ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    美花 ; (mei hua) (woncin)

    ลำดับตอนที่ #11 : 美花 : 第九花 100%

    • อัปเดตล่าสุด 10 มิ.ย. 54


    美花:

     

     

                    บนแท่นบรรทมกว้าง มีวรกายสูงของฮ่องเต้และน้องน้อยนอนเคียงกันอยู่ ฟ้ามืดครึ้มเป็นสีเทาหม่น เหล่าสกุณาวิหคทั้งหลายยังคงหลับสบายอยู่ในรังไม้

     

                    ร่างเล็กในอ้อมพระพาหากว้างพลิกตัวไปมาอย่างอึดอัด ดวงตากลมโตเปิดกว้างมองไปรอบๆท่ามกลางความมืด  ค่อยๆคีบท่อนพระกรใหญ่ออกจากตัว ก้าวลงจากแท่นบรรทม ผ่านวรกายสูงไปอย่างแผ่วเบา เดินไปตามทางเพื่อปลดล่อยน้ำเสียที่ไม่ต้องการออกจากร่างกายยามดึก ก่อนจะกลับมาเข้านอนอีกครั้ง ตากลมมองผู้สูงศักดิ์ ที่นิ่งสนิท ในใจแอบคิดว่าไหนเป็นฮ่องเต้ที่เก่งกาจ แค่นี้ใยไม่รู้สึกตัว

     

                    อ๋องน้อยนอนมองใบหน้าคม อย่างขัดใจ แต่เพราะความหนาวเย็นทำให้ต้องกลับเข้าไปซุกในพระอุระอิงแอบหาความอบอุ่นอีกครั้ง พึมพำกับตัวเองเบาๆ “คนอะไรแสนดุร้าย แล้วยังพรากศักดิ์ศรี พรากยศศักดิ์ ทุกสิ่งที่เคยมี แต่เหตุใดจึงมาทำแสนดีอ่อนโยนและอบอุ่น ราวกับว่ารักข้าเสียอย่างนั้น หากท่านเอ่ยคำรัก ข้าคงเชื่อท่านเป็นแน่”    

     

                    พระเนตรคมปิดสนิทแน่นดั่งคนที่หลงอยู่ในนิทราแสนสบาย หากแต่พระโอษฐ์กลับมีรอยแย้มยิ้มอย่างยินดี ทุกการกระทำทรงรับรู้ ทุกคำรำพึงทรงได้ยิน คำรักที่น้องน้อยถามถึง ใช่ว่าไม่อยากพูดไป แต่พูดไปแล้วสิ่งใดที่พี่จะได้กลับมา

     

                    ให้พี่เจ็บครั้งเดียวไม่ดีกว่าหรือ...ฮีชอล  

             

            * ~ * ~ * ~ * ~ *~ * ~* ~* ~ * ~ * ~ * ~ * ~ * ~ * ~ *

     

                    ฟ้าสว่างมากแล้วหากแต่วันนี้องค์ฮ่องเต้ยังไม่คิดจะลุกขึ้นจากที่นอน ได้แต่นอนหลับพระเนตรในอ้อมพระอุระมีร่างเล็กที่บอกไว้ว่าวันนี้จะตื่นก่อน พระองค์จึงต้องรอให้ร่างเล็กตื่นเสียก่อน

     

                    เปลือกตาบางค่อยๆปรือขึ้นอย่างช้ามองรอบๆตัว สัมผัสได้ว่านี้มันเช้ากว่าที่เคยตื่นมาในทุกวัน อาจเป็นเพราะเมื่อคืนนอนไม่ค่อยสบายมากนัก ลุกจากที่นอนเสียบ่อยครั้งเพราะน้ำที่ดื่มเข้าไปมากก่อนเข้านอน “นี้ข้าตื่นก่อนฮ่องเต้อีกหรือนี้ ฮึๆ เช่นนี้แล้วมีหรือที่อีกสามเดือนข้างหน้าข้าจะไม่ชนะท่าน ฮ่องเต้ซีวอน”

     

                    ฮ่องเต้หนุ่มทรงได้ยินทุกถ้อยคำ กลั้นพระสรวลแทบขาดใจ หากแต่เพื่อสิ่งที่น้องน้อยประสงค์ เรื่องแค่นี้ พระองค์ประทานให้ได้ ด้วยเหตุนี้พระองค์จึงทรงปิดพระเนตรแน่นสนิทดั่งผู้มีความสุขในนิทราดังเดิม

                   

