ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Once upon a Time กาลครั้งหนึ่ง...จนถึงตอนนี้ (woncin)

    ลำดับตอนที่ #9 : {แก้คำผิดค่ะ} ปีสาม เทอม2 (ปลายเทอม) ...ชดใช้ 100%

    • อัปเดตล่าสุด 19 พ.ค. 54


    ปีสาม เทอม2 (ปลายเทอม) ...ชดใช้

                                         

                    แสงสว่างจ้าที่ส่องเข้มาทำให้ต้องค่อยๆลืมตาขึ้นอย่างช้าๆ ปรับให้ชินกับสิ่งที่ดวงตาไม่ได้สัมผัสมานาน ใบหน้าที่คุ้นเคยและคำนึงถึงปรากฏชัดทันทีที่มองเห็น

     

                    ใบหน้าหวานเกินชายที่ขาวซีดมีรอยยิ้มอ่อนๆเมื่อดวงตามองเห็นภาพบุคคลอันเป็นที่รัก นั่งอยู่ชิดริมขอบเตียง  ใบหน้าที่ที่มีริ้วรอยด้วยผ่านระยะเวลาที่ยาวนาน ปรากฏรอยน้ำตาอาบปนท่ามกลางรอยยิ้มอย่างยินดี “แม่...”

     

                    “ฮีชอลเป็นยังไงบ้างลูก ยังหายใจไม่ออกอยู่หรือเปล่า” มือนิ่มนวลแสนอบอุ่น ส่งความรักความห่วงใยผ่านมือบางที่ขาวซีดด้วยความทะนุถนอม กลัวกระเทือนถึงฝ่ามือที่มีเข็มเจาะคาเอาไว้ “พ่อกับแม่เป็นห่วงเรามากนะ ยังเจ็บยังอะไรตรงไหนหรือเปล่าลูก หืมม์”

     

                    ร่างบางที่ได้แต่นอนยิ้มอย่างเหนื่อยอ่อน รับรู้ได้ถึงความห่วงใยจากผู้เป็นพ่อ เมื่อมือใหญ่ลูบลงบนหัวเล็ก และรอยยิ้มอ่อนโยนที่มีให้ “คุณก็พอได้แล้ว จากที่ลูกไม่เจ็บก็จะเจ็บเพราะคุณเอาแต่จับมือลูกไว้แบบนี้นี้แหล่ะ”

     

                    “คุณแตวู ไปนั่งเงียบๆกับซีวอนเลยไป”

     

                    คำพูดของแม่ทำให้ร่างเล็กได้รับรู้ว่าในห้องนี้ยังมีสมาชิกอีกหนึ่งคนที่เอาแต่นั่งเงียบอยู่ในมุมหนึ่ง จนดวงตากลมต้องมองหา “ซีวอน”

     

                    ชายหนุ่มที่นั่งเฝ้าร่างบางมาตลอดสองสามคืน เพียงแค่ได้ยินชื่อเรียกแผ่วเบาจากคนที่กำลังรอคอย รอยยิ้มเจือจางก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้า อยากจะถลาเข้าไปใกล้ แล้วบอกสิ่งที่เก็บไว้ในใจให้ร่างบางได้ยิน แต่สีหน้าที่ได้เห็นจากที่ไกลๆ กลับทำให้ไม่กล้าเข้าไปใกล้

     

                    ....หวาดกลัว และขับไล่....

     

                    “เป็นอะไรไปลูก ทำไมทำหน้าแบบนั้น ซีวอนหน่ะมาอยู่เฝ้าตลอดเลยนะ ไม่ได้กลับบ้าน โทรมๆพอกับคนป่วยเลยมั้งเนี้ย” เฮย์ซูหันกลับไปมองหน้าเพื่อนสนิทที่แสนน่าไว้ใจของลูกชายอย่างเอ็นดูเจือปนความขอบคุณ.....หากไม่มีเด็กคนนี้แล้วใครจะพาฮีชอลมาโรงพยาบาลได้

     

                    “หรอครับแม่?....” ร่างเล็กทวนคำถามแผ่วเบา สายตาไม่ละออกจากใบหน้าคมที่ดูอ่อนล้า สิ่งที่ได้ยินมาดูขัดกับการกระทำที่เคยได้รับมาตลอด และยิ่งความทรงจำสุดท้ายที่ยังคงชัดเจน ก็เกินกว่าจะทำใจให้เชื่อว่า เพื่อนคนนี้ได้กลับมาเป็นซีวอนคนเดิมที่เคยเป็นรู้จักมาทั้งชีวิต

     

                    “เอ้า มัวแต่คุยกันแม่ลูก หมอเขาบอกว่าฟื้นแล้วให้ไปตามไม่ใช่หรือไง”

     

                    “เดี๋ยวผมไปตามให้ก็ได้ครับ” ซีวอนรีบอาสาพาตัวเองออกมาจากห้อง

     

                    ใช่ว่าเพราะเป็นคนดี...แต่เพราะตอนนี้ไม่อาจทนมองดวงตาที่เต็มไปด้วยคำกล่าวหาได้อีกแล้ว ทั้งที่เมื่อก่อนเคยมองผ่านไปอย่างไร้ค่า แต่ในวันนี้เมื่อผ่านช่วงเวลาที่เกือบสูญเสียสิ่งสำคัญไป เพียงแค่นี้ก็ทำให้เขาเหมือนจะขาดอากาศหายใจ จนต้องขออกมาข้างนอกแบบนี้

     

                    คำถามที่ได้ยิน ถึงจะแผ่วเบาแค่ไหนก็ตาม แต่ก็ยังได้ยินชัดเจนเต็มไปด้วยอารมณ์ของความดูแคลน ยากจะเชื่อในสิ่งที่ได้ยิน และคงไม่ปรารถนาที่จะรับความหวังดีนี้

     

                    เมื่อก่อนเคยทำร้ายไว้มากเพียงใด....ต่อจากนี้จะชดใช้ให้...ให้จนกว่าจะไม่เหลือลมหายใจ...จนกว่าจะเชื่อมั่นในหัวใจของเขา

     

                    ร่างสูงใช้เวลาทำใจให้พร้อมกับความเฉยชาที่จะได้รับ กับการเป็นได้เพียงอากาศธาตุของคนที่พึ่งรู้ว่ามีค่ามากแค่ไหนต่อหัวใจที่โง่งม

     

                    การไม่มีตัวตน กับ การถูกทำร้าย....แบบไหนที่ทรมานมากกว่ากัน

     

    มือหนาปาดน้ำตาหยดเล็กที่ลอบไหลลงมา ก่อนเปิดประตูเข้าไปในห้องที่เขาเป็นเพียงแค่ส่วนเกิน ส่งมอบรอยยิ้มที่ปั้นแต่งให้แก่ผู้สูงวัยทั้งสอง ส่งสายตาที่เต็มไปด้วยความนัยให้แก่ร่างบางที่มีรอยยิ้มให้แก่ทุกคน....ยกเว้นเพียงเขา

     

                    “ตอนนี้ก็ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงแล้วนะครับ รอให้แข็งแรงกว่านี้สักสองสามวัน แล้วหมอจะให้ออกจากโรงพยาบาล”

     

                    “ออกวันนี้เลยไม่ได้หรอครับหมอ ผมว่าผมหายดีแล้วนะ” เสียงใสร้องขอคุณหมอที่รักษามาตั้งแต่ต้น พยายามส่งรอยยิ้มหวานประจบ แต่มันกลับไม่ได้ผล

     

                    “หมอบอกให้อยู่ ก็อยู่ไปเถอะ อย่าดื้อเลย” เสียงทุ้มจัดของพ่อ ทำให้ใบหน้าหวานตวัดค้อนส่งให้พ่อ ก่อนส่งสายตาออดอ้อนให้กับแม่

     

                    “ไม่ต้องเลยลูก หมอว่าไงก็อย่างนั้นแหล่ะ” คิม เฮย์ซู แค่มองตาลูกชาย ก็สามารถพูดดักทางเอาไว้ได้แล้ว

     

                    “แม่อ่ะ ไม่เข้าข้างลูกเลย” เสียงตัดพ้อของคนป่วยพาให้ห้องแห่งนี้มีเสียงหัวเราะขึ้น แม้แต่หมอที่กำลังจะออกจากห้องก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะกับอาการแสนน่ารักของคนไข้รายนี้ จะเว้นก็แต่เพียงชายหนุ่มที่นั่งอยู่เงียบๆในมุมห้อง  ที่ได้แต่รับฟังด้วยความน้อยใจ รับรู้ว่าตนไม่ถูกรวมเป็นส่วนหนึ่งของความครื้นเครงนี้

     

                    “นี้ก็มืดแล้ว คุณพาซีวอนกลับบ้านก่อนเถอะ เดี๋ยวคุณกาอินเขาจะว่าเราลักพาตัวลูกชายเขามา” คิมเฮย์ซูหันมาไล่สามีและหลานชายเป็นเชิงล้อเลียน แต่กลับได้มาเพียงแค่เสียงหัวเราะจากหนุ่มใหญ่เพียงคนเดียว

     

    “คุณป้ากลับไปบ้านก็ได้ครับ ผมเฝ้าฮีชอลให้เอง” ดวงตาคมจ้องมองใบหน้าหวานที่เบนเบี่ยงไปทางอื่นอย่างเจ็บปวด หากเป็นเมื่อไม่กี่วันก่อนหน้านี้เขาคงตรงรี่เข้าไปบังคับให้หันกลับมามอง แต่วันนี้กลับขลาดเกินกว่าจะทำได้

     

                    “เอางั้นหรอลูก แล้วซีวอนจะไม่กลับไปพักผ่อนที่บ้านหรือไง นอนที่โรงบาลมาตั้งสองคืนแล้ว” คุณแม่ของคนป่วยถามเพื่อลูกชายอย่างเกรงใจ และนึกดีใจไปพร้อมกันที่ลูกชายของตนมีเพื่อนดีแบบนี้

     

                    “ไม่เป็นไรหรอกครับ ผมโทรบอกที่บ้านแล้ว” เสียงทุ้มยืนยันหนักแน่น มองไปยังร่างบางที่ตั้งแต่ฟืนขึ้นมา ยังไม่ยอมสบตาเสียที

     

                    “เอางั้นก็ได้ แม่จะได้กลับไปจัดบ้าน จัดห้องให้พ่อฮีชอลด้วย บ้านไม่มีคนอยู่มานานไม่รู้เป็นไงมั่ง คืนนี้ป้าฝากฮีชอลด้วยนะซีวอน”

     

                    “ครับคุณป้า” รอยยิ้มอย่างนอบน้อมรับคำของคุณป้าข้างบ้านอย่างยินดี หากแต่สายตายังคงไม่ละจากใบหน้าสวย

     

                    “แม่ครับ ความจริงผมอยู่คนเดียวก็ได้ ไม่ต้องให้คนอื่น มาลำบากแบบนี้”

     

                    คำที่ลงเสียงหนัก พาให้คนชายหนุ่มอาสาตัว ต้องเบือนหน้าหนีไปทางอื่น ปกปิดสีหน้าที่อ่อนล้า ทั้งที่เคยเป็นคนมอบคำนี้ แต่วันนี้กลับต้องมาถูกมันทำร้าย.......พูดไม่คิด ผลของมันเป็นแบบนี้ใช่ไหม

     

                    “มีอะไรกันหรือเปล่าลูก” ใบหน้าสูงวัยมองลูกชายของตนเองด้วยความแปลกใจ

     

                    “ไม่มีอะไรหรอกครับแม่ ผมแค่ไม่อยากเป็นภาระของใคร หรือทำให้ใครต้องลำบากเท่านั้นเอง” ดวงตากลมเหลือบมองใบหน้าคมที่เบือนหนีไป พยายามห้ามก้อนสะอื้นที่จุกอยู่ในลำคอ

     

    ทุกคำพูด ล้วนต้องการตอกย้ำตนเอง ไม่ให้หลงละเมอไปกับสายตาที่เต็มไปด้วยความห่วงใยคู่นั้น

     

                    “ถ้าอย่างนั้น....”

     

                    “ไม่หรอกครับ คุณลุงคุณป้า ผมอยู่เฝ้าฮีชอลได้” ซีวอนมองท่าทีละล้าละลังของผู้ปกครองทั้งสองแล้วต้องรีบแย่งตอบ สองมือคว้าข้าวของของผู้ใหญ่ทั้งสอง พานำออกจาห้อง ก่อนที่เขาจะไม่มีแม้แต่โอกาสได้คุยกับคนรัก....ที่พึ่งรู้ว่ารัก

     

                    อย่าตัดทางของฉันจนหมดสิฮีชอล.... หากไม่มีทางเลือก ฉันไม่รู้นะว่าอะไรจะเกิดขึ้น

     

                    ดวงตากลมมองบานประตูที่ปิดสนิท ตอนนี้ในห้องไม่เหลือใครแล้ว น้ำตาที่เก็บไว้จึงถูกปล่อยออกมา ไม่คิดจะเก็บเอาไว้ให้ทรมานอีกต่อไป

     

                    ความไม่เข้าใจมากมายเกิดขึ้นในความคิด สับสนกับการกระทำที่เหมือนอยากจะรัก และดูแลเสียจนน่ากลัวของคนที่ส่งให้เขาเข้ามาอยู่ในนี้

     

                    นายต้องการจะทำอะไรกันแน่ซีวอน เพราะนายฉันถึงต้องเข้าโรงบาล....แล้วทำไมถึงมาทำดีด้วยตอนนี้ ไม่สายเกินไปหรือไง

     

                    หรือทั้งหมดจะเป็นเพียงฉากหน้า เพื่อจะทำร้ายกันต่ออีก...ฉันจะทนได้แค่ไหนกันซีวอน

     

                    เสียงฝีเท้าที่คุ้นเคย พาให้ใบหน้าหวานต้องหันกลับไปทางอื่น หูได้ยินเสียงปิดเปิดประตูชัดเจน บอกให้รู้ว่า คนนั้นได้กลับเข้ามาแล้ว สิ่งที่จะเจอต่อจากนี้ คงทำได้เพียงแค่อดทน อดกลั้น....จนถึงที่สุด

     

                    ชายหนุ่มมองร่างที่บอบบางเสียจนน่ากลัวว่าจะปลิวไปกับลมพายุที่กรรโชกแรง เสี้ยวหน้าหวานที่มองเห็นได้ ดูสวยงามเชิญชวนให้เข้าไปสัมผัส ซึมซับความนุ่มนวลจากผิวกายที่เคยได้ครอบครองมาทุกตารางนิ้ว

     

                    “นายหลับไปนาน หิวหรือเปล่าฮีชอล” ชายหนุ่มเอ่ยทำลายความเงียบด้วยเสียงที่คิดว่านุ่มนวลที่สุด หวังให้ร่างเล็กได้ปลดปล่อยความกลัวให้จางหายไป แต่กลับได้มาเพียงความเงียบ “เอ่อ..ตอนนี้ที่นายหลับซองมินเอาผลไม้มาเยี่ยม นายอยากกินแอ๊ปเปิ้ลไหม เดี๋ยวฉันปอกเปลือกให้”

     

                    “.........” ไร้เสียงตอบรับจากคนที่นอนนิ่งหันหลัง เหมือนไม่ได้ยินส่งที่มีคนถาม

     

                    “นายคงยังไม่หิวเนอะ ไม่เป็นไร ถ้าหิวก็บอกฉันนะ” ชายหนุ่มยิ้มปลอบใจตัวเอง ดวงตามองแผ่นหลังบางด้วยใจดวงร้าวๆ เดินไปนั่งลงมุมเดิมที่นั่งมาตลอดหลายวัน ทำใจยอมรับกับสิ่งที่เกิดขึ้น

     

                    มิตรภาพที่เคยมี ถูกตัดจนขาดสะบั้นไปนาน....แล้วเมื่อไหร่จะกล้าพูดสิ่งที่อยู่ในใจ

     

                    ถ้าฉันพูด...นายจะรับฟังบ้างไหม หรือเมินเฉยเหมือนตอนนี้

     

                    “ฮีชอลถ้าอยากจะเข้าห้องน้ำก็บอกฉันนะ” ชายหนุ่มพูดแผ่วเบาไร้การตอบรับเหมือนอยู่เพียงลำพังในห้อง ไม่มีโอกาสได้รู้เลยว่าความห่วงใย ถูกส่งไปถึงคนที่อยู่แสนใกล้หรือเปล่า

     

                    น้ำตาที่เคยปล่อยไหลลงมา ถูกบังคับให้กลับลงไปอย่างยากลำบาก ไม่อยากเป็นคนอ่อนแอเหมือนวันเก่าๆอีกแล้ว มือเล็กๆกำผ้าห่มผืนหนาของโรงพยาบาลเอาไว้แน่น อุดมันเข้าที่ริมฝีปาก กลัวเสียงสะอื้นจะหลุดออกมาให้คนร่วมห้องได้สมเพช

     

                    ทุกประโยคที่ได้ยินเหมือนเต็มไปด้วยความหวังดี หากแต่ร่างบางก็ถูกทำร้ายมามากเกินกว่าจะหลงเชื่อกับลมปากเพียงไม่กี่คำ

     

    ไม่แน่ใจว่าเมื่อเผลอตอบรับไปแล้ว สิ่งที่ได้รับจะยังคงเป็นคนดีที่เคยรอคอยมานานแสน หรือจะกลับไปเป็นคนร้าย ที่เฝ้าเยาะเย้ยทำร้าย คนเดิมคนนั้น

     

                    ..นายต้องการอะไรจากฉันกันแน่ ซีวอน ฉันไม่เหลืออะไรแล้วนะ แม้แต่ชีวิตก็มีมันอยู่แค่น้อยนิดเท่านั้นเอง....ปล่อยฉันไปไม่ได้หรือไง

     

                    ความสับสนที่อัดแน่น ภาพความหลังที่ตีกันไปมาระหว่างความสุขและความทุกข์ของผู้ชายหนึ่งคน ขับกล่อมให้ฮีชอลไม่อาจฝืนทานฤทธิ์ยาได้ เปลือกตาบางค่อยๆปิดลงทุกขณะ

     

                    ซีวอนนั่งนิ่งในท่าเดิม มองแผ่นหลังขึ้นลงเป็นจังหวะสม่ำเสมอ ทั้งที่มีกันอยู่แค่เพียงสองคนในห้อง แต่กลับไม่มีคำพูดอะไรจนน่าอึดอัด แต่เขาคงไม่สามารถยอมแพ้แค่นี้ได้

     

                    “จะหลับ ผ้าห่มก็ไม่ห่มให้ดีนะฮีชอล ปวดขาขึ้นมาแล้วก็แย่สิ”   ร่างสูงเดินเข้าไปใกล้ร่างที่หลับสนิท จัดผ้าห่มที่ถูกกองอยู่ปลายเตียง แผ่คลุมร่างบางที่นอนคุดคู้เพราะความหนาวเย็นของอากาศ

     

                    ชายหนุ่มเดินอ้อมเตียงมายังใบหน้าหวาน มือลูบกลุ่มผมนุ่ม ขับกล่อมร่างเล็กให้หลับสบายยิ่งขึ้น อีกมือเกลี่ยเช็ดคราบน้ำตาที่เหลืออยู่อย่างแผ่วเบา กลัวจะรบกวนคนนอน

     

                    รอยยิ้มอ่อนบนใบหน้าหวาน ทำให้คนมองอดไม่ได้ที่จะยิ้มตาม หากแต่ในเป็นรอยยิ้มที่เจือปนด้วยความเศร้า “กำลังฝันดีหรือฮีชอล ในฝันของนายจะมีฉันอยู่บ้างไหม”

     

                    ความอบอุ่นที่ตามหามานาน เมื่อได้ไขว้คว้ามาไว้ในมือได้แล้ว โลกแห่งฝันที่วุ่นวายก็ดูสงบสุขจนอดไม่ได้ที่จะยิ้ม และมีความสุขอยู่ในความฝัน

     

                    ริมฝีปากละออกห่างจากหน้าผากเนียน ดวงตาคมจ้องมองใบหน้าที่หลับพริ้ม อย่างน้อยๆสัมผัสที่เขามอบให้ด้วยความรัก ก็ไม่ทำลายความสุข

     

    ซีวอนกลับมานั่งคิดกับตนเองหากไม่มีซองมิน แล้วอีกนานแค่ไหนถึงจะได้รู้ใจตัวเอง ต้องปล่อยให้อะไรๆเกิดขึ้นจนสายไปจะรั้งไว้หรือเปล่า

     

                    “ทำไมแกโง่แบบนี้วะซีวอน ทำไม” 

     

                    ความเงียบที่กลืนกินห้องมานาน ดวงจันทร์ขึ้นลอยเด่นอยู่เกือบกลางท้องฟ้า เป็นเวลาที่ซีวอนหลุดออกมาจากความคิดของตนเอง เหลือบมองนาฬิกาแขวนเรือนใหญ่ ที่บอกว่าใกล้สี่ทุ่มแล้ว หากแต่ร่างบางยังคงหลับใหลอยู่เช่นเดิม

     

                    “อื้อ ... อื้อ” เสียงหวานครางลั่นในลำคอ ยามถูกรบกวนเวลาพักผ่อนที่แสนสบาย รู้สึกเหมือนมีอะไรยุบยิบอยู่ตรงหน้าอก จนต้องลืมตาขึ้นมอง

     

                    ใบหน้าเรียวขับเน้นสันคางด้วยไรหนวด คิ้วเรียวขมวดเข้าหากันและดวงตาดุที่มองเห็นอยู่ใกล้เกินกว่าจะวางใจ แต่ก็ไม่น่ากลัวเท่าสองมือหนาที่ระรานอยู่กับเชือกผูกของเสื้อโรงพยาบาล จนคนที่พึ่งลืมตาขึ้นมองต้องหวีดร้องด้วยความหวาดหวั่น

     

    “ซีวอน...นายยจะทำอะไร ปล่อยนะ” เสียงหวานสั่นเทา ปัดป่ายมือหนาออกจากเสื้อตัวโคร่ง น้ำตาจวนเจียนจะไหลลงมาอีกครั้ง นี้ใช่ไหมที่นายต้องการ ที่ต้องฉาบหน้าว่าเป็นคนดี ก็เพื่ออย่างนี้ใช่ไหม

     

                    จะทรมานฉันไปจนกว่าจะตายเลยใช่ไหม..  

