คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #8 : {แก้คำผิดค่ะ} ปีสาม เทอม2 (ต้นเทอม) ...สาหัส 100%
ปีสาม เทอม2 ...สาหัส
เดือนกว่าที่ปิดเทอมและได้กลับมาอยู่บ้าน แต่สำหรับฮีชอลมันช่างผ่านไปอย่างรวดเร็ว ไม่ทันไรก็ต้องกลับไปพบเจอกับคนใจร้าย คอยฟังถ้อยคำเชือดเฉือน อยากแยกออกมาอยู่แต่ก็ไม่เคยขอได้สำเร็จ จะให้บอกความจริง...ก็ไม่ได้
มีไหมใครที่จะกล้าพูด....ผมถูกข่มขืน...ใครจะกล้าพูดประโยคนี้กับพ่อและแม่กัน
“กว่าจะกลับมาได้ ต้องรอจนวันสุดท้ายก่อนเลยหรือไง ทำไมไม่กลับซะวันพรุ่งนี้เลยหล่ะฮีชอล” คำพูดทักทายประโยคแรกที่เจอกันของชายหนุ่มร่างสูงที่ยืนขวางหน้าประตู แทบทำให้คนที่พึ่งมาถึงเดินออกไปจากบ้านหลังนี้
“ซีวอน ฉันก็ไม่อยากมานักหรอกนะที่บ้านหลังนี้ แต่ว่าฉันไม่มีทางเลือกอื่น เพราะงั้นหลบทางให้ฉัน หรือไม่นายก็โทรไปบอกพ่อกับแม่ฉันให้ทีว่านายไม่ให้ฉันอยู่ที่บ้านหลังนี้อีกแล้ว” ร่างเล็กสบดวงตาเข้มที่เคยรู้สึกดียามได้มอง แต่เวลานี้มันเปลี่ยนไปมากจนจำแววตาเก่าๆของตาคู่นี้ไม่ได้เลย
“ทำไม อยากไปอยู่ข้างนอกใจจะขาดแล้วสิ อยากไปอยู่กับใครหล่ะ เพื่อนผู้แสนดี หรือรุ่นน้องที่นายไปนอนกับมันมาแล้ว” น้ำเสียงเรียบเรื่อย หากแต่เต็มไปด้วยถ้อยคำดูถูกเหยียดหยาม
เพียงแค่แว่บเดียวที่เผลอมองสายตาคม ทำให้ฮีชอลต้องชักสายตาหนี ทนไม่ได้กับการถูกมองเหมือนเป็นสิ่งสกปรกที่แสนน่ารังเกลียด...อยากถามเหลือเกินว่าทำผิดอะไร
“ฉันจะไปอยู่ที่ไหนมันก็เรื่องของฉัน โทรไปสิ โทรไปหาพ่อแม่ฉันตอนนี้เลยซีวอน ฉันจะได้ไม่ต้องเหยียบเข้าไปในบ้านนายอีก”
“อย่ามาท้าฉันแบบนี้นะฮีชอล” ดวงตาคมเข้มจ้องจิกคนตรงหน้า มือหนายึดไหล่บางเอาไว้แน่น ร่างกายที่ยืนประชิดกำลังข่มร่างเล็กให้หวาดกลัวกับร่างกายที่สูงใหญ่กว่าและแรงที่มีมากกว่า
ร่างกายที่ถูกยึดไว้ด้วยแรงบีบจนเจ็บ ไม่อาจดิ้นรนให้หลุดออกมา จนต้องจำยอม หันมาสบสายตาทั้งที่อยากเลี่ยงใจแทบขาด “ฉันไม่ได้ท้า เอาสิโทรไปเลยซีวอน แล้วนายก็ไม่ต้องเห็นฉันอยู่แบบนี้ หรือจำเบอร์บ้านฉันไม่ได้ ฉันโทรให้ด้วยเอาไหม” เสียงหวานตะโกนใส่ชายหนุ่มตรงหน้าทั้งที่ในใจไม่อยากให้เป็นแบบนี้เลย
กลับไปเป็นแบบเมื่อก่อนไม่ได้แล้วใช่ไหม...กับคำว่าเพื่อนของเราสองคน...แม้จะรักนายแต่ฉันก็ไม่เคยอยากได้คำอื่นนอกจากคำว่าเพื่อนเลย
“หุบปาก แล้วหยุดเรื่องเพ้อเจ้อสักทีฮีชอล” เสียงทุ้มต่ำลอดไรฟันอย่างคนที่ต้องอดกลั้น พร้อมแววตาดุดันที่มองมาทำให้ฮีชอลรู้สึกเย็นไปจนถึงหัวใจดวงเล็กที่เต้นกระหน่ำอย่างหวาดกลัว
แววตาแบบนี้...ท่าทางแบบนี้....ไม่เคยเลยที่ฮีชอลจะได้รับจากเพื่อนคนนี้ แต่ตอนนี้อะไรก็เปลี่ยนไปหมดแล้ว
“ซีวอนทำอะไรหน่ะ” เสียงเข้มจากผู้เป็นพ่อที่ดังอยู่เบื้องหลังทำให้ซีวอนจำต้องละมือออกจากไหล่บางที่บีบอยู่หันกลับไปสบตาคมด้วยวัยและผ่านอะไรมามากกว่าของพ่อ
“เปล่าครับพ่อ” เสียงทุ้มบอกเหมือนไม่มีอะไรหากแต่หางตากลับเหลือบมองร่างเล็กที่อยู่ด้านหลัง ใบหน้าหล่อดูไม่แยแสแม้ว่าเรื่องของเขาวันนี้จะรู้ไปถึงหูของพ่อ
“แล้วฮีชอลเป็นอะไร ทำไมหน้าซีดแบบนั้น” เสียงทรงอำนาจจนน่ากลัว แต่กลับถามร่างเล็กด้วยความปราณี และเป็นห่วงไม่ต่างจากลูกหลานแท้
“เปล่าครับคุณอา ผมขอตัวขึ้นข้างบนก่อนนะครับ” ฮีชอลถือโอกาสเดินเลี่ยงร่างสูงใหญ่ที่ยืดบังประตูเข้าบ้าน ก่อนโค้งให้กับผู้ใหญ่อย่างสวยงาม แล้วพาตัวเองหนีออกจาบรรยากาศที่แสนน่ากลัว และมันคงจะน่ากลัวแบบนี้ไปตลอดจนกว่าจะหนีจากเพื่อนคนนี้ได้
“ซีวอนแล้วนั่นจะไปไหน” ผู้เป็นพ่อที่ยืนนิ่งมองอาการไม่พอใจของลูกชายอย่างไม่เข้าใจ ถามด้วยเสียงต่ำจนยากจะเดาอารมณ์ได้
“เปล่าครับ แค่เบื่อๆ”
“เลยหาเรื่องทะเลาะกับฮีชอลแก้เบื่องั้นสิ ไอ้ลูกคนนี้ ทะเลาะกันตั้งแต่เล็กยันโตไม่เบื่อบ้างไง” ร่างกายที่สูงใหญ่ไม่แพ้ลูกชายเดินเข้าตบไหล่กว้าง พร้อมรอยยิ้มที่เอ็นดูในมิตรภาพของสองเพื่อนรัก...โดยไม่รู้ถึงความจริงอะไรเลย
“ก็ สนุกดีนี้ครับพ่อ ฮีชอลออกจะแก้เบื่อได้ดีกว่าอะไร” ซีวอนเอ่ยตอบผู้เป็นพ่อ แอบซ่อนรอยยิ้มร้ายๆเอาไว้ ไม่ให้ใครได้เห็น...
ค่าของฮีชอลเหลือเพียงเท่านั้นจริงๆ..?
“ทำพูดไป ถ้าฮีชอลได้ยินแล้วเสียใจจนเลิกคบขึ้นมา แล้วเรานั่นแหล่ะที่จะรู้สึกนะซีวอน” ชายสูงวัยเอ่ยเตือนลูกชาย เรื่องคำพูดที่ไม่ถนอมใจคนฟังบ้างเลย แม้เจ้าตัวจะไม่ได้อยู่ตรงนี้แล้วก็ตาม
“โธ่! พ่อพูดเหมือนผมมีเพื่อนแค่คนเดียวงั้นแหล่ะ ถึงไม่มีฮีชอล ผมก็มีเพื่อนคนอื่นอีกตั้งมาก” ซีวอนยังแย้งกับพ่อ เห็นเป็นเรื่องสนุก
“แล้วเพื่อนคนอื่นแกรักมากเท่าฮีชอลไหมเล่า อย่าทำเป็นพูดดี แล้วมองข้ามเพื่อนสนิทอย่างฮีชอลเลย พ่อยังมองไม่ออกเลยถ้าชีวิตแกไม่มีเพื่อนอย่างฮีชอลมันจะเหลืออะไร”
“ก็เหลือทุกอย่างไงครับ พ่อถามแปลกๆ แค่เพื่อนคนเดียว ขาดไปก็ไม่ตายหรอกครับ”
“ปากเก่งนะ แล้วหมาตัวไหนมันทำหน้าหงอยตอนที่ฮีชอลไปอยู่บ้านช่วงปิดเทอม” ชเว ซูมินเย้าลูกชาย ถึงอาการที่เจ้าตัวอาจยังไม่รู้ก็ได้ว่า เดือนครึ่งที่ผ่านมา เจ้าลูกชายคนนี้เงียบลงไปแค่ไหน
“บ้านเราเลี้ยงหมาด้วยหรอครับพ่อ” ใบหน้ายาวหันมาถามพ่ออย่างแกล้งซื่อ คิ้วเข้มขมวดเข้ากัน หากแต่สายตากลับทอประกายขบขันกับสิ่งที่พ่อพูด
“เออ ไม่รู้เว้ย แต่ก็อย่าแกล้งฮีชอลให้มากนัก สงสารเพื่อนหน่อย จะทำอะไรก็ให้มีขอบเขต เพื่อนกัน เล่นกันแรงเกินไปก็ไม่ดีรู้ไหม”
“ครับพ่อ” ชายหนุ่มรับคำก่อนที่พ่อจะเดินจากไป หากแต่ใจจริงจะเป็นเช่นไรก็คงไม่มีใครรู้
เพื่อนกันเล่นกันแรงเกินไปก็ไม่ดี แล้วถ้าไม่ใช่เพื่อนทำไมจะต้องสนใจ
* ~ * ~ * ~ * ~ *~ * ~* ~* ~ * ~ * ~ * ~ * ~ * ~ * ~ *
เช้าของวันแรกของการเปิดเทอม ที่แสนทรมานของฮีชอลกำลังเริ่มขึ้น บนโต๊ะอาหารมื้อเช้าวันนี้มีเพียงแค่สองนักศึกษาเท่านั้น ไร้เงาสองผู้ใหญ่อีกสองคน
“รีบๆกิน อย่ามัวชักช้าน่ารำคาญ” ชายหนุ่มจับจ้องร่างบางที่อยู่สุดปลายของโต๊ะอาหาร มองใบหน้าเล็กที่เอาแต่ก้มเขี่ยอาหารในจาน
“ถ้านายรีบก็ไปก่อนสิ ฉันไม่ได้ขอให้นายอยู่รอเลยนะซีวอน แล้วถ้านายไม่อยากไปส่งหรือไปรับฉัน ก็ไม่ต้องทำ คุณน้าคุณอาไม่อยู่แบบนี้ นายไม่ต้องฝืนแกล้งเป็นคนดีหรอก” ใบหน้าที่ก้มต่ำไม่ยอมเงยขึ้นสบตากับผู้ร่วมโต๊ะอาหารมื้อเช้า
“ฉันก็ไม่อยากไปรับไปส่งนายนักหรอกฮีชอล แต่ฉันจะไว้ใจได้ยังไงว่าคนอย่างนายจะไม่ทำให้ครอบครัวฉันเสียหาย ถ้าไม่กินก็ไปได้แล้ว” ชายหนุ่มลุกพรวดจากเก้าอี้ที่นั่งมากระชากร่างเล็กติดมือ ไม่ลืมคว้าหนังสือเรียนไว้ในอีกมือ ก่อนลากออกมาจากบ้าน และคงผลักเข้ารถที่ให้คนมาจอดรอไว้หากไม่เห็นรถคันคุ้นตาเลี้ยวเข้ามาในรั้วบ้าน
รถคันเล็กที่วิ่งเข้ามาในบ้าน เรียกสายตาของซีวอนให้โฉนแสง ใบหน้าคมขึ้นสันกรามอย่างไม่พอใจ จนต้องขบเข้าหากันแน่น เพิ่มแรงบีบข้อมือเล็กที่อยู่ในมือให้แรงขึ้นโดยรู้ตัว
“จองวู” ฮีชอลครางชื่อเพื่อนสนิทออกมาอย่างตกใจ ไม่คิดว่าจะได้เจอที่บ้านหลังนี้ ในเวลาเช่นนี้
ชายหนุ่มเจ้าของบ้าน มองตรงไปยังคนที่พึ่งลงมาจากรถที่จอดขวางหน้า สายตาคมมองอย่างผู้ชนะ เอ่ยทักทายผู้มาเยือนในขณะที่มือก็ยิ่งบีบข้อมือเล็กแน่นขึ้นจนได้ยินเสียงประท้วงแผ่วเบา “มาทำไม”
“ฉันมารับฮีชอล” ชายหนุ่มสูงโปร่งที่รีบมารับเพื่อนแต่เช้า ไม่ได้มองอยู่ที่ใบหน้าเข้มของคนตรงหน้า แต่เหลือบมองไปยังข้อมือเล็กที่แดงกล่ำ เพราะถูกแรงบีบที่ไม่น้อยเลย “ปล่อยมือจากฮีชอลได้แล้ว”
ปากบางของซีวอนเหยียดออกอย่างกวนอารมณ์คนพูด ชูมือที่จับข้อมือบางเอาไว้ “มือนี้หรอ เสียใจ ฉันไม่ปล่อย แล้วนายก็ไปได้แล้ว ฮีชอลต้องไปม.กับฉัน ไปอย่ามัวชักช้า”
จองวูมองร่างเล็กที่ถูกลากผ่านหน้าไปอย่างไม่เต็มใจ จะเอื้อมมือคว้ามือเล็กอีกข้าง ก็ดูเหมือนจะเป็นการทำร้ายฮีชอลจนเกินไป ซีวอนคงไม่ยอมแน่ๆ และคนที่จะเดือดร้อนก็คงเป็นเพื่อนผู้อ่อนแอของเขา
ร่างเล็กที่ถูกยัดใส่รถคันใหญ่ นั่งนิ่งไม่ดิ้นรนเพราะรู้ว่าทำไปก็เหนื่อยเปล่า คนอย่างซีวอน ไม่มีทางเลยที่เขาจะสู้ได้ ดวงตากลมทอดมองไปยังเพื่อนสนิทอีกคนที่ยืนนิ่งอยู่
........ทั้งที่อุตส่าห์มารับแต่เช้า
.....ทั้งที่หวังดีมากขนาดนั้น
....แต่กลับต้องมาเจออะไรที่เลวร้ายแบบนี้
ฉันขอโทษนะจองวู....
“มองมันเข้าไป ทำไมไม่ไปกับมันเลยหล่ะ” ชายหนุ่มที่กำลังขับรถออกจากบ้าน สายตาจับจ้องอยู่บนถนน หากแต่คำพูดก็กำลังทำร้ายคนนั่งข้างๆ
ใบหน้าหวานหันมาทางคนขับ สายตาจับจ้องเพื่อนอย่างไม่เชื่อสายตา ว่าคำถามจะหลุดออกมาได้ ทั้งที่คนถามก็น่าจะรู้ดียิ่งกว่าใคร “ก็นายให้ฉันไปกับจองวูหรือเปล่าหล่ะ อย่ามาถามอะไรที่เป็นไปไม่ได้หน่อยเลย”
“รู้ก็ดีแล้ว ว่าฉันไม่ให้นายไปกับจองวูแน่ๆ เพราะงั้นก็เลิกมองอย่างอาลัยอาวรณ์ขนาดนั้นได้แล้ว ฉันขนลุก” รอยยิ้มสะใจปรากฏขึ้นบนใบหน้าคม หากแต่แววตาภายใต้กรอบแว่นดำนั้น ยากที่จะมีใครมองเห็นได้
“ฉันมองเพื่อนฉันแล้วนายมายุ่งอะไรด้วย ฉันจะมองใคร ยังไงมันก็เรื่องของฉัน นายไม่มีสิทธิ์มายุ่งเข้าใจไหม ซีวอน” ร่างเล็กที่อดกลั้นต่อคำพูดร้ายๆมานาน บอกกับอดีตเพื่อนรักผู้แสนดี เกือบจะพร้อมกับน้ำตาที่ไหลออกมาด้วยความน้อยใจ
“กล้าพูดหรอฮีชอล ว่ามันเป็นแค่เพื่อน ” เหมือนจะไม่ใส่ใจกับน้ำเสียงเรื่อยๆ แต่ก็เป็นคำพูดที่ทำให้คนฟังต้องน้ำตาตก
“ซีวอนนายมองว่าฉันมั่วขนาดนั่นเลยหรือไง ทั้งที่ความจริงเป็นยังไงนายก็รู้ คนที่เดียวที่ฉันไม่ได้คิดว่าเขาเป็นเพื่อน ก็คือ........”
เสียงแผ่วเบาที่เงียบหายไป ทำให้ชายหนุ่มต้องหันหน้ากลับมามองร่างบางที่นั่งปล่อยน้ำตาให้ไหลเงียบๆ ใบหน้าคมเข้มบึ้งตึง เมื่อไม่รู้ในสิ่งที่อยากรู้จึงต้องคาดคั้นถาม “ใครหล่ะ บอกมาสิไอ้คนนั้นหน่ะ เผื่อฉันจะใจดีไปบอกให้”
“นายไม่ต้องรู้หรอก” เสียงหวานแผ่วเบา ก่อนเบือนหน้าหนีออกไปนอกหน้าต่างรถที่เคลื่อนตัวไปอย่างรวดเร็ว ตามอารมณ์ของคนขับ ที่กำลังคุกรุ่นด้วยความไม่พอใจ
นายไม่ต้องรู้หรอก...ว่าคนนั้นเป็นนาย....
* ~ * ~ * ~ * ~ *~ * ~* ~* ~ * ~ * ~ * ~ * ~ * ~ * ~ *
ฝนที่ตกพร่ำๆอยู่นอกหน้าต่างทำให้เหล่านักศึกษาที่ดีใจว่าจะได้กลับบ้านหลังจากเหนื่อยล้ากับสารพัดวิชาที่อาจารย์ถาโถมมาให้ทั้งที่เป็นวันแรกของการเปิดเทอม ต้องห่อเหี่ยว ติดอยู่ใต้ตึกคณะที่แออัดไปด้วยรุ่นพี่รุ่นน้อง ปีหนึ่งถึงปีสี่
“เซ็งอ่า ฝนตกแบบนี้แย่เลย เมื่อเช้า น้องโจวก็เอาเบนเล่มาไม่ยอมเอารถมา ฉันจะเอาพี่เต่ามาก็ไม่ยอม ดูดิ ต้องเปียกกลับหอแน่ๆ” ร่างอวบๆมองไปที่ท้องฟ้าช่ำน้ำอย่างเบื่อหน่าย บ่นออกมาให้เพื่อนได้ฟัง
“เอาหน่า เดี๋ยวก็ให้จองวูไปส่งที่หอก็ได้ ไม่ต้องเบื่อหรอก” ฮีชอลปลอบใจเพื่อนด้วยรอยยิ้มน้อยๆ ดวงตากลมเป็นประกายมองไปยังหยดน้ำที่โปรยลงมาจากฟ้าอย่างยินดี
“ใครจะไปเหมือนนายเล่าที่ชอบเวลาฝนตกหน่ะ ไม่เอาด้วยคนหรอก เปียกเฉอะแฉะไปหมด” ปากสีชมพูมุ่ยเข้าหากัน มองสายฝนอย่างไม่พอใจก่อนหันไปค้อนเพื่อนสนิทที่ดูจะชอบเวลาฝนตกเป็นพิเศษ
“ก็เวลาฝนตกมันเย็นดีนิ แล้วมันก็ดูชุ่มชื้น ซองมินไม่คิดว่ามันสวยหรอ เวลามองไปข้างหน้าแล้วมีม่านน้ำมาทำให้ดูพร่าเลือน ออกจะสวย”
“ไม่เห็นสวยเลย อยากกลับหอออออออออออ อยากกลับไปนอนนนนนนนนนนนนนนนน” ร่างอวบตะโกนใส่เพื่อนทั้งสองคนอย่างหงุดหงิดอารมณ์เสีย ไม่อายสายตาใครต่อใครที่มองมา
“เสียงดังไม่อายใครหรือไง คยูฮยอนมันชอบนายลงได้ไงเนี่ยซองมิน” ใบหน้าคมที่เหยเก ว่าเพื่อนสนิทที่อยู่ดีๆก็แหกปากร้องดังแข่งกับสายฝนข้างนอก
“ทำไมก็ฉันน่ารัก ไม่เหมือนบ้างคน นิสัยไม่ดี แถมหน้าตายังไม่หล่อ แอบรักมาตั้งกี่ปีแล้วหล่ะ”
ผลั้ว!
“โอ้ย” ตากลมหันมองค้อนเพื่อนตัวสูงที่โบกลงมาบนหัวกลมอย่างแรง “ตีฉันทำไมเนี้ย รับความจริงไม่ได้หรือไงครับ คุณจองวู”
“หยุดปากจู๋ๆของแกเลยนะซองมิน ก่อนที่น้องโจวจะต้องมากู้ซากอ้วนๆอืดๆกลับหอ” เสียงทุ้มที่ดูโหดเกินกว่าจะพูดเล่นทำให้ซองมินหยุดปากที่จะเถียงเพื่อนเอาไว้ มีเพียงสายตาที่ตวัดมองค้อน
ฮีชอลยืนฟังเพื่อนสองคนทะเลาะกันอย่างขบขัน ด้วยเห็นแบบนี้จนชินตั้งแต่ปีหนึ่งจนถึงตอนนี้ น่าแปลกทะเลาะกันแบบนี้แต่กลับไม่เคยโกรธกันเลยสักที “จองวู นายชอบใครอยู่หรอ”
เสียงหัวเราะของซองมินดังลั่นขึ้นอีกครั้งจนคนถามอย่างฮีชอลต้องมองอย่างแปลกใจ ในขณะที่คนถูกถามกลับหน้าซีดขึ้นมา “เอ่อ.....”
“บอกไม่ได้หรือไง เผื่อฉันช่วยได้นะ บอกหน่อยสิ ทีซองมินยังรู้เลย” ร่างบอบบางกระแซะเข้าที่สีข้างเพื่อนตัวสูง พยายามอ้อน อยากรู้ให้ได้ ว่าใครคือคนที่เพื่อนแอบหลงรัก
“ก็ไม่ใช่ว่าบอกไม่ได้หรอก แต่ว่า ฮีชอลอย่าพึ่งรู้เลยนะ มันยังไม่ถึงเวลา”
“เวลาอะไร อย่ามาอ้างนะว่าเรื่องของผู้ใหญ่เด็กไม่เกี่ยวนะ เพราะฉันก็อายุเท่านายนะจองวู” ร่างบางขัดใจกับเหตุผลของเพื่อนที่ดูเป็นแค่ข้ออ้างเพื่อบ่ายเบี่ยง
“เอาหน่าฮีชอล จองวูคงยังไม่พร้อมบอกหล่ะมั้ง แต่เดี๋ยวมันก็บอกนายเองหล่ะ ใช่ไหม” ซองมินรีบพูดแทรกแทนเพื่อนสนิทที่ดูอ้ำอึงจนดูท่าจะไปไหนไม่รอด
“อือ ไว้เราพร้อมเมื่อไหร่ จะบอกให้รู้เองแหล่ะ ไม่ต้องน้อยใจหรอกหน่า” สายตาอบอุ่นมองสบเข้าไปในดวงตากลม ให้คำมั่นว่าในสักวันจะบอกให้รู้
“ก็ได้ เห็นว่าเป็นเพื่อนสนิทนะเนี่ย ทำไมฉันต้องรู้เรื่องของพวกนายเป็นคนสุดท้ายตลอดเลยนะ” ร่างเล็กบ่นอย่างไม่เข้าใจ ทั้งซองมินที่แอบชอบคยูฮยอน หรือ คนที่จองวูรัก ฮีชอลก็เป็นคนรู้คนสุดท้ายทั้งนั้น
....ก็เพราะทั้งชีวิตนายมีแต่ซีวอนไงเล่า.... ซองมินอยากตอบแบบนี้ แต่ก็รู้ดีว่าคงเป็นคำตอบที่ถูกต้องและทำร้ายเพื่อนที่สุดเช่นเดียวกัน
“อ่ะ น้องโจว ทางนี้” แขนอวบๆของซองมินยกขึ้นโบกให้คนรักควบตำแหน่งน้องเทค ได้รู้ว่าตนเองรออยู่ทางนี้
ชายหนุ่มสองคนที่เดินมาด้วยกันเรียกความสนใจจากคนที่ติดฝนแถวนั้นให้มองไปทางเดียวกัน แต่เพียงไม่นาน ชายหนุ่มอีกคนกลับเดินแยกออกไป เมื่อรู้ว่าทางที่จะไปนั้นมีใครอีกคนยืนอยู่
“อ้าว! น้องบอมจะไปไหน ทำไมไม่มายืนรอด้วยกันหล่ะ” ซองมินมองอย่างแปลกใจที่เห็นเพื่อนสนิทของคนรักเดินหนีไปทางอื่น แล้วยังใบหน้าที่ก้มต่ำก็ยิ่งชวนให้สงสัย แต่ก็ไม่อาจจะถามใครได้
“มันก็กลับหออ่ะแหล่ะครับ เรากลับห้องกันเลยไหมครับพี่ซองมิน” คยูฮยอนที่พอจะรู้คำตอบได้แต่เลี่ยงเปลี่ยนเรื่อง สายตาคมกริบจ้องมองไปยังพี่รหัสที่ยืนหน้าซีดอยู่ไม่ห่างอย่างเป็นห่วง
เรื่องที่รู้มาจากคิบอม...ทำให้คยูฮยอนไม่เข้าใจพี่รหัสหน้าหวานคนนี้เลย...ทำไมยังรักคนร้ายๆแบบนั้นได้ลง...หรือที่เขาบอกว่าเรื่องของหัวใจ บังคับกันไม่ได้จะเป็นจริง
“จะกลับได้ไงกันน้องโจว ฝนตกอย่างนี้ ได้เปียกกันพอดี” ร่างอวบคล้อยตามคนรัก หันมาสนใจเรื่องการกลับหอทั้งที่ฝนก็ตกอยู่แบบนี้
“ผมพกร่มมาครับพี่ เราก็กางร่มไป ปั่นจั่กไปไงครับ ใกล้แค่นี้เอง กลับไหมครับ” ดวงตาเรียวรีเจ้าความคิดมองเห็นดวงตาคนรักเป็นประกายดีใจที่จะได้กลับหอ ไม่ต้องมายืนแหง็กติดฝนแบบนี้
“กลับ เดี๋ยวพี่ปั่นเองก็ได้ ให้น้องโจวถือร่มนะ” ร่างเล็กเสนออย่างอารมณ์ดี ไม่ใช่ว่านึกขยันอยากปั่นจั่ก แต่เพราะยังไม่เชื่อมั่นในความสามารถของคนรักที่ปั่นจั่กยังไม่คล่องเท่าไหร่เลย “ฉันกลับก่อนนะ ฮีชอล จองวู”
“แล้วเดี๋ยวฮีชอลต้องรอซีวอนใช่ไหม เรารอเป็นเพื่อนนะ” จองวูหันมายิ้มให้กับเพื่อนที่ยังยืนอยู่ตรงนี้อีกคน
ใบหน้าหวานทำสีหน้าครุ่นคิดบางอย่าง ก่อนจะตัดสินใจพูดออกมาพร้อมรอยยิ้มแสนเศร้า “ไม่เป็นไรหรอก ฉันว่าจะกลับบ้านเลย จะไม่รอซีวอนหรอก”
“หรอ ถ้างั้น...ให้เราไปส่งไหม ฝนตกแบบนี้กลับคนเดียวลำบาก” จองวูเสนอตัวอย่างแสนดีใจ อย่างน้อยเมื่อเช้าไปรับไม่ได้ แต่ก็ได้ไปส่งตอนเย็น
“อือออ ก็ได้” ใบหน้าของฮีชอลพยักหน้าขึ้นลงทำให้ชายหนุ่มได้แต่ยิ้มอย่างมีความสุข
“ไปเลยไหม วิ่งฝ่าฝนไปนิดเดียวเอง”
“เอางั้นก็ได้” ร่างบางเดินตามเพื่อนสนิทออกจากตึกวิ่งฝ่าสายฝนออกไปยังลานจอดรถที่อยู่ไม่ไกล สองมือหนาของชายหนุ่มกางกั้นสายฝนให้กับหัวเล็กๆของเพื่อนตัวเตี้ย
เอี๊ยดดดดดดดดดดดดด
“เฮ้ย” รถคันหรูที่วิ่งเข้ามาตัดหน้าคนทั้งสอง ทำให้ต้องหยุดชะงักจนเกือบล้มลงไปกองกับพื้นทั้งคู่ แต่เจ้าของรถคันสวยที่ก้าวลงมากลับไม่มีแม้แต่ท่าทางว่าจะขอโทษ
“จะไปไหนฮีชอล” ซีวอนก้าวลงมาจากรถสายตามองจ้องมือเล็กที่อยู่ในอุ้มมือของคนอื่นอย่างไม่พอใจ “ฉันบอกไม่ใช่หรือไงว่าฉันจะเป็นคนมารับนายเอง”
“ฉันเห็นว่าฝนตก..”
“แล้วไง เห็นว่าฝนตกเลยคิดจะไปที่อื่นต่องั้นสิ คนอย่างนาย คลาดสายตาไม่ได้เลยนะ คนอย่างนาย พร้อมจะให้คนอื่นตลอดเวลาเลยใช่ไหม” ซีวอนกระชากมือเล็กออกมากจากจองวูพร้อมด้วยคำพูดที่เหยียบย่ำหัวใจดวงเล็กให้จมอยู่พื้นดิน โดยไม่ฟังคำโต้แย้งของร่างบางเลย
“พอได้แล้วซีวอน นายจะคิดอะไร ฉันไม่รู้ แต่ฉันกับฮีชอลไม่คิดสกปรกแบบที่นายพยายามยัดเยียดให้เราหรอกนะ” จองวูมองกลับสายตาคมอย่างไม่กลัวเกรง อยากจะคว้าตัวเพื่อนเข้ามาปกป้องแต่กลับมีรุ่นน้องที่คุ้นหน้าวิ่งเข้ามาหา
“พี่ฮีชอล พี่จองวูแย่แล้วครับ พี่ซองมินถูกรถชนอยู่หน้าคณะ” รุ่นน้องที่วิ่งเข้ามาไม่ทันได้สังเกตอารมณ์ร้อนของคนทั้งสาม ได้แต่บอกข่าวร้ายหน้าตาตื่น
ข่าวร้ายที่ได้รับทำให้ฮีชอลได้แต่นิ่งตะลึง แตกต่างจากอีกคนที่วิ่งไปแล้วอย่างรวดเร็ว ปล่อยให้ร่างบางยืนโงนเงนด้วยยังไม่อาจตั้งสติกับสิ่งที่รับรู้ โดยมีเพื่อนสนิทคอยประคองเอาไว้
สองขาเล็กเริ่มออกวิ่งตามชายหนุ่มร่างสูงไปทั้งที่ก็ยังไม่อาจทรงกายให้ตรง แต่ละย่างก้าวผ่านไปอย่างเลื่อนลอย ภาพตรงหน้าพร่าเลื่อนเกินกว่าจะเป็นม่านน้ำฝน เรี่ยวแรงหายลงไปเรื่อยๆ พร้อมกับการรับรู้ที่ปลิดปลิวทีละน้อย สุดท้ายสิ่งที่ได้ยินคือเสียงร้องชื่อจากเพื่อนสนิท ก่อนที่ทุกอย่างจะดับวูบ
“ฮีชอลลลลลลลลลลลลลลลลลลลลลลล”
ร่างบางล้มลงที่กลางถนนโดยไม่ได้รับความสนใจจากชายหนุ่มร่างสูงที่วิ่งนำอยู่ข้างหน้า เลือดแดงเข้มไหลออกมาปนกับน้ำฝนที่เจิ่งนองจนกลายเป็นแดงอ่อนไหลอาบไปทั่วพื้นถนน
* ~ * ~ * ~ * ~ *~ * ~* ~* ~ * ~ * ~ * ~ * ~ * ~ * ~ *
เพราะเลยเวลากลับบ้านมานานแล้ว นายหญิงของบ้านอย่างกาอินจึงได้แต่ร้อนใจ มองไปทางประตูรั้วที่อยู่ห่างออกไป จนไม่สนใจสามีที่นั่งอยู่ข้างๆ
“คุณ เลิกมองได้แล้ว ลูกก็โตเป็นหนุ่มแล้ว มันก็ไปเที่ยวสังสรรค์อะไรกับเพื่อนบ้าง มาดูทีวีดีกว่านะ” แขนของหนุ่มใหญ่โอบไหล่บางของภรรยาคู่ชีวิตให้หันกลับมาดูทีวีอีกครั้ง
“ก็ทราบค่ะ แต่ว่า ปรกติก็โทรมาบอกก่อนทุกที ไม่ก็ให้ฮีชอลกลับมาก่อน แต่นี้หายไปทั้งคู่ฉันก็เป็นห่วงนะค่ะ โทรศัพท์ก็ไม่ยอมรับ” ใบหน้าที่เต็มไปด้วยความกังวลมองหน้าสามีที่ดูไม่เดือดร้อนอย่างไม่พอใจ
“สรุปว่าคุณเป็นห่วงใครเนี้ย เจ้าซีวอน หรือฮีชอล ปล่อยไปเหอะ ก็โตๆกันแล้วนะ อีกอย่างไปสองคนดีกว่าไปคนเดียวอีก ไม่เอาหน่า มันโตจนมีเมียได้ทั้งคู่แล้ว ป่านนี้อาจกำลังนอนกับสาวสักคนก็ได้ อย่าห่วงเลย” นายใหญ่ของบ้านมองเห็นเป็นเรื่องปรกติของผู้ชายที่คงมีผู้หญิงมาข้องเกี่ยวจนไม่ได้กลับบ้าน
“เป็นแบบนั้นก็ดีสิ ไม่รู้จะทำอะไรฮีชอลอีกหรือเปล่า”
“คุณบ่นอะไรเมื่อกี้หน่ะ” เสียงทุ้มหันมาหาภรรยาที่บ่นอะไรเบาๆจนจับใจความไม่ได้ อย่างสงสัย คิ้วได้รูปที่ลูกชายถอดแบบไป ขมวดเข้าหากันจนขึ้นรอยเหี่ยวย่นชัด
“เปล่าหรอกค่ะ อ่ะ นั่นเสียงรถของลูกนี้ค่ะ กว่าจะกลับมาได้ ต้องว่ากันหน่อยแล้ว จะกลับค่ำมืดก็ไม่บอก” ร่างเพรียวของคุณแม่ที่สวยตามวัยลุกออกจากห้องนั่งเล่น เดินไปหาลูกชายถึงเทอเรซกว้าง
“ไปไหนมาซีวอนกว่าจะกลับแล้วฮีชอ...”คำถามที่ตั้งใจจะถามหยุดชะงักทันทีที่ลูกชายเดินเข้ามาตรงที่แสงไฟส่องถึง เสื้อเชิ้ตสีขาวเปื้อนเลือดเป็นด่างดวงจนน่ากลัว ไม่ต่างจากผ้าปูที่นอนผืนนั้นเลย
“ซีวอนนั่นเลือดใคร แล้วฮีชอลอยู่ไหน เราทำอะไรฮีชอลบอกแม่มานะ” ดวงตาของคนเป็นแม่สั่นระริกจ้องมองรอยเลือดอย่างหวาดหวั่น นึกกลัวสิ่งที่กำลังจะได้ยิน
“แม่คิดว่าผมจะทำอะไรฮีชอลหรือไงครับ แล้วป่านนี้หลานที่รักของแม่ยังไม่กลับมาหรือไงครับ” ชายหนุ่มร่างสูงถามแม่เสียงห้วน มองอย่างน้อยใจ และอีกความรู้สึกที่อธิบายไม่ได้ มันปะปนจนแยกไม่ออกจากความไม่พอใจที่คุขึ้นมาเมื่อได้รู้ว่าอีกคนที่หายไปยังไม่กลับมาถึงบ้าน
“ถ้ากลับมาแล้วแม่จะเป็นห่วงแบบนี้หรือไง แล้วฮีชอลไปไหน แล้วเนี้ยของใคร” คุณแม่ยังสวยไม่ยอมให้ลูกชายเดินหนีไปง่ายๆ ลากให้เข้ามาในห้องนั่งเล่นที่มีหนุ่มใหญ่เลิกคิ้วมองอย่างสงสัย
“แกไปทำอะไรมาหล่ะนั่น เลือดเต็มตัว คงไม่ไปมีเรื่องกับใครมาหรอกนะ” เสียงของเป็นพ่อ ทำให้ดวงตาคมต้องแอบเหลือกขึ้นข้างบนอย่างเหนื่อยใจ
ไม่มีใครคิดว่าคนอย่างชเว ซีวอนเป็นคนดีเลยใช่ไหม...