                    “ท่านตื่นได้แล้ว ฮ่องเต้ ตื่นได้แล้ว วันนี้ข้าทำหน้าที่ต้นห้องที่ดีแล้วนะ ตื่นสิ อย่าให้ข้าต้องรียกนานได้ไหม” อ๋องน้อยที่ไม่เคยเป็นผู้ปลุก กำลังทำหน้าที่อย่าแข็งขัน สองมือเขย่าวรกายหนาของฮ่องเต้หนุ่ม ปากเล็กๆแผดเสียงลั่น ดิ้นขลุกขลักในอ้อมกอดของคนหลับสนิท

     

                    “อื้ออออออ ฮีชอล เจ้านอนเงียบๆไม่ได้หรือไง” สุรเสียงแหบพร่าอย่างคนพึ่งตื่นนอน คว้าร่างเล็กที่เริ่มเป็นอิสระกลับเข้ามาแนบพระอุระอีกครั้ง

     

                    “ไม่ได้ ท่านตื่นนะ วันนี้ข้าทำหน้าที่ต้นห้องที่ดีแล้ว ท่านต้องตื่นสิ” อ๋องน้อยที่เคยมีแค่คนเอาใจ บัดนี้หน้าหวานมุ่ยลงเพราะถูกฮ่องเต้หนุ่มขัดใจ โดยลืมฐานะไปสิ้นว่าอีกฝ่ายนั้นเป็นผู้ใด

     

                    “เจ้าเป็นต้นห้องก็ไปเตรียมน้ำให้พี่อาบสิ  เดี๋ยวพี่ตามเจ้าออกไปเอง”

     

                    “ไม่ได้ท่านต้องไปกับข้าเดี๋ยวนี้ ข้าเป็นอ๋องแห่งวังทู่หลงนะ ท่านมีสิทธิ์ขัดใจข้าหรือ” สุดท้ายอ๋องน้อยก็หลงลืมไปสิ้นว่าตนเป็นใคร และชายผู้อยู่ตรงหน้านั้นเป็นใคร

     

                    “แต่พี่เป็นฮ่องเต้ที่มีอ๋องแห่งวังทู่หลงเป็นต้นห้อง เจ้ากล้าสั่งพี่หรือ ฮีชอล” พระพักตร์คมบึ้งตึ้งไม่พอพระทัยกับถ้อยคำที่ได้ยิน จนต้นห้องผู้สูงศักดิ์ได้แต่ก้มหน้านิ่ง ยอมเดินออกไปเพื่อเตรียมน้ำในห้องสรงเพียงลำพัง

     

            ชายหนุ่มผู้สูงศักดิ์แห่งแผ่นดินเช่นฮ่องเต้ซีวอนทอดพระเนตรตามหลังเล็กๆนั้นไปพร้อมกับรอยแย้มพระสรวลที่ได้แกล้งน้องน้อยให้รู้จักกลัวเกรงผู้อื่นบ้าง “พี่ขอโทษนะฮีชอล หากไม่ทำเช่นนี้ภายภาคหน้าเมื่อเจ้าห่างไกลสายตาพี่ เจ้าจะได้ไม่ลำบาก พี่จะได้วางใจ”    

     

              * ~ * ~ * ~ * ~ *~ * ~* ~* ~ * ~ * ~ * ~ * ~ * ~ * ~ *

                    หลังพระกระยาหารเช้าที่ทรงมีรับสั่งให้ขันทีสูงวัยอย่างลีทึกมาคอยรับใช้ แทนเฉียนกุ้ยขันทีน้อยทำให้ผู้ร่วมโต๊ะเสวยหน้าหวานต้องมุ่ยหน้าลง หากแต่ก็ไม่กล้าเอ่ยวาจาใดๆออกมา เป็นเหตุให้ฮ่องเต้หนุ่มพอพระทัยอย่างมาก “ฮีชอลวันนี้พี่จะสอนเจ้าเอง แต่ก่อนอื่นเจ้าต้องไปวิ่งรอบลานกว้างเสียก่อน ทำได้ใช่ไหม”

     

                    “แต่ข้าวิ่งไปแล้วเมื่อวาน”

     

                    “แล้วอย่างไร หากเจ้าไม่วิ่ง ขาเจ้าก็จะไร้กำลัง แล้วจะเอาแรงที่ไหนพาอาวุธเข้าหาคู่ต่อสู้ได้ ไปวิ่งเถอะ หากวันนี้เจ้าทำตัวดีๆ พี่จะให้รางวัลแก่เจ้าอีก” ฮ่องเต้หนุ่มทรงใช้ของรางวัลเพื่อจูงใจร่างเล็ก เชื่อมั่นเหลือเกินว่าอ๋องน้อยจะชอบในขวัญที่จะประทานให้

     

