ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Once upon a Time กาลครั้งหนึ่ง...จนถึงตอนนี้ (woncin)

    ลำดับตอนที่ #4 : {แก้คำผิดค่ะ} ปีสอง เทอม1 น้องรหัส 100%

    • อัปเดตล่าสุด 15 มี.ค. 54


    ปีสอง...น้องรหัส

     

                    “ฮีชอล ปิดเทอมเป็นไงมั่ง ไม่ได้เจอเลย” หนุ่มร่างสูงเดินเข้ามาหาเพื่อนสนิทที่พึ่งลงจากรถมอเตอร์ไซค์คันสวยที่คนขี่ ขี่ออกไปไกลแล้ว               

     

                    “ก็ดี อย่าทำเป็นพูดเลย ชวนไปเที่ยวก็ไม่ไป แล้วมาบ่น ปล่อยให้เราไปกับซองมินสองคน” ร่างบางมองหน้าเพื่อนขี้บ่นที่พอเจอหน้ากันวันแรกหลังจากปิดเทอมไปนาน

     

                    “อ้าวไปกันแค่สองคนหรอกหรอ ไอ้เราก็นึกว่า คุณเพื่อนรักซีวอน จะไปด้วยก็เลยไม่ไป รู้งี้ไปตั้งนานแล้วหล่ะ โธ่ น่าเสียดาย” ชายหนุ่มบ่นพึมพำ ร่างบางก็ได้แต่หัวเราะไปตามเรื่องราว สายตามองหาเพื่อนร่างอวบอีกหนึ่งคนที่ป่านนี้ยังมาไม่ถึง

     

                    “ซองมินยังไม่มาอีกหรอ” ร่างบางบ่นพึมพำ เมื่อเห็นว่าเพื่อนรักอีกหนึ่งคนป่านนี้ยังไม่มา ทั้งที่เป็นวันเปิดเทอมวันแรก “แล้วยังงี้จะได้ไปดูรายชื่อน้องรหัสไหมหล่ะเนี้ย”

     

                    “ได้ไปสิหน่า ถ้ามันมาสาย เดี๋ยวเราพาไปก็ได้” จองวูส่งรอยยิ้มอบอุ่นให้เพื่อนรักหน้าหวานที่ติดนิสัยขี้บ่นของเขาไปแล้ว “ป่านนี้คงกำลังเข็นพี่เต่าอยู่หรอกมั้ง เสียก็หลายรอบไม่ยอมเปลี่ยนรถสักที”

     

                    “อะไร ใครนินทาพี่เต่าฉัน ชิส์ จองวูไม่รู้อะไรว่า การได้ใช้รถเก่าแบบนี้อ่ะดีออกจะตาย เพราะมันมีความทรงจำดีๆตั้งมากมาย อยู่ในรถ ไม่เหมือนรถใหม่ของแกหรอก ดีแต่ขับไปขับมา แล้วก็เลิกแต่งให้มันคล้ายมินิได้แล้ว ถ้ามันพูดได้คงถามไปไปแล้วว่าตกลงผมเป็นสวิฟหรือมินิกันแน่ครับเจ้านาย” ร่างอวบที่พึ่งลงนั่งพร้อมกับบ่นยาวๆ พลางปาดเหงื่อที่ไหลโชกเพราะแอร์พี่เต่าไม่ทำงาน

     

                    “ก็ผมชอบของผมแบบนี้ คุณมายุ่งอะไรด้วยเล่า เอาเวลาบ่นไปซ่อมเต่าแก่ๆเหอะ” ชายหนุ่มล้อเลียนเพื่อนสนิท ก่อนจะจับจูงมือบางของเพื่อนอีกคนที่นั่งอยู่ก่อนให้ลุกขึ้น “ไปดูรายชื่อน้องรหัสกันเหอะฮีชอล อยู่ตรงนี้นะ มีหวัง เต่าพาไปไม่ถึงแน่ๆ”

     

                    “ไอ้บ้า เลิกล้อเลียนพี่เต่าสักทีได้ไหม” ร่างอวบวิ่งไปทันสองเพื่อนซี้ที่เดินอยู่ข้างหน้า ท่อนแขนใหญ่ๆโอบรัดคอหนาของชายหนุ่มที่ยังล้อโฟรค์เต่าเปิดประทุนไม่หยุดปาก

     

                    “เฮ้ย!!! ซองมินอย่ารั้ง เดี๋ยวล้มไปทั้งหมดนี้” ชายหนุ่มถูกรั้งไปข้างหลังจนเกือบเสียศูนย์หงายหลัง หากไม่มีแรงรั้งของเพื่อนสนิทอีกคนที่เดินจับมือมาด้วยกัน

     

                    “พวกนี้เล่นไรกันเป็นเด็กๆ นี้ปีสองแล้วนะ เดี๋ยวน้องมาเห็นเข้าคงหมดความเชื่อถือกันพอดี” ร่างเล็กส่ายหัวให้เพื่อนสนิททั้งสองที่ยังเล่นกันไม่เลิก ไม่รู้เลยหรือไงนะว่า ฮีชอลคนนี้ตื่นเต้นดีใจแค่ไหนที่จะได้มีน้องรหัส

     

                    “นี้ เด็กมันไม่สนใจรุ่นพี่แบบเราหรอก เก็บอาการหน่อยก็ได้ฮีชอล แบบนี้นะ เขาเรียกว่าเห่อ” ซองมินแทรกกลางระหว่างเพื่อนทั้งสอง กอดคอเล็กๆขาวเอาไว้แน่น

     

                    “พูดเหมือนซีวอนไม่มีผิดเลย ฉันไมได้เห่อ แค่อยากรู้จักน้องก็เท่านั้นเอง อีกอย่างนะจะได้มีคนเรียนภาษาอังกฤษตัวที่ฉันเอฟเป็นเพื่อนด้วยไง” ร่างบางบอกเหตุผลและกล่าวอ้างคำของเพื่อนสนิทต่างคณะที่เมื่อเช้าค่อนขอดเขาที่เร่งให้ชายหนุ่มรีบกินข้าว จะได้รีบมาดูหน้าน้องรหัส

     

                    ทั้งซองมินและจองวูมองหน้ากัน อย่างไม่ได้นัดหมาย เมื่อได้ยินชื่อเพื่อนรักของร่างบางที่เจ้าตัวยืนยันว่าเป็นคนอัธยาศัยดี แต่เท่าที่เจอกับตัว....มันไม่ใช่เลย

     

                    กับซองมินยังดี...ถึงแม้ไม่คุยเล่น แต่ก็ไม่เขม่น

     

                    แต่กับจองวู...แค่เจอกันครั้งแรกก็เหมือนโดนหาเรื่อง...เจอกันครั้งที่สองก็ถูกมองเหมือนอย่างรังเกลียด

     

                    “คนน้อยกว่านี้ได้ไหมเนี่ย” ซองมินมองเห็นผู้คนที่น้อยกว่าหนอนนิดนึงก็ได้แต่บ่น

     

                    “เอาหน่า รออยู่ตรงนี้ทั้งคู่แหล่ะเดี๋ยวฉันไปฉกมาให้ดู เฮ้อ เนี้ยหล่ะความลำบากของจองวู มีเพื่อนคนหนึ่งก็เตี้ย อีกคนก็บางซะ” ชายหนุ่มบ่นเบาๆแต่กะให้เพื่อนรักทั้งสองได้ยินชัดเจน จนเรียกเสียงสบถด่าของร่างอวบ

     

                    ซองมินและฮีชอลยืนมองรอเพื่อนสนิทที่เข้าไปร่วมกลุ่มหนอนน้อยฉกชิงแผ่นกระดาษขนาดเอสี่ที่มีรูปและข้อมูลของเด็กปีหนึ่งแต่ละคน แยกเรียงตามสายรหัสเอาไว้อย่างเป็นระเบียบ