ผมลูกพวกคุณนะคร้าบบบ...อยากจะตะโกนไปแบบนั้น แต่ก็กลัวว่าจะโดนบาทาตามวิถีลูกชาย จึงได้แต่บอกความจริงกลับไป ให้เลิกเดากันสักที “เพื่อนผมที่ชื่อซองมินโดรรถชนครับ ก็เลยไปส่งที่โรงพยาบาล นี้ก็เลือดของซองมิน ผมไม่ได้ไปตีกับใครสักหน่อย พ่อก็มองผมแง่ร้ายตลอด”
“แล้วนี้ฮีชอลอยู่ไหน เรายังไม่ตอบแม่เลยนะ”
น้ำเสียงคาดคั้นของแม่ เรียกความโกรธเกรี้ยวให้ฉายชัดในแววตาคมกร้าวของชายหนุ่มโดยไม่รู้ตัว “ไม่ทราบครับ ผมพาซองมินมาขึ้นรถเขาก็ไม่อยู่แล้ว ขนาดเพื่อนตัวเองโดนรถชนยังไม่สนใจ”
“แกมันก็พูดเกินไป ฮีชอลอาจไม่รู้แล้วมีธุระต้องรีบไปไหนหรือเปล่า” ซูมินเอ่ยแก้ตัวแทนเด็กอีกคนที่เห็นมาตั้งแต่เด็ก พอจะรู้จักนิสัยใจคอว่าไม่ใช่คนเหลวไหลอย่างที่ลูกชายตัวเองว่า
“ฮึธุระ ธุระต้องไปกับผู้ชายหน่ะสิ เผลอเป็นไม่ได้”
อีกครั้งที่ประมุขของบ้านต้องสงสัยกับเสียงงึมงำ ที่ฟังไม่ถนัด หันมองหน้าลูกชายอย่างสงสัย ผิดกับคนเป็นแม่ที่มองลูกชายอย่างไม่คาดคิดว่าจะได้ยินคำพูดร้ายกาจแบบนี้จากลูกชายตัวเอง
“เมื่อกี้แกว่าอะไรนะ พ่อฟังไม่ถนัด”
“เปล่าครับพ่อ ผมขึ้นข้างบนก่อนนะครับ ขอตัวครับ” ชายหนุ่มร่างสูงเดินออกจากห้องนั่งเล่นของบ้านขึ้นบันไดหายลับไป ทิ้งความสงสัยให้ค้างอยู่ในใจของทุกคนดังเดิม...ความสงสัยเดียวกับที่ติดอยู่ในใจของเขาเช่นกัน
...นายหายไปอยู่ที่ไหนฮีชอล...ไม่รู้หรือไงว่านายเป็นของเล่นของฉันคนเดียวเท่านั้น!
ชายหนุ่มไม่รู้เลยว่า คำถามที่สงสัยอยู่นี้มันก่อเกิดจากบางสิ่งที่เหนือกว่าการหวงของเล่น
มันก่อเกิดจากความรู้สึกที่ลึกซึ้ง....และมีเวลาอยู่เพียงไม่นานก่อนที่จะสายเกินไป
* ~ * ~ * ~ * ~ *~ * ~* ~* ~ * ~ * ~ * ~ * ~ * ~ * ~ *
“อื้ออออออออ ..” เสียงครางอย่างหมดแรงจากฮีชอลเรียกให้เพื่อนสนิทที่นั่งอยู่ข้างเตียงมองอย่างดีใจด้วยประกายตาที่เต็มไปด้วยความหวัง
“ฟื้นแล้วหรอฮีชอล หิวน้ำไหม เดี๋ยวเราเทให้นะ” ชายสูงรีบรินน้ำใส่แก้วที่หัวเตียงส่งหลอดเล็กให้เพื่อนดื่มน้ำอย่างตั้งใจ มือเล็กตั้งใจจะถือแก้วไว้เองแต่ก็ติดที่เข็มขนาดใหญ่ของสายน้ำเกลือเจาะอยู่ที่หลังฝ่ามือ “ไม่เป็นไร เดี๋ยวเราถือให้”
“ขอบคุณนะ” ดวงตากลมมองไปรอบๆห้องที่ไม่คุ้นเคยแต่ก็เดาได้ว่าที่นี้คงเป็นโรงพยาบาล ซีวอนอยู่ที่ไหน.....คำถามที่อยากรู้ แต่ต้องสะกดกั้น ด้วยการกัดริมฝีปากที่ขาวซีด
จะถามเพื่อได้อะไร...คนอย่าซีวอนหรือจะมาสนใจคนอื่นที่ไม่ใช่แม้แต่เพื่อน..อย่างเขาคนนี้
“กี่โมงแล้ว แล้วซองมินเป็นไงมั่ง” ดวงตาลมมองหน้าเพื่อนที่อยู่ข้างๆ นึกเกรงใจที่ทำให้ต้องมาลำบาก นั่งเฝ้าแบบนี้
“จะสามทุ่มแล้ว ส่วนซองมินเราไม่รู้เพราะรีบพานายมาที่โรงบาลแต่ว่าก็คงไม่มีอะไรร้ายแรงหรอก ห่วงตัวเองก่อนดีกว่าฮีชอล”
“สามทุ่ม? ฉันต้องกลับบ้านแล้ว นายก็ด้วย” ร่างบางทำท่าจะลงจากเตียง ตกใจกับเวลาที่ดึกมากแล้ว ป่านนี้ไม่รู้ว่าจะทำให้คุณน้า และคุณอาเป็นห่วงมากแค่ไหน
....แล้วซีวอนนายจะเป็นห่วงฉันบ้างไหม
มือหนารีบรั้งเพื่อนตัวบางเอาไว้ อดไม่ได้ที่จะโมโห“จะบ้าหรือไงฮีชอล นอนลงไปเลยนะ น้ำเกลือก็ยังไม่หมดขวด แล้วยังไงก็ต้องรอหมอมาบอกผลเลือดอีก ตอนที่มาถึงหมอเจาะเลือดนายไปตรวจ เดี๋ยวก็คงรู้เรื่อง อย่าทำเป็นว่าแข็งแรงอีกเลย นั่น หมอมาพอดี”
คำมากมายของเพื่อนสนิทไม่ได้เข้าหูเล็กเลยสักนิด สายตากำลังจับจ้องอยู่ที่บุรุษร่างเล็กท่าทางใจดีในชุดกราวสีขาวสะอาด ที่มาพร้อมกับนางพยาบาลและแฟ้มในมือ
แค่เป็นลม...ทำไมต้องเจาะเลือด...
“คุณคิม ฮีชอลนะครับ”
“ครับ” ฮีชอลที่นอนอยู่บนเตียงคนไข้ ยกตัวขึ้นพิงกับหัวเตียง ในขณะที่คนเฝ้าไข้ถอยห่างออกมาให้หมอและพยาบาลเข้าชิดกับตัวคนป่วย “ผมกลับบ้านได้หรือยังหมอ”
“หมอก็อยากให้คุณกลับนะ แต่ว่าผลเลือดที่ออกมา หมอคงปล่อยคุณไปไม่ได้หรอก” คำพูดของหมอที่ดูเรียบๆเรื่อยๆ แต่กลับทำให้คนเฝ้าไข้อย่างจองวูสะกิดใจ ผิดกับคนป่วยที่ดูจะไม่เดือดร้อนเพราะคิดว่าคงต้องให้น้ำเกลือเพิ่ม
“จากผลเลือดบอกว่าโลหิตของคุณเป็นพิษ~”
“หมอว่าฮีชอลเป็นอะไรหน่ะครับ” เพื่อนสนิทอย่าจองวูที่ได้ยินหมอพูดถึงกับตกใจ ใบหน้าเข้มซีดเผือด จ้องดวงตากลมที่สั่นระริกของฮีชอลด้วยความสงสาร
“โลหิตของคุณฮีชอลเป็นพิษ เกิดจากแบคทีเรียที่แพร่เข้าสู่กระแสเลือด ซึ่งน่าจะเกิดขึ้นเพราะน้ำเหลือง ไม่ทราบว่าคุณฮีชอลเคยเกิดพวกรอยช้ำโดยไม่ทราบสาเหตุบ้างหรือเปล่าครับ”
คำพูดของหมอใหญ่ค่อยๆซึมเข้าการรับรู้ของร่างบางทีละน้อยจนปรากฏรอยยิ้มเยาะตัวเองขึ้นในดวงตา...แม้แต่โลหิตยังเป็นพิษ...แล้วจะอยู่ให้ถูกทำร้ายไปทำไมกัน..
“ฮีชอล หมอถามก็ตอบสิ”
เสียงทุ้มของเพื่อนสนิทเรียกร่างบางให้หลุดออกมาจากภวังค์ที่กำลังสมเพชตัวเอง จนลืมคำถามของหมอ “ห่ะ..เมื่อกี้นายว่าอะไรหน่ะ”
“หมอเขาถามว่าฮีชอลเคยมีพวกรอยช้ำโดยไม่รู้เกิดขึ้นมาหรือเปล่า” จองวูทวนคำถามของหมอให้เพื่อนสนิทรู้อีกครั้ง
“อ่ะ...ก็” ร่างบางนึกย้อนไปถึงที่ผ่านมา...รอยที่ไม่รู้ที่มา...เคยมีไหมนะ
ไม่เคยรู้มาก่อนเหมือนกัน เพราะดูเหมือนทุกรอยจะมีที่มาก็แค่เพียงคนเดียว....รอยช้ำบนตัว มีเพียงคนเดียวที่เคยทำมันไว้.... “ไม่ทราบเหมือนกันครับหมอ ผมไม่เคยสังเกต”
“ไม่เป็นไรครับ แต่ว่าต่อไปนี้หมออยากให้คุณสังเกตตัวเองบ้าง ว่ามีรอยช้ำเกิดขึ้น หรือว่ามีเลือดกำเดาไหล และอาเจียนเป็นเลือดบ้างหรือเปล่า
“ฮีชอลเคยเป็นพวกนี้ทั้งหมดเลยครับหมอ แล้วมันร้ายแรงมากไหมครับ ต้องดูแลยังไง แล้วจะหายหรือเปล่า” จองวูถามหมอเป็นชุด ด้วยความเป็นห่วงเมื่ออาการที่หมอพูดมาเพื่อนของเขาเคยเป็นทั้งนั้น และดูเหมือนจะเป็นมากขึ้นทุกที จนครั้งหลังสุดที่ล้มไปกองอยู่กับถนน
“ความร้ายแรงของมันขึ้นอยู่กับว่าคุณฮีชอลดูแลตัวเองดีแค่ไหน ถ้าหากดูแลตัวเองดีก็จะไม่มีปัญหาอะไรนอกจากเพียงแค่อ่อนแรงและซีดเหลืองในบางครั้ง แต่หากว่าละเลย ก็อาจมีอาการช็อคจนถึงขั้นเสียชีวิต หรือเกิดเป็นอาการแทรกซ้อนอย่างไตวายได้ ส่วนการรักษาในอาการของคุณฮีชอลหมอจะฉีดยาปฏิชีวนะให้ควบคู่ไปกับการให้น้ำเกลือ แต่หากเป็นมากขึ้นก็อาจต้องมีการถ่ายเลือด”
ใบหน้าหวานนิ่งงันรับฟังอาการของตนเองด้วยความสงบ ผิดกับเพื่อนคนป่วยที่ดูมีแต่ความหวาดระแวง จนต้องส่งยิ้มปลอบใจไปให้ “ไม่เอาหน่าจองวูอย่าทำหน้าแบบนั้น หมอก็ไม่ได้บอกว่าฉันจะตายวันนี้พรุ่งนี้สักหน่อย แล้วผมจะออกจากโรงบาลได้เมื่อไหร่ครับหมอ”
“หมออยากดูอาการของคุณก่อน หากไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงอย่างช้าก็ไม่เกินสามวันหรอกครับ” ใบหน้าที่มีริ้วรอยของคุณหมอส่งยิ้มเป็นกำลังใจให้กับคนไข้ที่ดูเข้มแข็งผิดกับรูปร่างหน้าตาที่ดูบอบบาง “ตอนนี้หมออยากให้คุณพักผ่อนมากๆ อย่าเป็นกังวลนะครับ หมอขอตัวก่อน”
“ขอบคุณครับหมอ” ศีรษะเล็กก้มหัวให้กับหมอก่อนที่ชายหนุ่มจะเดินออกไปส่งคุณหมอและพยาบาลที่หน้าห้อง แล้วเดินกลับมานั่งลงข้างเตียงด้วยใบหน้าที่เครียดขึ้น
“ไม่เอาหน่าจองวู อย่าเครียดขนาดนั้น ฉันยังไม่ตายสักหน่อย”รอยยิ้มอ่อนๆของคนป่วยไม่ทำให้ใบหน้าเข้มผ่อนคลายลงได้เลย มีแต่กังวลมากขึ้น
จองวูรู้ดีว่าภายใต้ใบหน้าที่ยิ้มแย้มของร่างเล็กตรงหน้า กำลังปิดบังความกลัวที่ไม่กล้าแสดงออกมา...ทำไมกัน แค่แสดงความอ่อนแอของนายให้ฉันได้ปลอบก็ไม่ได้หรือไงฮีชอล
ความเงียบเข้าครอบงำห้องพักที่มีเพียงแค่สองคน ปล่อยให้เข็มนาฬิกาเดินไปช้าๆอย่างเลื่อนลอย จนกระทั่งร่างเล็กนึกถึงบางสิ่งได้ จนต้องเอ่ยปากขอร้องเพื่อน “จองวู ฉันขอมือถือหน่อยสิ”
ชายหนุ่มหยิบโทรศัพท์เครื่องเล็กของฮีชอลที่ตนเองเก็บไว้คืนเจ้าของ หน้าจอแสดงมิสคอลให้เห็นเกือบยี่สิบครั้ง แต่เพราะถูกปิดเสียงเอาไว้ตั้งแต่ตอนเรียนจึงไม่ไม่ใครรู้
/บ้านชเวค่ะ ไม่ทราบว่าต้องการเรียนสายกับใครค่ะ/ สาวใช้ในบ้านที่พอจะคุ้นเสียงเป็นคนรับโทรศัพท์
“เอ่อ ขอพูดกับคุณน้ากาอินหน่อยครับ พี่บ๊กชิว”
/อ่า คุณฮีชอลหรอคะ สักครู่นะค่ะ เดี๋ยวพี่ไปตามให้/ เสียงใสๆที่บอกให้รู้ว่าดีใจอย่างมากทำให้ร่างบางเริ่มกลัวว่าจะทำให้คนที่บ้านเป็นห่วงมากขนาดไหนแล้ว
/ฮีชอล อยู่ไหน ทำไมป่านนี้ยังไม่กลับ จะให้น้าส่งรถไปรับที่ไหนบอกมา/ นายหญิงของบ้านดีใจจนแทบวิ่งมารับโทรศัพท์ของหลานชายทันทีที่รู้ว่าโทรเข้ามา
“ขอโทษครับ แต่ว่าผม..” ร่างเล็กลำบากใจที่จะพูดความจริง จนอ้ำอึ้งหาคำแก้ตัว “ผมมาทำรายงานที่บ้านเพื่อนหน่ะครับ แล้วเอ่อ..อาจจะค้างที่นี้เลยสักสามสี่วันหน่ะครับ”
/แล้วทำไมไม่โทรมาบอกน้าก่อน รู้ไหมว่าน้าเป็นห่วงแค่ไหน ถามซีวอนก็ไม่ได้เรื่อง รู้ไหมน้าเกือบโทรไปตามโรงบาลแล้วนะ แล้วจะเอาอะไรหรือเปล่า น้าจะเตรียมไว้แล้วให้ซีวอนเอาไปให้พรุ่งนี้/
กระแสเสียงที่บ่งบอกความเป็นห่วงยิ่งทำให้ร่างเล็กรู้สึกผิดและยิ่งไม่อยากบอกความจริงให้ทุกคนเป็นห่วงไปมากกว่านี้ ต้องกลืนก้อนสะอื้นที่ตีขึ้นมาอย่างช้าๆก่อนตอบกลับไป “ผมขอโทษครับ แต่ว่าไม่ต้องเตรียมอะไรหรอกครับ เดี๋ยวผมใช้ของเพื่อนได้ แค่นี้ก่อนนะครับ ต้องรีบกลับไปช่วยงานเพื่อนแล้ว”
/จ๊ะ แล้วอย่าเอาแต่ทำงานนะลูก ดูแลตัวเองด้วยน้าเป็นห่วง ทำงานเสร็จก็รีบกลับบ้านนะ/
“ครับ คุณน้า” ปลายสายวางหูลงไปพร้อมกับลมหายใจของฮีชอลที่พรั่งพรูออกมาอย่าเบาใจ แต่แล้วสายตาดุๆของเพื่อนที่นั่งอยู่ข้างเตียงก็ทำให้ต้องลำบากใจอีกครั้ง
“ทำไมไม่พูดความจริง” จองวูถามร่างบางที่นอนอยู่อย่างไม่พอใจ ตั้งแต่ที่รู้ว่าฮีชอลไม่ยอมบอกความจริงกับแม่ของซีวอน
“ก็ฉันไม่อยากให้คุณน้าเป็นห่วง นายก็เหมือนกันห้ามพูดเรื่องนี้กับใคร แม้แต่ซองมินเข้าใจไหม ถือว่าฉันขอร้องนะจองวู” เสียงใสแผ่วลง ดวงตากลมจ้องมองชายหนุ่มอย่างขอร้อง
“แต่...”
ชายหนุ่มไม่มีโอกาสได้พูดจนจบเมื่อ ร่างบางที่นอนอยู่ขัดขึ้นเสียก่อน “ไม่มีแต่นะจองวู ฉันไม่อยากให้ทุกคนเป็นห่วง แล้วมองว่าอ่อนแอขี้โรคแบบที่นายกำลังมองฉันอยู่ตอนนี้”
“เราขอโทษที่ทำให้นายรู้สึกแย่” ชายหนุ่มเหลือบสายตาลงต่ำ เมื่อรู้ว่าแววตาที่แสดงออกถึงความเป็นห่วง ทำให้เพื่อนรักรู้สึกไม่ดี แต่ให้ทำอย่างไร ในเมื่อสายตาที่ทอดมองใครสักคนเป็นสิ่งที่โกหกกันไม่ได้
“ไม่เป็นไรหรอก ฉันรู้ว่านายเป็นห่วงฉัน แต่ว่าอย่าบอกใครนะ” ร่างเล็กยิ้มบางๆ บอกให้รู้ว่าไม่ถือโทษ แต่ก็ขอย้ำเรื่องสำคัญที่ไม่อยากให้ใครรู้
“ก็ได้ แต่ฮีชอลสัญญานะว่าถ้าเป็นอะไรจะบอกเรา อย่าปิด อย่าเก็บไว้คนเดียว” ชายหนุ่มขอคำสัญญาจากเพื่อนตัวเล็กแลกเปลี่ยนเป็นข้อตกลงที่จะไม่บอกเรื่องนี้กับใคร
“ก็ได้ ฉันสัญญา นายกลับบ้านได้แล้วมั้ง ดึกแล้ว”
“คืนนี้เราจะเฝ้าเอง ไม่ต้องไล่นะ เรารับรองว่าวันพรุ่งนี้จะไปตั้งใจจดเลคเชอร์มาให้ทั้งนายทั้งซองมิด้วย” ชายหนุ่มเอ่ยต่อทันทีก่อนที่ความตั้งใจจะถูกขัด
“ก็ได้ ตามใจงั้นฉันนอนก่อนนะ เริ่มง่วงแล้ว”
“อือ ฉันปิดไฟเลยนะ” ร่างโปร่งเดินไปปิดไฟให้ห้องดับมืดเหมาะแก่การพักผ่อน ล้มตัวลงนอนที่โซฟาตัวใหญ่ มองแผ่นหลังเล็กของเพื่อนรักอย่างเจ็บปวด เมื่อร่างบางไม่ยอมแสดงออกให้เขาเห็นความอ่อนแอเลนสักนิด เอาแต่ทำเป็นเข้มแข็งอยู่แบบนี้
แล้วเมื่อไหร่กันที่เขาจะได้ปกป้องคนอ่อนแอที่แกล้งทำเข็มแข็งคนนี้
ดวงตากลมของคนที่บอกว่าเริ่มง่วงกลับลืมตาโพลง นอนทบทวนสิ่งที่รู้จากหมอ บอกตัวเองว่าถูกแล้วที่ไม่ให้ใครรู้ ไม่ให้ใครต้องมาสงสาร แต่ใจอีกเสี้ยวก็อยากรู้
...ถ้าหากซีวอนรู้จะเป็นเช่นไร จะทำยังไงกับคนที่บอกว่าไม่ใช่เพื่อนอีกต่อไป...ก็คงจะดีใจใช่ไหม
น้ำตาเม็ดเล็กไหลลงมา เพราะคำตอบที่คิดได้เอง “คิดบ้าอะไรของเรา อย่าร้องไห้นะ อย่าร้องไห้ ต้องเข็มแข็งนะฮีชอล อย่ายอมแพ้”
ฮีชอลคนเข้มแข้ง...แต่จะเข้มแข็งไปได้อีกนานแค่ไหนกัน....
* ~ * ~ * ~ * ~ *~ * ~* ~* ~ * ~ * ~ * ~ * ~ * ~ * ~ *
วันนี้ซีวอนใช้มอเตอร์ไซค์คันใหญ่ที่ไม่ได้ใช้มานานเพราะอีกคนที่เคยมาด้วยกันกลับหายไป รับรู้จากแม่เพียงว่า “ฮีชอลไปทำรายงานที่บ้านเพื่อน”
ทำไมเขาจะไม่รู้ว่าเป็นเพียงแค่คำโกหกเท่านั้นเอง เพื่อนของฮีชอล...จะมีแค่สักกี่คนกัน คนนึงนอนอยู่ที่โรงบาล ก็เหลืออีกแค่คนเดียวเท่านั้น
...คนที่เขาไม่ชอบหน้า....ไม่ชอบตั้งแต่วันแรกที่เจอ
...เกลียดสายตาที่ใช้มองฮีชอล...เกลียดท่าทางที่เอาใจดูแลฮีชอล.....
ชายหนุ่มเลี้ยวเข้ามาในรั้วมหาลัย ไปตามถนนเล็กๆที่เคยไป หยุดตรงหน้าคณะของร่างบางตามความเคยชินที่ทำอยู่ทุกวัน แต่แล้วก็นึกขึ้นได้ว่า เมื่อไม่มีอีกคนมาด้วย แล้วเขาจะมาทำไมกัน
สายตาคมมองไปรอบๆคณะสอดส่ายสายตาหาร่างเล็กที่คุ้นเคย บอกกับตัวเองว่า อย่างน้อยก็เคยเป็นเพื่อนกัน เคยเจอหน้ากันทุกวัน จะเป็นห่วงกันบ้างก็คงไม่แปลก...ใช่ไหม
ซีวอนจอดเจ้าส้มยักษ์ไว้ข้างทาง ตั้งใจจะหาร่างเล็กที่เคยมาด้วยกัน แต่กลับพบชายหนุ่มเพียงคนเดียวที่นั่งอยู่บนโต๊ะประจำของพวกฮีชอลอย่างไม่พอใจ ก่อนเดินลิ่วเข้าไปหา “ฮีชอลอยู่ที่ไหน”
“ทำไมฉันต้องบอกนาย” ชายหนุ่มจ้องหน้าร่างที่สูงกว่าอย่างไม่ลดละ ไม่สนใจว่าเพื่อนร่วมคณะกำลังจับกลุ่มซุบซิบกันเช่นไร
“ฉันถามว่าฮีชอลอยู่ไหน อย่าคิดว่าฉันจะเชื่อไอ้คำโกหกโง่ๆของพวกนาย หรือว่านายเองก็ไม่รู้ว่าเพื่อนที่แสนดีหายไปอยู่กับใครมาทั้งคืน” เสียงเย็นเหยียดคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าให้ต่ำกว่าของซีวอนทำให้ใครหลายคนที่ได้ยินต้องหวาดกลัวไม่เว้นแม้แต่จองวู
แม้ว่าจะกลัวสักแค่ไหน แต่คำกล่าวร้ายฮีชอลที่ได้ยินจากซีวอน ทำให้จองวูกล้าพอจะตอบกลับชายหนุ่มตรงหน้าด้วยความแรงของอารมณ์ “นายจะเชื่อที่ฮีชอลบอกหรือเปล่ามันก็เรื่องของนาย แต่อย่าพูดถึงฮีชอลแบบนี้”
“ทำไมฉันจะพูดไม่ได้ ก็รู้ไม่ใช่หรือไงว่าฉันกับฮีชอลเป็นอะไรกัน” รอยยิ้มของผู้ชนะจากซีวอนช่างดูเย็นชา แต่ชายหนุ่มจะรู้ไหมว่าคำพูดที่พูดออกมามันมากกว่าการแสดงความเป็นเจ้าของ
เพราะคำพูดที่ประกาศชัดเจนถึงความสัมพันธ์ที่เกินเลย จนอดไม่ได้ที่จะเจ็บปวดแทนร่างบางที่นอนไม่รู้เรื่องอยู่ที่โรงพยาบาล “แล้วนายไม่คิดบ้างหรือไงว่าเมื่อคืนฉันกับฮีชอลเราจะอยู่ด้วยกันทั้งคืนอย่างมีความสุข จนฮีชอลตื่นมาเรียนตอนเช้าไม่ไหว ไม่เหมือนนาย....”
ปกเสื้อนักศึกษาของจองวูถูกกระชากอย่างรุนแรง รู้สึกได้ถึงความร้ายกาจที่แผ่ออกมาเมื่อดวงตาคมกร้าวจ้องมอง มือใหญ่ของซีวอนกำแน่นอยู่เหนือใบหน้า แต่จองวูในเวลานี้ก็ไม่เหลือความกลัวอีกแล้ว ยังคงท้าทายร่างสูงด้วยความโกรธที่สะสมมานาน “คนอย่างนายมันก็ดีแต่ใช้กำลัง สักวันนายจะเสียฮีชอลเพราะความรักที่ฉันมีให้เขา”
ผลั้ว! ใบหน้าของจองวูสะบัดไปด้านข้าง กระเด็นล้มไปที่พื้นจนคิบอมที่มองอยู่ไม่ไกลจากตรงนั้นต้องรีบเข้ามากันชายหนุ่มร่างสูงกว่าเอาไว้
ดวงตาคมจ้องมองอย่าโกรธแค้น ก่อนปรายตาไปทางรุ่นน้องอีกคนที่ยืนขวางอยู่ ไม่ลืมฝากคำพูดสุดท้ายที่กรีดลงไปในใจของคนฟังทั้งสองคน “จำเอาไว้ ฮีชอลเป็นของฉันคนเดียวเท่านั้น”
ซีวอนเดินกลับไปขึ้นรถ เร่งเครื่องให้ออกตัวไปอย่างรวดเร็วตามแรงอารมณ์ที่พุ่งสูง ขี่เลยออกไปทางด้านหลังมหาลัย หลีกหนีสิ่งที่หลอกหลอน
มันพูดมาแบบนี้แล้วจะให้ฉันคิดว่านายสะอาดได้อีกหรอฮีชอล
แล้วแบบนี้จะไม่ให้ฉันคิดว่ากับนายแบบนั้นได้อย่างหรือไง....
ซีวอนพร้อมเสมอที่จะมองฮีชอลในแง่ร้าย แต่กลับไม่เคยคิดเลยสักนิดว่าที่เป็นแบบนี้...ที่คิดแต่ในแง่ร้ายเป็นเพราะอะไร
..หวงมากหรือเปล่า....คิดว่าตนเองเป็นเจ้าของร่างกายที่สวยงามหรือเปล่า....
....แล้วเคยถามตัวเองบ้างไหม...ว่าทำไมจึงถือสิทธิ์มากขนาดนี้...