                    “ท่านตรัสแล้วนะ ห้ามคืนคำด้วย” ร่างเล็กหันมาพร้อมรอยยิ้ม ยินดีที่จะได้ของรางวัล ก่อนจะวิ่งลงไปที่ลานกว้าง ทำตามสิ่งที่รับสั่ง

     

            “เอาหล่ะฮีชอล พอแล้ว” หลังจากประทับนิ่งทอดพระเนตรร่างเล็กออกวิ่ง มานานพอสมควร จึงดำเนินเข้ามาใกล้ร่างเล็ก พาให้กลับไปยังที่ที่พระองค์ประทับอยู่ก่อนหน้านั้น “เพราะเจ้ามีเวลาแค่สามเดือน พี่คงจะสอนเพียงแค่อย่างเดียวให้กับเจ้าเท่านั้น ตอนนี้เจ้าก็นั่งดูพี่กับพวกทหารซ้อมไปก่อน”

     

                    เหล่าทหารที่ว่านั้น คือเหล่าองค์รักษ์ฝีมือเยี่ยมที่พร้อมยอมพลีชีพเพื่อฮ่องเต้ที่รักยิ่งของปวงชน และการฝึกซ้อมที่ว่าคือการประลองที่มีฮ่องเต้ทรงร่วมประลองด้วย มีเพียงไม่กี่ครั้งเท่านั้นที่ผู้ชนะการประลองจะเป็นหนึ่งในทหารเหล่านี้ และหากผู้ใดชนะ ฮ่องเต้หนุ่มก็ให้รางวัลทุกครั้งไป

     

                    ร่างเล็กนั่งมองดูการต่อสู้อย่างตื่นตาตื่นใจเมื่อเหล่าทหารองค์รักษ์ที่ได้ชื่อว่าเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันต่างก็ทุ่มเทแรงกายและความสามารถทั้งหมดที่มีเพื่อชัยชนะ  ใช้อาวุธที่ตนถนัดเข้าต่อสู้ห่ำหั่นดุจดังเป็นศัตรูที่ต้องฆ่ากันให้หมดสิ้น

     

                    อ๋องน้อยที่ทั้งชีวิตไม่เคยสัมผัสอาวุธหรือการต่อสู้ใดๆ ได้แต่ตกตะลึงกับสิ่งที่เห็น วาดฟันไปไกลว่าสักวันจะทำได้เช่นนั้นบ้าง ท่วงท่าแสนสง่างามหากก็ว่องไว ทุกครั้งที่เงื้อมือคือการหวังให้คู่ต่อสู้ที่หลังจากจบการประลองคือเพื่อนสนิทต้องพ่ายแพ้ ดูเป็นกีฬาที่ลูกผู้ชายเช่นอ๋องน้อยไม่ควรพลาด และสักวันจะกำชัยชนะเหนือฮ่องเต้ผู้เก่งกาจ

     

                    “ฮีชอล เจ้าอยากลองลงมาเล่นกับพี่ดูบ้างไหม” ทรงร้องถามคนที่นั่งมองอย่าตกตะลึง ดวงตาที่พระองค์โปรดกำลังเบิกกว้าง จนอดไม่ได้ที่จะแย้มพระโอษฐ์

     

                    “ท่านก็รู้ว่าข้าสู้ท่านไม่ได้ อย่ามาทำเป็นใจดีแบบนี้เลย” อ๋องน้อยเมื่อรู้ตัวว่าถูกล้อ ใบหน้าหวานขึ้นสีเรื่อ เบือนหน้าไปทางอื่น ไม่สบสายตากับฮ่องเต้หนุ่มที่บัดนี้ เปียกชุ่มด้วยหยาดพระเสโท*

     

            “แล้วเจ้าเบือนหน้าหนีพี่ทำไมกัน หรือว่าทางนั้นมีสิ่งใดดีกว่าพี่หรือ ก็ไม่เห็นมีสิ่งใดเลย” สายพระเนตรทอดมองตามสายตาน้องน้อยหากแต่ก็ไม่เห็นสิ่งใด นอกเสียจากลีทึกที่ยกถาดจากห้องเครื่องเข้ามา

     

                    “ทำไมจะไม่มี อย่างน้องข้าก็ยอมมองขันทีเหี่ยวๆ แบกถาดอาหารดีกว่ามองฮ่องเต้ เหม็นเหงื่อแบบท่าน”  ชายแท้ที่ใดเล่าจะกล้าบอกว่าเขินอายต่อร่างกายชุ่มเหงื่อของอีกหนึ่งบุรุษที่มีร่างกายแข็งแกร่ง

     