     

                    “เอ้า เอาไปฮีชอล ของนายเป็นน้องผู้ชาย ส่วนของเราเป็นน้องผู้หญิง ชื่อไรยังไม่ได้ดู”  ชายหนุ่มสภาพทรุดโทรมลงเล็กน้อย ยื่นกระดาษสีขาวใส่มือบางที่คอยรับพร้อมรอยยิ้มกว้าง สายตากลมจ้องมองชื่อ และรูปของเด็กหนุ่มที่เข้าต้องดูแลอย่างตั้งใจ

     

                    “เฮ้ย แล้วของฉันอ่ะ” เสียงโทนสูง ทวงของตนเองที่เหมือนจะถูกลืมไป

     

                    “ไม่มีวะ น้องแกไม่ได้มารายงานตัว เสียใจด้วยนะครับพี่ซองมิน” เพื่อนสนิทที่บุกเข้าไปรื้อหาเอกสารมาให้ มองหน้าเพื่อนรักก่อนก้มหน้ามองกระดาษในมืออีกครั้งอย่างสนใจ แม้จะไม่เท่าร่างบางที่ยืนข้างๆที่กำลังจำรายละเอียดทุกอย่าง

     

                    “ไรว่ะเนี้ย ไอ้น้องนั่นต้องเสียใจที่ไม่ได้เจอพี่รหัสน่ารักอย่างฉัน ฮีชอลให้ฉันเป็นพี่เทคน้องของฮีชอลได้ไหม” ร่างอวบหันมาถามคนที่ยืนก้มหน้าก้มตาอ่านรายละเอียดของน้องรหัส

     

                    “นี้ ซองมินไม่สนใจเทคน้องฉันหรอ หน้าตาน่ารักนะ” หนุ่มร่างสูงของกลุ่มยื่นกระดาษมาตรงหน้าเพื่อนตัวดีที่ไม่สนใจน้องรหัสเขาเลยซักนิด

     

                    “ไม่อ่ะ หน้าตาแบบนี้หาได้ทั่วไป น้องของฮีชอลยังหน้าตาดีกว่าเลย ดูฉลาดกว่าด้วย น้องเขาชื่ออะไรอ่ะฮีชอล” ร่างกายอวบๆมองแผ่นกระดาษในมือเพื่อนอย่างสนใจ

     

                    “ชื่อ โจว คยูฮยอน ในข้อมูลที่ให้มา บอกว่าเก่งอิงค์ด้วยแหล่ะ” ใบหน้าหวานหันมายิ้มให้เพื่อนนัยน์ตาส่องประกายความหวังว่าจะพึ่งน้องให้รอดวิชาภาษาอังกฤษไปได้

     

                    “อืมมม น้องโจว ชื่อน่ารักเนอะ หน้าตาฉลาดอย่างนี้ต้องพาฮีชอลให้รอดเอฟได้แน่ๆ” 

     

                    “ก็ไม่เห็นจะหน้าฉลาดเท่าไหร่เลย ก็ทั่วไปอ่ะแหละ โธ่ หน้าแบบนี้ ฉันยังหล่อกว่าเลย” มือใหญ่แย่งกระดาษในมือเพื่อนมาส่องดูหน้าน้องรหัสของเพื่อน

     

                    “แหว่ะ หน้าไม่ฉลาดเท่าไหร่ แต่หล่อกว่าแกแน่ๆ” ปากอิ่มของซองมินหันไปทำท่าอ้วกใส่เพื่อนที่ตัวที่สุดของกลุ่มอย่างหมั่นไส้....พูดมาได้ว่าหล่อกว่า

     

                    “ไปกินข้าวกันเถอะ” เสียงหวานๆของฮีชอลห้ามมือใหญ่ที่กำลังจะโบกลงบนหัวกลมๆของซองมิแบบเฉียดฉิว ก่อนที่ร่างบางจะควงเพื่อนทั้งสองเดินไปตามทางมุ่งสู่ร้านอาหาร ก่อนเข้าเรียนในมื้อเช้า เพื่อสุขภาพละความจำที่ดี

     

    * ~ * ~ * ~ * ~ *~ * ~* ~* ~ * ~ * ~ * ~ * ~ * ~ * ~ *

                   

    ตอนเย็นหลังเลิกเรียนเป็นเวลาแสนคึกคักเป็นหน้าที่ของซองมินเช่นเดิมที่จะมายืนเป็นเพื่อนฮีชอลคอยให้ซีวอนมารับกลับบ้านไปด้วยกัน สองหนุ่มตัวเล็กพูดคุยกันอยู่ใต้ร่มไม่ใหญ่ แต่แล้วก็ถูกขัดด้วยเสียงดังลั่นจากกลางถนนที่เรียกความสนใจจากผู้คนแถวนั้น

     

                    “ซีวอน” เสียงหวานของฮีชอลร้องลั่นด้วยความตกใจ เมื่อเห็นมอเตอร์ไซค์คันใหญ่สีแสบตาล้มอยู่กลางถนน โชคดีที่คนขี่กระโดดลงมาได้ทัน ผิดกับคู่กรณีที่เกือบแบนติดกับพื้นถนน

     

                    “เป็นไรหรือเปล่า” ร่างบางเดินเข้าไปหาชายหนุ่มด้วยความเป็นห่วง มองสำรวจหาบาดแผลบนร่างกายแข็งแรงที่อาจจะมี

     

                    “ฉันไม่เป็นไรหรอก นายอย่าทำหน้าเวอร์ขนาดนั้นจะได้ไหม” เสียงทุ้มติดห้วนบอกเพื่อนสนิทที่หน้าซีดเผือดอย่างรำคาญ ก่อนจะหันมายกเจ้ามอเตอร์ไซค์ตันใหญ่โดยมือเล็กๆบางๆรีบเข้าช่วย “ออกไปห่างๆเลย เกะกะ เดี๋ยวรถมันก็ล้มทับพอดี”

     

                    ใบหน้าหวานมุ่ยลงถอยห่างจากรถคันใหญ่และชายหนุ่ม หันกลับไปมาเพื่อนรักตัวอวบที่กำลังช่วยคู่กรณีที่น่าจะเป็นเด็กปีหนึ่งเพราะเครื่องแบบที่ใส่ครบถ้วนจนดูเรียบร้อยยกจักรยาน

     

                    ฮีชอลจ้องใบหน้าเด็กหนุ่มหน้าใสที่ดูจะฉลาดเจ้าเล่ห์ไม่น้อย อย่างพิจารณาที่ดูคลับคล้ายคลับคราว่าเคยเจอมาก่อนหน้านี้ จนคิ้วเรียวขมวด

     

                    “ฮีชอล ฮีชอล!!!” เสียงทุ้มดังก้องอย่างไม่พอใจ เรียกสติร่างบางให้กลับมา สายตากลมโตหันมองร่างสูงอย่างงุนงง  และดูเหมือนชายหนุ่มเองก็สงสัยเช่นกัน “เป็นอะไร จ้องหน้าคนอื่นทำไม”

     

                    “ปะ...เปล่าไม่เป็นไร”

     

                    “ก็ดี เราก็เหมือนกัน คราวหลังขี่จักรยานก็อย่าเหม่ออีก ถึงจะแค่อยู่ในม.ก็เหอะ ขี่รถแบบนี้อยู่ที่ไหนก็ตาย”

     

                    “ซีวอน” เสียงตกใจของซองมินไม่ทำให้ร่างสูงที่กำลังหงุดหงิดกับอุบัติเหตุวันแรกของการเปิดเทอมสนใจ ยังคงพาลใส่เด็กรุ่นน้อง จนหน้าใสกลายเป็นซีด

     

                    “นายชื่อ โจว คยูฮยอนใช่ไหม” คำถามที่ไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องที่พูดทำให้ทุกคนหันมามองร่างบางเป็นตาเดียวกัน แล้วยิ่งเด็กหนุ่มเจ้าของชื่อที่ก้มหน้านิ่ง ต้องเงยหน้ามองอย่างงุนงง

     

                    “ครับ พี่คือ?...”

