ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Once upon a Time กาลครั้งหนึ่ง...จนถึงตอนนี้ (woncin)

    ลำดับตอนที่ #6 : {แก้คำผิดค่ะ} ปีสาม เทอม1 ...ทำร้าย 100% (NC#2)

    • อัปเดตล่าสุด 15 มี.ค. 54



    ปีสาม เทอม1 ...ทำร้าย

     

                    “เฮ้ย ฮีชอล จะตกบันไดอยู่แล้ว คิดอะไรอยู่” มืออวบคว้าแขนเล็กของเพื่อนเอาไว้ก่อนที่ร่างบางจะตกบันไดหน้าคว่ำลงไป 

                   

                    “เปล่า ไม่ได้คิดอะไร ขอบใจนะ” ใบหน้าวานซีดเผือด หันมาหาเพื่อนปากก็บอกว่าเปล่า แต่แววตาที่เคยสดใส มันกลับไม่ได้บอกแบบนั้นเลย

     

    “แน่ใจนะ เราว่าฮีชอลดูลอยๆตั้งแต่เช้าแล้วนะ” จองวูเองก็เห็นว่าฮีชอลเหมือนกำลังมีอะไรอยู่ใตลอดเวลา ทั้งคาบความสนใจของเพื่อนแทบจะไม่ได้อยู่ที่บทเรียนเลยด้วยซ้ำ

     

    ทั้งที่ก็เป็นวันแรกของการเปิดภาคเรียน ก็ยังไม่น่าจะเรื่องอะไรมาทำให้เหม่อลอยได้แบบนี้ นอกเสียจากจะเป็นเรื่องอื่น ที่ไม่ใช่เรื่องเรียน แต่ก็ไม่น่าจะมีเองอะไรที่แย่งความสนใจของเพื่อนเขาไปได้มากกว่าเรื่องนี้อีกแล้ว นอกเสียจากว่าจะเป็นเรื่องของ..ซีวอน

     

                    “เมื่อเช้า....เฮ้อ!” ฮีชอลพ่นลมหายใจหนักๆออกมา ก่อนตัดสินใจที่จะไม่พูดต่อ “ช่างมันเหอะ อย่าไปสนใจเลย”  แม้จะบอกว่าอย่าไปสนใจ แต่ในใจก็ยังนึกไปถึงสิ่งที่รุ่นน้องบอกอยู่ดี

     

                    ตั้งแต่เช้ามาแล้วที่ไล่คำพูดนี้ออกจากความคิดไม่ได้...ทำเป็นไม่สนใจไม่ได้จริงๆ

     

                    “ค้างอ่ะฮีชอล มีเรื่องอะไรบอกมาเหอะ ถ้ามันร้ายแรงจะได้ช่วยกันแก้ไข หรือว่าเมื่อเช้าซีวอนหงุดหงิดอะไรอีก” ร่างอวบของซองมินเดินมาขวางทางไม่ให้ใครเดินต่อหากไม่ได้คำตอบที่พอใจ ดวงตากลม จ้องมองเพื่อนอย่างคาดคั้นความจริงให้ได้

     

                    “ก็...เมื่อเช้า ซีวอน..คือซีวอนเขา..พวกนายอยากรู้จริงๆหรอ” ใบหน้าหวานดูครุ่นคิด ขบเม้มริมฝีปากตนเอง มองเพื่อนดั่งจะถามย้ำให้แน่ใจว่าควรบอกหรือไม่

     

                    “อืม ซีวอนทำไหมฮีชอล บอกเราสิ ถึงเราจะไม่รู้จักกันนานเท่านายกับซีวอน แต่เราก็เป็นเพื่อนกันนะ” จากที่ไม่คิดจะคาดคั้นเพื่อน แต่ยิ่งได้มองเห็นความไม่สบายใจ ความกังวลใจของฮีชอล จองวูก็สามารถที่จะปล่อยให้เพื่อนรักได้เก็บเอาไว้คนเดียว

     

                    “อือ...บอกก็ได้..แต่พวกนายต้องสัญญานะว่าจะไม่บอกให้ใครรู้”

     

                    “เออ พวกฉันจะเอาไปเล่าให้ใครฟังหล่ะฮีชอลบอกมาเหอะ ฉันอยากรู้” ซองมินเก็บกั้นความอยากรู้เอาไว้มากมาย ลุ้นระทึกจนเหนื่อยเสียยิ่งกว่าวิ่งขึ้นตึกเรียน

     

                    “เมื่อเช้าซีวอน...ซีวอนบอกฉันว่า...ซีวอนท้อง!!!” ดวงตาโตปิดแน่นทันทีที่บอกออกไป คากคิดว่าจะได้รับเสียงหัวเราะ แต่กลับกลายเป็นความเงียบ และเมื่อเปิดเปลือกตาก็เจอกับสายตาดุของเพื่อนทั้งสองคน  

     

                    “ไม่ขำเลยฮีชอล บอกมาว่าเรื่องอะไร” เสียงนิ่งเรียบของจองวูที่ไม่เคยได้ยินทำให้ใบหน้าหวานสลดลง รับรู้ว่าเพื่อนคงกำลังไม่พอใจอย่างมาก

     

                    “ขอโทษ แต่ไปหาที่นั่งก่อนได้ไหม แล้วอยากรู้อะไรบอกทุกอย่างเลย นะ ทั้งสองคน” ร่างบางอ้อนวอนเพื่อนทั้งสองคนด้วยดวงตากลมๆที่ดูอ่อนล้า กับเรื่องที่อยู่ในความคิดมาตลอดเช้า

     

                    ทั้งสองคนยอมตามใจเพื่อนรัก เดินไปยังร้านอาหารของคณะ มองหาที่นั่งได้ก็ใช้สายตาคาดคั้นความจริงที่ค้างคา คนหนึ่งอยากรู้เพราะอยากรู้ อีกคนก็อยากรู้เพราะแสนจะเป็นห่วง

     

                    “เมื่อเช้า คิบอม..น้อง..มาบอกว่าชอบฉัน” จากที่อ้ำอึ้งไม่กล้าพูด ร่างบางต้องปิดตาแน่น และบอกสิ่งประโยคที่ดังกึกก้องอยู่ในหัวมาตั้งแต่ได้ยิน

     

                    เปลือกตากลมค่อยๆเปิดขึ้นทีละนิด มองเพื่อนทั้งสองที่มีสีหน้าแตกต่างกันออกไป คนหนึ่งยิ้มร่าเหมือนกำลังพอใจ แต่อีกคนกลับทำหน้านิ่งเรียบ จนน่ากลัว “จองวูนายเป็นอะไร หรือว่า..รับไม่ได้ที่น้องมาชอบฉัน”

     

                    “เปล่าหรอกฉันไม่ได้เป็นอะไร” คนที่ทำหน้านิ่งค่อยเปิดรอยยิ้มอบอุ่นส่งให้เพื่อนรักที่ตอนนี้คงต้องการกำลังใจมากกว่าสิ่งอื่นใด “อย่าคิดมากเลย”

     

                    “นั่นสิฮีชอล ทำไมจองวูต้องไม่พอใจด้วยใช่ไหม จองวู” ใบหน้ากลมๆเหล่สายตามองเพื่อนตัวสูงที่แม้จะยิ้ม แต่ก็รู้ได้เป็นยิ้มที่ฝืนเต็มที มันยิ่งทำให้ใบหน้ายิ้มกว้างกว่าเดิม

     

                    “ใช่ ฉันไม่ได้เป็นอะไรสักหน่อย เรื่องนี้หรอที่นายคิดมากหน่ะ หืมม์” เสียงทุ้มทอดถามเพื่อนอย่างแผ่วเบาและอบอุ่นเต็มไปด้วยความอบอุ่นที่มีให้เสมอ

     

                    “อือ เรื่องนี้แหล่ะ” ใบหน้าหวานพยักหน้าขึ้นลง ริมฝีปากอิ่มมู่เข้าหากัน จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่รู้ว่าควรทำเช่นไรดี

     

                    “แล้วนายตอบน้องไปว่าอะไรอ่ะ ฮีชอล เยส หรือ โน” ซองมินจี้ถามคำตอบของเพื่อนแทนเพื่อนรักอีกคนที่คงอยากรู้แต่ไม่กล้าถาม และกลัวที่จะถาม

     

                    “เปล่า  ฉันไม่ได้ตอบ เพราะน้องเขาบอกว่าไม่อยากได้คำตอบตอนนี้” ร่างบางถอนหายใจกับสิ่งที่พูด รู้สึกว่าตัวเองใจร้ายกับน้องเกินไปหรือเปล่า กับสิ่งน้องพูดมา และเขาไม่

     

                    “ผมชอบพี่ครับ แต่พี่ไม่ต้องกังวลหรอกนะครับ ผมแค่อยากบอกให้พี่รู้ไว้ว่าผมรักพี่ พี่ยังผมอยู่อีกหนึ่งคน ไม่ต้องรักผมก็ได้ ไม่ต้องตอบผมตอนนี้ว่ารักผมหรือเปล่า แค่ขอให้พี่รู้ไว้ก็พอครับ”

     

                    “โหยย น้องบอมเท่จังเลยอ่ะ มีไม่อยากได้คำตอบด้วย เท่เนอะจองวู ถ้าไปขอผู้หญิงแบบนี้ รับรองสาวใจละลายแน่ๆ” ซองมินเองก็ทำหน้าเคลิ้มไปคำบอกรักที่ได้ยินจากเพื่อน 

     

                    “เท่ตรงไหน ฉันว่าจะทำให้เรื่องมันไม่จบมากกว่า แล้วนายคิดยังไงฮีชอล ฉันว่าบอกน้องไปเลยดีกว่า ดีกว่าที่มามีความหวังไปวันๆแบบนี้ แต่ถ้านายชอบน้องก็จะได้สมหวังสักที” เสียงกระชากห้วนของของจองวูทำให้ฮีชอลมองอย่างแปลกใจ จนนึกใจเสียที่เหมือนจะไม่ชอบเรื่องแบบนี้

     

                    “ฉัน...ไม่...ได้คิดแบบนั้น แต่..ฉันก็ไม่รู้จะพูดไงดี ในเมื่อน้องก็ไม่ได้อยากคำตอบจากฉัน ฉันก็ไม่รู้ว่าควรตอบหรือเปล่า” ฮีชอลก้มหน้าต่ำ ดูคล้ายคนที่กำลังสับสนตัวเองทั้งที่ก็มีคำตอบแน่ชัดอยู่แล้วในใจ

     

                    ..ไม่เลย...ที่ผ่านมาก็คิดว่าคิบอมเป็นน้องตลอด...และคงเป็นน้องตลอดไป...

     

                    “ปล่อยไปสักพักก็คงลืมๆกันไปเองมั้งฮีชอล นายอย่าเครียดสิ ที่น้องบอกก็ไม่ได้จะทำให้นายเครียดสักหน่อย”  มืออูมของซองมินลูบแผ่นหลังของเพื่อน จากเรื่องน่ายินดีกลายเป็นเรื่องเครียดไปแล้ว

     

                    “ปล่อยไม่ได้หรอก” น้ำเสียงเรียบเฉย แต่แววตากลับเครียดขึ้นจนดูน่ากลัว “ถ้านายไม่กล้าพูดกับน้อง ฉันบอกให้เองก็ได้ เพราะถ้าไม่พูดน้องมันก็ยังหวัง แล้วมันก็จะเจ็บซ้ำอยู่เหมือนเดิม”

     

                    “จองวูเรื่องนี้มัน...”

     

                    “มันไม่ใช่เรื่องของฉันใช่ไหม แต่ฮีชอลเป็นเพื่อนฉัน ฉันคงทนไม่ได้ที่จะเห็นเพื่อนฉันทุกข์ใจกับความรักของคนอื่นแบบนี้ นั่นคยูฮยอนกับคิบอมมาพอดี ให้ฉันบอกน้องเลยไหม”

     

                    ท่าทีที่ดูรวบรัดแบบแปลกๆของเพื่อนยิ่งทำให้ซองมินมองอย่างครุ่นคิด และสงสารรุ่นน้องมากขึ้น ไม่รู้ว่าคนอย่างจองวูจะจัดการเรื่องนี้แบบไหน แต่สุดท้ายคิบอมก็คงเจ็บหนัก

     

                    “หวัดดีครับพวกพี่ๆ” คยูฮยอนเดินรี่เข้ามาหาพวกพี่ๆที่นั่งกันอยู่ อย่างร่าเริงรอยยิ้มสดใสมีให้กับพี่ทุกคนต่างจากเพื่อนสนิทที่เดินมาด้วยกัน

     

                    ใบหน้าคมที่มีแก้มหน่อยๆ แดงเรื่อ ก้มหน้าหลบตาด้วยความประหม่า เหงื่อเม็ดเล็กเม็ดน้อยแย่งกันผุดขึ้นบนใบหน้าที่เป็นสีแดงเข้มไปแล้ว

     

                    “คิบอม พี่มีเรื่องอะไรจะคุยด้วยหน่อย เราไปหาที่อื่นนั่งคุยกันดีไหม” จองวูเรียกรุ่นน้องที่ก้มหน้าก้มตาแล้วยังยิ้มกับพื้นให้หันมาสนใจ ก่อนเดินนำออกไปจากร้านอาหารที่คนพลุกพล่าน มีสายตาที่ต่างความรู้สึกมองตามไป 

     

                    คยูฮยอนมองตามอย่างแปลกใจ

     

                    ซองมินมองอย่างสงสาร

     

                    และฮีชอลที่มองตามด้วยความรู้สึกที่แสนสับสน

     

                    เพียงไม่นาน สองคนที่ไปหาที่คุยกันก็กลับมาเพียงลำพัง โดยไร้เงารุ่นน้องที่เดินตามมาด้วย ฮีชอลและซองมินได้แต่เป็นห่วงอยู่ในใจ ในขณะที่อีกคนกลับไม่อาจห้ามความสงสัยได้

     

                    “พี่จองวูครับ แล้วไอ้บอมหล่ะครับ”

     

                    “คิบอมบอกว่ามีธุระนิดหน่อย ขอตัวก่อน” ชายหนุ่มที่พึ่งเดินกลับมาลงนั่งที่เดิม ไม่สนใจสายตากล่าวหาของเพื่อนตัวอวบ มีเพียงส่งรอยยิ้มปลอบโยนไปให้แก่เพื่อนร่างบางที่ยังดูสับสนกับตัวเอง

     

                    “หรอครับ งั้นผมไปดูมันดีกว่าว่าธุระอะไร เออใช่ พี่ซองมินครับ ผมสงสัย คำหนึ่ง มันว่า นาเม ซาเม แปลว่าอะไรอ่ะครับ” ใบหน้าฉลาดแกมโกงมองหน้าพี่รหัสที่ได้ชื่อว่าเก่งเรื่องภาษาอย่างจริงจัง

     

                    “เอ๋ ไม่รู้อ่ะ เดี๋ยวพี่ไปหาให้ก่อน จะเอาคำตอบเมื่อไหร่หล่ะ”  ซองมินไม่แน่ใจกับคำที่น้องสงสัย ได้แต่มองใบหน้าเจ้าเล่ห์ที่แสนซื่ออย่างครุ่นคิด

     

                    “เย็นนี้ก็ได้ครับพี่ เดี๋ยวผมไปหาที่หน้าคณะก็ได้ครับ ผมไปก่อนนะครับ” แล้วเด็กหนุ่มที่มีปัญหาเรื่องภาษาก็ขอตัวเดินจากไปพร้อมรอยยิ้มแปลกๆที่ทิ้งให้รุ่นพี่สามคนงุนงง

     

                    “น้องมันยิ้มอะไรของมัน ว่าแต่ไอ้นาเม ซาเม มันดูคุ้นๆนะว่าไหม” จองวูมองตามหลังรุ่นน้องไปก่อนกลับมามองหน้าเพื่อนแล้วยิ่งแปลกใจที่ดูว่าคนถูกถมจะมีรอยยิ้มปรากฏอยู่

     

                    “อือ เหมือนเคยได้ยินแต่นึกไม่ออกเหมือนกัน ซองมินรู้ไหมว่าภาษาอะไร” ร่างบางหันไปถามเพื่อนที่ดูจะหน้าแดงขึ้นทุกที

     

                    “เป็นภาษาซองก้า แต่คำแปลฉันยังไม่แน่ใจ พวกนายรอขึ้นห้องไปก่อน ฉันพอจะรู้คำแปลแล้ว ไปบอกน้องก่อนนะ” ร่างอวบลุกขึ้นจากโต๊ะวิ่งตมรุ่นน้องออกไปด้วยใบหน้าที่แดงจัด รอยยิ้มกว้างอย่างคนมีความสุข

     

                    “อะไรของมัน ฮีชอลรู้ไหมว่าคำแปลว่าอะไร ทำไมยิ้มแก้มปริแบบนั้น” จองวูหันไปถามเพื่อนคนเดียวที่เหลืออยู่ที่ยังคงนั่งกินข้าวด้วยกัน

     

                    “ไม่รู้สิ แล้วนายไปคุยกับคิบอมว่ายังไงบ้างทำไมน้องหายไปเลย” ร่างบางพาเปลี่ยนเรื่อง ไปหาเรื่องที่สงสัยอยู่ อยากรู้ว่าที่หายไป ได้พูดอะไรกันไปบ้าง

     

                    “ก็แค่บอกน้องไปว่า นายไม่ได้ชอบ ให้ตัดใจเสียแต่ตอนนี้เท่านั้นเอง ไม่มีอะไรหรอก อย่าเครียดเลยฮีชอล นายยิ่งสุขภาพไม่ค่อยดีอยู่” ชายหนุ่มยิ้มปลอบใจ ร่างบางที่ดูช่างกังวลกับเรื่องต่างๆ จนตัวเองไม่สบาย

     

                    “อือ ขอบใจนะ”

     

                    “ไม่เป็นไรหรอก เพื่อฮีชอล เราให้ได้มากกว่านี้อีก”    

                   

                    * ~ * ~ * ~ * ~ *~ * ~* ~* ~ * ~ * ~ * ~ * ~ * ~ * ~ *

     

                    “น้องโจวววววววววว น้องโจวอย่าพึ่งไป น้องโจว ถ้าเดินอีกก้าวพี่ไม่บอกคำแปลมันนะ” ร่างอวบที่วิ่งตามหลังมา ตะโกนลั่นอย่างเหนื่อยหอบไม่สนใจคนที่เดินสวนไปว่าจะมีบางคนหยุดนิ่ง อยู่ด้วย

     

                    “มีอะไรครับพี่ซองมิน หรือว่ารู้คำแปลแล้ว” หน้าเจ้าเล่ห์ ยิ่งยิ้มแบบเจ้าเล่ห์ ยิ่งทำให้ดูมีเสน่ห์แบบร้ายๆ จนคนที่วิ่งมาจะบอกคำแปลยิ่งหน้าแดง

     