                    “อือ หากพี่เหม็นเหงื่อ งั้นหลังฝึกซ้อมคงต้องให้ต้นห้องอาบน้ำให้เสียแล้วหล่ะ ฮีชอลพี่มีของจะให้เจ้านะ ไม่หันมาดูหน่อยหรือ”

     

                    “ท่านจะให้อะ.... สวยจัง ท่านให้ข้าเป็นรางวัลหรือ” ใบหน้าหวานเกินชายของอ๋องน้อยเบือนหน้าหันกลับมามองก่อนจะแย้มยิ้มอย่างยินดีเมื่อเห็นของกำนัลล้ำค่า

     

                    มีดสั้นเล่มงามนอนสงบนิ่งในฝักแสนสวยประดับด้วยหินสูงค่า มือบางหยิบมันขึ้นมาดูด้วยความสนใจ ค่อยๆดึงมีดออก ปรากฏโลหะเงาวับและคมกริบ “ท่านให้ข้าจริงๆหรือ” ดวงตากลมจ้องมองใบมีดเป็นประกาย

     

                    “จริงสิ พี่ให้เจ้าไว้เป็นอาวุธคู่กาย หากเจ้าฝึกกับมันจนคุ้นชินมือก็จะเกิดประโยชน์มากนัก  ที่พี่เลือกมีดสั้นให้เพราะน้ำหนักเบา อีกทั้งยังเหมาะกับมือเล็กๆของเจ้าด้วย” พระหัตถ์หนาโอบกุมรอบมือบางที่กำมีดสั้นไว้แน่น “มือเจ้าเล็กเท่านี้ คงจับอาวุธใดไม่ถนัดนัก ต่อไปนี้เจ้าก็ฝึกกับมีดเล่มนี้ เก็บมันไว้ข้างกายอย่าให้ห่างเลยนะ”

     

                    เก็บไว้ข้างกาย...ให้ตัวแทนของพี่ได้อยู่ข้างกายเจ้า แทนพี่ที่อยู่ห่างไกล

     

                    “อ่ะ” เสียงหวานเรียกความสนใจของฮ่องเต้หนุ่มให้หลุดจากภวังค์ กลับมาสนใจน้องน้อยที่หาเรื่องให้ตัวเองได้เจ็บอีกครา   

     

                    “ฮีชอล เจ้าทำมีดบาดมือตัวเองหรือนี้” แผลขนาดใหญ่ที่ดูลึก มีเลือดแดงสดผุดขึ้นมาตามรอยแผลขนาดใหญ่นั่น รอบๆแผลดูแดงช้ำขึ้นมาในทันที จนน่าเป็นห่วง “ซึงฮยอน เจ้าดูพวกนี้ซ้อมต่อไปก่อน เราจะพาท่านอ๋องไปทำแผล”

     

                    ฝ่าบาททรงนำต้นห้องคนพิเศษกลับมายังตำหนัก สั่งให้ขันทีไปนำยาจากแพทย์หลวงมาให้ พระองค์จะเป็นผู้ทำแผลให้แก่น้องน้อยเอง

     

                    พระหัตถ์หนาซับเลือดจากแผลใหญ่ อย่างแผ่ว แม้แต่เจ้าของยังตกใจ ไม่คิดว่าคนใจร้ายจะมือเบาได้ถึงเพียงนี้ ผ้าชุบน้ำถูกซับรอบๆแผลๆเพื่อทำความสะอาดคราบ แต่เพราะความแสบ ทำให้มือบางหดหนี แม้จะถูกยึดไว้ในพระหัตถ์ก็ตาม “อย่าหนีสิ ฮีชอล ถ้ามันแสบเจ้าก็ทนเอาหน่อยนะ ถ้าไม่ทำ แผลเจ้าก็จะหายช้า”

     

                    “ท่านก็เบาๆสิ ข้าเจ็บหน่ะ” แม้จะรู้ว่านั่นเบาแล้ว แต่อ๋องน้อยใจปลาซิวก็ยังอดไม่ได้ที่จะโวยวาย และน้ำตาซึมออกมา “ไม่ต้องทายาที่มันแสบได้ไหม” อ๋องน้อยอุทธรณ์ทันทีที่เห็นตลับขึ้นชื่อเรื่องความแสบจากตำรับยาหลวง

     

                    “ไม่ได้ ไม่ทายาแล้วจะหายหรือ พี่ไม่พันแผลให้เจ้าก็ดีเท่าไหร่แล้ว ต่อไปยามอาบน้ำ เจ้าก็ห้ามให้น้ำโดนแผลเข้าใจไหม” ฮ่องเต้หนุ่มทรงยึดมือบางไว้แน่น ไม่ยอมให้หดหนี อีกทั้งยังกำชับเรื่องการดูแลแผล