     

                    “พี่ชื่อ ฮีชอลเป็นพี่รหัสของเรา” ฮีชอลเฉลยให้ทุกคนหายข้องใจ จนเด็กหนุ่มที่ตอนแรกเหมือนจะกลัว กลายเป็นยิ้มดีใจทีได้เจอพี่รหัสแบบคาดไม่ถึง

     

                    “อ่ะ คนนี้หรอน้องโจว” หนุ่มน้อยตัวอวบหันไปถามเพื่อนตัวอวบอย่างดีใจ

     

                    “อือ คนนี้แหล่ะ”

     

                    หนุ่มน้อยที่ถูกเรียกว่าน้องโจวยืนมองรุ่นพี่ร่วมคะไปมาอย่างไม่เข้าใจ ใครกันคือน้องโจว แต่ที่แน่ๆ มันคงหมายถึงตัวเขา “พี่ชื่อซองมินเป็นพี่เทคของน้องโจวนะ” รอยยิ้มอย่างเป็นมิตรทำให้น้องโจวที่ยังมึนงงใจชื้นกว่าเดิม

     

                    “นี้กำลังจะปั่นจักรยานกลับบ้านหรอ” ร่างบางถามน้องรหัสที่ยังดูมึนงง ลืมไปเลยว่าก่อนหน้านั้นเกิดอะไรขึ้น และมีคนกำลังไม่พอใจยืนอยู่ข้างๆ

     

                    “อ้อ เปล่าหรอกครับ ผมอยู่หอในก็เลยใช้จักรยาน แต่มันยังไม่คุ้นเท่าไหร่หน่ะครับ”  เด็กปีหนึ่งหน้าใสเกาหัวแกรกๆแก้เขิน

     

                    “ขี่ๆไปเดี๋ยวก็คุ้น แล้ว~

     

                    “นี้จะคุยกันอีกนานไหม ฉันจะได้กลับบ้านก่อน” ซีวอนกระชากเสียงถามอย่างไม่สนใจอีกสองคนที่เหลืออยู่ เมื่อเพื่อนสนิทให้ความสนใจกับการพูดคุยที่แสนน่าเบื่อกับเด็กปีหนึ่ง

     

                    “ขอโทษซีวอน”  ฮีชอลหันไปมองหน้าเพื่อนรักอย่างเกรงๆ เพราะรู้จักอารมณ์ร้ายของคนนี้ดี  ก่อนหันมาส่งรอยยิ้มแทนคำขอโทษให้แก่คนทั้งสอง แล้วเดินอ้อมหลังขึ้นซ้อนท้ายบิ๊กไบรท์คันใหญ่

     

    “เอ่อ....แล้วรถพี่” ทันทีที่หายตกใจกับเสียงมหาโหด คยูฮยอนก็แสดงความรับผิดชอบที่ทำให้สีสวยๆของมอเตอร์ไซค์คันใหญ่ต้องถลอกเพราะไถลไปกับถนน โชคดีที่คนขี่ไม่เป็นไร

     

                    “ช่างมัน ฉันซ่อมเองได้ เราก็อย่าเหม่อ เดี๋ยวมันจะตายไม่รู้ตัว” ร่างสูงเน้นคำจนน่ากลัว ก่อนเร่งเครื่องยนต์ขนาดใหญ่ บิดให้ความเร็วสูงจนคนซ้อนท้ายต้องเกาะเอวหนาไว้แน่น

     

                    “ฮู้ววว” เสียงเป่าลมออกจากปากเรียกสายตาจากรุ่นพี่ตัวอวบให้หันมามองอย่างสงสัย “ไม่มีอะไรหรอกครับ ผมแค่โล่งอกที่ไม่ถูกพี่คนนั้นฆ่าเอา”

     

                    “ฮ่าๆๆๆ น้องโจวกลัวซีวอนหรอ หมอนั่นก็งี้แหล่ะ เวลาโมโหน่ากลัวจะตาย แต่เวลาปรกติไม่แบบนี้หรอกนะ” มืออูมตบไหล่ของเด็กหนุ่มเป็นเชิงปลอบใจ

     

                    “ปรกติพี่เขาใจดีหรือครับ” คยูฮยอนถามอย่างไม่ค่อยจะเชื่อว่าหน้าตาแบบนั้นจะดีกับใครได้จริง ยิ่งนึกก็ยิ่งคิดภาพไม่ออก

     

                    “เปล่าหรอก เวลาปรกติก็ไม่ใจดี แต่ไม่โหดเท่านี้ ออกไปทางนิ่งๆ อยู่ไปก็รู้เอง ถ้ายังทนซีวอนได้หน่ะนะ พี่ไปก่อนนะน้องโจว ไว้เจอกันวันหลัง”

     

                    “แล้วพี่จะกลับยังไงให้ผมไปส่งที่หน้าม.ไหมครับ”

     

                    “ไม่เป็นไร รถพี่อยู่ข้างคณะนี้เอง” ซองมินตอบคำถามพร้อมรอยยิ้มหวานดีใจทีได้น้องเทคนิสัยดี

     

                    “งั้นผมไปส่งไหมครับ”

     

                    “ก็ได้” ร่างอวบกระโดดขึ้นซ้อนจักรยานจนคนปั่นถึงกับเซไปมา ตั้งหลักเกือบไม่ได้ โชคดีที่ขายาวจึงยันพื้นได้ทันก่อนจะล้มกันไปอีก “นี้น้องโจว ปั่นจักรยานเป็นเปล่าเนี่ย”  คนซ้อนหลังไม่มั่นใจสวัสดิภาพสะกิดถามคนที่ปั่นเซไปมา

     

                    “ก็....ไม่แข็งครับ พึ่งหัดเมื่อวาน”  เด็กหนุ่มหอในอ้อมแอ้มบอก แม้จะเสียฟอร์มอยู่นิดๆก็ตาม

     

                    “ว่าแล้ว ลงมาเลย เดี๋ยวพี่ปั่นให้น้องโจวนั่งเอง”สุดท้ายคนซ้อนกับคนปั่นก็สลับที่กัน ไปจนถึงพี่เต่าที่นอนคอยอย่างสงบนิ่งโดยสวัสดิภาพ

     

    * ~ * ~ * ~ * ~ *~ * ~* ~* ~ * ~ * ~ * ~ * ~ * ~ * ~ *

                    คาบแรกของวันอังคารเป็นวิชาสำคัญที่เด็กปีหนึ่งทุกคนจะต้องลงเรียนและผ่านมันไปให้ได้ เพื่อเรียนตัวต่อไปในปีสอง นั่นคือวิชาภาษาอังกฤษ  เป็นเหตุทำให้ โจว คยูฮยอนต้องรีบตื่นแต่เช้าปั่นรถจักรยานจากหอชายมาที่ห้องเรียนเป็นคนแรก เพื่อเลือกที่นั่งที่ดีที่สุด....แต่มันไม่ทันซะแล้ว มีหนึ่งคนนั่งหัวโด่อยู่ในห้องและเลือกที่นั่งที่ดีที่สุดตัดหน้าไปแล้ว

     

                    คยูฮยอนเดินเข้าไปนั่งข้างๆที่ว่างอยู่แต่อีกคนกลับไม่สนใจผู้มาใหม่ ซุกซ่อนใบหน้าอยู่ใต้นิตยสารการ์ตูนเล่มใหญ่ที่ตั้งบังไว้ จนเด็กหนุ่มต้องทำลายความเงียบ “สวัสดีครับ”

     

                    “สวัสดีครับ” ใบหน้าที่โผล่ออกมาจากนิตยสารการ์ตูนรายปักษ์ช่างสวยงาม แต่ไม่ทำให้เด็กหนุ่มตกใจไปได้มากกว่าการที่เขารู้จักกับคนคนนี้

     

                    “พี่..พี่ฮีชอล!