                    “น้องโจวได้หนังสือสำหรับอ่านเสริมปีสองแล้วใช่ไหม” แทนที่จะเป็นคำตอบร่างอวบที่วิ่งมา กลับถามคำแทนให้อีกคนได้ตอบ

     

                    “ครับ ทำไมหรอครับ”  เสียงทุ้มๆถามกลั้นหัวเราะ ยิ่งเห็นหน้าหวานๆแดงเข้มก็ยิ่งมีความสุข

     

                    “เปล่าพี่จะได้แน่ใจไงว่า ไม่ได้แปลผิด”  ซองมินก้มหน้าลงไม่กล้าสบสายตาแวววาวที่มองมา ทั้งที่ก็ไม่เคยเป็นแบบนี้ ...ทั้งมีความสุข ทั้งระแวง และเขินที่จะพูดออกไป

     

                    “พี่แปลได้ว่าอะไรหล่ะครับ”  ใบหน้าคมของรุ่นน้องที่สูงกว่า แทบะย่อตัวลงเพื่อมองหน้ารุ่นที่ที่เอาแต่ก้มหน้าเหมือนกำลงพูดกับเชื้อโรคตามพื้น

     

                    “นาเม ซาเม เป็นภาษาซองก้าของภูฏาน แปลว่า Beyond The Sky and The Earth” ยิ่งพูดไปใบหน้าหวานก็ยิ่งเขินอาย ยิ่งแดงเรื่อ สองมือที่เคยคิดว่าจำเป็นการเป็นส่วนเกิน ไม่รู้ว่าจะเอาไว้ที่ไหนได้แต่บีบไปมาอยู่ข้างหน้า

     

                    ดวงตาคมจ้องมองคนกล้าที่กำลังเขินอายอย่างล้อเลียน นัยน์ตาเป็นประกายยามจับจ้อง “ไม่เอาภาษาอังกฤษสิครับพี่ ผมโง่อิงค์นะ เข้าใจผิดความหมายแล้วจะยุ่งนะครับ”

     

                    “อื้ออออ” เสียงใสลากยาว ฟันขาวๆกัดกันแน่น อย่างแสนประหม่า “นายฟังดีๆนะ มันแปลว่า แปลว่า ยิ่งกว่าผืนฟ้าและแผ่นดิน”

     

                    คยูฮยอยยิ้มพอใจกับคำแปลที่ได้รับ แต่ใบหน้าคมกับส่ายหน้าไปมาอย่างปฏิเสธ “ไม่ใช่ครับพี่ มันไม่ได้แปลแบบนี้”

     

                    ฟันขาวกัดริมฝีปากสีชมพูอย่างขัดใจ กล้าขึ้นมาสบตากับดวงตาประกาย มองเชิดหน้านิด “แล้วมันแปลว่าอะไร ถ้านายรู้แล้วจะมาถามฉันทำไม”

     

                    ก่อนที่รุ่นพี่จะอารมณ์เสียมากกว่าไปนี้ คนรู้ความหมายจึงต้องก้มหน้ากระซิบข้างใบหูเล็ก “มันแปลว่า ผมชอบพี่ ยิ่งกว่าผืนฟ้าและแผ่นดิน”  ชายหนุ่มมองใบหน้าหวาน ก่อนบอกย้ำคำหวานอีกครั้ง “พี่ซองมินครับ ผมรักพี่ครับ”

     

                    ใบหน้าสดใสพร้อมรอยยิ้ม ถลาตัวเข้าหารุ่นน้องที่ตัวสูงกว่า เลือดสูบฉีดจนรู้สึกได้ว่าใบหน้าร้อนผ่าว “พี่นึกว่าจะไม่ได้ยินคำนี้แล้ว ปล่อยให้พี่รอมานานรู้ไหม พี่ก็รักนายน้องโจว”

     

                    “พี่ซองมิน” ชายหนุ่มที่ได้ยินคำรัก ยิ้มกว้างกับตนเอง ยืนกอดรุ่นพี่อยู่หน้าตึกแบบไม่สนสายตาใครอีกแล้ว ต่างแลกเปลี่ยนคำรักกันอยู่นานในอ้อมกอดแสนอุ่น

     

    หลังต้นไม้ใหญ่ที่ไม่ไกลจากทั้งสองคน มีร่างสูงที่ยืนฟังคำรักของคนทั้งคู่ด้วยความแค้น มือหนากำแน่นเข้ากัน ก่อนเดินจากไปพร้อมอารมณ์รุนแรงละทิ้งคนทั้งคู่ไว้เบื้องหลัง”

                     

                    * ~ * ~ * ~ * ~ *~ * ~* ~* ~ * ~ * ~ * ~ * ~ * ~ * ~ *

     

    “จอดตรงนี้ก็ได้เดี๋ยวฉันเดินเข้าไปในบ้านเอง” ร่างบางบอกกับเพื่อนสนิทที่ขับรถมาส่ง ให้จอดเพียงแค่หน้าประตูใหญ่ของบ้านไม่อยากให้มีปัญหาอะไรกับเพื่อนสนิทอีกคนที่ไม่ค่อยอยากให้มีใครมายุ่งในบ้าน

     

                    ทั้งที่สาเหตุที่ต้องกลับมาเย็นขนาดนี้ก็เพราะคนที่เคยกลับด้วยกัน ปล่อยทิ้งเขาให้รออยู่หน้าคณะโดยไม่มีแม้แต่จะส่งข้อความไปบอกกันบ้างว่ากลับมาแล้ว จนต้องให้จองวูมาส่ง

     

                    “อือ เข้าบ้านดีๆนะ พรุ่งนี้เจอกัน” ชายหนุ่มมองเพื่อนเปิดประตูหายลับจึงออกรถจากไป

     

                    ฮีชอลเดินไปตามถนนที่ทอดโค้งไปถึงตัวบ้าน อย่างช้าๆ มองเห็นแสงไฟในห้องของเพื่อนสนิทเปิดอยู่พร้อมๆกับที่ม่านหนาเคลื่อนไหวคล้ายมีคนเปิดและปิดมัน

     

                    “อ้าว ฮีชอล วันนี้กลับมาเย็นเชียว ” กาอินที่เดินออกมาจากครัวพอดีทักลูกชายของเพื่อนที่เดินสะโหลสะเหลอย่างเหนื่อยล้าเข้ามาในบ้าน

     

                    “ครับ ผมขึ้นไปเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนนะครับ คุณน้า” ร่างบางเดินขึ้นบันไดตรงไปยังห้องนอนกว้าง ผ่านประตูห้องของซีวอนที่ปิดเงียบ

     

                    รู้หรือยังว่าคยูฮยอนกับซองมินคบกันแล้ว

     

                    รับได้ใช่ไหม...ไม่ได้รักซองมินมากขนาดนี้ที่ต้องเสียใจฟูมฟายใช่ไหม

     

                    แต่สุดท้ายฮีชอลก็เดินผ่านห้องนั้นไปเข้าห้องส่วนตัวอย่างเงียบๆ ไม่กล้าเดินเข้าไปบอกเพื่อนว่า เมื่อตอนกลางวันเกิดอะไรขึ้นมาบ้าง ยังไม่กล้าสู้หน้ากับคนผิดหวังในเวลานี้

     

                    ร่างบางตั้งใจว่าจะเปลี่ยนเสื้อผ้าแต่แค่วางกระเป๋าลง บานประตูที่ปิดสนิทกลับถูกกระชากออกอย่างแรงจากคนที่กำลังขาดสติ

     

                    “ซีวอนมีอะไร ทำไม~

                   

    นายอยากได้ฉันมากนักใช่มั้ย!!!? ถึงได้แส่ไปเป็นพ่อสื่อให้ไอ้คยูฮยอนนั่น!!!”

     

    คอเสื้อถูกกระชากอย่างแรงจนแทบทำให้ร่างบางหายใจไม่ออก ดวงตาคมที่อยู่เบื้องหน้านั้นแข็งกร้าวไปด้วยความโกรธ คำพูดหยาบคายที่ออกมาจากปากของซีวอนนั้น เสียดแทงเข้าไปในใจของฮีซอลอย่างแสนสาหัส

     

    ซีวอน....นายเป็นอะไร....”

     

    ดวงตาคู่สวยที่เริ่มรื้นน้ำตาไม่ทำให้คนตรงหน้าใจเย็นลงแม้แต่น้อย กลับไปโหมกระพือให้แรงโมโหเพิ่มมากขึ้น เมื่อนึกไปเองว่าน้ำตานั่นเป็นคำสารภาพบาปอย่างที่ซีวอนคิด

     

    น้ำตาไม่ทำให้ฉันใจอ่อนหรอกนะ ฮีซอล!! สิ่งที่นายทำลงไป รู้มั้ยว่ามันเหยียบย่ำจิตใจฉันมากแค่ไหน!!!”

     

    เปล่า ฉันไม่ได้...ไม่ได้ตั้งใจจะทำร้ายนาย ซีวอน....ฉันแค่...”

     

    แค่อะไร? แค่อยากได้ตัวฉันอย่างงั้นหรือ? อยากได้จนต้องทำแบบนี้แค่นั้นใช่มั้ย!!!!”

     

    คนตัวโตกว่าบีบไหล่บางอย่างแรงจนเจ็บแปลบ ไล่ต้อนฮีชอลให้จนมุมไร้ทางหนี ตัวเริ่มสั่นด้วยความหวาดกลัวเพราะไม่รู้ว่าซีวอนที่เต็มไปด้วยความแค้นนั้นจะทำอะไรลงไปบ้าง แต่ความเป็นจริงที่ร่างสูงตั้งใจจะแก้แค้นนั้น โหดร้ายกว่าที่ฮีชอลคิดเอาไว้หลายเท่านัก


                               NC

          ฮีชอลได้แต่กรีดร้องอย่างทรมานตลอดค่ำคืน เรือนร่างถูกสำรวจและย่ำยีทุกซอกทุกมุม ไร้ซึ่งความปรานีแม้จะรับรู้ว่าร่างบางเหนื่อยล้าแสนสาหัสแค่ไหน ชายหนุ่มต้องการทำให้ฮีชอลทรมานและเจ็บปวดยิ่งกว่าเขาหลายเท่า โดยการเหยียบย่ำศักดิ์ศรีให้ย่อยยับแหลกสลายคามือ

     

    ....ไม่มีแม้แต่เศษเสี้ยวของความเห็นใจ.....ไม่มีความรู้สึกรักใคร่ผูกพันอะไรเลย

     

    ...สิ่งที่ซีวอนทำลงไปชายหนุ่มคิดว่าเป็นเพียงการสนองความแค้น และความใคร่เท่านั้น...

    ฮีชอลคิดในใจอย่างปวดร้าว นี่คงเป็นกรรมตามสนองเขาสินะ ที่ไม่ยอมช่วยเหลือให้ความรักของเพื่อนที่สนิทที่สุดในชีวิตได้สมหวัง แม้กระทั่งก่อนจะหมดสติลงภายใต้อ้อมกอดที่ข่มเหงเขา ก็ยังคงคิดถึงภาพใบหน้าอันปวดร้าวของซีวอน พาให้ความรู้สึกผิดที่หักหลังเพื่อนผุดขึ้นมาด้วย

     

    ทว่า...ฮีชอลตระหนักได้ในเสี้ยววินาทีที่หมดสติลงไปนั่นเอง

     

    .......ที่จริงแล้ว คงเจ็บปวดกว่านี้หากซองมินตอบรับความความรักจากซีวอน.....

     

                                

                * ~ * ~ * ~ * ~ *~ * ~* ~* ~ * ~ * ~ * ~ * ~ * ~ * ~ *

     

    ดวงตาหวานซึ้งทว่ากลับแฝงไว้ด้วยความน่าเกรงขามด้วยวัยที่ผ่านโลกมามาก มองลูกชายคนเดียวที่นั่งอยู่บนโต๊ะด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยประกายความสงสัย “ซีวอน”

     

                    “ครับแม่” ชายหนุ่มที่นั่งกินข้าวอยู่เงียบๆเงยหน้าขึ้นสบตากับผู้เป็นแม่อย่างเกรงๆ ดวงตาคมที่ทอดมาจากตาของพ่อสะท้อนความรู้สึกผิด ออกมาจนไม่อาจปิดบังได้

     

                    “เป็นอะไรหรือเปล่าลูก ทำไม นั่งเงียบ แล้วฮีชอลทำไมวันนี้ไม่ลงมากินข้าว หรือว่าไม่มีเรียน” ร่างบางของหญิงวัยไม่สาวถามลูกชายที่ดูแปลกๆ แล้วไหนยังหลานชายที่ไม่ยอมลงมากินข้าวเช้าด้วยกัน

     

                    “เอ่อ...ไม่ทราบครับ” ซีวอนก้มหลบสายตาของแม่ แต่กลับหันไปเจอดวงตาแสนดุของผู้เป็นพ่อจนไม่รู้ว่าจะมองไปที่ไหนได้อีก นอกจากถ้วยข้าวต้มตรงหน้า

     

                    “ไม่รู้ได้กัน ปรกติก็ไปเรียนด้วยกันทุกเช้าไม่ใช่หรือไง ขึ้นไปดูเพื่อนหน่อย” เสียงทุ้มต่ำ สั่งลูกชายอย่างไม่พอใจ คนบ้านเดียวกัน สนิทกันมากไปด้วยกันทุกเช้า อยู่ดีๆหายไปคน อีกคนกลับบอกว่าไม่รู้

     

                    “ครับพ่อ” เสียงเรียบๆที่มักมีเสมอยามไม่พอใจเรียกสายตาขอผู้สูงวัยทั้งสองให้มองตามแผ่นหลังกว้างที่กำลังขึ้นบันไดไป ก่อนจะเลิกสนใจแล้วหันกลับมาสนใจจานข้าวตรงหน้าอีกครั้ง

     

                    ชายหนุ่มเดินขึ้นบันไดมาหยุดอยู่หน้าห้องที่พึ่งเดินออกมาเมื่อเกือบรุ่งสาง ปากหยักบางเหยียดตรงอย่างดูถุก ใบหน้าคมขึ้นสันนูน คิ้วขมวดไม่พอใจที่คนในห้องเป็นต้นเหตุให้ต้องมาเสียเวลายามเช้าแบบนี้

     

                    มือหนาบิดลูกบิดที่ไม่ได้ลงล็อคเอาไว้เข้าไปภายใน แสงร่ำไรที่ลอดผ่านม่านผืนบาง ทำให้เห็นแผ่นหลังเล็กส่วมใส่เสื้อตัวบางที่ไม่รู้ว่ามาจากไหนขดตัวอยู่ภายใต้ผ้าห่ม จนทำให้ปากเหยียดตรงกลายเป็นรอยยิ้มเยาะออกมาได้ “ฮึ มีแรง ก็ลุกขึ้นได้แล้วฮีชอล ถ้านายยังไม่อยากเดือดร้อนกว่านี้ รู้ไหมว่าทำให้พ่อกับแม่ฉันเป็นห่วงจนฉันต้องขึ้นมาดู หมดเวลาเรียกร้องความสนใจแล้ว ลุกขึ้น”

     

                    เสียงดังตวาดก้องเมื่อยิ่งพูดคนบนเตียงที่ยุ่งเหยิงกลับค่อยๆตลบผ้าห่มผืนหนาขึ้นคลุมโปงจนชายหนุ่มรู้สึกรำคาญจนอยากแกล้งด้วยความไม่พอใจ

     

    “คลุมโปงแบบนั้นระวังร้อนตายนะ ฉันเร่งแอร์ให้ดีกว่า” ซีวอนเดินเข้าไปหยิบรีโมทเครื่องปรับอากาศเร่งให้อุณหภูมิลดต่ำลง ดวงตากร้าวจ้องมองผืนผ้าห่มหนา เดินไปใกล้เตียงพยายามดึงโปงออก

     

                    “ออกไป อย่ามายุ่ง จะไปไหนก็ไป” เสียงสั่นเทาอันแผ่วเบาดังลอดออกมาจากใต้ผ้าห่มผืนหนา พร้อมกับออกแรงสุดกำลังที่เหลืออยู่ ยื้อผ้าห่มเอาไว้ไม่ให้มันเปิดออก

     

                    “คิดว่าฉันอยากมายุ่งนักหรือไง สำออยไม่เข้าท่า ถ้าเลิกสำออยเมื่อไหร่ก็โผล่หัวไปให้พ่อกับแม่ฉันเห็นด้วย พวกท่านจะได้ไม่ต้องกังวลคนแบบนาย” ชายหนุ่มจ้องมองผ้าห่มที่โป่งนูนเพราะคนที่นอนอยู่ ทำให้รู้ได้ว่าบางเล็กแค่ไหน  

     

    ก่อนที่ประตูห้องจะปิดลงซีวอนได้ยินเสียงแค่นไอดังติดต่อกันหลายครั้ง ร่างบางที่ขดตัวอยู่สั่นไหวอย่างรุนแรงและดูทรมาน จนทำให้ชายหนุ่มหยุดมองอย่างครุ่นคิด เดินกลับเข้าไปใกล้อีกครั้ง หยั่งเสียงถามเบาๆอยู่ไม่ห่าง “ฮีชอลนายเป็นอะไร”   

     

                    “เรื่องของฉัน ออกไปได้แล้วซีวอน” เสียงเหนื่อยหอบที่ฟังดูผิดปรกติตอบกลับมาอย่างไม่สนใจในความห่วงใยที่มีให้ จนมือใหญ่กำแน่นเข้าหากันด้วยความโกรธที่ถูกละเลยเช่นนี้

     

                    “ปากเก่งให้ตลอดนะฮีชอล แล้วถ้าแม่ฉันหรือใครรู้เรื่องเมื่อคืนหล่ะก็นายเจอหนักกว่านี้แน่” คำพูดทิ้งท้ายด้วยน้ำเสียงแสนเย็นเหยียบทำให้ร่างเล็กได้แต่นิ่งเงียบ หากแต่เสียงในใจกลับดังก้อง

     

                    .....ฉันยังมีหน้าไปพูดกับใครได้อีกหรือไง.....