     

                    “แล้วจะอาบอย่างไรเล่า” ร่างเล็กหน้าหวานก้มมองดูแผลตนเองอย่างคิดหนักก่อนจะยิ้มกว้าง “รู้แล้ว ท่านให้เฉียนกุ้ยมาช่วยข้าอาบน้ำได้ไหม”

     

                    “ไม่ได้ ถ้าเจ้าอาบคนเดียวไม่ได้ ข้าจะอาบให้เจ้าเองทุกครั้ง ไม่มีข้อแม้ใดๆทั้งสิ้น” สุรเสียงจากอ่อนหวานกลายกลับเป็นเย็นชา เผลอลงน้ำมือลงบนแรงโดยแรง

     

                    “เฮ้ยยยยยยยยย ข้าเจ็บนะ”

     

                    เสียงร้องโวยวายของอ๋องน้อยผู้ไม่เคยสังเกตสิ่งใด เรียกพระสติของฮ่องเต้ให้กลับคืนมาอีกครั้ง พร้อมด้วยความร้อนรน “ฮีชอล พี่ขอโทษ เจ็บมากไหม”

     

                    “เจ็บสิ ลองมาดูบ้างไหม ท่านเป็นอะไรอยู่ดีๆ ก็กดลงมาบนแผลแบบนี้”  ปากเล็กถามเจื้อยแจ้ว สองตากลมสำรวจแผล ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองร่างสูง

     

                    “พี่ขอโทษ” ฮ่องเต้หนุ่มทรงตรัสขอโทษจากพระทัย ก้มมองแผลใหญ่บนมือเล็กในมือ ได้แต่รู้สึกผิด

     

                    “ไม่เป็นไร แล้วไหน รางวัลที่ท่านจะให้ข้าหล่ะ ท่านสัญญาแล้วนะ” คนเจ็บเอ่ยทวงของรางวัลทั้งที่วันนี้ยังไม่ได้ฝึกใดๆเลยเว้นเสียแต่การวิ่งช่วงเช้าเท่านั้น

     

                    “อยู่ในที่ของมันสิ เจ้าอยากได้จริงหรือ” พระองค์ทรงหยอกเย้าน้องน้อยที่ทำตัวเหมือนเด็กไม่มีผิดในเวลาที่อยากได้สิ่งของ

     

                    “จริงสิ มันอยู่ที่ไหน ให้คนไปเอามาสิ ข้าอยากได้” ร่างเล็กเร่งให้คนนำเข้ามาให้ อยากเห็นว่าที่จะได้เป็นรางวัลคือสิ่งใดกันแน่

     

                    “มากับพี่สิ” พระหัตถ์หนา คว้ามือเล็กแสนอ่อนนุ่มเข้ามาไว้ในมือ ฉุดร่างเล็กให้ลุกขึ้น ก่อนพาออกนอกตำหนัก ไปยังด้านหลัง โดยเจ้าของมือเล็กไม่รู้ตัวเลยสักนิด ว่ามือตน อยู่ในอุ้งพระหัตถ์ที่แสนอบอุ่น และอ่อนโยน ในใจ

     

                    * ~ * ~ * ~ * ~ *~ * ~* ~* ~ * ~ * ~ * ~ * ~ * ~ * ~ *

                    ร่างเล็กเดินตามคนข้างหน้าไปอย่าสงสัย ยิ่งเดินไปก็ยิ่งสงสัย เส้นทางที่เดินมาห่างไกลจากตำหนัก หลังอื่นๆ  มันจะเป็นของขวัญแบบไหนกัน ถึงได้มาอยู่ไกลขนาดนี้ หรือจะเป็นของสำคัญมากๆกันแน่ “ท่านจะให้อะไรข้ากัน ทำไมมันดูลึกลับแบบนี้”

     

                    “อีกนิดเดียว เชื่อพี่เหอะว่าเจ้าจะรักมัน” ทรงหันกลับมาหาร่างเล็กที่เริ่มโอดครวญกับระยะที่ออกจะไกลอยู่สักหน่อยแบบนี้ “แล้วเชื่อพี่เถอะ ว่าเจ้าจะเดินมาหามันทุกวัน”

     

                    “อะไรกัน นี้ข้าต้องเดินมาหามันหรือนี้ ไม่เอาด้วยหรอก ยังไงๆถ้าท่านให้ข้า ข้าก็จะ..........” อ๋องน้อยแห่งตำหนักทู่หลง อ้าปากค้างเมื่อเห็นสิ่งที่อยู่ตรงหน้า อยากจะกระโจนเข้าไปหา