     

                    “อือ พี่เอง”  ใบหน้าหวานส่งยิ้เขินอายที่ต้องมาเรียนรวมกับรุ่นน้อง แต่กลุ่มนี้ก็เป็นกลุ่มที่เรียนรวมคละกันอยู่แล้ว  ทั้งเด็กปีสองที่เคยเอฟ เด็กปีหนึ่งหน้าใส  “ดีจังเนอะ พี่รหัสได้เรียนกับน้องรหัสด้วย”

     

                    “นั่นสิครับ ผมคิดว่าจะไม่รู้จักใครซะแล้ว แล้วพี่ซองมินหล่ะครับ” เด็กหนุ่มหัวเราะตามพี่รหัส มองซ้ายขวาหาอีกคนที่เป็นพี่เทค

     

                    “ซองมินน่ะผ่านวิชานี้ ทิ้งพี่เอาไว้คนเดียว คยูฮยอนห้ามทิ้งพี่นะ หิ้วพี่ผ่านขึ้นไปด้วยนะ” ดวงตากลมโตแกล้งกะพริบปริบๆ แบบอ้อนวอนสุดๆ

     

                    “ครับ กลัวแต่พี่จะทิ้งผมหน่ะสิ แล้วพี่ฮีชอลมาไงแต่เช้าครับเนี่ย” คยูฮยอนถามเพราะความสงสัยจริงๆ ขนาดเขาที่อยู่หอในมาแต่เช้าก็ยังช้ากว่าเลย

     

                    “ซีวอนใจดียอมตื่นมาส่งน่ะ”  ฮีชอลบอกเรื่อยๆเหมือนเป็นเรื่องปรกติที่เพื่อนรัก ผุ้นิ่งเงียบและเจ้าอารมณ์ จะคู่ควรกับคำว่า ใจดี สายตาไม่เชื่อถือจากรุ่นน้องที่พึ่งจะเกือบโดนคนใจดีฆ่าไปเมื่อวาน ร่างบางจึงหัวเราะกับตัวเองเบาๆ “วันนี้ซีวอนมีเรียนตอนบ่ายกว่า แต่ว่าก็ยอมลุกจากที่นอนมาส่งพี่ตอนเช้าตรู่ขนาดนี้ ไม่เรียกว่าใจดี แล้วจะเรียกว่าอะไร”

     

                    เด็กหนุ่มมองใบหน้าที่มีรอยยิ้มใสอย่างเพลิดเพลินจนเผลอพูดความจริงอย่างที่ใจนึก “ใจดีเฉพาะกับพี่ฮีชอลหรือเปล่าครับ พี่ซองมินยังบอกเลยว่าพี่คนนั้นโหด”

     

                    “ไม่หรอก ซีวอนใจดีกับทุกคนจริงๆ ถามใครก็ได้ยกเว้นซองมินกับจองวู อยู่ๆไปก็รู้เองแหล่ะ”

     

                    คยูฮยอนนั่งคิดถึงคำว่าอยู่ไปก็รู้เอง ที่พี่รหัสและพี่เทคพูดถึงคนๆเดียวกัน แต่กลับเป็นคนละด้นจนนึกสงสัยว่าจะเชื่อใครดี หรือ อยู่ไปก็รู้เองจริงๆ

     

                    เสียงร้องตกใจของพี่รหัสหน้าหวานทำให้เด็กหนุ่มตกใจ ต้องมองหน้าด้วยความสงสัย  ก่อนได้รับคำตอบพร้อมรอยยิ้มหวาน “ซีวอนส่งเมจเสจเรียกให้ลงไปกินนมหน่ะ เมื่อเช้ารีบมาเลยยังไม่ได้กินอะไร ไปด้วยกันไหม”

     

                    “พี่ลงไปเหอะครับ ผมไม่ลงไปดีกว่า”

     

                    “ตามใจ” ฮีชอลยิ้มร่าเดินออกจากห้องลงไปหาเพื่อนสนิทที่นั่งรอพร้อมมื้อเช้าอยู่ใต้คณะมีความสุขกับความใจดีที่ไม่มีใครเชื่อของเพื่อนรัก

     

                    “ซีวอนรอนานไหม” ราเล็กๆพาร่างบางเข้าไปหาชายหนุ่มที่นั่งหน้านิ่งที่นั่งรออยู่ตรงหน้า มีถึงจากร้านสะดวกซื้อวางไว้บนโต๊ะ

     

                    “เอ้า กินซะเดี๋ยวจะปวดท้องไปก่อน” มือหนาผลักถุงร้านสะดวกที่เต็มไปด้วยนมและขนมปังให้กับร่างบางที่อยู่ตรงหน้า สีหน้ายังคงเรียบเฉย

     

                    “ของชอบทั้งนั้นเลย ขอบคุณนะ” ปากอิ่มขยับพูดมือก็ทิ่มหลอดลงบนกล่องนม อีกข้างถือขนมปังเนื้อนุ่มไส้ทูน่า “ซีวอนใจดีที่สุดเลย”

     

                    “กินๆ เข้าไปเหอะ เมื่อเช้าก็ไม่รู้จะรีบอะไรหนักหนา พอปวดท้องก็เอาแต่บ่นน่ารำคาญ” ใบหน้านิ่งหันมองไปทางอื่นไม่ได้สนใจว่าอีกคนมีสีหน้าเช่นไร

     

                    ฮีชอลที่ในปากกำลังเคี้ยวขนมปังตุ้ยๆ หยุดชะงักเพราะคำว่าน่ารำคาญทั้งที่พยายามไม่คิด แต่ก็อดใจไม่ได้สักครั้ง กลืนก้อนสะอื้นที่ขึ้นมาจุกคออย่างยากลำบาก กินมื้อเช้าที่เพื่อนเอามาให้อย่างเงียบๆ จนหมด

     

                    “อิ่มแล้ว ฉันกลับขึ้นห้องก่อนนะ นายจะกลับบ้านก่อนหรือเปล่ามีเรียนตั้งบ่ายๆ”

     

                    “เรื่องฉันหน่า ว่าแต่นายเหอะ ข้างบนมีใครมาหรือยัง หรือนั่งเฝ้าห้องอยู่คนเดียว ไม่รู้จะรีบมาทำไมแต่เช้า” ประโยคหลังชายหนุ่มพึมพำอยู่คนเดียวไม่เข้าใจว่าจะอะไรหนักหนากับแค่โต๊ะเรียน

     

                    “ไม่หรอก คยูฮยอนก็มาแล้ว น้องรหัสที่เจอเมื่อวานไงจำได้หรือเปล่า”

     

                    “ไอ้เด็กนั่นอ่านะ สายรหัสนี้มันอะไรหนักหนากับเก้าอี้ตัวเดียว” คนนั่งฟังได้แต่ยิ้มรับ ไม่ปริปากใดๆ “ตกลงได้เรียนกลุ่มเดียวกับเด็กปีหนึ่งใช่ไหมเนี้ย แล้วจะไหวไหม ทำไมไม่ลงกลุ่มเดียวกับพวกปีสองด้วยกัน” ซีวอนพร่ำบ่นอย่างไม่พอใจ ทั้งที่ตอนจะลงทะเบียนก็บอกแล้วว่าให้เรียนกับปีสองที่ไม่ผ่านด้วยกัน จะได้ช่วยกันเรียน เอฟอีกตัวจะทำไง