     

                    เสียงประตูที่ปิดดังลั่นทำให้ร่างบางสะดุ้งตกใจจนปวดร้าวไปทั้งตัว ผ้าห่มผืนหนาถูกเปิดออกจากตัว เผยให้เห็นใบหน้าหวานที่เต็มไปด้วยคราบน้ำตา ดวงตาหวานบวมช้ำและแดงก่ำ ตามลำคอขาวและผิวกายที่อยู่ภายใต้เสื้อตัวบางเต็มไปด้วยร่องรอยของความโหดร้าย แต่ที่ร้ายไปกว่านั้นคือ....เลือด

     

                    จากช่องทางที่ถูกทำร้ายจนฉีกขาดไหลเป็นทางตามแนวขาวเรียวที่อ่อนล้าเกินกว่าจะเช็ดล้าง เป็นแนววงสีแดงคล้ำขนาดใหญ่ 

     

                    จากจมูกสวยโด่งที่มีเส้นเลือดฝอยเปราะบางอยู่เป็นจำนวนมาก น้ำสีแดงสดไหลออกมาคละเคล้ากับน้ำใสจากสองตา เรียวปากอิ่มมีคราบลิ่มเลือดที่ออกมาพร้อมกับการไอติดอยู่

     

                    ใบหน้าหวานจากจมูกไล่ลงมาถูกแตะแต้มด้วยสีแดงของเลือดสดจนดูน่ากลัว ดวงหน้านอนทับจมกองเลือดที่เอ่อล้นออกมาจากปากเล็ก อยากจะเบือนหน้าหนี แต่ก็ไร้สิ้นเรี่ยวแรง ต้องจำทนสูดดมกลิ่นคาวที่ชวนอาเจียน

     

                    ร่างกายที่เคยแดงเรื่อกลายเป็นขาวซีด หนาวสั่นอยู่ภายใต้ผ้าห่ม หมดแรงที่จะทำอะไรได้ต่อไป ปล่อยให้สายน้ำสองสีไหลบรรจบกันเปรอะเปื้อนทั้งชุดที่สวมใส่อย่างลวกๆและผ้าปูที่นอนเนื้อนุ่ม

     

                    ร่างบางงอตัวด้วยความเสียใจ..น้อยใจ...เมื่อได้ยินเสียงเครื่องยนต์ขนาดใหญ่ของมอเตอร์ไซค์ที่ไม่ได้ยินมานานดังกระหึ่มอยู่ด้านล่างก่อนออกตัวไปอย่างกระชากกระชั้นจนน่ากลัว

     

                    ....มิตรภาพที่มีมานาน..มันจบลงแล้ว...ไม่เหลืออะไรอีกต่อไป

                    * ~ * ~ * ~ * ~ *~ * ~* ~* ~ * ~ * ~ * ~ * ~ * ~ * ~ *

     

    เลยเวลาอาหารเที่ยงมานานมากแล้ว แต่เพื่อนลูกชายที่เอ็นดูไม่ต่างจากลูกหลานกลับยังไม่ยอมลงทานอะไรสักมื้อจนกาอินทนเป็นห่วงไม่ได้ ต้องขึ้นไปดูเองหลังจากให้เด็กในบ้านเคาะเรียกหลายทีแต่ก็เสียงตอบกลับ

     

                    เพียงแค่ยืนอยู่หน้าบานประตูไอเย็นที่ลอดผ่านช่องใต้ประตูออกมาก็ทำให้ใบหน้าที่มีริ้วรอยตามกาลเวลาต้องขมวดคิ้วด้วยความแปลกจัง และยิ่งเปิดบานประตูก็ยิ่งรับสัมผัสของไอเย็นจนต้องห่อกาย “ฮีชอลทำไมเปิดแอร์เย็นจังหล่ะลูก”

     

                    ดวงตากลมปรือขึ้นอย่างยากลำบาก เหลือบมองผู้ที่เปิดประตูเข้ามาอย่างตกใจ จนเสียงสั่นเทาและแหบพร่า “คุณน้า”

     

                    “ไม่สบายหรอลูก ซีวอนเมื่อเช้าให้ขึ้นมาดูก็ไม่ยอมบอก หรี่แอร์หน่อยนะมันเย็นขนาดนี้ถึงได้ไม่สบาย นะลูกนะ” แอร์ที่ถูกเร่งจนเย็นจัด ถูกหรี่ลงให้อยู่ในอุณหภูมิปรกติ ก่อนที่มือเล็กบางแต่แสนอบอุ่นจะเลื่อนมาลูบเนื้อลูบเด็กหนุ่มที่นอนอยู่บนเตียง

     

                    “ฮีชอล!” เสียงแหลมสูงร้องขึ้นอย่างตกใจ ทันทีที่เห็นใบหน้าหวานได้เต็มตา คราบเลือดเกรอะกรังอยู่เต็มจมูกและปาก ผ้าปูที่นอนชุ่มจนนองด้วยเลือด ร่างกายเล็กแผ่ความร้อนออกมา “ทำไมเลือดออกมาแบบนี้ ไปโรงบาลกับน้านะ ใครอยู่ข้างนอน เข้ามาในนี้หน่อย”

     

                    “คุณน้าครับ คุณน้า ผมไม่ได้เป็นอะไรครับ ไม่ต้องไปโรงบาลนะครับ คุณน้า” ใบหน้าหวานซีกล่างมีคราบเลือดแห้งส่ายหน้าไปมาช้าๆ น้ำตาที่แห้งไปจวนเจียนจะไหลอีกครั้ง คว้าจับสองมือบางที่เหี่ยวย่นเล็กน้อยเอาไว้

     

                    “แต่เราเป็นมากขนาดนี้ยังบอกไม่เป็นไรได้ไง ไม่ได้ฮีชอล เธอต้องไปโรงบาล” โทนเสียงที่เคยใจดีกลับกลายเป็นเด็ดขาดขึ้นมาในทันทีที่ชายหนุ่มร่างโปร่งขัดขืน

     

                    “ผมไม่ได้เป็นอะไรครับคุณน้า แค่เป็นไข้แล้วเลือดกำเดามันก็ไหลเท่านั้นเองครับ แค่กินยากับนอนพักผมก็หายแล้ว” เสียงใสแหบพร่าอย่างเหนื่อยอ่อนกับพูดไม่กี่ประโยค

     

                    “แน่ใจนะ” เสียงหวานอ่อนลงจนกลายเป็นปรกติมองหน้าหวานอย่างชั่งใจก่อนปล่อยลมหายใจหนักออกมา “ตามใจ แต่ถ้าพรุ่งนี้ไม่หาย น้าจะพาไปโรงบาลนะ”

     

                    กาอินยอมตามใจคนป่วยเดินออกจากห้องไปก่อนกลับมาอีกครั้งพร้อมด้วยยาและน้ำเปล่า บังคับให้ร่างบางกินเข้าไป หากแต่สายตากลับจ้องมองอยู่ที่สิ่งของบนพื้น “ฮีชอลนั่นปากกาอะไรหรือลูก ทำไมมาอยู่บนพื้น”

     

                    ร่างบางที่กำลังดื่มน้ำตามเม็ดยาเข้าไปเหลือบสายตาตามเห็นปากกามองบลังค์ที่เพื่อนสนิทให้มาและเคยใช้อย่างมีความสุข แต่เวลา...มันเปลี่ยนไปแล้ว

     

                    หัวใจดวงเล็กของฮีชอลถูกบีบให้ปวดร้าวด้วยปากกาแท่งสีน้ำเงินที่เคยสวยงามเลอะคราบขาวขุ่นไปทั่วทั้งแท่งจนดูไม่น่าแตะต้อง ถูกโยนทิ้งอย่างไม่ใยดีกลิ้งชนกับชั้นวางของ ใบหน้าที่ไร้สีเลือด ยิ่งซีดเผือด นึกหาข้ออ้างให้ปากกาน่ารังเกียจแท่งนี้ด้วยเสียงสั่นเทา “มันหมึกหมดแล้วครับ ผมกำลังจะเอาไปทิ้งแต่ว่ามันคงหล่น”

     

                    “แต่มันเติมหมึกได้ไม่ใช่หรอลูก แค่เลอะนิดหน่อยเอง” เพราะความเจ้าระเบียบทำให้เธอตั้งใจจะลุกขึ้นไปเก็บเจ้าปากกาแท่งสวย แต่กลับมีมีอีกคนพุ่งไปหยิบมาในมือเสียก่อน             

     

    ร่างกายที่เคยหนักอึ้งจนไม่อาจขยับเขยื้อนได้ ฝืนแรงตนเองลุกขึ้นอย่างรวดเร็วไม่อยากให้ใครอื่นได้แตะต้องคราบน่ารังเกียจบนปากกาแท่งนี้ “คุณน้าอย่าจับเลยครับมันเลอะ เดี๋ยวจะทำให้มือคุณน้าสกปรกไปด้วย”...สกปรกแบบที่ผมเองก็คงไม่มีวันล้างคราบน่ารังเกียจออกไปจากใจได้

     

                    “นั่นสิ น้าก็ว่าจะถามอยู่ว่ามันเลอะอะไรฮีชอล” คุณน้าคนสวยเข้าไปพยุงคนป่วยที่ทำเก่งลุกขึ้นจากเตียงแต่สุดท้ายก็ไร้เรี่ยวแรง

     

                    “เลอะ...เลอะ...”

     

                    ดวงตารีเรียวจ้องมองไปที่เตียงที่แสนยันย่นและเลอะเทอะด้วยคราบสีแดงที่คล้ำเพราะผ่านมาหลายชั่วโมง และคราบขุ่นที่ขาวจนขุ่นเหลือง ไม่ฟังเสียงที่พยายามหาข้ออ้าง เธอไม่ใช่หญิงสาววัยแรกแย้มที่จะไม่รู้ว่าคราบพวกนี้เกิดขึ้นจากอะไร เพียงแต่มันมีมากจนน่าตกใจและเกินกว่าจะเชื่อได้ว่าเป็นเพียงเลือดที่ไหลออกมาในครั้งแรก

     

                    “พอเหอะฮีชอล ไม่ต้องตอบน้าแล้ว ไปนอนบนโซฟาก่อนนะ แล้วน้าจะเปลี่ยนผ้าปูที่นอนให้” เธอประคองหลายชายอย่างแผ่วเบายิ่งกว่าเดิมพาไปหาโซฟาตัวยาวที่อยู่วางอยู่ในห้อง

     

                    ใบหน้าที่ซีดอยู่แล้วยิ่งซีดมากขึ้น กลัวจนอ่านสายตาผู้ใหญ่ที่ผ่านน้ำร้อนมาก่อนไม่ออกว่า สิ่งที่พยายามปิดบังนั่นไม่สำเร็จ “ไม่เป็นไรหรอกครับคุณน้า ผม...”

     

                    “ฮีชอล ถ้าเราขัดน้าอีกคำเดียว น้าจะถามเดี๋ยวนี้ว่าเมื่อคืนเกิดอะไรขึ้น และน้าจะโทรเรียกซีวอนกลับมาตอบคำถามนี้ด้วยอีกคน เลือกมา ว่าอยากให้ถาม หรืออยู่นิ่งๆให้น้าจัดการผ้าปูที่นอนนี้” แม้น้ำเสียงจะเด็ดขาด ในดวงตาที่ไม่สดใสเท่าวัยสาวกำลังเอ่อล้นด้วยน้ำตา

     

    กาอินไม่รังเกียจที่จะรับรู้เรื่องแบบนี้ แต่คำถามเดียวที่เธออยากรู้คือ...เรื่องนี้เกิดขึ้นด้วยความเต็มใจหรือไม่....และดูเหมือนทุกอย่างจะตอบคำถามนี้ได้เป็นอย่างดี....เธอคงไม่อาจทดแทนความเจ็บปวดและสิ่งที่เสียไปให้แก่หลานข้างบ้านคนนี้ได้

     

                    “น้ารู้แค่ว่าขอโทษคงยังไปพอ แต่น้าขอโทษนะฮีชอล” เสียงลอยเบาๆที่หลุดจากนายหญิงตระกูลดังแต่กลับต้องมาจัดการผ้าปูที่นอนที่เต็มไปด้วยคราบสกปรกทำให้ร่างบางที่นอนอยู่บนโซฟาต้องเสียงร้องไห้ออกมา

     

                    “คุณน้า..ผม”

     

                    “อย่าร้องนะลูก อย่าร้อง” ร่างกายที่บอบบางของหญิงสาวโอบปลอบโยนชายหนุ่มที่แสนจะเปราะบาง น้ำตาของทั้งสองคนแทบจะรวมเป็นสายเดียวกัน “น้ารู้ลูกว่าเราไม่ผิด อย่างฮีชอลขัดขืนลูกชายน้าไม่ไหวอยู่แล้ว น้าสัญญานะว่าต่อไปนี้น้าจะปกป้องฮีชอลจากหมาบ้าในตัวซีวอนเองนะลูก น้าสัญญา ไม่ต้องร้องนะ มันผ่านไปแล้ว”

     

                    ร่างบางที่ได้รับการปลอมโยนที่แสนอบอุ่นเป็นครั้งแรกนับจากเหตุร้ายที่เกิดขึ้นปล่อยตัวร้องไห้ในอ้อมกอดที่แสนอบอุ่นและปลอดภัยทั้งที่อ้อมกอดนี้มาจากผู้หญิงตัวเล็กๆ แต่แล้วคำพูดของเสียงกร้าวก็ดังขึ้นในความทรงจำ

     

    ....แล้วถ้าแม่ฉันหรือใครรู้เรื่องเมื่อคืนหล่ะก็นายเจอหนักกว่านี้แน่...

     

                    “คุณน้าครับ ผมขอได้ไหม อย่าให้ซีวอนรู้ว่าคุณน้าทราบเรื่องนี้  นะครับ” ดวงตากลมจ้องมองอย่างอ้อนวอนและขอร้อง จนคนถูกขอไม่ห้ามใจปฏิเสธได้

     

                    “จ๊ะ แต่ตอนนี้ พักผ่อนนะลูกนะ ถ้ามีอะไรก็เรียกน้านะฮีชอล อย่าเก็บเอาไว้คนเดียวแบบนี้ คิดว่าน้าเป็นแม่เราอีกคนได้ไหมลูก” กาอินประคองร่างบางกลับมายังที่นอนที่ปูผ้าผืนใหม่เรียบร้อย มองให้ใบหน้าหวานพยักหน้ารับ “หลับนะคนดี อย่ากลัวอะไรอีก”  

     

                    หน้าผากเนียนถูกสัมผัสอย่างแผ่วเบาและอบอุ่นจนดวงตากลมหลับลงอีกครั้งอย่างสบายตัวมากกว่าเดิม ความกลัวในใจลดหายไปกว่าครึ่ง ทำให้เขาสู่นิทราได้ไม่ยากเลย

     

                    ฮีชอลหลับไปเพียงไม่นาน เสียงโทรศัพท์ที่อยู่ไม่ไกลก็ร้องดังขึ้นจนไม่สามารถเพิกเฉยกับมันได้ ชื่อที่ปรากฏอยู่บนหน้าจอ ไม่อาจทำให้ใบหน้าหวานยิ้มออกมาได้เลย...ซองมิน

     

                    “สวัสดีซองมิน” เสียงหวานสั่นเทา นึกไม่อยากพูดคุยกับเพื่อนรัก จนต้องถามตัวเองว่า ซองมินผิดอะไร ถึงจะไม่อยากพูดด้วย...ซองมินไม่ผิด..ที่ผิดอาจเป็นเขาเองก็ได้...ที่แอบคิดในใจอย่างที่ซีวอนกล่าวหา

     

                    /หวัดดีฮีชอล เสียงไม่ดีเลย ไม่สบายหรอ/

     

                    ความเป็นห่วงที่ถ่ายทอดผ่านสายโทรศัพท์ทำให้ไม่อาจกลั้นน้ำตาได้อีก “อืมม นิดหน่อย ขอบใจมากนะ”

     

                    /เฮ้ยขอบใจอะไรพักผ่อนเยอะๆ ฮีชอลแปปนะจองวูมันจะขอคุยด้วย/

     

                    “อือ”

     

                    /ฮีชอล เป็นอะไรทำไมวันนี้ไม่มาม. ป่วยหนักหรือเปล่า มียาไหม ให้ฉันเอายาไปให้ไหม/

     

                    น้ำเสียงร้อนรนอย่างจริงใจของเพื่อนทำให้ร่างบางต้องยิ้มทั้งน้ำตา....แล้วมันมีจริงหรือยาที่จะรักษาความเจ็บของเขาได้ ยานอนหลับสักกี่สิบเม็ดที่จะไม่ทำให้เจ็บอีก...ไม่ต้องตื่นขึ้นมเจออะไรที่น่ากลัวอีก

     

    /ฮีชอลเงียบไปทำไม ฮีชอลได้ยินที่ฉันพูดหรือเปล่า ฮีชอล/

     

                    “ได้ยินๆๆ ขอโทษ” เสียงตะโกนผ่านโทรศัพท์ ดึงฮีชอลออกจากด้านมืดของความคิด “ฉันไม่เป็นอะไรหรอกนายไม่ต้องห่วงเดี๋ยวก็ไปเรียนได้แล้ว”

     

                    /แน่ใจนะ...ให้ฉันเอายาอะไรเข้าไปให้ไหม บอกได้นะ/

     

                    “อือ ไม่...ปะ”   ร่างบางชะงักกับสิ่งที่จะพูดเมื่อเห็นบานประตูที่ปิดสนิทเปิดออกพร้อมกับบางคนที่เดินเข้าด้วยความเย็นชา  “จองวูแค่นี้ก่อนนะ ขอบใจมาก”  

     

                    ดวงตากลมจ้องมองร่างสูงที่เดินเข้ามาใกล้เรื่อยๆ สายตาของชายหนุ่มที่ดูเย็นชาละกร้าวแข็งจนฮีชอลที่คบมานานยังไม่เคยเห็น “นายเข้ามาทำไมอีก ซีวอน”

     

                    ฮีชอลรู้ดีว่าเสียงที่ถามมันสั่นพร่าแค่ไหน แต่ก็จำต้องถาม อย่างน้อยๆก็อาจเป็นการเตือนสติคนที่ยังโกรธเกรี้ยวให้รู้ตัวได้บ้าง ว่ากำลังจะทำอะไร

     

                    “เสียงสั่นเชียวนะฮีชอล ฉันแค่เข้ามาดูว่านายตายหรือยังเท่านั้น ไม่ต้องกลัวไปหรอก ฮึ” ชายหนุ่มเสียงหัวเราะเยาะเย้ย พูดด้วยโทนเสียงที่เรียบจนดูฟังแล้วแสนจะเย็นชา

     

                    ฮีชอลเข้าใจแล้วว่าทำไมใครหลายคนถึงกลัวซีวอน ก็เมื่อชายหนุ่มตรงหน้าช่างแสนน่ากลัว ด้วยดวงตากร้าวที่คล้ายกำลังจับจ้องเหยื่อ น้ำเสียงแสนเย็นชาจนฟังแล้วหนาวเหน็บ ร่างกายที่สูงใหญ่จนน่าเกรงขาม

     

                    “ดูท่าจะเป็นห่วงกันดีนะ นายกับเจ้าของปากกาแท่งนี้” ชายหนุ่มความยาวและความไวของแขนหยิบคว้าปากกาที่ร่างบางวางไว้บนโต๊ะข้างเตียงขึ้นมามองอย่างพิจารณา “แปลว่าเมื่อคืนฉันก็เลือกใช้ถูกท่งสินะ ที่ยัดมันเข้าไปในตัวนาย ไอ้เพื่อนแสนดีที่มันรักนานอยู่คงดีใจที่ของมันได้เข้าไปในตัวนายเป็นชิ้นแรก”

     

                    “หุบปากนะซีวอน นายคิดบ้าอะไรอีก ตลอดที่เป็นเพื่อนกันมาฉันไม่คิดว่านายจะเลวได้แบบนี้ กลับห้องนายไปซะ” คนที่นั่งอยู่บนเตียงมองตามการเคลื่อนไหวของอดีตเพื่อนรักไม่วางตา มือบางคว้าจับหมอนไว้แน่น หากเกิดอะไรขึ้น หวังว่ามันจะช่วยเขาได้บ้าง

     

                    “ไม่ต้องด่าฉันก็ได้ เพราะฉันก็กำลังจะไป แต่ก่อนไปขอยืมปากการีดน้ำแท่งนี้หน่อยนะ”

     

                    ซีวอนเดินจากไปพร้อมรอยยิ้มร้ายที่ส่งมา ในมือนำเอาปากกาแท่งสกปรกนั่นไปด้วย ปล่อยให้ร่างบางได้แต่เจ็บช้ำกับพูดที่ได้ยิน ถ้อยคำที่แสนรุนแรงและหยาบคาบ

     

                    แต่คงไม่มีอะไรที่เจ็บไปกว่า...การรู้ใจของตนเองว่ามันเป็นเช่นไร....