                   

                    “ตามใจเจ้าสิ” ฮ่องเต้หนุ่มแย้มพระโอษฐ์กับท่าทางเหมือนตกตะลึงของอ๋องน้อย และยังมีท่าทางที่ดูเหมือนจะกระโจนเข้าไปหาเหมือนเด็กๆ ยามดีใจได้ของเล่น

     

                    ขนตายาวงอน ริมฝีปากเผยอขึ้นอวดฟันคู่หน้าสีขาวบริสุทธิ์ ผิวสีน้ำตาลทราย และเนินเนื้อสองข้างชวนให้หลงใหล อ๋องน้อยจ้องสิ่งที่อยู่ตรงหน้าอย่างสำรวจ หากไม่มีพระหัตถ์หนาๆมารั้งไว้ก็คงกระโจนเข้าไปกอดแล้ว

     

                    “ชอบไหม” สุรเสียงทุ้ม แสนเอื้ออาทร ก้มถามคนตัวเล็กกว่าอย่างเอ็นดู

     

                    “ชอบ ชอบที่สุดเลย น่ารักจัง ท่านไปได้มาจากไหน ทำไมข้าไม่เห็นเคยเห็นเลย” ร่างเล็กหันกลับมาถามคนให้ที่แสนใจดี ให้สิ่งที่แสนน่ารักขนาดนี้

     

                    “ราชทูตจากแดนอาหรับ ส่งมาเป็นเครื่องบรรณาการ พี่เห็นว่า อยู่กับพี่ก็คงเท่านั้น สู้ให้เจ้าไว้เป็นเพื่อนยามเหงาคงดีเสียกว่า” พระเนตรแสนอ่อนโยนยามจับจ้องน้อยน้องไม่สนใจเลยว่ามีอีกหนึ่งชีวิตอยู่ตรงนั้น

     

                    “ขอบคุณท่านมากเลย ว่าแต่....มันเรียกว่าตัวอะไรกัน ในเมืองนี้ข้าไม่เคยเห็นมันเลย” ร่างเล็กละสายตาจากเจ้าสัตว์สี่ขาตัวสูงตรงหน้า หันมาถามคนให้ ที่อย่างน้อยคงรู้ว่าสัตว์ประหลาดตัวนี้คือตัวอะไร

     

                    “มันเรียกว่า อูฐ เป็นสัตว์ที่พวกเขาใช้แทนม้ากัน มันอดทนมากเลยนะ วิ่งระยะใกล้ ได้เร็วกว่าม้าเสียอีก อดน้ำได้เป็นนาน พี่ให้เจ้าแล้ว ก็อย่าลืมมาดูแลมันบ้าง ให้ความรัก ความเอ็นดูกับมัน อย่าละเลย ถึงมันจะอดทน แต่ยังไงก็ยังต้องการความรักจากเจ้าของ” ฮ่องเต้หนุ่มรับสั่งกับอ๋องน้อย พระเนตรจ้องมองร่างบางที่ด้วยความอาวรณ์สิ่งที่ออกมานั้น คือสิ่งที่อยากเรียกร้องจากน้องน้อยบ้าง

     

                    ....แต่ก็คงไม่สามารถทำได้....จึงได้แต่ขอร้องแทนเจ้าสัตว์สี่ขาตรงหน้า

     

            “ท่านพูดอย่างกับข้าไม่มีหัวใจ ไม่รู้จักที่จะรักและเป็นคนห่วงผู้อื่นอย่างนั้นแหล่ะ ถึงข้าจะเที่ยวเล่นไป แต่หากข้ารักใครก็จะรักคนนั้นมั่นคง ไม่แปรเปลี่ยน แล้วก็จะดูแลอย่างดีด้วย ท่านคอยดูสิ เจ้าอูฐตัวนี้จะเป็นสัตว์เลี้ยงที่มีความสุขที่สุดในวัง” อ๋องน้อยเจ้าสำราญ เอาแต่เที่ยวเล่นไปวันๆ แท้จริงแล้วก็มีหัวใจรัก เพียงแค่รอคอยผู้ที่จะมาคว้าหัวใจดวงนี้ไป

     

                    “แล้วมีหากใครคนหนึ่งรักเจ้าเล่า เจ้าจะทำเช่นไร” จะดูแลเขาผู้นั้นเป็นอย่างดี ให้สมกับความรักที่มีให้เจ้าหรือไม่...คำถามที่พระองค์ได้แต่ตรัสถามอยู่ในพระทัย ไม่กล้ากล่าวออกมาให้ผู้ใดได้ยิน