รัก..หรืออย่างไร
* ~ * ~ * ~ * ~ *~ * ~* ~* ~ * ~ * ~ * ~ * ~ * ~ * ~ *
“ฮีชอล หวัดดี เป็นไงมั่ง วันนี้หมอว่าไงบ้าง” หลังเลิกเรียนจองวูก็รีบตรงมาหาเพื่อนที่โรงพยาบาลทันที เพราะรู้ว่าป่านนี้ฮีชอลคงเหงาที่ต้องอยู่คนเดียวมาทั้งวันไม่มีใครมาเยี่ยม...ก็ไม่รู้ว่าจะทนไปทำไมกัน
แค่ยอมอ่อนแอสักนิด...ก็ไม่ต้องเหงาแบบนี้
ทันทีที่บานปะตูเปิดออก ริมฝีปากอิ่มก็ปรากฏรอยยิ้มขึ้น รู้ดีว่าคงเป็นจองวูเพื่อนสนิทเพียงคนเดียวที่รู้ว่าเขาอยู่ในโรงพยาบาลแห่งนี้ แต่แล้วก็ต้องแปลกใจเมื่อดวงตาไปสะดุดที่มุมปากของชายหนุ่ม จะว่ามันเป็นรอยของเงาตกกระทบก็คงไม่ใช่ “หวัดดี จองวูหน้านายไปโดนอะไรมา”
มือหนายกขึ้นลูบแถวๆมุมปากที่ตอนนี้เจ่อบวมนิดหน่อย “นี้หน่ะหรอ โดนหมามันกัดมา อย่าสนใจเรื่องไร้สาระเลย” ชายหนุ่มเดินมาชิดริมเตียงแล้วจับจ้องอยู่ที่น้ำเกลือที่มีตัวอักษรยึกยือเขียนไว้จนอ่านไม่ออก ก่อนชวนร่างบางเปลี่ยนเรื่อง “วันนี้หมอว่าไงบ้าง ต้องถ่ายเลือดหรืออะไรไหม”
“ใจคอจะให้ฉันเป็นหนักขนาดนั่นเลยหรือไง หมอเขาก็แค่มาให้น้ำเกลือ แล้วก็ฉีดยาอะไรไม่รู้ ไม่ได้จำชื่อเท่านั้น ว่าแต่นายเหอะ หมาที่ไหนตัวใหญ่ขนาดกระโดดมากัดปากได้ ไปมีเรื่องกับใครมาบอกฉันได้ไหม” นิ้วเรียวยื่นมือไปแตะรอยบวมแดง อย่างสงสัย แต่กลับโดนกุมมือโดยไม่รู้ตัว
มือหนาทับซ้อนอยู่บนมือเล็กของเพื่อนสนิทอย่างลืมตัว ความคิดหลุดไปถึงสิ่งที่บอกกับซีวอนไปเมื่อเช้า...บอกไปทั้งที่ยังไม่แน่ใจเลยว่าจะมีวันที่ร่างบางจะได้รับรู้ความในใจหรือเปล่า
.....แล้วจะเอาอะไรไปยื้อแย้งหัวใจของฮีชอลมาจากซีวอนกัน
“จองวู”
“ห่ะ เออออ ขอโทษนะ” ชายหนุ่มรีบปล่อยมือเล็กๆของเพื่อนออก ดวงตาเต็มไปด้วยคำขอโทษมากมาย อยากจะใช้เวลาที่ได้อยู่เพียงลำพังสองคนแบบนี้ได้บอกสิ่งที่เก็บไว้มานาน แต่ก็ต้องเก็บกลืนมันลงไปเมื่อเห็นใบหน้าหวานที่ยังซีดเซียว
เวลาแบบนี้....ไม่ใช่เวลาที่จะบอกเรื่องแบบนั้นสักนิด....และคงจะเห็นแก่ตัวเกินไปที่จะทำ
“อืม เป็นไรหรอก ว่าแต่บอกฉันได้ไหมว่าตกลงนายไปมีเรื่องกับใครมา” ฮีชอลมองการกระทำที่แปลกไปของเพื่อนสนิทด้วยความสงสัย แต่ก็ยังอยากรู้ว่าใครกันที่เป็นคนทำรอยช้ำนี้ขึ้นมา ทำไมถึงได้พยายามเปลี่ยนเรื่องมากขนาดนี้
“ไม่บอกหรอก เดี๋ยวนายออกจากโรงบาลไปยกพวกตีขึ้นมาทำไง อย่าไปสนใจเลยนะ มาดูนี้ดีกว่า เราเก็บชีทไว้ให้ เผื่อซองมินด้วย” ชายหนุ่มลุกจากข้างเตียงไปหยิบชีทที่เก็บไว้ในกระเป๋ามาให้ พยายามไม่สนใจดวงตากลมที่สบตามา
“ใช่ซีวอนหรือเปล่า” หลังจากคำถามที่แสนคาดหวังของฮีชอล ทั้งห้องก็ตกอยู่ในความเงียบ ไร้คำตอบจากเพื่อนสนิทที่หันหลังให้ จนไม่รู้เลยว่ามือที่กำลังหาชีทเรียนนั้นหยุดชะงัก ริมฝีปากอิ่มถูกกัดแน่น คิดว่าความเงียบนั่นคงเป็นการปฏิเสธถึงสิ่งที่คาดหวัง “ไม่ใช่ ใช่ไหม ฉันก็คิดเองไปเรื่อย ไม่ถามแล้วดีกว่า”
คาดหวังอะไรอยู่กันแน่ฮีชอล...คิดว่าตัวเองสำคัญขนาดที่ซีวอนจะชกต่อยกับคนอื่นเพื่อนายหรือไง
“อือ อย่าถามเลย บอกไปนายก็ไม่รู้จักหรอก นี้ ชีท ถ้าไม่เข้าใจตรงไหนก็ถามนะ เพราะจารย์แกว่าอีกสองอาทิตย์จะควิช” ชายหนุ่มหยิบชีทที่เก็บมาให้ ยื่นส่งให้ฮีชอล ไม่กล้าสบสายตากับร่างบาง กลัวความจริงที่ปกปิดไว้จะถูกจับได้
ขอโทษนะฮีชอล...แต่อย่าพูดถึงผู้ชายคนนั่นอีกเลย ในเวลาที่เราได้อยู่ด้วยกันแบบนี้
“ฮีชอล ฉันไปเข้าห้องน้ำก่อนนะ นายอ่านชีทไปก่อนแล้วเดี๋ยวเราออกมาอธิบายให้ฟังอีกที” ชายหนุ่มขอเพื่อนไปเข้าห้องน้ำ หวังจะให้ความเย็นของสายน้ำมาชำระล้างความคิดที่อยู่ในหัวที่คอยรบกวนมาทั้งวัน
* ~ * ~ * ~ * ~ *~ * ~* ~* ~ * ~ * ~ * ~ * ~ * ~ * ~ *
ชายหนุ่มร่างสูงเดินไปตามทางเดินยาวของโรงพยาบาลในชั้นผู้ป่วยชาย ใบหน้าคมเข้มเรียบเฉยไม่บ่งบอกอารมณ์ใดๆ ในมือถือตะกร้าผลไม้และสารพัดของบำรุงสำหรับเยี่ยมคนป่วย อีกมือมีกระดาษหมายเลขห้องพักที่เขาถามมาจากพยาบาลที่ชั้นล่าง
เมื่อวานหลังจากมาส่งซองมินที่โรงพยาบาล ก็อยู่คอยจัดการเรื่องต่างๆเสร็จสิ้นแทนคยูฮยอนที่ต้องไปทำแผลก็มืดมากแล้ว จนไม่มีโอกาสได้รอให้หมอย้ายซองมินออกจากห้องฉุกเฉินไปห้องพัก ชายหนุ่มจึงไม่รู้เลยว่าร่างอวบที่ตนใส่ใจมาตลอดอยู่ที่ห้องไหน
ซีวอนไล่สายตาไปตามประตูห้องพักคนไข้ที่มีรายะเอียดทั้งชื่อคนไข้ หมอผู้รับผิดชอบ และอาหารที่คนไข้สามารถทานได้ แปะไว้อย่างชัดเจน
สายตาคมเข้มมองผ่านประตูห้องพักพิเศษที่เหมือนกันทุกบาน อย่างไม่ใส่ใจ หากจะไม่สะดุดกับบางชื่อที่คุ้นเคยผ่านทางหางตา จนต้องชะงักฝีเท้า ย้อนกลับไปดูที่ประตูบานนั้นอีกครั้งเพื่อความแน่ใจ
คนไข้ : นายคิม ฮีชอล
แพทย์ : น.พ ปาร์ค เมียงบัค
ไม่จำกัดอาหาร
ชื่อที่ปรากฏอยู่หน้าประตูทำให้ชายหนุ่มรู้สึกเหมือนร่างกายชาวาบไปชั่วขณะจนไม่อาจบังคับ
ร่างกายได้ กว่าจะรู้ตัวอีกครั้ง ก็เมื่อแนบใบหน้าลงกระกระจกใสที่ประตูหน้าห้อง มองเข้าไปเห็นร่างบางบนเตียงที่อยู่เกือบชิดประตูระเบียงอีกฝากของห้อง
ร่างกายที่ผายผอม ใบหน้าซีดเซียว แม้จะมีเสาน้ำเกลือมาบดบัง แต่ซีวอนก็มั่นใจว่านั่นคือฮีชอลคนเดียวกับที่เขารู้จักมาตลอดชีวิต ความเป็นห่วงแล่นขึ้นมาจนชายหนุ่มรู้สึกกระวนกระวายเสียยิ่งกว่าตอนที่รอซองมินอยู่หน้าห้องฉุกเฉิน
...ฮีชอลเป็นอะไร ทำไมมาอยู่ที่นี้ แล้วเข้ามาตั้งแต่เมื่อไหร่...
ในวินาทีนั้นซีวอนแทบลืมเลือนซองมินที่เขาตั้งใจมาเยี่ยม ยิ่งมองเห็นแต่ความเงียบในห้องที่มีเพียงร่างเล็ก และแสงที่ลอดผ้าม่านผืนบางเข้ามา ก็ยิ่งบีบคั้นใจให้ทรมาน จากความสดใสที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มของความสุข แต่ตอนนี้กลับมีเพียงความเงียบเหงาที่ไร้คนดูแล...หากเป็นคนป่วยก็ควรมีคนเฝ้าไม่ใช่หรือไร
...แต่ตอนนี้ฮีชอลไม่มีใคร...แล้วซีวอนจะอยู่เฝ้าให้ไหม....
ถ้อยคำบอกเล่าของจองวูที่ดังก้องอยู่ในหัวมาตั้งแต่เช้าจางหายไป กลายเป็นคำพูดที่ไร้น้ำหนักจนไม่น่าเป็นไปได้ เมื่อเทียบกับร่างที่นอนอยู่บนเตียงอย่างเดียวดาย
มือหนาเอื้อมจับลูกบิดและคงจะบิดเปิดเข้าไป หากจะไม่เห็นผู้ชายอีกคนออกมาจากห้องน้ำ เดินมาประชิดเตียงเล็กที่ฮีชอลนอนอยู่
ท่าทางหัวเราะพูดคุยอย่างมีความสุขของคนทั้งสองเปลี่ยนใบหน้าคมที่เต็มไปด้วยความกังวลให้เป็นใบหน้าที่แดงจัดด้วยความโกรธ
ดวงตาคมน่ากลัวขึ้นมากเมื่อมองเห็นภาพคนเฝ้าไข้โน้มตัวลงต่ำจนเกือบชิดแก้มเนียนก้มลงไปจนถึงลำคอขาว ก่อนจะไล่ลงไปที่มือบาง แม้จะเห็นไม่ชัดแต่ซีวอนก็รู้ดีว่า หลังมือขาวคงโดนประทับรอยจูบเป็นแน่
ถ้อยคำของจองวูที่พึ่งเลือนหายไปกลับมาเด่นชัดอีกครั้งในหู จนมือที่จับลูกบิดต้องกำแน่นเข้าหากัน กระดาษที่จดเบอร์ห้องของซองมินยับอยู่ในอุ้มมือ ก่อนจะถูกปล่อยทิ้งโดยไม่รู้ตัว
ทุเรศมากฮีชอล ที่นายกล้าทำเรื่องน่าสะอิดสะเอียนแบบนี้ในโรงพยาบาล
ซีวอนผละจากบานประตูห้องนี้ ตรงไปยังห้องของซองมินด้วยความโกรธที่อัดแน่นเต็มหัวใจ จนไม่ใส่ใจเลยว่า ร่างบางจะเข้าโรงพยาบาลมาเพราะเหตุใด
* ~ * ~ * ~ * ~ *~ * ~* ~* ~ * ~ * ~ * ~ * ~ * ~ * ~ *
จองวูเดินออกมาจากห้องน้ำด้วยใบหน้าที่ชุ่มไปด้วยหยดน้ำ ขจัดความคิดเห็นแก่ตัวออกไปจากหัวจนหมด ยิ้มให้กับร่างบางที่ไม่ยอมอ่านชีทที่หยิบมาให้ทั้งที่บอกว่าเป็นชีทที่ต้องใช้ควิซ “ทำไมไม่อ่านหล่ะฮีชอล”
“ขี้เกียจ เบื่อด้วยออกไปข้างนอกกันไหมจองวู ฉันเบื่อที่ต้องนอนอยู่ในนี้ทั้งวันเลย” เสียงใสอ้อนเพื่อนสนิท พร้อมดวงตาที่พยายามทำให้ดูน่าสงสารและใบหน้าหงอยๆ
“ไม่ต้องเลย ไม่ใจอ่อนหรอก ทนอีกนิดนะฮีชอล เดี๋ยวก็ได้ออกแล้ว ทนอีกหนึ่งคืนนะ” มือของจองวูลูบกลุ่มผมนุ่มอย่างปลอบใจ พยายามทำใจแข็ง ไม่ตามใจเพื่อนสนิท
ฮีชอลมองค้อนเพื่อนรัก แต่ได้กลับมาเป็นแค่รอยยิ้มอ่อนๆ จนสุดท้ายก็ต้องหลุดหัวเราะออกมา สร้างความครื้นเครงให้ห้องที่แสนเงียบนี้
“ฮีชอลที่คอนาย~”
“หืม ที่คอฉันทำไมหรอ” ร่างเล็กมองตามสายตาที่จ้องมองมาที่คอของเพื่อนอย่างแปลกใจ จะเหลือบตามองก็มองไม่เห็น แต่ก็อยากรู้ว่ามันมีอะไร
“เราดูให้” คนสังเกตเห็นรอยแปลกๆที่คอขาว เกลี่ยปอยผมที่ละอยู่กับคอขาวออก ก้มลงไปดูให้เห็นใกล้ๆ ในขณะที่เจ้าของคอก็เบี่ยงคออกให้เห็นชัดมากขึ้น
นิ้วใหญ่จิ้มลงไปเบาๆ บนรอยแดงช้ำที่ก็ไม่แน่ใจว่ามีใครจงใจทิ้งเอาไว้หรือเกิดขึ้นเองอย่างที่หมอบอก “เจ็บหรือเปล่า ฮีชอล เรากดไปแบบนี้”
ใบหน้าหวานแน่วแน่กับการจับความรู้สึกของตนเอง จนคิ้วขมวด แก้มใสพองลมจนป่องอย่างที่ชอบทำ จนคนที่มองดูอดยิ้มขำไม่ได้ “บอกมาตามตรงนะ ห้ามปิดบัง เจ็บหรือเปล่า”
“ อื้ออออ ไม่เจ็บจริงๆ ไม่เห็นรู้ด้วยว่ามีอยู่ แต่ก็ดีนะ มีรอยช้ำ แต่ไม่เจ็บแบบนี้” ฮีชอลมองหน้าเพื่อน ยืนยันจริงๆว่าไม่เจ็บ
“ก็ดีแล้วหล่ะที่ไม่เจ็บ” ชายหนุ่มถอนลมหายใจพรั่งพรู ฮีชอลไม่รู้ตัวแบบนี้ คงไม่ใช่รอยที่มีบางคนจงใจทำทิ้งเอาไว้ และก็ดีแล้วที่ร่างบางจะไม่เจ็บหรือปวดกับรอยช้ำเหล่านี้ หากว่าต่อไปมันจะมีมากขึ้น “แต่ว่าต่อไปนายก็ต้องสังเกตตัวเองให้ดีกว่านี้รู้ไหม”
“ครับ คุณพ่อ บ่นเป็นตาแกเชียว” ใบหน้าหวานยิ้มพราวให้กับคุณเพื่อนขี้บ่น ขอบคุณที่เป็นห่วงและดูแลกันมาตลอดแบบนี้
“อะไรฮีชอล แล้วดูดินี้ ที่หลังมือเนี้ย ม่วงขนาดนี้ รอยเจาะน้ำเกลือหรอ” ชายหนุ่มก้มหน้าลงไปใกล้หลังมือขาว เพื่อมองดูให้ชัดอีกทีเห็นยังมีเลือดไหลซึมออกมานิดๆ
“อือ หมอบอกว่า ฉันช้ำง่าย แล้วก็เลยย้ายไปให้อีกฝั่ง จะได้ช้ำเท่ากัน” จองวูหัวเราะกับคำบอกของคนป่วย เตรียมเอานิ้วจิ้มอีกครั้งอยากรู้ว่ามันจะไม่เจ็บเหมือนรอยที่คอหรือเปล่า
“เฮ้ย จะทำอะไรหน่ะ ไม่จิ้มนะ อันนี้เจ็บแน่ๆ” ร่างบางมองมือเพื่อนอย่างตกใจที่ทำท่าจะเอานิ้วมาจิ้มอีก รอยนี้ไม่ต้องลองก็รู้ว่าเจ็บแน่ๆ แค่ไม่โดนอะไรเลือดยังไหลซิบ แล้วปวดตุบๆ อีกด้วย
“อ้าวหรอ! ไม่รู้ โทษที” จองวูหัวเราะแก้เก้อ “แล้วนี้จะอ่านชีทได้หรือยัง จะได้ไม่ต้องไปเร่งตอนใกล้ควิซไม่งั้นตายแน่ๆ”
“ยังไม่อยากอ่านอ่ะ จองวู ซองมินเป็นไงมั่ง นายได้ไปเยี่ยมบ้างไหม” ฮีชอลหาเรื่องเบี่ยงหนีออกจากชีทที่ดูเหมือนคนเอามาจะจ้ำจี้จ้ำไชให้อ่านเสียเหลือเกิน...ก็รู้ว่าสำคัญ แต่อยู่โรงบาลไม่อยากอ่านหนังสือเรียนหรอก
“ยังไม่ได้ไปเยี่ยมเลย แต่เท่าที่โทรคุยเมื่อตอนเที่ยงก็ว่าไม่เป็นอะไรมาก อยู่ที่โรงบาลนี้เหมือนกัน” ชายหนุ่มบอกเล่าให้ฟังถึงเรื่องที่โทรคุยกับเพื่อนสนิทที่เข้าโรงพยาบาลมาอีกคน
“จริงหรอ ไปเยี่ยมกันจองวู เดี๋ยวถามพยาบาลว่าอยู่ไหนแล้วเราไปหากันนะ ฉันอยากเจอซองมิน” ดวงตาโตลุกวาว ที่รู้ว่าเพื่อนก็อยู่ที่นี้เหมือนกัน ไม่แน่บางทีช่วงกลางวันที่จองวูไปเรียน เขาอาจจะไม่ต้องอยู่คนเดียวแล้วก็ได้
“ไม่ต้องฝันเลยฮีชอล เราไม่ให้ออกไปจากห้องนี้หรอก ตัวเองก็ป่วยแล้วยังจะไปนู้นไปนี้ แล้วไหนว่าไม่อยากให้ใครรู้ไง ขืนไปสภาพแบบนี้ มีหวังได้แตกตื่นแน่ แล้วทีนี้หล่ะก็ อย่าคิดว่าความลับจะมีอยู่บนโลกนะ” จองวูดับฝันของเพื่อนสนิท พร้อมทั้งคำขู่เรื่องที่ฮีชอลไม่อยากให้เกิดขึ้น หากให้ซองมินรู้ อีกไม่นานก็คงรู้ไปถึงคนอื่นๆจนได้
ปากอิ่มขบเข้ากัน มองเพื่อนตาปรอย แต่ก็ยอมรับความจริงที่จองวูพูดมา “ก็จริงเนอะ งั้นนายไปดูให้หน่อยสิ ฉันเป็นห่วงซองมิน อีกอย่างจะได้เอาชีทนี้ไปให้ด้วย แล้วอย่าลืมเคี่ยวเข็ญให้ซองมินอ่านนะ”
ชายหนุ่มหัวเราะคำประชดของเพื่อน ก่อนถามด้วยสีหน้าจริงจัง “อยู่คนเดียวได้นะ” ร่างบางที่ต้องถูกทิ้งให้อยู่คนเดียวพยักหน้าหงึกหงัก จนชายหนุ่มต้องหายใจ “เฮ้อ ซองมินต้องถามถึงนายแน่ๆ ไม่รู้จะตอบไงดี”
“ตอบๆไปเหอะ แต่อย่าให้รู้ว่าฉันเข้าโรงบาลก็พอแล้วนะ ฝากเยี่ยมซองมินด้วย”
“อือ เดี๋ยวมานะ ไปไม่นานหรอก” ชายหนุ่มออกจากห้องของฮีชอล ที่พื้นหน้าประตูห้องมีเศษกระดาษที่ถูกขยำจนยับเยินตกอยู่ ด้วยความอยากรู้ชายหนุ่มจึงหยิบขึ้นมาแกะอ่านเห็นเป็นหมายเลขห้องของซองมินก็ยิ่งแปลกใจ
ใครเอาทำหล่นเอาไว้แบบนี้....ชื่อที่โผล่เข้ามาในความคิดทำให้ชายหนุ่มต้องรีบบอกปัดอย่าง...คงไม่บังเอิญขนาดนั่นหรอก
ชายหนุ่มเดินไปตามทางเดิน จนได้ยินเสียงหัวเราะเฮฮาดังลอดออกมจากห้องพัก ที่แน่ใจว่าเสียงที่ดังที่สุดคงเป็นเสียงของซองมินแน่ๆ ยิ่งเปิดประตูเข้าไปก็ยิ่งเห็นความแตกต่างของสองห้องคนไข้ ห้องของฮีชอลที่แสนเงียบเหงา กับห้องของซองมินที่มีเพื่อนมากมาย
ยิ่งเห็นก็ยิ่งอยากกลับไปอยู่กับฮีชอล อยากอยู่เป็นเพื่อนจะได้ไม่ต้องโดดเดี่ยว และเขาก็มั่นใจว่าคนเหล่านี้ หากได้รู้เรื่องของฮีชอลก็คงเต็มใจที่จะไปสร้างรอยยิ้มให้ฮีชอลเช่นเดียวกัน..แต่ฮีชอลกลับเลือกที่จะปิดบัง....ไม่เข้าใจฮีชอลเลยจริงๆ
“หวัดดีซองมิน คยูฮยอน คิบอม...” ชายหนุ่มที่พึ่งเข้ามาใหม่ไล่ทักทายทุกคนในห้องทีละคน จนกระทั่งหยุดที่ชายหนุ่มร่างสูงที่ยืนริมเตียงอีกด้าน “ซีวอน”
ตั้งแต่ที่มองเห็นร่างสูงยืนเด่นอยู่ในห้อด้วยใบหน้าที่แตกต่างจากคนอื่น จองวูก็รู้ได้แล้วว่าเจ้าของแผ่นกระดาษที่หน้าห้องเป็นใคร และซีวอนก็คงรู้แล้วว่าฮีชอลนอนอยู่ในโรงพยาบาล
แต่ทำไมไม่เข้าไปหา...ไม่เป็นห่วงหรือไง....
“จองวู ฉันนึกว่านายจะไม่มาแล้วซะอีก กว่าจะโผล่มาได้ ไม่รอให้ฉันออกจากโรงบาลก่อนเลยหล่ะ” เสียงหวานใสที่ดูไม่ต่างจากยามปรกติมาจากเพื่อนตัวอวบที่นอนอยู่บนเตียงมีผ้าพันแผลพันเอาไว้บางส่วน และขาที่เข้าเฝือกเอาไว้
“ตอนแรกก็ว่าอย่างนั้น แต่คิดไปคิดมา ทำแบบนั้นมันดูแล้งน้ำใจไปหน่อย อย่างน้อยก็มาดูว่านายยังไม่ตายก็โอเคแล้ว” ชายหนุ่มต่อปากต่อคำกับคนป่วยอย่างสนุกสนาน คนที่อยู่ให้ห้องก็หัวเราะไปด้วย จะเว้นก็เพียงชายหนุ่มร่างสูงที่ยืนอยู่นิ่งเงียบ ไม่หัวเราะ ไม่พูดคุย ไม่แม้แต่จะยิ้มมีเพียงส่งสายตาแหลมคมมาให้
“น้องโจว มันแช่งพี่” แม้ร่างกายจะขยับไม่สะดวก แต่ใบหน้าจิ้มลิ้มก็หันไปฟ้องคนรักที่นั่งอยู่ชิดขอบเตียงได้ จนคนรักที่อายุน้อยกว่าต้องลูบหัวเล็กๆนั่น พร้อมรอยยิ้มสนอบอุ่นไปให้
“แก่แล้วนะซองมิน เด็กทำมันน่ารัก แต่นายทำนี้ไม่ไหววะ” จองวูมองภาพเพื่อนรักอ้อนเด็กหนุ่มอย่างที่ทำเป็นประจำ ก็อดไม่ได้ที่จะเหน็บแหมแบบทุกครั้ง
“ทำไม อิจฉาอ่ะดิ ปากแบบนี้ก็สมควรแล้ว ฉันพันตัวเป็นมัมมี่ขนาดนี้ ยังจะว่ากันอีก” คิ้วเรียวของซองมินยักขึ้นเป็นเชิงเยาะเย้ย ปากอิ่มก็ขมุบขมิบไปเรื่อย
“แน่ใจว่าเป็นมัมมี่ ไม่ใช่แหนม”
“ไอ้จองวู!” ซองมินตะโกนลั่น ในขณะที่คนอื่นๆกลับหัวเราะ จนเสียความมั่นใจ เชิดปากมองค้อนเพื่อนสนิทที่พ่นคำพูดแสนร้ายกาจออกมา แล้วพาเปลี่ยนเรื่อง ถามถึงอีกคนที่ยังไม่เห็น “แล้วฮีชอลหายไหนทำไมไม่มา”
“ฮีชอล เอ่อ...” ใบหน้าได้รูป สีเลือดจางลง ใบหน้าก้มต่ำ นึกหาคำตอบที่ไม่ได้เตรียมไว้ แต่กระนั้นก็ยังมองเห็นรอยยิ้มเยาะที่มุมปากของซีวอนชัดเจน
“นายก็บอกเขาไปซิว่า ฮีชอลอยู่ที่ไหน จะบอกแบบที่บอกฉันเมื่อเช้าก็ได้นะ” ประโยคแรกนับตั้งแต่ที่จองวูก้าวเข้ามาในห้องแล้วซีวอนเปิดปากพูด แต่ก็เป็นคำพูดที่ทำให้ทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบและอึมครึม
“เอ่อเมื่อเช้ามีอะไรกันหรอ” ซองมินที่นอนอยู่บนเตียง คั่นกลางคนทั้งสองเอาไว้ได้แต่มองหน้าไปมาซ้ายขวา จะขอคำอธิบายจากคนรักก็ได้เพียงแต่การส่ายหน้าไปมา คิบอมที่ห่างออกไปหน่อยก็เอาแต่อมยิ้มไม่ยอมพูดอะไร
“ไม่มีอะไรหรอกซองมิน ส่วนฮีชอลไม่ว่างนะ เห็นว่าธุระต้องรีบไปทำ แต่ก็ฝากฉันมาเยี่ยมนายนะ บอกว่าให้หายเร็วๆ” จองวูได้แต่พึมพำเบาๆ ไม่กล้าสบตาเพื่อนสนิท กลัวว่าจะฉายแววอะไรออกไปแล้วทำให้ ไม่เชื่อกัน
เสียงหัวเราะหึๆที่ได้ยินทำให้จองวูต้องหยุดตัวเอง หาทางเบี่ยงความสนใจไม่ต้องรับรู้กับการเยาะเย้ยของซีวอน มือหนาหยิบชีทที่พกมาด้วย ออกมาส่งให้กับคนป่วนอีกคน “นี้ชีทที่จารย์แจกมาให้ แล้วก็ตั้งใจอ่านด้วย อีกสองอาทิตย์ควิซ แล้วถ้าไม่เข้าใจ พออกจากโรงบาลฉันจะติวให้”
“อื้อ ไม่เอาหรอก ให้ฮีชอลติวให้ดีกว่า”
“เออ..อย่าเลย ตอนที่เรียฮีชอลก็ไม่ค่อยเข้าใจเรื่องนี้เหมือนกัน เห็นว่าจะให้ฉันติวให้” จองวูรีบพูดออกไป กลัวว่าเมื่อถึงเมื่อเวลาหากซองมินให้ฮีชอลติวให้จริงๆ มันจะกลายเป็นเรื่องใหญ่ขึ้นมา
“ยากขนาดนั่นเลยหรอ” ใบหน้าหวานขมวดคิ้ว มองชีทในมือสลับกับใบหน้าของเพื่อนที่เอาให้ ก่อนจะสะดุดที่มุมปากของเพื่อนรัก “จองวู นายไปโดนหมาที่ไหนกัดมา”
คนโดนหมากัดหัวเราะลั่นห้อง พอใจกับคำถามที่ได้รับ ชำเลืองตาไปมองคนที่สร้างรอยแผลนี้ไว้ เห็นอีกฝ่ายก้มหน้านิ่ง รอยยิ้มเยาะเย้ยจงหายไป เหลือเพียงความนิ่งเฉย จนชายหนุ่มเองก็อยากรู้หากพูดคงามจริงต่อหน้าซองมินเรื่องแผลนี้ ซีวอนจะยังคงนิ่งเฉยได้อีกไหม
“หมาคณะอื่นมันมากัดพี่จองวูนะครับพี่ซองมิน ไม่มีอะไรหรอก” คิบอมแย่งตอบรุ่นพี่ ด้วยสีหน้าสะใจเล็กๆ อย่างน้อยถ้าทำอะไรไม่ได้ ก็ขอแค่ทำให้ผู้ชายคนนั้นเจ็บใจบ้าง...แม้จะเทียบไม่ได้เลยกับที่คนคนนั้นทำไว้กับพี่ฮีชอล
“หืมมม์?” ซองมินทำเสียงขึ้นจมูก ไม่เข้าใจที่รุ่นน้องพูมา ผิดกับคนรักที่หันมองเพื่อนสนิทอย่างสงสัย แต่เมื่อมองแววตา และอ่านท่าทีของบางคนที่ยืนนิ่งก็พอจะเข้าใจ
“สงสัยจะเป็นหมาหวงก้างด้วยใช่ไหมวะ ไอ้บอม” คยูฮยอน หันหน้ากลับไปหาเพื่อนที่นั่งอยู่ข้างหลังก่อนกลับมายิ้มอย่างใสซื่อให้กับคนรัก และรุ่นพี่ต่างคณะ
“พูดอะไรกันเนี่ย ไม่เห็นเข้าใจเลยน้องโจว” ซอมินมองหน้าคนรักที่ดูจะเข้าใจแล้ว แต่กลับไม่ยอมอธิบายให้ฟังอย่างงอนๆ
“เอ่อ...ซองมินฉันขอตัวกลับก่อนหล่ะกัน หายเร็วๆนะ” ซีวอนเอ่ยขอตัว ตัดบทคำพูดกระทบกระเทียบเหล่านั้น ก่อนที่มันจะมากไปกว่านี้
หากว่าฮีชอลอยู่ตรงนี้ เขาก็อาจจะยอมให้พวกนี้พูดต่อไป แล้วค่อยหยุดปากเหล่านั้นด้วยความเจ็บของฮีชอล แต่นี้ฮีชอลไม่อยู่ แล้วเขาจะอยู่ต่อไปทำไม....แต่คนอย่างซีวอน อย่านึกว่าแค่นี้ จะทำให้เขาทำอะไรไม่ได้
“อือ ขอบใจนายนะ ที่มาเยี่ยม แล้วยังพามาส่งโรงบาลอีก” ซองมินขอบคุณจากใจจริง แม้จะไม่พอใจที่ซีวอนมักทำร้ายฮีชอลอยู่เสมอ แต่นี้ก็เป็นคนละเรื่องที่ต้องแยกจากกัน
“ฉันไปแล้ว พักผ่อนเยอะๆนะครับ” ชายหนุ่มเดินผ่านทุกคนที่กำลังอึ้งอยู่ในห้องด้วยรอยยิ้มของผู้ชนะ เจอแค่นี้ก็เงียบกันไปหมด แล้วยังกล้ามาสู้กับเขา
ก็จะไม่ให้ทุกคนอึ้งได้อย่างไรเมื่อก่อนที่ชายหนุ่มจะออกมาจากห้อง...ใบหน้าคมโน้มลงชิดใบหน้าหวาน ประทับจุมพิตลงไปที่มุมปากอิ่ม เนิ่นนานก่อนผละออกมา
“ซีวอน” เสียงตะโกนก้องทางเดินเรียกให้ชายหนุ่มที่กำลังยกยิ้มของผู้ชนะ ต้องหันกลับไปมอง คนที่เดินตามออกมาอย่างจองวู
“เรียกฉันมีอะไร” ซีวอนจ้องหน้าของคนที่เดินเข้ามาใกล้อย่างประเมินค่าก่อนจะเผยรอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความร้ายกาจ จากหางตารู้ว่าห้องที่อยู่ใกล้ที่สุดก็คือห้องของฮีชอล
“นายทำแบบนี้ได้ไง” จองวูเดินเข้ามากระชากคอเสื้อของซีวอนเข้ามาใกล้ แต่ด้วยความสูงที่น้อยกว่ากลับทำให้รู้สึกเหมือนเป็นผู้ถูกข่มขู่
ใบหน้าคมเหลือบต่ำไปที่จองวู ยิ่งตอกย้ำสถานะของชายหนุ่ม มือแกร่งของซีวอนจับเข้าที่ข้อมือที่กำลังเกร็งแน่น ก่อนเอ่ยช้าๆ ชัด ให้ซึมเข้าสมองทุกคำพูด “ฉันพอใจจะทำ”
ซีวอนกระชากมือหนาออกจากคอเสื้อของตัวเอง แล้วจับออกไปกระแทกคอใหญ่ของจองวู จนกระเด็นไปปะทะกับประตูห้องพักที่มีป้ายติดไว้ชื่อ...นาย คิม ฮีชอล...อย่างแรงแล้วเดินจากไป ไม่เหลียวกลับมาดูอีกเลย
หากถามสัมผัสที่เกือบเรียกได้ว่าจูบเมื่อกี้เป็นเช่นไร ซีวอนเองก็ตอบไม่ได้ รู้เพียงว่ามันไร้ความหมาย...และไร้รสชาติที่ควรตราตรึง ไม่เหมือนที่จูบกับ.....