     

                    * ~ * ~ * ~ * ~ *~ * ~* ~* ~ * ~ * ~ * ~ * ~ * ~ * ~ *

     

     

                    “ฮีชอลหายป่วยแล้วหรอลูกถึงลงมาแบบนี้” นายหญิงของบ้านมองเห็นหลานชายที่ดูอิดโรยเดินลงบันได ดูแล้วเธอเองยังอยากจะพาไปโรงพยาบาล แต่ติดที่เจ้าตัวไม่ยอม...ไม่ยอมอะไรทั้งนั้น

     

                    “อ้าวฮีชอลป่วยเป็นอะไรไปหล่ะ ทำไมอาไม่รู้” ชเว ซูมินนั่งอยู่บนโต๊ะอาหารเช้า มองร่างโปร่งที่ดูเล็กบางกว่าผู้ชายทั่วไปอย่างสงสัย ค่อยๆเดินลงบันไดมาอย่างเหนื่อยล้า ใบหน้าหวานซีดเผือด

     

                    ดวงตาคมจากชเว ซีวอนตวัดมองคนที่ถูกถาม จนร่างบางอ้ำอึ้ง...“ผม...ไม่ได้เป็นอะไรแล้วครับ แค่..มีไข้นิดหน่อยครับคุณอา” มือบางกำราวบันไดแน่น ทั้งกลัว และหมดแรง

     

                    “อือ ซีวอนไปประคองฮีชอลเดี๋ยวได้ตกบันไดกันพอดี”

     

                    ดวงตากลมเบิกกว้างส่ายหน้าปฏิเสธทันที “ไม่เป็นไรครับคุณลุง ผมไม่ได้เป็นอะไรมาก”

     

                    “ซีวอนไปช่วยฮีชอล” หนุ่มใหญ่สั่งเสียงเข้มไม่สนเสียงอ่อนแรงที่ปฏิเสธ หรือใบหน้าบึ้งตึ้งของลูกชายที่จ้องมองคนอ่อนแอด้วยสายตาที่วาวแสง

     

                    ชายหนุ่มก้าวขึ้นบันไดจนถึงตัวร่างบางสัมผัสได้ถึงไอความร้อนที่แผ่ออกมาได้เป็นอย่างดี มือใหญ่บีบแขนเล็กจนขึ้นรอยแดงอยู่ใต้เสื้อเชิ้ตนักศึกษา เล็บใหญ่จิกลงบนท่อนแขนเรียวที่จับไว้เมื่อดวงตาคมจ้องมองลอดผ่านสาบเสื้อเข้าไปเห็นร่องรอยแดงช้ำที่ประทับอยู่บนอกเรียบเนียน

     

                    “โอ้ย! เจ็บ” เสียงลอดผ่านกลีบปากแห้งมีรอยแตกช้ำแผ่วเบา ใบหน้าสวยซีดเผือดจนไร้สีเลือดพยายามสะบัดแขนออกโดยไม่ให้ใครรู้แต่ก็ไม่เป็นผลเมื่อมือหนายิ่งบีบแรงมากขึ้น

     

                    “ใส่เสื้อบางแบบนี้ตั้งใจจะเอาไปยั่วใครหรือไง” เสียงทุ่มต่ำจนน่ากลัวราวกับเสียงคำรามดังลอดไรฟันกระซิบถามจนแนบชิดใบหูเล็ก

     

                    “ยั่วบ้าอะไร ไม่มีใครโรคจิตแบบที่นายเป็นหรอกนะซีวอน” เสียงแหบพร่าเถียงกลับอย่างหวาดหวั่น ไม่รู้ว่าคนอย่างซีวอนจะทำอะไรได้อีกบ้าง

     

                    “ก็ใช่ ฉันมันไม่ใช่คนดีอย่างเพื่อนรักนายนี้ ทั้งจองวู แล้วยังมีคิบอมอีก”

     

    “จองวูเกี่ยวอะไรด้วย” ร่างบางมองหน้าตาของชายหนุ่มอย่างงุนงงถามกลับด้วยความสงสัย ไม่สนใจอารมณ์รุนแรงของอดีตเพื่อนรัก

     

    “ฮึ ทำเป็นซื่อนะฮีชอล ไม่อายบ้างหรือไงที่มีผู้ชายมารุมชอบแบบนี้ฮ่ะ” แต่ละย่างก้าวที่พ่อสั่งให้มาประคอง แต่สิ่งที่ชายหนุ่มทำมันไม่ต่างจากการลากลงบันได ไม่สนใจเลยว่าอีกคนจะรู้สึกเจ็บแค่ไหน

     

                    “แล้วนายหล่ะซีวอนไม่อายหรือไงที่อกหักจากผู้ชาย โอ้ยยย..”เสียงหวานร้องดังลั่นเมื่อถูกบีบที่แขนจนรู้สึกเหมือนกระดูกจะแตกร้าวลงไปได้ แล้วยังถูกลากลงมาจนเกือบตกบันได ต้องลงน้ำหนักอย่างแรง ความเจ็บแปลบแล่นขึ้นมาจนรู้สึกทรมานแทบอยากจะทรุดลงไปนั่งกับขั้นบันได

     

                    “ฮีชอลเป็นอะไรลูก” กาอินที่ทนนั่งเฉยไม่ได้ รีบเข้ามาช่วยร่างบาง ผลักลูกชายกระเด็นออกห่าง “เลิกทำบ้าๆได้แล้วซีวอน ฮีชอลไหวไหมลูก”

     

                    ดวงตาของชายหนุ่มมองหน้าแม่อย่างไม่เข้าใจก่อนผละไปจ้องมองร่างเล็กด้วยตากร้าวริมฝีปากเหยียดเป็นเส้นตรง สันกรามนูนขึ้น ยอมเดินกลับไปที่โต๊ะทานข้าวอีกครั้ง ปล่อยให้อีกสองคนเดินตามมาอย่างช้าๆ

     

                    กาอินประคองร่างเล็กลงนั่งข้างเธอ ทั้งที่ปรกติแล้ว ที่ของฮีชอลคือที่นั่งข้างซีวอน จนทำให้ซูมินแปลกใจ “ทำไมไม่ให้ฮีชอลไปนั่งกับซีวอนเหมือนทุกครั้งหล่ะ”

     

                    “ไม่มีอะไรหรอกค่ะ” เธอหันไปตอบผู้เป็นสามีด้วยรอยยิ้มปกปิดความจริง ก่อนจะเหลือบเห็นสายตาที่ลูกชายจ้องมองร่างเล็กข้างตัว “ซีวอนทานเสร็จแล้วไปก่อนก็ได้ มองแบบนั้นฮีชอลทานข้าวไม่ลงหรอก”

     

                    “ไม่เป็นไรหรอกครับแม่ คนเคยไปด้วยกันทุกวัน จะให้ผมทิ้งไว้ได้ยังไงกัน” ชายหนุ่มตอบผู้เป็นมารดาแต่สายตายังจับจ้องร่างบางที่นั่งเยื้องกันไม่วางตา

     

                    “เป็นอะไรกันไปหมด ทั้งฮีชอล ซีวอน แล้วคุณอีก” หนุ่มใหญ่ที่ยังคงความหน้าตาดีแบบเคร่งขรึมตามอายุได้แต่มองทั้งสามคนที่มีอาการแปลกๆอย่างไม่เข้าใจ

     

                    “ไม่มีอะไรหรอกครับพ่อ แม่เขาแค่กลัวผมจะฆ่าหลานชายเขาตายเท่านั้นเอง” ดวงตาคมยังคงจ้องมองร่างเล็กอย่างกดดัน ไม่สนใจสายตาจากผู้ใหญ่ทั้งสอง

     

                    “ทะเลาะกันหรือไง เอาหน่าคุณก็อย่าไปยุ่งเรื่องของเด็กมันเลย สองคนนี้ก็ทะเลาะกันมาตั้งแต่เด็ก วันสองวันก็กลับไปวิ่งเล่นด้วยกันเหมือนเดิม” ซูมินหันไปยิ้มให้กับภรรยาที่มักเป็นกังวลทุกครั้งที่เห็นเด็กสองคนทะเลาะกัน

     

                    “แต่ครั้ง...” กาอินสัมผัสได้ถึงมือเล็กวางบหน้าตักคล้ายจะเตือนให้นึกถึงสิ่งที่เคยขอร้อง จนเธอต้องเงียบลง “คะ”

     

                    “ฮีชอลกินหมดแล้ว ผมไปเลยนะ สวัสดีครับพ่อ สวัสดีครับแม่” ชายหนุ่มส่งสายตาบังคับให้ร่างบางลุกขึ้นและไปมหาลัยด้วยกันอย่างทุกวัน

     

                    ร่างบางลุกขึ้นอย่างช้าๆ ทุกกริยากระทำอย่างเชื่องช้าให้กระทบกระเทือนน้อยที่สุด มองร่างสูงที่เดินนำไปแล้วอย่างเสียใจ “ผมไปเรียนนะครับ คุณน้า คุณอา”

     

                    “ฮีชอลถ้าไม่ไหว โทรมานะเดี๋ยวน้าไปรับ” กาอินรีบบอกหลานรักอย่างเป็นห่วง ยิ่งมองก็ยิ่งอดหวั่นใจไม่ได้ แต่ก็ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดี

     

                    ชายหนุ่มนั่งรอร่างบางอยู่ในรถคันใหญ่อย่างหงุดหงิดกับคนที่ทำอะไรเชื่องช้า ไม่รู้ว่ามันจะอะไรกันหนักหนา ทั้งที่เมื่อวานก็นอนไปแล้วทั้งวัน

     

                    ฮีชอลเปิดประตูเข้าไปในรถ เบือนหน้าหนีไปทางอื่น ความรู้สึกอึดอัดที่น่ากลัว กดดันจนไม่กล้าแม้แต่จะขยับตัว ภายในรถคันใหญ่แต่กลับเหมือนไม่มีอากาศหายใจ ไร้บทสนทนาใดๆ

     

                    จนกระทั่ง.....

     

                    “อย่าคิดว่าแม่รู้ แล้วฉันจะไม่กล้าทำอะไรนายนะฮีชอล” ชายหนุ่มเปรยขึ้นด้วยเสียงทุ้มต่ำ สองตายังคงจับจ้องถนนยามเช้าภายใต้แว่นกันแดดสีดำจนไม่อาจมองเห็นสายตาคมได้

     

                    “ฉันรู้นิสัยนายดีซีวอน แต่อย่ามายุ่งกับฉันอีกเลยได้ไหมซีวอน อย่างน้อยเราก็เป็นเพื่อนกัน” ฮีชอลมองใบหน้าคมผ่านกระจกใสของรถ ขอร้องด้วยเสียงสั่นเทาเปิดเผยความกลัวที่มีอยู่ในใจ หวังใช้มิตรภาพที่มีมานานทำให้ชายหนุ่มใจอ่อนลง

     

    “นายต่อรองได้หรอเรื่องแบบนี้ มันขึ้นกับความพอใจของฉันต่างหากหล่ะ อ้อ อีกอย่างเราแค่เคยเป็นเพื่อนกันเท่านั้น ฮีชอล เราไม่ได้เป็นเพื่อนกันตั้งแต่วันที่นายหักหลังฉันแล้ว”

     

    เสียงทุ้มเย็นเหยียบเข้าไปในถึงจิตใจของชายหนุ่ม จนดวงตากลมต้องปล่อยสายน้ำที่อบอุ่นกว่าออกมาจนอาบใบหน้าไร้สีเลือด ปล่อยให้ชายหนุ่มที่นั่งขับรถหัวเราะในลำคอด้วยความสมเพช

     

                    เมื่อรถจอดนิ่งสนิทหน้าร่างบางรีบเปิดประตูลงจากรถโดยไม่สนใจจะหันไปล่ำลาให้ชายหนุ่มได้เห็นดวงตาที่แดงก่ำ  ใบหน้าหวานก้มหน้าไม่สนใจมองทางเดินและผู้คนเดินตรงขึ้นตึกเรียนไปอย่างเงียบๆ

     

                    “ฮีชอล ฮีชอลลลลล” เสียงเรียกที่คุ้นหู ทำให้ร่างบางชะงักเท้าที่ก้าวเดิน เหลียวมองรอบตัวเห็นเพื่อนสนิทตัวสูงที่คุ้นตาวิ่งตามมา ห่างไปไม่ไกลมีเพื่อนอีกคนที่ฮีชอลยังอยากหลบเลี่ยงที่จะเจอ ทั้งที่ก็ไม่ใช่ความผิดของซองมินเลย

     

                    “จองวู มีอะไรหรือเปล่า” เสียงที่พยายามไม่ให้สั่นเทา แต่ก็ไม่สามารถปิดบังความเศร้าได้เพราะน้ำตาเม็ดโตที่คลออยู่ในดวงตาใส

     

                    “เปล่าแค่จะเดินมาหาเพื่อนมันต้องมีอะไรด้วยหรอฮีชอล....”

     

                    ฮีชอลรู้สึกผิดเมื่อได้ฟังความจริงใจในน้ำเสียง และดวงตาที่ไหววูบเพราะความผิดหวัง “จองวู”

     

                    “ไม่เป็นไรหรอก อย่าคิดมากเลยเราก็แค่ถาม แล้วทำไมตาแดง ร้องไห้มาหรอ”

     

                    น้ำเสียงอ่อนโยนของเพื่อนรักทำให้ร่างบางถึงไปน้ำเสียงแบบนี้ที่เคยได้จากอีกคน แต่มันคงไม่มีวันนั้นอีกแล้ว...ก็ในเมื่อไม่ได้เป็นเพื่อนกันอีกแล้ว

     

                    “ฮีชอลเป็นอะไร ร้องไห้อีกแล้ว เราขอโทษ” ชายหนุ่มขยับเข้าใกล้เพื่อนรักที่ปล่อยน้ำตาให้ไหลออกมา มือหนาถือผ้าเช็ดหน้าเนื้อดีซับลงบนใบหน้าหวาน จ้องมองเข้าไปในดวงตากลมที่ยังมีน้ำตาคลออยู่  มือข้างลูบหัวเล็กอย่างปลอบโยนมองความอุ่นใจให้เช่นทุกครั้ง

     

                    เสียงรถยนต์บนถนนเร่งคันเร่งจนเสียงดังลั่นไปทั่วคณะ คนทั้งสองได้แต่มองตามเห็นหลังรถดำสนิทไวๆ แต่ก็เดาไม่อยากว่ามันเป็นของใคร

     

                    “ร้องไห้เพราะเขาหรอฮีชอล” ความจริงที่รู้อยู่แกใจ หากชายหนุ่มก็ยังอยากจะย้ำให้แน่ใจ แต่คำตอบที่ได้รับไม่ใช่คำพูด แต่เป็นหยาดน้ำตาที่ไหลงลงมาช้าๆ

     

                    “ฉันไปเรียนก่อนนะจองวู ฝากขอโทษซองมินด้วยที่ไม่ได้นั่งคุยด้วย” ฮีชอลเดินห่างออกมา พร้อมน้ำตาที่ยังไหลไม่หยุด สายตากลมโตมองร่างเล็กที่นั่งอยู่อย่างขอโทษก่อนหันหลังเดินขึ้นตึกเรียนไม่แวะที่จะนั่งคุยกับเพื่อนสักนิด

     

                    ....ขอโทษ นะซองมิน....

     

                    ฮีชอลเดินขึ้นห้องเรียน คาดหวังว่าจะได้พบกับความสงบและหลีกหนีจากเรื่องราวๆต่างที่อยู่ในใจ แต่มันกลับไม่เป็นแบบนั้น

     

                    “คิบอม....”

     

                    “พี่ฮีชอลหวัดดีครับ” เด็กหนุ่มหันมองหน้ารุ่นพี่ที่พึ่งเดินเข้ามา ใบหน้าคมก้มหลบไม่กล้าสบสายตาคู่กลมโตที่เคยหลงใหล

     

                    ร่างบางได้แต่อ้ำอึ้งไม่รู้ว่าควรลงนั่งที่เดิมข้างๆเด็กหนุ่มดี หรือจะหาที่นั่งใหม่ ที่ห่างไกลจากที่เดิม...ควรทำอย่างไหร ใครจะบอกได้บ้าง“คิบอมพี่ขอ...”