     

                    มือหนาตะครุบปิดกลีบปากสีซีดด้วยความรนราน ไม่คิดว่าความหวังดีจะกลายเป็นสิ่งที่ทำให้ฮีชอลหวาดกลัวได้ถึงเพียงนี้ “อย่าร้องนะ ฉันไม่ได้จะทำ แค่จะเช็ดตัวเท่านั้น ฉันขอโทษ”

     

                    ชายหนุ่มกวาดร่างบางเข้ามาซุกในอกหน้า พยายามจะปลอบโยนเหมือนที่เคยทำสมัยก่อน แต่ร่างเล็กบางกลับขัดขืน ใช้แรงที่มีอยู่น้อยนิด ผลักดัน จนลืมไปว่ามีเข็มเกาะติดอยู่ที่มือ

     

                    “โอ้ย! 

     

                    เสียงที่ร้องด้วยความเจ็บ พาให้ซีวอนเผลอคลายอ้อมกอด หากแต่ยังไม่ปล่อยร่างเล็กให้ออกห่าง สายตาเต็มไปด้วยคำขอโทษมากมาย ที่ไม่อาจพูดออกมาได้หมด “เจ็บหรือเปล่า ให้ฉันดูหน่อย”

     

                    “ปล่อย! ปล่อยฉัน”

     

                    แขนที่เต็มไปด้วยกล้ามเนื้อจำใจคลายออก เพราะทนไม่ได้กับน้ำที่เอ่อคอในดวงตาคู่กลม ที่สะท้อนความรู้สึกมากมาย หนึ่งในนั้น คือความกลัว

     

                    ปลายสายน้ำเกลือมีหยดเลือดไหลย้อนขึ้นมาจนน่ากลัว แต่เจ้าของกลับไม่ให้ความสนใจ สองมือบางจับเสื้อที่หลุดลุ่ย รวบเข้าหากันแน่น มองชายหนุ่มตรงหน้ากลัวเหตุการณ์ซ้ำๆเดิมๆ จะเกิดขึ้นที่นี้ ที่โรงพยาบาลแห่งนี้ “นายจะทำอะไร”

     

                    “ฉันเอ่อ....จะเช็ดตัวให้ ขอโทษ ฉันไม่รู้ว่า...กลัวฉันขนาดนี้” ประโยคสุดท้ายแสนแผ่ว กับสิ่งทีได้รับ แต่ก็ไม่อาจโทษใครได้ เมื่อทุกอย่างมันเกิดขึ้นจากการกระทำของเขา ที่คอยแต่จะทำร้าย จนไม่เหลือเรื่องดีๆให้จดจำ

     

                    “แล้วทำไมไม่เรียกพยาบาล” ใบหน้าหวานแดงก่ำเพราะความโกรธที่ใช้ข่มความกลัว หายใจหอบด้วยความเหนื่อย

     

                    “ก็เขาเป็นผู้หญิง แล้วนายเป็นผู้ชายจะให้มาเช็ดตัวได้ยังไง ฉันก็เลยจะเช็ดตัวให้” เป็นไม่กี่ครั้งที่คนอย่าง ชเว ซีวอน จะพูดอยู่ในลำคอเหมือนคนที่ไม่มั่นใจในสิ่งที่ทำ

     

                    “บุรุษพยาบาลก็มี อีกอย่างนะซีวอน ฉันไม่ได้ขอร้องให้นายทำเลย แล้วนายก็ไม่จำเป็นต้องอยู่ที่นี้ด้วย กลับไปได้แล้วซีวอน” ร่างเล็กมองเห็นสิ่งแปลกใหม่ในดวงตาคู่คม จนกล้าพอที่จะขับไล่ชายหนุ่มไป  

     

                    “ทำไมห่ะ” ความอดทนที่มีอยู่ต่ำ ขาดลงเพียงเพราะคำขับไล่อย่างไร้เยื่อใย มือจับสองบ่าเล็กเอาไว้มั่น ดวงตาคมจับจ้องดวงตากลม กระซิบถามเสียงต่ำเหมือนที่เคยใช้ยามควบคุมตนเองไม่ได้ “ไล่ฉันหรอ ลืมไปแล้วหรือไงว่าฉันเป็นอะไรของนาย ”

     

                    สาบเสื้อที่ถูกรวบไว้ด้วยมือบาง ถูกกระชากออกอย่างแรงเปิดรอยรักสีจางที่ขึ้นปนกับรอยช้ำจากโรคที่เป็น “หรืออยากจะโชว์รอยพวกนี้ให้ชาวบ้านเขาเห็น”  

     

                    “ปล่อยนะ ปล่อยเถอะขอร้อง อย่าทำแบบนี้ได้ไหมซีวอน” น้ำตาที่ห้ามไม่ให้ไหล มันดื้อดึงไม่เชื่อฟัง ไหลลงมาอย่างน่าอดสู สองมือเล็กผลักอกหนาออกห่างแต่ร่างสูงไม่ขยับเลยสักนิด

     

                    “ขอร้องฉัน แล้วเมื่อกี้ไล่ฉันป่าวๆ ไม่แน่เลยนะฮีชอล ไล่อีกสิ ไล่ฉันอีก” ซีวอนกล่าวคำท้าทาย ก่อนก้มซุกไซ้ซอกคอขาวอย่างรุนแรง ไม่สนใจแรงอันน้อยนิดที่มีกระหน่ำทุบลงมา สองมือรวบข้อแขนเล็กทั้งสองเอาไว้แน่น

     

                    “โอ้ย!!” ฮีชอลร้องเสียงหลงด้วยแรงบีบรัดที่ข้อมือกดทับลงมาจนถึงหลังมือที่มีเข็มขนาดใหญ่เจาะอยู่จนเลือดไหลซึมออกมา  “เจ็บ ซีวอน ฉันเจ็บ”

     

                    “ฮีชอล ฉันขอโทษ” ชายหนุ่มผละออกจากร่างเล็ก เพราะหลังมือบางที่เขียวช้ำเป็นวงกว้าง และเลือดที่แดงสดที่ซึมออกมา ชายหนุ่มยกหลังมือนั้นขึ้นจรดริมฝีปาก ดวงตาเต็มไปด้วยความสำนึกผิดในอารมณ์ชั่ววูบ “ฉันไปเรียกพยาบาลนะ อย่าเป็นอะไรนะฮีชอล”

     

                    ชายหนุ่มวิ่งหายออกไป และกลับเข้ามาอีกครั้งพร้อมหมอและพยาบาล เข้ามาดูหลังมือที่ม่วงช้ำ สายน้ำเกลือที่มีเหลือไหลย้อนเข้าไปถูกจัดการรีดออกจนหมด โดยมีสายตาแห่งความเสียใจของผู้กระทำมองดูอยู่ห่างๆ

     

                    ผ้าม่านที่คลุมรอบเตียงถูกปิดรอบด้าน กั้นชายหนุ่มเอาไว้ด้านนอกเมื่อพยาบาลสาวเช็ดตัวคนไข้ที่ใบหน้ายังคงเปื้อนรอยน้ำตา รอบคอบางแดงก่ำด้วยการกระทำที่รุนแรง

     

                    “ฉันขอโทษนะฮีชอล แต่ต่อจากนี้มันจะไม่เกิดขึ้นแล้ว ฉันสัญญา” ทันทีที่ไร้บุคคลที่สาม ซีวอนก็ทำลายความเงียบอันน่อึดอัดนี้ลง

     

                    “ อย่าสัญญา ถ้านายทำไม่ได้ซีวอน” น้ำตาที่ถูกเช็ดออกไป จวนเจียนจะไหลงลงมาอีกครั้ง จนต้องกัดริมฝีปากตนเองเอาไว้ พยายามไม่หันไปสบสายตาคู่ที่มองอย่างแสนอาวรณ์ “แล้วถ้าคืนนี้นายจะเฝ้าฉันจริงๆ ก็มานอนที่โซฟานี้ นั่งอยู่บนเก้าอี้ตรงนั้นคงไม่สบายตัวนักหรอก”

     

                    “ฮีชอล คืนนี้นายไม่ต้องกลัวนะ มันจะไม่มีเรื่องแบบเมื่อกี้อีกแล้ว” หน้าคมเข้มปรากฏรอยยิ้มขึ้นเล็กๆ อย่างน้อย...เขาก็ยังได้รับความห่วงใยจากฮีชอล

     

                    “อย่าลืมเตือนตัวนายเองแล้วกัน” ร่างกายเล็ก พลิกตะแคงหันหลังให้แก่ชายหนุ่ม ไม่ยอมรับการช่วงเหลือจากมือหนาที่ยื่นมา “คืนนี้นายอย่ามายุ่งกับฉันอีกเลยนะ”

     

                    ดวงตากลมยังคงเปิดกว้าง มองออกไปยังท้องฟ้าไร้แสงดาว ปล่อยหยดน้ำใสๆให้ไหลงลงมาอย่างช้าๆ นึกชื่นชมตัวเอง ที่ยังเก็บเอาไว้จนถึงนาทีนี้

     

                    ซีวอนนายต้องการอะไรจากฉันกันแน่...นายจะดีหรือร้าย ช่วยทำให้ฉันเข้าใจได้ไหม

     

                    ซีวอนยืนมองแผ่นหลังเล็กอย่างหมดแรง ไม่รู้เลยว่า หนทางข้างหน้าจะเป็นอย่างไร แค่วันนี้ เขาก็ทำพลาดไปอีกแล้ว  

     

                    สัมผัสเย็นฉ่ำจากหางตาทำให้ต้องใช้มือปัดออก ก่อนจะรู้ได้ว่ามันเป็นหยดน้ำตาที่ไหลลงมาอย่างไม่รู้ตัว จนชายหนุ่มได้แต่ยิ้มเยาะให้กับตัวเองในความมืด

     

    ....ฉันจะได้โอกาสจากนายหรือเปล่าฮีชอล....

     

    * ~ * ~ * ~ * ~ *~ * ~* ~* ~ * ~ * ~ * ~ * ~ * ~ * ~ *

     

    ชายหนุ่มร่างสูงลืมตาขึ้นมองเสียงดังที่ได้ยินแผ่ว อดแปลกใจไม่ได้กับผ้าห่มผืนหนาที่ห่มคลุมตัว เหลียวมองไปที่เตียงกลางห้องตั้งใจว่าจะขอบคุณที่ยังอุตส่าห์หวังดีกับคนอย่างเขา กลับเจอแต่ความว่างเปล่า

     

                    “ว่าไงซีวอนตื่นแล้วหรอ นอนที่โซฟาสบายไหม”

     

                    “ซองมิน....” ชายหนุ่มกดลงบนหัวคิ้วคลายความง่วงงุน “ฮีชอลไปไหน แล้วทำไมมาแต่เช้าแบบนี้”

     

                    ดวงตาของซองมินมองเลิ่กลั่กไป พร้อมคำตอบแสนถนอมเสียง “อ้อวันนี้ฉันไม่มีเรียนหน่ะ ก็เลยมาเยี่ยม นายไปเรียนสิ เดี๋ยววันนี้ทั้งวันฉันอยู่เป็นเพื่อนฮีชอลเอง”

     

                    “ไม่เป็นไร แล้วฮีชอลหายไปไหน หมอพาไปตรวจหรอ” ซีวอนจี้ถามคำถามเดิมก่อนหายลับเข้าไปจัดการตัวเองในห้องน้ำ

    “เอ่อ..ฮีชอล ไปกับ..”

     

                    “ซองมิน ซีวอนไปแล้วหรอ” ร่างบางที่ถูกประคองมาในอ้อมแขนของเพื่อนสนิท เปิดประตูกลับเข้ามาในห้อง ที่แรกที่มองไปคือโซฟาที่ว่างเปล่า แม้ดูเหมือนจะโล่งใจ หากแต่ก็ไม่อาจเก็บความเสียใจเอาไว้ได้

     

                    “ฮีชอลหมอว่าไง...บ้าง” ทันทีทีได้ยินเสียงหวานซีวอนก็รีบออกมาจากห้องน้ำ หวังจะช่วยเหลือดูแลร่างบาง แต่กลับต้องชะงักงันเมื่อเห็นว่ามีอีกหนึ่งคอยยืนอยู่แนบชิดร่างเล็ก อดไม่ได้ที่จะเผลอประชดตามนิสัยเดิมๆ “คงไม่ได้ไปให้หมอตรวจสินะ”

     

                    “ฉันพาฮีชอลออกไปเดินเล่น รับอากาศตอนเช้ามา แล้ววันนี้ก็จะอยู่ทั้งวัน ส่วนนายก็ไปเรียนได้แล้วมั้งซีวอน เห็นว่าขาดเรียนมาหลายวันแล้วไม่ใช่หรอ” จองวูประคองร่างกายที่บอบบางขึ้นเตียงคนไข้ ก่อนหันมาตอบพร้อมรอยยิ้มมุมปาก

     

                    “ ไม่เป็นไร อย่างฉันขาดอีกสักอาทิตย์ก็ไม่ตกหรอก นายเป็นยังไงฮีชอล ออกไปเดินเล่นข้างนอกเหนื่อยหรือเปล่า” ซีวอนรู้ดีว่าข้อเสียของตนคืออะไร จึงพยายามปล่อยผ่านคำพูดที่จะทำให้อารมณ์ร้อนปะทุขึ้นมา.....ไม่อยากให้เกิดเรื่องเหมือเมื่อคืนวานอีก

     

                    “ไม่เหนื่อยหรอก นายจะไปเรียนก็ได้นะซีวอน ฉันคงไม่เป็นอะไรแล้ว อีกไม่นานก็กลับบ้านได้แล้ว”  ใบหน้าสวยหวานมองผ่านชายหนุ่มร่างสูง ไม่กล้าที่จะมองสบสายตาที่มากล้นด้วยความรู้สึกคู่นั้น

     

                    “ฮึ ทำไมอยากไล่ฉันไปกันจัง ฉันอยู่แล้วมันน่าอึดอัดหรือไงฮีชอล” ความน้อยใจแล่นขึ้นมาเมื่อได้ยินคำพูดขับไล่ที่พยายามไม่เก็บมาคิด แต่มันก็ห้ามใจไม่ได้

     

                    “ซีวอน..”

     

                    “ไม่ต้องซองมิน” มือหนายกห้ามเพื่อนตัวอวบที่หน้าซีดเผือดไปแล้ว “ฉันแค่สงสัยเท่านั้นเอง ว่ามันน่าอึดอัดมากนักหรอ”

     

                    “ก็ควรจะรู้ตัวเองไม่ใช่หรือไง” จองวูตอบให้พร้อมรอยยิ้มของผู้ชนะ

     

                    “ฉันถามฮีชอลไม่ใช่นาย”  ดวงตาคมจ้องจับที่ร่างบางอย่ารอคอย อย่างน้อยหากวันนี้ไม่อึดอัด เขาก็คงพอจะมีความหวังสำหรับคำถามที่ไม่กล้าจะถามออกไป “ให้ฉันอยู่ต่อได้หรือเปล่า สำหรับวันนี้และวันต่อๆไป”

     

                    “ฉันเอ่อ...” สายตาคู่คมที่เคยแข็งกร้าวดูสั่นไหวและหม่นหมองเต็มไปด้วยความกังวลกับคำตอบ กัดกร่อนหัวใจดวงน้อยให้อ่อนไหวเกินกว่าจะฝืนให้เป็นได้อย่างที่ใจต้อง “ถ้านายอยากจะอยู่ ก็ได้”

     

                    “ขอบคุณมาก ฮีชอล” รอยยิ้มอ่อนแสงปรากฏขึ้นในทันที ก่อนจะเอื้อมมือไปหวังคว้าร่างบางเข้ามาโอบกอด หากแต่คนบนเตียงกลับถอยหนีไปเกินเอื้อม มือใหญ่ตกลงที่ข้างลำตัวรับรู้สถานะของตนเองอย่างช้าๆ และตัดใจเดินห่างออกมากลับไปยังโซฟาที่มุมห้อง

     

                    ...แค่เขาให้อยู่ด้วยก็ดีมากแล้วซีวอน แกยังอะไรมากกว่านี้อีกหรือไง...

     

                    “ถ้าอย่างนั้นเรากลับกันไหม จองวู  คนอยู่เยอะๆฮีชอลจะไม่ได้นอนเอา” ซองมินเหลือบมองร่างสูงไปมา คนนึงก็ยึดที่นั่งข้างเตียงคุยเล่นอย่างอารมณ์ดี อีกคนก็นั่งนิ่งอยู่ที่โซฟาเหมือนว่าขอแค่ให้ได้อยู่ในห้องนี้เท่านั้น

     

                    “ฉันไม่กลับ นายกลับไปก่อนก็ได้ซองมิน ไอ้เจ้าคยูฮยอนจะได้ไม่เป็นห่วง” จองวูตอบกลับเพื่อนสนิท หากแต่สายตายังคงไม่ละจากใบหน้าหวานที่ติดซีดอยู่เล็กน้อย

     

                    “ถ้าอย่างนั้นฉันรอกลับพร้อมนายก็ได้” ซองมินทำเสียงอุบอิบในลำคอ นึกเคืองเพื่อนสนิทที่ไม่ยอมให้ความร่วมมือ ใบหน้าอิ่มหดเล็กลง ทำตัวลำบากกับความอึดอัดที่เกิดขึ้น “เออ ฮีชอลฉันเอาแผ่นหนังมา จะดูไหม”

     

                    “ก็ได้” ฮีชอลรีบรับคำอย่างเต็มใจ สายตาลอบชำเลืองมองร่างสูงที่นังนิ่งอยู่บนโซฟาอย่างนึกสงสัย

     

                    ...นายจะอดทนทำดีกับฉันไปอีกนานแค่ไหนกันซีวอน....ความสุขที่มีนายแบบนี้จะมีไปอีกนายแค่ไหน

     

                    ...อย่าทำร้ายฉันอีกเลยนะ ซีวอนของฉัน....

     

                    สองชั่วโมงกว่าของหนังตลกที่ซองมินเปิดให้ดู เรียกเสียงหัวเราะจากทุกคนในห้อง ยกเว้นก็แต่เพียงชายหนุ่มที่นั่งอยู่โซฟา ในสายตามีเพียงร่างบางที่กึ่งนั่งกึ่งนอนอบู่บนเตียง เหมือนว่าคลาดสายตาไปเพียงนิด คนที่เขารักก็จะเลือนหายไป

     

                    รอยยิ้มที่สดใส พาให้หัวใจที่แห้งแล้งชุ่มชื่นและมีหวังมากขึ้น

     

                    ชายหนุ่มเฝ้ารอวันที่ร่างบางจะแข็งแรงดี พอจะรับฟังความรู้สึกของเขา....คงอีกไม่นานแล้ว

     

                    “อาหารของคุณฮีชอลมาแล้วค่ะ” เสียงของพยาบาลหน้าห้องดังขึ้น ก่อนเข้ามาพร้อมถาดอาหารที่มีอาหารอ่อนสำหรับคนป่วยเข้ามาวางบนโต๊ะ ก่อนเดินออกไปพร้อมส่งรอยยิ้มให้เพื่อนของคนป่วยทั้งสาม

     

                    “ฉันช่ว...”