* ~ * ~ * ~ * ~ *~ * ~* ~* ~ * ~ * ~ * ~ * ~ * ~ * ~ *
กว่าที่ฮีชอลจะได้ออกจากโรงพยาบาลก็เป็นวันพุธตอนมืดแล้ว แต่ก็ยังไม่อยากกลับบ้านไปผจญกับอารมณ์ที่เอาแน่เอานอนของซีวอนไม่ได้ เพราะไม่รู้ว่าร่างกายที่กำลังอ่อนแอแบบนี้จะทนได้แค่ไหน จึงโทรไปบอกกับแม่ของชายหนุ่มว่า ขออยู่ต่อทั้งอาทิตย์ แล้วไปอยู่กับจองวูที่บ้านโดยไม่รู้เลยว่า ตนเองกำลังถูกตามเช็คข่าวอยู่เงียบๆ
เช้าวันที่สองที่ได้กลับมาเรียนทั้งที่ก็เปิดเรียนมาสี่วันแล้ว ในห้องเรียนรวมทั้งเอก ก็มีเรื่องที่ทำให้ร่างบางยิ้มออกมาได้
“เพื่อนๆ วันเสาร์นี้เราไปทะเลกันดีไหม เอาแบบที่ใกล้ๆ แล้วค่อยกลับมาวันอาทิตย์ พวกเรายังไม่เคยเที่ยวด้วยกันแบบทั้งเอกเลยนะ” แรวอนประธานเอก ประกาศชวนอยู่หน้าห้องหลังจากหมดคาบเรียน และมันก็เป็นข่าวที่ทำให้ทุกคนสนใจ และมีสีหน้ายิ้มแย้ม
“เอาดิๆๆๆ จัดเลยๆ” เสียงโวกเวกโวยวาย ดังลั่นไปทั่ว แค่คิดถึงเรื่องเที่ยวก็มีความสุขแล้ว และนี้ได้ไปกับเพื่อนตั้งเกือบห้าสิบคน จะสนุกขนาดไหนกัน
“ฮีชอลไม่ต้องเลยนะ เราไม่ให้ไปหรอก พึ่งออกจากโรงบาลมา จะไปเที่ยวได้ไงกัน” จองวูรีบหันมาดักทางเพื่อนตัวเล็กที่ยิ้มเปล่งประกายอย่างมีความสุข
“อะไรกันเล่า ฉันไม่ได้เป็นอะไรสักหน่อยถ้ากินยาตามที่หมอให้มา แล้วอีกอย่างนะ นี้ไปทะเล ไปสบายๆ ไม่ใช่ไปปีนเขา ไต่ผาสักหน่อย ไปเหอะนะ น่าสนุกออก” ร่างบางหันมามองหน้าเพื่อนขี้กังวลที่ห้ามไม่ให้ไปเที่ยว
“แล้วนายจะทิ้งซองมินไว้หรือไง” จองวูอ้างชื่อเพื่อนอีกคนที่จะได้ออกจากโรงพยาบาลวันพรุ่งนี้พร้อมด้วยเฝือกที่ขาซ้าย
“โธ่! ถ้าซองมินรู้ ถึงจะใส่เฝือกยังไงๆก็ต้องไปด้วยอยู่ดีแหล่ะ ไม่เชื่อลองโทรถามดิ” เพราะรู้จักนิสัยกันเป็นอย่างดี สิ่งที่ฮีชอลเดาเอาไว้ไม่ผิดเลยสักนิด คนที่จะได้ออกจากโรงพยาบาลพร้อมเฝือกตอบตกลงไปทะเลกับเพื่อนๆในเอกโดยไม่เสียเวลาคิดเลยสักนิด
“เห็นไหม ฉันบอกนายแล้ว ไปเหอะนะ ไปสนุกๆกัน ฉันไปลงชื่อก่อนนะ” ฮีชอลยิ้มให้เพื่อนเป็นเชิงว่า อย่าขัดเลย ยังไงก็ไม่ฟังหรอก ทั้งคนที่พึ่งออกจากโรงพยาบาล และคนที่กำลังจะออกวันนี้
“ฮีชอลเราไม่อยากให้นายไปเลย จริงๆนะ สุขภาพก็ไม่ดีแบบนี้ แล้วยัง”
“จองวู” มือบางตบลงบนไหล่ของเพื่อนสนิท พร้อมรอยยิ้มอ่อน “ถ้าโรคที่ฉันเป็นมันจะทำให้ฉันตายตอนไหนก็ไม่รู้ ฉันก็ขอมีความสุขกับเพื่อนๆสักครั้งก่อนตาย ให้ฉันไปเหอะนะ”
“อือ ก็ได้” ใบหน้าของจองวูพยักหน้าช้าๆ อย่างยอมจำนนต่อเหตุผลที่ถูกกล่าวอ้าง อย่างที่ฮีชอลว่าไว้...เวลานั้นมาถึงเมื่อไหร่ก็ไม่รู้ แต่เขาสัญญาว่าจะ เฝ้าดูแลร่างบางนี้ไปตลอด
จะให้ความสุขทุกอย่างที่ฮีชอลต้องการ....เราสัญญา
* ~ * ~ * ~ * ~ *~ * ~* ~* ~ * ~ * ~ * ~ * ~ * ~ * ~ *
“ไปเที่ยวๆ อยากให้ถึงวันเสาร์เร็วๆจังเลย” ร่างอวบนุ่มนิ่มนั่งอยู่บนเก้าอี้ม้าหินปล่อยขาพาดยาวเพราะเฝือกที่ใส่อยู่ระหว่างรอรถคันหรูของคนรักมารับหน้าคณะ แต่ก็ยังดีใจกับการไปเที่ยวทะเลด้วยกันครั้งแรกของเพื่อนในเอก
“ก็จะถึงพรุ่งนี้แล้วไงเดี้ยง บ่นอยู่นั่น พูดแบบนี้ทุกห้านาทีเลย” ชายหนุ่มเพื่อนสนิทที่มายืนรอเป็นเพื่อนมองหน้าด้วยสีหน้าแสนรำคาญ
“อะไรเล่า ฮีชอลยังไม่เห็นบ่นเลย เออ แล้วนี้ซีวอนมีเรียนตอนเย็นหรอ ถึงยังไม่มารับหน่ะ” ร่างอวบที่ยังไม่รู้เรื่องอะไร ถามเพื่อนที่นั่งอยู่ข้างกันอย่างสงสัย
“เอ่อ... ฉัน..” ร่างบางที่ยิ้มแย้มมาทั้งวันต้องสะดุดกับคำถามของเพื่อนสนิทที่ถามด้วยความไม่รู้ ใบหน้าหวานก้มต่ำ อย่างซีวอนป่านนี้อาจจะกลับบ้านไปแล้วก็ได้ “ฉันไปนอนที่บ้านจองวูหน่ะ พรุ่งนี้จะได้มาที่นี้แต่เช้า กลัวขึ้นรถไม่ทัน”
“หรอๆๆๆๆ ดีจังอยากไปนอนด้วยอ่า แต่น้องโจวต้องไม่ยอมแน่เลย ตั้งแต่ออกจากโรงบาลมาหน่ะ แทบไม่ให้ฉันกระดิกเลย โอ้ยดีใจอยากให้ถึงวันพรุ่งนี้เร็วๆจังเลย”
แม้จะบ่นเหมือนทุกใจ แต่ใบหน้าอิ่มก็มีรอยยิ้มของความสุข ผิดกับอีกคนที่นั่งคู่กัน กลับไร้ประกายของชีวิตชีวา จนคนที่รู้เรื่องราวทั้งหมดเป็นอย่างดีอดเป็นห่วง “เลิกบ่นได้แล้วหน่า ซองมิน”
“ไม่ได้บ่นเว้ย เขาเรียกแบ่งปัน ชิส์!” ใบหน้ากลมเบือนหนีเพื่อนตัวสูงที่ยืนเก๊กอยู่ ก่อนสายตาจะหันไปเห็นมอเตอร์ไซค์ที่โดดเด่นด้วยสีสันและขนาด ยังไม่นับรวมหน้าตาคนขี่ที่ดึงดูดสายตาได้ดียิ่งกว่ารถที่ขี่มา “นั่นซีวอนนี้นา ฮีชอลแน่ใจหรอว่าจะได้ไปนอนบ้านจองวูหน่ะ” ซองมินนึกไปถึงที่ผ่านมาทุกครั้ง ก็ยิ่งสงสัยว่ามันจะเป็นไปได้เช่นไร ที่ซีวอนจะปล่อยฮีชอลให้ไปกับจองวู
ฮีชอลหันไปมองตามทิศทางที่ซองมินว่า ก่อนรีบหันกลับมาอีกทางอย่างตกใจกลัว ใบหน้าคมภายใต้หมวกกันน็อคเป็นเช่นไรเขาไม่รู้ และยังไม่อยากจะรู้ตอนนี้ ได้แต่ภาวนาให้เจ้าส้มคันสวยนั่นผ่านเลยไป......แต่คงไม่เสียแล้ว เมื่อเครื่องยนต์ขนาดใหญ่ถูกหยุดอยู่ตรงหน้าพวกเขาทั้งสาม
ใบหน้าคมที่ไม่ได้เห็นมาเกือบอาทิตย์ยังดูเย็นชาเหมือนเดิม สายตาที่จ้องมาชั่ววูบทำให้อยากจะแทรกกายหนีเร้นห่าง แต่มันคงไม่จำเป็นเมื่อคนที่ซีวอนสนใจ ไม่ใช่เขา
“ซองมิน เป็นไงมั่งยังเจ็บขาอยู่หรือเปล่า” ซีวอนจอดรถลงมาคุยกับร่างอวบที่มีเฝือกสีขาวเกาะขาอยู่ ริมฝีปากแย้มยิ้มให้ แต่มันก็เป็นยิ้มที่ไปไม่ถึงดวงตาเอาเสียเลย เมื่อมันยังคงเป็นดวงตาคู่เดิมที่ดุแสนดุ จนน่ากลัว
“ไม่เท่าไหร่แล้วหล่ะ พรุ่งนี้ก็ไปทะเลได้แล้ว” ร่างเล็กยิ้มตอบอย่างมีความสุข ใจลอยไปถึงทะเลแสนสุข จนลืมไปเลยว่ากำลังพูดอยู่กับใคร
“ไปทะเล? ทั้งที่ยังใส่เฝือกเนี้ยนะ” ซีวอนถามขึ้นเสียงสูง ตกใจที่ได้รู้ว่าคนใส่เฝือกจะไปเที่ยวทะเล ทั้งที่ก็พึ่งออกจากโรงบาลมาเมื่อวาน
“อื้อออ ไปทะเล ไปกันทั้งเอกเลย ฮีชอลก็ไป” ทันทีที่หลุดคำชื่อเพื่อนสนิทออกมา จองวูที่ยืนฟังอยู่เงียบๆ ได้แต่เบือนหน้านึกอยากหาอะไรมาพันปากนี้เสียจริงๆ
“หรอ” แม้จะดูเป็นคำตอบรับแสนธรรมดา แต่เนื้อเสียงที่แสนกระด้าง และดวงตาคมที่ตวัดมองมาก็ทำให้ฮีชอลรู้สึกหวาดหวั่นอยู่ในใจเงียบๆ
“งั้นเที่ยวให้สนุกนะ” ซีวอนหันไปยิ้มให้กับคนใส่เฝือกอีกครั้ง ก่อนจะหันกลับมาหาร่างบางที่ยืนก้มหน้านิ่ง “ฮีชอล นายจะกลับบ้านได้หรือยัง”
“ฉันจะไปค้างที่บ้านจองวู พรุ่งนี้จะได้ไม่ต้องรบกวนใครให้มาส่ง” ฮีชอลบอกชายหนุ่มด้วยความหวาดหวั่น ไม่กล้าสบสายตาคม ไม่กล้าที่จะขัดใจให้คนตรงหน้าโกรธ แต่ก็ไม่อยากที่จะกลับบ้านในเวลานี้ เมื่อแน่ใจว่าในสายตาคู่นั้น มีบางอย่างที่น่ากลัวกว่าทุกครั้งแอบซ่อนไว้
“ไม่ได้ แม่อยากให้นายกลับบ้าน วันนี้ และเดี๋ยวนี้” คำสั่งเฉียบขาดที่ทุกคนแน่ใจว่าคงไม่ได้หลุดออกมาจากหญิงผู้อ่อนโยนคนนั้นแน่
ฮีชอลมองหน้าร่างสูงก่อนจะตัดสินใจคิดหาวิธีเลี่ยง “ฉันโทรไปบอกคุณน้าก็ได้ พรุ่งนี้ตอนเช้าจะไม่ต้องลำบากให้ใครมาส่งที่นี้ อีกอย่างบ้านจองวู~”
“เดี๋ยวนี้มีที่ซุกหัวใหม่ จนไม่ต้องสนใจแล้วใช่ไหมว่าผู้ใหญ่จะเป็นห่วงแค่ไหนหน่ะ คิมฮีชอล” น้ำเสียงที่ทุ่มต่ำจนน่ากลัวพูขัดทั้งที่ยังพูดไม่จบประโยค เกือบทำให้น้ำตาของร่างเล็กไหลริน
“ปล่ะ...เปล่าเลยนะซีวอน ฉัน..” ใบหน้าหวานซีดสีเลือด อ้ำอึ้งไม่รู้จะพูดเช่นใดดี ได้แต่ก้มหน้านิ่งจนลืมสังเกตุอีกหนึ่งคนที่เดินเข้ามาใกล้
“คุณซีวอน คุณมาทำไม” เสียงของโจว คยูฮยอนดังลั่น ก่อนที่ชายหนุ่มจะเข้ามาถึงตัว ทำให้ซีวอนต้องละสายตาจากร่างเล็กที่ทำตัวดื้อดึง กลับไปมองเด็กหนุ่มรุ่นน้องที่เป็นศัตรูหัวใจ
“เรื่องของฉัน” เสียงของซีวอยยังคงกดต่ำ หากแต่สายตากลับดูว่างเปล่า ดุจดังมองสิ่งไร้ค่า
“คุณจะมาที่นี้ ผมไม่ว่า แต่อย่ามายุ่งกับคนของผม”
“ถ้าฉันยุ่ง นายจะทำอะไรได้”
ไม่มีคำตอบจากคนที่เต็มไปด้วยความโกรธอย่างคยูฮยอน ใบหน้าแดงจัดด้วยความโกรธกำปั้นใหญ่ถูกยกขึ้น แต่กลับต้องชะงักค้างอยู่กลางอากาศ เมื่อใบหน้าของซีวอนถูกบดบังด้วยใบหน้าหวานของพี่รหัสที่ปิดตาแน่นเตรียมรับความเจ็บครั้งนี้...แต่มันก็เป็นเวลาเพียงเสี้ยววิเท่านั้น
ซีวอนยืนท้าทายกับเด็กหนุ่มรุ่นน้อง ยั่วยุให้อีกฝ่ายขาดสติ มองกำปั้นใหญ่นั้นด้วยความชอบใจ แต่ก่อนที่จะทันตั้งรับเพื่อสวนกลับ ก็มีร่างที่เล็กกว่าชายหนุ่มมากเข้าขวางจนต้องโอบคว้าเอวเล็ก รั้งให้อยู่ด้านหลังจนไม่มีโอกาสได้ตั้งรับ
....ในชั่ววูบนั้น ซีวอนคิดเพียงว่า ให้ตัวเองต้องเจ็บ ดีกว่ายอมให้ฮีชอลเจ็บ....
ดวงตาสองคู่ที่น่ากลัวไม่ต่างกันเท่าไหร่ของทั้งคยูฮยอนและซีวอนจ้องมองกันอย่างจนเกือบจะฆ่ากันได้ มือที่ยกขึ้นสูงถูกซองมินกดต่ำลงทีละนิด แล้วจับไว้แน่น ในขณะที่จองวูก็ยืนมองอย่างคอยระวังหากคยูฮยอนจะเผลอทำอะไรลงไปอีก
ฮีชอลที่ถูกโอบจนแนบชิด มองเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วด้วยความตกใจ ก่อนจะตั้งสติที่หายไปให้กลับมา สะกิดที่เอวหนาเบาๆ “ซีวอน กลับบ้านกันเหอะนะ ฉันอยากกลับบ้านแล้ว”
ซีวอนหันมาจ้องมองคนตัวเล็กที่อยู่ข้างกาย ก่อนจะปล่อยมือโอบเอวบางเอาไว้ พูดด้วยน้ำเสียงประชดประชันจนน่าตกใจ “ไม่ไปค้างที่อื่นแล้วหรือไง”
“ไม่แล้ว ฉันอยากกลับบ้าน กลับบ้านกันนะซีวอน” ฮีชอลเรียนรู้มาตลอดชีวิตว่า หากยามที่ชายหนุ่มคนนี้ร้อนเป็นไฟ น้ำเปล่าเท่านั้นที่จะช่วยให้ทุกอย่างดีขึ้น ต่อให้เป็นน้ำที่เย็ดจัดก็ไม่อาจทำให้อะไรดีขึ้นได้ “กลับเถอะนะ”
ซีวอนอยากจะหลอกตัวเองว่าไม่ใช่เพราะเสียงหวานใสที่อ้อนวอน ไม่ใช่มือเล็กที่กล้าๆกลัวๆแต่ก็เอื้อมรั้งมือเขาเอาไว้ แต่ทุกครั้งที่เป็นเช่นนี้ก็ทำให้ชายหนุ่มจำต้องยอมรับกับตัวเองอยู่เงียบๆอย่างไม่เต็มใจและไม่เข้าใจ ก่อนจะยอมหันกลับไปขึ้นรถที่จอดอยู่ รอให้ร่างเล็กขึ้นซ้อน และขี่ออกไปด้วยความเร็วสูง....ดุจดั่งจะหนีออกจากความจริง ที่ไม่อาจยอมรับ
* ~ * ~ * ~ * ~ *~ * ~* ~* ~ * ~ * ~ * ~ * ~ * ~ * ~ *
ทันทีที่มอเตอร์ไซค์คันใหญ่จอดนิ่งสนิทในโรงเก็บรถ ชายหนุ่มร่างสูงรีบเดินเข้าบ้านผ่านหน้าร่างบางที่ซ้อนหลังมาอย่างไม่สนใจ ปล่อยให้ฮีชอลเดินตามหลังไปอย่างเงียบๆ
“ฮีชอล กลับมาแล้วหรือลูก น้าเป็นห่วงเราจะแย่” กาอินวางหนังสือที่อ่านอยู่ลงทันทีเมื่อเห็นเพื่อนลูกชายที่ไปอยู่ที่อื่นเกือบอาทิตย์ เดินเข้ามาอย่างอ่อนน้อม
“ขอโทษครับคุณน้าที่ผมทำให้เป็นห่วง” ร่างบางรีบขอโทษที่ทำให้ผู้ใหญ่ต้องเป็นห่วง
“ไม่เป็นไรหรอกลูก รายงานเสร็จแล้วใช่ไหม ไม่ต้องไปนอนที่บ้านเพื่อนแล้วใช่ไหม” หญิงวัยกลางคนถามหลานชายด้วยความอาทร ไม่อยากให้ไปอยู่ที่ไหน แม้ว่าที่บ้านหลังนี้มีตัวอันตรายอย่างลูกชายเธอก็ตาม
“ไม่ต้องแล้วครับ รายงานเอ่อ...เสร็จแล้ว” ฮีชอลรู้สึกผิดไม่น้อยกับการต้องโกหกผู้ใหญ่เช่นนี้ แต่ก็ยังไม่พร้อมที่จะบอกความจริงให้ใครได้รู้อยู่ดี “แต่ว่าวันพรุ่งนี้ ผมขอไปทะเลนะครับ ไปแค่คืนเดียว วันอาทิตย์ก็กลับมาแล้ว”
“จ๊ะ แต่ดูแลตัวเองดีๆนะ”
“ขอบคุณครับ คุณน้า ผมขอตัวขึ้นไปจัดของข้างบนก่อนนะครับ” ร่างบางยิ้มขอบคุณหญิงผู้นี้ที่ให้ความอบอุ่นจนเหมือนว่าได้อยู่กับครอบครัว
ฮีชอลหมกตัวอยู่ในห้องจัดเสื้อผ้า ละของใช้ที่จำเป็นลงกระเป๋าอย่างมีความสุขเมื่อนึกว่าวันพรุ่งนี้ก็จะได้ไปเที่ยวทะเลกับเพื่อนๆอย่างมีความสุข
พอถึงเวลาอาหารเย็นฮีชอลก็ลงไปทานอาหารพร้อมด้วยรอยยิ้ม พยายามเลี่ยงไม่สบตากับชายหนุ่มที่นั่งอยู่อีกฝาก แล้วเดินกลับขึ้นไปอยู่แต่ในห้องส่วนตัวอีกครั้ง
กระเป๋าใบเล็กที่อัดแน่นด้วยเสื้อผ้าวางอยู่ที่มุมห้องไม่ลืมที่จะยัดยาที่หมอสั่งลงไป อย่างน้อยการกินยาก็ช่วยทำให้ร่างกายนี้แข็งแรงได้มากขึ้น เมื่อจัดการทุกอย่างเรียบรองฮีชอลก็พาตัวเองเข้าไปอาบน้ำให้ห้องน้ำ เตรียมตัวเข้านอนแต่หัวค่ำเพื่อ จะได้ตื่นอย่างสดชื่นในเช้าวันรุ่งขึ้น
ฮีชอลเดินออกมาจากห้องน้ำอย่างสบายใจ ทั่วทั้งตัวมีเพียงผ้าขนหนูผืนเล็กพันอยู่รอบเอวคลุมต้นขาลงเพียงนิด หยดน้ำจากผมที่พึ่งสระหยดลงมาเป็นเม็ดเล็กๆอยู่ทั่วลาดไหลเล็ก
ร่างเล็กเดินมานั่งลงที่ปลายเตียงเช็ดผมอย่างเคยชินแต่แล้วดวงตากลมก็ต้องเบิกกว่าเมื่อมองเห็นชายหนุ่มร่างสูงนั่งอยู่เงียบๆบนโซฟา “ซีวอน นายเข้ามาทำไม”
“ไม่ต้องกลัวฉันขนาดนั่นหรอกฮีชอล ฉันแค่จะมาคุยเรื่องซองมินเท่านั้น” ดวงตาคมของซีวอนจับความรู้สึกกลัวที่แผ่ออกมาจากร่างเล็กได้ดี จนเกิดเป็นรอยยิ้มเยาะขึ้นบนใบหน้าชายหนุ่ม
“นายจะยุ่งกับซองมินอีกทำไม ในเมื่อเขาก็มีแฟนไปแล้ว” แม้จะไม่ชอบใจสถานการณ์ตอนนี้ แต่ฮีชอลก็อดไม่ได้ที่จะตอกย้ำความจริงให้ชายหนุ่มรู้ตัว
ชายหนุ่มจ้องหน้าคนพูดด้วยความไม่พอใจที่ถูกยุ่งเรื่องส่วนตัว แม้ความรู้สึกบางอย่างจะบอกว่านี้ไม่ใช่อย่างที่ใจต้องการ “มันเรื่องของฉัน ไม่เกี่ยวกับนาย แต่ที่ฉันจะบอกก็คือ ดูแลซองมินให้ดี อย่าให้เขาเป็นอะไรแม้แต่น้อย เข้าใจไหม”
ขอบตาร้อนผ่าวโดยไม่ตั้งใจเมื่อได้ฟังคำพูดที่ชายหนุ่มเข้ามาเพื่อต้องการจะบอกกัน แค่ให้ดูแลซองมินที่เข้าเฝือกแค่นั้น ซีวอนยังคงให้ความสนใจ รักและเป็นห่วงเพียงแค่ซองมินเท่านั้น
....แล้วความห่วงใยของนายมันเคยเผื่อแผ่มาถึงฉันบ้างไหมซีวอน...ถ้าฉันตายไป..นายจะเศร้าบ้างสักนิดหรือเปล่า
“แล้วฉันจะดูให้ หมดแล้วใช่ไหมเรื่องที่จะพูดหน่ะ ถ้างั้นก็ออกไปได้แล้ว ฉันจะแต่งตัว” ร่างบางไล่ชายหนุ่มให้ออกจากห้อง แล้วก็หันไปสนใจกับโทรศัพท์มือถือที่ดังขึ้น ไม่ได้มองว่าผู้บุกรุกออกไปหรือยัง “ว่าไงจองวู”
/ฮีชอล ยานายอยู่ที่เรานะ ให้เอาไปให้พรุ่งนี้หรือเปล่า/
เสียงปลายสายเจือปนด้วยความห่วงใยที่หวังจะได้จากบ้างคนทำให้ร่างบางเปิดรอยยิ้มน้อยๆออกมา แล้วตอบกลับคนในสาย “ไม่ต้องหรอก ฉันมีบางส่วนอยู่กับตัวหน่ะ”
/ตามใจแต่เดี๋ยวเราเอาไปเผื่อด้วยแล้วกัน แล้วฮีชอลก็นอนได้แล้วนะ เดี๋ยวเป็นอะไรขึ้นมาแล้วจะแย่ สุขภาพยิ่งไม่ดีอยู่ด้วย/
“ครับผม แค่นี้ก่อนหน่ะ เดี๋ยวฉันแต่งตัวก็จะเข้านอนแล้ว” ขอบตาต้องร้อนผ่าวเป็นรอบที่สองเมื่อได้เป็นเจ้าของคำพูดและน้ำเสียงที่บอกถึงความห่วงใยมากล้น
/อือ ฝันดีนะ/
“นายก็เหมือนกัน แล้วพรุ่งนี้เจอกัน” ฮีชอลกดวางโทรศัพท์ด้วยรอยยิ้ม โยนทิ้งไปที่เตียงกว้าง อย่างไม่สนใจอะไร หรือใครอีกแล้ว แค่นี้ก็รู้สึกดีว่า อย่างน้อยก็ยังมีคนห่วงใย แม้จะไม่ใช่จากคนที่ต้องการก็ตาม
ก่อนที่ชายหนุ่มจะก้าวออกไปจากห้อง อดไม่ได้ที่จะเหลือบตากลับมามองสีหน้าของฮีชอลเสียก่อน หากเมื่อได้จ้องดูร่างบางที่นั่งอยู่ปลายเตียงอีกครั้ง ในอกก็เต้นระรัวขึ้นอย่างแรง
กายท่อนบนที่ไร้ผืนผ้าปกปิดมีละอองน้ำเกาะพราวทั่วไหล่ ผ้าขนหนูผืนเล็กก็เกาะเกี่ยวเอวบางเอาไว้อย่างหมิ่นเหม่ ถ้ากระชากด้วยมือเดียวก็คงหลุดอย่างง่ายดาย รวมทั้ง เส้นผมเปียกลู่แนบดวงหน้าหวานรับกับดวงตากลมโต และริมฝีปากอิ่มนุ่ม รอยยิ้มบางๆอย่างมีความสุข ยิ่งเพิ่มเสน่ห์เย้ายวนชายเลย
ซีวอนเผลอกลืนน้ำลายโดยไม่รู้ตัว มือที่ลูกบิดประตูเริ่มชื้นเหงื่อ แก่นกายเบื้องล่างออกอาการปวดหนึบกระหายอยากที่จะแทรกตัวเข้าไปในร่างของฮีชอล นานแค่ไหนแล้วนะที่เขาไม่ได้แตะต้องร่างกายนี้ กี่เดือนแล้วที่ไม่ได้เหยียบย่ำข่มเหงให้ร้องไห้สะอึกสะอื้นภายใต้ร่างของเขา
อาจเป็นเพราะฮีชอลรู้สึกได้ถึงสายตาคุโชนที่จ้องจะตระครุบ จึงเงยหน้าขึ้นมาสบตา และนิ่งอึ้งในทันที เมื่อเห็นความปรารถนาในดวงตาคู่นั้น
“มะ...มีอะไรอีก”
ชายหนุ่มไม่ตอบคำ แต่ใช้มือปิดประตูล็อกกลอนอย่างรวดเร็ว ก้าวเข้ามาหมายจะกดร่างบางลงบนเตียง หากประสบการณ์ที่ถูกข่มเหงมาหลายครั้ง ทำให้ผู้ถูกบุกรุกผละออกจากเตียง ก่อนจะหนีไปอยู่ตรงข้างหน้าต่างทันที่ซีวอนจะเอื้อมถึง เหลียวมองหาทางหนีออกจากที่แห่งนี้ให้ได้
เสียงเดาะลิ้นด้วยความไม่พอใจดังมาให้ได้ยิน ใบหน้าหล่อเหลาเหยียดยิ้มในฐานะผู้ที่มีชัยเหนือกว่า “ไม่มีทางให้นายหนีหรอกนะ” พูดจบก็เปลี่ยนเป้าหมายเดินมาหาฮีชอลด้วยท่าทางสบายๆ ไม่เร่งรีบหรือเดือดร้อนอะไร เพราะรู้ว่าคนตรงหน้าหนีเขาไปไม่ได้แน่
“อย่าเข้ามานะ! นายพูดธุระของนายเสร็จแล้วก็ออกไปซะ” ฮีชอลพยายามทำใจกล้า แม้ทั้งเสียงและปากจะสั่น เหลือบมองดูสภาพของตนที่ล่อแหลมแล้ว นึกหวั่นใจอยู่ไม่น้อย
“ที่นี่เป็นบ้านของฉัน ฉันมีสิทธิ์จะเข้าออกห้องไหนก็ได้ ไม่ต้องให้นายมาสั่ง”
ระยะห่างที่ใกล้เข้ามาทีละก้าวๆ ยิ่งทำให้ใจเต้นแรงด้วยความหวาดกลัว ไม่ว่าจะพูดคัดค้านยังไงก็ตาม ชายหนุ่มก็ไม่มีทางฟังคำอ้อนวอนของเขาอยู่แล้ว สิ่งที่ซีวอนต้องการมีเพียงแค่เหยียบย่ำให้เขาเป็นทาสเท่านั้น
ฮีชอลลอดตัวผ่านช่วงแขนที่เอื้อมมาหาตามสัญชาตญาณเอาตัวรอด หมายจะวิ่งออกนอกห้องไปตายเอาดาบหน้า แต่กระต่ายที่วิ่งหนีสิงโต มีหรือจะรอดพ้นจากกงเล็บร้ายกาจนี้ได้ ต้นแขนเรียวถูกคว้าแน่นตรงหน้าห้องน้ำที่ฮีชอลเพิ่งออกมาพอดีนั่นเอง
“โอ้ย!!!!”