     

    “ไม่เป็นไรหรอกครับ ไม่ต้องขอโทษผมหรอก ผมเข้าใจดี” ชายหนุ่มอ่านท่าทางอึดอัดของรุ่นพี่ออกจึงได้แต่ส่งรอยยิ้มที่ดูอ่อนล้าไปให้เป็นการปลอบใจ “พี่นั่งกับผมที่เดิมแหละครับ ไม่ต้องย้ายไปไหนหรอกครับ”

     

    “อือ ขอบใจนะ” ฮีชอลมองใบหน้าที่ฝืนส่งยิ้มมาให้แล้วได้แต่คิดกับตัวเองเงียบๆ...ใครที่เจ็บกว่ากัน

     

    คิบอม...คนที่สารภาพรัก แต่กลับถูกปฏิเสธ และยังต้องนั่งยิ้มทั้งที่แสนทรมาน

     

    ฮีชอล...คนที่มีอะไรกับเพื่อนที่แอบรัก และเขาคนนั้นก็คงเกลียดเราไปแล้ว

     

                    “แล้ว คยูฮยอนยังไม่ออกมาหรอ” ร่างบางทำลายความเงียบที่แสนอึดอัดด้วยการถามถึงน้องรหัสที่ปรกติจะมาพร้อมกับเพื่อนสนิท แต่จนป่านนี้ก็ยังไม่มา

     

                    “ไอ้คยูฮยอนมันโดดคาบเช้านะครับพี่ เมื่อวานมันกลับบ้านแล้วบอกว่าจะมาตอนเที่ยง พร้อมเรื่องเซอร์ไพร์” แม้กำลังเสียใจ แต่เด็กหนุ่มก็ยังไม่ทิ้งนิสัยเดิม และคงไม่สามารถห้ามตัวเองไม่ให้หลงใหลในตัวรุ่นพี่คนนี้ได้

     

                    “หรอ เซอร์ไพร์อะไรของเขากัน” ใบหน้าหวานเผลอรอยยิ้มแรกนับแต่เกิดเรื่อง ด้วยความสงสัยทำให้หัวเล็กเอียงออกไป อย่างแปลกใจและอยากรู้

     

                    “ไม่รู้มันเหมือนกันครับ” เด็กหนุ่มมองท่าทางสงสัยของรุ่นพี่ด้วยความเอ็นดู แม้จะรู้ว่าคนตรงหน้าคงไม่มีหวังที่จะได้ครอบครอง แต่อย่างน้อยได้มองอยู่ใกล้ๆก็คงพอแล้ว...หรือเปล่า  คอเสื้อที่หย่อนลงไปตามการเอียงหัว ทำให้ดวงตารีเล็กมองเห็นบางอย่าง “ที่คอ พี่ฮีชอลไปโดนอะไรมาครับ ทำไมมันมีรอยแดง”

     

                    ใบหน้าเล็กๆที่พึ่งมีรอยยิ้มปรากฏอยู่กลายเป็นเบิกตากว้างด้วยความตกใจ สองมือรวบคอเสื้อเข้าหากัน มองใบหน้าเด็กหนุ่มตรงหน้าอย่างหวาดหวั่น ดวงตาปล่อยให้หยดน้ำไหลลงมา พร้อมกับที่หน้าหวานส่ายไปมาน้อยๆ

     

                    “พี่...คงแพ้แมลงหน่ะ”

     

                    น้ำเสียงอึกอักของรุ่นพี่บอกให้คิบอมรับรู้ได้ว่าสิ่งที่ได้ยินคงไม่ใช่ความจริง และห่างไกลจากความมากแค่ไหน แม้จะเดาในตอนแรก แต่คิบอมก็ไม่ใช่เด็กหนุ่มใสซื่อที่จะไม่เคยเห็นรอบแบบนี้ อย่าว่าแต่เคยเห็น ยังเคยทำมาแล้วด้วย

     

                    ...คงเป็นแมลงที่พี่รักสินะครับ ถึงยอมให้เป็นได้มากขนาดนี้....

     

                    ร่างบางก้มหน้า สายตาจับจ้องอยู่แต่หนังสือเรียนบนโต๊ะปล่อยให้น้ำตาไหลลงมาเงียบๆ ไม่กล้าเงยหน้าขึ้นสู้หน้าเด็กหนุ่มรุ่นน้องอีก รู้ดีว่าเหตุผลที่อ้างที่บอกไปมันงี่เง่าแค่ไหน

     

                    ทั้งฮีชอลและคิบอมต่างปล่อยให้ความเงียบเข้าครอบงำ ต่างจมอยู่ในความเจ็บปวดของตนเอง

     

    ฮีชอลร้องไห้เมื่อนึกถึงค่ำคืนที่ต้องกรีดร้องขอความเมตตา แต่กลับได้ตอบมาเป็นความโหดร้าย

     

                    คิบอม นิ่งเงียบ สะกดตัวเองไม่ให้เข้าไปโอบปลอบรุ่นพี่ที่กำลังร้องไห้ บอกตัวเองซ้ำๆว่าคนตรงหน้าเขาไม่มีสิทธิ์ที่จะแตะต้อง

     

                    คนทั้งคู่ที่นั่งอยู่ข้างกันเพียงสองคนแต่กลับไร้บทสนทนา จนเวลาล่วงเลยไปถึงเที่ยงที่อาจารย์ยอมเดินออกจาก คนทั้งคู่ก็มีเพียงแค่รอยยิ้มให้แก่กันเท่านั้น

     

                    ฮีชอลค่อยๆเดินไปที่ร้านอาหารของคณะ อยากจะยืดเวลาออกไปให้นานที่สุด ยังไม่อยากเจอหน้าใครแม้แต่เพื่อนสนิททั้งสองคน แต่มันคงไม่มีทางเป็นไปได้ ในเมื่ออย่างไรก็คงต้องเจอ

     

                    “ฮีชอลลล” ดวงตากลมโตจับจ้องไปยังคนที่ตะโกนเสียงดัง รอยยิ้มและความสดใสที่แสนจริงใจแบบนี้หรือเปล่าที่ทำให้ซีวอนหลงรัก แต่แบบนี้ก็ทำให้ฮีชอลมองด้วยความเจ็บปวดเช่นกัน

     

                    “ฮีชอลไม่เจอกันตั้งวันนึง คิดถึงจังเลย” เรียวแขนอวบที่ยื่นออกมา ทำให้ร่างบางรู้สึกกับตัวเอง ผิดกับเพื่อน ทั้งที่ซองมินก็เป็นซองมินคนเดิม แต่ทำไมถึงเป็นฮีชอลคนเดิมไม่ได้สักทีจนต้องกรีดร้องถามตัวเองในใจ ขอร้องให้น้ำตามันไหลอยู่ข้างในอย่าออกมาอีก

     

    ....ทำไม....เพราะอะไร

     

                    ฮีชอลไม่รู้เลยว่าสิ่งที่ตัวเองเป็นกำลังทำให้เพื่อนรักน้อยใจ เมื่อร่างบางเผลอถอยตัวออกห่างจากอ้อมแขนโดยไม่ตั้งใจ ดวงตาที่จ้องมองก็ดูว่างเปล่าและแดงช้ำ จนจองวูและซองมินต้องหันมองหน้ากันอย่างไม่เข้าใจ

     

                    “ฮีชอลตัวนายร้อนๆนะมานั่งนี้ก่อนเหอะนะ” มือหนาของจองวูคว้าแขนเล็กของคนที่ถอยห่างไปเรื่อยๆ บังคับให้ลงนั่งข้างกัน ในขณะที่เด็กหนุ่มอีกคนก็ลงนั่งฝั่งตรงข้าม ข้างๆซองมิน “นายทานข้าวต้มนะ เดี๋ยวฉันไปซื้อมาให้”

     

                    ดวงตากลมช้อนมองเพื่อนรักอย่างขอบคุณ แต่เวลานี้ก็ไม่อาจหลุดคำพูดใดๆออกมาได้อีกแล้ว จึงทำได้เพียงแต่พยักหน้ารับรู้ทุกถ้อยคำที่เพื่อนพูดออกมา

     

                    ทั้งสามคนปล่อยทิ้งให้คนป่วยเฝ้าอยู่ไม่นานก็กลับมานั่งลงที่เดิม ซองมินจ้องมองเพื่อนรักที่นั่งเยื้อกันอยู่อย่างแปลกใจ   ทั้งท่าทีที่แปลกไป ดวงตากลมดงฉ่ำน้ำ แต่ก็ไม่รู้ว่าจะถามยังไง และจะถามได้หรือเปล่า “ฮีชอลเป็นอะไรหรือเปล่า”

     

                    “ซองมิน” เสียงที่แฝงด้วยความห่วงใยจากเพื่อนตัวอวบทำให้ร่างบางนิ่งงัน ทั้งที่เพื่อนก็เป็นห่วงมากขนาดนี้ แต่กลับรู้สึกแบบนี้ ทำตัวอ่อนแอจนน่าสมเพช “เปล่า ฉันไม่ได้เป็นอะไร ขอบใจนะ”

     

                    “อือ ไม่เป็นไรก็ดีแล้ว แต่ถ้าเป็นต้องบอกฉันรู้ไหม”

     

                    “อือ ถะ..” ร่างบางเกร็งตัวแน่นทันทีที่สายตาสบเข้ากับดวงตาคู่ที่เคยเห็นมาตั้งแต่เด็ก ความกลัวแล่นเข้ามาในใจ จนอยากจะลุกจากไป แต่มันคงไม่ทันแล้ว....หลบไม่พ้นอีกแล้ว

     

                    “หวัดดีทุกคน ฉันขอนั่งทานข้าวด้วยคนสิ”

     

                    เสียงทุ้มที่ทุกคนจำได้ดีดังขึ้นจากด้านหลังของซองมินจนร่างอวบและเด็กหนุ่มต้องหันหน้าไปมอง “เอาสิ ทำไมวันนี้ซีวอนมากินถึงนี้ หรือว่ามาดูฮีชอล” ร่างอวบส่งรอยยิ้มเหมือนทุกครั้งที่เคยมีไปให้ชายหนุ่มร่างสูง พร้อมถามอย่างสงสัยก็ที่นี้ไม่ใช่ศูนย์อาหารของมหาลัย ทำไมเด็กต่างคณะถึงมา

     

                        “อย่างฮีชอล ฉันไม่ต้องดูแลหรอก คงมีคนอาสาดูแลเยอะแยะไปจริงไหม จองวู” ประโยคเริ่มต้นซีวอนตอบคำถามของซองมิน กลับลงท้ายด้วยการถามจองวู แต่สายตาคู่นั้นจ้องจิกอยู่ที่ร่างบางที่เอาแต่ก้มหน้า ใบหน้าคมกระตุกมุมปากขึ้นอย่างสาสมใจ

     

                    “ใช่ ฮีชอลเป็นคนดี ใครๆก็อยากดูแล แล้วยิ่งไม่แข็งแรงแบบนี้ก็ยิ่งมีแต่คนคอยทะนุถนอม นายไม่คิดแบบนั้นหรอซีวอน อุตส่าห์คบกันมานาน ไม่อยากดูแลเพื่อนตัวเองเลยหรือไง” แม้จะไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับสองเพื่อนสนิทที่คบกันมานาน แต่ตอนนี้ที่เขายังเป็นเพื่อนของฮีชอล เขาก็พร้อมที่จะปกป้องเพื่อนและออกรับแทนร่างบาง

     

                    “เอ่อ..ฉันว่าซีวอน นายไปซื้ออะไรกินเหอะ คณะฉันของกินน้อยเดี๋ยวมันจะหมดเอา” ซองมินจ้องมองฮีชอลที่เอาแต่ก้มหน้า หวังให้ห้ามศึกเหมือนทุกครั้งคงยาก จึงต้องแยกซีวอนออกจากจองวู

     

                    ชายหนุ่มไปเพียงไม่นานก่อนกลับมาพร้อมกับห่อขนมปังและน้ำ ลงนั่งที่เดิมข้างๆซองมน ไม่สนใจความอึดอัดที่มีอยู่โดยรอบ สายตาโฉนแสงจับจ้องอยู่ที่รางบางวางตา จนจองวูต้องลอบตบบ่าเล็กเบาๆเป็นการปลอบใจและบอกให้รู้ว่า....อยู่เคียงข้างเสมอ

     

                    จองวูกินข้าวอย่างฝืดคอ ต้องหันออกไปมองทิวทัศน์ข้างนอกที่มันสบายตากว่า แล้วสายตาก็ไปปะทะกับรถVOLVO CX90 ที่วิ่งเข้ามาจอด แม้จะเป็นรถที่เห็นได้บนท้องถนน แต่รถคันนี้ก็ไม่เคยปรากฏในคณะมาก่อนเลย “ไอ้เด็กม.นี้มันรวยนักหรือไง ดูนู้นสิรถใครไม่รู้”

     

                    ดูทุกคนหันมองรถคันที่จองวูชี้ให้ดู นับเป็นวิแรกที่ไม่รู้สึกอึดอัดราวกับไม่มีอากาศหายใจ แต่แล้วรถที่ไม่รู้ว่าเป็นของใคร ก็ทำให้คนทั้งโต๊ะมองอย่างแปลกใจและงงงวย โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับซองมิน คงมีเพียงแค่คิบอมเท่านั้นที่มองอย่างไม่ใส่ใจและเห็นเป็นเรื่องปรกติ

     

                    “น้องโจววว ไปเอารถใครมา” เสียงหวานใจเจ้าของรถ ร้องถามด้วยเสียงสูงลิ่วทันทีที่ชายหนุ่มตระกูลโจวเดินเข้ามาใกล้พร้อมรอยยิ้มกว้าง

     

                    “เฮ้ย! ไอ้บอมแกถอยไปดิ” ชายหนุ่มออกปากไล่เพื่อนที่นั่งอยู่ข้างคนรักให้เขยิบออกก่อนที่ตัวเองจะนั่งแทรกกลางระหว่างคิบอมและซองมิน

     

                    ฮีชอลลอบมองใบหน้าคม แม้จะยังเจ็บปวดและหวาดกลัวกับสิ่งที่เคยถูกกระทำ แต่ฮีชอลก็อดไมได้ที่จะสงสารเพื่อนคนนี้ มือหนาที่ร่างบางรู้จักแรงของมันดี บีบกำแน่นเข้าหากัน จนเส้นเลือดปูดโปน สันกรามถูกขบเคี้ยวจนเห็นเด่นชัด....

     

    อยากจะปลอบโยน แต่ก็ไม่กล้า..และซีวอนคงไม่ต้องการ

     

                    “รถของมันเองอ่ะแหล่ะครับพี่ซองมิน แต่มันไม่เอามาใช้เพราะว่ามันอยู่หอในเลยปั่นจั่กไปวันๆ ไม่ต้องมองหน้าเลยไอ้กี้ ในที่สุดก็เอามาใช้จนได้นะเว้ย” คิบอมเคี้ยวข้าวในปากหมดพอดี ก็เลยตอบคำถามรุ่นพี่หวานใจเพื่อนแทนเสียเลย

     

                    “กินเข้าไป ไม่ต้องยุ่งได้ไหมไอ้บอม” ไอ้กี้ที่เพื่อนเรียกหันไปสั่งคนที่เสนอตัวตอบคำถามก่อนหันหน้ากลับมาสบตาโตๆ มือหนากุมมือนิ่มเอาไว้ “พี่ซองมินครับ ไหนๆเราก็เป็นแฟนกันนานแล้วครับ”

     

                    “ได้ข่าวว่าเมื่อวานวันแรก” เสียงทุ้มลอยมาจากเพื่อนสนิทคนเดิม

     

                    “หุบปากก็ไม่มีใครว่านะไอ้บอม พี่ซองมินครับ ผมก็มีรถมีอะไรแล้ว พี่ย้ายมาอยู่หอนอกกับผมได้ไหมครับ”

     

                    “น้องโจว..” คนถูกถามค่อยดึงมืออกจากการเกาะกุม มาจับบิดอย่างเขินอาย ใบหน้าเต็มได้รูปแดงจัด ไม่กล้าสบสายตาคนรักรุ่นน้องที่เดินเข้ามาขออะไรแบบนี้ “พี่...”

     

                    “ก็ตอบน้องเขาไปสิว่าพี่ยอม” จองวูมองท่านั่งขวยเขินของเพื่อนแล้วได้แต่หัวเราะอย่างขำๆ จนต้องแซว แม้ว่ากำลังตบตักเล็กของคนข้างๆอย่างปลอบใจอยู่เงียบๆ

     

                    “บ้าหรือไง” ร่างอวบที่เขินอายหันมาเพื่อนสนิท แล้วก็กลับไปเขินต่อเมื่อสบกับตาคมที่มองมาอย่างหวานเยิ้ม “อย่ามองแบบนั้นสิน้อโจวววววววว....เรื่องที่น้องโจวถาม พี่กลับไปขอป๊ากับม้าก่อนนะ คงตอบไม่ได้หรอก”

     

                    “ครับ แค่พี่อยากมาอยู่กับผม ผมก็ดีใจมากแล้วครับพี่ซองมิน”

     

                    “อ้าวงี้ที่หอก็ว่างอ่ะสิ พี่ฮีชอลครับ ย้ายเข้ามาอยู่หอในไหมครับ รับรองว่าไม่มีแมลงที่พี่แพ้แน่ๆ” คนปากไวอย่างคิบอมหันมาชวนร่างบางที่ก้มหน้านิ่ง เจตนาพูดถึงแมลงตัวร้ายคล้ายจะเตือนบ้างคนให้รับรู้ไว้ว่า เขาพร้อมที่จะปกป้องคนอ่อนแอคนนี้เหมือนกัน แม้จะแค่ในฐานะน้องชาย

     

                    เด็กหนุ่มช่างพูดรู้สึกเหมือนกำลังโดนจ้องอยู่ เมื่อไปก็เจอกับสายตาไม่พอใจจากรุ่นพี่ร่วมคณะที่เคยขอคุยกับเขาเพียงลำพัง “โอ๊ะ แต่คงต้องผ่านด่านพี่จองวูไปก่อนแน่ๆ แต่อย่าลืมนะครับ ว่าหากพี่ต้องใคร ผมรอพี่เสมอ”

     

                    “พี่จะจำไว้นะ”

     

                    “ไร้สาระหน่า” เสียงแผ่วเบาดังในลำคอของฮีชอลถูกกลบด้วยเสียงทุ้มติดไม่พอใจของจองวู จนไม่มีใครได้ยินสิ่งที่ร่างบางต้องการพูดเลย

     

                    ซีวอนนั่งมองผู้ชายสองคนแย่งชิงเพื่อจะได้ดูแลร่างเล็กอย่างสมเพช อยากถามเหลือเกินว่าผู้ชายคนนี้มันมีอะไรดีหนักหนา ถ้าคนพวกนี้รู้ว่าคนที่กำลังแย่งกันอยู่ไม่ได้สะอาดไร้ที่ติและเคยผ่านมือเขามาแล้ว จะเป็นยังไง ยังอยากแย่งของแปลกของมีตำหนิกันอยู่ไหม

     

                    ความคิดบางอย่างแล่นขึ้นมาในหัวสมองร้ายๆ ที่มุมปากเกิดรอยยิ้มเยาะขึ้นครั้ง มือหนาล้วงลงไปในกระเป๋ากางเกง หยิบบางสิ่งออกมาส่งให้กับจองวู “ส่งให้ฮีชอลที ฉันยืมมาเมื่อวาน แท่งนี้ใช้ดีนะ”

     

                    จองวูรับปากกาที่เขาเป็นคนให้ในวันเกิดร่างบางมา จะส่งให้กับเจ้าของ แต่คราบเลอะบนตัวแท่งทำให้ต้องตวัดตามอง ทุกคนที่อยู่ในโต๊ะไม่มีใครซื่อเกินกว่าจะไม่รู้ว่ามันคราบของอะไร และมาจากไหน

     

                    ซองมิน...ได้คำตอบแล้วว่าอะไรคือสาเหตุที่ทำให้เพื่อนรักมีท่าทางแปลกๆ ดวงตาใสมองใบหน้าที่เผือดสี ร่างกายแข็งทื่อของฮีชอลด้วยความเป็นห่วง แต่ก็ไม่รู้ว่าจะทำอะไรได้

     