     

                    “มา ฮีชอล เราช่วย”  ชายหนุ่มที่อยู่ใกล้เตียงมากกว่า พูดเสียงดังกลบเสียงของอีกคนที่นั่งเงียบมานาน ก่อนจะเลื่อนโต๊ะวางอาหารเข้ากับเตียง จัดการปรับระดับเตียงให้เหมาะกับการทานอาหาร

     

                    “เราป้อนให้เอาไหม” เสียงของจองวูเต็มไปด้วยล้อเลียนคนป่วย ที่แฝงนัยของความห่วงหาและรักใคร่ จนใครบางคนที่ถูกตัดหน้าสัมผัส

     

                    ซีวอนมองเห็นความสนุกที่ไม่มีช่องว่างให้แทรกกลางแล้วได้แต่หวั่นวิตก หากปล่อยไปเนิ่นนาน ดวงใจที่ซองมินว่าเขาได้ครอบครองไว้ จะหลุดลอยไปหาคนอื่นหรือเปล่า

     

                    แล้วเมื่อถึงวันนั้น....เขาจะทำอย่างไร

     

                    “เอ่อ..ฮีชอล นายยังไม่มีของหวาน ฉันไปจัดผลไม้ให้นะ”

     

                    “อ่ะ...อือ ขอบคุณนะ” ดวงตากลมมองตามแผ่นหลังกว้างที่เดินไปจัดการกับผลไม้ที่คนนำมาเยี่ยม ไม่เข้าใจเลยว่าซีวอนกำลังคิดอะไรอยู่

     

    ความห่วงใยในดวงตาคู่คม ฮีชอลมองมันออก และรับรู้ความอบอุ่นที่ได้รับถ่ายทอดมา แต่ความเจ็บปวดที่ได้รับมันยังค้างคาอยู่ในใจ จนไม่กล้าเชื่อมั่นในสิ่งที่เห็น ทั้งยังอดแปลกใจไม่ได้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกัน

                    กับคนที่ไม่เคยดูแลใส่ใจ มีแต่ทำร้าย...มาวันหนึ่ง จะทำดี เป็นใครคงอดระแวงไม่ได้จริงๆ แม้ว่าคนนั้นจะเป็นฮีชอล

     

                    ที่รักซีวอนจนไม่เหลือที่ว่างให้ใคร......

     

                    ซีวอนก้มหน้าทำในสิ่งที่ไม่เคยคุ้น เผลอจับผลไม้อย่างแรงจนมันช้ำคามือ ความคิดค่อยๆไหลไปจนไม่จดจ่อกับสิ่งที่ทำ ความรักก็คงเหมือนผลไม้พวกนี้

     

                    รุนแรงกับมัน มันก็จะบอบช้ำ...และหลุดมือไป ต้องเบามือยามสัมผัส รอคอยอย่างใจเย็นเพื่อเชยชิมความหอมหวาน

     

                    “ไม่เอาแล้วจองวู ฮ่าๆๆ อย่างแกล้งสิ”

     

                    “ไม่ได้แกล้ง แต่กินอีกนิดนะ”

     

                    “นิดเดียวจริงๆนะ”

     

                    “อือ จริงๆ”

     

                    บทสนทนาที่เต็มไปด้วยความสุขลอยเข้ามาให้ได้ยิน เสียงหัวเราะหวานที่เขาไม่ได้ยินมานานจนเกือบไปแล้ว เวลาฟังมันมีความสุขเจือปนด้วยความเจ็บ จนต้องทำเมินเฉยไม่สนใจสิ่งที่ได้ยิน

     

                    อยู่ๆภาพที่มองเห็นก็พร่าเลือนโดยไม่รู้ตัว ก่อนจะมองเห็นหยดน้ำที่หยดลงมา อดไม่ได้ที่จะต้องเยาะยิ้มสมเพชตัวเอง

     

                    “อิ่มแล้วนะจองวู พอเหอะ ไหนว่านิดเดียวไง”

     

                    “เอาหน่า อีกนิดก็หมดแล้วนะฮีชอล เอางี้ถ้าหมดแล้ว เราจะพานายไปเดินเล่นอีกเอาไหม”

     

                    “สัญญานะ ว่าถ้าฉันกินหมดนี้นายจะพอไปอ่ะ”

     

                    “อือ คราวนี้จริงๆแล้ว”

                   
                     
    “นายนี้น่ารักจริงๆเลยจองวู”

     

                    “น่ารักแล้วรักหรือเปล่าหล่ะ”

     

                    “รักสิ”

     

                    “โอ้ย” เลือดแดงสดค่อยๆไหลออกมาอาบนิ้วเรียวซ้ำซ้ำแผลเก่าที่ถูกกัด แต่ปลายมีดแหลมคมที่บาดเข้ามา ก็ไม่เจ็บเท่ากับคำพูดที่ปักแน่นอยู่กลางใจ

     

                    คำพูดที่ตั้งใจปล่อยผ่าน แต่ไม่รู้เมื่อไหร่ที่หันความสนใจทั้งหมดไปกับการฟัง จนไม่ทันมองมีดแหลมในมือ

     

                    แผลที่ปลายนิ้ว เหมือนจะไร้ความหมายเมื่อเทียบกับหัวใจที่ถูกแร่ออกด้วยคำหวานที่คนอื่นได้เป็นเจ้าของ.......แล้วฉันหล่ะ ไม่น่ารัก แล้วนายรักหรือเปล่า

     

                    “ซีวอนเป็นอะไร” เสียงร้องด้วยความเจ็บปวดของชายคนหนึ่งที่เคยทำร้ายจนบอบช้ำ แต่ก็ไม่เคยละเลยได้สักครั้ง ร่างบางรีบพาตัวเองที่มีเสาน้ำเกาะติดมาหาชายหนุ่มด้วยใจร้อนรน

     

                    “ฉันไม่เป็นอะไรหรอกฮีชอล แค่มีดบาดเท่านั้นเอง” หัวใจที่แห้งแล้งเต้นระรัวยามมีร่างบางนี้ชิดใกล้ มองดูใบหน้าหวานที่ก้มต่ำ รูปหน้าที่สวยหวาน ผิวขาวที่ดูบอบบาง จนแตกสลายไปได้ง่ายๆ สิ่งเหล่านี้เคยเห็นมานาน....แต่ทำไม ยังเผลอทำได้อย่างใจร้ายที่สุด

     

                    “แค่มีดบาดของนายแต่มันย้ำรอยที่ฉัน..กัด.” เสียงหวานหลุดออกมาแผ่วเบา กับสิ่งที่ชายหนุ่มสละตนเองเพื่อเขา มันคงเจ็บมาก แต่ซีวอนก็ยังทนมันได้

     

                    ฮีชอลรู้ดีว่าหน้าตัวเองร้อนผ่าวแค่ไหน เมื่อสัมผัสมือหนาใหญ่ที่เคยแต่ทำร้าย แต่วันนี้มันอยู่นิ่งเป็นไปตามการชักนำของเขา “ล้างน้ำก่อนนะซีวอน เดี๋ยวออกไปให้หมอทำแผลให้นะ”

     

                    เสียงขอร้องจากใบหน้าซีดเผือด...ภาพที่เคยเห็นบ่อยครั้ง แต่ไม่เคยมีครั้งไหนที่ทำให้ใจเต็มตื้นได้ถึงขนาดนี้ ทุกครั้งมันมาจากความกลัว อยากหลบหนีไปให้ไกล แต่ครั้งนี้ มันมาจากความห่วงใย แล้วมันมีความรักมาด้วยหรือเปล่านะ

     

    ...มันเป็นคำถามที่ไม่กล้าฟังคำตอบ

     

                    “ไปต้องหรอกฮีชอล ฉันไม่ได้เป็นอะไรจริง”....มันเป็นแค่เล็กๆ เทียบไม่ได้กับสิ่งที่ฉันเคยทำหรอก

     

                    “ถ้านายไม่ไปทำแผล งั้นนายก็กลับไปได้แล้วซีวอน ไม่ต้องมาเฝ้าฉันอีก” เพราะความใจดี และความห่วงใยที่ได้รับ ทำให้ฮีชอลกล้าพอจะลองยื่นเงื่อนไขให้ชายหนุ่มทำตาม ทั้งที่ในใจกำลังรอลุ้นผลด้วยความระทึก

     

                    ดวงตาคมจ้องมองใบหน้าหวานนิ่ง ฟังคำสั่งด้วยใจที่เอ่อล้นด้วยความสุข รับความหวังดีนั่นมาอย่างยินดี “ก็ได้ ฉันจะไปให้พยาบาลทำแผล แต่คราวหลังนายอย่าลงมาจากเตียงแบบนี้นะ”

     

                    ซีวอนโอบประคองฮีชอลที่ผอมซูบลงไปอีกอย่างเบามือ ในวงหน้าหน้าของคนทั้งสองเต็มไปด้วยรอยยิ้ม ที่ไม่มีคำพูดแต่หัวใจก็รับรู้ถึงกันได้ “นายนอนรอฉันก่อนนะ ฉันไปทำแผลแป๊บเดียว แล้วจะเอากลับมาให้ดู”

     

                    ร่างสูงเดินออกจากห้องพักคนไข้ด้วยใจที่พองฟู ผิดกับอีกคนในห้องที่ได้ยิน และรับฟังทุกอย่าง ด้วยใจที่เจ็บร้าว

      

                    รู้ดีว่าไม่รัก แต่ก็ยังคาดหวังและเฝ้าภาวนา ว่าสักวันจะได้ดวงใจดวงนี้มาครอบครอง แต่มาถึงตอนนี้ ความหวังนั้นหลุดลอยไปไกลแค่ไหนแล้ว

     

                    ซองมินมองเพื่อนสนิทที่นั่งอยู่ข้างตัวอย่างสงสาร แต่เรื่องของความรัก ไม่มีใครบังคับใครได้ มันเป็นเรื่องของคนสองคน เมื่อเกินมา ก็คงต้องมีใครสักคนต้องเจ็บ และคงไม่ผิด หากว่าซองมินอยากจะให้คนนั้นเป็นเพื่อนของตัวเอง

     

                    ....นายอยากไปรักคนที่เขามีเจ้าของหัวใจอยู่แล้วทำไมกันจองวู....เฮ้อ

     

                    มืออูมตบลงบนไหล่เพื่อนรักเบาๆ พร้อมรอยยิ้มอ่อนโยน ให้กำลังใจเพื่อนสนิทที่หัวใจคงเหี่ยวแห้ง ไม่ต่างจากเพื่อนของคนรัก ในหัวเล็กๆกำลังคิดบางอย่างที่หากมีคนรู้คงไม่แคล้วมีแต่คนส่ายหน้า

     

                    จับคนผิดหวังสองคนให้มาสมหวังกันเอง ก็คง...น่ากลัวไม่น้อย

     

                    อย่าคิดต่อเลยดีกว่าซองมินเอ้ย.....มันสยองพิลึก

     

                    “เป็นอะไร ทำไมยิ้มแหยๆแบบนั้น” จองวูหันมาถามเพื่อนข้างกายที่ทำหน้าตาแปลกๆ

     

                    “เอ่อ..เปล่าไม่มีอะไรหรอก ฮีชอลนายอยากกินผลไม้อีกไหม ฉันจะได้ปอกให้” ซองมินรีบเปลี่ยนเรื่องพูดในทันทีที่เพื่อนรักถาม

     

                    “ไม่เอาแล้วหล่ะ อิ่มแล้ว จองวูนายอย่าลืมนะว่าติดสัญญาจะพาฉันไปเดินเล่นหน่ะ”

     

                    “อือ ไม่ลืมหรอก เราพาไปได้เสมอแหล่ะ ถ้ายังอยากให้เราเป็นคนพาไป”

     

                    เสียงเศร้าของเพื่อนสนิท ฮีชอลรับรู้มันได้ดี แต่ก็ทำได้เพียงยิ้มรับ และรอคอยสักวันที่จะมีคนที่ดีพร้อมเข้ามารักษาหัวใจ ที่เขาทำร้ายไปโดยไม่ตั้งใจ “อยากสิ ให้จองวูพาไปไหน่ะดีที่สุดแล้ว ซองมินหน่ะขี้บ่นเกินไป”

     

                    “อ้าว ทำไมว่ากันแบบนี้หล่ะฮีชอล ที่บ่นหน่ะ เพราะรัก  เพราะเป็นห่วงรู้ไหม” ซองมินรีบแก้ตัวในทันที

     

                    “รู้ และก็เพราะรู้ ถึงได้ไม่อยากให้เป็นห่วงไง”

     

                    “แต่เราก็เป็นห่วงฮีชอลนะ”

     

                    ทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบ เมื่อจองวูร้องบอกอย่างเด็กที่กำลังกลัวการหลงลืมความสำคัญ “ฉันก็เป็นห่วงนายนะจองวู”

     

                    “ฮีชอล ฉันทำแผลแล้วนะ” ซีวอนเปิดประตูเข้ามาท่ามกลางความเงียบสลบ ความจริงแล้ว เขามาถึงหน้าประตูก นี้ ตั้งแต่ที่ฮีชอลพูดว่าเป็นห่วง และเขาก็กลัวจะได้ยินความรู้สึกที่ลึกล้ำกว่านี้ จนต้องรีบเปิดประตูห้องเข้ามา

     

                    “อืออ แล้วอย่าไปโดนน้ำอีกนะ” ฮีชอลมองนิ้วเรียวยาวที่พันด้วยผ้าก๊อชอย่างพอใจ ก่อนจะสะดุ้งสุดตัวเมื่อได้ยินเสียงโทรศัพท์ข้างกาย “ครับแม่”

     

                    /ฮีชอลเป็นยังไงบ้าง ดีขึ้นหรือยัง กว่าแม่จะไปหาได้คงเย็นๆแน่เลย/

     

                    “ดีขึ้นแล้วครับ พ่อกับแม่มีธุระหรอครับ ไม่ต้องรีบก็ได้ ผมอยู่ได้” ฮีชอลไม่ได้พูดเพื่อให้แม่สบายใจ แต่เขามั่นใจว่าอยู่ได้ จริงๆ

     

                    /เปล่าไม่ได้มีธุระอะไรหรอก แต่บ้านมันมีแต่ฝุ่น รีบทำเสียก่อนที่ฮีชอลจะกลับมาไงหล่ะ/

     

                    “โธ่แม่ครับ”

     

                    /ไม่เป็นไรหรอกลูก เออเดี๋ยวเย็นนี้พ่อแม่ซีวอนจะไปเยี่ยมลูกด้วยนะ อย่าลืมบอกเจ้าตัวให้รู้ด้วย/

     

                    “ครับแม่”

     

                    /งั้นแค่นี้ก่อนนะลูกแล้วเดี๋ยวเย็นๆแม่จะไปหา/          

     

                    ซองมินมองใบหน้าหมองเศร้าของเพื่อนสนิทข้างกายแล้วได้แต่สงสาร รอเวลาให้เพื่อนรักอีกคนวางโทรศัพท์ลงแล้วตั้งใจจะพูดด้วย “ฮีชอลฉันว่า ฉันจะกลับแล้วหล่ะ ให้นายได้พักผ่อน ใช่ไหมจองวู”

     

                    “อือ ฉันคงต้องกลับแล้ว” เป็นครั้งแรกๆที่จองวูยอมแพ้แบบง่ายๆ แต่ครั้งนี้หัวใจของเขามันหมดแรงไปแล้วจริงๆ แค่ได้ยินว่าซีวอนเจ็บ คนป่วยที่เขาเฝ้าประคบประหงม กลับถลาลงจากเตียงเข้าไปดูแล โดยไม่สนใจตัวเองอีกเลย

     

                    “อืออ งั้นก็กลับกันดีๆนะ” ฮีชอลมองดูเพื่อนออกจากห้องไป เหลือเพียงแคซีวอนที่กลับไปนั่งบนโซฟาเช่นเดิม “นายยังไม่กลับจริงๆหรอ”

     

                    “ไม่หรอก...” ชายหนุ่มนิ่งเงียไปเหมือนกำลังครุ่นคิดบางอย่าง ก่อนจะเดินมานั่งข้างๆเตียง มองลึกเข้าไปในดวงตาคู่โตที่เต็มไปด้วยความหวาดระแวง

     

                    “อย่ากลัวฉันได้ไหมฮีชอล” มือเล็กสั่นเทาอยู่ในอุ้มมือใหญ่ จนหัวใจของชายหนุ่มต้องสั่นสะท้าน แต่ก็ไม่อาจปล่อยมือนุ่มนิ่มนี้ได้ “ขอร้อง ช่วยฟังสิ่งที่ฉันจะพูดหน่อยได้ไหม”

     

                    “ก็ จะพูดอะไร ว่าเบื่อฉัน เกลียดฉัน หรือจะบอกว่าฉันมันน่าสมเพชแค่ไหน ถ้าแบบนั้นก็ไม่ต้องตอกย้ำ เพราะฉัน~

     

                    นิ้วเรียวยาวกดทับลงบนริมฝีปากอิ่ม หยุดคำพูดที่กำลังจะออกมา คำพูดที่บอกว่าเขาเคยใจร้ายมากแค่ไหน “ฉันรักนาย ที่ฉันทำไปทั้งหมด เพราะฉัน..รัก..นาย”

     

                    “......”  ดวงตากลมเปิดกว้าง จ้องมองชายหนุ่มเหมือนกำลังรอฟังว่าทั้งหมดคือความจริง ไม่ใช่แค่ฝันหวาน ที่ตื่นมาแล้วทุกอย่างจางหายไป

     

                    “ฉันรักนาย รักมาตลอด แค่นายคนเดียว ไม่เคยรักใครอื่น ที่ผ่านมาเป็นเพราะฉันไม่รู้ตัว ฉันไม่เคยรู้จักความรัก นายยกโทษให้ฉันได้ไหมฮีชอล” น้ำตาของชายหนุ่มพรั่งพรูออกมาไม่ต่างจากสายน้ำ มองเข้าไปในดวงตากลมที่รื้นน้ำไม่ต่างกัน

     

                    “ถ้านายเคยฟังคำพูดของฉัน เคยสนใจความรู้สึกของฉัน ไม่ว่าตอนนี้ หรือตอนไหน แม้แต่เวลาที่นายทำร้ายฉัน นายจะไม่ต้องมาถามคำถามนี้กับฉัน....” เสียงหวานขาดลง เพราะก้อนสะอื้นที่จุกแน่นอยู่ในลำคอ พาให้คนที่รอฟังใจเสีย เกือบที่จะปล่อยมือบางลง หากไม่มีคำพูดต่อมา “เพราะฉันไม่เคยโกรธหรือเกลียดนายได้เลย ซีวอน”

     

                    “แล้วยังรักฉันอยู่หรือเปล่า หรือว่า...”

     

                    “ฉันก็เป็นคนโง่คนหนึ่ง ที่ถูกนายทำร้ายแค่ไหน ก็ยังรัก ยังฝันถึงวันที่จะได้ความรักจากนาย ฉันเป็นคนแบบนั้น” ใบหน้าสวยที่เต็มไปด้วยน้ำตาร้องบอกความจริงในใจ ความโหดร้ายที่ได้รับ ไม่เคยมีค่าเลยในหัวใจดวงนี้ มันยังคงความรู้สึกเดิมๆ ไม่เปลี่ยนไปเลย

     

                    “ฮีชอล” ทุกถ้อยคำที่ซึมผ่านเข้ามาเติมเต็มหัวใจที่อ้างว้าง ซีวอนโผลุกคว้าร่างบางเอาไว้ในอ้อมกอด ความทรมานที่มีจางหายไป แต่ทุกอย่างกลับไม่เป็นอย่างที่คิด

     

                    ฮีชอลถอยหนีร่างกายใหญ่โตที่แนบชิดเข้ามา ดวงตาที่เปี่ยมล้นด้วยความรักกลายเป็นความกลัว

     

                    “ฮีชอล ทำไม...” เสียงทุ้มสิ้นสุดลง ไม่เข้าใจคนที่เขารู้จักดีมาตลอดชีวิต ที่บอกว่ารักกัน มันคงไม่ใช่แค่คำปลอบโยนใช่ไหม

     

                    “ฉันรักนาย แต่.....ขอเวลาให้ฉันบ้าง ฉันยังกลัว ยังไม่แน่ใจ นายตอนนั่นกับตอนนี้ ฉัน...ไม่รู้ว่าเกิดอะไร แต่มันเร็วเกินไป ฉันกลัวว่าวันพรุ่งนี้...”