     

                    “จะมีใครกันมารักคนอย่างข้าที่ไม่เอาไหนเล่า หรือหากจะมีจริงๆ” ร่างเล็กมองตาโตๆของอูฐตัวใหญ่ มือบางลูบไล้หน้าผากโหนกๆไปมาอย่างเพลิดเพลิน นิ่งคิดในคำตอบสักครู่ “ข้าก็คงจะรู้ดูแลแม่นางผู้นั้นเป็นอย่างดี ให้สมกับความรักที่ข้าได้รับ แล้วถ้าเป็นท่านหล่ะ ฮ่องเต้ผู้ยิ่งใหญ่ต้องมีสนมนางในมากมาย แล้วท่านจะดูแลคนที่ท่านรักเช่นไร”

     

                    “แล้วสนมพวกนั้นไปเกี่ยวอะไรกับคนที่พี่รักเล่า พวกนางก็แค่เครื่องมือทางการเมืองเท่านั้น หัวใจของพี่ คนที่พี่รักอยู่เหนือเรื่องการเมืองสกปรกพวกนั้น” พระเนตรคมกล้าจ้องมองแผ่นหลังบางที่อยู่ห่างเพียงนิดก็รั้งเข้ามาในอ้อมอกได้แล้ว

     

                    “โห! ท่านนี้ช่างใจร้ายกับนางสนมเสียจริง แต่หากคนที่ท่านรักมาได้ยินนางก็คงดีใจ ใครนะ ผู้โชคดีคนนั้น” อ๋องน้อยยังคงหยากล้อกับสัตว์เลี้ยงแสนประหลาดที่พึ่งได้รับ ไม่หันกลับมามองเลยว่า ดวงตาของชายหนุ่มผู้สูงศักดิ์เป็นเช่นไร

     

                    เจ้าถามตัวเองสิ ว่าดีใจหรือไม่....

     

                    “เจ้าอย่ารู้เลย ว่าเป็นใคร มันยังไม่ถึงเวลาที่เจ้าจะรู้ แล้วนี้จะเรียกอูฐตัวนี้ว่าอย่างไร คงไม่ตั้งชื่อมันว่าอูฐหรอกนะ”  ฮ่องเต้หนุ่มทรงเปลี่ยนเรื่องให้ออกห่างจากสิ่งขุ่นมัวบนหัวใจแสนบริสุทธิ์ของน้องน้อย ชวนคุยถึงชื่อที่เจ้าสัตว์ประหลาดตรงหน้า

     

                    “อึ้ยยย ชื่อแบบนั้น ท่านไว้ตั้งให้ม้าของท่านเหอะ อูฐของข้าต้องเป็นชื่อที่ดีมีมงคลกว่านั้นมาก ชื่ออะไรดีนะ อ่าใช่ ชื่อ ฮีเฉียนดีไหม” ร่างเล็กดูพอใจกับชื่อที่ตั้งได้ ใบหน้าหวานยิ้มร่า ผิดกับอีกหนึ่งคนที่รอฟัง

     

                    “นั่นหรือมงคลของเจ้า ชื่อบ้าอะไรกัน” พระองค์ไม่สนว่าชื่อนั้นจะมีมงคลหรือไม่ ไม่สนว่ามันจะหมายความว่าเช่นไร ทรงทราบเพียงแค่ว่า เฉียนตัวหลัง คงมาจากขันทีน้อยเป็นแน่

     

                    “ทำไมจะไม่มงคล ฮีตัวแรกมาจากชื่อของข้าเมื่อเขียนตามตัวฮั่นจื้อก็จะแปลว่าความหวัง เมื่อรวมกับชื่อตัวแรกของเฉียนกุ้ย ที่แปลว่าเงินทอง ก็แปลว่าได้เงินทองดั่งที่หวัง ไม่มงคลตรงไหนกัน” อ๋องน้องยังคงระบายยิ้ม นั่งมองเจ้าสัตว์ตัวใหญ่ ชื่อแสนมงคลว่าฮีเฉียน

     

                    “ข้าเป็นคนให้” สุรเสียงแสนเรียบๆ บอกให้คนตั้งได้รู้ว่า ชื่อนี้ไม่ถูกพระทัยฮ่องเต้หนุ่มเป็นอย่างยิ่ง

     

                    “มีแบบนี้ด้วยหรือไงกัน ท่านนี้ เป็นคนให้แล้วยังไงหวงแม้แต่ชื่ออีก แล้วเป็นอะไร ข้าสังเกตมาหลายครั้งแล้ว ทุกครั้งที่ข้าพูดถึงเฉียนกุ้ย ท่านมักทำหน้าไม่พอใจ หรือว่าท่านหวงเฉียนกุ้ยกัน”

