดินกลับเข้ามาในคอกอีกครั้ง ภาพที่เห็นจึงชวนให้อดทึ่งไม่ได้ เจ้าสัตว์ตัวใหญ่หมอบอยู่ข้างกายร่างเพรียว ส่งผลท่านอ๋องผู้นี้ในใจเด็กหนุ่ม ช่างสง่างามและน่าเคารพยิ่งนัก
“เจ้าปีนขึ้นไปนั่งบนหลังของมันซิ” มือบางส่งให้เด็กหนุ่มคอยจับเป็นหลักยามปีนขึ้นไป คอยช่วยประคองให้ทรงตัวอยู่ดังที่บุรุษกระทำต่อผู้ที่อ่อนแอกว่าและสมควรได้รับการปกป้อง
“แล้วพี่ฮีชอลจะไม่ขึ้นมากับข้าหรือ” หน้าอ่อนเยาว์ของเสี่ยวหลงที่มักถูกท่านอ๋องแกล้งให้แดงซ่านกลายเป็นซีดเซียว ด้วยความไม่ไว้ใจเจ้าสัตว์ตัวนี้
“ขึ้นสิ พี่ไม่ปล่อยให้หลงเออร์ของพี่ขึ้นขี่มันเพียงลำพังหรอก” ไม่ขาดคำร่างเพรียวบางก็ปีนขึ้นหลังเจ้าอูฐ สองมือเอื้อมคว้าสายบังคับ มีร่างของเด็กหนุ่มอยู่ในอ้อมแขน “เจ้าอย่าเกร็งสิปล่อยตัวตามสบาย พี่ไม่ทำเจ้าหล่นหรอก
อ๋องฮีชอลพาเด็กน้อยขึ้นขี่หลังอูฐ กระตุ้นให้ซีวอนที่1ออกเดิน มีร่างของเสี่ยงหลงอยู่ในอ้อมแขน คอยโอบประคองแนบชิดจนได้กลิ่นหอมสดชื่นความรู้สึกเก่าที่เคยหายไปนานจนเกือบ ลืมเลือนกลับมาอีกครั้ง...ช่างรู้สึกดีจนแสนมีความสุข
"สวยจังขอรับ" เด็กน้อยตื่นตากับทุ่งโล่งกว้างท้ายวังที่มีสระน้ำใส ต้นไม้ใหญ่และดอกไม้งามตามธรรมชาติ "เรานั่งเล่นที่นี้ได้ไหมขอรับ"
"ได้สิ ปล่อยให้อูฐโง่ได้วิ่งเล่นบ้างก็คงดี" อ๋องน้อยกระโดดลงจากหลังสัตว์สี่เท้า ประคองคนที่ตัวเล็กกว่าให้ลงมายื่นบนพื้นหญ้า
เด็กน้อยตื่นตาตื่นใจกับทุ่งกว้างวิ่งเล่นไปมาตามประสา เด็กวัยร่าเริงที่ไม่ต้องแบกรับความรู้สึกซับซ้อนของผู้ใหญ่ ปล่อยให้อ๋องน้อยนั่งจ้องมองอย่างเอ็นดูใต้ร่มไม้ใหญ่
...พี่จะใช้ความรู้สึกของเข้า เพื่อกลบเกลื่อนเสียงในใจได้หรือไม่หลงเอ๋อร์
"ว่าไงเหนื่อยแล้วหรือ" ดวงหน้าสวยจ้องมองใบหน้าแดงปลั่งของเด็กหนุ่มที่เล่นจนเหนื่อยอ่อน
"ขอรับ ที่นี้ลมเย็นจัง" เสี่ยวหลงนั่งลงข้างร่างเพรียว ทอดร่างยาวเหยียดหลับตาลงผ่อนคลายความเหนื่อยล้าจากการวิ่งเล่น
"อากาศโปร่งดีกว่าใน....อ้าว!หลับไปแล้วหรือ" ใบหน้าหวานส่ายไปมาอมยิ้มเอ็นดูกับเด็กน้อย
ดวงตากลมทอดมองทุ่งหญ้ากว้างเบื้องหน้าที่ได้รับการดูแลเป็นอย่างดี เสียงธารใสน้ำไหลทำให้จิตใจสงบสุข ลมเย็นพัดพาความเย็นของสายน้ำขับไล่อากาศร้อนให้หายไป
"ท่านจะเคยเห็นความงามของบ้านตัวเองบ้างไหมนะ หรือว่ายุ่งแต่กับงานจนไม่มีเวลาสนใจสิ่งรอบตัว" ริมฝีปากบางพึมพำถึงชายหนุ่มสูงศักดิ์ ผู้ที่หัวใจเผลอไปนึกถึงโดยไม่รู้ตัว "หากมีโอกาสได้มากับท่านสักครั้งก็คงดี"