     

                    “ฮีชอลเข้าใจ ฉันสัญญาว่าจะทำให้ได้แน่ใจ ทำให้นายมีความสุข ขอเวลาให้ฉันได้ไหม ฉันจะดูแลปกป้องนายเอง” ชายหนุ่มอ้อมวอนทั้งน้ำตา ไม่อาจโทษใครได้ ทุกอย่างที่เกิดขึ้น ก็เพราะสิ่งที่เขาทำลงไป

     

                    มันก็สมควรแล้ว ที่ฮีชอลจะกลัว และไม่ยอมรับ แกโทษใครไม่ได้หรอก มันเป็นกรรมที่ทำเอาไว้ และต้องชดใช้

     

                    “เวลาทั้งชีวิตของฉัน เป็นของนายมานานแล้วซีวอน”

     

                    “ขอบคุณ ขอบคุณฮีชอล ฉันจะทำให้เชื่อมั่นในตัวฉัน”

     

                    “แล้วฉันจะรอวันนั้น ซีวอน”

     

    * ~ * ~ * ~ * ~ *~ * ~* ~* ~ * ~ * ~ * ~ * ~ * ~ * ~ *

     

    “ซีวอนนายจะไม่กลับบ้านจริงๆหรอ ฉันอยู่คนเดียวได้นะ” ดวงตากลมละจากชีทในมือที่อ่านเท่าไหร่ก็ไม่เข้าหัว เพราะความอึดอัดที่แผ่ออกมาจากชายหนุ่มที่นั่งอยู่ข้างเตียง

     

                    “เบื่อหน้าฉันแล้วหรอ” ซีวอนย้อนถามเสียงเศร้า ทั้งที่สายตายังไม่ละจากหนังสือในมือ

     

                    ใบหน้าหวานสั่นพลิ้วไปมา กัดริมฝีปากคิดหนักหาคำพูดที่จะไม่ทำให้อารมณ์ร้ายๆของชายหนุ่มกลับมาอีก “เปล่า ฉันแค่เป็นห่วง นายไม่ได้ไปเรียน แล้วอีกอย่างที่นี้ก็มีคนไปมาตลอด ฉันคิดว่านาย...”

     

                    “ถ้าเป็นจองวูนายคงสบายใจกว่านี้สินะ” สายตาคมเหลือบมองหน้าหวายชั่วแว่บ ก่อนเบือนหนีปกปิดความน้อยใจที่ไม่อยากให้ใครเห็น

     

                    เสียงทุ้มขุ่นจัดทำให้ฮีชอลเริ่มไม่แน่ใจ เห็นใบหน้าที่เบือนหนีไปขึ้นสันกรามชัดเจน บอกให้รู้ว่าชายหนุ่มคงกำลังสะกดอารมณ์ตัวเอง ร่างบางขยับตัวหนีไปชิดขอบเตียงอีกด้านตามสัญชาตญาณที่คอยเตือนให้ระวังตัว

     

                    “ฉันจะโทรไปตามให้” ชายหนุ่มค่อยๆปล่อยคำพูดออกมา กดความคิดด้านมืดให้กลับไป นึกหวังเพียงแค่รอยยิ้มและความสุขของคนตรงหน้า “แต่นายคงต้องทนอยู่กับฉันสักพัก แล้วพอจองวูมา ฉันจะออกไปรอข้างนอก แบบนั้นได้ไหม”

     

                    “ซีวอน” ดวงตากลมจ้องมองใบหน้าคมที่เอาแต่หลบหนี จนต้องทำใจกล้ายกมือสัมผัสคางกว้างให้เบือนหน้ามา เห็นหยาดน้ำรื้นอยู่ในดวงตาคมกร้าว แล้วส่งยิ้มปลอบโยนไปให้ “ฉันไม่ได้หมายถึงแบบนั้น แต่ที่ฉันถามก็เพราะเป็นห่วงไม่อยากให้นายต้องมาขาดเรียนเพราะฉัน เพื่อนนายที่คณะก็คงเป็นห่วงเหมือนกัน ฉันเห็นมิสคอลเข้ามาตั้งหลายสาย”

     

                    “ขอบคุณนะฮีชอล” มือใหญ่คว้าจับมือเล็กที่กำลังขยับ ปล่อยน้ำตาให้ไหลไม่สนใจจะปกปิดความอ่อนแออีกแล้ว “แต่นายไม่ต้องเป็นห่วงฉันหรอก ฉันควรดูแลและปกป้องหัวใจตัวเองนานแล้ว ถ้าฉันไม่มัวแต่โง่ทำร้ายคนที่ฉันรัก นายก็คงไม่เป็นแบบนี้ ส่วน...ไอ้พวกนั้น โทรเข้าที่บ้านมันก็รู้เอาแหล่ะ”

     

                    ใบหน้าสวยที่ขาวซีดมานานแดงก่ำเพราะสายตาและการกระทำของชายหนุ่ม แต่ก็อดขำเล็กๆกับท่าทางที่เหมือนเด็กชายซีวอนในวันวานไม่ได้

     

                    “ตามใจนายแล้วกัน แต่ฉันขอมือฉันคืนได้ไหม” เสียงหวานแผ่วเบา ชำเลืองมองมือของตนเองที่ถูกชายหนุ่มกุมไว้แน่น...แต่ก็ไม่รู้สึกอึดอัด เหมือนอย่างที่เคยเป็น

     

                    “มือนี้หรอ” ชายหนุ่มยกมือเล็ก ตั้งใจจรดแนบริมฝีปากที่หลังมือขาว แต่เพราะความสั่นเทาที่เห็นได้ชัด รวมกับแววตาที่มาอย่างระแวง จนจำใจต้องวางราบลงกับที่นอน พร้อมคำพูดและรอยยิ้มปลอบใจตนเอง “วันนี้แค่ได้จับมือก็ดีแล้วเนอะ

     

                    “ขอบใจนะ”

     

                    “ฉันสิที่ต้องพูดคำนี้ ขอบใจที่นายยังให้โอกาสคนอย่างฉัน”

     

                    “ฉันไมได้ให้โอกาสได้แค่คนเดียวหรอกซีวอน” รอยยิ้มอ่อนๆปรากฏขึ้นบนริมฝีปากอิ่ม เมื่อมองเห็นเครื่องหมายคำถามอันโตในดวงตาดุๆ “ฉันให้โอกาสตัวฉันเองด้วย” ความสงสัยยังไม่จางหายไป จนร่างบางต้องบอกต่อกับสิ่งที่ทำให้หน้าร้อนผ่าว “เผื่อสักวันจะได้เป็นคนที่นายรัก~

     

                    ก๊อกๆๆๆๆ

     

                    “ใครมา ฉันไปเปิดประตูให้นะ” ซีวอนดึงตัวเองออกมาจากห้วงของความดีใจ อยากจะตอบออกไป ว่าไม่ต้องรอสักวัน แต่วันนี้ เมื่อวาน หรือพรุ่งนี้ ฮีชอลก็เป็นคนที่เขารัก และมันจะไม่แปรเปลี่ยนไป

     

                    “คุณป้ากับคุณลุงสวัสดีครับ อ่าว! พ่อแม่ มาด้วยหรอครับ”

     

                    “มาสิ ฮีชอลป่วยทั้งคน” ชายสูงวัยที่ยังคงเค้าความหล่อเหลาในอดีต มองหน้าลูกชาย ก่อนเดินเข้าไปใกล้พูดเบาๆให้ได้ยินเพียงสองคน “ตั้งแต่ฮีชอลเข้าโรงบาลไม่กลับไปบ้านให้พ่อแม่เห็นหัวเลยนะ”

     

                    “น้าเอาผลไม้มาฝากด้วย ทานเลยนะฮีชอลเดี๋ยวน้าปอกมาให้”  กาอินยกผลไม้ที่นำมาเยี่ยมไปยังอีกส่วนของห้องที่กั้นไว้สำหรับเตรียมอาหารเล็กๆน้อย ตามติดมาด้วยลูกชายตัวโต

     

                    “แม่ครับผมช่วย”

     

                    “นิ้วไปโดนอะไรมาซีวอน” คุณแม่คนสวยมองลูกชายอย่างแปลกใจกับท่าทางที่เปลี่ยนไป ก่อนสะดุดกับนิ้วถูกพันไว้ด้วยผ้าก๊อซสีขาว

     

                    “อ้อ...ผมปอกผลไม้ให้ฮีชอลหน่ะครับ แล้วโดนมีดบาด ความจริงมันก็ไม่ใช่แผลใหญ่ แต่ฮีชอลก็ไล่ให้ผมไปทำแผล” ชายหนุ่มก้มมองผ้าสีขาวที่พันอยู่รอบนิ้ว ยิ้มกว้างกับความห่วงใยที่ได้รับ จนแทบไม่อยากให้แผลนี้เลือนหายไป

     

                    ดวงตาโตๆของคุณแม่มองหน้าลูกชายอย่างแปลกใจ เจือปนความดีที่ได้ลูกชายคนเดิมกลับมา ซีวอนยิ้มกว้างแบบนี้นานแค่ไหนแล้วที่ไม่ได้เห็น แล้วตั้งแต่เมื่อไหร่ที่ซีวอนคิดจะดูแลใครสักคน “ปอกไม่เป็นสิท่า แม่เคยจะสอนตั้งหลายหนแล้ว ก็ไม่ยอม”

     

                    “ก็ตอนนั้นผมยังไม่อยากทำให้ใครนี้ครับ แต่ตอนนี้มันไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว” ใบหน้าคมเข้มแดงขึ้นเรื่อยๆ จนคนมองอดยิ้มขำกับลูกชายไม่ได้

     

                    “ก็ดีแล้ว ฮีชอลหน่ะไม่แข็งแรงแบบนี้ ลูกก็ควรจะดูแลเพื่อน”.....ทดแทนความผิดที่เคยทำไว้เสียมากมาย

     

                    “แม่ครับ..” ซีวอนเงียบลงไป เหมือนกำลังตัดสินใจบางอย่างออกมา มองมือของแม่ที่ทำนู้นนี้ แล้วค่อยๆพูดมันออกมา “ผมรักฮีชอล”

     

                    “.......” มือบางหยุดทุกสิ่งที่ทำอยู่ นิ่งงัน สิ่งที่ได้ยินไม่ทำให้เธอตกใจ ความรู้สึกของลูกมีหรือที่แม่จะอ่านมันไม่ออก เลี้ยงมากับมือ มีหรือจะไม่รู้ว่าลูกเป็นอะไร แต่เธอไม่คิดว่าลูกชายจะกล้าพูดมันออกมาเช่นนี้

     

                    “แล้วผมก็บอกกับฮีชอลไปแล้ว แม่รับได้หรือเปล่าครับ ที่ผมเป็นแบบนี้” เด็กน้อยในวันวานกลบมาอีกครั้ง เมื่อบอกสิ่งที่หวาดกลัวอยู่ในใจ

     

                    “ซีวอน ทำไมแม่จะรับไม่ได้หล่ะ ไม่ว่าลูกจะรักใคร หญิงหรือชาย แค่คนนั้นรักลูกของแม่จริงๆแม่ก็มีความสุขแล้ว” ถามว่ารับได้ไหม คำตอบคือรับได้ และเต็มใจ แต่ส่วนลึกก็มีบางเสี้ยวมุมของคนเป็นแม่ที่คาดหวังจะได้เห็นครอบครัวแสนสุขของลูกชายได้อุ้มหลานตัวเล็กๆ ก็อดไม่ได้ที่จะเสียใจ

     

                    “ขอบคุณครับแม่” ชายหนุ่มย้อนวัยตัวเองกลับไปเป็นเด็กตัวเล็กซุกอยู่ในอ้อมกอดของคนเป็นแม่ น้ำตาของความดีใจไหลลงมาช้าๆ ต่อจากนี้เขาจะไม่ทำเรื่องให้ผู้หญิงคนนี้ต้องเสียใจอีกแล้ว

     

                    “ซีวอน แม่ขออะไรสักอย่างได้ไหมลูก”

     

                    เสียงของแม่สั้นพริ้ม ทำให้ต้องรีบรับคำ “ครับแม่”

     

                    “อย่าพึ่งบอกให้พ่อรู้ ได้ไหม”

     

                    “ครับ” ซีวอนรับคำทั้งที่ก็ยังไม่เข้าใจ แต่แค่ความรักของเขาได้รับการยอมรับจากแม่ แค่นี้เขาก็มีความสุขมากเกินกว่าจะสนใจสิ่งอื่น

     

                    “ป่ะ งั้นเราก็เอาผลไม้ออกไปข้างนอกกันดีกว่า” คุณแคนสวยเดินควงลูกชายตัวโตที่ถือถามดผลไม้ออกมาให้ทุกคน

     

                    ในห้องกว้างนอกจากผู้สูงวัยทั้งสามและคนป่วยแล้วก็มี หนุ่มใหญ่ในชุดกราวสีขาวสะอาดตาที่คงมาพร้อมกับข่าวดี เพราะคนป่วยกำลังยิ้มหวานอย่างมีความสุข

     

                    “พรุ่งนี้คุณกลับบ้านได้ แต่ว่าต้องมาหาหมอตามนัดนะครับ ต้องดูแลตัวเองให้มากๆ เข้าใจนะครับ”

     

                    “ครับ” เสียงหวานรับคำอย่างแข็งขันด้วยใบหน้ายิ้มแป้น จนแม้แต่หมอยังอดเอ็นดูไม่ได้ ลูบผมนุ่มๆที่เคยเห็นเด็กหนุ่มตัวสูง เคยลูบอยู่บ่อยๆ ยามที่คนป่วยยังไม่ฟื้น

     

                    “ดีมาก งั้นหมอขอตัวก่อนนะครับ” หมอใหญ่ลากับผู้สูงวัยทั้งสี่ เก็บเกี่ยวรอยยิ้มมีความสุขของคนไข้และญาติที่กำลังจะหายดีเพื่อทดแทนความทุกข์ความเสียใจ ที่ไม่อาจช่วยชีวิตบางชีวิตได้

     

                    “ออกไปก็ต้องดูแลตัวเองดีๆนะลูก เราต้องมาเริ่มต้นดูแลลูกกันไหมหมดเลย ซีวอนอยู่ที่ม.ลุงก็ต้องฝากดูแลฮีอชลด้วยนะ” แตวูหันไปฝากฝังลูกชาย กับเพื่อนสนิทของลูก

     

                    “ครับ”

     

                    ต่อแต่นี้ไป จะเริ่มใหม่อีกครั้ง จะไม่มีแล้ว ซีวอนคนใจร้ายที่คอยทำร้ายฮีชอล

     

                    จะมีก็แค่ซีวอน คนที่ดูแลฮีชอลด้วยใจทั้งใจ รอวันที่จะได้รับความรักให้กลับมาเหมือนเดิม

     

    * ~ * ~ * ~ * ~ *~ * ~* ~* ~ * ~ * ~ * ~ * ~ * ~ * ~ *

     

    ชายหนุ่มร่างสูงผิวปากอารมณ์ดีขณะแต่งกายอยู่หน้ากระจกสำรวจความเรียบร้อยก่อนออกจากบ้านเช้ากว่าปรกติ เพราะวันนี้เป็นวันพิเศษ ที่ฮีชอลจะกลับไปเรียนเป็นวันแรก...ซีวอนอยากจะเป็นคนพาฮีชอลไปส่งเหมือนทุกๆวัน

     

                    รถคันใหญ่เลี้ยวออกจากรั้วบ้านตัวเอง เข้ารั้วบ้านหลังข้างๆ ก่อนจอดเทียบหน้าประตูบ้านแล้วเดินเข้าไปอย่างคุ้นเคยสนิทสนม

     

                    “สวัสดีครับคุณลุง คุณป้า” ร่างสูงหยุดลที่โต๊ะอาหาร ทักทายสองผู้อาวุโสแต่สายตาคมกลับกวาดมองไปทั่วหาร่างบางที่หายไป ก่อนคาดเดาอย่างคาดหวัง “ฮีชอลยังไม่ลงมาหรือครับ”

     

                    “ฮีชอลไปเรียนแล้วลูก ว่าแต่เราหน่ะทานอะไรหรือยังมาแต่เช้าแบบนี้ ทานกับป้ากับลุงก่อนไหม” คุณป้าคนสวยที่ลูกชายถอดแบบออกมาเอ่ยชวนชายหนุ่ม ไม่ทันสังเกตความเปลี่ยนแปลงบนใบหน้าคม

     

                    “ไม่เป็นไรครับ แล้วฮีชอลไปยังไง ผมเห็นรถยังจอดอยู่” ซีวอนหลุดเสียงคาดคั้นโดยไม่รู้ตัว ไม่พอใจคนที่บอกจะให้โอกาส แต่กลับหลบเลี่ยงกันไปแบบนี้

     

                    “จองวูมารับไป มีอะไรหรือเปล่า” เสียงทุ้มจัดของแตวูตอบแทนภรรยา ไม่พอใจน้ำเสียงกระด้างที่ชายหนุ่มใช้

     

                    “ไม่มีอะไรครับ ผมขอตัวก่อน”

     

                    “แปลกๆนะ เจ้าซีวอนเนี่ย” นายใหญ่ของบ้านตั้งข้อสังเกตลับหลังเพื่อนสนิทของลูกชาย

     

                    “ไม่มีอะไรมั้งค่ะ คงเป็นห่วงฮีชอลนั่นแหล่ะ อีกอย่างก็คงน้อยใจฮีชอลนั่นแหล่ะค่ะ เป็นเพื่อนกันมาตั้งนาน แต่ฮีชอลไปกับคนอื่นเฉยเลย” เฮย์ซูมองหน้าสามีที่ขมวดคิ้วเข้ม

     

                    “แค่นั้นก็ดี” หนุ่มใหญ่เปรยเบาๆ ก่อนเลิกสนใจ ไม่พูดในสิ่งที่จนเองคิด

     

                    แต่ถ้าเกินเลยกว่าเพื่อน....ก็คงต้องคุยยาว

     

    * ~ * ~ * ~ * ~ *~ * ~* ~* ~ * ~ * ~ * ~ * ~ * ~ * ~ *

     

    ชายหนุ่มที่พยายามระงับอารมณ์ต่อหน้าผู้ใหญ่ มาลงกับประตูรถ เปิดปิดอย่างรุนแรงไม่สนถนอมรถเหมือนที่เคยเป็นมา สายตาคมเหลือบมองเบาะหลังผ่านกระจกส่องหลัง ใจที่พอจะเย็นลงกลับปะทุขึ้นอีกครั้ง กระชากตัวรถออกไปอย่างรวดเร็ว สองมือกำพวงมาลัยแน่นชนิดที่ว่า หากมันเป็นท่อนแขนเรียวเล็กของคนป่วย ก็คงหักคามือ

     

                    ทั้งที่เตรียมตัวอย่างดี คาดหวังจะใช้เวลาส่วนตัวบนรถคันนี้อย่างคุ้มค่า ทำให้คนที่รักได้รู้ว่า...ต่อจากนี้จะดูแลใส่ใจทุกอย่าง...จะใช้โอกาสเพื่อเรียกร้องหัวใจดวงเล็ก

     

                    แต่มันกลับสูญเปล่า

     

                    ของที่เตรียมไว้ เมื่อไม่มีคนใช้ มันก็ไร้ค่า

     

                    สายตาคมละจากถนนเบื้องหน้า กดโทรศัพท์หาร่างบางที่หนีหายไปตั้งแต่เช้า แต่กลับเป็นระบบตอบรับอัตโนมัติที่บอกให้รู้  /หมายเลขที่ท่านเรียก ไม่สามารถติดต่อได้ในขณะนี้/

     

                    “โธ่เว้ย!” ฝ่ามือกว้างกระแทกกับพวงมาลัยอย่างสุดกลั้น ปล่อยเสียงเล็ดลอดไรฟันออกมาอย่างน่ากลัว “ให้มันได้อย่างนี้สิวะ”

     

                    คันเร่งถูกกระทืบอย่างแรงตามอารมณ์ของผู้ขับขี่ รถคันใหญ่ซอกซอนไปตามถนนไม่สนใจผู้ร่วมใช้ถนน แต่นั้นก็ไม่บรรเทาอารมณ์ร้อนๆที่ถูกก่อขึ้นได้เลย

     

                    นักศึกษาที่เดินตามทางเดินเข้าสู่มหาลัย มองรถคันใหญ่ที่ส่งเสียงแสบหูแก้วหู ยามที่ล้อรถเบียดกับพื้นถนน จนกระทั่งหยุดอยู่หน้าคณะที่คนทั้งมหาลัยรู้ว่า ไม่ใช่คณะของเจ้าของรถ

     

                    ซีวอนก้าวลงจากรถพร้อมสายตาขุ่นขวางจนไม่มีใครกล้าพอจะสบตาด้วย สายตาคมมองกวาดไปทั่วม้านั่งลานหน้าคณะ หาร่างบางที่เขาพลาดไม่เจอตั้งแต่เช้า

     

                    “น้อง รู้จักคิม ฮีชอลไหม” มือใหญ่คว้าจับแขนเรียวของนักศึกษารุ่นน้องที่เดินผ่าน

     

                    น้ำเสียงขุ่นจัด พร้อมแรงบีบที่ต้นแขน แล้วยังจะดวงตากร้าวๆ พาให้นักศึกษาสาวที่ตั้งใจเดินผ่านหน้าชายหนุ่ม ต้องตอบด้วยน้ำเสียงหวาดๆ “รู้จักค่ะ”

     

                    “แล้วอยู่ไหน” ซีวอนไม่ลดแรงลงสักนิด แม้จะได้คำตอบที่ถูกใจแล้วก็ตาม กลับยังกระชากเสียงให้ร่างของหญิงสาวต้องสะดุ้งสุดตัว

     

                    “อยู่ใต้คณะกับพวกพี่จองวูค่ะ”

     

                    “ขอบใจ” ชายหนุ่มไม่สนใจความกลัว และตกใจของสาวน้อยเลยสักนิด เมื่อได้รู้ว่าคนที่ตามหาอยู่ที่ใด ขายาวๆรีบก้าวไปยังใต้ตึกเรียนที่มีเก้าอี้ให้นักศึกษานั่งเล่น

     

                    ขาเรียวก้าวไปยังตึกเรียนที่คุ้นชินเหมือนเป็นคณะของตน ไม่สนใจสายตาที่มองด้วยความอยากรู้ของคนในคณะเลยสักนิด

     

                    ร่างบางโดดเด่นในสายตาเสมอ แม้แต่ตอนที่ยังไม่รู้หัวใจตัวเอง ฮีชอลก็จะเป็นคนแรกที่เขามองหา และมองเห็น ก่อนที่จะเข้าใจความรู้สึกนี้ ซีวอนเคยคิดไปเองว่า มองหาฮีชอลก็เพื่อมองเลยไปยังอีกคนที่มักอยู่ด้วยกัน....แต่วันนี้เขารู้แล้ว ว่าไม่ใช่

     

                    เพราะหัวใจที่ไม่เคยคิดถาม มันบังคับให้มองหาคนที่อยู่ข้างในตลอดมา.....