                    คิบอม...มองหน้ารุ่นพี่ที่หลงใหลอย่างสงสารจับใจ หากไม่มีแรงของเพื่อนสนิทมารั้งไว้ คงได้ลุกไปจัดการกับคนเลวที่กล้าใช้วิธีทำลายคนอย่างฮีชอล

     

                    มือเล็กๆของฮีชอลสั่นเทาจนไม่สามารถบังคับได้ ร่างกายแข็งทื่อ ริมฝีปากสีอ่อนถูกันขาวกัดจนเกือบห้อเลือด จ้องมองปากกาในมือของจองวูอย่างรังเกียจและหวาดกลัวไปพร้อมกัน

     

    จองวูกำปากกาในมือแน่น จ้องมองคนที่หยิบส่งมาให้อย่าเครียดแค้นจนแทบฆ่าให้ตายลงตรงนี้ได้ ตั้งใจจะหักมันทิ้งแต่กลับถูกแย่งไปจากมือ

     

                    “ฉันเปลี่ยนใจแล้ว คาบบ่ายฉันยังไม่มีปากกาใช้ ฮีชอลฉันขอเอาไปใช้ก่อนนะ” ชายหนุ่มจ้องมองท่าทางของคนทั้งโต๊ะอย่างสะใจ มองรอยยิ้มอ่อนโยนและน้ำเสียงอ้อนวอนไปให้กับเจ้าของปากกา ก่อนแปรเปลี่ยนเป็นรอยยิ้มเยาะ และดวงตากร้าว “ตอนเย็นฉันจะมารับนะฮีชอล แต่ถ้านายไม่อยู่ฉันจะเอาปากกาแท่งนี้ไปคืนนายถึงห้องแน่”

     

                    น้ำตาที่กักเก็บเอาไว้ของฮีชอลถูกปล่อยไหลออกมา พร้อมเสียงสะอื้นไห้เมื่อถึงที่สุดของอารมณ์ความเจ็บปวดที่ได้รับมันเกิดกว่าจะรับได้อีกแล้ว ลมหายใจติดขัดทำให้ไหล่บางไหวสั่นสะท้านจนน่ากลัว

     

                    จองวูคว้าเพื่อนรักเข้ามากอดปลอบ ให้บ่าใหญ่ของตนเองรองรับน้ำตาที่ไหลรินสองมือหนาลูบแผ่นหลังเล็ก ก่อนต้องตกใจเมื่อเห็นสายน้ำที่ไหลเปื้อนเจือปนสีแดงอ่อน “ฮีชอลๆ เลือด”

     

                    ใบหน้าหวานส่ายพลิ้วไปมา ไม่อยากรับรู้อะไรทั้งนั้น ต่อให้น้ำและเลือดจะออกจากกายไปจนหมดก็ยอม เพียงแค่อยากได้คำตอบเดียวเท่านั้น

     

                    สิ่งที่ฉันมันผิดมากใช่ไหม..ถึงต้องทำกันขนาดนี้...

     

                     

                   * ~ * ~ * ~ * ~ *~ * ~* ~* ~ * ~ * ~ * ~ * ~ * ~ * ~ *

     


                        นับตั้งแต่วันที่เกิดเรื่องราวเลวร้ายขึ้นในชีวิต ก็ไม่เคยเลยสักครั้งที่ฮีชอลจะอยู่โดยไม่หวาดระแวง ยิ่งซองมินยอมย้ายตัวเองเข้าไปอยู่กับน้องเทคที่กลายเป็นคนรักในหอนอก ก็ดูเหมือนว่า ความร้ายกายของซีวอนจะเพิ่มมากขึ้น มีแต่คำพูดที่ทำให้เจ็บร้าว และสายตาที่คอยทิ่มแทงอยู่เสมอ

     

    ....ช่างแตกต่างจากซีวอนคนเก่า ราวกับเป็นคนละคน....

     

                    ทุกๆคืนฝันร้ายยังคอยวนเวียนหลอกหลอนให้ร่างบางต้องสะดุ้งตื่นกลางดึก และเหลียมมองไปรอบๆตัวอย่างระแวดระวัง ก่อนถอนลมหายใจร้อนพรูออกมาด้วยความโล่งใจ ที่ไม่มีผู้บุกรุกยามวิกาล แต่ความโล่งใจนั้นก็หายไปเมื่อยามเช้ามาถึง ช่วงเวลาที่ไม่เลี่ยงหน้าของคนใจร้ายผู้นั้นได้

     

                    บรรยากาศในรถที่แสนอึดอัดยังคงดำเนินต่อไปอย่างทุกวันที่ผ่านมา น้อยครั้งนักที่ฮีชอลจะกล้าเริ่มต้นประโยคสนทนาเช่นครั้งนี้ “ซีวอน เย็นนายกลับบ้านก่อนได้เลยนะ เดี๋ยวฉันกลับเอง”

     

                    “ทำไม” เสียงห้วนจัด ไม่แม้จะเหลือบตามองร่างเล็กที่นั่งตัวลีบ

     

                    “ฉัน...ให้พวกน้องๆติวอิงค์ให้หน่ะ” เพราะใกล้วันสอบมากขึ้นทุกที และเป็นภาษาอังกฤษตัวสุดท้าย ร่างเล็กที่ไม่ถนัดเรื่องภาษาจึงขอร้องให้น้องรหัสมาช่วยติววิชานี้ให้เพื่อความมั่นใจ

     

                    “ขอให้มันติวอย่างเดียวเหอะฮีชอล นายคงไม่คิดจะอ่อยแฟนเพื่อนสนิทหรอกนะ” แม้ไม่มีสายตาเหยียดหยาม แต่ทั้งคำพูดและน้ำเสียงก็บอกให้รู้ได้ว่าชายหนุ่มคงไม่คิดจะมองเพื่อนคนนี้ในแง่ดีอีกแล้ว

     

                    “ฉันกับน้องเราเป็นพี่น้องกันอย่างบริสุทธ์ ไม่คิดทำอะไรต่ำๆแบบนั้นหรอกซีวอน นายไม่ต้องกลัวไปหรอก”

     

                    “ก็ดี แล้วฉันจะคอยดู ทำอะไรก็ให้คิดไว้บ้างว่านายมีตระกูลชเวคุ้มหัวอยู่ แหวนที่พ่อฉันให้ก็ใช้มันเตือนตัวเองไว้บ้างนะฮีชอล” รถเคลื่อนที่ด้วยความเร็วค่อยๆลดลงเมื่อเข้าเขตของมหาวิทยาลัย และจอดนิ่งสนิทเมื่อถึงหน้าคณะของร่างบาง

     

                    ฮีชอลอดทนนั่งฟังคำกล่าวร้ายมานานรีบลงจากรถโดยไม่มีแม้แต่คำขอบคุณ ใบหน้าหวานที่ก้มต่ำปิดบังความตื้อตันที่ตีขึ้นมาจนเกือบจะกลั่นออกเป็นสายน้ำ เดินตรงไปที่โต๊ะประจำหาเพื่อนสนิทอีกสองคนพ่วงด้วยสองรุ่นน้องที่คุ้นเคยเป็นอย่างดี

     

                    “ฮีชอลเป็นอะไร  ทำไมเดินก้มหน้ามาแบบนั้น เป็นอะไรหรือเปล่า หรือว่าซีวอน....” คำทักทายของจองวูทำให้คิบอมที่นั่งเล่มมือถือในมือต้องเงยหน้าขึ้นมองใบหน้าหวานปนเศร้าของฮีชอลด้วยความเป็นห่วง

                   

    “เปล่าหรอก ไม่มีอะไรหรอกจองวู” ร่างบางที่ยังต้องก้มหน้าซ่อนน้ำตา ขัดเพื่อนด้วยเสียงสั่นเท่าขัดกับประโยคที่พูดออกไป เพื่อทำให้คนฟังสบายใจ

     

                    “ไม่มีอะไร แล้วนายจะเป็นแบบนี้ได้ยังไงฮีชอล มันทำอะไรกับนายขนาดนั้นแล้ว ยังจะทนอีกทำไม พรุ่งนี้ฉันจะไปรับที่บ้าน ไม่สนแล้วว่าใครมันจะว่ายังไง” มือหนาเชยคางแหลมขึ้นจนทำให้มองเห็นดวงกลมที่แสนเศร้า

     

                    “ใช่ พี่ฮีชอลจะทนอีกทำไมกัน ความจริงถ้าพี่จองวูไม่สะดวก ไอ้บอมมันก็ไปรับไปส่งได้นะครับ แถมมันพึ่งถอยรถใหม่มาด้วย ใช่ไหมไอ้บอม”

     

                    “หืมม์ มีอะไร” เด็กหนุ่มเงยหน้าขึ้นมองเพื่อนรัก ไม่กล้าตอบรับสิ่งใด เพราะแค่นี้รุ่นพี่ที่น่าสงสารก็คงอึดอัดใจมากพอแล้ว ทั้งจากคนที่ขับรถมาส่งยามเช้า แล้วยังต้องเจอคำพูดที่แทงใจดำของรุ่นพี่ที่อยู่ตรงนี้อีกคน

     

                    “ฉันถามว่าแกไปรับพี่ฮีชอลก็ได้ใช่ไหม”

     

                    “น้องโจว!” เสียงหนักๆของซองมินปรามคนรักรุ่นน้องที่ไม่ดูเลยว่า ฮีชอลกำลังอึดอัดแค่ไหน

     

                    “คร้าบบบ พี่ซองมิน”

     

                    “ขอบใจนะ ทั้งจองวูและก็คิบอมนั่นแหล่ะ แต่ไม่เป็นไรจริงๆ คยูฮยอน คิบอม วันนี้อย่าลืมที่นัดกันตอนสี่โมงที่ห้องสมุดนะ” ร่างเล็กพาเปลี่ยนเรื่องคุย หันไปหารุ่นน้องทั้งสอง เตือนถึงนัดสำคัญที่แรกมากับการถูกซีวอนมองในที่ร้ายไปกว่าเดิม

     

                    “ครับพี่” คิบอมรับคำในทันทีด้วยรอยยิ้มแสนอบอุ่นหวังว่าอย่างน้อยๆก็คงทำให้คนที่กำลังเศร้าหมองได้คลายความเศร้าลง และรับรู้ถึงความจริงใจที่เขามีให้

     

                    “อิงค์มีรายงานหรอ ให้เราช่วยไหม” ซองมินมองหน้าเพื่อนตัวบางพร้อมรอยยิ้มอ่อนๆ เสนอตัวช่วยงานเพื่อนหวังจะให้เสร็จไวๆ

     

                    “เปล่าหรอก เราให้น้องช่วยติวให้เท่านั้นเอง ก็กลัวไม่ผ่านนินา” ใบหน้าหวานแดงกล่ำ ที่ต้องขอให้น้องปีสองมาช่วยติวให้แบบนี้

     

                    “อ่า ต้องผ่านสิ ฮีชอลสะอย่าง แล้วบอกคนที่จะมารับหรือยัง” ซองมินนึกไปถึงซีวอน ถ้าหากไม่รู้เรื่องนี้คงได้ไม่พอใจเป็นแน่ แล้วยิ่งถ้าฮีชอลจะกลับช้าก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะเป็นเช่นไร

     

                    “เขารู้แล้วหล่ะ ขึ้นห้องกันเหอะ ซองมิน จองวู”

     

                    “อือ พี่ไปก่อนนะ แล้วห้ามหลับในคาบอีกนะน้องโจว น้องบอมด้วย” นิ้วป้อมๆชี้ใส่หน้าเจ้าเล่ห์แต่แสนซื่อของคยูฮยอน แล้วเลยเผื่อแผ่ให้เพื่อนของคนรักด้วย

     

                    “ครับพี่”  ทั้งคยูฮยอนและคิบอมต่างก็รับคำแข็งขัน แต่สองตามองกันอย่างรู้ดีว่ายังไงคงไม่มีทางรอดไปได้ แค่ไม่มีใครพูด ก็ไม่มีใครรู้

     

                    ฮีชอลขำกับการรับคำอย่างแข็งขันของทั้งสอง ก่อนจะลากทั้งเพื่อนสนิทตัวสูง และตัวอวบให้เดินขึ้นตึกเรียนก่อนที่จะถุกเช็คชื่อว่าสาย

                                   

                    * ~ * ~ * ~ * ~ *~ * ~* ~* ~ * ~ * ~ * ~ * ~ * ~ * ~ *

     

    นาฬิกาข้อมือเป็นหนึ่งในหลายที่บอกรู้ว่าครั้งหนึ่งเคยซีวอนเคยให้เขาได้เป็นเพื่อนสนิท  แต่เจ้าของที่ร่างบางพกติดตัวเสมอทำให้ขาเล็กต้องออกแรงวิ่งจนสุดกำลัง เพื่อไปยังอาคารหอสมุดที่นัดรุ่นน้องเอาไว้

     

                    ร่างบางวิ่งขึ้นบันไดไปยังชั้นสี่ที่เก็บหนังสือที่เกี่ยวข้องกับภาษาเอาไว้จำนวนมาก คนในชั้นนี้ค่อนข้างน้อย จึงเห็นสองหนุ่มที่มานั่งรออยู่แล้วอย่างสะดุดตา ลมหายใจหอบหนัก ค่อยๆถูกผ่อนให้ช้าลง ยิ่งคนน้อยเท่าไหร่ ก็ยิ่งต้องเงียบมากเท่านั้น “พี่ขอโทษ จารย์พึ่งปล่อยหน่ะเลยมาช้า” 

     

                    “ไม่เป็นไรหรอกครับพี่ นี้วิ่งมาเลยหรอ ความจริงไม่ต้องรีบก็ได้” คิบอมมองหน้ารุ่นพี่ที่มีเหงื่อพราวอยู่นิดๆ ลากเก้าอี้ให้นั่งลงข้างๆกับตน “แล้วพี่จะให้เริ่มตรงไหนก่อนครับ”

     

                    “ตรงพวกแกรมม่า มันมีบางอันที่พี่ยังงงอยู่”

     

                    “อืมม ตรงแกรมม่าหรอครับ มันต้องเปิดหนังสือ ผมไม่ได้ติดมาด้วยสิ ไอ้กี้ เอาหนังสือแกรมม่ามาไหม” คิบอมหันไปมองงหน้าเพื่อน แทนที่จะได้รับคำตอบ แต่กลับได้รับสายตารู้ทันว่าเขาอยากดูแลรุ่นพี่คนนี้ กลับมาจากเพื่อนแทนคำตอบ

     

                    “ผมก็ไม่ได้เอามาเหมือนกันครับพี่ฮีชอล เอามาแต่เรื่องนาราทีฟ” คยูฮยอนหันมาทำเสียงรู้สึกผิดกับพี่รหัส หยิบชีทแผ่นบางที่มีวิธีการเขียนเล่าเรื่องที่อาจารย์ย้ำว่าออกสอบแน่ๆ ขึ้นมาให้ดู

     

                    “หรอ ไม่เป็นไร ถ้างั้นเอาเรื่องนาราทีฟก่อนก็ได้” ใบหน้าหวานยิ้มให้รุ่นน้องทั้งสอง โน้มตัวไปข้างหน้า ตั้งใจดูชีทที่รุ่นน้องกางออกมา สองตาตั้งดู สองหูพยายามทำความเข้าใจเพื่อจะได้จดย่อให้เข้าใจยามกลับมาอ่านคนเดียว

     

                    ทั้งสองคนนั่งพูดนั่งติวให้ร่างบางเข้าใจการเขียนนาราทีฟ หรือการเขียนเล่าเรื่องมากขึ้น แต่เพราะห้องสมุดเงียบมากก็ยิ่งต้องพูดให้เสียงเบาที่สุด จนต้องเขยิบมาชิดกันเพื่อไม่ต้องส่งเสียงดังรบกวนคนอื่น ก่อนที่ร่างบางจะก้มหน้าจดย่อสรุปตามความเข้าใจของตนสำหรับกลับไปอ่านที่บ้าน

     

                    ปอยผมนุ่มที่ทิ้งตัวลงมาปิดหน้าถูกนิ้วเรียวของคิบอมรวบเก็บเหน็บไว้หลังใบหูเล็ก จนร่างบางสะดุ้งตกใจเกือบทำเสียงดังออกไป

     

                    “ขอโทษครับพี่” คิบอมขอโทษที่ทำให้ฮีชอลตกใจ สายตาของเด็กหนุ่มที่มองไปยังรุ่นพี่ ดูจริงจังกับสิ่งเล็กน้อยที่ทำลงไป

     

                    “ไม่เป็นหรอก พี่แค่ตกใจเท่านั้นเอง” ร่างบางมองหน้ารุ่นน้องที่ทำความผิดเพียงนิด แต่กลับมีสีหน้ารู้สึกผิดเสียยิ่งกว่าคนที่ทำร้ายเขาให้เจ็บหนักกว่านี้หลายร้อย หลายพันเท่า “พี่ไปหาหนังสือแกรมม่าก่อนนะ”

     

    “ผมไปหาให้ก็ได้ครับ” คิบอมรั้งแขนเล็กเอาไว้ อาสาไปหาหนังสือแทนรุ่นพี่ แม้จะนั่งติวเรื่องนาราทีฟผ่านไปเกือบชั่วโมง แต่แก้มแดงๆที่เขาชอบมองก็ยังซีดจนน่าเป็นห่วง

     

                    “ไม่เป็นไรหรอกคิบอมพี่ไปหาเองได้แค่นี้เอง เดี๋ยวคอยติวให้พี่ดีกว่านะ” ฮีชอลส่งยิ้มให้แก่รุ่นน้องที่อาสาจะไปหาหนังสือมาให้ แกะมือหนาออกอย่างเบามือ แล้วเดินไปยังแถวๆล็อคที่เก็บหนังสือพวกนี้เอาไว้

     

                    “หนังสือแกรมม่า อยู่ตรงล็อกไหนน้า” ร่างแบบบางพึมพำคนเดียวไปเรื่อยเปื่อย ขณะเดินหาหนังสือที่จะเอาไปติวกับน้องๆ ตู้อันใหญ่โตอัดแน่นไปด้วยหนังสือมากมายหลายชนิด ทำเอาฮีชอลเริ่มตาลายเล็กน้อย แต่ก็ยังเดินตามหาต่อไป จนเข้าสู่มุมหนังสือที่มีผู้คนบางตาและเงียบสงบกว่าตรงอื่น

     

    “ใช่ล็อกนี้มั้ยเนี่ย?”