หัวใจดวงเล็กของอ๋องน้อยเจ้าสำราญผู้ไม่เคยจริงจังกับใคร ไม่เคยให้ความสำคัญกับใคร ไม่ว่าจะเป็นหญิงงาม หรือหนุ่มน้อยหน้าหวาน แต่เวลานี้กลับกำลังนึกน้อยใจต่อสิ่งต่างๆ
น้อยใจ เวลาที่หมุนผ่านไปอย่างรวดเร็ว...ทั้งที่ตอนแรกก็ไม่เคยต้องการเวลาสามเดือนนี้เลย
น้อยใจ ตัวเองที่สับสนแบบนี้...ทั้งที่เมื่อก่อนก็ไม่เคยเป็น
น้อยใจ ฮ่องเต้ผู้สูงศักดิ์ที่กล้าละเลย...ทั้งที่ปากก็ว่ารักน้องน้อยเสียเหลือเกิน
"ท่านฮีชอล" เสียงเรียกชื่อดังลั่นทำให้เจ้าของชื่อที่ปล่อยใจไปไกลสะดุ้งตัวโยน เรียกสติกลับมาจ้องหน้าคนถามที่กำลังมองอยู่อย่างสงสัย ด้วยดวงตาโตไม่ต่างกัน
"เจ้าเรียกพี่ทำไม"
"เปล่าขอรับ แต่ข้าเรียกท่านหลายหนท่านก็ไม่ได้ยิน ดวงตาก็ยังแดงกล่ำ เหมือนกำลังจะร้องไห้ ข้าเลยสงสัย" ใบหน้าอ่อนเยาว์จ้องมองอย่างเป็นห่วง
"ร้องไห้หรือ" นิ้วเรียวเกลี่ยขอบตาจนรู้สึกได้ถึงความชื้นแฉะของขนตายาว หยดน้ำเล็กๆเกาะติดนิ้วเรียว แต่เจ้าของก็รีบสลัดมันทิ้งไป "เปล่าหรอก คงเป็นฝุ่นเข้าตา ที่นี่ลมแรง นี้ก็ใกล้ค่ำแล้ว เรากลับกันดีกว่าไหม"
"ขอรับ" เสี่ยงหลงรับคำอย่างว่าง่าย เดินกลับไปขึ้นหลังอูฐให้อ๋องน้อยพากลับเรือนรับรอง
* ~ * ~ * ~ * ~ *~ * ~* ~ * ~ * ~ * ~ * ~ * ~ * ~ * ~ *
อ๋องน้อยฮีชอลเดินยิ้มกว้างอย่างยินดี เกาะกุมมือน้อยไปตามทางเดินในสวนสวยที่ป่านนี้คงมีใครจัดเตรียมโต๊ะอาหาร สำหรับ4ที่นั่งเอาไว้แล้ว
เมื่อตอนเย็นหลังจากพาเจ้าซีวอนที่1ไปเก็บแล้ว ลีทึกก็ส่งคนให้มาบอกว่าฮ่องเต้และท่านหญิงย่าหนานได้ให้คนจัดโต๊ะมื้อค่ำ ไว้แล้วที่ในสวน
อ๋องน้อยที่เคยคิดน้อยใจชายสูงศักดิ์ที่ละเลยไม่ให้ความสนใจเหมือนก่อน กลับมายิ้มร่าดีใจที่วันนี้จะได้ร่วมโต๊ะด้วยกันอีกครั้ง หลังจากที่ไม่ได้พูดคุยกันเลยแม้จะนอนห้องเดียวกัน เพราะกว่าที่ฮ่องเต้จะเสด็จกลับ คนรอก็หลับไปแล้ว และกว่าที่ฮีชอลจะตื่น ฮ่องเต้หนุ่มก็ออกทรงงานเรียบร้อย
"เอ๊ะ นี้เจ้าฉ่อยที่2 ใช่ไหมเพคะฮ่องเต้" เสียงหวานแว่วเอ่ยทักสัตว์สี่ขาที่คงแอบเข้ามาวิ่งเล่นทำให้ร่างบางที่เดิน อยู่หยุดชะงัก พาให้คนที่เดินเข้ามาด้วยมองอย่างสงสัย
"เราอย่าพึ่งเข้าไปเลย พี่ว่าเขาคงยังจัดสำหรับไม่เสร็จ นั่งเล่นแถวนี้ก่อนจะดีกว่านะ" ฮีชอลกระซิบริมหูเล็ก รู้ดีว่าเข้าไปตอนนี้คงมีสายเนตรดุจ้องมาอย่างขอคำอธิบาย
"เมื่อกี้เจ้าว่าอะไรหน่ะ พี่ได้ยินไม่ถนัด" น้ำเสียงนุ่มแฝงด้วยความอารีดังที่เคยได้ยินอยู่ทุกครั้ง ไม่ทำให้ร่างบางที่หลบอยู่หลังพุ่มไม้ใหญ่สะดุดได้เท่ากับคำแทนองค์เองของ ฮ่องเต้
พี่...คำนี้ไม่ใช่คำพิเศษเพื่อข้าหรอกหรือ...