     

                    ร่างบางนั่งอยู่ท่ามกลางคนสนิทที่เขาเองก็รู้จักดี ทั้งเพื่อน และรุ่นน้อง เสียงหัวเราะที่สดใสคงทำให้อะไรๆดีขึ้นหากว่า มันจะเกิดขึ้น เพราะคนที่เขาไม่เคยชอบหน้า จองวู  คิบอม

     

                    “เมื่อเช้าทำไมไม่รอ” เสียงทุ้มดังขึ้นแหวกกลางวงทำให้เสียงคุยครึกครื้นเงียบลงในทันที

     

                    “ซีวอน” ใบหน้าหวานหันกลับมามองเบื้องหลังที่มีชายหนุ่มยืนซ้อนอยู่ มองใบหน้าคมที่เต็มไปด้วยความโกรธอย่างหวาดๆ ตอบด้วยเสียงที่ใครก็รู้ว่าคนพูดกำลังรู้สึกเช่นไร “ฉัน..ไม่คิดว่านายจะมาส่งที่ม.”

     

                    “ฮึ” ซีวอนพ่นลมหายใจหนัก สองมือคว้าจับไหล่บางบังคับให้ยืนหันขึ้นและหันหน้ามามองกัน ดวงตาจ้องเข้าไปในดวงตาคู่ใสที่ไร้ร่องรอยความสุขอย่างเมื่อครู่ “ข้ออ้าง”

     

                    “ฉันอ้างอะไรซีวอน นายไม่ได้บอกให้ฉันรู้ว่าจะมาส่ง” เสียงหวานดังชัด ทั้งกลัว และไม่พอใจ

     

                    “ก็แล้วมันเคยมากับใครทุกวันเล่า”  เสียงตะคอกดังลั่น เรียกคนที่อยู่แถวนั้นให้หันมามอง มือหนาเพิ่มแรงบีบลงที่ไหล่เล็กอย่างถือสิทธิ์ ที่เขาคิดว่ามันเป็นของเขาแต่เพียงผู้เดียว

     

                    “ฉันเจ็บนะ”

     

                    น้ำหนักมือของชายหนุ่มผ่อนลงเมื่อมองใบหน้าเหยเกของคนในอุ้มมือ จนทำให้ร่างเล็กที่ถูกกระชากออกไปจากมือ เพราะคนที่ซีวอนไม่ชอบหน้า “มากับนายทุกวันแล้วมันยังไง ไม่ได้หมายความว่าฮีชอลจะไปไหนกับใครไม่ได้สักหน่อย”

     

                    “ฮีชอลเป็นของฉัน ฉันเท่านั้นที่มีสิทธิ์ จะไปรับ มาส่ง หรือทำอะไร คนอื่น มันก็ได้แค่คิดฝันเท่านั้น จำเอาไว้ มานี้” มือหนาจับคว้าข้อมือเล็กเอาไว้แน่น ดึงออกมาไม่แคร์สายตาใคร

     

                    “ปล่อย” เสียงหวานสั่นเทา จวนเจียนที่น้ำตาจะไหลลงมา อายกับสายตาที่คนอื่นมองมา ใครจะคิดยังไง ที่มีผู้ชายสองคน มายื้อแย่งแขนเอาไว้คนละข้าง

     

                    “ไม่ เรามีเรื่องต้องคุยกันฮีชอล” เสียงของซีวอนดังลั่นไม่สนใจความรู้สึกของฮีชอลเลย

     

                    เสียงซุบซิบที่ดังขึ้นเรื่อยๆทำให้ร่างบางอึดอัดและขลาดกลัวเกินกว่าจะสู้หน้าใครได้ จนไม่มีใครรู้ถึงความผิดปรกติที่เกิดขึ้นอย่างเงียบๆจนกระทั่ง.... “พี่ฮีชอล เลือด!

     

                    เสียงร้องตกใจของคิบอมทำให้ ซีวอนเผลอปล่อยมือออก จะเบือนหน้าเล็กให้แหงนเงยขึ้นดู แต่ก็ช้ากว่าจองวู

     

                    “ฮีชอล ทำไมเลือดกำเดานายไหลอีกแล้ว กินยาหรือเปล่า” ผ้าเช็ดหน้าผืนใหญ่ของจองวูเปรอะเปื้อนหยดเลือดสีจางของร่างบางที่ยังคงไหลออกมา แม้ว่า จะพาดวงหน้าหวานแหงนเงยขึ้นแล้ว

     

                    “พาพี่ฮีชอลไปล้างในห้องน้ำก่อนดีกว่าครับพี่” คยูฮยอนมองอาการของพี่รหัสด้วยความเป็นห่วง ทั้งเลือดที่ไหลออกมามาก และหน้าที่ซีดเผือดลงทุกที

     

                    สายตาคมมองเห็นร่างบางในวงล้อมของคนที่รักและเป็นห่วง ความรู้สึกเหมือนกำลังแปลกแยก และถูกตัดออก จากโลกที่มีรอยยิ้มหวานสดใส ทั้งที่รู้ว่าฮีชอลไม่แข็งแรง แต่ก็เขาก็ยังทำร้ายไม่รู้จักพอ โลกของฮีชอลที่มีเขาอยู่ คงเต็มไปด้วยน้ำตา และคราบเลือด....

     

                    “ซีวอน ฉันมีเรื่องจะคุยกับนาย ตามฉันมา” ซองมินเอ่ยขัดขายาวที่กำลังจะก้าวตามฮีชอลที่มีจองวูประคองไป ก่อนเดินนำให้ชายหนุ่มเดินตามมายังหลังตึกที่เงียบ ไร้สายตาอยากรู้ของใครต่อใคร

     

                    “นายเป็นอะไร ไหนว่ารักฮีชอลไง แล้วทำไมยังทำให้ฮีชอลต้องเจ็บ ต้องกลัวแบบนี้อีก” ท้ายเสียงมีมหายใจหนักๆลอดออกมา บอกถึงความหนักใจกับร่างสูงตรงหน้า

     

                    “แล้วที่ฮีชอลทำหล่ะ ซองมินนายว่าแต่ฉันแล้วที่เพื่อนนายทำหล่ะ ฉันก็เจ็บเป็นนะซองมิน ฉันไม่ใช่คนดีที่จะมานั่งมองคนของตัวเองไปไหนมาไหนกับใคร” ใบหน้าคมนิ่วเข้าหากัน ยิ่งนึกก็ยิ่งโกรธ ยิ่งกลัวว่าสักวัน จะเสียร่างบางไปจริงๆ

     

                    คำพูดที่โพล่งออกมาจากชายหนุ่มทำให้ร่างอวบลอบยิ้มเล็ก ก่อนปรับหน้าให้เป็นเหมือนเดิมอีกครั้ง เมื่อย้อนถามร่างสูง “ นายเจ็บได้ ไม่มีใครห้าม แต่ฮีชอลเป็นคนของนายตั้งแต่เมื่อไหร่กัน”

     

                    “ฮึ อยากรู้จริงๆหรอซองมิน” ดวงตาคมวาวความเจ้าเล่ห์ขึ้นมาอีกครั้งพร้อมรอยยิ้มที่แสดงถึงชัยชนะและความสุข

     

                    “ถ้านายจะอ้างสิทธิ์แบบนั้น ก็ไม่ต้องพูดไม่ต้องอะไรอีกแล้ว และฉันจะมองว่านายเป็นคนเห็นแก่ตัว ที่ไม่คู่ควรกับฮีชอลสักนิด” ซองมินผิดหวังกับคนตรงหน้าจนไม่อยากเห็นหน้าหรือช่วยเหลืออะไรอีกแล้ว

     

                    “ฮีชอลบอกว่าให้โอกาสฉัน ที่จะทำให้เขารักฉันโดยไม่มีความกลัว ความระแวง มาเจือปนอีก” เมื่อเห็นว่าแรงหนุนสำคัญจะเดินหนี ชายหนุ่มจึงยอมตอบตามความจริง

     

                    “ก็ดีแล้วนิ แล้วทำไมยังมาทำแบบเมื่อกี้อีก ทั้งที่ก็รู้ว่าฮีชอลไม่แข็งแรงพอจะรองรับอารมณ์นายได้”

     

                    “ดีบ้าอะไรหล่ะ ให้โอกาสฉัน แล้วให้เวลาฉันด้วยหรือเปล่า ทำไมไม่รอ มากับคนอื่นทำไม หรือว่าให้โอกาสคนอื่นมันด้วย” ตาคมๆมองขวาง ยิ่งคิดถึงเมื่อตอนไปรับที่บ้านแล้วไม่เจอ ความไม่พอใจที่หายไปยามได้เห็นเลือดจากจมูกได้รูป ก็กลับมาอีกครั้ง

     

                    “นายพูดแบบนี้ ฉันคิดได้สองอย่างเท่านั้นซีวอน คือนายไม่รู้จักฮีชอล หรือไม่ นายก็กำลังดูถูกเพื่อนฉันอยู่” ซองมินมองคนตรงหน้าอย่างเอือมๆ นิสัยเดิมๆ ไม่เคยหายไปเลยจริงๆผู้ชายคนนี้

     

                    “ฉันไม่รู้ แต่เพื่อนนายทำให้ฉันคิดแบบนั้น ก็บอกว่าจะให้โอกาสฉัน ก็หมายถึง ควรอยู่กับฉัน ให้เวลาฉันได้พิสูจน์ตัวเอง ไม่ใช่เอาแต่หนี หลบ ไล่กันแบบนี้ กับไอ้จองวูก็เหมือนกัน รู้อยู่ว่า มันคิดยังไง ก็ยังจะมาด้วย” ซีวอนเตะเข้าที่โคนต้นไม้อย่างรุนแรง นอกจากความโกรธ ไม่พอใจแล้ว เหมือนว่าจะรู้สึกน้อยใจร่างบางเพิ่มขึ้นด้วย

     

                    “ซีวอน นายนี้นา ขี้หึงไม่ใช่เล่นเลยนะ” มืออูมๆ ตบไหล่หนาเบาๆสองสามครั้ง เมื่อพยายามทำความเข้าใจชายหนุ่มได้

     

                    “หึงอะไร” ซีวอนหันมาตะคอกเสียงถามในทันที

     

                    “ก็ที่นายเป็นอยู่ไง เขาเรียกหึง ทั้งหึง ทั้งหวง ทั้งที่ฮีชอลก็ยังไม่ได้ตกลงเป็นอะไรกับนายสักหน่อย”

     

    น้ำเสียงของซองมินดูกวนโมโหชายหนุ่มขึ้นมาในทันที ไม่พอใจกับประโยคสุดท้ายเป็นอย่างมาก “ฮีชอลเป็นเมียฉัน แล้วฉันก็ไม่หึง หรือหวงอะไรทั้งนั้น แต่แค่ของที่เป็นของฉัน ก็คือของของฉัน ใครก็มาแย่งไปไม่ได้ทั้งนั้น”

     

                    “หรอออ พ่อคุณ ของที่เป็นของฉัน ใครก็มาแย่งไปไม่ได้” ซองมินลากเสียงยาวด้วยความหมั้นไส้ ก่อนจะล้อเลียนประโยคที่ชายหนุ่มพูด “แบบนี้แหล่ะที่เขาเรียกว่าหวง แล้วก็หึง”

     

                    “ฉันไม่...”

     

                    ซองมอนรีบยกนิ้วขึ้นห้าม ก่อนที่ชายหนุ่มจะทันได้ปฏิเสธ “นายตอบฉันมาดีกว่า ตามความรู้สึกของนายตั้งแต่เมื่อก่อนนู้นนนน นายไม่ชอบให้ใครมายุ่งกับฮีชอล”

     

                    “ใช่”

     

                    “นายไม่ชอบฮีชอลไปไหนมาไหนกับใคร”

     

                    “ใช่”

     

                    “นายไม่ชอบเวลาที่ฮีชอลไปสนิทกับใคร”

     

                    “ใช่”

     

                    “นายไม่ชอบให้ฮีชอลสนใจคนอื่นมากกว่านาย”

     

                    “ไม่ใช่..”

     

                    “เฮ้ย ทำไมอ่ะ” ตาของซองมินกว้างขึ้น ตกใจกับคำตอบที่มันผิดทฤษฎีที่อุตส่าห์ร่างขึ้น

     

                    “ฉันไม่ชอบให้ฮีชอลสนใจคนอื่น ถึงจะน้อยกว่าฉันก็เหอะ”

     

                    “อ่านะ... เล่นซะฉันไปไม่ถูก แล้วทั้งหมดที่นาย เป็นเนี้ยศัพท์ทางการเขาเรียกว่าหึง แล้วนายก็เป็นคนขี้หึง ที่หึงโหดมากด้วย รู้ตัวหรือเปล่า ซีวอน”  ร่างอวบค่อยๆอธิบายให้ชายหนุ่มฟังอย่างใจเย็น เห็นทีเขาคงต้องอาสาตัวเองเป็นเทรนเนอร์ให้กับชายหนุ่มคนนี้เสียแล้ว

     

                    “แล้วถ้าเป็นซองมินจะไม่ทำแบบที่ฉันทำหรือไง” ชายหนุ่มถามเสียงอ่อนลง ยอมรับฟังความเห็นของซองมิน

     

                    “ไม่ เพราะความรักแบบนี้ ทำร้ายฮีชอลมามากพอแล้ว ต่อไปนาย นายต้องใจเย็น ใช้เหตุผลมากกว่าอารมณ์ ไม่ใช่เอะอะก็โมโห ใช้กำลัง แล้วอีกอย่างนะ กับจองวู  ทุกคนก็รู้ แม้แต่จองวูก็รู้ว่า ฮีชอลหน่ะ ให้ได้แค่เพื่อน ไม่มีทางเป็นได้มากกว่านี้แล้ว”

     

                    “ฮึ” ดวงตาคมกร้าว เบือนหนีไปทางอื่น “ถ้ามันหยุดแค่นี้นายบอก มันก็คงไม่ทำแบบนี้หรอก”

     

                    “นิ บอกว่าเพื่อนก็เพื่อนสิวะ แล้วหัดคุมอารมณ์ตัวเองหน่อย ถ้านายจะเสียฮีชอลก็เพราะแบบนี้แหล่ะ รู้ตัวไว้ด้วย”  ซองมินเริ่มขึ้นเสียงดัง เมื่อพูดไปก็เหมือนจะรู้เรื่อง แต่ก็กลายมาเป็นแบบนี้อีก

                                                                                                                              

                    “แล้วจะให้ฉันทำยังไง นายก็บอกเพื่อนนายด้วยสิ ว่าอย่ายุ่งกับคนของฉัน”

     

                    “โธ่เว้ย ก็หัดถามหน่อยสิ ไม่ใช่เห็นอะไรก็ตีความด้านลบอย่างเดียว แล้วอารมณ์ก็หัดเก็บ หัดควบคุมมันบ้าง” ใบหน้ากลมบึ้งตึง “เรื่องจองวูหน่ะ ก็เลิกคิดมากได้แล้ว ที่มันทำไปก็เพราะห่วงฮีชอลนั่นแหล่ะ แต่ก็ให้เวลาหน่อย เพราะเมื่อรักไปแล้ว จะให้เลิกอ่ะมันไม่ง่ายหรอก ไม่งั้นป่านนี้ฮีชอลก็ไม่ต้อทรมานเพราะรักนายแบบนี้หรอก” ถอนหายใจหนักก่อนเดินกลับไปที่ใต้ตึก แต่ยังหันมาส่งยิ้มและกำลังใจให้อีกครั้ง “ฉันเชียร์นายนะซีวอน ทำให้ได้”

     

                    ชายหนุ่มยืนนิ่งอยู่ที่เดิม ค่อยๆทำความเข้าใจไปทีละประโยค กับความรักที่ไม่คุ้นเคย เขาคงต้องใช้เวลาอีกสักนิดเพื่อเรียนรู้และเข้าใจ....

     

    .ความรักใครก็จักให้มันเป็นเรื่องของอารมณ์ แต่เมื่อได้รักมาครองแล้ว อารมณ์กลับเป็นเรื่องที่ไม่ควรใช้....

     

                    มันคงไม่ทำให้ชายหนุ่มต้องคิดหนัก หากว่าซองมินจะไม่ขู่เขาไว้ด้วยคำที่แสนน่ากลัว

     

                    “ถ้านายจะเสียฮีชอลก็เพราะแบบนี้แหล่ะ รู้ตัวไว้ด้วย”    

                    สายลมเย็นที่พัดผ่านมาทำให้รู้สึกเย็นมากขึ้น จนค่อยๆสะลัดอารมณ์ร้อนๆที่ซองมินบอกว่ามันคืออาการหึงหวงไปได้หมด เหลือแต่ความเป็นห่วง และกังวลใจกับอาการของร่างบาง ชายหนุ่มจึงเดินกลับไปยังโต๊ะใต้ตึกอีกครั้ง

     

                    ซีวอนพยายามเปลี่ยนหน้าของตัวที่นิ่งเรียบเสียจนเย็นชา ให้มีรอยยิ้มที่คิดว่าอ่อนโยนที่สุด เดินเข้าหาไปร่างเล็กที่กลับมานั่งที่เดิมแล้ว

     

                    ชายหนุ่มแทรกตักลงนั่งตรงที่ว่างเล็กๆข้างร่างบาง โดยมีร่างอวบที่บอกว่าเชียร์เขา ขยับที่ให้นั่งได้มากขึ้น ใบหน้าคมผินไปทางร่างบางที่หน้าขาวซีดมีหยดน้ำเกาะอยู่เล็กน้อย รอยยิ้มที่ตั้งใจจะให้ละลายหายไป กลายเป็นความรู้สึกผิดที่อัดแน่นอยู่ภายใน “ฮีชอล ฉันขอโทษนะ ฉัน....”