     

                    “ก็มันลงไม่ทัน ใครจะคิดว่ามันเต็มเร็วขนาดนั่น แต่อย่างน้อยก็มีคยูฮยอนนะ คงไม่เอฟอีกตัวหรอก” รอยยิ้มหวานจากร่างบางส่งให้ประจบชายหนุ่มที่ดูจะไม่พอใจอีกแล้ว

     

                    “ตามใจ มันเป็นวิชาของนาย แล้วไอ้รุ่นน้องนั่นกินอะไรมาหรือยัง” ชายหนุ่มเผื่อแผ่ความเป็นห่วงไปถึงรุ่นน้องของเพื่อนสนิท ทั้งที่หน้าตายังบูดบึ้งด้วยไม่พอใจ

     

                    “คงยังมั้ง มาแต่เช้าแบบนี้”

     

                    “งั้นไปดูกับฉันอีกรอบ ฉันจะหาอะไรกิ แล้วก็ดูไปเผื่อน้องมันด้วย”

     

                    “อือ ขอบคุณนะ” ฮีชอลยิ้มร่า ก็บอกแล้วว่าซีวอนดี แต่ทำไมไม่ค่อยมีคนเชื่อกันเลย

     

                    “ ไม่ต้องมาขอบคุณ ที่ซื้อให้เนี้ย เพราะน้องมันจะได้ช่วยนายให้รอดจากเอฟสักที” ชายหนุ่มเดินนำอยู่ข้างหน้า แน่ใจว่าเพื่อนตัวเล็กเดินตามข้างหลัง ได้ยินเสียงโวยวายง้องแง้งอยู่ข้างหลัง จนริมฝีปากบางอดยิ้มมุมปากไม่ได้

    * ~ * ~ * ~ * ~ *~ * ~* ~* ~ * ~ * ~ * ~ * ~ * ~ * ~ *

                    คาบเช้าแสนยากผ่านพ้นไป ฮีชอลดีใจเหมือนว่าวันนี้ทั้งวันจะไม่มีเรียนอีกแล้ว  ทั้งที่วิชาในคาบบ่ายก็แสนจะยากและน่าเบื่อ แต่อย่างน้อยก็ยังได้นั่งเรียนกับเพื่อนสนิท อะไรก็ดีขึ้นทั้งนั้น

     

                    “คยูฮยอนไปกินข้าวเที่ยงกับพวกพี่ไหม” ร่างบางหันไปชวนน้องรหัสที่ยังไม่มีเพื่อนเพิ่มในห้องนี้เลย

     

                    “ก็ได้ครับพี่” เด็กหนุ่มเดินตามพี่รหัสออกไปอย่างว่าง่าย คิดในใจว่าคงต้องระทึกที่จะได้เจอรุนพี่สุดโหดแต่ยังอุตส่าห์ส่งอาหารเช้ามาให้

     

                    “เดี๋ยววันนี้นายจะได้เจอกับจองวู เพื่อนพี่อีกคน ใจดีกว่าซีวอนแน่ๆ เดี๋ยวเจอก็รู้ อ่ะ!” มือถือในกระเป๋ากางเกงของฮีชอลสั่นอย่างรุนแรงจนร่างบางตกใจ ข้อความใหม่ที่เข้ามาทำให้ดวงตาโตยิ่งเบิกกว้างเมื่ออ่านจบ

     

                    “เป็นไรครับพี่”

     

                    “ไม่ได้เป็นไรหรอก แต่ว่า...ซีวอนจะมากกินข้างเที่ยงด้วย แล้วก็อยู่ที่ศูนย์อาหารแล้ว สงสัยเพื่อนที่คณะคงยังไม่มีใครมาแน่เลย กว่าจะเรียนก็บ่ายกว่า ทำไมเมื่อเช้าไม่กลับบ้านนะ” ประโยคหลังๆร่างบางพึมพำกับตัวเองเบาๆ แต่มันก็ดังพอที่คนเดินข้างๆจะได้ยิน

     

                    “ไม่ทราบครับ” ฮีชอลหันไปมองหน้าตายของคนพูดแล้วก็หัวเราะออกมา ในความซื่อของรุ่นน้อง... ก็ใครต้องการคำตอบกันเล่า หน้าตาก็ออกจะฉลาด

     

                    “พี่ฮีชอลหัวเราะอะไรครับ”

     

                    “เปล่า ไม่มีอะไร รีบไปหาซองมินกับจองวูดีกว่า พี่นัดไว้ใต้คณะ แล้วค่อยลากพวกนั้นไปหาซีวอน” ฮีชอลหันมายิ้มให้น้องรหัสคนดี ก่อนจะลากไปเจอเพื่อนสนิทที่ป่านนี้คงมารออยู่แล้ว

     

                    “ซองมิน จองวู”

     

                    “มาช้าจัง แล้วนั่นใคร” ชายหนุ่มร่างโปร่งที่ยืนอยู่ข้างๆ คนตัวอวบอ้วน เดินเข้าหาเพื่อนรัก แย่งของในมือบางไปถือจนหมด ก่อนจะเลิ่กคิ้วถามถึงเด็กหนุ่มที่ตัวสูงพอๆกับตนที่เดินตามมาข้างหลัง

     

                    “ก็นี้ไงน้องโจว นายโจวคยูฮยอน น้องเทคของฉัน” ร่างอวบที่ไม่อืดอาดเดินมาตบไหล่กว้างที่อยู่สูงกว่าไหล่จน ยักคิ้วให้เพื่อนสนิทตัวสูง

     

                    “น้องเทคนาย? ก็น้องรหัสฮีชอลหน่ะสิ แล้วทำไมลงมาด้วยกัน หรือเรียนกลุ่มเดียวกัน”

     

                    “อือ ก็ฉันลงกลุ่มปีสองไม่ทัน ห้ามบ่นนะ เมื่อเช้าซีวอนก็บ่นไปแล้วรอบนึง” หน้าหวานม่อยลง กลัวจะโดนเพื่อนสนิทบ่นอีกรอบ ก่อนกินข้าวเที่ยง

     

                    “ไม่บ่นหรอกหน่า” มือหนาของจองวูวางบนศีรษะเล็กของคนกลัวโดนบ่น ขยี้ไปมาอย่างเอ็นดู “ดีซะอีก น้องเขาจะได้ช่วยนายเรียนไง เวลานายหลับจะได้มีคนปลุก นี้คยูฮยอนยังไงก็ฝากด้วยนะ อย่าให้เอาแต่หลับ”

     

                    “ครับพี่” เด็กหนุ่มรับคำ สายตามองไปยังพี่รหัสหน้าหวาน เลยได้รับค้อนจากดวงตากลมโต แล้วก็นึกขำกับตัวเอง

     

                    “แล้วคิดดีแล้วหรอ ให้ซองมินเป็นพี่เทคหน่ะ” แม้จะถามรุ่นน้อง แต่สายตากลับเหล่มองไปยังเพื่อนตัวอวบที่เดินอยู่ข้างๆเด็กหนุ่ม

     

                    “เมื่อวานตอนเจอกัน พี่ซองมินบอกว่าเป็นพี่เทคของผมครับ”

     

                    “อ้าว  แปลว่ายัดเยียดตัวเองให้น้องเขาอ่ะดิ สงสารน้องเขาวะซองมิน”

     

                    “ไอ้จองวูแกตายยยยยยยย” ซองมินวิ่งไล่เตะเพื่อนสนิทตัวสูงที่วิ่งหนีไปไกล ปล่อยให้พี่น้องสายรหัสเดินคู่กัน

     