ร่างบางหลงติดอยู่ในความน้อยใจ สับสนอยู่ในความคิด จนลืมไปสิ้นว่าตอนนี้มิได้อยู่เพียงลำพัง แต่มีใครอีกคนที่กำลังให้ความสนใจอยู่ด้วย
"พี่ฮีชอล ท่านเป็นอะไรหรือเปล่า" ดวงตาใสจ้องมองอย่างเป็นห่วง
ใบหน้าหวานส่ายไปมาอย่างช้าๆ มองเห็นความจริงบนใบหน้าอ่อนเยาว์ เตือนตัวเองให้รู้ว่าร่างเล็กที่อยู่ตรงหน้า คือคนที่อยากพาเดินไปด้วยกัน แต่..."หลงเอ๋อร์พี่ลืมผ้าเช็ดหน้าไว้ที่ตำหนัก เจ้ากลับไปเอามาให้หน่อยได้ไหม"
"ขอรับ"
ดวงตากลมมองแผ่นหลังเล็กที่วิ่งไป ได้แต่สงสัยในตนเองกับความรู้สึกแปลกประหลาดที่ไม่เคยคุ้นและไม่อาจหาคำอธิบายได้
เสียงหัวเราะใสขององค์หญิง คงเพราะได้คำตอบชวนขบขันจากฮ่องเต้ ชวนให้คนฟังมีความสุขไปด้วย แต่ใจของคนฟังกลับไม่เป็นเช่นนั้นเลย
"ย่าหนานเรื่องที่เราพูดกันวันนี้ ถ้าพี่อยากจะเลื่อนมันออกไป เจ้าจะขัดข้องหรือไม่" เสียงทุ้มแผ่วเบาที่ร่างบางได้ยินชัดเจน ชวนให้นึกถึงดวงเนตรผู้พูดได้อย่างแม่นยำว่าอ่อนโยนเพียงใด ยามใช้น้ำเสียงนี้
"เรื่องงานแต่งของเรา" เสียงหวานใสของหญิงสาวไม่ผ่านโสตการได้ยินของอ๋องน้อย มีเพียงเสียงทุ้มที่ฟังชัดเจน และเรื่องที่ได้รู้ก็ทำให้ดวงตากลมโตเบิกกว้าง หัวใจดวงน้อยเต้นระรัวจนต้องยกมือบางขึ้นทาบหน้าอกซึกซ้าย
นี้สินะ เรื่องสำคัญที่ทำให้ข้าหมดความหมาย
"พี่อยากเลื่อนออกไปก่อน หากมันกระชั้นชิดมากนัก หลายอย่างคงไม่พร้อม"
"อะไรหรือเพคะที่ไม่พร้อม"
นั่นซิ อะไรกันที่ไม่พร้อม... คำถามที่ฮีชอลก็อยากรู้ ที่แห่งนี้ มีอะไรไม่พร้อมสำหรับต้อนรับคนเข้ามาอยู่เพิ่ม หรือว่า...ข้า
คงไม่อยากให้มีข้าอยู่ขวางหู ขวางตา
คงไม่ทันที่จะย้ายข้าออกจากตำหนักฮ่องเต้
คงไม่ดี หากข้ายังอยู่เป็นต้นห้อง
ฟันขาวขบกัดริมฝีปากอิ่มของตนเองจนห้อเลือด สะกดความรู้สึกที่ไม่เคยคิดว่ามีอยู่ให้หายไป ห้ามน้ำตาเม็ดเล็กที่ไหลลงมา แต่สุดท้ายก็ต้องยอมแพ้ปล่อยให้มันไหลลงมาอย่างไม่คิดห้ามปรามได้