     

                    ตลอดเวลาที่ชายหนุ่มข้างกายลงมานั่ง ฮีชอลค่อยๆพาตัวเขยิบออกห่าง ไม่กล้าหันไปมอง ไม่รู้ว่าอารมณ์ที่ไม่เคยเดาได้นั้น กำลังเป็นแบบไหน จนกระทั่งได้ยินคำพูดที่หลุดออกมา พร้อมน้ำเสียงสั่นพลิ้ว ในแบบคนที่กำลังรู้สึกเสียใจ และไม่แน่ใจ ร่างบางรับฟังอยู่เงียบๆ

     

                    “ฉัน...ตื่นมาแต่เช้า ตั้งใจว่าเราจะมาม.ด้วยกัน เหมือนเมื่อก่อน แต่พอไปหาที่บ้าน แล้วไม่เจอ ฉัน...ขอโทษ ฉันสัญญาว่ามันจะไม่เกิดขึ้นอีกแล้ว ฉันจะไม่ทำร้ายนายอีกแล้ว”

     

                    รอยยิ้มเหยียดหยันจุดขึ้นที่มุมปากของจองวู สายตาเต็มไปด้วยท้าทาย และน้ำเสียงที่กดให้ต่ำลง “ทำให้มันได้จริงสักครั้งเหอะ อย่าดีแต่พูด โอ้ย” ปลายเสียงสะดุดลงเพราะอาการเจ็บที่ปลายเท้า

     

                    ซองมินนั่งเงียบหวังให้เกิดบรรยากาศดีๆ แต่กลับต้องยืดเท้าสั้นๆไปเหยียบเพื่อนเต็มแรง เมื่อคำพูดที่ปล่อยมามันทำลายบรรยากาศที่กำลังเป็นไปได้ด้วยดี ถึงจะเข้าใจว่าจองวูกำลังอยู่ในภาวะเจ็บปวดก็ตาม

     

    ...แต่อย่ามาเจ็บ แล้วยั่วให้ซีวอนงี่เง่าอีกเลย....

     

                    ชายหนุ่มที่พึ่งให้คำสัญญาไป ต้องเก็บอารมณ์อย่างสุดกลั้น จิกเล็บเข้าที่อุ้งเนื้อเพื่อเตือนสติตัวเอง ให้ปล่อยผ่านคำพูดของจองวูไป แล้วกลับมาสนใจเรื่องที่อยากจะพูดกับร่างบาง”ฮีชอล เย็นนี้นายรอฉันมารับได้ไหม อย่าพึ่งกลับไปกับใคร”

     

                    ดวงตากลมมองเข้าไปในดวงตาคู่คม ที่เต็มไปด้วยความเว้าวอนและขอร้อง ผิดกลับที่เคยเป็นมา พาให้นึกไปถึงร็อตไวเลอร์ตัวโตมากไปด้วยพิษสงกำลังอ้อนเจ้านายขอกินขนม ภาพที่อยู่ในหัว ทำให้เผลอหลุดหัวเราะออกมา ก่อนตอบรับพร้อมรอยยิ้มสดใส “รีบมานะ ฉันจะรอ”

     

                    จองวูมองหน้าซีวอนเขม่ง ก่อนจับมือเล็กให้ลุกขึ้น ให้คำอธิบายเสียงห้วนอย่างที่ไม่เคยเป็น “เข้าเรียนได้แล้ว จวนได้เวลาแล้ว”

     

                    ร่างสูงมองส่งตามแผ่นหลังเล็กที่เดินขึ้นตึกไปด้วยความหวังที่มีอยู่จนล้น อย่างน้อยๆ เขาก็ได้รับรอยยิ้มที่หายไปนาน และรอคอยมันอยู่ ต่อจากนี้ ไม่ว่าทางข้างหน้า จะมีอะไรขวางกั้น เขาจะอดทน อดทนเท่านั้น ที่จะทำให้ได้รักมาครอบครอง

     

                    ซีวอนตั้งใจจะกลับไปที่รถ เมื่อแผ่นหลังเล็กลับสายตาไป แต่กลับถูกเรียกเอาไว้จนต้องหันกลับไปมองคนเรียก ที่เขามองเห็นว่าเป็นศัตรูมาตลอด

     

                    “คุณซีวอน ถึงผมจะไม่ชอบคุณ แต่..ผมฝากดูแลพี่ฮีชอลด้วย พี่ฮีชอลรักคุณมาก”

     

                    “อือ ขอบใจ” แล้วฉันจะดูแลฮีชอลให้ดีที่สุด.....

     

    * ~ * ~ * ~ * ~ *~ * ~* ~* ~ * ~ * ~ * ~ * ~ * ~ * ~ *

     

                    “คิม ฮีชอล”

     

                    เสียงเรียกเคร่งขรึมจากหน้าห้องพาให้ใจดวงน้อยเต้นรัวรอฟังผลคะแนนของวิชาที่ไม่มีการสอบปลายภาคคะแนนจึงออกมาได้ก่อนใคร รู้สึกเหมือนอากาศที่เคยมีกำลังหมดลงไม่พอเพียงกับการหายใจ ความเย็นรอบกายค่อยๆลดลงจนเป็นร้อนวูบขึ้นมา “ครับ”

     

    F

     

                    อาจารย์ผู้สอนเพียงประกาศตัวอักษรหนึ่งตัว แต่มันทำให้ความรู้สึกของคนฟังดำวูบลงไป หัวสมองขาวโพลน อยากจะร้องไห้ แต่น้ำตามันก็ไม่ไหลออกมา มีเพียงแค่เหงื่อเย็นๆ และของเหลวกลิ่นคาวที่ไหลในจมูก

     

                    “เฮ้ย ฮีชอลเลือด” ซองมินหันมองใบหน้าเพื่อนด้วยความเป็นห่วงแต่กลับต้องตกใจที่เห็นหน้าขาวซีดตัดกับสีแดงสดที่ไหลจากโพรงจมูก “อาจารย์ครับ ผมขอพาฮีชอลไปเข้าห้องน้ำนะครับ”

     

                    “อือ คุณรีบพาเพื่อนคุณไปเลย”

     

                    ไม่ทันขาดคำทั้งซองมิน และจองวูต่างรีบเข้าช่วยกันประคองเพื่อนรักไปยังห้องน้ำที่อยู่ใกล้ที่สุด พยายามแหงนหน้าเรียวให้หงายขึ้น เพื่อไม่ให้เลือดไหลลงมาได้อีก

     

    “ฮีชอลไหวไหม” มือหนึ่งคอยเอาซับเลือดจากจมูก อีกมือก็ต้องซับน้ำตาให้ จนซองมินไม่คิดว่าเพื่อนจะเข้าเรียนต่อได้อีกแล้ว

     

                    “ฮึก... ฉัน..”

     

                    “เฮ้ย ไม่เอา อย่าร้องดิฮีชอล ไม่ร้องนะ ไม่ร้อง” ซองมินมองหน้าเพื่อนอย่างอัดอั้นเต็มที่ อยากจะคว้ามากอด ไอ้เลือดแดงสดก็ยังไม่หยุดไหล พอๆกับน้ำตาที่ไหลจนกลายเป็นธารน้ำบนหน้าซีดเผือด ดวงตารีต้องหันไปมองเพื่อนสนิทตัวสูงให้ช่วยปลอบอีกแรง

     

                    “ไม่เอาหน่าฮีชอล เดี๋ยวลงช่วงซัมเมอร์ก็ได้ นะ อย่าเครียดเลย เดี๋ยวแย่ต้องเข้าโรงบาลแล้วจะไม่ได้อ่านหนังสือวิชาอื่นนะ” จองวูที่สองมือต้องคอยซักผ้าเช็ดหน้าที่เปื้อนเลือด ส่งสับเปลี่ยนให้ซองมิน ปลอบเพื่อนที่นับวันจะอ่อนแอลงทุกทีด้วยความเป็นห่วง จนต้องยกเรื่องการสอบวิชาอื่นเข้ามาอ้าง

     

                    “แล้วถ้าจารย์ไม่เปิดหล่ะ...”

     

                    “เปิดสิหน่า เชื่อฉัน วันนี้เรียนไหวหรือเปล่า โทรให้ซีวอนมารับนะ” ร่างอวบรีบรวดรัดเมื่อเห็นว่าเลือดที่ไหลออกมาหยุดลงแล้ว กดโทรศัพท์หาร่างสูงอีกคนที่คงพร้อมโดดเรียนเพื่อมารับคนป่วยกลับบ้าน

     

                    “ไม่ต้อง..” ฮีชอลจะปฏิเสธ แต่ก็ไม่เสียแล้วเมื่อเพื่อนตัวดีเดินออกไปจากห้องน้ำเพื่อคุยโทรศัพท์เสียแล้ว

     

                    “ฮัลโหล ซีวอนมาที่คณะหน่อย”

     

                    /ฉันมีเรียนอยู่ เดี๋ยวเรียนเสร็จแล้วไปหาได้ไหม มีอะไรหรือเปล่า/

     

                    เสียงกระซิบเบาๆ และเสียงบรรยายจากอาจารย์ทำให้ซองมินเชื่อได้ว่าชายหนุ่มไม่โกหก แต่ว่าซีวอนจะเห็นอย่างอื่นสำคัญกว่าเพื่อนเขาจริงหรือ “ก็ตามใจ งั้นฉันให้จองวูไปส่งฮีชอลที่บ้านก็ได้”  

     

                    /เฮ้ย เกิดไรขึ้น ฮีชอลเป็นอะไร พาฮีชอลลงมาใต้ตึกเลย ฉันไปเดี๋ยวนี้แล้ว/

     

                    ใบหน้าอิ่มเปิดรอยยิ้มกว้างกับคำตอบที่ถูกใจ ก่อนหายใจเข้าลึกๆ เดินกลับเข้าไปในห้องน้ำเพื่อบอกให้เพื่อนรักทั้งสองได้รู้ “จองวูพาฮีชอลลงไปข้างล่างเหอะ เดี๋ยวซีวอนมารับแล้ว”

     

                    “แต่ซีวอนมีเรียนไม่ใช่หรอ” เสียงแผ่วหวิวของคนเสียเลือดและเสียใจกับผลคะแนนที่ได้เจือปนเสียงสะอื้นให้ได้ยิน

     

                    “ก็แล้วซีวอนเคยเห็นอย่างอื่นสำคัญกว่านายหรอฮีชอล ไม่ว่าตอนนี้หรือตอนไหน ไปเหอะ ป่านนี้คงออกมาจากคณะแล้วมั้ง” ซองมินแตะแขนเพื่อนเบาๆให้ออกเดินไป พร้อมกันทั้งสามคน

     

                    “ความจริงให้เราไปส่งก็ได้ ถ้าฮีชอลไม่อยากไปกับซีวอน” ชายหนุ่มร่างสูงอาสาตัวอีกครั้งเมื่อเห็นร่างบางอิดออด ด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความกังวล

     

                    “จองวู” เสียงของซองมินทุ่มต่ำเป็นเชิงปรามเพื่อนที่กำลังทำเกินหน้าที่ ใช่ว่าไม่รักเพื่อน แต่ก็เพราะรัก และรู้ว่ารั้นต่อไปก็มีแต่เจ็บเปล่า ไม่มีทางที่จะสมหวังในรักครั้งนี้ เพราะคนสองเขามีใจให้กันมานานนนน....นานก่อนที่พวกเราสามคนจะมาเป็นเพื่อนกันเสียอีก

     

                    “เฮ้อออ” จองวูพ่นลมหายใจหนักๆออกมา รัยคำปรามของเพื่อนสนิท ก่อนกลับไปสนใจเพื่อนตัวบาง “ฮีชอลค่อยๆเดินนะ เดี๋ยวหน้ามืดตกบันได”

     

                    ที่ใต้ตึกคณะมีชายหนุ่มร่างสูงยืนหน้าเคร่งรออยู่ ในทันทีที่เห็นคนทั้งสามร่างสูงก็เดินเข้ามาใกล้ เข้าโอบประคองร่างบางที่ดูหน้าซีด “ไหวไหมฮีชอล ให้ฉันแวะโรงบาลก่อนไหม”

     

                    “อื้อ ไม่เป็นไร ความจริงนายไม่ต้องลำบากก็ได้ ฉันไม่เป็นอะไร แค่เลือดกำเดาเท่านั้นเอง ซองมินแตกตื่นเกินไป” เสียงหวานหันไปตำหนิเพื่อนรักเบาๆ ไม่กล้าสบตากับดวงตาคู่คมแววตาที่ละลายกำแพงในใจ

     

                    “อย่าคิดแบบนั้นได้ไหมฮีชอล” มือหนาเกาะกุมมือเล็กไว้แนบแน่นตั้งใจส่งผ่านความห่วงใยและหวงแหนไปให้ “สำหรับนาย ไม่ว่าอะไร เมื่อไหร่ ฉันให้ได้เสมอ”

     

                    “.....” คำหวานที่ยังไม่คุ้นชินทำให้ฮีชอลจนกับคำพูดกัดริมฝีปากของตัวเองด้วยความเขินอายบนความไม่แน่ใจ กับความรู้สึกที่รับรู้ได้ของชายหนุ่ม

     

                    “เอ่อ...พวกฉันขึ้นไปเรียนก่อนนะ” ทั้งคำพูดและสายตาของซีวอนที่มีให้แก่เพื่อนสนิทพาให้ร่างอวบอดไม่ได้ที่จะหน้าแดงไปด้วย ถึงแม้ว่าคำพูดนั่นจะไม่ได้เป็นของเขาก็ตาม จนต้องหาจังหวะขอตัวออกมา แล้วปล่อยให้สองคนได้อยู่ด้วยกัน

     

                    “อือ ขอบใจมากนะซองมิน ที่โทรบอก”

     

                    “ไม่เป็นไรหรอก ฮีชอลกลับไปบ้านก็ไปพักผ่อนนะ” ซองมินย้ำกับเพื่อนรักตัวเล็กอีกครั้งก่อนกระตุกแขนเพื่อนรักตัวโตให้เดินกลับขึ้นไปบนตึก ปล่อยทิ้งคนทั้งสองให้ไปขึ้นรถ

     

                    ซีวอนโอบเอวเล็กเข้ามาชิด เมื่อร่างบางจะขยับออกก็ยิ่งออกแรงรั้งให้เข้ามาใกล้ กระซิบบอกข้างหูเล็กด้วยควาเเป็นห่วง เป็นเหตุให้คนที่พยายามรั้งตัวออก ต้องยอมปล่อยให้ตนเองตกอยู่ในอ้อมแขนที่เคยโหยหา “อย่าดื้อนะฮีชอล ถ้านายล้มหรือหน้ามืด ฉันจะอุ้มนายไปขึ้นรถแน่ๆ ถ้าไม่อายก็ลองดู”

     

                    ใบหน้าหวานซีด ค่อยๆซับสีเลือดมากขึ้นเพราะสายตาของคนที่มองมาตลอดทางตั้งแต่ใต้ตึกไปจนถึงถนนหน้าคณะที่มีรถคันใหญ่จอดไว้

     

                    ซีวอนเปิดประตูแล้วส่งร่างเล็กเข้าไปในรถ ก่อนที่ตนเองจะอ้อมไปอีกด้านเข้าประจำที่ แต่ก่อนที่จะออกรถเหมือนทุกครั้ง ชายหนุ่มกลับอ้อมตัวไปข้างหลัง เรียกสายตางุนงงจากดวงตาโต

     

                    มือหนาคลี่ผ้าห่มผืนหนาที่เตรียมไว้ห่มคลุมร่างบางอย่างทะนุถนอม  “ห่มไว้นะ จะได้ไม่หนาว”

     

                    ดวงตากลมหลุบลงต่ำ ยามใบหน้าคมโน้มลงมาชิดใกล้ บีบร่างกายให้เล็กแคบเมื่อมือใหญ่จับผ้าห่มคลุมจนดูคล้ายๆการโอบกอด “ขอบใจนะ แต่เมื่อก่อนนายไม่ชอบให้ในรถมีอะไรพวกนี้ไม่ใช่หรอ แล้วทำไม...”

     

                    “ฉันกลัวนายหนาวหน่ะ ก็เลยติดรถไว้ มีหมอนด้วย จะเอาหรือเปล่า” เสียงทุ่มบอกให้อย่างใจดีตั้งใจจะเอื้อมไปด้านหลังเพื่อหยิบหมอนอิงมาให้ แต่กลับมีมือเล็กมาวางทาบลงบนหลังมือเสียก่อน

     

                    ซีวอนชะงักงันเมื่อได้สัมผัสมือเล็กนุ่มที่แสนอ่อนโยน ในหัวใจกำลังกู่ร้องอย่างลิงโลด ยิ้มอย่างมีความสุขกับความกลัวของฮีชอลที่เริ่มจางหาย และก่อนที่รอยความอุ่นจะหายไป มืออีกข้างซีวอนก็วางทับลงบนมือบางไว้อีกชั้น

     

                    ใบหน้าหวานแดงจัดเมื่อได้เห็นรอยยิ้มกริ่มบนใบหน้าคมจะยกมือหนีก็ช้าเกินไป เมื่อมีมือหนามาซ้อนทับไม่ยอมปล่อยให้ชักมือกลับ “ไม่ต้องหรอก ขอบใจนะ”

     

                    “ไม่เป็นไร ถ้าอยากได้อะไรเพิ่มก็บอกนะฉันจะได้หามาไว้ในรถให้อีก” ชายหนุ่มฉวยแทรกนิ้วเข้าตามง่ามนิ้วเรียวดึงมาไว้บนหน้าขาของตน ใช้มือเพียงข้างเดียวบังคับพวงมาลับรถยนต์

     

                    “อืออ” ร่างบางครางรับในลำคอสายตากลมเหลือบมองเสี้ยวหน้าคมก่อนไล่สายตาลงมามองสองมือที่สอดประสานอยู่บนหน้าขาของชายหนุ่ม รู้สึกได้ถึงไอร้อนจัดบนใบหน้า เผลอยิ้มออกมาไม่ได้

     

                    รถคันใหญ่วิ่งไปบนถนนอย่างช้าๆ ด้วยคนขับอยากจะยืดเวลาความสุขแบบนี้ให้นานแสนนาน ความสุขที่มีความรักโอบอุ้มไม่รู้ว่าจะคงอยู่อีกนานแค่ไหน เมื่อวันนี้ได้สัมผัสก็อยากจะรั้งไว้ให้นานแสนนาน หวังในสักวันว่าบาดแผลลึกในใจดวงน้อยจะเลือนหายไปจนหมด วันนั้นเขาคงไม่ต้องกลัวว่าความสุขที่ได้รับจะจางหายไป         

     

    * ~ * ~ * ~ * ~ *~ * ~* ~* ~ * ~ * ~ * ~ * ~ * ~ * ~ *

     

    “เฮ้อ..ที่ท่าเรือโทรมาบอกว่าเรือของเราถูกโจรสลัดปล้นไปอีกแล้ว”

     

                    “อีกแล้วหรือคะ ลำที่สองแล้วนะคะ แล้วทางนู้นว่ายังไงบ้าง หรือว่าจะให้เราทำใจอย่างคราวที่แล้ว”

     

                    “ไม่หรอก เพราะตอนนี้กองกำลังนานาชาติเราก็ร่วมมือกันปราบอยู่ แต่ไม่รู้ว่าจะเจอเรือของเราไหม ผมอาจจะต้องกลับไปดูเอง ส่วนคุณก็อยู่กับลูกทางนี้ไปก่อน”   

     

                    “รออีกนิดไม่ได้หรือคะ อีกไม่นานฮีชอลก็ปิดเทมอแล้ว เราจะได้กลับพร้อมๆกันด้วย”

     

                    “เอาอย่างนั้นก็ได้ ความจริงผมเองก็ยังมีเรื่องที่ต้องคุยด้วย”

     

                    “เรื่องอะไรหรือค่ะ”

     

                    “เรื่องของลูกผู้ชาย ลูกผู้หญิงไม่เกี่ยวหรอก”

     

                    “คุณแตวู!