                    “รับเพื่อนพี่ได้นะ” ฮีชอลถามน้องรหัส สายตาก็มองเพื่อนซี้ทั้งสองอย่างขำๆแกมอ่อนใจ  นึกกลัวว่าเด็กหนุ่มจะรับไม่ได้ แล้วไม่เชื่อถือ

     

                    “น่ารักดีออกครับ”

     

                    “นานทีมันก็น่ารัก แต่บ่อยๆก็นะ เฮ้อ!” ลมหายใจบางๆถูกผ่อนออกมา ก่อนนึกบางอย่างได้ และคงต้องบอกให้รู้ก่อน “นี้สองคนข้างหน้าหน่ะ ฉันมีเรื่องจะบอก” ร่างบางตะโกนหยุดเพื่อนทั้งสองที่เอาแต่วิ่งเล่นไล่เตะกันเสียงดังทั่วทางเดิน

     

                    “ฮีชอลมีอะไร” จองวูผลักร่างอวบไปไกลๆ เดินกลับมาหยุดพักเหนื่อยข้างๆเพื่อนตัวเล็ก มือบางลูบแผ่นหลังกว้างอย่างขำๆ

     

                    “ซีวอนมากินข้าวด้วย แล้วก็จองโต๊ะไว้ให้แล้ว”

     

                    “เออะ!” ซองมินที่หยุดรอให้เพื่อนเดินตามมาชะงักงัน “งั้นรีบไปเหอะเดี๋ยวซีวอนจะโมโหโหดใส่น้องโจว” ซองมินจับมือบางเดินจูงก่อนจะกลับหลังมามองหน้าเพื่อนที่ยังคงอยู่นิ่ง“เอ้า ยืนทำบื้ออะไรไม่ทราบไอ้จองวู”

     

                    “พวกนายไปกินกันเหอะฉันไปหาอะไรกินข้างนอกม.ดีกว่า” คนถูกกล่าวหาว่ายืนบื้อให้คำตอบกระจ่างชัด หมุนกายหลับหลังหากว่าไม่มีเสียงหวานเรียกไว้ คงเดินจากไปแล้ว

     

                    “ทำไมหล่ะ ไปกินด้วยกันเหอะนะ” ฮีชอลเดินกลับมาตั้งใจจะจูงมือเพื่อนสนิทให้เดินไปด้วยกัน แต่จองวูกลับขืนแรงไม่ยอมเดินตามร่างบาง

     

                    มือหนาตีลงบนหลังมือขาวที่จับไวเบาๆสองสามครั้ง จ้องมองตาโตอย่างจริงใจ “เห็นหน้าเราแล้วเดี๋ยวหมอนั่นจะไม่พอใจ ทำหน้าบึ้ง ฮีชอลกับคนอื่นจะกินข้าวไม่สนุก เราไปคนเดียวได้อย่างห่วงเลย รีบไปเหอะ เดี๋ยวคนรอจะโมโหแล้วกลายร่างนะ”

     

                    “คิดมาก ไปด้วยกันเหอะก่อนซีวอนจะกลายร่างจริงๆ” ใบหน้าหวานยิ้มสดใส ดึงรั้งเพื่อนสนิทที่ตัวสูงกว่าให้เดินตามมาอย่างยากลำบาก...แต่ที่สุดก็สำเร็จ

     

                    ตอนนี้คนในศูนย์ยังไม่มากนัก ร่างสูงที่นั่งหน้าบูดจึงโดดเด่นจนคนที่เดินมาทั้งสี่เห็นได้อย่างชัดเจนแม้จะยังอยู่ไกล

     

                    “น้องโจวหัดให้ชินกับรังสีอำมหิตของซีวอนนะ แล้วรับรองต่อไปใครแผ่รังสีกดดันแค่ไหนเรารับได้หมด ดูอย่างฮีชอลสิ ใครกดดันแค่ไหนก็รับได้หมด เพราะฝึกมาดีจากซีวอน” ซองมินบอกกับคยูฮยอนที่เดินอยู่ข้างๆสองตาเหล่มองเพื่อนรักที่อยู่อีกข้างของเด็กหนุ่ม

     

                    “ซองมิน” ฮีชอลปรามเพื่อนอย่างอ่อนใจ “ซีวอนไม่ได้เป็นแบบนั้นสักหน่อยเนอะ จองวูเนอะ” ใบหน้าหวานหันไปมาแนวร่วมที่เดินจับมือกันมา

     

                    “หรอ” เสียงแซวจากเพื่อนตัวอวบที่หากไม่มีน้องรหัสมายืนคั่นกลางคงได้มีการทำร้ายร่างกายเล็กน้อย เพราะความหมั่นเขี้ยว “จองวูนายเห็นด้วยกัยฉันหรือฮีชอล”

     

                    “ไม่เห็นด้วยกับใครทั้งนั้นแหล่ะ พูดมากไม่เข้าหูเดี๋ยวก็ได้โดนซีวอนระเบิดลงหรอก” ชายหนุ่มมองเพื่อนเสียงเครียด ยิ่งเห็นสายตาคมที่มองมาก็ยิ่งรู้สึกกังวล

     

                    “ซีวอน”

     

                    “หวัดดีซองมิน” เสียงทุ้มจากชายหนุ่มที่นั่งรออยู่ จากใบหน้าบูดบึ้งกลายเป็นปรากฏรอยยิ้มเล็กๆ ขดประโยคของร่างบางที่ตั้งใจจะขอโทษที่ทำให้รอนาน

     

                    “อ่ะ..อือ หวัดดี” ซองมินตกใจกับรอยยิ้มเล็กๆแสนดูดีที่ไม่เคยเห็น ก่อนตั้งสติส่งรอยยิ้มกว้างกลับไปให้ “ขอโทษนะที่ทำให้รอนาน”

     

                    “ไม่เป็นไรหรอก ฉันก็ยังไม่หิวเท่าไหร่”

     

                    “สวัสดีครับพี่ ขอบคุณมากนะครับ สำหรับเมื่อเช้า” คยูฮยอนเองก็ตกใจไม่น้อยกับรอยยิ้ม แต่มันก็ทำให้กล้าพูดกับรุ่นพี่หน้าบึ้งคนนี้

     

                    “ไม่เป็นไร ว่าไงจองวูไม่ได้เจอกันตั้งนานแล้วนะ สบายดีหรือเปล่า” ชายหนุ่มปรายตาคมเข้าไปทางอีกคนที่เดินมาใหม่

     

                    “ก็ดี นายก็คงสบายดีใช่ไหม” ชายหนุ่มมองกลับไปยังเพื่อนรักที่หน้าหมองลง ก่อนหันกลับไปจ้องกับดวงตาคมที่มองเขาสองคนเขม่ง และยิ่งใบหน้าที่เฉยชาเมื่อสองมือที่เกาะกุมกันมา

     

                    “อือ”

     

                    “พวกนายไปหาอะไรกินกันเหอะนะ เดี๋ยวฉันเฝ้าโต๊ะไว้ให้” ฮีชอลนั่งลงที่เก้าอี้ฝั่งตรงข้ามกับซีวอน พูดขัดจังหวะก่อนที่สงครามสายตามันจะรุนแรงกว่านี้

     

                    “ฉันนั่ง....”

     

                    “ฮีชอล...”