"ใจของเราสองคอย่างไรเล่า ตอนนี้ในใจเจ้าคงมีใครอยู่ พี่เองก็มีคนที่รักมาเช่นกัน มันคงไม่ดีหากเราจะแต่งงานกันทั้งที่เป็นเช่นนี้" ผู้รับฟังนิ่งเงียบ ฮีชอลรู้ดีว่าตนคือคนที่อยู่ในใจฮ่องเต้หนุ่ม ใบหน้าหวานเผลอยิ้มออกมาทั้งที่ในใจยังเจ็บ แต่อย่างน้อยก็ได้รู้ว่า คำรักไม่ใช่คำลวง
"หากหม่อมฉันมีพระองค์อยู่ในใจ เวลาคงไม่ใช่สิ่งจำเป็นใช่ไหมเพค่ะ" เสียงหวานซึ้งจนไม่อาจจับความรู้สึกได้ ถูกถ่ายทอดออกมาโดยไม่รู้เลยว่าทำให้ผู้ใดเจ็บช้ำ
"นัยน์ตาตาเจ้าไม่ได้บอกพี่เช่นนั้น และพี่เองก็ยังไม่พร้อม พี่สัญญาว่าจะใช้เวลาไม่นาน เพื่อลืมคนคนนั้น ทางฝ่ายเจ้าคงไม่ขัดข้อง"
น้ำตาเม็ดเล็กกลายเป็นหยดน้ำเม็ดใหญ่ ไหลเปรอะเปื้อนแก้มนวล ร่างบางไม่อาจนิ่งฟังอยู่ได้ เมื่อรู้ว่าสักวันจะไร้ความหมายในใจของชายหนุ่ม
ฮีชอลวิ่งไปตามทางเดินที่มืดสนิท มีเพียงแสงไฟจากดวงดาวนำทาง สายตาพร่าเลือนด้วยน้ำใส จนเกือบชนคนที่เดินสวนทางมา
"พี่ฮีชอลจะไปไหนหรือขอรับ"
"เสี่ยวหลง! ข้าจะกลับไปพัก เจ้าเข้าไปทูลฮ่องเต้และองค์หญิงว่าข้าไม่หิว ขอกลับก่อน" ร่างบางนึกขอบคุณความมืดที่ช่วยบดบังหยดน้ำไม่ให้ใครได้เห็น
เวลานี้ฮีชอลหาคำตอบให้ตัวเองได้แล้ว ว่าสิบเด็กหนุ่ม หรือ ร้อยสาวงามก็ไม่อาจเทียบได้กับ หนึ่งชายผู้นั้น แต่จะมีประโยชน์อะไร เมื่อกำลังจะสูญเสียหนึ่งชายผู้นั้นไป น่าแปลกเพียงคำว่า "ลืม" จากโอษฐ์หนาก็ทำให้ความรู้สึกที่เคยคลุมเครือ กลายเป็นชัดเจน....ทุกอย่างคงสายเกินไป
ความเสียใจที่ถาโถมเข้ามาบีบเค้นจนแยกไม่ออกว่ากำลังเจ็บปวดกับเรื่องใดมากกว่ากัน ระหว่าง
รับรู้ว่าตลอดมาคือหลอกลวงตนเอง ทั้งที่ก็ต้องการเป็นผู้ถูกรัก และมอบใจให้ไปหมดแล้ว
หรือ กำลังจะกลายเป็นผู้ที่ถูกลืม
ร่างบอบบางวิ่งกลับมายังตำหนักที่มืดมิดไร้ผู้คน แม้แต่ขันทีประจำตำหนักยังหายไป แค่มันก็ควรแล้ว พวกเขาเหล่านั้นควรไปเฝ้าและปรนนิบัติฮ่องเต้ และว่าที่ฮ่องเฮา ดีกว่ามาเสียเวลาดูแลอ๋องน้อยปลายแถวงี่เง่า ที่สักวันจะหมดความหมาย
ร่างบางทิ้งกายลงบนแท่นบรรทมที่เคยใช้นอนเคียงฮ่องเต้ หนอมนุ่มทั้งสองใบ ถูกมือบางปัดป่ายจนร่วงหล่น น้ำตาไหลรินอยู่เงียบๆไร้เสียงสะอื้น ริมฝีปากแดงช้ำ เพราะถูกฟันขาวขบกัดไม่ปล่อย