     

    เสียงพูดคุยของบุพการรีทั้งสองดังมาจากห้องนั่งเล่น วงแผนที่จะพาเขากลับบ้านในช่วงปิดเทมอใหญ่ พาให้สองขาเล็กชะงักการก้าวเดิน ทำให้เพื่อนสนิทที่รอวันเปลี่ยนสถานะมองด้วยความสงสัย

     

    “ฮีชอลเป็นอะไร หรือรู้สึกหน้ามืด ฉันอุ้มไปดีไหม” ไม่ใช้เพียงแค่คำพูดที่แสดงออกถึงความเป็นห่วงแต่สองมือแกร่งยื่นมาเพื่อจะโอบอุ้มร่างบางเข้ามาในวงแขน

     

                    “เปล่าๆ ไม่ต้อง ฉันไม่ได้เป็นอะไร” ร่างบางเบี่ยงกายหนี เผลอสบตาเห็นแววความน้อยใจฉายชัด จนดูไม่เหมือนชายหนุ่มคนเก่า “ฉันไม่ได้เป็นอะไรจริงๆ”

     

                    “อือ แต่ถ้าเป็นอะไร สัญญาได้ไหมว่าจะบอกฉัน จะไม่เก็บเอาไว้คนเดียว ให้ฉันได้อยู่กับนายในเวลาที่นายเจ็บ ให้ฉันได้ดูแล ได้ไหมฮีชอล”

     

                    กระแสเสียงเว้าวอนของชายหนุ่มค่อยๆทำลายกำแพงในใจที่นับวันจะกร่อนลงทุกที จนใกล้พังทลายลงเต็มทีแล้ว หากแต่ร่างบางก็ได้แต่ร้องบอกกับหัวใจที่อ่อนแอให้มันแข็งกว่านี้อีกนิด ขอเวลาอีกหน่อย แล้วไม่นานความรักของพวกเขาจะดำเนินไปบนเส้นทางของความสุข

     

                    “....” ฮีชอลเลือกที่จะไม่ตอบ มีเพียงรอยยิ้มหวามส่งมาให้ ไม่แน่ใจหากในวันนั้นมาถึงจะใจแข็งให้ชายหนุ่มผู้เป็นเจ้าของหัวใจต้องทนทรมานมองเห็นตนเองล้มป่วยและทรุดโทรมโดยที่ใครก็ไม่อาจช่วยได้

     

                    เรียวขาเล็กพาร่างบางเดินเข้าไปให้หาพ่อแม่ที่นั่งคุยเล่นอยู่ในห้องรอยยิ้มของท่านทั้งสอง พาให้รู้สึกหนักวูบกับเรื่องที่จะต้องพูด

     

                    “สวัสดีครับ คุณลุงคุณป้า”

     

                    เสียงของชายหนุ่มที่เดินตามมาปลุกให้รู้สึกตัว ก่อนเดินเข้าไปหาพ่อแม่ที่นั่งยิ้มอยู่ คิ้วเรียวขมวดเข้าหากัน หนักใจกับเรื่องที่จะต้องพูด “ปิดเทอมนี้ ผม...”

     

                    “อือ พ่อกับแม่คุยกันแล้วว่าเราจะรอกลับพร้อมลูกเลย ดีไหมฮีชอล” เสียงของแม่ดังแทรกเข้ามาทำให้ใจที่เตรียมพร้อมจะสารภาพต้องหยุดชะงัก ก่อนตั้งต้นใหม่

     

                    “คือ พ่อแม่ครับ ปิดเทอม ผมกลับด้วยไม่ได้แล้ว”

     

                    “อ้าว!

     

                    เสียงตกใจของพ่อทำเอาฮีชอลสะดุ้งตกใจ คำพูดที่เรียบเรียงมากระเจิงหายไปหมด เหลือความจริงเพียวๆ ไม่มีอ้อมให้ทำใจ “ผมตก แล้วต้องเรียนซัมเมอร์อ่ะพ่อ”

     

                    “มันจะตกได้ยังไง ยังไม่ได้เริ่มสอบไม่ใช่หรือไง”

     

                    เสียงของพ่อไม่มีร่องรอยความขุ่นมัว มีแต่เพียงความแปลกใจ ให้ลูกได้โล่งอก “ก็มันแบบเป็นวิชาเก็บคะแนนในห้องไง แล้วแบบ อือ..นั้นแหล่ะ มันตก ผมคงกลับกับพ่อกับแม่ไม่ได้แล้ว”

     

                    “แล้วไม่แข็งแรงแบบนี้ จะอยู่คนเดียวได้ยังไง เกิดเป็นไรไปขึ้นมา”

     

                    “ก็ไม่รู้...แต่มันกลับไม่ได้หนิ” ร่างบางทำเสียงอ้อมแอ้มในลำคอ ก้มหน้าต่ำ ยื่นปากออกมาเหมือนเด็กน้อย

     

                    “ฮีชอล” เสียงทุ้มต่ำของพ่อทำให้ลูกชายต้องสะดุ้งอีกครั้ง “ถ้างั้นก็ให้แม่อยู่กับเราที่นี้”

     

                    “ไม่เอา แม่ก็กลับไปกับพ่อก็ได้ ผมอยู่คนเดียวได้จริง”

     

                    “เอ่อ...คุณลุงครับ”  รอยยิ้มมุมปากปรากฏขึ้นบนใบหน้าคมพอใจกับความคิดของตนเอง และโอกาสที่มาอย่างคาดไม่ถึง  “ ถ้าอย่างนั้นให้ฮีชอลมาอยู่ที่บ้านผมก็ได้ครับ ห้องเดิมที่เคยอยู่แม่ก็ให้คนเข้าไปดูแลทำความสะอาดทุกวันอยู่แล้ว”

     

                    ความสงสัยแล่นริ้วขึ้นมาอีกครั้งในใจของผู้สูงวัย ก่อนบอกปัด “ลำบากบ้านเราเปล่าๆหน่า เมื่อก่อนให้อยู่ได้เพราะเจ้าฮีชอลปรกติดี แต่ตอนนี้มันไม่เหมือนเดิม จะไปเป็นภาระ”

     

                    “ไม่หรอกครับ แม่ผมรักฮีชอลยิ่งกว่าอะไร แล้วถ้าแม่ผมรู้เขาคงไม่มีทางปล่อยให้ฮีชอลอยู่บ้านคนเดียวแน่ๆ ห้าอยู่บ้านผมเถอะครับ” ชายหนุ่มลงเสียงขอร้องทั้งที่ไม่เคยคิดจะทำ แต่หากเป็นเรื่องของฮีชอลต่อให้มากกว่านี้ ก็คงต้องยอม เพื่อให้ได้ความรักมาครอบครอง

     

                    ดวงตาคมกริบต่างจากลูกชายมองหน้าชายหนุ่มที่เห็นมาตั้งแต่เด็กอย่าพิเคราะห์ ก่อนตัดสินใจเฉียบขาดเมื่อได้มองเห็นแววตาหนักแน่นของชายหนุ่มรุ่นลูก “เอางั้นก็ได้ ฮีชอลช่วงซัมเมอร์ก็ไปนอนบ้านซีวอนเหมือนเดิม ลุงรบกวนด้วยนะ”

     

                    “พ่อ..” เสียงเล็กคัดค้าน แล้วก็ต้องเงียบหายไป เมื่อได้เห็นสายตาของผู้เป็นพ่อ

     

                    “ไม่รบกวนหรอกครับ ทุกคนที่บ้านนั้นรักฮีชอลมาก” โดยเฉพาะผม คำพูดที่อยากพูดออกไป แต่ก็ได้เพียงแค่พูดกับตัวเองไปก่อน รอยยิ้มร่าปรากฏขึ้นบนใบหน้าคม จ้องมองดวงหน้าใสที่ก้มงุด พึมพำบางอย่างกับตัวเองเบาๆไม่ให้ใครได้ยิน

     

                    “อย่าบ่นหน่าฮีชอล ไปอยู่กับซีวอนแม่จะได้สบายใจนะลูกนะ” แขนของคนเป็นแม่รั้งลูกชายเข้ามากอดพร้อมกับขยี้หัวเล็กให้ยุ่งเหยิงอย่างเอ็นดู

     

                    ซีวอนมองภาพที่แต่งแต้มรอยยิ้มสดใสของร่างบางอย่างมีความสุข อีกไม่นานเขาจะเป็นคนทำให้เกิดรอยยิ้มแบบนี้ขึ้นมาบ้าง...อีกไม่นานแล้วฮีชอล รอหน่อยนะ  

     

                  

    * ~ * ~ * ~ * ~ *~ * ~* ~* ~ * ~ * ~ * ~ * ~ * ~ * ~ *

     

    “อ้าวซีวอน วันนี้ไม่มีสอบหรอลูก” เฮย์ซูเอ่ยทักเพื่อนลูกชายที่เดินผ่านรั้วบ้านเข้ามาในสนาม ดวงตาคมกรบแบบที่ลูกชายเธอไม่มีกำลังสอดส่ายไปมาคล้ายกำลังเหลียวหาใคร “มาทานขนมกับป้าก่อนซิลูก”

     

                    “สวัสดีครับ คุณลุง คุณป้า ฮีชอลไม่อยู่หรอครับ” ชายหนุ่มก้มโค้งให้ผู้สูงวัยทั้งสอง ก่อนถามหาลูกชายของบ้านที่เขาตั้งใจมาหา

     

                    “ไปสอบตั้งแต่เช้าแล้ว มาหาลูกชายลุงมีอะไรหรือเปล่าหล่ะ” เสียงทุ้มต่ำที่เต็มไปด้วยอำนาจอย่างคนที่ผ่านอะไรมามากเน้นคำเมื่อถามชายหนุ่มตรงหน้า สายตาที่แม้ไม่ใสอย่างคนหนุ่มแต่ก็ยังคงดุดันกดดันคนมองได้

     

                    “เอ่อ...” ซีวอนสบสายตากับผู้สูงวัย ผิดสังเกตกับที่ถูกเน้นหนัก ดวงตาที่เคยมองว่าอบอุ่นดูจะลางเลือนไปเล็กน้อย แต่ชายหนุ่มก็ยังคงตอบตามสิ่งที่ใจคิดไม่ปิดบัง “ไม่มีอะไรครับ ผมมา...เพราะอยากมา” ใบหน้าคมยิ้มสุภาพผู้สูงวัยทั้งสอง “ผมคิดถึงฮีชอลครับ”

     

                    ไม่ว่าจะเป็นใครมาจากไหน....เขาจะไม่ยอมให้ความรักครั้งถูกทำร้ายได้อีกแล้ว จะปกป้องความรักไม่ให้อะไรมาทำลาย

     

                    “งั้นก็รออีกแปปนะจ๊ะ ป้าจะให้คนไปรับเขากลับพอดี ถ้ามาถึงแล้วเดี๋ยวป้าบอกให้ว่าเรามาหา” หญิงกลางคนที่ยังคงความงามยิ้มดีใจที่ลูกชายมีเพื่อนดีที่สามารถฝากให้ดูแลได้

     

                    “ถ้าอย่างนั้น ผมไปรับเขาที่ม.ก็ได้ครับ ขอตัวนะครับ คุณลุง คุณป้า” ซีวอนลุกขึ้นโค้งอย่างมีมารยาทก่อนเดินออกจากบ้านของฮีชอลเข้าบ้านตนเองเพื่อเอารถคันใหญ่ออก

     

                    “ดีจังเลยนะคะ ซีวอนเนี่ย ลูกสาวบ้านไหนได้ไปเป็นสามีคงโชคดีไปตลอด” เฮย์ซูหันมาหาสามีที่สายตาจับจ้องอยู่กับแผ่นหลังกว้างที่ห่างออกไปทุกทีของหลานชายเพื่อนลูก

     

                    “ก็หวังว่าจะไม่ใช่บ้านเราที่โชคดี”

     

                    “คะ....คุณว่าอะไรนะ” เฮย์ซูหันมาหาสามีอีกครั้งเมื่อได้ยินประโยคนั้นแผ่วเบา

     

                    “เปล่า ผมก็ว่าคงโชคดีนั้นแหล่ะ เข้าบ้านเถอะแดดเริ่มร้อนแล้ว” หนุ่มใหญ่ชักชวนภรรยาเข้าบ้านหลบแดดยามสายที่ส่องลงมายังสนามหน้าบ้าน

     

                    * ~ * ~ * ~ * ~ *~ * ~* ~* ~ * ~ * ~ * ~ * ~ * ~ * ~ *

     

    “อ๊ากกกกก ตายแน่ๆๆ ไอ้วิชาวันมะรืนนี้อ่ะ มีใครจะสอนฉันได้บ้างไหมเนี่ย ตอนพวกฉันไปนอนเล่นที่โรงบาล แทนที่นายจะตั้งใจเรียนสูตรบ้าๆนี้ก็ไม่ยอม แล้วเป็นไงหล่ะคราวนี้ใครจะช่วยได้ ฮึยยยย”

     

                    เสียงโวยวายดังลั่นที่ซีวอนจำได้แม่นว่าเป็นของซองมินมาให้ได้ยินก่อนจะเห็นตัว จนชายหนุ่มต้อมอมยิ้มกับความเป็นตัวของตัวเองไม่สนใคร เดินไปยังทิศทางที่เสียงลอยมา

     

                    “ซองมินเป็นอะไรเสียงดังไปถึงหน้าตึก”

     

                    “อ่ะ...ซีวอน” ร่างอวบหันกลับมาเห็นชายหนุ่มใส่ชุดธรรมดาได้แต่แปลกใจ “เปล่าไม่มีอะไรหรอก แค่กำลังเกลียดบางคนเท่านั้นเอง ชิส์” ดวงตารีๆส่งไปทางเพื่อนสนิทตัวสูงที่ทำหน้าไม่รับอะไร

     

                    “หรอ ฮีชอลทำข้อสอบได้หรือเปล่า มาฉันช่วยถือ” ชายหนุ่มเลิกสนใจใครคนอื่นหันมาส่งยิ้มให้คนข้างตัวที่มองมาด้วยสายตากลมๆ ก่อนยื้อมือไปถือสมุดเล่มบางที่คงเป็นเลคเชอร์วิชาของวันนี้

     

                    “ก็ได้บ้าง...” ร่างบองมองตามสมุดที่ไม่ได้หนักหนาอะไรของตนเองในมือชายหนุ่ม แล้วส่งยิ้มขอบคุณให้ ก่อนเอียงคอมองอย่างสังเกต “แล้ววันนี้ซีวอนไม่มีสอบหรอ ทำไมไม่ใส่ชุดนักศึกษา”

     

                    “อือ พรุ่งนี้ก็ไม่มี วันมะรืนถึงจะสอบแคล” ซีวอนนึกดีใจอยู่เงียบๆที่ฮีชอลสนใจเขามากพอจะถามเรื่องพวกนี้ ถึงจะดูเป็นคำถามธรรมดาในสายตาใครก็ตาม

     

                    “เออออออออ”

     

                    “เฮ้ย ซองมินฉันเจ็บ” ซีวอนเบี่ยงไหล่หนาหนีมืออวบที่ฟาดลงมาไม่ยั้ง ทั้งที่ยังไม่รู้ว่าเป็นอะไร “นายเป็นอะไร”

     

                    “ก็นายไง ซีวอน สอนพวกฉันคำนวณหน่อยสิ เนี้ยมันเป็นสูตรหาค่าสักอย่างของโรงแรมอ่ะ สอนหน่อยดิ นะๆๆ” ดวงตารีพยายามปั้นแต่งแบ๋วที่สุดเพื่อขอร้องชายหนุ่มตรงหน้า

     

                    “ซองมิน..” ฮีชอลเอ่ยปรามเพื่อนสนิทที่กำลังขอร้องชายหนุ่ม ทั้งที่ซีวอนเองก็ต้องอ่านหนังสือของตัวเอง

     

                    “อะไรเล่า ก็เนี้ยให้ซีวอนสอนให้แป๊บเดียวเอง นะๆๆ” ร่างอวบไม่ฟังคำเพื่อน ยังคงพยายามขอร้องซีวอนต่อไป

     

                    “ฮึ ไปรบกวนคนอื่นเขาทำไม เลขแค่ไม่กี่ตัวนั่งจ้องๆมองๆมันไม่เท่าไหร่ก็เข้าใจแล้ว ไปเหอะฮีชอล” จองวูมองหน้าซองมินอย่างไม่พอใจ แตะดุนหลังเล็กให้เดินแยกออกมา

     

                    “เดี๋ยว!” ชายหนุ่มคว้าข้อศอกของฮีชอล สายตาจับจ้องมองลึกเข้าไปในลูกแก้วคู่กลมโต น้ำเสียงทุ้มจริงจังไม่สนใจคำพูดเพื่อนสนิทของร่างบาง “ฮีชอลอยากให้ฉันติวให้หรือเปล่า”

     

                    “แล้วนายไม่ต้องอ่าหนังสือหรอซีวอน ถ้ามาสอนพวกฉัน” ดวงตากลมสบสายตาเพียงไม่นานก่อนเบี่ยงหนี ความรู้สึกในดวงตาคู่คมมากล้นเกินกว่าจะจะจ้องได้นาน

     

                    “ลืมแล้วหรอที่ฉันบอกวันนั้นหน่ะ” ถึงจะเต็มไปด้วยความน้อยใจที่คำพูดถูกลืมเลือน แต่ชายหนุ่มก็เข้มแข็งพอที่จะมองข้ามมันไป แล้วทบทวนให้ร่างบางได้ฟังอีกครั้ง กระซิบเบาๆที่ริมข้างหูเล็ก ย้ำเตือนประโยคเดิมที่ไม่ใช่เพียงแค่ลมปาก “สำหรับนาย ไม่ว่าอะไร เมื่อไหร่ ฉันให้ได้เสมอ

     

                    “อืออ” ฮีชอลรู้สึกว่าหน้าร้อนผ่าวและคงแดงกล่ำจนไม่กล้าเงยหน้าขึ้นสบตาใคร และซีวอนก็อยู่ใกล้เกินไปจนหัวเล็กๆดุนดันอยู่กับแผ่นอกหนา

     

                    “อือ เนี้ย หมายความว่ายังไงฮีชอล บอกกันก่อนสิ” ซีวอนยิ้มกว้างกับคำตอบที่ได้ยิน แต่ก็ขอแกล้งให้ชื่นใจมากกว่านี้ มือหนาเชยหน้าเล็กที่แดงกล่ำขึ้นมามองแต่ลูกแก้วใสคู่นั้นกลับเบี่ยงหนีออกไปไม่ยอมสบตา

     

                    “ให้นายติวให้ไง อย่าแกล้งกันได้ไหมซีวอน” เสียงอ่อยๆลงท้ายก่อนขอร้องผ่านทั้งสายตาและคำพูด เมื่อกลายเป็นจุดสนใจของนักศึกษาแถวนั้น

     

                    “ครับ”

     

                    คำรับแสนสุภาพพาให้ดวงตาโตต้องมองอีกครั้งอย่างแปลกใจ ไม่แน่ว่าใจว่าชายหนุ่มกำลังโกรธแล้วกลับไปร้ายอีกครั้งหรือไม่

     

                    “ตกลงฉันจะติวให้ นายตามฉันไปที่บ้านแล้วกันนะ ติววันนี้วันพรุ่งนี้จะได้ทำความเข้าใจส่วนอื่นได้ แต่ถ้าใครไม่อยากไป ก็ไม่ต้องฝืนตัวเอง” สายตาคมปรายตาไปยังร่างสูงอีกคนที่ยืนทำหน้าไม่พอใจแอบซ่อนมือที่กำหมัดแน่นไว้ด้านหลัง แต่คิดหรือว่าเขาจะไม่เห็น ซีวอนยกยิ้มมุมปากขึ้นอย่างพอใจ ก่อนจับมือเล็กบางให้เดินไปยังรถที่จอดรอไม่รอฟังคำตอบของคนทั้งสอง

     

                    * ~ * ~ * ~ * ~ *~ * ~* ~* ~ * ~ * ~ * ~ * ~ * ~ * ~ *

     

    รถคันใหญ่ของซีวอนเลี้ยวเข้ามาจอดในบ้านไม่นาน รถคันเล็กของจองวูก็ตามเข้ามา ซองมินรีบกระโดดลงจากรถลงมามองหนุ่มเจ้าของบ้านที่รีบเปิดประตูให้เพื่อนสนิท อดไม่ได้ดีจะยิ้มกับการพัฒนาตัวเองของซีวอน

     

                    “แล้วนายจะติวให้พวกเราที่ไหนอ่ะซีวอน” ซองมินเดินจากข้างรถของจองวูมาหาชายหนุ่มร่างสูงเจ้าของบ้านที่อาสาจะติวให้

     

                    “ที่สวนหลังบ้านไหม ฉันอ่านหนังสือค้างไว้ที่นั่นก่อนออกไปรับฮีชอล ดีไหมฮีชอล” แม้จะตอบซองมินแต่ประโยคหลัง ชายหนุ่มก็ยังหันไปถามร่างบางที่ยืนเงียบอยู่ข้างตัว ก่อนจ้องหน้ารอคำตอบจากร่างบาง

     

                    “ไม่รู้ ตามใจนายสิ”

     

                    เสียงอ้อมแอ้มเบาๆของคนที่ถูกกุมมือ ทำให้ซีวอนยิ้มกว้าง “งั้นก็ไปที่หลังบ้านแล้วกัน” ร่างสูงเดินนำทุกคนไปยังสถานที่ที่อ่านหนังสือก่อนหน้านี้ ในมือยังคงมีมือเล็กนุ่มนิ่มไว้

     

                    ชายหนุ่มเจ้าของบ้านรับชีทหนึ่งแผ่นที่มีสูตรการคำนวณไม่ยากนักมาอ่านทำความเข้าใจ ก่อนที่จะเริ่มอธิบายให้คนทั้งสามฟัง แต่เพียงไม่นานกลับรู้สึกได้ถึงมือนิ่มที่แตะลงมาบนต้นแขน จนต้องหันหน้าไปมอง

     

                    ความอ่อนโยนในดวงตาคู่คมเป็นสิ่งที่คิดว่าจะไม่ได้เห็นอีกแล้ว แต่เมื่อได้เห็นก็เขินอายและอดมีควาสุขไม่ได้ “ฉันจะไปเข้าห้องน้ำ นายจะติวคนอื่นก่อนก็ได้นะ”

     

                    “ฉันไปเป็นเพื่อนไหม”

     

                    “อือ ...ไม่..”