ยังไม่ทันที่ร่างบางจะสลัดแขนให้หลุดจากการเกาะกุม ก็โดนดึงอย่างแรงเข้าไปในห้องน้ำที่มีไอร้อนหลังอาบน้ำเสร็จหมาดๆ ในหัวของฮีชอลเต็มไปด้วยความงุนงง พลางถูกลากมาอยู่ใต้ฝักบัว โดยมีร่างสูงทาบมือทั้งสองข้างกับผนังห้องน้ำ เงาสูงใหญ่ที่ทาบทับบนร่างเป็นสัญญาณบอกให้รู้ว่า ตัวเขาตกอยู่ในกำมือของสัตว์ร้ายอีกแล้ว
NC
ซีวอนโอบประคองร่างเล็กขึ้นแนบตัวคว้าผ้าขนหนูผืนใหม่ที่วางไว้ในชั้น มาห่อคลุมร่างกายที่บอบช้ำปกป้อความหนาวเย็นมากระทบกาย ไม่ใส่ใจว่าตัวเองก็ไม่มีสิ่งใดปกป้องความหนาวเช่นเดียวกัน ก่อนจะอุ้มร่างเล็กพาไปวางลงบนเตียงอย่างแผ่วเบา จนไม่น่าเชื่อว่านี้เป็นคนคนเดียวกับที่ทารุณโหดร้ายได้ขนาดนั้น
ชายหนุ่มเดินเปลือยกายหายกลับเข้าในห้องน้ำเพื่อหาผ้าขนหนูอีกผืนมาพันรอบเอวของตนเอง ก่อนจัดการเอาผ้าขนหนูผืนเปียกที่ถูกโยนทิ้งไปในครั้งแรกออกไปตากที่ระเบียงแล้วกลับเข้ามามองใบหน้าที่นิ่งสนิท
ซีวอนนั่งมองร่างกายที่ซูบผอมเต็มไปด้วยร่องรอยต่างๆอย่างสับสนปนเปกันไปหมด ทั้งความรู้สึกและความคิด จนไม่เข้าใจตัวเองว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่
ทั้งที่เข้ามาเพื่อจะให้ดูแลซองมิน แต่กลับกลายเป็นไม่อาจห้ามตัวเองได้
ทั้งที่รักซองมิน แต่กลับหวงฮีชอลเอาเก็บเอาไว้เพียงผู้เดียว
และ ทั้งที่เชื่อว่าร่างกายนี้ผ่านมือคนอื่นมา....แต่ความรู้สึกกลับบอกให้รู้ว่า คนนี้มีเพียงเขาเท่านั้น
ชายหนุ่มนั่งจ้องร่างเล็กตรงหน้าจนได้ยินเสียงครางครือแผ่วเบา ไอร้อนที่ร่างบางแผ่ออกมาก็ไม่จางหายไปอย่างที่ใจคิด จนเริ่มเป็นกังวล ค้นหาจนได้ยาพาราจากลิ้นชักข้างหัวเตียง แต่กลับคิดไม่ออกว่าจะให้ร่างบางกินมันเข้าไปได้อย่างไร..นอกจาก
ชายหนุ่มนำเม็ดยาสีขาวรสชาติขมลงไปในปากสองเม็ด ตามด้วยน้ำเปล่า ประกบริมฝีปากอิ่มที่ร้อนขึ้นกว่าเมื่อสักครู่ ค่อยๆปล่อยเม็ดยาและน้ำลงไปอย่างช้าๆ ระวังไม่ให้ร่างเล็กต้องสำลักออกมา
แม้จะให้ฮีชอลกลืนทั้งน้ำและยาลงไปจนหมดแล้ว แต่ชายหนุ่มก็ยังไม่อาจละออกจากริมฝีปากที่ผ่าวร้อนนี้ได้ ยังคงกวาดไล่ไปทั่วโพรงปากที่มีรสชาติเฝื่อนขมของยา แม้จะไม่ได้รับการตอบสนองก็ตาม จนรู้สึกได้ว่า ร่างเล็กเริ่มหายใจติดขัด จึงยอมผละออกมาอย่างอ่อยอิ่ง
ซีวอนเดินไปปิดไฟในห้องให้ดับมืด ไม่ให้รบกวนการนอนของเจ้าของห้อง แต่เพราะความรู้สึกที่ไม่อยากละจากร่างบางทำให้ชายหนุ่มต้องกลับมาที่ทิ้งตัวลงบนเตียงกว้างอีกครั้งอย่างไม่เข้าใจตัวเอง
“ถือว่าฉันทำเผื่อซองมินจะได้มีคนไปดูแลก็แล้วกันนะฮีชอล” เสียงทุ้มต่ำแผ่วเบาท่ามกลางความมืด ก่อนรั้งร่างบางให้มาแนบชิด รับรู้ไอความร้อนได้จากผิวกายที่เปลือยเปล่า แขนแกร่งกอดเอวบางเข้ามาใกล้ มอบความอบอุ่น ปกป้องความหนาวเย็นในค่ำคืนนี้ให้แก่ร่างบาง
* ~ * ~ * ~ * ~ *~ * ~* ~* ~ * ~ * ~ * ~ * ~ * ~ * ~ *
“ฮีชอลตื่น ตื่นได้แล้ว” เสียงแสนห้วนของชายหนุ่มที่ยืนอยู่หน้าประตู ปลุกร่างเล็กที่ยังนอนเปลือยเปล่าอยู่บนที่นอน ให้ลุกขึ้นมาด้วยความอ่อนล้า
ร่างบางที่ถูกปลุกพยุงตัวเองขึ้นพิงกับหัวเตียง มองผู้บุกรุกด้วยสีหน้าหวาดแวงดึงรั้งผ้าห่มขึ้นมาคลุมร่างเปลือยของตัวเองจนมิด เมื่อชายหนุ่มในสภาพที่บอกให้รู้ว่าอาบน้ำแต่งตัวเตรียมจะออกจากบ้านเดินเข้าใกล้ พร้อมกับฝ่ามือที่ยื่นมาอย่างน่ากลัว
“จะทำอะไรฉันอีก” ฮีชอลตะโกนถามด้วยความตกใจ มือบางปัดมือหนาออกด้วยความระวังตัว สายตาจับจ้องทุกฝีก้าว เรื่องราวในคืนที่ผ่านมาก่อนหมดสติยังคงจรึงแน่นอยู่ในความทรงจำจนมองข้ามแววตาบางอย่างที่คุ้นเคยและอยากได้คืนในดวงตาคู่คม
ชายหนุ่มมองมือตัวเองที่ถูกปัดทิ้งอย่างนิ่งอึ้ง เหมือนถูกมือที่มองไม่เห็นมาบีบให้รู้สึกอึดอัดและเจ็บปวดทั้งที่ก็ไม่เข้าใจว่าทำไมต้องรู้สึกเช่นนี้ ซีวอนส่ายหน้าสะบัดความรู้ทรมานเหล่านี้ออกไป
“จะไปหรือไม่ไป ทะเลหน่ะ ถ้าไปก็รีบลุกอย่าอ้อยอิ่ง ฉันจะไปส่งที่คณะ” ซีวอนบอกด้วยเสียงทุ้ม สายตาจับจ้องที่ร่างเล็ก มุมปากปรากฏรอยยิ้มเหยียดในท่าทางที่พยายามปิดบังและขบเม้มไว้ใต้ผ้าห่มเนื้อหนา
“ฉันไปเองได้ ไม่ต้องลำบากนายหรอกซีวอน” แม้จะไม่เข้ใจกับเหตุผลที่ชายหนุ่มอาสาไปส่ง แต่ฮีชอลก็ไม่อยากจะเสี่ยงอีกแล้วกับผู้ชายตรงหน้า ใบหน้าหวานได้แต่หลบเลี่ยงไปทางอื่น...แค่นี้ก็เจ็บจนเกินพอแล้ว
“ฉันบอกว่าไปส่ง ก็คือไปส่ง ไปอายน้ำได้แล้วฮีชอล” ชายหนุ่มออกคำสั่งเสียงเข้ม เหมือนหัวใจกำลังถูกสุมด้วยไฟร้อน เมื่อคนที่เขานอนกกกอดมาทั้งคืนไม่ทำตามที่สั่ง
“....”ดวงตากลมจ้องมองคนออกคำสั่งที่ไม่ได้เห็นว่าเขาเป็นเพื่อนอีกแล้วอย่างเจ็บปวด แต่ก็อ่อนแอเกินกว่าจะฝืนต้านทาน ทำได้เพียงแค่ก้มแล้วทำตามที่ชายหนุ่มสั่ง
ร่างบางลุกจากเตียงด้วยความยากลำบาก ส่วนล่างที่ระบมแย่งชิงเรี่ยวแรงเกือบทั้งหมดไป เมื่อทิ้งน้ำหนักตัวลงความร้าวจากส่วนลึกก็ถาโถมขึ้นมา จนเผลอปล่อยผ้าห่มที่ยึดไว้ให้ร่วงหล่นเหลือเพียงร่างกายผอมแห้ง และรอยช้ำไปทั่วตัว ทั้งรอยสีกุหลาบจากการขบเม้ม ทั้งรอยฟันลึกที่ไหล่ขวา และปื้นแดงตามแขนเรียวที่ถูกบีบจับอย่างไม่ยั้งมือ
ฮีชอลข่มกลั้นความอายที่แสนน่ารังเกลียดด้วยกัดริมฝีปากตนเองอย่างแรงไม่ให้น้ำตาได้ไหลออกมาก้มลงเพื่อจะเก็บผ้าผืนเดิมขึ้นมาปิดบังสิ่งที่ไม่น่ามอง แต่ผ้าผืนที่เคยกองอยู่กับพื้น กลับโดนแย่งไปพร้อมกับแรงบีบรั้งที่แขนเรียว
ดวงตาคมจ้องมองเรือนร่างเปลือยเปล่าที่เต็มไปด้วยร่องรอยต่างๆด้วยความพอใจ ก่อนรั้งแขนเล็กให้เหยียดตัวตรงเข้ามาแนบชิด กระซิบแผ่วเบา และเย็นชา “ กลับมาอย่าให้เห็นรอยที่มันไม่ใช่ของฉัน จำไว้ฮีชอลว่านายเป็นของฉันคนเดียวเท่านั้น”
ร่างเล็กถูกดุนหลังเข้าไปในห้องน้ำทั้งที่ยังคงเปลือยกายเช่นนั้น ไม่มีโอกาสได้พูดหรือตอบสิ่งใดอีก...ได้แต่ก้มหน้าและสมเพชตัวเองที่อ่อนแอถึงขนาดนี้
* ~ * ~ * ~ * ~ *~ * ~* ~* ~ * ~ * ~ * ~ * ~ * ~ * ~ *
คิมฮีชอลเดินออกจากห้องน้ำ ในชุดคลุมตัวใหญ่มองชายหนุ่มที่ยังคงนั่งนิ่งอยู่บนที่นอนด้วยความตกใจ ในมือใหญ่มีกล่องเล็กใส่ที่บรรจุยาไม่กี่เม็ด ทั้งที่มันควรอยู่ในกระเป๋าเสื้อผ้าที่จัดไว้แล้ว “ทำไมยังไม่ออกไป”
“นี้ยาอะไรฮีชอล” กล่องยาในมือใหญ่ถูกชูขึ้นให้เห็นชัด สายตาจับจ้องร่างผอมตรงหน้าที่เอาแต่นิ่งเงียบไม่ตอบคำถามด้วยความหงุดหงิด
“ยา...ยาบำรุงธรรมดานั่นแหล่ะ” ดวงตาโตกลิ้งกลอกไปมา เหงื่อเม็ดเล็กไหลซึม กลัวว่าชายหนุ่มจะรู้ความจริงจนต้องเปลี่ยนเรื่อง ทำเสียงแข็งถามชายหนุ่มที่รื้อค้นกระเป๋า “แล้วนายรื้อกระเป๋าฉันทำไม
คำถามของฮีชอลทำให้ใบหน้าคร้ามของซีวอนเปลี่ยนสีเพียงเล็กน้อยก่อนกลับเป็นปรกติ มีเสียงอึกอักในลำคอ ก่อนกลายเป็นคำพูดแสนห้วน “เรื่องของฉัน ไปแต่งตัวได้แล้ว หรืออยากได้แบบเมื่อคืนอีกรอบ”
มือเล็กตะครุบสาบเสื้อเข้าหากันในทันทีหลงจากได้ยินคำพูดขู่ขวัญ ใบหน้าหวานแดงก่ำ ด้วยปะปนทั้งความโกรธ ความกลัว และความเขินอาย “นายก็ออกไปซิ ฉันจะได้แต่งตัว”
“อายอะไร แต่งตัวเดี๋ยวนี้ฮีชอล ก่อนที่ฉันจะเปลี่ยนใจไม่ให้นายออกจากห้องนี้”
ฮีชอลรับฟังคำพูดด้วยความหวาดระแวง รีบแต่งตัวโดยมีประตูตู้เสื้อผ้าปิดบังสายตาไม่ให้คนที่นั่งอยู่บนเตียงมองเห็นได้
“เสร็จแล้ว เอายาคืนมาได้แล้วซีวอน” ร่างบางในชุดปกปิดร่องรอยมิดชิด เดินออกมาพร้อมยื่นมือขอกล่องใส่ยาคืนจากร่างสูง
ชายหนุ่มยื่นกล่องที่มียาเม็ดสีแดงปนกับสีขาวคืนให้เจ้าของโดยไม่พูดอะไร ก่อนเดินนำออกจากห้องมีเป้ที่ร่างบางจัดเสื้อลงไปติดมือออกมาด้วย
ฮีชอลจ้องมองแผ่นหลังกว้างที่ยืดตรงจนดูน่าเกรงขามที่เดินนำอยู่ข้างหน้าพร้อมกระเป๋าเป้ด้วยรอยยิ้มเล็กๆ แม้จะเป็นแค่เศษเสี้ยวความอาทรที่ชายหนุ่มแบ่งปันมาให้...แต่มันก็ทำให้เขาดีใจมากพอแล้ว
“ขอบคุณนะ ซีวอน”
“ไม่เป็นไร”
เสียงที่ลอยแผ่วมากับลมยิ่งทำให้หัวใจดวงเล็กพองโต เดินตามชายหนุ่มไปขึ้นรถคันใหญ่ด้วยความสุขมากกว่าครั้งไหนๆ โดยไม่มีความกลัวและความหวาดระแวงหลงเหลืออีกเลย
เพราะเป็นเวลาที่ฟ้าพึ่งสาง ทำให้คนเฝ้าประตูรั้วยังคงมีความสุขดีกับการนอนหลับ ไม่รู้สึกตัวเลยว่ารถคันใหญ่ของคนเจ้าอารมณ์ต้องการจะออกจากบ้าน
ฮีชอลมองใบหน้าคนขับที่ดูบึ้งตึ้งขึ้นเรื่อยๆอย่างเป็นกังวล กลัวว่าช่วงเวลาดีๆที่มีจะจางหายรวดเร็วเกินไป จึงอาสาลงไปเปิดประตูให้ “ฉันไปเปิดประตูให้นะ”
“ไม่ต้อง” น้ำเสียงเรียบสนิทแต่ก็ไม่ยากเกินเดาได้ว่า คนพูดคงกำลังไม่พอใจอย่างมาก สายตาคมจับจ้องที่คนหลับในห้องเล็กข้างประตูรั้ว “คิดจะอยู่บ้านหลังนี้ ก็ต้องรู้จักหน้าที่ของตัวเอง”
มือหนากดลงไปที่พวงมาลัยอย่างแรง เสียงแตรแผดลั่นไปทั่ว ปลุกคนในบ้านเกือบทั้งหมดให้ตื่นขึ้นมา โดยเฉพาะคนที่นั่งหลับยาม ต้องสะดุ้งจนเกือบหล่นจากเก้าอี้ ประโยคที่ตั้งใจจะสบถต้อถูกกลืนเก็บเข้าไปเมื่อเห็นเจ้าคาเยนน์คันใหญ่จอดรออยู่หน้าประตู ก่อนกุลีกุจอมาเปิดประตูอย่างเร่งรีบ
ภายในรถคันใหญ่ที่นิ่งเงียบ แต่ใบหน้าหวานกลับยิ้มน้อยๆกับตัวเอง พยายามซึมซับความอบอุ่นรอบตัวที่โอบล้อมเขาและชายหนุ่มไว้ด้วยกัน จิตใจที่ปราศจากความกลัวและความหวาดระแวง ไม่มีคำพูดทำร้ายจิตใจ มันช่างเป็นความรู้สึกที่มีความสุขอย่างที่เขาเคยมีและทำหายไป จนตอนนี้กลายเป็นช่วงเวลาที่เขาหวงแหนที่สุด อยากให้ระยะทางยืดต่อไปอีกยาวไกลแสนไกล
แอร์ในรถที่พัดมาแรงทำให้ร่างกายที่อ่อนแอของฮีชอลหนาวสะท้าน สองมือเล็กยกขึ้นปิดปากเมื่อรู้ตัวว่ากำลังจะไอ แต่เมื่อยกมือออกกลับพบเลือดลิ่มเล็กติดออกมาด้วย
ดวงตาเบิกกว้างมองมือตัวเองด้วยความตกใจ เหลือบมองชายหนุ่มข้างๆสายตายังคงจับจ้องท้องถนนอย่างโล่งใจที่คงมองไม่เห็นมือเปื้อนเลือด ก่อนรีบป้ายมือทั้งสองข้างกับกางเกงสีเข้ม เช็ดลิ่มเลือดให้หมดไป
“ทำอะไร” ซีวอนถามเสียงทุ้มขัดใจกับคนนั่งข้างๆที่ดูมีพิรุธ สองมือถูไถไปมากับกางเกง
ฮีชอลสะดุ้งสุดตัวตอบด้วยเสียงสั่นเทา “เปล่า”
“ก็ดี” เหมือนจะไม่ใส่ใจ แต่มือหนาก็เอื้อมไปหรี่แอร์ให้เบาลง แล้วเปลี่ยนช่องแอร์ให้หันมาทางตนเอง แทนที่จะเป่าใส่คนข้างๆ “จะไม่สบายก็ดูแลตัวเองให้ดี อย่าให้ป่วย”
ใบหน้าสวยและรอยยิ้มหวานหันมามองคนขับพอดี กับที่ชายหนุ่มละสายตาจากท้องถนนเข้ามาในรถ สายตาทั้งสองคู่หันมาสบเพียงชั่ววิก่อนเบือนหน้ากลับไป
รอยยิ้มที่ซีวอนเห็นพาให้หัวใจเต้นรัวจนเหนื่อย ความรู้สึกแปลกประหลาดที่พาให้อึดอัด เหมือนอยู่ในกล่องแคบ เป็นความรู้สึกที่ชายหนุ่มไม่ชอบจนต้องทำลายรอยยิ้มหวานนั่นด้วยคำพูด “จะได้มีคนที่ฉันไว้ใจ คอยดูแลซองมิน”
คำพูดของชายหนุ่มเหมือนสายฟ้าที่ฟาดลงมากลางใจ พาให้รอยยิ้มหวานจางหายไปในทันที จนเกือบทดแทนด้วยรอยน้ำตา
....แค่นั้นเองใช่ไหมที่นายทำดีให้ฉัน...เป็นห่วงแค่ซองมินใช่ไหม
...ฉันมีค่าแค่คนที่นายไว้ใจให้ดูแลซองมินเท่านั้นหรือ...ซีวอน
ความเงียบกลับเข้ามาควบคุมอีกครั้ง แต่มันกลับไม่เป็นความเงียบที่น่าจดจำอีกแล้ว เพราะมันช่างแสนอึดอัด จนแทบทนไม่ได้เหมือนดั่งทุกเช้าที่เคยเป็น
รถคันใหญ่แล่นเข้ามาจอดหน้าคณะต่อกับคนปรับอากาศคันใหญ่ที่ประธานเอกจัดหามาเพื่อพาทุกคนไปเที่ยวทะเล ผู้ชายห้าหกคนกำลังวุ่นอยู่กับการยกของขึ้นรถ หนึ่งในนั้นรวมไปถึงเพื่อนสนิทของฮีชอลด้วย
ร่างบางเอื้อมหยิบกระเป๋าเป้จากด้านหลังก้าวลงจากรถโดยไม่มีคำพูดใดๆ และคนขับเองก็ไม่มีคำพูดสั่งลาใดๆ รอเพียงให้ประตูปิดแล้วขับรถจากไปอย่างรวดเร็ว ทิ้งไว้เพียงสายน้ำที่พยามยามกลั้นเอาไว้ ก่อนเดินไปรวมกลุ่มกับฝูงเพื่อนที่คึกครื้นไม่เปลี่ยน
* ~ * ~ * ~ * ~ *~ * ~* ~* ~ * ~ * ~ * ~ * ~ * ~ * ~ *
เสียงคลื่นและท้องทะเลกว้างเบื้องหน้าพาให้จิตใจของคนที่มาเที่ยวปลอดโปร่ง ใบหน้าของทุกคนประดับด้วยรอยยิ้มไม่เว้นแม้แต่คนที่ติดเฝือกมาเที่ยวอย่างซองมิน “โอ้ย ทะเล ทะเล ทะเลลลลลลลล”
“เออ รู้เว้ย ว่าทะเล จะเสียงดังทำไมวะซองมินไม่เคยมีใครพามาหรือไง วันหลังหัดบอกเด็กแกให้พามาเที่ยวบ้างนะ” คิม จงอุน หนึ่งในเพื่อนร่วมเอกตะโกนโต้ตอบกับเพื่อนเดี้ยงจากหน้าบ้านพักของตนเอง ก่อนรีบแว่บเข้าไปในบ้านพักที่อยู่ร่วมกับจองวู
“ไอ้...ไอ้....” ซองมินยืนอยู่หน้าบ้านพักของตนเอง ยืนเท้าเอวตั้งใจจะว่า แต่คนกวนอารมณ์ก็หายไปแล้วอย่างว่องไว เหลือเพียงคำพูดที่พูดไม่ออกเถียงทัน
“ซงอมิน เข้ามาในบ้านก่อนเหอะ หมอไม่ให้ใช้ขามากไม่ใช่หรอ เดี๋ยวก็เป็นอะไรไปหรอก” ฮีชอลตะโกนเรียกเพื่อนจากในบ้านด้วยความเป็นห่วง ปนความน้อยใจใครบางคนอยู่เงียบๆ
“ขออีกแปปนะฮีชอล ไม่ได้มาทะเลตั้งนานแล้ว ถ้าน้องโจวมาด้วยก็ดีสิ ฮีชอลจะได้ไม่ลำบากดูแลฉัน” ใบหน้าอิ่มของซองมินหันเข้ามาคนในบ้านชั่วแวบ ก่อนกลับมองไปที่ทะเลอีกครั้ง เห็นเพื่อนบางคนกระโจนลงทะเลไปแล้วเรียบร้อย
“ไม่เป็นไรหรอก ไม่ลำบากเลย ฉันดูแลนายได้อยู่แล้ว” ฮีชอลเดินออกมาตามซองมินถึงหน้าบ้าน ตั้งใจดูแลซองมินด้วยความเป็นเพื่อนสนิทและเพื่อคำพูดของซีวอน
ก็นายอุตส่าห์ไว้ใจฉันเลยนี้นะ....
ร่างบางค่อยๆเพื่อนตัวอวบพร้อมเฝือกประคองกันไปถึงเตียงนอนนุ่มที่ซองมินลงไปนอนเด้งเล่นอย่างมีความสุข ห้อยขาข้างที่มีเฝือกลงมา ใบหน้ากลมยิ้มกว้างพร้อมเสียงหัวเราะก้อง
ฮีชอลยื่นมองดูเพื่อนด้วยความอิจฉาเล็กๆ ไม่ว่าจะเกิดอะไรซองมินก็สามารถยิ้มได้อย่างมีความสุขใครอยู่ใกล้ก็พลอยสนุกสนามร่าเริงไปด้วย ไม่แปลกเลยที่ใครๆก็รัก
...แม้แต่ซีวอนยังรักและเป็นห่วงนายมาก รู้ตัวไหมซองมิน
ร่างบางกลับมานั่งลงที่เตียงของตนเอง ลงมือรื้อข้าวของตั้งใจจะจัดของให้เข้าที่เรียบร้อย แต่สิ่งที่เห็นเป็นอย่างแรกกลับทำให้ตกใจ เมื่อมันไม่ใช่สิ่งที่เขาจัดมา
ใบหน้าหวานอมเศร้าคลี่ออกเป็นรอยยิ้มเล็กๆขอบตาร้อนผ่าวคล้ายจะไหลลงมาด้วยความยินดี สองมือประคองเจ้าสิ่งแปลกหน้ามาแนบหัวใจโดยไม่รู้ตัว
“ฮีชอล เฮ้ ฮีชอลเป็นอะไร” ซองมินถามเพื่อนสนิทที่ดูสติหลุดไปไกลกับท่าทางเพ้อๆแบบที่ไม่เคยเห็น ดวงตาใสมองเพื่อนอย่างไม่เข้าใจ พยายามมองสิ่งของในสองมือก็มองไม่ออกว่าเป็นอะไร
“อ่ะ เปล่าไม่มีอะไร เดี๋ยวฉันเข้าห้องน้ำไปเปลี่ยนชุดก่อนนะ แล้วจะออกมาช่วยนายเปลี่ยนเสื้อผ้า” มือบางรีบคว้าหยิบเสื้อผ้าหลบเข้าห้องน้ำอย่างรวดเร็ว รู้สึกได้ถึงความร้อนผ่าวของใบหน้า
“อะไรของเขา” ซองมินงึมงำเมื่อเห็นประตูห้องน้ำปิดแน่นสนิท รีบกระเผลกข้ามฝั่งมาดูเจ้าของที่ทำให้เพื่อนมีอาการแปลกๆ แต่สิ่งที่เห็นก็ยิ่งทำให้แปลกใจ เมื่อมีแค่ยาพาราอยู่ในถึงยาเท่านั้นเอง
ยาเพียงแค่นี้คงไม่ทำให้ฮีชอลสติหลุดไปได้ หากจะไม่มีลายมือหวัดๆที่พอเดาได้ว่าเป็นของใครเขียนเอาไว้แบบห้วนๆ ตามนิสัย
“อย่าลืมกินหลังอาหารสามมื้อ ก่อนนอนด้วยก็ดี”
“โธ่! แค่นี้ทำเป็นเขินนะฮีชอล ไม่ยุ่งก็ได้ เปลี่ยนเสื้อดีกว่า” ซองมินแอบแซวเพื่อนลับหลังเพราะไม่คิดจะทำให้เขินอายก่อนกระเผลกกลับไปที่เตียงตัวเอง รื้อหาเสื้อกล้ามตัวโคร่งมาใส่แทนเสื้อยืด อย่างน้อยไม่ได้เล่นน้ำ ขอแค่เล่นทรายนั่งมองน้ำก็ยังดี
“อ้าว! ทำไมใส่เสื้อกล้ามหล่ะซองมิน” ร่างบางที่พึ่งออกมาจากห้องน้ำมองเพื่อนรักตาโต เมื่อเห็นคนขาเดี้ยงใส่กางเกงตัวเดิมกับเสื้อกล้ามสีขาวตัวใหญ่
“ก็มาทะเล พวกข้างนอกบางคนไม่ใส่เสื้อด้วยซ้ำ ใครจะเหมือนนาย ใส่ซะยังกับอยู่หน้าหนาว มิดชิดเชียว” ซองมินมองเสื้อยืดคอปิดที่มักใส่ยามฤดูหนาวของเพื่อนอย่างขัดใจ กะเผลกเข้าไปใกล้แล้วเลิ่กชายเสื้อขึ้นไม่ให้รู้ตัว
ฮีชอลที่ไม่ทันได้ตั้งตัวดึงเสื้อกลับลงมาอย่างรวดเร็ว ภาวนาขออย่าให้ซองมินได้ทันสังเกตรอยสีแดงบนร่างกาย แต่มันคงไม่ทันเสียแล้วเมื่อสายตาของเพื่อนเต็มไปด้วยความตกใจ
ซองมินมองรอยจ้ำสีแดงที่ตัดกับผิวขาวของฮีชอลแม้เสื้อจะปิดลงมาแล้ว แต่ภาพเหล่านั้นก็ยังคงติดตา เขามั่นใจว่ามันคือรอยอะไร แต่คำถามติดค้างที่ไม่กล้าถาม...ใครเป็นคนทำ...เหลือบมองใบหน้าขาวซีดก็รู้ได้ทันทีว่าเห็นสิ่งที่ฮีชอลต้องการปกปิดเข้าเสียแล้ว จึงได้แต่สำนึกผิดด้วยความเสียใจ “ขอโทษนะ”
“ไม่เป็นไร” ความอับอายแล่นพล่านไปทั่ว ก็รู้ดีว่าซองมินไม่ได้ตั้งใจ แต่ถึงอย่างนั้นก็ทำให้อดรู้สึกแย่ไมได้...ทั้งที่เกิดเป็นผู้ชาย...คนรักก็ไม่เคยมี...แต่กลับมีรอยพวกนี้
“เราออกไปข้างนอกกันเถอะ ป่านนี้คงลงทะเลกันไปหมดแล้ว” ซองมินหันเหความสนใจของร่างบางด้วยการชวนออกไปข้างนอก
“อือ” ฮีชอลมองรอยยิ้มอ่อนๆของเพื่อนก่อนยิ้มตอบ ประคองคนมีเฝือกออกไปนอกบ้านพักสมทบกับเพื่อนที่ลงไปเล่นทะเลแล้ว
สองร่างที่ประคองกันลงมายังหาดทรายเรียกความสนใจจากเพื่อนๆได้เป็นอย่างดี ด้วยหนึ่งคนเดี้ยงมีเฝือกเกาะขาอวดผิวขาวท้าแดด ในขณะที่อีกคนเล่นใส่เสื้อปิดตั้งแต่คอลงมายังดีที่ไม่ใส่แขนยาว
“เฮ้ ฮีชอลซันบล็อกหมดหรือไง ฉันให้ยืมเอาปล่าวพร้อมบริการทาให้ด้วยนะ” เพื่อนปากมอมที่ใบหน้าบ่งบอกว่าเริ่มกรึ่มๆ นึกพิเรนทร์อยากเห็นความขาวใสของผิวบาง อยากรู้ว่าจะเนียนมือสักแค่ไหนพูดขึ้นมา
ฮีชอลมองหน้าคนพูดด้วยความนิ่งอึ้ง ยิ่งคนพูดเดินเข้ามาใกล้ก็ยิ่งตกใจ ใบหน้าหวานขึ้นสีด้วยทั้งความอายและความโกรธ
แขนอวบยันคนตัวใหญ่กว่าเอาไว้ไม่ให้เข้ามาถึงเพื่อนร่างบางที่ตกใจไม่หาย น้ำเสียงเข้มจัดบอกชัดถึงความไม่พอใจ “เฮ้ยจะทำไรวะ เพื่อนฉันอย่ามายุ่ง ไอ้นี้ก็เมาแต่หัววันเลยนะ”
“อะไรแหย่เล่นนิดหน่อยเอง ฮีชอลยังไม่โกรธเลย” คนเมามองเพื่อนทั้งสองตาเยิ้มก่อนหันหลังลงทะเลไปอีกรอบ
“ขอบใจนะซองมิน” ใบหน้าหวานหันมายิ้มให้กับเพื่อนที่ออกรับแทน
“ไม่เป็นไรหรอก เดี๋ยวนายก็ไปนั่งเล่นที่หาดกับฉันก่อน รอให้คุณชายจองวูมันออกมาแล้วค่อยไปเล่นน้ำนะ”
“ได้ครับ คุณซองมิน” ฮีชอลประคองเพื่อนมานั่งเหยียดขาบนเสื่อกว้างที่มีคนปูเอาไว้ ตั้งใจรอเพื่อนสนิทอีกคนแล้วค่อยลงทะเลไปพร้อมกัน
“ฮีชอลไปเล่นน้ำกัน” เสียงใสจากด้านหลังเรียกให้ทั้งฮีชอลและซองมินต้องหันหลังกลับไปดูเห็นเป็นสองสาวคู่ซี้
โซฮีและชอลลี่สองสาวดาวประจำเอกในชุดพร้อมลงเล่นน้ำที่แม้แต่ผู้ชายอย่างฮีชอลยังต้องมองด้วยความชอบใจ กับบิกินี่สีสดคลุมทับด้วยเสื้อเนื้อบางสีขาวใสตัวยาวปิดต้นขาเรียว
“ฉันรอจองวูอยู่ ลงไปก่อนสิ เพื่อนก็อยู่เต็ม”ฮีชอลมองสองสาวเพลินตา แต่ใจดวงเล็กๆที่ไม่เคยจำกับความเจ็บดันไปนึกถึงชายหนุ่มอีกคนที่ไม่ได้มาด้วย ถ้าซีวอนมาเห็นจะเป็นยังไง...คงดูแลเป็นอย่างดีไม่ให้ใครมาวอแวเป็นแน่
ก็ซีวอนชอบคนน่ารักสดใสมากกว่าคนอ่อนแอขี้โรคอย่างเขา
“ไม่เอาหรอก พวกนั้นออกจะน่ากลัว ไปเล่นน้ำกันเถอะไปเร็ว” สองสาวเข้ามาจับมือคนละข้างของฮีชอล แล้วลากร่างโปร่งลงน้ำโดยไม่ฟังเสียงบ่นของชายหนุ่มเลย
“ไงซองมินมานั่งเล่นทรายอยู่คนเดียว ฮีชอลอยู่ไหน” ร่างอวบนั่งเล่นเพียงลำพังอยู่ไม่นานก็มีเสียงเรียกกวนๆจากด้านหลังให้หันไปหา
“โธ่ ไอ้คุณชายกว่าจะเสด็จออกมาได้ ฮีชอลโดนลากลงทะเลไปนู้นแล้ว” ซองมินทำเสียงประชด ประชันเพื่อนสนิทที่กว่าจะออกมาได้ ทั้งที่ก็ใส่มาแค่กางเกงเสริฟ์ตัวเดียวไม่รู้จะแต่งตัวนานอะไรหนักหนา
“ใครมาลากไป” สายตาคมมองไปที่ทะเลกลางกลุ่มเพื่อน เห็นร่างเล็กเล่นน้ำอย่างมีความสุข
“จะใคร ก็โซฮี กับชอลลี่นั่นแหล่ะ มาถึงก็ลากไป ไอ้เพื่อนเราพอเห็นว่าเป็นสองสาวนี้ก็ยอมเขาทั้งนั้นแหล่ะ” เหมือนจะบ่นอย่างน้อยใจ แต่บนใบหน้ากลมก็มีรอยยิ้มประดับอยู่
จองวูหัวเราะอย่างชอบใจกับคำบอกเล่าของเพื่อนรักขาเดี้ยง มองร่างบางในน้ำที่ถูกนินทาอย่างมีความสุข “เอาหน่าก็รู้อยู่ว่าฮีชอลแอบปลื้มสองคนนี้ ปล่อยไปเหอะ”
ทั้งของวูและซองมินต่างก็รู้ดีว่า ผู้ชายหน้าสวย เอวบาง แสนอ่อนโยน แอบชอบสองสาวใสอยู่ไม่น้อย เหมือนผู้ชายอีกครึ่งคณะ แต่ก็เพียงแค่ชอบมองและแอบปลื้มอยู่เงียบๆเท่านั้น
“นั่นแหล่ะ ตอนแรกก็บอกให้รอนายก่อน เมื่อกี้ก็โดนกวันฮีแซวมาแล้วรอบ” ซองมินถอนหายใจเฮือกใหญ่ มองเพื่อนถูกแกล้งอยู่ในน้ำ อยากจะลงไปเล่นด้วย ก็เกรงใจเฝือกอันโตที่เกาะขาอยู่
“ก็เล่นใส่เสื้อมิดชิด เป็นใครก็อยากแซวเล่นหน่า”
“มันก็ใช่ แต่ไม่แค่นั้นอ่ะซิ รู้ไหมทั้งตัวฮีชอลมีแต่รอยจ้ำแดง พอฉันเห็นก็เอาแต่เงียบ ฉันเป็นห่วงไงก็ไม่รู้”
จองวูละสายตาจากเพื่อนในน้ำมามองเพื่อนที่นั่งข้างตัว ความเป็นห่วงฉายชัดอยู่บนใบหน้าอิ่ม นึกย้อนกลับถึงคำบอกเล่าของหมอ หากเขาพูดความจริงต้อนเหตุของรอยที่ซองมินเห็น ความเป็นห่วงก็คงเพิ่มมากขึ้น ฮีชอลก็คงไม่สบายใจ....และเพียงแค่เขาเท่านั้นที่รู้ก็มากพอแล้วที่จะดูแลฮีชอล “คงเป็นรอยที่แพ้แมลงหล่ะมั้ง”
“แพ้แมลงบ้านไหน ทำไมมันเยอะแบบนั้น อย่าคิดว่าฉันไม่รู้นะว่ามันรอยอะไร”
ยิ่งมองความแน่ใจของซองมิน จองวูก็กลัวความลับที่ตนรู้เพียงผู้เดียวของฮีชอลจะไม่เป็นความลับอีกต่อไป...หากเป็นเช่นนั้น สู้สร้างเรื่องใหม่ให้ซองมินรู้ไม่ดีกว่าหรือ “ทีนายเห็นหน่ะ ฮีชอลแพ้แมลงจริงๆ ช่วงที่นายเขาโรงบาล ฮีชอลก็นอนอยู่ห้องไม่ห่างกันเพราะแพ้แมลงนี้แหล่ะ ถึงได้ไม่ไปเยี่ยมไง”
“เฮ้ยจริงดิ” ซองมินหันมาถามย้ำด้วยเสียงสูงอย่างตกใจ แต่เมื่อคิดดูแล้วตอนนั้นฮีชอลก็ไม่มาเยี่ยมเขาเลย จองวูเองก็มาเพียงแค่ครั้งเดียว คงไปเฝ้าฮีชอลอยู่ “มิน่า ซีวอนถึงได้ใส่ยามาให้ฮีชอล เพราะแบบนี้นี่เอง”
“ยา” ชายหนุ่มทวนคำเลิ่กคิ้วขึ้นด้วยความสงสัย
“อือ ยา อยู่ในซองเขียนด้วยว่าอย่าลืมกินหลังอาหารทำนองนั้น ตอนแรกฉันก็นึกว่าเป็นพวกพาราซะอีก” ซองมินยืนยันพร้อมบอกเพื่อนให้รู้เพิ่มถึงรายละเอียด
“หรอ นายก็อย่าลืมเตือนหล่ะ ฉันไปเล่นน้ำก่อนแล้วกัน ฮีชอลโดนแกล้งใหญ่แล้ว” จองวูเดินลงทะเลด้วยความเป็นห่วงเพื่อนที่โดนแกล้งอยู่ในน้ำ แม้จะอดแปลกใจและหวาดหวั่นกับความรู้สึกของชายหนุ่มอีกคนไม่ได้
ทำไมนายถึงหวงฮีชอลตลอดเวลา....ทั้งที่ก็แสดงออกว่าชอบซองมิน
ทำไมอยู่ดีๆก็มาเป็นห่วงฮีชอล....ทั้งที่ก็ทำร้ายฮีชอลทั้งร่างกายและจิตใจ
....แล้วที่แสดงความเป็นเจ้าร่างกายบอบบาง...เพื่ออะไรกัน?
* ~ * ~ * ~ * ~ *~ * ~* ~* ~ * ~ * ~ * ~ * ~ * ~ * ~ *
ดวงรีหยีสู้แดดมองเพื่อนรักทั้งสองคนเดินขึ้นมาจากน้ำทะเลสภาพดูเหนื่อยล้าแต่ก็มีความสุข หัวเราะหยอกล้อเสียงดังมาตลอด “ว่าไง ทำไมขึ้นมาแล้วหล่ะฮีชอล”
“ก็จองวูสิ บอกให้ขึ้นเดี๋ยวไม่สบาย” ร่างบางเดินเข้ามานั่งอยู่ริมเสื่อผืนกว้าง ปล่อยให้น้ำจากตัวไหลเป็นหยดลงพื้นทราย ปากอิ่มบุ้ยใบ้ไปทางเพื่อนสนิทอีกคนที่เดินตามมาข้างหลัง
“แล้วนายก็ยอมขึ้นด้วย? ทีฉันบอกว่าอย่าพึ่งลงน้ำไม่ให้เห็นเชื่อเลย” ซองมินบ่นเบาๆอย่างน้อยใจปนแปลกใจ แกล้งอมลมใส่แก้มจนป่องพอง
แป๊ะ!!!