     

    ฮีชอลลากสายตาไล้ดูเลขที่ที่เขียนไว้ตรงสันหนังสือด้านข้างไปเรื่อยๆ พลางก้มลงดูโน้ตในมือ จนกระทั่งมาเจอหนังสือที่ต้องการอยู่ตรงชั้นวางในระดับสายตา รอยยิ้มหวานผุดขึ้นทันทีเมื่อเจอของที่ตามหามานาน เอื้อมมือไปดึงหนังสือออกมาจากชั้นโดยไม่คิดอะไร

     

    พลันแววตาอันน่าหวาดหวั่นที่ปรากฏขึ้นมาจากช่องว่างของชั้นวาง ทำเอาร่างบางตัวแข็งทื่อด้วยความตกใจ หนังสือที่ถืออยู่ร่วงตกลงบนพื้นดังตุบ เรียวปากบางเผยอออกน้อยๆ เหมือนจะพูดแต่เปล่งเสียงไม่ออก

     

    ดวงตาคู่นั้นที่ฮีชอลจำได้ทันทีว่าเป็นของซีวอน เป็นประกายวาววับอัดแน่นไปด้วยความโกรธขึ้ง มันลับหายไปจากสายตาก่อนจะมาให้เห็นอีกครั้งตรงหน้าพร้อมกับเจ้าของที่เหมือนมีรังสีดำทะมึนกดดันอยู่รอบตัว

     

    “ซะ...ซีวอน” เสียงสั่นๆ เอ่ยออกมาเพียงนิด ก่อนเจ้าตัวจะทำใจแข็ง เชิดหน้าขึ้นน้อยๆ พูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “มีธุระอะไร? นายยังไม่กลับบ้านอีกหรอ?”

     

    ชายหนุ่มมองด้วยสายตาเย็นเยียบเป็นคำตอบ ร่างสูงยืนพิงตู้หนังสือ สองมือกอดอกทำให้ดูเหมือนคนหยิ่งทระนง ปิดทางเข้าออกของฮีชอลเอาไว้หมด เพราะมุมที่ฮีชอลยืนอยู่เป็นทางตันที่มีตู้หนังสือขนาบสองข้าง

     

    ร่างบางพยายามสู้สายตาชิงชังคู่นั้น แต่จนแล้วจนรอด เขาก็ต้องเป็นฝ่ายเบือนหน้าหนี เมื่อไม่อาจทนมองความเย็นชาที่ไร้ก้นบึ้งได้อีก “ถ้าไม่มีธุระอะไร..ฉันขอตัวก่อนนะ ฉันกำลังรีบ”

     

    พูดจบ ฮีชอลก็เบี่ยงตัวเดินออกมาจากสถานการณ์อันน่าอึดอัด แต่ยากที่จะพ้นจากเงื้อมมืออันโหดร้ายของผู้ชายคนนี้ได้

     

    “โอ๊ย!!!

     

    ฮีชอลเจ็บจนน้ำตาซึม กับแรงบีบแน่นของมือหยาบใหญ่ที่กดลงมาตรงต้นแขน เมื่อหันไปมองร่างสูง ก็รู้สึกได้ถึงความคุกกรุ่นที่ทวีคูณเพิ่มขึ้น

     

    “...นายคงเหนื่อยมากสินะ ต้องเดินสายเสนอตัวให้คนนู้นที คนนี้ที”

     

    ร่างเล็กอึ้งไปเล็กน้อย เพราะไม่นึกเลยว่า จู่ๆ จะโดนข้อกล่าวหาที่ไม่คาดคิด “นายหมายความว่ายังไง? เดินสายเสนอตัว? พูดถึงอะไรกัน”

     

    “หึ หน้าใกล้กันจนจะจูบกันอยู่แล้ว ยังทำเป็นไร้เดียงสาไม่รู้เรื่องอีกหรือไง มานี่!!

     

    “ฮะ...เฮ้ย!!!

     

    ร่างบางถูกฉุดดึงไปตามแรงของคนตรงหน้าที่ไม่มีที่ท่าจะผ่อนฝีเท้าลงเลย เสียงตึงตังกระชากลากถู เรียกให้คนที่อยู่บริเวณนั้นหันมามองด้วยความงุนงงระคนรำคาญใจที่มีคนทำเสียงรบกวนการอ่านหนังสือ ฮีชอลพยายามสะบัดข้อมือให้หลุดจากการเกาะกุมไปตลอดทาง พลางผงกหัวขอโทษคนอื่นๆ ที่ส่งเสียงดังไปด้วย

     

    ซีวอนลากฮีชอลเข้ามาในมุมมืดที่ร้างผู้คน ด้วยความที่ล็อคนี้เป็นหนังสือเก่า แถมเป็นหนังสือเกี่ยวกับการประมวลกฎหมาย จึงไม่ค่อยมีใครให้ความสนใจมากนัก สังเกตได้จากฝุ่นที่จับตัวบางๆ อยู่บนชั้นหนังสือไปทั่ว

     

    ตึง!!

     

    “อุก...ซี้ด..” ฮีชอลสูดปากด้วยความเจ็บ หลังบางกระแทกเข้ากับชั้นหนังสือโดยแรง “ทำอะไรของนายเนี่ย!!!

     

    ฮีชอลพูดโพล่งออกไปด้วยความโมโห ตวัดสายตาไปมองคนบ้าที่อารมณ์ขึ้นๆ ลงๆ อย่างลืมตัว แต่พอร่างสูงเข้ามาใกล้ในระยะประชิดแทบได้ยินเสียงหายใจของกันและกัน ร่างกายก็สั่นสะท้านจากความทรงจำอันเลวร้ายที่สลักลึกไว้บนเรือนร่างนี้โดยอัตโนมัติ

     

    “ขนาดในห้องสมุดก็ยังไม่เว้นนะ อยากได้ผู้ชายขนาดนั้นเลยรึไงกัน?” คำพูดเย็นเยียบทิ่มแทงเข้าไปในอกจนเจ็บร้าว ความทรมานจุกแน่นอยู่ในลำคอ ฮีชอลพยายามไล่น้ำตาที่เริ่มเอ่อคลอกลืนกลับเข้าไปข้างใน ไม่อยากให้คนตรงหน้าได้เห็นความอ่อนแอ เพื่อใช้เป็นช่องว่างในการทำร้ายเขาอีกแล้ว

     

    “ในห้องสมุด? นายเอาอะไรมาพูด ซีวอน บ้าบอกันไปใหญ่แล้ว!! ฉันมาติวกับน้อง ก็บอกไปแล้วเมื่อเช้า แล้วนายยังคิดอะไรบ้าๆแบบนี้อีก!!?” ร่างบางตอกกลับ พยายามสู้สายตาน่ากลัวคู่นั้น

     

    “มาติว?” ชายหนุ่มถามเสียงสูง สายตาจ้องมองร่างบางเขม็ง “โกหกได้หน้าตายจริงๆ  ก็ไอ้คิบอมกับไอ้คยูฮยอนที่นายนั่งออดอ้อนออเซาะมันอยู่นั่นไง แค่คนเดียวไม่พอ คราวนี้นายเล่นควบสอง อัพเกรดตัวเองได้ไวจริงๆ นะ”

     

    “คิบอม..คยูฮยอน? นายเห็นว่าฉันกำลังอ้อนงั้นหรอ? ฉันก็แค่ให้เขา.....”  ฮีชอลพยายามแก้ความเข้าใจผิด แต่คนอารมณ์ร้อนอย่างซีวอน ไม่เคยฟังใครง่ายๆ อยู่แล้ว

     

    “เหตุผลของนายไม่มีค่าให้ฉันต้องรับรู้หรอก!! ฉันไม่อยากรู้!” ร่างสูงตัดบทอย่างเจ็บแสบ ฮีชอลได้แต่เม้มปากแน่นด้วยความเจ็บใจ

     

    ....ทำไมกัน...คำพูดของเขามันไร้ค่ามากนักหรอ? ไม่มีค่าให้นายฟังซักนิดเลยใช่มั้ย? เพราะฉันไม่ใช่ซองมินคนที่นายรัก นายถึงไม่อยากฟัง.....

     

    ร่างเล็กได้แต่ตัดพ้ออยู่ในใจ น้ำตาที่กลั้นไว้ เริ่มเอ่อคลอในดวงตาคู่สวย ด้วยความที่ไม่อยากให้ซีวอนเห็นว่าตนร้องไห้ จึงก้มหน้าลงปกปิดความอ่อนแอของตัวเองเอาไว้

     

    เมื่อซีวอนเห็นคนตรงหน้านิ่งเงียบไปพร้อมกับไหล่ที่สั่นไหวเบาๆ ด้วยแรงสะอื้น ความรู้สึกผิดก็ถาโถมเข้ามาในใจชั่วครู่หนึ่ง แต่อารมณ์โกรธจนเกือบคล้ายความหึงหวงที่เจ้าตัวเองก็ไม่เข้าใจนั้นมีมากกว่า ร่างสูงจึงเลือกที่จะไล่ต้อนฮีชอลให้จนมุมต่อไป

     

    มือหยาบใหญ่เชยคางเรียวขึ้น นัยน์ตาหวานของคนที่ได้ชื่อว่าเป็นเพื่อนสนิทมาตลอดชีวิตชุ่มไปด้วยหยาดน้ำตาของความเสียใจ แต่ชายหนุ่มก็ไม่คิดแยแสมัน กลับพูดจาเสียดสีตอกย้ำยิ่งขึ้น

     

    “น้ำตาไม่ทำให้ฉันใจอ่อนหรอกนะ สำหรับคนมักมากอย่างนาย”

     

    NC

     

    ขาเล็กที่อ่อนล้า พาร่างการที่ไร้แม้แต่แรงจะทรงกายถลาไปตามถนนในมหาลัยที่มีผู้คนน้อยลงเพราะเป็นเวลาเย็นมากแล้ว ใบหน้าหวานที่พร่างพราวจนแยกไม่ออกว่าหยดไหนคือน้ำตาร้อนและหยดไหนคือเหงื่อเย็น ต้องคอยเหลียวมองด้านหลังอย่างหวาดกลัว...ภาวนาให้ไม่มีรถคันที่คุ้นตาตามมา

     

                    ความรู้สึกเปียกแฉะที่ส่วนล่างยิ่งทำให้ฮีชอลรู้สึกรังเกียจร่างกายนี้มากขึ้นทุกที ทั้งง่ายต่อการปลุกเร้า จนกลายเป็นเครื่องมือที่ซีวอนใช้ย่ำยีจนแทบจะไม่หลงเหลือความเป็นคนอยู่แล้ว ทั้งอ่อนแอ ก็ทำให้แต่ละย่างก้าวของการวิ่งหนีช่างยากลำบากจนไม่อาจเดินไปตามทาง ได้แต่เซไปเซมา

     

                    เรี่ยวแรงที่แทบจะไม่มีเหลือถูกใช้ไปกับการพยุงกายให้ตั้งตรง แต่เพราะสิ่งที่เจอมามันหนักเกินกว่าที่ร่างกายอันอ่อนแอจะทานรับได้  ภาพตรงหน้าเริ่มพร่าเลือนสั่นไหว จวนเจียนจะดับลงทุกขณะ แต่เพราะความกลัวทำให้ฮีชอลต้องอดทนฝืน แม้จะรับรู้ว่าฝืนได้อีกไม่นาน

     

                    แสงไฟจากรถที่ตามมาด้านหลังทำให้ร่างบางต้องเร่งเร้าฝีเท้าเพื่อหนีให้ไกลห่างจากรถสีดำคันใหญ่ที่ตามมาจนใกล้ แต่ก็เหมือนคนที่ขับรถคันนั้นจะต้องการแกล้งเขาให้หวาดกลัวมากกว่าที่เป็นอยู่ ด้วยการเหยียบคันเร่งให้เครื่องคำรามก้อง เข้ามาใกล้จนน่ากลัว แล้วก็แผ่วเบาถอยห่างออกไปให้พอเบาใจ

     

                    ฮีชอลหวาดผวารู้สึกเหมือนตัวเองไม่ต่างอะไรจากลูกไก่ในกำมือ ที่ซีวอนนึกอยากบีบให้อึดอัดตาย หรือจะคลายออกให้เบาใจก็ทำได้เสมอ รอเพียงเวลาที่กำมือนั่นจะเบื่อหน่ายแล้วบีบให้ขาดอากาศหายใจตายลงไป

     

                    เพราะมัวแต่วิ่งหนีเปะปะทั้งที่ร่างกายแทบทนไม่ไหว และยังต้องพะวงกับการกลั่นแกล้งของชายหนุ่มที่ป่านนี้คงนั่งหัวเราะอย่างสะใจ ทำให้ฮีชอลวิ่งไปตามถนนอย่างคนเกือบไร้สติ

     

                    แสงไฟจากรถคันที่สวนมาสว่างวูบพร้อมเสียงแตรลั่น แทรกเข้ามาในประสาทการรับรู้ที่เลือนราง จากภาพที่สั่นไหวกลายเป็นมืดบอด เรี่ยวแรงอันน้อยนิดที่ชักนำสองขาให้ก้าวเดินเหือดหายไป จบสิ้นการฝืนทนของร่างกาย เมื่อร่างเล็กทิ้งกายลงบนถนนพร้อมสติที่ดับวูบต่อหน้ารถสีขาวสะอาดที่พุ่งมา

     

                    “เฮ้ย” คิบอมเหยียบเบรกหยุดเจ้า 8c Spider ที่ต้องสั่งจองกันมาข้ามปีลงกะทันหัน แต่ก็เกือบช้าเกินไปเมื่อเห็นว่ามีร่างคุ้นตาทรุดลงห่างจากรถเพียงนิด ชายหนุ่มเปิดรถออกจากเจ้าแมงมุมสปอร์ตอย่างรวดเร็ว และยิ่งตกใจมากขึ้นเมื่อเห็นว่าร่างคุ้นตาที่ว่าเป็นใคร

     

                    “พี่ฮีชอล พี่ฮีชอลครับ” มือหนาแตะหน้าเล็กที่ดูแย่ลงจากเดิมด้วยความเป็นห่วง เสื้อผ้ายับเยินและรอยแดงที่มีมากขึ้นทำให้ชายหนุ่มต้องกำมือแน่นอย่างเจ็บแค้นที่ไม่สามารถดูแล คนที่เป็นดั่งดวงใจของเขาได้เลย....ไหนหล่ะคนที่เคยสัญญาว่าจะดูแลและปกป้อง ทำอะไรสักอย่างได้ไหม

     

                    ดวงตารีมองรถสีดำคันหรูที่กำลังสวนมาด้วยความแค้นใจ ชายหนุ่มจำได้ดีว่าเป็นรถของใคร และคงเพราะร่างที่นอนหมดสติอยู่ตรงหน้าเขาจึงทำให้ยอมลงมาจากรถและเดินตรงมาทางนี้เพื่อพากลับไปด้วยกัน...แต่อย่าหวังว่าเขาจะยอมให้เป็นเช่นนั้น

     

                    คิบอมอุ้มร่างบางเบาของฮีชอลไว้แนอก พาเข้าไปนั่งในรถเปิดประทุนปรับเบาะเอนนอนให้สบายตัวมากขึ้น ก่อนเดินอ้อมหน้ารถมาสู่ฝั่งคนขับอย่างเร่งรีบ มองเห็นร่างสูงใหญ่ที่ใกล้เข้ามา แต่ก็สายเกินไปแล้ว

     

                    ทันทีที่รถสีขาวเปิดประทุนเคลื่อนผ่านร่างสูงที่หยุอยู่กลางถนน สายตาของชายหนุ่มทั้งสูงจ้องประสานกันอย่างไม่มีใครยอมแพ้ เป็นสายตาสองคู่ที่เหมือนกันด้วยไฟแค้นเคืองและโกรธเกรี้ยว

     

                    .....ราวกับจะฆ่ากันให้ตาย....

     

                    เพียงเสี้ยววิที่ซีวอนละสายตาจากคิบอมสู่ร่างเล็กที่ไม่ได้สติ หัวใจของชายหนุ่มรู้สึกเจ็บจนต้องใช้มือกำเนื้อตรงที่มันซ่อนตัวอยู่ ความรู้สึกที่ไม่คุ้นเคยและไม่รู้จักแล่นขึ้นมาอีกครั้ง รู้เพียงแค่ว่าร่างบอบบางนั้นควรเป็นเขาคนเดียวที่ได้โอบอุ้มและดูแล

     

                    คิบอมบังคับรถสปอร์ตให้เคลื่อนที่อย่างช้าๆกลัวลมเย็นที่ตีเข้ามาจะทำให้ร่างไร้สติหนาวสั่น จากกระจกมองหลังทำให้ชายหนุ่มต้องยกยิ้มเยาะ เมื่อมันสะท้อนภาพของคนบ้าตัวสูงที่กำลังคลุ้มคลั่ง สองมือกำหมัดแน่น เท้ายกขึ้นสูงเตะฝุ่นระบายอารมณ์อยู่กลางถนน

    8c Spider สีขาวจอดหน้าตึกสูงสไตล์โมเดิร์น ภายในตกแต่งไม่ต่างจากโรมแรมชั้นดี แต่แท้จริงแล้วมันคือ ตึกหอพักชายในมหาวิทยาลัย สำหรับนักศึกษาบ้านไกล และพวกที่ไม่อยากไปกลับ

     

                    ชายหนุ่มโอบอุ้มรุ่นพี่ผ่านล็อบบี้ที่มีผู้คุมหอนั่งอยู่ ร่างบางที่ไร้สติถูกเหล่มองอย่างจ้องขบผิดด้วยมีกฏว่าห้ามนักศึกษาหญิงขึ้นหอพักชาย แต่เพราะแผ่นอกที่ราบเรียบ และชุดนักศึกษาชายที่ใส่อยู่ทำให้ร่างที่บอบบางราวกับผู้หญิงผ่านขึ้นไปได้

     

                    ชายหนุ่มวางร่างไร้สติลงบนเตียงฝั่งของตนเอง ก่อนเดินหายเข้าไปในห้องน้ำ ออกมาพร้อมกับกะละมังใบเล็กที่ไม่ค่อยได้ใช้ และผ้าขนหนูผืนเล็ก เตรียมเช็ดตัวให้ร่างบางที่ยังไม่รู้สึกตัว

     

                    มือหนาค่อยๆปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตออก ทีละเม็ดๆจนสาปเสื้อเปิดกว้าง เปิดให้เห็นรอยแดงมากมายตามลำคอขาว คล้ายว่าคนทำจะประกาศให้ใครก็ตาที่ได้เห็นรู้ว่าร่างกายนี้มีเจ้าของจับจองเอาไว้แล้ว อย่าได้คิดแม้แต่จะแย่งไป   

     

                    คิบอมแกล้งทำเมินที่จะไม่สนใจรอยแดงพวกนั้น แต่ไม่สามารถทำใจยอมรับกับรอยเขียวคล้ำน่ากลัวที่มีอยู่ตรงซี่โครง ความโกรธของวันนี้ถูกชายหนุ่มอัดแน่น ขอเพียงเขาได้เป็นผู้ปกป้องร่างบาง เขาจะไม่ยอมให้ใครได้ทำร้ายคนที่เขารักแบบนี้

     

                    “อื้ออ ไม่เอา ปล่อยๆๆ ไม่เอา ปล่อยฉัน ปล่อยยยย”

     

                    เสียงร้องที่หวาดหวั่น และมือที่ปัดป่ายเกือบปัดกะละงังล้มคว่ำหากชายหนุ่มไม่คว้าไว้ได้ทัน คิบอมมองภาพตรงหน้าอย่างเจ็บปวด ไม่รู้จะทำเช่นไรให้ฝันร้ายจางหายไป ได้แต่รอให้ร่างบางสงบไปเอง แล้วจึงเริ่มต้นเช็ดตัว

     

                    ผ้าเปียกน้ำหมาดๆที่ชายหนุ่มใช้เช็ดตัว เหมือนเป็นนาฬิกาปลุกให้ร่างบางตื่นขึ้นจากฝันร้าย ดวงตากลมเบิกกว้าง สองมือรวบคว้าเสื้อเข้าหาตัว มองหน้าชายหนุ่มรุ่นน้องตรงหน้าอย่างตื่นกลัว พลางขยัยถอยหนีจนแทบตกเตียง

     

                    “พี่ฮีชอลครับ พี่ฮีชอล ผมคิบอมไงครับพี่ คิบอม เพื่อนคยูฮยอน” อยากบอกเหลือเกินว่าคิบอมที่เป็นคนรักของพี่ แต่เขาจะพูดได้อย่างไรในเมื่อเป็นแค่เขาฝ่ายเดียวเท่านั้น ได้แต่หวังว่าสักวันความดีของเขาจะเอาชนะใจรุ่นพี่ได้

     

                    ดวงตาที่ดูตื่นกลัว ค่อยคลายลง หากแต่ก็ไม่ใช่สายตาแบบเดิมที่คิบอมเคยได้รับ “คิบอม คิบอม จะทำอะไร ถอดเสื้อพี่ทำไม” สองมือบางรวบเสื้อเชิ้ตเข้ากัน

     

                    “ผมจะเช็ดตัวให้ครับ แต่...”