     

                    “ฮีชอลเคยอยู่บ้านนี้ คงไปเป็นมั้ง ไม่ต้องให้ใครไปส่งหรอก ใช่ไหมฮีชอล โอ้ยยย” จองวูเห็นโอกาสที่ร่างบางทำอึกอักคล้ายไม่ยินดีจะให้ใครไปด้วย จึงพูขัดแต่ก็ถูกหยิกแขนใต้โต๊ะโดยเพื่อนร่างอวบที่นั่งอยู่ข้างๆ

     

                    “ฉันไปเองได้ นายอยู่อ่านหนังสือเถอะ ถึงจะไม่ได้อยู่มาเป็นเดือน แต่ฉันไม่หลงหรอก”

     

                    ถึงฮีชอลจะเดินหายเข้าไปในตัวบ้าน แต่ใบหน้าของชายหนุ่มยังปรากฏรอยยิ้มค้าง ไม่ใช่เพราะคำพูดของคนเขินอาย แต่เป็นคำพูดแรกที่ฮีชอลหยอกล้ออย่างไม่หวาดหวั่น....ใกล้แล้วใช่ไหม

     

                    ฉันทำลายกำแพงแห่งความกลัวในใจนายได้แล้วใช่ไหม.....

     

                    “โหยย หนังสือนายเยอะจัง มีแต่ตัวเลขอ่านยังไงเนี้ย” ซองมินรื้อค้นหนังสือที่อยู่บนโต๊ะ ข้างในมันเต็มไปด้วยตัวเลข จนดูเวียนหัวไม่รู้เรื่อง “เอ๊ะ เล่มนี้ก็ของนายหรอ” ตารีเบิกกว้างหยิบหนังสือที่ไม่เข้าพวกกับใครขึ้นมาถามเจ้าของ

     

                    “อือ ทำไม ยังอ่านไม่จบหรอก” ซีวอนเงยหน้าขึ้นจากกระดาษแผ่นบางมองหนังสือที่ถูกถามถึง ก่อนตอบตามความจริงว่าเขายังอ่านหนังสือหนาไม่ถึงร้อยหน้าไม่จบ เพราะต้องอ่านซ้ำให้เข้าใจในบางหัวข้อ

     

                    “เปล่าหรอก ถามไปงั้นแหล่ะ แต่ถ้าอ่านจบเมื่อไหร่ บอกให้พวกฉันฟังบ้างนะ” ใบหน้าคมพยักรับก่อนก้มหน้าอ่านกระดาษแผ่นบางต่อไป ไม่สนใจรอยยิ้มของซองมิน

     

                    ซองมินมองหนังสือในดีใจกับความรักที่เกิดขึ้น ก่อนวางมันลงที่เดิม ซ้อนทับด้วยหนังสือที่ต้องใช้สอบเล่มหนา

     

                    รู้จัก...ดูแล...โลหิตเป็นพิษ

     

                     * ~ * ~ * ~ * ~ *~ * ~* ~* ~ * ~ * ~ * ~ * ~ * ~ * ~ *

     

    “แม่จะกลับวันนี้แล้วจริงหรอครับ อยู่ต่ออีกหน่อยไม่ได้หรอ” คิ้วเรียวสวยบนใบหน้าใสขมวดเข้าหากัน นั่งอยู่กับพื้นท่ามกลางข้าวของที่จะถูกย้ายไปบ้านหลังข้างๆ ใช้สายตาแป๋วๆออดอ้อนคุณแม่คนสวยที่นั่งช่วยเก็บของอยู่บนเตียง

     

                    “ไม่ได้ พรุ่งนี้พ่อต้องไปคุยกับทหารที่จะช่วยเรือของเรา ต้องกลับวันนี้ ส่วนเราก็ต้องย้ายไปอยู่บ้านนู้น อย่าโอ้เอ้ฮีชอล รีบเก็บของ” เสียงทุ้มดังมาจากประตูพร้อมผู้ชายตัวสูงใหญ่

     

                    “พ่ออ่ะ พ่อก็กลับไปก่อนให้แม่อยู่กับผม นะ นะพ่อนะ พ่อไม่สงสารลูกชายที่ป่วยอการพะงาบๆๆๆหรอ” ฮีชอลลงไปนอนแน่นิ่งกับพื้น อ้าปากพะงาบๆเหมือนปลาขาดน้ำเผื่อจะทำให้พ่อยอมเปลี่ยนใจ แต่ผลที่ได้กลับตรงกันข้าม

     

                    “เผลี้ยะ” มือบางแต่แรงไม่น้อยฟาดลงมาที่ต้นแขนของลูกชาย

     

                    “แม่! แม่ตีผมทำไม” ร่างบางรีบสะดุ้งกายขึ้นมาทันที ลูบแขนที่โดนตีจนแดงกล่ำ

     

                    “ก็ทำอะไรหล่ะฮีชอล แม่กลัวนะรู้ไหม อย่าเล่นแบบนี้อีก”

     

                    เสียงสั่นเครือของแม่ทำให้ร่างบางต้องรีบเข่าไปกอดขอโทษ “แม่อยู่กับผมก่อนไม่ได้หรอ”

     

                    “ไม่ได้เว้ย ฉันจะกลับ เมียฉันก็ต้องกลับ จะปล่อยให้อยู่กับชายอื่นสองต่อสองได้ไง”

     

                    ฮีชอลหันไปจ้องมองเจ้าของคำพูด นิ่งอึ้งไปนิด ค่อยๆเรียบเรียงความคิดแล้วจึงพูดออกมา “คุณครับเมียคุณ ก็แม่ผม แล้วไอ้ชายอื่นที่คุณบอก ก็ลูกคุณใช่หรือครับ”

     

                    “มันก็ใช่ แต่แล้วยังไง เก็บของเสร็จแล้วใช่ไหม จะได้ให้คนมาช่วยกันขน”

     

                       “ครับ” ในที่สุดฮีชอลก็ยอมรับคำเสียงอ่อย มองลูกน้องพ่อยกกล่องไม่กี่ใบข้ามรั้วไปบ้านข้าง แต่ความรู้สึกอบอุ่นผ่านมือใหญ่ที่โปะลงมาทำให้ต้องหลืบตามอง

     

                    “ไม่เอาหน่าฮีชอลที่พ่อไม่ให้แม่เขาอยู่ก็เพราะถ้าเกิดอะไรขึ้นตอนที่อยู่กันสองคน แม่ก็ช่วยเราไม่ทันอยู่ดี แต่ถ้าอยู่บ้านนู้น ถ้าเกิดเราช็อคเหมือนครั้งที่แล้ว หรือวูบไป อย่างน้อยก็มีซีวอนกับพ่อเขาคอยช่วยเราได้ทันการ เข้าใจไหมลูก”

     

                    คำอธิบายที่บอกสิ่งที่พ่อคิด ทำให้ร่างบางต้องโผตัวเข้าไปในอ้อมกอดของผู้เป็นพ่อ เหมือนเมื่อครั้งเป็นเด็กชายตัวน้อย “ครับพ่อ ผมรักพ่อกับแม่นะครับ ขอโทษที่ทำให้พ่อกับแม่ต้องเป็นห่วงแบบนี้ ผมสัญญาว่าจะดูแลตัวเองให้ดีที่สุดครับ”

     

                    “ไม่ต้องขอโทษพ่อกับแม่หรอกลูก แค่เราดูแลตัวเองให้แข็งแรง พ่อกับแม่ก็ไม่ต้องการอะไรแล้วนะ”

     

                    “ครับ”

     

                    “แอบใช้เสื้อพ่อเช็ดน้ำตาหรือเปล่าเนี่ย ดูตาสิแดงกล่ำไปหมดแล้ว ไปบ้านนู้นเจ้าซีวอนเห็นได้ล้อแน่ๆ” มือหนากุมมือเล็กๆของลูกชายเดินตามลูกน้องไปยังบ้านหลังข้างๆ

     

                    ซีวอนพาคนขนของเข้ามาไว้ในห้องเดิมที่ร่างบางเคยอยู่ สายก็คอยชะเง้อหาเจ้าของของพวกนี้ที่ยังไม่ตามมาเสียที จนต้องเดินลงไปด้านล่างเอง

     

                    “ฮีชอล คุณลุงคุณป้า ผมกำลังจะเดินไปตามเลยครับ” ซีวอนเจอกับผู้สูงวัยทั้งสองและร่างบางที่เชิงบันไดพอดี จึงเดินนำคนทั้งสามไปยังห้องเดิมที่จัดไว้ให้ฮีชอล

     

                    “พ่อกับแม่เราหล่ะซีวอน” แตวูถามชายหนุ่มลูกเจ้าของบ้านที่ดูกระตือรือร้นเหลือเกินกับการให้ลูกชายเขาเข้ามาอยู่ที่นี้

     

                    “พ่อกับแม่ออกไปตั้งแต่เช้าแล้วครับ วันนี้ผมอยู่คนเดียว”  

     

    “อืออ แล้วห้องเราหล่ะอยู่ไหน” แตวูมองห้องลูกชาย แล้วถามหาห้องของชายหนุ่มร่างสูง

     

                    “อยู่ข้างๆครับ”

     

                    “ก็ดี มีอะไรจะได้ช่วยเจ้าลูกชายลุงทัน ซีวอน ลุงขอคุยกับเราหน่อยได้ไหม” สายตาคมจับจ้องเด็กหนุ่ม มองเห็นแววของความจริงใจและความรักยามมองลูกชายตัวบางของเขา

     

    “ครับคุณลุง เชิญที่ห้องทำงานของพ่อก็ได้ครับ” ซีวอนยิ้มรับคำไม่มีความกลัวเกรงใดๆ เพราะนี้จะเป็นก้าวสำคัญที่เขาต้องผ่านไปให้ได้

     

                    “พ่อ จะคุยอะไรกับซีวอนหรอ” ร่างบางที่กำลังจัดของเข้าที่หันมาถามพ่อด้วยใบหน้าซีดเผือด กลัวว่าความลับที่เก็บไว้กับตัว มันจะไม่เป็นความลับอีกต่อไป

     

                    “ไม่ต้องรู้หรอกหน่า เราเก็บของไปนั่นแหล่ะ” แตวูไม่ยอมตอบคำถามลูกชาย เดินหนีออกจากห้อง ก่อนหันไปไปตามทางที่เด็กหนุ่มผายมือไป

     

                    “แม่พ่อมีอะไรกับซีวอนหรอ” ฮีชอลที่ยังไม่หายสงสัยหันกลับมาถามแม่ ที่ช่วยกันจัดของ

     

                    “คงฝากดูแลเราหล่ะมั้ง”

     

                    “อืออออออออ” ร่างบางรับคำไม่ได้ติดอะไรอีก

     

    * ~ * ~ * ~ * ~ *~ * ~* ~* ~ * ~ * ~ * ~ * ~ * ~ * ~ *

     

    “เรากับลูกชายของลุง ไม่ได้เป็นแค่เพื่อนกันใช่ไหม”

     

                    บรรยากาศของห้องทำงานพ่อที่เงียบสงบ กำลังกดดันเด็กหนุ่มกับสิ่งที่กำลังเผชิญ แต่ก็ไม่ทำให้ความกลัวและความตั้งใจจางหายไป บางทีนี้อาจเป็นโอกาสแรกที่จะทำให้ความรักของเขาที่กำลังจะเติบโตได้รับการยอมรับ “ครับ”

     

                    “มันเกิดขึ้นได้ยังไง” สายตาเฉียบคมของผู้ผ่านโลกมามากมองลึกเข้าไปในดวงตาของเด็กหนุ่มที่เต็มไปด้วยความมั่นคง ไม่หวั่นเกรงต่อสิ่งที่กำลังเจอ

     

                    “ผมกับฮีชอลเรารักกันครับ แต่เป็นเพราะผมที่โง่ กว่าจะรู้ก็ว่ารักก็เมื่อตอนที่เขา....” ถ้อยคำถูกกลืนหายไป เมื่อนึกถึงช่วงเวลาที่เกือบสูญเสีย ช่วงเวลาที่รู้ว่ารักมากเพียงใด

     

                    “อืออ ลุงเข้าใจ แล้ว.....” แตวูนิ่งคิดถึงคำถามที่จะถาม ถ้าถามออกไปแล้ว จะรับคำตอบมันได้ไหม แต่เมื่อนึกย้อนดูไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ฮีชอลก็ยังเป็นลูกชายที่เขารักมากไม่มีวันเปลี่ยนแปลง “เราทั้งคู่ไปถึงไหนกันแล้ว”

     

                    คำถามที่เหมือนตอบยากหากต้องการปิดบัง แต่สำหรับซีวอนมันเป็นคำถามที่เขาต้องการตอบ “ฮีชอลเป็นของผมครับ”

     

                    “หวังว่าลูกชายของลุงคงเต็มใจใช่ไหม” ดวงตาคมเข้มหรี่ลงจ้องมองอย่างคาดหวัง แต่อะไรบางอย่างบอกว่าเขากำลังผิดหวัง  

     

    “ผม...”

     

                    ความเงียบคือการตอบรับที่แปรความได้เพียงอย่างเดียว คือ ลูกชายของเขาเจ็บ...  มือใหญ่กำแน่นข้างลำตัวเพื่อสะกดอารมณ์ แต่เมื่อภาพของลูกชายเศร้าซึมยามกลับบ้านช่วงปิดเทมอลอยขึ้นมา เขื่อนที่เก็บกั้นอารมณ์ก็ถูกทำลายแตก

     

                    ผลั้วะ “ลุงผิดหวังในตัวเรามากนะซีวอน ทำไมทำกับลูกชายลุงแบบนี้”

     

                    กำปั้นที่ปะทะมาบนหน้าทำให้มุมปากแตกเลือดไหลลงมา หากแต่ชายหนุ่มก็ไม่คิดจะสนใจกับความเจ็บเพียงเท่านี้ เมื่อนึกถึงความเจ็บที่ฮีชอลเคยได้รับ ชายหนุ่มทรุดตัวลงคุกเข่า หน้าผากโขกกับพื้นห้อง ขอขมากับสิ่งที่ทำลงไป “ผมขอโทษครับ ผมรักฮีชอล  มันจะไม่เกิดขึ้นอีก ต่อจากนี้ผมจะดูแลเขาให้ดีที่สุด จะไม่ทำร้ายฮีชอลอีก”

     

                    “พอแล้ว” มือหยาบรั้งบ่าใหญ่ไม่ให้ทำร้ายตัวเองอีก หน้าผากกว้างแดงช้ำ ความโกรธจางหายไปเรื่อยๆ รับรู้ได้ถึงความรักหนักแน่นที่ชายหนุ่มตรงหน้ามี “ต่อให้เราโขกพื้นจนตาย มันก็แก้ไขอะไรไม่ได้ แต่วันนี้ พรุ่งนี้ต่างหากที่สำคัญ พูดไว้แล้วก็ทำให้ได้ จะรักกันลุงไม่ว่า เพราะถ้าห้ามก็คงเป็นการทำร้ายลูกชายตัวเอง แต่ลุงขอเราไว้อย่าง ถ้าหมดรักแล้ว คืนลูกชายมาให้ลุง ลุงจะดูแลเขาเอง อย่าทิ้งให้เขาต้องโดดเดี่ยว อย่าทำร้ายเขา ทำให้ลุงได้ไหม”

     

                    “จะไม่มีวันนั้นครับ” ซีวอนรับคำด้วยรอยยิ้ม ความรักของเขามีคนยอมรับมันแล้ว....

     

    “แล้วลุงจะคอยดู  ฝากฮีชอลด้วย”  แตวูตบบ่ากว้างของเด็กหนุ่มพร้อมรอยยิ้ม ก่อนเดินออกจากห้องนี้ไป     

     

                     * ~ * ~ * ~ * ~ *~ * ~* ~* ~ * ~ * ~ * ~ * ~ * ~ * ~ *

     

    “ลูกของเราเป็นคนโชคดีที่คุณพูดเอาไว้” ในบรรยากาสที่เงียบสงบของรถที่กำลังมุ่งหน้าสู่เมืองท่าชายทะเล อยู่ๆแตวูก็พูดขึ้นมา เรียกให้ภรรยาคู่ใจต้องหันมามองอย่างงุนงง

     

                    “คุณพูดเรื่องอะไรคะ”

     

                    “ที่คุณเคยบอกไว้ ว่าใครได้ซีวอนเป็นแฟน จะเป็นคนที่โชคดีมาก และคนนั้นก็คือลูกชายของเราไงครับ” พ่อของคนโชคดีบอกกล่าวกับภรรยาอย่างช้า ให้เวลากับการทำใจ

     

                    “คุณแตวู คุณกำลังจะบอกว่า...”

     

                    “ใช่.. ลูกเราโชคดีจริงๆ เพราะเขามีคนที่รักมากคอยอยู่เคียงข้าง คุณไม่ว่าอะไรลูกใช่ไหม” สายตาคมกริบจ้ององตากลมๆของภรรยาที่ลูกชายถอดแบบไป รู้สึกดีที่ไม่เห็นแววของการต่อต้าน

     

                    “ถ้าคุณว่าโชคดีแบบนั้น แล้วฉันจะว่าอะไรลูกหล่ะคะ” ใบหน้าสวยตามวัยยิ้มอ่อนหวานเมื่อนึกถึงลูกชายผู้อ่อนแอ วางใจที่มีคนรักและคอยดูแล “ไม่ว่าจะเป็นใคร ถ้าลูกรักเขาแล้วมีความสุข แค่นี้ฉันก็ดีใจแล้วหล่ะคะ คุณหล่ะ โกรธลูกหรอ”

     

                    “ไม่หรอก ผมก็เหมือนคุณนั่นแหล่ะ ขอแค่ฮีชอลมีความสุข ผมก็รับได้ทุกอย่าง”

     

                    ขอให้ลูกมีความสุขกับความรักของลูกนะ ฮีชอล

     

                     * ~ * ~ * ~ * ~ *~ * ~* ~* ~ * ~ * ~ * ~ * ~ * ~ * ~ *

    Talk

              อ๊ากกกก ครบร้อยแล้วคะ กับปลายเทมอ เฮ้อออออออออ  ปาดเหงื่อ ยังเป็นรสแจวมะพร้าวต่อไป(หวานๆ จืดๆ)  อาจไม่ซึ้ง แต่ไอซ์พยายามสุดกำลังแล้วหล่ะคะ มันทำได้เท่านี้จริงๆ งุงิงุงิ

                    ครั้งต่อไปรอ ซัมเมอร์หวานๆนะคะ จะรีดเค้นน้ำตาลจากตัวมาชดเชยน้ำตาของคุณฮีที่เสียไปเลยหล่ะคะ

                    ขอบคุณทุกคอมเม้มท์คะ

     

                    ปล. ประกาศล่วงหน้า(นานหน่อย) หลังปั่นโฮมตอนล่าสุดจบ ไอซ์จะปั่นฮวาตอนพิเศษหล่ะคะ จึงเรียนมาเพื่อให้เวลาทำใจว่าท่านอ๋องจะคืนชีพอีกครั้งนะคะ



    ความคิดเห็นที่ 432 (จากตอนที่ 9)   
    น้องไอซ์ คำว่าเทมอ ต้องเขียน "เทอม" นะจ๊ะ

    ขอบคุณค่ะ
    ไอซ์แก้ไขแล้วนะค่ะ  

    Name : jelly_dolly< My.iD > ดูเน็ตเวิร์คอื่นๆ ของ jelly_dolly [ IP : 110.169.89.133 ]
    Email / Msn: - ส่งข้อความลับ
    วันที่: 15 มีนาคม 2554 / 01:14




    Jelly fish

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×