“ไอ้จองวู เจ็บนะ” ซองมินลูบแก้มที่แดงจัดเพราะมือใหญ่ของเพื่อนที่ตบลงมาบนแก้ม มืออีกข้างยกฟาดเพื่อนตัวเปียกอย่างสุดแรง “โรคจิตหรือไงวะ ตบมาแก้มคนนะเว้ย ไม่ใช่ลูกโป่ง”
“ก็เห็นพองลมได้ นึกว่าอยากให้มีคนตบเสียอีก” ชายหนุ่มหัวเราะลั่นไม่สะท้านกับแรงของเพื่อนที่ฟาดลงมาบนต้นแขน “นิดๆหน่อยหน่าซองมิน”
“นิดๆหน่อยบ้านแกสิ โคตรเจ็บเลย อูยยย” มือเล็กยังคงลูบแก้มตัวเองไปมา ปากก็บ่นไปเรื่อย ก่อนเหลียวมองใบหน้าซีดเผือด ปากม่วงคล้ำของฮีชอลอย่างใจ “เฮ้ย ฮีชอลเป็นไรทำไมปากม่วงแบบนี้อ่ะ”
“ฮีชอล เป็นอะไร” จองวูสัมผัสตัวเย็นเฉียบของเพื่อนรักอย่างตกใจ นึกไปถึงโรคที่ฮีชอลเป็นแล้วความกลัวก็แล่นขึ้นมา “ไหวไหม ยาอยู่ที่ไหนเอามาหรือเปล่า”
“หนาววววว...ฉะ ฉันหนาววว” ปากสีม่วงคล้ำปล่อยเสียงสั่นพร่าออกมา แขนเล็กกอดตัวเองจนแน่นเพื่อคลายความหนาวที่เกาะกินเข้าไปถึงกระดูก แต่กลับไม่ช่วยให้อุ่นขึ้นเลย
จองวูเดินเข้ามาใกล้เพื่อนตัวเล็กโอบกอดอย่างแนบแน่นสองมือลูบไล้แผ่นหลังบางที่ชุ่มโชกด้วยน้ำทะเล “ดีขึ้นไหมฮีชอล อุ่นขึ้นไหม”
“หนาว หนาววววว” ฮีชอลพูดด้วยเสียงสั่นพร่าทั้งที่อยู่ในอ้อมกอดของเพื่อนสนิท แต่ไม่อาจคลายหนาวได้เลย ในใจนึกประหวัดไปถึงอีกคนที่อยู่แสนไกล....ถ้าเป็นนายก็คงดีสินะ ซีวอน
“ไม่ไหวแล้วหล่ะจองวูฉันว่าอุ้มกลับเข้าบ้านดีกว่า” ซองมินมองอาการหน้าซีดปากม่วงคลำสั่นอย่างอดเป็นห่วงไมได้ ห่มผ้าขนหนูผืนใหญ่ให้เพื่อนรักแต่ก็ไม่ช่วยให้ร่างกายที่สั่นเทาหยุดได้เลย
“อื้อ นายรออยู่นี้นะซองมิน อย่าเดินมาก” ชายหนุ่มทำตามความเห็นของเพื่อน ยกร่างเล็กน้ำหนักเบาขึ้นกับตัว ไม่ลืมหันมาส่งเพื่อนที่ขาใส่เฝือกให้นั่งอยู่ตรงนี้ ไม่ต้องตามไป
“เออ ไม่ต้องห่วงหรอก รีบพาฮีชอลกลับห้องเหอะ ฉันฝากด้วยนะ” ร่างอวบพยักหน้ารับ มองเพื่อนรักทั้งสองจนลับตาด้วยความเป็นห่วงแสนห่วง
ฮีชอลนายเป็นอะไรกันแน่นะ....
ร่างบางในอ้อมอกของเพื่อนลูบแขนตนเองไปมาอยู่ใต้ผ้าขนหนูผืนหนาที่ซองมินเอามาห่มคลุมไว้ให้ เบียดร่างกายตัวเองเข้ากับแผ่นอกแข็งแรงของเพื่อนสนิท น้ำตาเล็กๆไหลลงมาโดยไม่รู้ตัว
ห้องที่ถูกปิดสนิทถูกเปิดโดนมือใหญ่ที่รองช้อนใต้ขาเล็ก ก่อนใช้เท้าผลักเปิดเข้าไป วางร่างเล็กที่เปียกชุ่มให้นั่งบนเก้าอี้นุ่มที่มุมหนึ่งของห้อง “ยังหนาวอยู่หรือเปล่าฮีชอล”
ปากเล็กที่ม่วงช้ำ ไม่อาจขยับเขยื้อนได้ ได้แต่พยักหน้ารับเบาๆ ก่อนตัวเองใต้ผ้าขนหนูที่ซ้อนทับอยู่สองผืน ก่อนจะรู้สึกถึงความอบอุ่นที่มากขึ้น
“อุ่นขึ้นหรือยังฮีชอล” ชายหนุ่มที่โอบกอดร่างเล็กไว้แน่นคลุมทับด้วยผ้าห่มผืนใหญ่ที่พันซ้อนทับ มือหนาลูบไล้แขนเล็กที่เย็นซีดจนน่ากลัว
ใบหน้าหวานพยักหน้าขึ้นลง ความหนาวสะท้านบรรเทาลงอย่างรวดเร็ว นึกไปถึงความอบอุ่นที่มากกว่านี้ ความอบอุ่นจากอีกอ้อมกอดที่แสนเลือนรางจนน่าจะเป็นเพียงแค่ฝันดีหลังจากเผชิญเรื่องร้ายเท่านั้น
ที่ในฝันยังจำได้ว่าซีวอนคอยดูแล ป้อนยาให้ แล้วยังมอบกอดที่แสนอบอุ่น...แต่มันก็เป็นเพียงฝัน
“ดีขึ้นแล้วหล่ะจองวู” เสียงสั่นน้อยๆบอกเพื่อนรักที่คอยเป็นห่วงดูแลมาตลอด รับรู้ได้ถึงความร้อนที่เพื่อนพยายามถ่ายเทมาให้ผ่านมือใหญ่ที่ลูบขึ้นลงเพื่อให้เกิดความร้อน
“หน้ายังซีดอยู่เลย ตัวก็รุมๆนะฮีชอล ไหวไหม เราพากลับได้นะ” ไอความร้อนที่ร่างบางแผ่ออกมายิ่งทำให้ชายหนุ่มเป็นห่วงมากขึ้น ในใจนึกอยากพากลับไปหาหมอเสียแต่วันนี้
“ไม่เอา ไม่ได้เป็นอะไรแล้ว” เสียงหวานแผ่วร้องบอกเพื่อน หากแต่กลับถูกต่อว่าผ่านทางสายตาจนต้องก้มหลบ “จริงๆ แค่หนาวนิดหน่อยเอง”
“นิดหน่อยแล้วทำไมปากม่วงได้หล่ะฮีชอล” ชายหนุ่มจับจ้องปากอิ่มที่เริ่มเป็นปรกติ เห็นเหงื่อเม็ดเล็กผุดขึ้นจากหน้าผากเกลี้ยง ใบหน้าใสเริ่มมีสีเลือดขึ้นบ้างแล้ว
“ก็เมื่อกี้มันหนาวมาก แต่ตอนนี้ดีขึ้นแล้ว กินยาเดี๋ยวก็หายแล้ว ไม่ต้องเป็นห่วงแล้วนะ” รอยยิ้มอ่อนๆของฮีชอล ถูกใช้เพื่อหวังให้เพื่อนมั่นใจและเลิกเป็นกังวล แต่ถูกท่าจะไม่ได้ผลดั่งที่ต้องการ
“ไม่ได้หรอกฮีชอล เราไม่ห่วงฮีชอลไม่ได้หรอกนะ ดีขึ้นแล้วใช่ไหม ยาอยู่ที่ไหน เดี๋ยวเราไปเอามาให้” ชายหนุ่มมองดวงตาโตอย่างเศร้าใจ ก่อนคลายอ้อมแขนออก นำผ้าห่มไปเก็บบนเตียงเล็ก เหลือเพียงผ้าขนหนูสองผืนคลุมกายเล็ก
“อยู่ที่หัวเตียงอ่ะ” ฮีชอลร้องบอกเพื่อนถึงที่เก็บซองยาที่มีบางคนใส่มาให้โดยไม่รู้ตัว....เพียงแค่คิดหัวใจดวงเล็กก็พองโตขึ้นโดยไร้เหตุผล
จองวูเอื้อมมือไปหยิบซองยาที่อยู่บนโต๊ะ สายตาเหลือบมองเพื่อนสนิทที่กำลังนั่งยิ้มอยู่กับตัวเองอย่างน้อยใจ นิ้วเรียวแกะกระดาษโน้ตที่แปะหน้าไว้ออก ก่อนขย้ำไว้ในมือเปิดห่อแล้วหยิบเม็ดสีขาวสองเม็ด เดินไปรินน้ำใส่แก้ว แล้วยื่นให้ร่างเล็ก เหมือนหนึ่งไม่เกิดอะไรขึ้น
“ขอบใจนะ” ฮีชอลรับยาเม็ดสีขาว น้ำเปล่าจากมือของเพื่อนไม่ทันสังเกตเลยว่าในอุ้มมือใหญ่นั้นมีสิ่งที่หวงแหนอยู่
“กินยาแล้วเดี๋ยวไปอาบน้ำนะ เราจะกลับไปอาบน้ำที่ห้อง แล้วกลับมารับอีกที” ชายหนุ่มมองเพื่อนรักกินยาจนหมดแล้วจึงเอ่ยขอตัวก่อนกลับ พร้อมกระดาษที่กำแน่นไว้ในมือด้วยความเกลียดชัง หากแต่ใบหน้ายังคงยิ้มให้ร่างบางได้อย่างอ่อนโยนเช่นทุกครั้ง
“อือ ร่างเล็กรับคำยื่นส่งผ้าขนหนูที่ห่อคลุมตัวมาคืนให้แก่ชายหนุ่มพร้อมใบหน้าลุแก่โทษที่ทำให้ผ้าขนหนูผืนนี้เปียก “ขอโทษนะ”
“ไม่เป็นไรหรอก เราไปก่อนนะ แล้วเดี๋ยวมารับ” ชายหนุ่มยิ้มส่งให้อย่างไม่ถือโทษ เดินออกไปจากบ้านพัก ไม่ลืมกดล็อคลูกบิดให้
ทันทีที่รับหลังร่างบางใบหน้าที่ยิ้มแย้มเสมอกลายเป็นบึ้งตึง มองก้อนกระดาษที่ยับย่นในมืออย่างโกรธเกลียด ก้อนยิ่งขย้ำให้เละมากขึ้น แล้วโยนลงในถังขยะพร้อมรอยยิ้มร้ายๆ
กี่ครั้งแล้วที่ฮีชอล ต้องมาเจ็บปวด แค่ยาไม่กี่เม็ดกับคำไม่กี่คำ อย่างหวังว่ามันจะชดเชยให้กันได้
* ~ * ~ * ~ * ~ *~ * ~* ~* ~ * ~ * ~ * ~ * ~ * ~ * ~ *
จองวูกลับเข้ามาในบ้านพักรีบอาบน้ำแต่งตัว ก่อนออกจากบ้านก็พอดีกับที่ จงอุนเพื่อนร่วมบ้านพักกลับเข้ามาอาบน้ำเปลี่ยนชุดที่เปียกโชกพอดี “อ้าว จะรีบไปไหนวะจองวู”
“ไปหาฮีชอลหน่ะ อีกอย่างซองก็รออยู่ที่หน้าหาดด้วย ไปก่อนนะเว้ย” ชายหนุ่มบอกกับเพื่อนร่วมเอกก่อนออกมาเพื่อไปเคาะประตูบ้านพักอีกหลังที่อยู่ไม่ห่างกัน
“ฮีชอล เสร็จหรือยัง เปิดประตูให้ฉันหน่อย” ร่างสูงร้องเรียกเพื่อนอยู่หน้าประตู สองมือล้วงกระเป๋าอคอยให้เพื่อนมาเปิดประตูให้
“มาแล้วแปปหนึ่ง” เสียงใสจากด้านในที่ดูรีบร้อนทำให้ชายหนุ่มเดาไม่ยากว่าเพื่อนคงพึ่งออกมาจากห้องน้ำเป็นแน่
“ทำไมนายอาบน้ำไวจัง หรือแค่วิ่งผ่านน้ำเนี้ย” เสียงใสดังขึ้นก่อนที่ประตูจะเปิด รอยยิ้มที่ส่งให้เพื่อนชะงักค้าง กลายเป็นมองอย่างตกตะลึงและหลงใหล
ผมเปียกน้ำยาวแนบใบหน้าใสและลำคอขาว หยดน้ำที่เกาะพราวเชิญชวนให้มองอย่างยั่วเย้าโดยไม่รู้ตัว ทั่วทั้งร่างกายขาวใสมีเพียงผ้าขนหนูผืนเล็กเกาะเกี่ยวเอวบาง แผ่นอกบางประดับด้วยรอยสีหวานจนแดงช้ำไปทั่ว...ชายหนุ่มคงมองอย่างหลงใหลแค่ทำใจคิดว่าเป็นรอยแดงอย่างเช่นที่หมอบอกหากว่าจะไม่มี...มัน!!
รอยฟัน..ที่ไหล่ขวา....รอยที่เด่นชัดเกินกว่าจะมองข้าม
ฮีชอลตกใจกับสายตานิ่งงันของเพื่อน..สายตาที่อ่านไม่ออก พาให้รู้สึกตัวว่ากำลังเปิดเผยสภาพที่น่าอายให้คนอื่นได้เห็น มือบางผลักประตูปิดลงทันทีอย่างหวาดระแวง ใบหน้าสวยขาวซีดลงอย่าน่ากลัว
ฮีชอลพาตัวเอามายืนอยู่หน้ากระจกเงา สะท้อนภาพผู้ชายน่าสมเพชที่ปล่อยให้คนอื่นได้เห็น ร่างกายที่น่าอับอาย ร่างกายที่เต็มไปด้วยมลทิน รอยแดงช้ำบอกให้รู้ว่าเจ้าของร่างกายนี้ง่ายเพียงใด
รอยฟันจางๆที่หัวไหล่...บอกให้รู้ว่าความสุขที่ได้มาแลกไปกับความเจ็บช้ำเท่าไหร่....
มือเล็กถูรอยแดงเหล่านั้นราวกับว่ามันจะเลือนหายไป แต่ต่อให้พยายามจนแสบผิว มันก็ยิ่งแดงช้ำตอกย้ำให้ชัดเจน ไม่ช่วยให้อะไรดีขึ้น ไม่มีอะไรมาลบเลือนภาพที่ร่างกายบิดเร้าร้องขออย่างคนน่าไม่อาย ทุกความสุขที่ได้รับจากเรื่องชั้นต่ำยังคงตราตรึง ไม่หายไปอย่างที่ใจต้องการ
น้ำตาเม็ดใสไหลอาบแก้ม....น่าอายไหมฮีชอล ที่ให้คนอื่นเห็นร่างกายแบบนี้...แล้วจองวูจะคิดกับนายยังไง..ไม่มีใครอยากได้คนแบบนี้เป็นเพื่อนหรอกนะ
มือเล็กควานหาเสื้อผ้ามาใส่อย่างเลื่อนลอย ไม่อยากออกไปพบใครที่ข้างนอกอีก ไม่พร้อมจะเจอสายตาดูแคลนของเพื่อนสนิท หากเป็นฉันนั้น ชีวิตในวันนี้ยังจะเหลืออะไรอีกบ้างไหมนะ....
เสียงเคาะประตูห้องเป็นจังหวะไม่รีบเร่ง พาให้ขาที่กำลังก้าวย่างไปสั่นเทา มือเอื้อมจับลูกบิดอย่างหวาดหวั่น หวาดกลัวกับสายตาที่จะได้รับ
ค่อยๆเปิดบานประตูให้กว้างขึ้นทีละนิดอย่างช้าๆ ฟันขบกัดลงบนริมฝีปากจนเจ็บ ใบหน้าก้มต่ำยังไม่กล้าเผชิญหน้ากับอะไรทั้งนั้น แม้ว่าสายตาที่ได้รับจะเป็นอะไรก็ตาม
“ฮีชอลก้มหน้าทำไม” เสียงอ่อนโยนจนน่าแปลกใจพาให้ต้องเงยหน้าขึ้นมอง มองเห็นรอยยิ้มอบอุ่นเหมือนที่เคยได้รับ ยิ่งยากที่จะกลั้นน้ำตาเอาไว้ได้อีกแล้ว สุดท้ายก็ได้แต่ไปตามแรงรั้งของเพื่อนสนิท
“นายยังอยู่.... ยังไม่ทิ้งฉันไป” ร่างเล็กร้องไห้อยู่ในอ้อมกอดอุ่นของเพื่อนสนิท ใช้บ่ากว้างรองรับน้ำตาที่ไหลลงมาเพราะความอ่อนแอ
“ยังอยู่สิ ฮีชอลจะให้เราไปไหนหล่ะฮืมม?” จองวูถามเพื่อนรักด้วยความอ่อนโยน ยกมือขึ้นลูบผมนุ่ม ข่มกลั้นความโกรธเกลียดบางคนเอาไว้ แล้วเหลือเพียงความรักที่มีให้คนในอ้อมกอด
“นายยังมีเราอยู่ทั้งคน เราไม่ทิ้งฮีชอลไปไหนแน่ๆ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม เชื่อเราไหม” ชายหนุ่มถามเพื่อนรักที่อยู่ในอ้อมกอด น้ำเสียงหนักแน่นตอกย้ำให้อีกคนได้รู้ถึงความในใจที่มีให้
“เชื่อ....ฉันเชื่อ” เสียงสั่นไหว ละล่ำละลั่กตอบ ใบหน้าพยักขึ้นลงอยู่กับบ่าที่เปียกชื้นน้ำตาของตนเอง
“ดีแล้ว เพราะงั้น...” ชายหนุ่มรั้งตัวเพื่อนออกห่างพอที่จะมองใบหน้าหวาน ปากหยักยังคงมอบรอยยิ้มให้อยู่เสมอ นิ้วหยาบเกลี่ยไล่น้ำจากตาคู่สวย “หยุดร้องนะฮีชอล เดี๋ยวไปเจอซองมิน ไอ้อ้วนได้ฆ่าฉันตาย”
ฮีชอลหลุดหัวเราะกับคำเรียกขานเพื่อนอีกคนที่นั่งรออยู่ ก่อนพยายามกลืนก้อนสะอื้น ห้ามน้ำตาที่แย่งกันไหลนอง “ไปหาซองมินกันเหอะ”
“อือ” ชายหนุ่มรับคำ จับมือเล็กบางเอาไว้ในมือ พาเดินออกไปที่หาดทราย ไม่สนใจเสียงล้อของเพื่อนมากมาย อยากบอกให้รู้ว่าไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ฮีชอลจะยังมีมือคู่นี้คอยจับเดินไปด้วยกันเสมอ....
ถ้าคนที่จับมือฉันเป็นนายก็คงดีไม่น้อยเลยนะ..ซีวอน
ดวงตากลมโตเหลียวมองเพื่อนข้างกาย ยิ้มอ่อนๆให้กับตัวเอง แม้ว่าชีวิตจะมีเรื่องเลวร้ายแค่ไหน แต่สิ่งดีที่ได้รับจากเพื่อนทั้งสองก็เป็นส่วนหนึ่งให้ก้าวต่อไป..
แม้ใบหน้าของชายหนุ่มจะฉายชัดถึงความสุข หากแต่ในใจกลับมีบางเสี้ยวมุมที่ร้อนรนไม่ต่างจากโดนไฟเผา เสี้ยวมุมที่สงสัย แต่ก็ไม่คิดจะถาม...อะไรที่ทำให้ฮีชอลต้องเจ็บ เขาจะไม่ทำ...แม้เขจะต้องมองอย่างปวดร้าว
ซองมินนั่งมองเพื่อนทั้งสองจากเสื่อผืนกว้างอย่างหนักใจ รู้ดีว่าคนทั้งสองกำลังมีความสุข รอยยิ้มประดับชัด แต่..มันคงจะดีกว่านี้
ถ้าหน้าของฮีชอลจะไม่มีคราบน้ำตา
ถ้าดวงตาของจองวูจะไม่ฉายแววเจ็บร้าว
“หายกันไปนานเชียวนะ ฉันคิดว่าแอบทิ้งกันไปแล้วซะอีก” ร่างอวบผลักไล่ความคิดของตนเอง เอ่ยเย้าเพื่อนสนิททั้งสองที่เดินใกล้เข้ามา
“ก็ว่าจะทิ้งอยู่หรอก แต่ฮีชอลว่ายังเล่นน้ำทะเลไม่เต็มอิ่ม เลยไม่ได้ทิ้ง” จองวูต่อปากกับเพื่อนขาเดี้ยง นั่งลงบนเสื่อกว้าง พร้อมๆกับฮีชอล ที่รอยยิ้มยังไม่จางไปจากหน้า
คนทั้งสามนั่งคุยเล่นนอนเล่น มองท้องทะเลกว้างจนเกือบค่ำ กว่าที่เพื่อนทั้งหมดจะขึ้นจากน้ำ แล้วแยกย้ายกันไปเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนที่คืนนี้จะมานั่งกินดื่มด้วยกัน
* ~ * ~ * ~ * ~ *~ * ~* ~* ~ * ~ * ~ * ~ * ~ * ~ * ~ *
โชคดีที่คืนนี้เป็นคืนเดือนดับ ทั่วทั้งท้องฟ้าสีเข้มกระจายไปด้วยแสงดาวระยิบระยับ เหมือนผืนผ้าสวยที่ทอประดับด้วยดิ้นเงินราคาแพง
กลางวงล้อมของนักศึกษาปีสามคือกองไฟที่ลุกโชนด้วยเศษไม้ หน้าแต่ละคนแดงเรื่อด้วยแอลกอฮอล์ที่ดื่มเข้าไป บางคนก็แดงมาก แดงน้อย บางคนก็เมาจนเกือบพูดจากันไม่ได้ เรื่องราวประทับใจมากมายถูกพูดถึง บางครั้งก็มีน้ำตา บางครั้งก็เป็นเสียงหัวเราะลั่น แต่ทั้งหมดคือความสุขที่ได้อยู่ร่วมกัน ได้ฟันฝ่า ได้ช่วยเหลือ จนคนต่างครอบครัว ต่างความคิด สามารถหล่อหลอมรวมกันได้
“ฮีชอล นายจะกลับหรือยัง เดี๋ยวเราจะเอาไอ้เดี้ยงนี้กลับห้องก่อน” จองวูกระซิบถามเพื่อนร่างบางที่ยังหัวเราะไปกับเรื่องเก่าๆสมัยเป็นนักศึกษาปีหนึ่ง
“ยังหรอก จองวูพาซองมินกลับไปก่อนก็ได้ เมาใหญ่แล้ว” ดวงตากลมหันไปมองใบหน้ากลมของเพื่อนที่แดงจัด เริ่มทรงตัวไม่ได้
“อือ งั้นเดี๋ยวเรามานะ เอาไอ้ตัวยุ่งนี้ไปเก็บก่อน” ชายหนุ่มว่าพร้อมกับลุกออกไปจากวงที่แสนครื้นเครง พยุงเพื่อนตัวอวบที่มีเฝือกเกาะขาแล้วยังจะเมาหนักกลับไปนอนพักที่ห้อง
“เฮ้ยฮีชอล นายกับจองวูเป็นอะไรกัน”
เสียงร้องถามของเพื่อนพาให้ฮีชอลแปลกใจ ก่อนยิ่งยิ้มกว้างมากขึ้นเมื่อตอบคำถามที่แสนง่ายดาย “เป็นเพื่อนกันสิ จะให้เป็นอะไรหล่ะ”
“แค่เพื่อนจริงๆหรอ” หญิงสาวอีกหนึ่งคนถามย้ำขึ้นมา
“อือ เป็นเพื่อนกันจริงๆ จองวูหน่ะมีคนที่ชอบอยู่แล้ว นี้คิดอะไรกันอยู่เนี่ย” ใบหน้าหวานมองไปรอบๆเห็นสายตานับสิบคู่จับจ้องมาเหมือนไม่เชื่อถือ ความประหม่าเกิดขึ้นเมื่อตนเองกลายเป็นหัวข้อที่ทุกคนหันมาสนใจ
“แล้วถ้างั้น นายกับซีวอนหล่ะ”โซฮี โพล่งถามออกมากับความข้องใจที่อยากรู้มานาน
ดวงตากลมเหลือบมองหญิงสาวอย่างตื่นตระหนก ฟันขบกัดริมฝีปากโดยไม่รู้ตัว คำถามที่ไม่อยากได้ยิน ในที่สุดมันก็ถูกเอ่ยถามออกมาจนได้ คำถามที่ยังหาคำตอบให้ตัวเองไม่ได้
เพื่อน....คำนี้ถ้าพูดออกไปได้อีกครั้งก็คงดี แต่ในเมื่อซีวอนก็เคยพูดว่าไม่ใช่
คนรัก....คำนี้ยิ่งน่าขำ มันไม่มีทางเป็นไปได้เลยด้วยซ้ำ
ซีวอน...ฉันควรจะตอบว่าอะไรดี
“ซีวอนกับฮีชอลเป็นเพื่อนกัน” เสียงทุ้มดังขึ้นจากด้านหลังทำให้ร่างบางสะดุ้งไปทั่งตัว ก่อนรู้สึกได้ว่ามือถูกดึงรั้งให้ยืนขึ้น “ไปเดินเล่นกันเหอะฮีชอล”
ร่างบางลุกออกจากความอึดอัดไปตามแรงจูงขอเพื่อนสนิท เดินไปตามหาดทรายที่ทอดตัวยาว มีเพียงแสงดาวบนฝากฟ้าคอยส่องนำทางให้เท่านั้น “ขอบใจนะ จองวู”
“ไม่เป็นไรหรอก พวกนั้นก็ถามอะไรไร้สาระ ดูดาวดวงนั้นสิ สว่างที่สุดเลยเนอะ” นิ้วยาวชี้ไปยังดาวดวงที่สว่างที่สุดบนฝากฟ้า ดาวที่ก็ไม่รู้ว่ามันชื่ออะไร ขอแค่เพียงมันดึงเพื่อนของเขาให้ออกจากความทุกข์ได้ก็เพียงพอแล้ว
“ไหน อืออ สว่างจริงด้วย ดาวอะไรอ่ะ” ฮีชอลมองดาวดวงเล็กที่สว่างไสวกว่าดาวดวงอื่นๆ ท่ามกลางความมืด ก่อนเหลียวกลับมาถามเพื่อนผู้ที่ชี้ชวนให้ดู
ใบหน้าสวยที่หันกลับมามอง ห่างกับใบหน้าของชายหนุ่มเพียงแค่ชั่วลมหามใจ ใบหน้าสวยที่แม้ท่ามกลางความมืดก็ไม่อาจปิดบัง ดวงตาที่เปล่งประกายเสียยิ่งกว่าดาวดวงที่ชี้ชวนกันมอง สายลมเย็นๆพัดพาให้บางอย่างที่อยู่ในใจ ฟุ้งกระจายขึ้นมา “ฮีชอลฉันรักนาย”
จองวูตกใจกับตัวเองที่หลุดปากความในใจออกไป หากแต่ไม่พูดในครั้งนี้ ก็คงไม่มีโอกาสจะได้บอกฝากคำรักอีกแล้ว แม้ต่อจากนี้จะมีอะไรเปลี่ยน แต่อย่างน้อยก็บอกให้ร่างบางตรงหน้าได้รับรู้ “ฉันรักนายฮีชอล รักนาย รักมาก รักมานานแล้ว”
“จองวู ฉัน....” เพียงแค่นั้นที่สามารถเอ่ยได้ก่อนที่ริมฝีปากอิ่มจะถูกช่วงชิงโดยเพื่อนสนิท ลิ้นร้อนที่แทรกลึกเข้ามาอย่างอ่อนโยนแบบที่ไม่เคยได้รับ อ้อมกอดอุ่นกระชับแน่นให้รู้สึกได้ถึงหัวใจที่เต้นรั่ว ความรักถูกถ่ายทอดผ่านสัมผัสที่นุ่นนวล
ดวงตากลมหลับพริ้ม ซึมซับความรู้สึกแสนหวาน เสียงคลื่นซัดสาดคล้ายเสียงเพลงที่ขับกล่อมให้อารมณ์เคลิ้มไหว สองแขนเรียวขึ้นเกี่ยวคล้องลำคอหนา โน้มลงขอรับสัมผัสที่แนบชิด
จุมพิตจากความรักมันเป็นแบบนี้เองใช่ไหม........ความรัก
ความรัก...ความรัก!
รัก...ซีวอน....ไม่ใช่.....จองวู!
“อื้ออออ” ร่างบางที่ขัดขืน ใบหน้าที่ส่ายไหว เรียกสติของชายหนุ่มที่หลุดลอยให้กลับมา มองเห็นความเป็นจริงอยู่ตรงหน้า ก่อนทำใจยอมรับการเปลี่ยนแปลง
“เรา....” จองวูหมดสิ้นคำพูดไม่กล้าสู้หน้า ได้ก้มหลบตากลมโต ไม่อยากมองเห็นความเกลียดชังในดวงตาคู่สวย
จากนี้คงต้องเสียความรักไปตลอดกาล
“ฉันขอโทษ”
เสียงหวานใสสั่นเครือพาให้ชายหนุ่มต้องเงยหน้าขึ้นมองใบหน้าหวานที่นองด้วยน้ำตา เหมือนหัวใจกำลังถูกกัดกร่อนด้วยน้ำกรด เพียงแค่คำสั้นๆก็บอกให้รู้ถึงคำตอบได้
....ฮีชอลจะขอโทษทำไม นายไม่ได้ทำอะไรผิดเลยสักนิด เป็นฉันเองที่ผิด ฉันเองที่คิดเกินเลย...
“อย่าร้องไห้นะฮีชอล อย่าร้อง เก็บน้ำตาของนายเอาไว้นะคนดี” มือหยาบกระด้างลูบไล้เช็ดน้ำตาบนใบหน้าหวาน ไม่รู้เลยว่าที่หางตาของตนเองก็กำลังมีน้ำไหลคลอออกมา
“ฉันขอโทษ ขอโทษ” ฮีชอลพร่ำพูดได้แต่คำเดิม ไม่เข้าใจเลยว่าเบื้องบนกำลังต้องการอะไรจากจิตใจที่บอบช้ำนี้กันแน่...ทำไมไม่ให้คนสองคนได้มีใจที่ตรงกันบ้าง....
จะให้เกิดความรู้สึกที่แสนทรมานนี้ไปทำไม ทำไมเขาต้องไปรักซีวอน แล้วทำไมถึงเป็นจองวูที่เขารักเขา คนข้างบนกำลังเล่นตลกอะไรกับหัวใจคน....