     

                    “ไม่ต้อง อย่าแตะตัวพี่..อย่า อย่ามอง” จากมือที่รวบเสื้อไว้แน่น กลายเป็นโอบกอดตัวเองที่สั่นเทา น้ำตามากมายไหลลงมา ไม่อยากให้ใครได้เห็นร่องรอยพวกนี้ ไม่อยากให้ใครรู้เรื่องราวที่น่าขยะแขยง

     

                    “แต่ผม....” คิบอมพยายามขยับเข้าใกล้หวังเอื้อมมือคว้า หากแต่ร่างเล็กกลับขยับหนี ร่างกายไหวสั่นด้วยแรงสะอื้น จนน่าสงสาร ดั่งลูกสัตว์ที่กำลังหวาดกลัวนายพรายที่เล็งเหนี่ยวไกจะช่วงชิงชีวิตน้อยๆ

     

                    “อย่า..อย่าแตะ อย่ามอง ขอร้องง อย่า ได้โปรด”

     

                    “ครับ...ครับพี่ ผมจะไม่มอง ผมจะไปนั่งที่เตียงฝั่งนั้น” ชายหนุ่มชี้ไปยังเตียงที่เคยเป็นของเพื่อนสนิท แต่ตอนนี้มันว่างเปล่า ไม่มีแม้แต่ผ้าปูหรือหมอนสักใบ มีเพียงฝุ่นที่เกาะอยู่เพราะไม่มีคนใช้มาระยะหนึ่งแล้ว “พี่ไม่ต้องกลัวนะครับ คืนนี้ผมจะอยู่ตรงนั้น พี่อยู่ที่นี้เถอะนะ”  ดวงตาคมมองเข้าไปในดวงตากลม แสดงให้เห็นถึงความจริงใจที่มีอยู่

     

                    สายตาที่เต็มไปด้วยความหวาดระแวงจับจ้องร่างของรุ่นน้องที่ถอยหลังไปอยู่บนเตียงอีกหลัง ก่อนที่ร่างเล็กจะยอมหันหลังให้เมื่อแน่ใจแล้วว่าจะไม่ถูกรุกรานในคืนนี้ สองมือติดกระดุมเสื้ออย่ารีบลน ล้มตัวลงนอนขดเข้ามากันร้องไห้เงียบๆเบา อยู่เพียงลำพัง ไม่อยากให้ดูน่าสมเพชไปมากกว่านี้แล้ว

     

                    “ผ้าห่มพี่ใช้ได้นะครับ” แม้จะอยากเดินไปห่มให้แค่ไหนแต่ก็ไม่อาจทำได้  ได้แค่เพียงมองร่างเล็กที่ขดตัวแน่นเข้ากันอย่างคนไร้ที่พักพิง ไร้คนปกป้อง ต้องกอดตัวเองเอาไว้

                    คิบอมนึกย้อนไปถึงวันที่เขาเกือบจะได้เป็นผู้ปกป้องร่างบาง ถ้าหากจะไม่มีบางคนเข้ามาห้ามไว้ จะไม่มีบ้างคนมาพูดสัญญาที่ไร้สัจจะให้เขาเชื่อ วันนี้ร่างบางตรงหน้าจะไม่เป็นแบบนี้ วันนี้ทั้งเขาและรุ่นพี่อาจมีความสุขไม่ต่างจากเพื่อนสนิทของเขาก็ได้

     

                    “คิบอมนายชอบฮีชอลหรอ” รุ่นพี่ที่เคารพ ลากตัวออกมาข้างนอก ถามด้วยประโยคที่ตอบไม่ยากเลย มันทำให้คิบอมยิ้มกว้างในทันที

     

                    “ผมไม่ได้ชอบพี่ฮีชอลหรอกครับ” ใบหน้าของคิบอมตอนนั้นมีแต่รอยยิ้มจนแก้มแทบปริออกมา “แต่ผมรักฮีชอลเลยหล่ะครับ พี่จองวูมีอะไรหรือครับ”

     

                    “พี่ไม่รู้นะว่านาย รักฮีชอลมากแค่ไหน มากพอที่จะยอมเสียสละอะไรหลายๆอย่างเพื่อฮีชอลหรือเปล่า”

     

                    เวลานั้นคิบอมไม่เข้าใจเลยว่า เขาต้องสละอะไรเพื่อรักคนคนหนึ่ง ถึงได้หลุดปากถามออกไปเช่นนั้น “สละอะไรครับพี่”

     

                    “นายก็รู้ว่าซีวอนหวงฮีชอลมาก นายคงไม่เห็นสายตาเวลาที่มีใครมาสนใจฮีชอล เจ้านั่น แทบจะถลาเข้าไปฆ่าเลยนะ แล้วถ้าซีวอนรู้ว่านายรักฮีชอแล้วบอกไปแล้วแบบนี้ ไม่คิดว่าซีวอนจะเข้ามายุ่งกับชีวิตนายหรอ”

     

    น้ำเสียงทุ้มต่ำ ต้องการกดดันให้ฟังเคลิ้มตาม แต่มันคงไม่ได้ผลเมื่อใช้กับคิบอม “แล้วยังไงครับ ถ้าผมทำให้พี่ฮีชอลรักได้ เขาก็ไม่มีสิทธิ์ยุ่งอะไรแล้ว เพราะเขาเป็นแค่เพื่อนไม่ใช่พ่อ พี่มีแค่นี้ใช่ไหมครับ งั้นผมเข้าไปหาพี่ฮีชอลก่อนนะครับ”

     

                    “เดี๋ยว คิบอมนายก็โตแล้วนะ ทำไมไม่รู้จักมองอะไรให้มันลึกกว่าที่เห็นหน่อยละ”

     

                    “พี่หมายความว่าไง”

     

                    “นายไม่สังเกตหรอว่าทำไมฮีชอลถึงได้กลัวซีวอนแบบนั้น คงไมรู้เลยใช่ไหม ว่าฮีชอลถูกทำร้ายทุกครั้งที่มีคนเข้ามาในชีวิต แล้วถ้านายไม่อยากให้ฮีชอลถูกทำร้ายก็อย่าล้ำเส้นเกินกว่านี้อีกเลน สงสารเพื่อนฉันเหอะ คงแย่กว่านี้หากต้องถูกทำร้ายอีก”

     

                    “ผมไม่เชื่อ”

     

                    “ก็ตามใจนาย ต้องให้ฮีชอลโดนทำร้ายถึงจะยอมเชื่อ” เสียงเรียบเรื่อยแต่กลับฉุดรั้งให้คิบอมต้องอดทนฟัง “ฉันก็คงเตือนอะไรไม่ได้อีก รอดูฮีชอลได้เลย”

     

                    “แล้วผมต้องทำยังไง”

     

                    “ก็ถอยห่างออกไปจากฮีชอลซะ อย่าให้ซีวอนรู้เรื่องความรู้สึกของนาย ทำได้หรือเปล่า”

     

                    “แต่ผมอยากดูแลพี่ฮีชอล....”

     

                    “เรื่องฮีชอล ฉันดูแลเอง ฉันสัญญาเลยแค่นายไม่ล้ำเส้น ฮีชอลจะปลอดภย ฉันจะคอยดูเพื่อนฉันเอง แต่ถ้านายล้ำเข้ามา ฮีชอลก็คงอันตรายเกินกว่าที่ฉันจะดูแลได้”

     

                    แค่กๆๆๆๆๆๆๆ

     

                    เสียงไออย่าทรมานเรียกคิบอมให้กลับมาสู่ปัจจุบันอีกครั้ง รู้ว่าควรต้องนั่งอยู่ตรงนี้ แต่เพราะเสียงไอที่ไม่มีทีท่าว่าจะหยุดนั่นทำให้ไม่อาจห้ามใจได้อีก ชายหนุ่มค่อยๆก้าวขยับเข้าหาเตียงตัวเองมากขึ้นๆ ทีละนิดอย่างแผ่วเบาด้วยกลัวว่าร่างบางจะรู้สึกตัว

     

                    คิบอมค่อยชะโงกหน้าออกไปมอง ได้เห็นว่าเปลือกตาบางปิดลงไปแล้ว แต่คราบน้ำตายังคงอยู่ หยดน้ำยังเกาะพราวที่ขนตายาว แต่ที่น่ากลัวกว่านั้นคือลิ่มเลือดที่ไหลออกมาจากปากบาง

     

                    ....ไหลออกมาตอนที่พี่ไอใช่ไหมครับ...

     

                    ชายหนุ่มรื้อผ้าเช็ดหน้าเนื้อนิ่มของตัวเอง พับหลายทบแล้วนำตรงไปจุ่มน้ำเล็กน้อย มาเช็ดคราบเลือดบนริมฝีปากเล็กอย่างเบามือที่สุด ก่อนจะเดินกลับไปที่เดิม ที่เตียงของคยูฮยอน...รักษาสัญญาแม้ว่าฮีชอลจะไม่รับรู้ก็ตาม

                   

                                    * ~ * ~ * ~ * ~ *~ * ~* ~* ~ * ~ * ~ * ~ * ~ * ~ * ~ *

     

    ดวงตากลมเปิดกว้างเมื่อต้องแสงของพระอาทิตย์ที่ส่องเข้ามา เหลียวมองไปรอบๆห้องที่ไม่คุ้นเคย มองหาเจ้าของห้องที่ให้ได้มาพักอาศัยทั้งคืน

     

                    บานประตูระเบียงถูกเปิดออกพร้อมใบหน้าเปื้อนรอยยิ้มของรุ่นน้อง ที่ออกไปโทรศัพท์ข้างนอก “พี่ตื่นแล้วหรอครับ ผมโทรไปบอกไอ้กี้ให้ฝากบอกพี่ซองมินแล้วนะครับว่าวันนี้พี่จะโดด ไม่ต้องห่วงนะครับ

     

                    “เอ๋” คำพูดของรุ่นน้องทำให้ฮีชอลมองอย่างแปลกใจ ก่อนเหลือบมองนาฬิกา แล้วก็ต้องเบิกตากว้างเข้าใจที่รุ่นน้องพูดในทันที เพราะมันเกือบจะสิบเอ็ดโมง

     

                    “ไม่เป็นไรหรอกครับ เดี๋ยวผมไปส่งนะครับ พี่จะเก็บของมาอยู่กับผมที่นี้เลยก็ได้นะครับ” เด็กหนุ่มพูดด้วยความจริงจัง ไร้วี่แววของความล้อเล่น ตลอดคืนที่ได้แต่นั่งมองฮีชอลไอเป็นเลือดโดยเจ้าตัวไม่รู้ เขาครุ่นคิดมาแล้วเป็นอย่างดี ต่อจากนี้ จะกล่าวข้ามไอ้เส้นบ้าๆที่มีคนเตือนมา จะไม่สนอะไรทั้งนั้น

     

                    จะดูแลและปกป้องฮีชอล ด้วยสองมือคู่นี้...ต่อให้ต้องสู้กับผู้ชายคนไหนก็ตาม

     

                    ใบหน้าหวานส่งรอยยิ้มไปให้แก่รุ่นน้อง มองว่าเป็นข้อเสนอลอยเหมือนทุกครั้ง ไม่เห็นถึงความจริงจังที่แอบแฝงมาด้วยเลย “ไม่เป็นไรหรอกคิบอม แค่ไปส่งพี่ก็ขอบคุณมากแล้ว อย่าเอาพี่มาเป็นภาระเลย”

     

                    “อย่าคิดแบบนั้นเลยครับ มาอยู่กับผมเถอะครับ เขาทำร้ายพี่ตั้งมาก พี่ยังจะอยู่อีกทำไม” เสียงทุ้มต่ำของชายหนุ่มปะปนด้วยความไม่พอใจ ที่กี่ครั้งกี่ครั้ง ฮีชอลก็บอกปัดการช่วยเหลือของเขาเสมอ

     

                    “พี่ไม่เป็นอะไรจริงๆ”

     

                    “ไม่เป็นอะไรงั้นหรอครับ” มือหนาบีบไหล่เล็กแน่น เขย่าจนร่างบางไม่อาจทรงกายไว้ได้ เสียงทุ้มตะโกนก้องออกมาอย่างปวดร้าว กับคำตอบที่ได้รับซึ่งมันสวนทางกับความจริงที่เขาเห็น “เลิกพูดว่าไม่เป็นไรได้แล้ว พี่ไอเป็นเลือดตลอดคืนรู้บ้างไหม แล้วยังจะพูดว่าไม่เป็นอะไร พี่ตายไปมันก็ไม่สนใจพี่หรอก มันข่มขืนพี่มากี่ครั้ง มันเคยแยแสพี่บ้างไหม จะทนเพื่ออะไรอีก ไม่รู้หรือไงว่าไอ้บ้านี้ ที่มันเจ็บทุกครั้ง ไอ้บ้านี้ที่มันแค้นอยู่ในนี้ ในอกนี้”

     

                    ฮีชอลนิ่งเงียบรองรับคลื่นอารมณ์ที่ถาโถมของรุ่นน้อง อดทนฟังจนเมื่อทุกอย่างผ่านพ้นไป แม้ถ้อยคำนั้นจะกรีดลึกลงในใจก็ตาม แล้วพูดแผ่วเบาถึงเหตุผลที่ทน ทุกอย่างตลอดมา เหตุผลที่ทุกคนสงสัยและอยากรู้ แค่เหตุผลสั้นๆ “เพราะพี่รักเขา พี่รักซีวอน”

     

                    แค่คำสั้นๆแสนแผ่วเบาแต่กลับปะทะกับจิตใจที่บ้าคลั่งของคิบอมให้อ่อนแรง จนต้องปล่อยมือออกจากไหล่เล็ก เซลงไปนั่งอยู่กับเตียงเหตุผลที่อยากรู้มาตลอด สุดท้ายก็ได้รู้ แต่หากเป็นเพราะเหตุผลนี้ สู้ไม่รู้คงดีกว่า...ปล่อยให้เป็นคำถามที่ค้างคาไว้ตลอดไปจะดีกว่าไหม

     

                    “ผมเข้าใจแล้ว พี่ฮีชอลกลับบ้านเถอะครับผมจะไปส่ง”  

     

                    นับจากวันนั้นจนกระทั่งสอบวันสุดท้ายของภาคการเรียน ฮีชอลก็ไม่ได้เจอคิบอมอีกเลย นอกจากในคาบเรียน และในห้องสอบ แต่อย่างน้อยเด็กหนุ่มก็ยังมีรอยยิ้มให้แก่ฮีชอลคนน่าสมเพชคนนี้เสมอ...

                                   

                    * ~ * ~ * ~ * ~ *~ * ~* ~* ~ * ~ * ~ * ~ * ~ * ~ * ~ *

     

    Talk

              ครบร้อยแล้วคะ ด้วยความยาวสุดพลังเกือบแปดสิบหน้า สรุปว่าลงมาคราวนี้ไม่น้อยเลยทีเดียว แฮ่ๆๆๆ ขอโทษผู้อ่านทุกท่านนะคะ แต่ว่ามันเกิดอะไรขึ้นมากมายเสียจริง ส่วนเอ็นซีที่ว่าจะสั้นก็ยาวอลังกว่า17หน้า โฮมช่างบ้าพลังจริง แต่ว่าต้องขอบคุณคุณเพื่อนมากนะคะ สัญญาว่าถ้าครั้งหน้าจะให้เขียนอีก จะบอกล่วงหน้าเกินหนึ่งเดือน ไม่ใช่หนึ่งอาทิตย์  

           เรื่องนี้ถือได้ว่าเป็นเรื่องที่ร้ายกาจมากจริงๆ ด้วยการกระทำต่างๆ จนตอนที่ปั่นไป บางทีเริ่มกลัวความจิตของตัวเองด้วยค่ะ จนถึงขนาดอยากปิดเรื่องนี้จริงๆ เพราะยิ่งเขียนยิ่งดาร์ก แต่ว่าต้องขอบคุณทุกคอมเม้มท์ในเรื่องนี้นะคะ ที่ทำให้เรื่องนี้ยังมีต่อไป แม้จะแอบหวั่นๆกลัวคนรับไม่ได้ก็ตาม

              ส่วนเจ้า 8c Spider ของบอม สามารถดูได้ที่หน้าแนะนำนะคะ ไอซ์ลงไว้ให้แล้ว

                     บางคนไอซ์ได้ส่งอีเมล์ไปให้แล้วนะคะ แต่คนอื่นๆ ช่วยแปะเมล์ไว้ด้วยนะคะ ไอซ์มึนเต็มที่แล้วจริงๆ ขอโทษคะ  

     

    พี่กิ๊ก

    พี่หนูดี

    พี่คิดตี้แคท

    คุณหนอน

    คุณ kururu

    แพท

    ส้ม

    คุณใต้สะดือฯ

    นุ๊ก

    คุณhee angle  

    คุณอนัตรา

    คุณmon

    คุณmn101

    คุณMinimumi

    คุณ eyezatis

    คุณ nitka   

    คุณพรายน้ำ

     

    คุณ super_man

                   

                    ขอบคุณทุกคอมเม้มท์คะ



    Jelly fish

    30 Nov. 10

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×