"มันสายไปแล้ว สายเกินไปแล้ว" ร่างบางเพ้อท่ามกลางความเงียบ แต่เสียงแผ่วเบาก็ไม่ช่วยให้ใจดีขึ้น สุดท้ายก็หลับไปทั้งน้ำตา พร้อมกับคำที่ท่องไปมา "สายเกินไปแล้ว"
* ~ * ~ * ~ * ~ *~ * ~* ~ * ~ * ~ * ~ * ~ * ~ * ~ * ~ *
ฮ่องเต้หนุ่มเสด็จกลับตำหนักอันมืดมิดพร้อมด้วยซุปร้อนที่สั่งให้ห้องเครื่องทำพิเศษเพื่อคนที่ยังไม่ได้กินข้าวเย็น
ฮ่องเต้ซีวอนเดินถือถ้วยซุปร้อน เข้ามาในห้องบรรทม รอยยิ้มบนพระพักตร์ปรากฏกว้าง เมื่อเห็นคนขี้เซานอนปัดป่ายไม่เป็นที่ สองหมอนตกอยู่บนพื้น "ฮีชอล ตื่นมากินซุปก่อน พี่สั่งให้คนทำให้เจ้านะ"
"ฮีชอล" นิ้วเรียวสะกิดร่างบางที่ไม่ยอมตื่นจนถอดใจ ยอมแพ้ หยิบหมอนสองใบขึ้นมาจัดวาง ช้อนศีรษะเล็กให้หนุนหมอนอย่างเรียบร้อย
แสงจันทร์ส่องใบหน้านวลเห็นรอยน้ำบนแพขนตา คิ้วเรียวขมวดเข้าหากัน จ้องมองน้องน้อยอย่างไม่เข้าใจ เหตุใดจึงร้องไห้
"น้องน้อยของพี่ ร้องไห้เรื่องอะไร เจ้าทุกข์ใจเรื่องอะไร ทำไมไม่บอกพี่ให้รู้ ความทุกข์เพียงน้อยนิดของเจ้า แต่เป็นทุกข์สาหัสของพี่ เจ้ารู้บ้างหรือไม่" พระโอษฐ์ประทับลงบนหน้าผากมน พระหัตถ์ลูบไล้ผมนุ่มดังจะกล่อมให้ฝันดี "พี่รักเจ้า น้องน้อยของพี่"
ฮ่องเต้หนุ่มจากไปเพื่อชำระล้างร่างกาย ไม่รู้เลยว่าน้องน้อยของพระองค์มีน้ำใสไหลรินจากเปลือกตาที่ยังปิดสนิท ก้อนสะอื้นมากายตีตื้นขึ้นมาและถูกกลืนเก็บลงไปอย่างยากลำบาก พร้อมคำรำพันที่ได้แต่กู่ร้องอยู่ในใจ "ท่านบอกรักข้าทำไม หากจะลืมเลือนในวันข้างหน้า"
วรองค์สูงผู้กลับมาพร้อมความสดชื่นจากสายน้ำ ทิ้งกายลงเคียงร่างบาง รั้งเข้าไว้ในอ้อมพระกร ซึมซับช่วงเวลาที่ใกล้หมดลง "ชั่วชีวิตนี้ พี่จะได้รับความรักจากเจ้าบ้างหรือไม่ ฮีชอล"
....ยังถามหาความรักจากข้าอีกทำไม.....
คนที่เคยผ่านมา ข้าไม่เคยลืม เพราะไม่เคยรัก แต่กับท่าน....ข้าจะลืมเหมือนที่ท่านทำได้เช่นไร
* ~ * ~ * ~ * ~ *~ * ~* ~ * ~ * ~ * ~ * ~ * ~ * ~ * ~ *
ความคิดเห็น