“ไม่ต้องขอโทษฮีชอล นายไม่ผิด เราเองที่ผิด ถ้านายลำบากใจที่จะเจอกันอีก เราก็ไม่ว่า ไม่โกรธหรอก แต่อย่าโทษตัวเองแบบนี้” เสียงทุ้มที่เคยหนักแน่นสั่นสะท้านไม่แพ้กัน ปล่อยให้น้ำตาไหลลงสู่พื้นทรายเบื้องล่าง อย่างไม่อายผู้ใด
“ไม่...นายเป็นเพื่อนฉัน สัญญาแล้วไม่ใช่หรอว่าจะไม่ทิ้งไปอ่ะ สัญญาแล้วไง อย่าทิ้งฉันนะ อย่าทิ้งนะ” ร่างเล็กโถมตัวเข้ากอดเพื่อนสนิท รู้ดีว่าการทำเช่นนี้ไม่ต่างจากที่ซีวอนทำเลยสักนิด มีแต่รั้งเพื่อให้เจ็บ แต่ในเวลานี้....มีเพียงแค่เพื่อนคนนี้เท่านั้นที่เข้าใจ
ขอเห็นแก่ตัว...แล้วฉุดรั้งนายไว้ให้อยู่ข้างฉันไปตลอดจะได้ไหม
“ไม่ทิ้งฮีชอล เราจะไม่ทิ้งฮีชอล ถ้าฮีชอลยังอยากให้เราเป็นเพื่อนเราก็จะเป็นเพื่อนนะ อย่าร้องไห้อีกเลยคนดี” หยดน้ำที่ไม่หยุดไหลลงง่ายๆ ถูกปาดทิ้งออกไปด้วยความรัก และความห่วงใย
คนทั้งสองต่างปลอบประโลมใจที่เจ็บร้าวจากความรักให้แก่กันและกันท่ามกลางความเงียบ ก้าวย่างแต่ละก้าวดูเชื่องช้าและแสนสั้น ทางเดินจากหาดทรายสู่บ้านพักดูยาวไกลเหลือเกิน
ชายหนุ่มร่างสูงยืนนิ่งมองร่างที่บอบบางเดินเข้าใกล้บ้านพัก ในความมืดบางอย่างถูกถามออกไปโดยไม่ยั้งคิด “นายรักซีวอนใช่ไหม”
จองวูมองเห็นร่างกายที่ผายผอมหยุดชะงัก ใบหน้าสวยหันกลับมามอง ไร้คำพูดใดๆ มีเพียงภาษากายที่ตอบคำถามอยู่เงียบ....รอยยิ้มหวานและการพยักหน้ารับ
ความรักที่เกินเลยของฉันจะอยู่ใต้พื้นทรายนี้.... และฉันจะกลับไปเป็นเพื่อนคนเดิมที่รักและหวังดีต่อนาย
.....เพียงแค่เพื่อนที่ดีเท่านั้น....จะไม่ทำให้ลำบากใจ
* ~ * ~ * ~ * ~ *~ * ~* ~* ~ * ~ * ~ * ~ * ~ * ~ * ~ *
* ~ * ~ * ~ * ~ *~ * ~* ~* ~ * ~ * ~ * ~ * ~ * ~ * ~ *
“ฮีชอลเดี๋ยวเราไปส่งที่บ้านนะ” จองวูยอมรับความเป็นเพื่อนที่ได้รับจากฮีชอล ยังคงทำตัวเช่นเดิม เหมือนว่าคืนก่อนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“ห่ะ...อืมมม” ร่างเล็กปรือดวงตากลมขึ้นมองชายหนุ่มก่อนพยักหน้ารับ แล้วเข้าสู่ห้วงนิทราบนรถต่อไป มีไหล่กว้างๆให้คอยพิงหลับ
“ไม่หลับแล้วสิ ถึงม.แล้วนะฮีชอล ตื่นเหอะ” ชายหนุ่มสะกิดร่างกายผอมบาง เมื่อเห็นว่ากำลังจะหลับไปอีกแล้ว ทั้งที่รถก็กำลังเลี้ยวเข้าประตูใหญ่ของมหาวิทยาลัย
“อ้าวววว ไม่รู้” ดวงตากลมปรือขึ้นอีกครั้งอย่างหยาดเยิ้ม ปากเล็กอ้ากว้างให้อ๊อกซิเย่นเข้าไปเลี้ยงสมอง พาให้น้ำตาไหลออกมานิดๆ
“จองวูแกล้งอะไรฮีชอลอ่ะ น้ำตาไหลใหญ่เลย” ซองมินที่นั่งอยู่เบาะฝั่งตรงข้ามแซวเพื่อนสนิทที่กำลังไล่เช็ดน้ำตาจากอาการหาวให้กันไม่สนใจคนอื่นๆในรถ
“ฉันไม่ได้แกล้ง แค่บอกว่าอีกไม่นานนายจะตาย ฮีชอลก็เลยร้องไห้บอกให้ฉันฆ่านายตอนนี้ได้เลย”
“อะไรว้า” ปากอิ่มยับยู่เข้าหากัน กับคำตอบแสนกวนจากเพื่อนสนิทที่ไม่ยอมให้กันเลย “คนแค่ถามดีๆ ก็ตอบแบบนี้ คอยดูถอดเฝือกเมื่อไหร่ฉันจะแก้แค้น”
“รีบๆหน่อยละกันไอ้อ้วน” แม้ปากจะคอยว่าเพื่อน หากแต่ชายนหนุ่มก็ตรงเข้าคอยประคองยามคนมีเฝือกลุกขึ้นจะลงจากรถบัส
“ไม่ต้องเลย มาว่าฉันอ้วน” แขนอวบสะบัดออกจากมือของเพื่อนสนิท ก่อนที่ดวงตากลมจะหันไปออดอ้อนเพื่อนอีกคนที่ตัวบางกว่า และยืนมองอยู่พร้อมรอยยิ้ม “ฮีชอลช่วยฉันลงหน่อยสิ”
เจ้าของชื่ออยากจะหัวเราะขำเพื่อนทั้งสองที่ทะเลาะกันมาตั้งแต่ปีหนึ่งจนถึงตอนนี้ ก่อนเข้าไปพยุงคนมีเฝือกให้เดินลงบันรถอย่างช้าๆเป็นคนแรกของรถ ส่วนคนที่เหลือก็ได้แต่ยืนรออย่างเข้าใจ
ฮีชอลประคองซองมินจากข้างหลังคอยจับแขนไว้หากจะหน้าคว่ำลงไป แต่แล้วกลับมีมือหนาที่เอื้อมมาประคองจากพื้นถนน เป็นคนที่ร่างบางรู้จักดี
ดวงตากลมมองร่างสูงที่คอยรอรับซองมินอย่างเผลอลืมตัว มองใบหน้าคมที่มีรอยยิ้มประดับอยู่ด้วยความน้อยใจ นานแค่ไหนแล้วที่รอยยิ้มนี้ไม่ได้เป็นของเขา
“อ่ะ ซีวอน” ร่างอวบอ้วนร้องด้วยความตกใจเมื่อเห็นคนที่รอรับอยู่ด้านล่าง
“ค่อยๆลงนะซองมิน” เสียงนุ่มทุ้มพร้อมรอยยิ้ม แต่กลับทำให้คนรูสึกไม่สบายใจ
ร่างบางมองคนสองคนตรงหน้าด้วยความรู้สึกที่บอกไม่ถูก รู้เพียงแต่ว่ามันเจ็บจนชิน สำหรับซอ
งมินคงไม่มีอะไร แต่กลับซีวอน แววตาแบบนั้น...ให้ฉันสักครั้งจะได้ไหม
วันที่ฉันหมดแรง นายจะเป็นห่วงได้ครึ่งหนึ่งของที่มีให้ซองมินหรือเปล่า
ในเวลาที่น้ำตาจวนเจียนจะไหลลงมา ที่บนบ่าก็สัมผัสได้ถึงน้ำหนักของมือหนา ที่คอยให้กำลังใจและปลอบโยนไปในเวลาเดียวกัน
....ขอบใจนะจองวู.... นายเองก็คงรู้สึกเหมือนฉัน กับการเฝ้าคอยความรู้สึกที่รู้ว่าไม่มีอยู่จริง เวลานี้ก็คงเจ็บไม่ต่างกันใช่ไหม
“ฮีชอล ลงสักทีสิ บนรถมันร้อนนะ” เสียงร้องโวยจากเพื่อนที่รออยู่ด้านหลัง ปลุกให้ร่างเล็กหลุดออกจากห้วงความคิด เดินลงจากรถที่ไม่มีใครคอยรอรับ..ไม่มีแต่เงาของความห่วงใย
ร่างบางก้าวลงจากรถมองเห็นรถคันคุ้นตาของน้องรหัสแล่นเข้ามาจอดต่อท้ายรถคันใหญ่ เจ้าของรถรีบลงจากรถด้วยความรีบร้อนเมื่อเห็นใครอยู่กับคนรักของตน
“พี่ฮีชอล พี่จองวูหวัดดีครับ” เด็กหนุ่มโค้งตัวให้รุ่นพี่ทั้งสองก่อนตรงไปหาคนรักที่ลงมานั่งรออยู่ที่เก้าอี้หินแกรนิตหน้าคณะ
“ฮีชอลเดี๋ยวเราเอาคอยเอากระเป๋าให้ นายไปนั่งกับซองมินก่อนก็ได้ จะได้ไม่ต้องยืนรอ” จองวูบอกกับเพื่อนตัวบางที่เดินมาข้างรถด้วยกัน
“ไม่เป็นไรหรอก จะได้ช่วยถือของซองมินไปให้ด้วยไง ไม่งั้นก็แบกตั้งสามใบ หนักตายพอดี” ใบหน้าหวานมีรอยยิ้มที่เจือปนด้วยความเศร้า แค่มองเห็นอยู่ห่างๆก็เจ็บพอแล้ว หากเข้าไปนั่งอยู่ด้วยคงยากที่จะปิดบังความรู้สึกได้
“อย่าทำหน้าเศร้าแบบนั้นสิ นายเศร้า เราก็ยิ่งเศร้านะ” ใบหน้าของคนพูดมีรอยยิ้มให้กำลังใจ มือหนายื่นมาเช็ดน้ำตาหยดเล็กที่คงไหลลงมาโดยไม่ทันรู้ตัวบนใบหน้าใส
“กลับบ้านได้หรือยัง คิม ฮีชอล” เสียงทุ้มต่ำดังขึ้นจากด้านหลังพาให้ร่างเล็กที่พึ่งเกิดรอยยิ้มอ่อนๆเพราะการกระทำของเพื่อนสนิท สะดุ้งสุดตัวด้วยความตกใจ
“ยัง...เดี๋ยวต้องรอกระเป๋าอีก” ฮีชอลก้มหน้าต่ำ ยังไม่อยากสบตากับชายหนุ่มร่างสูง
“ก็ไปเอามาสิ ฉันมีธุระต้องไปทำต่อไม่ได้ว่างมารอนายทั้งวัน” เสียงห้วนจัดกระชากบอกร่างบางที่เอาแต่ก้มหน้า
“ถ้านายรีบ ก็ไปทำธุระของนายเหอะ ฉันไปส่งฮีชอลให้เอง” จองวูมองใบหน้าก้มต่ำที่ซีดเผือดของร่างบางแล้วได้แต่สงสาร พาให้ใจตัวเองต้องเจ็บ
ทำไมคนอย่างซีวอนถึงมีคนดีๆอย่างฮีชอลไปรัก...แล้วทำไมเขาถึงไม่ได้รับความรักจากฮีชอลบ้างเลย...
“ฉันมารับฮีชอลก็หมายความว่า ฮีชอลต้องกลับกับฉัน คนอื่นไม่จำเป็นต้องเข้ามายุ่ง” ดวงตาคมวาวแสงสองคู่มองสบกันอย่างไม่มีใครยอมแพ้
“ขอบใจนะจองวู ฉันกลับกับซีวอนก็ได้” เสียงเล็กดังแผ่วขึ้น ท่ามกลางบรรยากาศมาคุ มือบางเอื้อมจับมือหนาของเพื่อนสนิท ให้ไม่วู่วามทำอะไรรุนแรง
จองวูตบลงบนหลังมือขาวที่เบาๆ รับรู้ในสิ่งที่ร่างบางผู้นี้ต้องการจะสื่อ หากแต่สัญชาตญาณบางอย่างในตัวทำให้จ้องกลับสายตาของชายหนุ่มร่างสูงอีกคนอย่างผู้ชนะ ไม่ละมือออกจากมือบางที่กอบกุมไว้
ซีวอนขบกัดสันกรามจนขึ้นโครงชัดเจนบนใบหน้า จ้องจับไปสองมือที่กำลังกอบกุมกันอยู่โดยไม่สนใจเขาที่ยืนอยู่ตรงนี้ ความรู้สึกของการเป็นเจ้าของร่างกายบอบบางแล่นขึ้นมาอย่างไม่อาจห้ามได้ จนฉุดรั้งมือเล็กให้หลุดออกจากอุ้มมือหนา แล้วพาเดินไปที่ข้างตัวรถบัสที่ผู้คนต่างกำลังรื้อกระเป๋าของตนเอง โดยไม่สนใจเพื่อนร่วมเอกของร่างบางเลย
“ใบนี้ใช่ไหม” ชายหนุ่มคว้ากระเป๋าใบเล็กที่ไม่สะดุดตาจากกองกระเป๋ามากมายขึ้นมาถามร่างบางที่ยืนนิ่งไม่พูดอะไรได้แต่พยักหน้ารับ ก่อนจะถูกลากไปยังรถคันใหญ่ที่จอดอยู่ฝั่งตรงข้าม
ตลอดทางที่นั่งอยู่ในรถมีแต่ความเงียบงัน ไม่มีคำพูดใดๆ เต็มไปด้วยความอึดอัดที่บีบคั้นจนแทบหายใจไม่ออก เบือนหน้าออกไปสองข้างทางก็ดูเหมือนจะไร้ประโยชน์ เมื่อมันไม่ช่วยให้ใจดีขึ้นมาได้เลย
ดวงตากลมไม่กล้าที่จะเหลียวมองใบหน้าคมที่มองตรงไปยังถนนเบื้องหน้า ได้แต่เบือนหนีออกไปทางอื่น คิดว่าอารมณ์โกรธเกรี้ยวและแรงกดดันที่แผ่ออกมานั้นก็เพราะความรักของคยูฮยอนและซองมิน...
ซีวอนเหลือบสายตาจากถนนโล่งว่างสู่คนข้างๆที่นั่งเบือนหน้าหนีไปทางอื่น มองสำรวจร่างเล็กอยู่เงียบๆ มองไล้ตั้งแต่ใบหน้าใสลงมาที่คอเล็ก ผ่านเสื้อผ้าที่ปกปิดมิดชิด
ชายหนุ่มยกมุมปากขึ้นอย่างพอใจที่ไม่เห็นอะไรผิดแผกไปจากที่ควรมี ปล่อยให้ความเงียบเข้าครอบครองรถคันนี้ต่อไป ด้วยรู้ดีว่า เมื่อมีคำพูดต่อกันก็คงไม่พ้นเรื่องที่ทำให้ต้องโกรธมากไปกว่านี้
และแล้วล้อรถก็หยุดลงตัวบ้าน ฮีชอลถอนหายใจด้วยความโล่งอกที่ไม่ต้องทนต่อความอึดอัดและแรงกดดันที่มีอยู่มากมาย ร่างบางเหลียวหลังเพื่อหยิบกระเป๋าใบไม่ใหญ่ที่ถูกโยนไปไว้เบาะหลัง หากแต่ว่ากลับถูกคนที่ตัวใหญ่ฉวยหยิบไปก่อนแล้ว
“เอาไป แล้วบอกแม่ให้ด้วยว่าคืนนี้ฉันไม่กลับ” กระเป๋าถูกโยนลงมาที่หน้าตัก พร้อมคำพูดแสนห้วนอย่างไม่ใยดี
“ฉันถามได้หรือเปล่าว่านายจะไปไหน” ฟันขาวขบกันริมฝีปากของตนเอง เผลอสบสายตาคู่คมที่แสนน่ากลัว ก่อนจะต้องตาหลบหนี ขาเล็กก้าวลงจากรถรับรู้ได้ว่าคงไม่มีสิทธิ์ถามอีกต่อไป
“ฉันจะไปเที่ยวกับเพื่อน”
เสียงทุ้มที่ลอยมากระทบหูก่อนจะปิดประตูรถพาให้หัวใจดวงน้อยพองโตคล้ายลูกโป่งที่ถูกเป่าลม แต่แล้วก็ฟีบแฟ่บกลับเช่นเดิม เมื่อรถคันสวยแล่นจากไปในทันทีที่ประตูรถถูกปิดลง
น้ำตาหยดเล็กไหลลงมาอย่างช้าๆ ให้ปาดทิ้งได้ทันก่อนที่จะมีใครมาทันเห็นความอ่อนแอ
* ~ * ~ * ~ * ~ *~ * ~* ~* ~ * ~ * ~ * ~ * ~ * ~ * ~ *
ในยามเช้าของวันจันทร์ เหล่านักศึกษาต่างยังคงอาลัยกับวันหยุดที่พึ่งผ่านมา แต่กระนั้นก็ไม่เป็นอุปสรรคต่อการนั่งจับกลุ่มพุดคุยส่งเสียงดังเพื่อรอเวลาเข้าเรียน
“ว่าไงคิบอมอยู่หอในแต่มาสายนะเว้ย” โจว คยูฮยอนทักทายเพื่อนสนิทที่เดินเข้ามานั่งข้างๆ พร้อมด้วยจานข้าวที่ไปซื้อมาก่อนเดินมาที่โต๊ะ
“มาจากบ้านเว้ย พี่ซองมินไปเที่ยวทะเลมาสนุกไหมครับ” เด็กหนุ่มหันไปทักทายรุ่นพี่คนรักเพื่อนสนิทที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม
“สนุกที่สุดเลยยย แถมนะมีเรื่องให้ลุ้นด้วยแหล่ะ” ใบหน้าอิ่มเล่าอย่างตื่นเต้น ผิดกับคนรักที่ทำสีหน้าคล้ายไม่อยากให้พูด
“เรื่องอะไรหรอครับ”
“ก็จองวู....”
“ไม่มีอะไรหรอก เรื่องของรุ่นพี่ แกสนใจด้วยหรอวะไอ้บอม” เด็กหนุ่มรีบพูดแทรกขึ้นกลบเสียงคนรัก ไม่อยากให้เพื่อนได้รู้เรื่องที่เกิดขึ้นกับพี่รหัสของตนเอง
แม้ภายนอกจะคล้ายว่าไม่มีอะไร แต่คยูฮยอนก็รู้ดีว่าความจริงแล้วมันไม่ใช่....คิบอมยังคงรักและเป็นห่วงรุ่นพี่เสมอมา
“อ้าว ก็อุตส่าห์ไปเที่ยวทะเลมา มันก็ต้องมีเรื่องสนุกสิวะ แกเป็นไรเนี้ย” คิบอมมองหน้าเพื่อนรักอย่างแปลกใจ ก่อนหันไปหารุ่นพี่ที่สนิทกันเป็นอย่างดีคะยั้นคะยอจะฟังเรื่องสนุกที่เกิดขึ้น “มีเรื่องตื่นเต้นอะไรหรอครับพี่ซองมิน”
“ก็ไม่ตื้นเต้นหรอก แต่ว่ามันโรแมนติคมากอ่ะ ก็พี่มองจากหน้าต่างออกไป แล้วเห็นจองวูกับฮีชอลจูบกัน ใต้แสงดาวริมทะเล หวานสุดๆอ่ะ พี่เห็นแล้วยังอิจฉาเลย น้องบอมตกใจใช่ไหมหล่ะ” ซองมินยิ้มถาม “พี่เองยังตกใจเลย”
จากรอยยิ้มที่ปรับอยู่บนใบหน้ากลายเป็นความเรียบเฉย กดความรู้สึกเอาไว้ให้ลึกที่สุด แต่สองมือที่แอบซ่อนอยู่ใต้โต๊ะกำลังกำเข้าหากันจนเจ็บ เตือนสติตัวเองให้นึกไปถึงถ้อยคำในวันนั้น ที่ยังคงดังก้องไม่จางหาย
.... “เพราะพี่รักเขา พี่รักซีวอน”.....
ถึงวันนี้คำตอบของพี่จะเปลี่ยนไป และคนนั้นของพี่ก็ยังคงไม่ใช่ผม
....แต่ไม่เป็นไรหรอกครับ ขอแค่พี่มีความสุขก็พอแล้ว......
คยูฮยอนเหลียวมองเพื่อนรักที่นั่งอยู่ข้างตัว แล้วได้แต่สงสารอยู่เงียบๆ ไม่อาจทำอะไรได้มากไปกว่า เป็นกำลังใจจนถึงวันที่คิบอมเข้มแข็ง และตัดใจได้
“จะว่าไป ถ้าฮีชอลรักจองวูก็ดีสิเนอะ จะได้ไม่ต้องจมอยู่กับน้ำตาเหมือนตอนนี้ แล้วอีกอย่างนะ จองวูก็รักฮีชอลมากด้วย ไม่เหมือนซีวอนหรอก ดีแต่ทำร้ายฮีชอล นู้นไง มาด้วยกันด้วย แปลว่าคืนนั้นฮีชอลต้องรับรักจองวูแน่เลย” นิ้วป้อมชี้ไปยังเพื่อนสนิททั้งสองคนที่เดินมาด้วยกันแต่เช้า ใบหน้าของทั้งคู่ต่างประดับรอยยิ้มที่กว้างกว่าวันไหนๆ
“ เออ น้องโจวกับน้องบอมอย่าให้สองนั่นรู้นะว่าพี่เล่าเรื่องนี้ให้ฟัง” เพราะความดีใจที่เห็นเพื่อนจะมีความสุข จึงลืมสังเกตใบหน้าของสองหนุ่มที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม
คิบอม และคยูฮยอนนั่งฟังคำของรุ่นพี่ที่เล่าเรื่องสนหวานแต่ทรมานใจคนฟัง ด้วยความความรู้สึกที่หลากหลาย และยิ่งไม่สามารถกล่าวอะไรได้อีก เมื่อเห็นร่างสูงต่างคณะที่คุ้นตา กำลังยืนฟังด้วยท่าทีสงบ...สงบจนน่ากลัว
ซีวอนยืนอยู่ตรงนี้นานพอที่จะได้ยินเรื่องทั้งหมด ความรู้สึกที่ไม่เข้าใจกลับมาอีกครั้ง กับเพียงแค่รู้ว่า ริมฝีปากที่ตนเคยได้ครอบครองแต่เพียงผู้เดียวมีคนอื่นมาฉกฉวยไป
...มันเหมือนความรู้สึกตอนเด็กที่หวงของเล่น....แต่ตอนนี้มันมากยิ่งกว่า....มากเสียจนสับสน
จากความรู้สึกที่ไม่รู้จัก ค่อยๆกลายความวูบโหวงเหมือนไร้เรี่ยวแรง เมื่อเห็นคนสองคนที่ถูกพูดถึง เดินมาด้วยกัน ยิ้มมาด้วยกัน และคงไม่แคล้วว่าไปรับกันมาจากบ้านที่เมื่อคืนเขาไม่ได้กลับไปนอน
ถ้อยคำที่แปลได้ว่า คนสองคนกำลังจะคบกัน ค่อยๆกัดกินให้เกิดความเจ็บแปลบขึ้นในใจ ห่างไกลจากความรู้สึกที่คิดว่าเป็นแค่การหวงของเล่นเหมือนเมื่อครั้งที่รู้สึกในเยาว์วัย
........ความเจ็บที่มีมันมากล้นขึ้นเรื่อยๆ จนยากจะรับมือ และยอมรับความรู้สึกนี้
สิ่งเดียวที่ชายหนุ่มคิดได้คือการระบายอารมณ์ที่อัดแน่นออกมา คือการประกาศให้รู้ว่าร่างเล็กที่กำลังเดินมานั้น เป็นของเขาแต่เพียงผู้เดียว...และจะไม่มีวันเป็นของใครอื่น
ขายาวก้าวฉับไวไม่สนใจคนทั้งสามที่ใบหน้าซีดเผือด ตรงเข้าไปกระชากแขนเรียวติดมือมา โดยไม่สนใจสายตาตกตะลึงหรือเสียงร้องของผู้ใด ความโกรธมันกำลังบดบังทุกสิ่งอย่างให้เลือนหายไป
“ซีวอน ปล่อยนะ จะไปไหน ฉันเจ็บซีวอน” ดวงตาโตจับจ้องแผ่นหลังกว้างที่อยู่เพียงแค่ช่วงแขน แต่กลับดูแสนไกล มองข้อมือตัวเองที่กำลังแดงจัด แล้วได้แต่ร้องอุทธรณ์เพราะรู้ดีว่า ถึงดิ้นรนอย่างไรก็ไม่มีวันที่จะหลุดออกมาได้
“ ปล่อยฮีชอลนะ” จองวูรีบเดินตามชายหนุ่มขึ้นมาจนเข้ามายืนขวางหน้าคนทั้งคู่เอาไว้ได้มัน มองข้อมือเล็กที่แดงช้ำจนน่าสงสาร อยากจะคว้าออกมา แต่กลับถูกมือใหญ่พาหลบหนี จนคว้าได้แต่อากาศ
“ถอยไป....”
เสียงขู่แสนทุ้มต่ำไม่สร้างความหวาดกลัวให้แก่จองวูเลย ชายหนุ่มยังคงยืนนิ่งอยู่ในที่เดิม จ้องสบสายตาคมที่แทบจะไม่เห็นใครอยู่ในสายตาแล้ว “ไม่..”
“ซีวอน” ร่างบางรู้ดีว่า คำพูดของเพื่อนสนิท กำลังจุดประกายความโกรธเกรี้ยวในตัวชายหนุ่มให้เพิ่มมากขึ้น เหมือนแรงบีบที่ข้อมือ
ดวงตาคมเหลือบมองร่างเล็ก ก่อนหันกลับไปมองยังคนที่ขวางทางไว้ นัยน์ตาโชนกร้าวด้วยความไม่พอใจ ยิ่งได้เห็นความเป็นห่วงเป็นใยจากสายตากลมโต ก็ยิ่งไม่พอใจ จนอยากจะทำลายให้กลายเป็นผุยผง
ซีวอนใช้ร่างกายที่สูงใหญ่กว่า กระแทกคนที่ยืนขวางจนล้มลง แล้วกระชากร่างเล็กให้ออกเดิน ไม่สนใจว่า ขาสั้นที่กว่าจะยากลำบากเพียงใดในการก้าวตาม เสียงร้องที่ได้ยินหมดความหมายเมื่อเทียบกับเปลวเพลิงในใจ
“อย่าตามไป จองวู ยิ่งนายตามไป ซีวอนก็ยิ่งโกรธ ฮีชอลก็ยิ่งลำบาก” ซองมินรีบวิ่งเข้ามารั้งเพื่อนที่กำลังจะตามคนทั้งสองไป
..เพียงแค่มองดูก็รู้แล้วว่า ซีวอนเป็นแบบนี้เพราะอะไร แล้วเมื่อไหร่นายจะรู้ใจตัวเองสักทีซีวอน
* ~ * ~ * ~ * ~ *~ * ~* ~* ~ * ~ * ~ * ~ * ~ * ~ * ~ *
ประตูห้องเรียนที่ปิดสนิทถูกเท้าใหญ่เปิดออกอย่างแรงเกิดเป็นเสียงก้องไปทั่วอาคารที่ว่างเปล่าไร้ผู้คนด้วยยังไร้ผู้คน
“นายเป็นอะไรซีวอน ฉันเจ็บนะ” ร่างบางมองไปรอบๆห้องอย่างหวาดระแวง หวาดกลัวกับอารมณ์รุนแรงของชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้า ที่มีแต่ความเงียบ มีเพียงแค่แรงบีบมหาศาลที่บอกให้รู้ว่าไม่ได้อยู่คนเดียว
“หุบปาก!”
คำสั่งตวาดก้อง พร้อมดวงตาที่แสนน่ากลัว พาให้ร่างเล็กปิดปากที่กำลังจะร้องลงในทันที จ้องมองชายหนุ่มอย่างคนไม่รู้จัก นึกไปถึงเพื่อนสนิทในวันเก่าก่อนไม่เลยสักนิดเดียว
“โอ๊ย!!”
แรงผลักที่ไม่ใช่เบาๆ ทำให้ร่างบางกระแทกกับโต๊ะที่อยู่ด้านหลังลงไปนอนกองอยู่บนพื้นเย็นๆ เสียงโต๊ะเก้าอี้ล้มระเนระนาด แล้วตามมาด้วยร่างสูงที่ขึ้นทาบทับจนไม่มีเวลาจะดิ้นหนี มือหนากระชากข้อมือข้างหนึ่งยึดเอาไว้เหนือหัว บีบแน่นราวกับจะทำให้หักคามือ ฮีชอลร้องประท้วงอย่างเจ็บปวด พยายามใช้ขาถีบให้พ้นจากพันธนาการ แต่ก็ไม่อาจขัดขืนเรี่ยวแรงที่มากกว่าได้เลย
แคว่ก..
เสียงเสื้อถูกดึงจนขาดดังก้องเข้ามาในหู ผ้าเนื้อดีที่แหว่งวิ่นติดมือใหญ่ไปกระจายอยู่ข้างตัวอย่างไม่ไยดี ผิวขาวเนียนปรากฎขึ้นในสายตา ทั้งที่น่าจะใจเต้นรัวแรงด้วยความปรารถนาเหมือนทุกครั้ง แต่ครั้งนี้กลับเต็มไปด้วยความบ้าคลั่งเมื่อได้เห็นรอยจ้ำไปทั่ว
“ฉันเคยบอกว่ายังไง....”
เสียงทุ้มต่ำเอ่ยถามเต็มไปด้วยความโกรธอย่างน่าสะพรึงกลัว ฮีชอลสะอึกไม่กล้าปริปากบอกว่าเป็นเพราะโรคประจำตัว จึงได้แต่นิ่งเงียบอยู่อย่างนั้น
“ตอบมา ฮีชอล ฉันพูดว่ายังไง!!!”
เสียงตะโกนที่เกือบจะเหมือนเสียงคำรามของสัตว์ป่า ทำเอาร่างกายสั่นสะท้านไปด้วยความหวาดหวั่น ร่างบางได้แต่สะบัดหน้าปฏิเสธโดยไม่หลุดเสียงใดๆ ออกมา ยิ่งทำให้ร่างสูงโมโหมากยิ่งขึ้น
“ฉันบอกว่า...กลับมาห้ามมีรอยอื่นบนตัวนายใช่มั้ย? แล้วรอยนี่มันอะไรกัน! ของจองวูล่ะสิท่า!” ใบหน้าคมบูดบึ้ง โทสะที่ราวกับจะบดขยี้เขาให้ตายปะทุขึ้นมาอย่างห้ามไม่อยู่
“ไม่....ไม่ใช่...”
หยาดน้ำตาใสๆ ไหลพร่างพรูออกมา ก้อนสะอื้นจุกอยู่ที่จนพูดไม่ออก อยากจะบอกเหลือเกิน อยากบอกใจแทบขาดว่ามันเป็นเพราะอะไร...แต่ก็ทำไม่ได้...
ดวงตาวาวโรจแทบจะแผดเผาร่างตรงหน้าให้มอดไหม้เป็นจุณ ความโกรธเกลียดและความหึงหวงผสมปนเปกันจนไม่คร้ามที่จะฟังคำแก้ตัว
“ทำกับฉันยังไม่พอ ยังไปทำกับจองวูอีก...นายนี่มักมากจริงๆ ให้ตาย!!!”
“ไม่ใช่!! ฉันไม่ได้...”
“แล้วนายจะอธิบายรอยพวกนี้ยังไง? ไหนพูดมาซิ”
“อึก....”
ยิ่งฮีชอลนิ่งเงียบ ยิ่งทำให้ซีวอนหัวฟัดหัวเหวี่ยง ความโกรธที่ปะทุทวีคูณอยู่ในอกระบายลงกับร่างบางที่ไม่มีความผิด ริมฝีปากอิ่มถูกขบกัดและบดเบียดอย่างรุนแรงจนรู้สึกเจ็บแปลบแทบหายใจไม่ออก แรงบีบที่หนักหน่วงพาให้ร่างทั้งร่างสั่นเทิ้มด้วยความหวาดกลัว
“อื้อ...ฮ่า!!”
“หึ คงต้องสอนให้ร่างกาย ของนายสำนึกบ้างซะแล้ว”
เมื่อการรุกรานถอนออกไป ฮีชอลก็อ้าปากหายใจหอบถี่ด้วยความทรมาน แผลเล็กๆ ตรงเรียวปากมีเลือดไหลซึมเล็กน้อย เสียงเสียดสีถากถางอันน่ากลัวของร่างสูงแล่นเข้ามาในสมอง
....ไม่! อย่านะ....
ร่างบางกระเสือกกระสนดิ้นหนีจากการลงโทษที่จะเกิดขึ้น ซีวอนโน้มตัวลงขบเม้มที่ซอกคอเรียวระหง เกิดเป็นรอยจูบมากมายราวกับจะตอกย้ำเยาะเย้ยรอยเก่าๆ ที่มีบนผิวเนื้อ แรงกัดที่ให้ความเจ็บปวดยิ่งทำให้ความขลาดกลัวเพิ่มเป็นเท่าตัว
...หยุด! ไม่เอา!!!....
“หยะ...หยุดนะ...ไม่.....พอ...ซักที...ไม่มมมมมมมมมม!!!!”
เสียงกรีดร้องด้วยความทรมานจนน่าเวทนาดังขึ้นจนร่างสูงผงะออกด้วยความตกใจ มองเห็นภาพตรงหน้าอย่างตกตะลึง ความกลัวเสียดแทงขึ้นมาในหัวใจ ช้อนประคองร่างเล็กขึ้นมาโอบกอดไว้แนบหัวใจ น้ำตาเม็ดเล็กไหลหยดโดยไม่รู้ตัว
“ฮะ..ฮีชอล นายเป็นอะไร ฮีชอล”
ร่างที่เปลือยเปล่าเกร็งแน่นอยู่บนพื้นที่เย็นกระด้าง กระตุกสั่นอย่างแรงจนรู้สึกได้ ทั้งกล้ามเนื้อและเส้นเอ็นบิดเกร็งจนปูดโปนเด่นชัด สองมือหงิกงอเข้าหากัน ดวงตาโตเบิกกว้างอย่างหวาดกลัวสุดขีด ลมหายใจติดขัดเหมือนหายใจไม่ออก ความเครียดและความกลัวถึงขีดสุดควบแน่นเข้าหากันทำให้เกิดอาการชัก ฟันขาวกัดลงลิ้นเล็กจนเลือดไหลนองออกมาจากกลีบปากสีซีด
ชายหนุ่มใช้สองมือง้างปากเล็กอย่างระวัง ทุกสัมผัสเต็มไปด้วยความอ่อนโยน ภาพตรงหน้าพร่าเลือนด้วยหยดน้ำที่เอ่อคลอ สอดนิ้วเรียวของตนเองเข้าไปแทนที่ลิ้นเล็กที่อาบด้วยเลือดสีสด ปล่อยให้ฟันขาวขบกัดลงมาอย่างแรง หลับตาแน่นยอมรับความเจ็บที่ได้รับ โอบอุ้มร่างเล็กขึ้นอย่างยากลำบาก แล้วตรงไปยังรถคันใหญ่ที่จอดอยู่ไม่ห่าง
รถคันใหญ่วิ่งไปตามถนนด้วยความเร่งสูงฝ่ารถมากมายที่ออกันอยู่บนถนน ชายหนุ่มขับมันด้วยความชำนาญ สายตาคมคอยเหลือบมองร่างเล็กที่ยังคงเกร็งแน่นจนน่ากลัว นิ้วที่ถูกกัดจนเลือดอาบยังไม่เจ็บเท่ากับหัวใจที่เห็นภาพตรงหน้า
ความรู้สึกที่ไม่รู้จัก เวียนวนอยู่ไม่ห่าง จนไม่กล้าปฏิเสธมันได้อีก ถึงจะยังไม่อาจหาคำตอบได้ แต่ใจก็รู้ดีแล้วว่า คนตรงหน้ามีความสำคัญมากเกินกว่าของที่หวงแหน เกินกว่าชีวิตทั้งชีวิต
ฉันรู้แล้วว่าทำไมฉันถึงต้องคอยทำร้ายนายเสมอ ทำไมถึงต้องคอยหวง
..แต่ฉันยังไม่รู้ว่ามันชื่ออะไร นายต้องเป็นคนบอกฉันนะ.....
..ต้องตื่นขึ้นมาบอกฉัน ห้ามเป็นอะไรนะฮีชอล....