     

                    “พี่ฮีชอลจะกินอะไรครับ ผมจะได้ซื้อมาให้” คยูฮยอนถามขึ้นอย่างใจดี เสียงของเด็กหนุ่มดังกลบอีกสองเสียงที่พูดพร้อมกันจนไม่มีใครได้ยิน

     

                    “พี่เอาแบบที่คยูฮยอนจะซื้อก็ได้ ขอบใจนะ” ริมฝีปากอิ่มยิ้มขอบคุณในความใจดีของน้องรหัส หากแต่สายตากลับเศร้าหมองทอดมองแผ่นหลังกว้างที่ลุกออกไป โดยไม่รู้เลยว่าก่อนหน้านี้ชายหนุ่มต้องจะทำอะไร

     

                    แขนชาวโอบรอบคอเพื่อนสนิทให้เดินออกไปหาของกินด้วยกันโดยไม่รู้เลยว่ามีคนสองคนกำลังไม่สบายใจ “น้องเทคฉันเป็นคนดีจังเนอะ”

     

                    ดวงตากลมทอดมองไปตามที่เพื่อนสนิทแต่เยาว์วัยจากไป  ไม่เข้าใจว่าซีวอนเป็นอะไร ทั้งที่วันนี้ก็ดูเหมือนจะอารมณ์ดีเป็นพิเศษ แต่แล้วก็กลับกลายเป็นแบบนี้ไปได้

     

                    “ฮีชอล เฮ้ย ฮีชอลเหม่ออะไร” มือที่โบกไปมาอยู่ข้างหน้าทำให้ฮีชอลสะดุ้งตกใจ สายตากลมโตเหลือบมองเจ้าของมือ เห็นเป็นซองมินยืนค้ำหัวอยู่ฝั่งตรงข้ามของโต๊ะ

     

                    “อ้าว! ซองมินซื้อเสร็จแล้วหรอ” คนที่เหม่อลอยไปไกลถามเพื่อนอย่างแปลกใจ   

     

                    “เออ น้องโจวก็ซื้อเสร็จแล้วด้วย” นิ้มป้องชี้ไปที่จานข้าวตรงหน้าร่างบาง ที่น้องรหัสซื้อมาให้พร้อมน้ำเย็น

     

                    “ขอโทษนะคยูฮยอนพี่ไม่ทันเห็นหน่ะ” ใบหน้าหวานหันไปขอโทษเด็กหนุ่มทั่งอยู่ข้างๆ

     

                    “ไม่เป็นไรหรอกครับ”

     

                    “นายจิตตกเพราะซีวอนเปล่าเนี้ย” ร่างอวบที่นั่งลงตรงข้ามกับเด็กหนุ่มเอ่ยถามเพื่อนรักอย่างสงสัย ที่อยู่ดีๆก็แปลกไปตั้งแต่เจอหน้าซีวอน

     

                    “เปล่าหรอก อย่าสนใจเลย กินไปเหอะ คยูฮยอนก็ด้วยนะ” ฮีชอลรีบบอกปัด ทั้งที่ก็รู้อยู่แก่ใจว่าเพื่อนตัวอวบทายถูก แต่ไม่รู้ทำไมถึงไม่อยากพูด

     

                    “แล้วนายทำไมไม่กิน น้องโจวอุตส่าห์ดูแลพี่รหัสเป็นอย่างดีเอามาประเคนให้ถึงที่” ซองมินเองก็เป็นห่วงเพื่อนที่เอาแต่นั่งหน้าเศร้า บอกให้คนอื่นกินแต่ตัวเองกลับไม่แตะช้อนส้อมสักนิด

     

                    “รอซีวอนกับจองวู”

     

                    “งั้นฉันไม่รอ น้องโจวเรากินกันก่อนเหอะไม่ต้องรอหรอก” ซองมินรับคำหันไปชวนน้องเทคกินก่อน ก่อนจะหมดอารมณ์กินเพราะบางคนที่ยังไม่กลับมา

     

                    “กินไม่รอนะ” ซองมินตักข้าวเข้าปากได้เพียงคำเดียว จองวูก็เดินกลับมาพร้อมข้าวในมือ

     

                    “จะให้ฉันรอคุณชายหรือไง” ร่างอวบเหล่สายตามองเพื่อนทิ้งตัวลงนั่งอีกข้างที่ว่างอยู่ของฮีชอล เก็บที่นั่งฝังตรงข้ามกับร่างบางให้อีกคนที่ยังไม่มา

     

                    “ก็สมควรจะทำไม่ใช่หรือไง” ชายหนุ่มตักคำแรกเข้าปากแล้วจึงเถียงกับเพื่อน ก่อนจะมองเพื่อนอีกคนที่นั่งอยู่ข้างๆ แต่ยังไม่ตักข้าวเข้าปากสักคำ “ฮีชอลทำไมยังไม่กินข้าว”

     

                    “รอซีวอนหน่ะ กินกันไปก่อนเหอะ” ฮีชอลตอบจองวูแต่สายตาก็มองหาอีกคนที่ยังไม่มา

     

                    “ไม่ต้องรอหรอก ม่ะเราป้อน” ชายหนุ่มบอกอย่างอารมณ์ดี ยกช้อนที่มีข้าวอยู่ขึ้นจ่อ จนใบหน้าหวานต้องเบี่ยงหนีพร้อมเสียงหัวเราะใสๆ และรอยยิ้มจากคนในโต๊ะ “เผลอๆ ซีวอน~

     

                    “เผลอๆ ฉันทำไม” เสียงทุ้มดังขึ้นอย่างไม่พอใจจากชายหนุ่มที่เดินมาใหม่

     

                    “เปล่า มาครบแล้ว ฮีชอลกินข้าวได้แล้วใช่ไหม” บรรยากาศในโต๊ะเงียบลงถนัดตา ไม่มีใครพูดอะไรจนน่าอึดอัด

     

                    “ฮีชอล น้อโจวปั่นจั่กไม่เป็นสอนน้องหน่อยสิ” ซองมินหาเรื่องพูดทำลายความน่าอึดอัดนี้ ทั้งที่ตัวเองก็นั่งเกร็งอยู่ข้างชายหนุ่มผู้แผ่รังสีแห่งความอึดอัด

                    “ฉัน...”

     

                    “ฮีชอลปั่นจักรยานไม่เป็นหรอกซองมิน” เป็นซีวอนที่แย่งร่างบางตอบ พร้อมส่งรอยยิ้มให้คนข้างๆ ก่อนกวาดสายตามองอีกสามคนที่เหลือ

     

                    “อ้าว! สายรหัสนี้อาถรรพ์นะเนี้ย” เสียงหัวเราะใสของซองมินช่วยลดความตึงเครียด จนใกล้กลับมาเป็นปรกติอีกครั้ง

     

                    “แล้วทำไมนายไม่สอนน้องหล่ะซองมิน หรือนายก็ปั่นไม่เป็น” จองวูถามเพื่อนที่ยังหัวเราะร่ากับสายรหัสของฮีชอลที่ปั่นจักรยานไม่เป็นทั้งพี่และน้อง

     

                    “เป็นเว้ย แต่สอนไม่ได้ นายหล่ะสอนได้หรือเปล่า”

     

                    “สบาย คยูฮยอนว่างเมื่อไหร่ เดี๋ยวพี่สอนให้”

     

                    “ขอบคุณครับพี่ เด็กหนุ่มก้มหัวขอบคุณรุ่นพี่ที่จะสอนปั่นจักรยาน พาหนะสำคัญของเด็กหอใน

     

                    “จองวูสอนฉันด้วยสิ นะๆ” ฮีชอลที่นั่งนิ่งมานานฟังคนพูดข้ามหัวไปมา หันไปทำตาปรุบปริบใส่เพื่อน อย่างมีความหวังว่าจะขี่เป็นกับเขาบ้าง

     

                    “เดี๋ยวก็ล้มเป็นแผล” ซีวอนเอ่ยขัดอย่างไม่เห็นด้วย คิ้วเข้มขมวดเข้าหากัน ดวงตาคมจ้องมองจนตาโตๆต้องหลบ ริมฝีปากอิ่มเม้มเข้าหากัน ความหวังลอยหายไปทันที

     