     

                    เจ้าคงสังเกตไม่มากพอสินะฮีชอล หากเจ้ามองให้ลึกกว่านี้คงดี... “แล้วตกลงจะให้เจ้าตัวนี้ชื่ออะไร” ทรงรำพันเพียงพระองค์เดียวก่อน อย่างไม่หวังให้ผู้ใดได้ยิน ก่อนจะทรงถามถึงชื่อของเจ้าสัตว์ประหลาดตัวนี้

     

                    “ซีวอน” อ๋องน้อยเรียกชื่อของชายผู้อยู่เหนือคทั้งแผ่นดิน ก่อนจะใช้ดวงตากลมโตมองผู้เปนเจ้าของชื่อนั้น

     

                    “เจ้าเรียกพี่แบบนี้ได้หรือ ฮีชอล” พระขนงเลิกขึ้นสูง มองน้องน้อยอย่างประหลาดพระทัย ไม่คิดว่าจะมีใครหาญกล้าเช่นนี้ แม้คนผู้นั้นจะเป็นอ๋องน้อยฮีชอล

     

                    “เปล่า ข้าเรียกเจ้าอูฐตัวนี้ต่างหาก” อ๋องน้อยตอบหน้าตาเฉย หันกลับไปให้ความสนใจต่ออูฐที่ได้ชื่อเดียวกับฮ่องเต้ผู้ปกครองแผ่นดิน

     

                    “แต่นั่นมันชื่อเดียวกับพี่เลยนะ”

     

                    “งั้นก็ เปลี่ยนเป็น ซีวอนที่หนึ่งหล่ะกันนะ เจ้าอูฐโง่” ดูเหมือนว่าอ๋องน้อย ช่างมีทางออกที่แสนง่ายดายในการแก้ไขเรื่องชื่อซ้ำกับฮ่องเต้ผู้สูงส่ง

     

                    “เจ้าไม่คิดว่าจะมีใครได้ยินแล้วจับเจ้าไปประหารหรือไง” ทรงยั้งถามร่างบางที่ดูกล้าหาญเหลือเกิน ในครั้งนี้

     

                    “ก็ถ้าท่านไม่พูด ข้าไม่พูด ซีวอนที่หนึ่งไม่พูด แล้วใครจะรู้ ตกลงท่านพอใจชื่อนี้ไหม ซีวอนที่หนึ่ง” ฮีชอลหันกลับมาถามฮ่องเต้หนุ่มอีกครั้ง เพื่อความมั่นใจ

     

                    “ตามใจเจ้าเถอะ ดูแลมันให้ดีหล่ะกัน”

     

                    “แน่ละ ข้าจะดูแลซีวอนที่หนึ่งให้ดี สมกับเป็นของประทานจากฮ่องเต้” ยิ้มกว้างอย่างเด็กน้อยฉายชัดบนใบหน้าหวาน เรียกให้อีกหนึ่งบุรุษต้องแย้มยิ้มตามไปด้วย

     

                    แล้วเจ้าจะดูแลหัวใจของฮ่องเต้ให้ดีด้วยได้ไหมนะ น้องน้อยของพี่.....

     

              * ~ * ~ * ~ * ~ *~ * ~* ~* ~ * ~ * ~ * ~ * ~ * ~ * ~ *

    เสโท = เหงื่อ

     

    Talk

     

            ครบร้อยแล้วคะ ด้วยความเลี่ยน(หรือเปล่าคะ) มาแบบอึนๆคะ เนื่องในวันภาษาไทย

                    คือว่าเมื่อก่อนคนจีนไม่รู้จักอูฐ เห็นแล้วตกใจ คิดว่าเป็นสัตว์ประหลาด ก็เลยหยิบยกมาให้เป็น ซีวอนที่หนึ่ง เปลี่ยนจากม้าเป็นอูฐ ไม่เคืองกันใช่ไหมคะ

                    ส่วนวอนดูเหมือนคนใกล้บ้าเข้าไปแล้ว มีอะไรเพ้ออยู่คนเดียว แต่เรื่องนี้มีที่มา เพราะว่ามีบรรพบุรุษสุดเพ้อเป็น....(ยังบอกไม่ได้คะ555)

                    ส่วนตอนหน้า ไอซ์จะเก็บเฉียนกุ้ยแล้วคะ แต่ว่าส่งอีกหนึ่งคนมาแทนคะ หุหุ     

                                   

                    เซี่ยเซี่ยหนี่

    Jelly fish

    4/08/53

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×