* ~ * ~ * ~ * ~ *~ * ~* ~* ~ * ~ * ~ * ~ * ~ * ~ * ~ *
ร่างที่ดูเปราะบางพร้อมแตกสลายเกร็งแน่น ดวงตาเหลือกโปน ฟันขาวกัดแท่งยางยืดหยุ่นที่บุรุษพยาบาลนำมาให้กัดแทนนิ้วมือของชายหนุ่มร่างสูง นอนนิ่งบนเตียงคนไข้ที่ถูกเข็ญเข้าสู่ห้องฉุกเฉินอย่างรีบเร่ง
“คุณเข้าไปไม่ได้นะค่ะ” พยาบาลสาวรีบเข้าขวางชายหนุ่มผู้มีน้ำตาอาบใบหน้าคมที่เดินตามรถเข็ญมาอย่างคนไม่รู้ตัว ทั้งที่นิ้วของตนเองก็มีแผลเหวอะเลือดไหลนองสู่พื้น
ร่างกายสูงใหญ่ทรุดลงกับพื้นอย่างสิ้นท่า มองเห็นบานประตูใหญ่ตรงหน้าอย่างพร่าเลือนด้วยหยดน้ำจากตากำลังไหลลงมา ไม่สนใจสิ่งรอบตัวอีกต่อไป
ซีวอนไม่รู้สึกเจ็บกับรอยกัดที่กลางนิ้วจนเลือดไหลนองด้วยลืมความรู้สึกทางกายไปจนหมดสิ้น เหลือเพียงความรู้สึกในใจที่เหมือนสายน้ำถาโถมเข้ามาอย่างรวดเร็วจนตั้งรับไม่ทัน....แยกแยะไม่ออกแล้วระหว่างความเจ็บ หรือความกลัว
ไม่รู้แม้กระทั่งว่า ทำไมต้องเจ็บ ทำไมต้องกลัว....นายต้องออกมาบอกฉันนะฮีชอล
“ต้องออกมา ต้องตื่นนะ ฉันยังไม่รู้เลย นายจะปล่อยให้มันค้างคาแบบนี้ไม่ได้นะฮีชอล”
พยาบาลสาวมองดูชายหนุ่มที่ทรุดตัวหน้าห้อง แอบฟังถ้อยคำรำพึงเบาๆด้วยความสงสารอย่างจับใจ นานมากแล้วที่เธอไม่ได้เห็นภาพแบบนี้ ไม่ได้รู้สึกถึงความรักที่มากล้นของคนรอที่ส่งใจไปถึงคนในห้องฉุกเฉิน ยิ่งภาพของหยดน้ำสีแดงเข้มที่ไหลหยดจากนิ้วมือ ยิ่งพาให้คนมองต้องแอบมีน้ำตาคลอ ถึงแม้จะเป็นคนนอก และไม่เคยรู้เรื่องราวมาก่อน “คุณค่ะ ไปทำแผลก่อนเถอะค่ะ”
“ไม่ ฉันจะรอฮีชอล เขาต้องออกมาฉัน ต้องออกมา นายต้องออกมานะ ห้ามหนีฉันไป นายจะหนีฉันไปไม่ได้นะ เข้าใจไหม ว่านายเป็นของฉัน ฮีชอล” ชายหนุ่มมองจ้องไปยังบานประตูสีขาวสะอาด ส่งผ่านคำพูดหวังจะสื่อให้ถึงคนในห้องที่หมอมากมายกำลังช่วยชีวิต ไม่สนใจทั้งบาดแผลและนางพยาบาล
“ไอ้ซีวอนนนนน”คำสบถด่าดังลั่นทางเดินหน้าห้องฉุกเฉิน พร้อมหมัดใหญ่ที่ตรงเข้ายังปลายคางคมสัน จรชายหนุ่มที่ถูกต่อย ล้มลงไปกองกับพื้น หากทว่าไม่มีทีท่าว่าจะกลับลุกขึ้นมาตอบโต้ ดวงตาคมเข้มลอยไปไม่จับจ้องที่ผู้ทำร้ายเลยสักนิด
“คุณค่ะ ที่นี้โรงพยาบาลนะ” นาพยาบาลสาวเรียกสติกลับมา ตรงเข้าขวางผู้มาใหม่ ร้องเตือนให้เคารพสถานที่ หมอ และคนไข้ที่ต้องการความสงบ
“เฮ้ยๆๆ จองวู หยุดได้แล้ว อย่าบ้าได้ไหม นี้มันที่โรงบาลนะ” แขนอวบเข้ามารั้งตัวเพื่อนสนิท พร้อมกับส่งต่อให้คนรักและรุ่นน้องพาออกไปสงบสติ “น้องโจว คิบอม พี่ฝากหน่อย”
“ซีวอนเป็นอะไรหรือเปล่า” ซองมินตรงเข้าประคองชายหนุ่มที่เคยกร้าวแข็งให้ลุกขึ้นนั่ง มองดวงตาคู่ที่เคยกลัวด้วยความหนักใจ เห็นรอยช้ำและรอยฟันกัดที่ข้อนิ้วใหญ่ทำให้ใจอ่อน อดไม่ได้ที่จะเป็นห่วงคนที่เคยทำร้ายเพื่อนตัวเอง “นายไปทำแผลนะซีวอน”
“ไม่...ฉันจะรอฮีชอล...ฮีชอลต้องออกมาตอบฉันก่อน ต้องออกมา ฉันจะรออยู่ตรงนี้”
ซองมินฟังคำพึมพำของชายหนุ่ม จนต้องไปสบตากับพยาบาลสาวอย่างขอความช่วยเหลือ แต่ก็ได้มาเพียงแค่การส่ายหน้าอย่างจนใจ แล้วได้แต่ถอนหายใจยาว
...นี้แหล่ะหน่า ทำเขาไว้เยอะ ก็เจ็บมากแบบนี้แหล่ะ....
“ซองมินนายจะไปสนใจมันทำไม มันทำฮีชอลเป็นแบบนี้ แล้วนายจะไปห่วงมันทำไมอีก” จองวูสามารถสงบอารมณ์ได้แล้ว ถามเพื่อนรักที่นั่งดูแลซีวอนอย่างไม่พอใจ
“ซีวอนก็เป็นเพื่อนนะจองวู แล้วนี้เขาก็กำลังได้รับบทเรียนอยู่ นายไม่คิดจะสงสารเพื่อนบ้างเลยหรือไง” ร่างอวบหันกลับมาตะคอกเพื่อนรักเบาๆ สายตาเต็มไปด้วยแววตำหนิ
“สงสารหรอ แล้วที่มันทำกับฮีชอลหล่ะ มันเคยคิดบ้างไหมว่าฮีชอลจะรู้สึกยังไง มันเคยสนใจไหมว่าฮีชอลป่วยเป็นอะไร โธ่เอ้ย!!! แล้วมาทำเป็นเสียใจ ฉันไม่เชื่อมันหรอก”
“ก็แล้ว ฮีชอลเป็นอะไรหล่ะ นายรู้ก็บอกมาสิ” ซองมินจ้องตากับเพื่อนรัก ด้วยความไม่เชื่อมานานแล้วว่า ฮีชอลไม่ใช่แค่แมลงแน่ๆ แต่ที่ไม่ถามก็เพราะรอเวลาให้พูดเอง แต่ในเมื่อไม่ยอมพูด จนเรื่องลามใหญ่โต ยังไงวันนี้ก็ต้องรู้ให้ได้
“ฮีชอลป่วยเป็นโลหิตเป็นพิษ ไอ้ที่เข้าโรงบาลนั่นก็เพราะมัน แล้วไอ้รอยที่นายเห็น ก็เพราะมัน มันทั้งนั้นที่ทำร้ายฮีชอล” นิ้วใหญ่ชี้ไปยังชายหนุ่มที่หันหน้ามามอง
ใบหน้าคมหันหน้าไปหาชายหนุ่มที่เข้าชังน้ำหน้า รับสั่งความจริงทั้งหมดอย่างร้าวราน แต่ไม่อาจปฏิเสธอะไรได้เลย ถึงจะไม่เคยรู้ว่าร่างบางป่วยหนักขนาดนี้ แต่ก็เป็นเขา เขาทั้งนั้นที่ผลักฮีชอลลงมาในหุบเหวของความเป็นความตาย
ทั้งที่ฉันรู้ว่านายเข้าโรงบาล ทั้งที่ก็เคยเห็นยาที่หมอสั่ง แต่ฉันกลับไม่เคยถาม ไม่เคยใส่ใจ ไม่เคยรับรู้ว่าต้องดูแลและถนอมนายให้ดีที่สุด มีแต่คอยจ้องทำร้าย
ฉันขอโทษนายจะได้ไหม ฮีชอล....
“พอได้แล้ว จองวู นี้ไม่ใช่เวลาที่นายจะมากล่าวหาใครอีกแล้ว น้องโจว น้องบอมพาซีวอนไปนั่งที่เก้าอี้ที” ซองมินหันไปสั่งเพื่อนหลังรับรู้ความจริง ในใจได้แต่เป็นห่วงเพื่อนสนิทที่นอนอยู่ข้างใน เหลือบมองชายหนุ่มที่นั่งอยู่กับพื้นแล้วนึกสงสัย....หากฮีชอลเป็นอะไรไป จนหมอช่วยไม่ได้ จะเกิดอะไรขึ้นกับซีวอน
“อย่ายุ่งกับฉัน ออกไป” ซีวอนตวาดเสียงดังไล่สองรุ่นน้องที่เข้ามาพยายามหิ้วปีกเข้าขึ้นยืน
“ซีวอนนายไปนั่งรอฮีชอลตรงนู้นเถอะนะ นั่งกับพื้นแบบนี้เดี๋ยวนายจะเป็นอะไรไปอีกคน ก่อนที่ฮีชอลจะได้ออกมานะ ไปนั่งบนเก้าอี้เถอะ” ซองมินปลอบชายหนุ่มอีกครั้ง เกลี่ยกล่อมให้ลุกขึ้นไปนั่งเก้าอี้ ดีกว่าจะมานั่งอยู่ตรงนี้
“ไปนั่งเถอะครับ คุณอยู่แบบนี้ พี่ฮีชอลคงไม่สบายใจ เพราะยังไงๆพี่เขาก็รักคุณ และเป็นห่วงคุณมาก ทำร้ายเขาขนาดนั่นแล้ว ก็อย่าให้เขาเป็นห่วงคุณอีกเลย” คิบอมกลั้นใจพูดความจริงที่ทำร้ายตัวเอง หากแต่ก็อดไม่ได้ที่จะตอกย้ำให้ชายหนุ่มได้รู้ตัวเองว่าทำอะไรลงไป
“เขายังจะรักฉันอยู่อีกหรอ” ซีวอนพึมพำออกมาเบาๆ ไม่แน่ใจเลยในความรู้สึก คนคนหนึ่ง จะยังมีความรักให้ได้อีกหรือหากโดนทำร้ายไปมากขนาดนี้
“คุณก็ต้องรอให้พี่ฮีชอลเป็นคนบอกคุณเอง แต่ตอนนี้คุณไปนั่งรอก่อนเถอะ”
คำพูดของรุ่นน้อง ทำให้ชายหนุ่มยอมลุกขึ้น แต่ยังไม่ทันจะก้าวถึงเก้าอี้ เสียงก็ดังขึ้นจากประตูบานใหญ่ พาให้ใจเต้นระรัว หันกลับไปมองอย่างคาดหวัง แต่แล้วก็ต้องผิดหวังเมื่อคนที่ออกมามีเพียงพยาบาลสาวพร้อมท่าทางที่ดูร้อนรน
“ฮีชอลเป็นยังไงบ้างครับ” จองวูเป็นคนแรกที่เข้าถึงตัวพยาบาลสาว ถามคำถามที่ทุกคนอยากรู้ด้วยความเป็นห่วงและกังวล
“คนไข้ยังไม่ปลอดภัยค่ะ ดิฉันขอไปเอาเลือดก่อนนะค่ะ” พยาบาลสาวรีบเดินจนเกือบจะกลายเป็นวิ่ง เพื่อนำเลือดมาให้ถ่ายให้คนไข้อาการหนักรายนี้ ก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินไป
“พอใจหรือยัง ซีวอน” จองวูหันมาถามชายหนุ่มร่างสูงที่ยืนนิ่งหมดแรงอยู่ที่เดิม หลังฟังคำบอกเล่าถึงอาการของคนที่กำลังนอนนิ่งอยู่ข้างใน
“ฉัน.....” เสียงแผ่วเบาทั้งยังแหบแห้งของชายหนุ่มไม่ช่วยให้อารมณ์ของจองวูดีขึ้นมาเลย สายตาทิ่มแทงและกล่าวหาที่ได้รับ ยิ่งพาให้หมดแรง จนคิดอยากจะหายไปจากตรงนี้ หากข้างในห้องนั้นจะไม่มีร่างของเพื่อนที่รักที่สุดในชีวิต
“นายทำไม จะแก้ตัวอะไรอีก ยังคิดจะทำอะไรอีก แค่นี้ยังไม่พอหรือไง”
“จองวู!” ซองมินรีบกะเผลกอย่างยากลำบากเอาตัวเข้าแยกชายหนุ่มทั้งสองอีกครั้ง เมื่อเห็นว่าเพื่อนสนิมรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ถึงขนาดผลักซีวอนจนเซล้มไป ในขณะที่อีกคนก็ไม่คิดต่อต้าน
รู้ดีว่าสิ่งที่ซีวอนทำมันมากเกินกว่าจะอภัยได้ง่ายๆ...แต่มาเห็นก็อดสงสารคนที่ไม่เคยรู้ใจตัวเองไม่ได้
พยาบาลเดินกลับมาพร้อมถุงเลือดในมือ มองทั้งห้าคนด้วยสายตาตำหนิที่ทำเสียงดังรบกวนผู้อื่น ก่อนรีบกลับเข้าไปในห้องฉุกเฉินที่ทีมแพทย์กำลังทำงานอย่างเร่งรีบ
ซีวอน จ้องมองประตูบานใหญ่ด้วยความกลัว ความรู้สึกมากมายยังคงอยู่ครบไม่จางหาย เฝ้าภาวนาให้ร่างบางได้กลับมาอยู่กับตนอีกครั้ง
คิบอม ยืนพิงกรอบหน้าต่าง มองภาพภายนอกที่ดูวุ่นวาย แต่กลับทำให้ใจสงบได้มากกว่า การนั่งรอที่ไม่รู้เวลาสิ้นสุด
จองวู นั่งอยู่บนเก้าอิ้ริมทางเดิน รอเวลาให้บานประตูเปิดออก สลับกับมองชายหนุ่มร่างสูงอีกคนด้วยความโกรธแค้น แต่ไม่อาจทำอะไรได้
ซองมิน นั่งอยู่ในอ้อมแขนคนรักที่คอยปลอบประโลมให้คลายกังวล แม้คยูฮยอนเองก็กังวลไม่น้อยเลยกับอาการของพี่รหัส
คนทั้งห้าต่างรอคอยด้วยใจกระวนกระวาย และทรมาน แม้จะผ่านไปเพียงแค่ครึ่งชั่วโมงแต่ก็เป็นครึ่งชั่วโมงที่แสนยาวนานสำหรับคนรอ
ประตูสีขาวเปิดออกกว้าง พาให้คนมองต่างลุ้นระทึก เหล่าแพทย์และพยาบาลเดินออมาด้วยท่าทางอ่อนล้า จองวูมองเห็นแพทย์ที่ตนคุ้นหน้าที่เคยรักษาเพื่อนสนิมเมื่อไม่กี่วันก่อน จึงเรียกไว้ทันที
“หมอครับ ฮีชอลอาการเป็นยังไงบ้างครับ”
“คุณนั่นเอง อาการของคนไข้ตอนนี้ปลอดภัยแล้วนะครับ แต่ว่าต่อจากนี้ไปก็คงต้องดูแลเป็นอย่างดี ครั้งนี้ยังโชคดีที่ร่างกายไม่แอนตี้เลือดที่เราให้ แต่ก็ไม่แน่ว่าจะโชคดีแบบนี้เสมอไป แล้วก็ตอนนี้เราต้องให้คนไข้ใช้เครื่องช่วยหายใจ จนกว่าปอดจะทำงานได้เป็นปรกติอีกครั้ง”
“ถึงกับต้องใช้เครื่องช่วยหายใจเลยหรือครับหมอ” คิบอมยืนฟังด้วยใจที่สงบลงมากแล้ว ยังอดตกใจไม่ได้ จนต้องร้องถามออกมา
“ครับ นี้ยังดีแค่ปอดทำงานไม่ปรกติ หากร้ายแรงกว่านี้อาจต้องทำการฟอกไต เกิดเป็นโรคแทรกซ้อน หรืออาจหัวใจวายเฉียบพลันซึ่งอันตรายมากจนสามารถเสียชีวิตได้”
คำกล่าวของหมอดังก้องอยู่ในการรับรู้ของชายหนุ่มผู้ที่ตลอดมาไม่เคยรับรู้เรื่องราวเหล่านี้เลย ใบหน้าคมซีดเผือด นึกไปสิ่งที่เคยทำมา.....มันไม่ต่างจากการผลักร่างบางเข้าสู้อ้อมกอดของความตายเลย
นายแพทย์มองหน้าคนทั้งห้าที่รับฟังอย่างสงบ ก่อนถอนหายใจยาวหนักใจกับอาการของคนไข้ “ผมถึงได้บอกให้ต่อจากนี้ต้องดูแลคนไข้ให้ดี โคแทรกซ้อนเหล่านี้ในอนาคตอย่างไรก็คงต้องเป็น เพราะร่างกายคนไข้จะอ่อนแอลงเรื่อยๆ อ้อ! ที่หลังของคนไข้มีรอยช้ำเป็นวงกว้างเกิดจากเส้นเลือดฝอยใต้ผิวหนังแตก ผมอยากให้พวกคุณคอยระวังอย่าให้เกิดการกระแทกอะไรแรงๆเช่นนี้อีก ผมขอตัวไปดูแลคนไข้ก่อน”
ชายหนุ่มผู้สร้างรอยช้ำขึ้นไม่อาจสู้สายตาใครได้อีก ดวงตาที่เคยคมกร้าวก้มหลบทุกคนที่อยู่ตรงนั้น ขาไม่สามารถประคองน้ำหนักของตนเองได้อีก ความรู้เหมือนอยากจะล้มทั้งยืนจนต้องใช้มือยันกำแพงประคองตนเองเอาไว้
“เอ่อ ไม่ทราบว่าใครเป็นเจ้าของไข้ค่ะ” เสียงของพยาบาลสาวดังแทรกขึ้นท่ามกลางความเงียบ
“ผมเอง” ชายหนุ่มที่ปล่อยให้ตัวเองจมสู่ความมืดมน บอกตัวเองให้เข้มแข็ง รอคอยวันที่ร่างบางจะตื่นขึ้นมา เมื่อถึงวันนั้นแล้ว จะอ่อนแอแค่ไหนก็คงไม่สำคัญอีกแล้ว แต่วันนี้...เขาต้องเข็มแข็ง เพื่อดูแลคนที่เขาทำร้ายมาตลอดให้ดีที่สุด
“ค่ะ ทางเราจะจัดห้อง~”
“จัดเป็นห้องพิเศษ”
“ค่ะ ขอให้คุณเซนต์เอกสารตรงนี้ด้วยค่ะ” พยาบาลยื่นเอกสารสองสามแผ่นให้ชายหนุ่มที่ออกตัวว่าเป็นเจ้าของไข้
บานประตูใหญ่เปิดออกอีกครั้ง พร้อมกับที่บุรุษพยาบาลเข็นเตียงคนไข้ที่มีร่างเล็กนอนนิ่งไม่ไหวติง มีเครื่องช่วยหายใจครอบจมูกและปากเล็กได้รูป ที่แขนซ้ายมีสายยางที่เชื่อมต่อกับเสาสูงมีถุงเลือดห้อยอยู่กับเสาสูง
ซีวอนมองร่างบางด้วยความอาวรณ์ ยิ่งได้เห็นร่างกายที่นอนสงบนิ่งราวกับไร้ลมหายใจ ก็ยิ่งตอกย้ำให้รู้สึกเกลียดตัวเองกับสิ่งที่ทำลงไป น้ำตาหยดเล็กไหลลงมาโดยไม่รู้ตัว ไม่กล้าเข้าใกล้เตียงคนไข้ที่ถูกเข็นออกห่างไปเรื่อยๆ
ความคิดที่ท่วมท้นอยู่ในสมองพาให้สองขาออกวิ่ง วิ่งไปในทิศทางตรงกันข้ามกับที่เตียงถูกเข็นไป ไม่รู้ว่าทำไม ไม่รู้ว่าต่อไปจะเป็นอย่างไร รู้เพียงแค่ต้องหนี หนีไปให้ไกลจากความอึดอัดที่ถาโถมเข้ามา
สองขาพาชายหนุ่มออกห่างไปเรื่อยๆ แต่สิ่งที่เกาะกุมอยู่ในใจกลับไม่ปลิวหายไปกับสายลมที่ปะทะเข้ามา เส้นทางข้างหน้าพร่าเลือนด้วยน้ำตาที่เคยคิดว่าไร้ค่า
ภาพเสียงหัวเราะที่เคยสดใส รอยยิ้มจริงใจที่เคยได้รับ แย่งกันผุดพรายขึ้นมาเหมือนว่าต่อจากนี้จะไม่มีให้ได้เห็นอีกแล้ว “ไม่ ไม่เอาแบบนี้ มันต้องไม่ใช่แบบนี้ ม่ายยยย”
เสียงของชายหนุ่มดังก้องไปทั่วสวนหย่อมของโรงบาลที่จัดให้คนไข้และญาติได้มาพักกับบรรกาศที่สดชื่นกว่าการหมกตัวอยู่แต่ในห้องพักที่แสนอึดอัด
ซีวอนหยุดตัวเองลงที่โคนไม้ใหญ่ ใช้สองแขนโอบกอดตัวเองเอาไว้ เหมือนที่เคยเห็นร่างบางทำยามหวาดกลัว และปกป้องตนเอง เขาเคยนึกสงสัยว่ามันช่วยได้จริงหรือ วันนี้เขารู้แล้ว
มันไม่ช่วยเลย...แล้วยังทำให้รู้สึกโดดเดี่ยวไม่เหลือใคร ทั้งอ้างว้างและว่าเหว่..แต่ก็ต้องทำ เมื่อไม่เหลือใคร
“ซีวอน” เสียงเรียกแผ่ว และแรงสะกิดเบาๆ แต่กลับให้ความรู้สึกที่มีค่าในยามที่ไม่เหลืออะไรแม้แต่จิตใจของตนเอง ชายหนุ่มพลิกกายหันกลับมาคว้าเอาคนที่เดินตามมาเข้าไว้อ้อมกอด โอบกอดจนแน่น เพื่อบอกกับตัวเอง...นี้อย่างไรหล่ะ นายยังมีคนนี้อยู่อีกคน
“ซองมิน ฉันรักนาย นายรู้ไหม ว่าฉันรักนาย แต่ตอนนี้ฉันกลัว กลัวฮีชอลจะทิ้งฉันไป ฉันจะไม่เหลือใครอีกแล้ว ถ้าฮีชอลเป็นอะไรไป ฉันจะทำยังไง ฉันกลัว ตอนนั้นตาของฮีชอลไม่มีฉันเลย เหมือนเขาจะไม่มองมาที่ฉันอีกแล้ว ฉันทั้งเจ็บ ทั้งกลัว ฉันจะทำยังไง”
ซองมินยอมอยู่ในอ้อมกอดที่รัดแน่นของเพื่อนต่างคณะ รับฟังคำที่พลั่งพลูออกมาด้วยรอยยิ้มของความอ่อนใจ.....จนป่านนี้แล้วยังคิดว่ารักคนอื่นได้อีกหรอเนี้ย ทั้งที่กำลังทรมานขนาดนี้เพราะฮีชอล นายไม่รู้จักความรักเลยใช่ไหมเนี้ย
มืออวบลูบแผ่นหลังกว้างอย่างปลอบใจ รับรู้ได้ว่าบ่าของตนกำลังเปียกชุ่มไปด้วยน้ำตาของที่แสนน่ากลัว....บอกไปใครจะเชื่อ ว่าชเว ซีวอนกำลังร้องไห้
“ไม่ต้องกลัวนะซีวอน ฮีชอลไม่ทิ้งนายไปไหนหรอก ฮีชอลรอนายอยู่ที่ห้องไง กำลังนอนหลับเดี๋ยวก็ตื่นขึ้นมาแล้ว ไม่ต้องกลัว”
“แล้วถ้าเขาเกลียดฉัน เขาจะ....”
“ไม่เอาหน่า ฮีชอลเกลียดนายไม่ได้หรอก เพราะเขารักนายมาก เหมือนที่นายก็รักเขามากไง แล้วจะเกลียดกันลงได้ไง” ร่างอวบปลอบปละโลมเพื่อนด้วยเสียงทุ้มชวนให้คลายใจ บนใบหน้ามีรอยยิ้มอ่อนๆ
“ฉันรักนาย...แต่ฮีชอล...” ซีวอนมองหน้าคนในอ้อมกอด รีบปฏิเสธคำพูดนี้ คำพูดที่เขาไม่อาจยอมรับ จนกว่าจะได้มีคนมาทำให้ความสับสนนี้หายไป
“นายไม่ได้รักฉัน ซีวอน ไม่เคยรักเลยด้วยซ้ำ ทุกอย่างที่ผ่านมา นายแค่สับสนและไม่ยอมรับความจริง ถามตัวเองสิ ว่าทำไมถึงไม่ชอบหน้าจองวูตั้งแต่แรก ทำไมนายถึงไม่พอใจเวลาฮีชอลอยู่กับใครคนอื่น” ดวงตาโตเหลือบมองชายหนุ่ม เห็นแววของการคัดค้าน จนต้องรีบพูดขึ้นก่อน “ยกเว้นเวลาที่อยู่กับฉันหน่ะ”
ซีวอนนิ่งงันคิดตามสิ่งที่ได้ยิน ความรู้สึกที่ซ่อนตัวอยู่ในหมอกค่อยๆเผยตัวออกมาทีละนิด “แต่ครั้งแรกที่ฉัน...ทำร้ายฮีชอลเป็นเพราะฉันได้ยินนายกับคยูฮยอนบอกรักกัน ทั้งที่ฉันบอกให้ฮีชอลช่วย ถ้าไม่เพราะฉันรักนาย ฉันจะทำร้ายฮีชอลหรอ”
“แต่วันนั้นก็เป็นวันที่ น้องบอมบอกรักฮีชอลไม่ใช่หรอ แล้วก็ถ้าจำไม่ผิด...จองวูไปส่งฮีชอลที่บ้านด้วย ความหวงของนายต่างหากหล่ะที่สั่งให้ทำอะไรแบบนั้นลงไป เพราะนายกลัวว่าฮีชอลจะไปมีคนอื่น แล้วเขาจะไม่สนใจนายอีก แล้วอีกอย่างนะ วันเกิดฮีชอลตอนปีสอง นายจะบอกรักฉันใช่ไหม”
“อือ” น้ำตาของชายหนุ่มหยุดไหลลงแล้ว พร้อมกับที่ปล่อยมือออกจากร่างอิ่ม คนทั้งสองทรุดนั่งลงกับพื้นหญ้า พูดคุยเรื่องที่ค้างคา
“แต่นายก็ไม่ได้พูด เพราะนายได้ยินที่น้องบอมน้องโจวคุยกันว่าจะบอกรักฮีชอล แถมนายยังไล่ทุกคนกลับหมดเลย จำได้ไหม” ใบหน้าคมพยักหน้า นึกเรื่องราวในวันนั้นได้ “รู้ไหมคนที่ทำแบบนั้นมีแค่สองอย่าง พ่อที่หวงลูก กับคนที่หวงคนรัก แล้วนายก็ไม่ใช่พ่อของฮีชอลเพราะฉะนั้นก็เหลือแค่อย่างเดียวแล้วแหล่ะ”
“แต่ที่ฉันรู้สึกกับนายหล่ะ มันคืออะไร”
“มันคือ.....คือความสับสนไง นายเป็นเพื่อนกับฮีชอลมาตั้งแต่เล็ก แต่ความเป็นเพื่อนมันพัฒนามาเงียบๆไม่ทันรู้ตัว นายถึงไม่เคยรับความจริงที่หัวใจคอยร้องบอก ส่วนฉันนายรู้สึกว่าฉันเป็นคนเดียวที่จะยอมให้ฮีชอลเข้าใกล้ นายก็เลยให้ความสนิทกับฉันมากกว่าเพื่อนคนอื่นของฮีชอล แล้วนายก็หลอกตัวเองว่านี้แหล่ะ คือความรัก แต่มันไม่ใช่เลย ลองถามตัวเองดูสิ ว่าจริงอย่างที่ฉันพูดไหม”
ซีวอนมองคนข้างๆอย่างแปลกใจ เหมือนว่าหัวใจตัวเองกำลังถูกชำแหล่ะออกเป็นชิ้นส่วน สิ่งที่เคยหลบซ่อนก็กลับปรากฏตัวขึ้นมาให้เห็นชัดเจน ความรู้สึกที่สับสนถูกชี้แจงและจัดระเบียบจนสามารถเข้าใจได้ทุกอย่าง รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้า ก่อนเลือนหายไป เมื่อความกลัวยังคงอยู่ไม่ไปไหน “แล้วถ้าฮีชอลไม่รักฉันแล้วหล่ะ”
“นายต้องไปถามฮีชอลเองแล้วหล่ะ กลับขึ้นไปหากันเถอะ รอให้ฮีชอลตื่นแล้วนายก็ถาม อย่ากลัว อย่ากังวล แล้วก็อย่าคิดมาก”
“อือ ขอบใจนะ ซอมินที่ช่วยตอบคำถามที่ฉันสงสัยแทนฮีชอล ว่าความรู้สึกของฉันคืออะไร” ชายหนุ่มคว้าร่างอวบเข้ามากอดไว้ด้วยความซาบซึ้ง
“ไม่เป็นไรหรอก ฉันหน่ะ อยากบอกนายเรื่องนี้มาตั้งนานแล้วหล่ะ แต่อีกข้อนายไปถามฮีชอลเองนะ” ร่างอวบยิ้มให้อย่างมีความสุข ในที่สุดก็จะได้พูดสิ่งที่คันปากมาเนิ่นนาน ความรู้สึกมันช่างแสนโล่ง ต่างกับตอนที่ต้องเก็บเป็นความลับคับอกมากมาย
* ~ * ~ * ~ * ~ *~ * ~* ~* ~ * ~ * ~ * ~ * ~ * ~ * ~ *
“นายเข้ามาทำไม ออกไปแล้วไม่ใช่หรือไง กลับไปได้แล้ว” จองวูถามคนที่เปิดประตูเข้ามาใหม่อย่างไม่พอใจ
“อ้าว! ทำไมนายถามแบบนี้หล่ะจองวู ซีวอนหน่ะคนออกค่าห้องนี้เลยนะ คนที่ต้องกลับหน่ะคือพวกเราต่างหาก” ซองมินรีบพูดแทนชายหนุ่มที่ยังคงนิ่งสนิท แต่แววตากลับมาเป็นซีวอนคนเดิมอีกแล้ว...ตาดุๆ พร้อมหาเรื่องทุกคนที่เข้าใกล้ฮีชอล
พ่อคุณ...พ่อเข้าใจตัวเองเข้าหน่อยทำโหดอีกแล้วนะ ไม่ค่อยเลย
“ซองมิน!” จองวูตวัดสายตามองเพื่อนสนิทที่เข้าข้างคนอย่างซีวอนด้วยความไม่พอใจ
“ทำไมเรียกชื่อฉันทำไม นี้จองวูไม่ต้องมาทำหน้าแบบนี้ นายต้องกลับไปเข้าเรียนคาบบ่ายกับฉัน จดเลคเชอร์ให้ฮีชอล ไม่ต้องพูดนะ” นิ้วป้อมๆยกขึ้นสั่งเพื่อนสนิทที่กำลังจะอ้าปากท้วง “น้องโจว น้องบอมกลับม.กัน ปล่อยให้ซีวอนเฝ้าฮีชอลที่โรงบาลคนเดียวเนี้ยแหล่ะ จะได้สำนึกว่าทำอะไรลงไปบ้าง”
แม้คำพูดของซองมินจะเป็นการด่าให้สำนึก แต่เขากลับรู้สึกพอใจและนึกขอบคุณร่างอวบที่ช่วยให้เขาได้รับรู้หัวใจตนเอง
“แล้วเย็นๆฉันจะมาใหม่นะ” ซองมินกล่าวลาชายหนุ่มก่อนลากเพื่อนรักตัวสูงออกปากห้องด้วยความยากลำบาก เหลือทิ้งไว้แต่คนเคยใจร้าย ให้เฝ้าไข้ร่างบางที่แสนอ่อนแอ
มือใหญ่เอื้อมจับมือเล็กที่แสนบอบบางขึ้นมากุมไว้แน่น ก่อนจูบลงบนหลังมือขาวแผ่วเบา “ต่อจากนี้ ฉันจะไม่ทำให้นายต้องเจ็บอีกแล้วนะฮีชอล ฉันสัญญา”
....รีบตื่นขึ้นมานะฮีชอล ฉันมีเรื่องสำคัญจะบอกกับนาย และรอคำตอบจากนายอยู่นะ...
* ~ * ~ * ~ * ~ *~ * ~* ~* ~ * ~ * ~ * ~ * ~ * ~ * ~ *
Talk
มีใครสงสารพระเอกบ้างหรือยังค่ะ? อาจจะยังไม่มี แต่ว่าขอโอกาสให้พระเอกคนนี้ได้แก่ตัวบ้างนะค่ะ อย่าพึ่งจงเกลียดจงชังกันไปก่อน (ไม่แน่ใจว่าทันหรือเปล่า 555)
ครั้งหน้าไอซ์จะขึ้นตอนใหม่ เป็น ปีสามเทอมสอง ปลายเทอม นะค่ะ อันนี้มันยาวจัด (94หน้า) จนเวลาลงเริ่มมีปัญหาแล้ว แฮ่ๆๆๆ
เรื่องนี้มีcbox ไว้พูดคุย และด่าทอพระเอกแล้วนะค่ะ อย่าลืมแวะเวียนมาพูดคุยกันนะค่ะ
ขอบคุณทุกคอมเม้มท์คะ
14 Jan. 11
ความคิดเห็น