                    “ฉันไม่ปล่อยให้ฮีชอลล้มหรอก ฉันก็ห่วงฮีชอลเท่ากับที่นายห่วงนั่นแหล่ะ ซีวอน” ซีวอนตวัดสายตามองคนพูด ดวงตาคมสองคู่จ้องประสานกันอย่างไม่มีใครยอมใคร

     

                    “ตามใจจะทำอะไรก็ทำ เรื่องนายไม่เกี่ยวกับฉัน” เสียงทุ้มหนักเล็ดลอดออกมา สายตายังคงไม่ละออกจากที่เดิม

     

                    ต่อจากนั้นหมอกของความอึดอัดและเคร่งเครียดก็ไม่เลื่อนออกจากโต๊ะกินข้าว โต๊ะนี้เลย เมื่อสายตาคมสองคู่ต่างจับจ้องกันอยู่เสมอ               

    * ~ * ~ * ~ * ~ *~ * ~* ~* ~ * ~ * ~ * ~ * ~ * ~ * ~ *

                    เวลาบ่ายสามโมงครึ่ง วิชาสุดท้ายในตารางเรียนของนักศึกษาปีหนึ่งต่างพากันเดินสะโหล่สะเหล่ออกมาจากห้องประชุมที่ใช้เป็นห้องเรียน นั่งฟังนั่งจดเล็คเชอร์นานกว่าสามชั่วโมงจนวิญญาณแทบหลุดออกจากร่าง เว้นแต่ก็แต่เด็กหนุ่มผิวขาวหน้าตาฉลาดแกมโกงที่ยังพอจะยิ้มร่าอยู่ได้ เพราะสามชั่วโมงที่คนอื่นนั่งเรียนเด็กคนนี้นั่งหลับ เปิดMP4ให้มันเรียนแทนตลอดเวลา

                                 

                    {My girl, my girl, my girl. Talkin' 'bout my girl.My girl!} เสียงเรียกเข้าของมือถือที่เป็นเพลงสากลยุค 60 ดังโดดเด่นไม่ซ้ำใคร ทำให้เจ้าของเครื่องต้องรีบหยิบออกจากกระเป๋ามาดูเห็นเป็นชื่อพี่รหัสที่บันทึกเอาไว้เมื่อไม่นานมานี้ “สวัสดีครับ พี่ฮีชอล”

     

                    /หวัดดีน้องโจว พี่ซองมินนะ มาหาพี่ที่ริมสระหลังคณะวิดยาด้วย พวกพี่รออยู่/

     

                    “ครับ แต่นี้เบอร์พี่ฮีชอลไม่ใช่หรือครับ หรือผมเมมผิดชื่อ” เด็กหนุ่มถามไปอย่างงง ก็จำได้ว่าตอนเมมก็ถามจนแน่ใจแล้วว่านี้เบอร์ของใคร แต่ทำไมคนพูดกลับกลายเป็นพี่เทคไปได้

     

                    /เออ นี้เบอร์ฮีชอลอ่ะแหล่ะ แต่พี่เอามาโทรหาน้องโจว เดี๋ยวมือถือมันจะลืมว่าโทรหาเบอร์คนอื่นทำไง เพราะเคยแต่โทรหาซีวอน รีบมานะอย่าให้พวกพี่รอนาน/

     

                    “ครับพี่” คยูฮยอนไม่ถามอะไรอีก พอจะเดาได้ว่ารุ่นพี่เรียกตัวไปเพราะจะสอนปั่นจักรยานให้คล่องกว่าที่เป็นอยู่ หวังว่าวันนี้จะโชคดีไม่เจอรุ่นพี่ต่างคณะ

     

                    เด็กหนุ่มปั่นจักรยานมาอย่างช้าๆที่ที่จะเป็นสนามฝึกซ้อมปั่นยานพาหนะสำคัญในรั้วมหาวิทยาลัย มันเป็นลานหินกรวดที่มีต้นไม้ใหญ่ขึ้นบ้างพอกันแดดได้ ที่ริมสระน้ำกว้าง มีเก้าอี้และโต๊ะให้นั่งสบายๆ คยูฮยอนยิ้มแป้นทันทีที่เห็นรุ่นพี่เพียงสามคนอยู่ที่ศาลาริมน้ำ “หวัดดีครับพี่ฮีชอล พี่ซองมิน พี่จองวู”

     

                    “มาช้าจัง สงสัยจะยังขับเบนเลย์ไม่คล่องจริงๆด้วย ทั้งที่เปิดเทอมมาจะสองอาทิตย์แล้วนะเนี่ย” ร่างอวบนิดหน่อยหันไปพูดกับเพื่อนสนิทที่กำลังจะผันตัวเองเป็นผู้ฝึกสอนการปั่นจักรยาน

     

                    “เบนเลย์อะไรของแกวะซองมิน ฉันก็เห็นน้องเขาปั่นจั่กมา ไม่เห็นมีไอ้รถที่นายว่าสักคัน” ชายหนุ่มมองซ้ายมองขวาหารถคันหรูที่เพื่อนสนิทพูดถึงแต่ก็หาไม่เจอ เพื่อนตัวผอมก็ได้แต่ส่ายหน้าไปมาเหมือนกัน

     

                    “ก็นี้ไง” นิ้วป้อมชี้ไปยังจักรยานแม่บ้านสีคราม ตะกร้าหวายพลาสติค คิ้วได้รูปขมวดเข้าหากันอย่างไม่พอใจเท่าไหร่ที่เพื่อนไม่เข้าใจ ในขณะที่เพื่อนได้แต่ส่ายหน้าไปมากับนิสัยแบบนี้

     

                    “แต่นี้มันจักรยานญี่ปุ่นนะครับยี่ห้ออะไรก็ไม่รู้ ไม่ใช่จักรยานของเบนเลย์หรอกครับ” เด็กปีหนึ่งที่ยังไม่รู้จักนิสัยของพี่รหัสได้แต่อธิบายไปหน้าซื่อๆ

     

                    “โอ๊ะ! ไอ้น้องนี้ก็ซื่อไม่สมหน้าตาเลยเว้ย” มือหน้าของจองวูได้แต่แปะมือลงบนหน้าผากของตัวเอง เห็นเพื่อนตัวบางยืนยิ้มกลั่นหัวเราะทั้งที่ไหล่ก็ไหวกระเพื่อมๆ “นี้น้อง พี่จะบอกให้นะ ต่อให้จักรยานคันนี้พวกยากุซ่าปลายแถวมันขโมยเด็กอนุบาลมา แต่ถ้าซองมินมันพอใจจะเรียกว่าเบนเลย์ โรสลอย หรืออีแต๋นมันก็เรียกไม่สนใจอะไรทั้งนั้น เหมือนที่มันเรียกรถตัวเองว่าพี่เต่า เรียกน้องว่าน้องโจวอ่ะแหล่ะ”

     

                    “อ้อ ครับ”

     

                    “ก็ทำไม ฉันพอจะเรียกแบบนี้ใครจะทำไหม ไม่ได้บังคับใครให้เรียกตามสักหน่อย” เสียงขุ่นหน้าบึ้งเป็นสัญญาณที่บอกให้รู้ว่าเพื่อนตัวอวบไม่พอใจ และออกอาการงอนแล้วเรียบร้อย

     

                    มือเรียวๆของฮีชอล อ้อมโอบไหล่เกือบบางของเพื่อนรักเข้ามากอดไว้ “ไม่มีใครว่าซองมินสักหน่อย จองวูแค่อธิบายให้น้องฟังเท่านั้นเอง เนอะจองวูเนอะ” ประโยคสุดท้ายหันไปขอคำยืนยันจากเพื่อนสนิทอีกคนที่พยักหน้าหงึกหงัก “เห็นไหมซองมินอ่ะคิดมาก ไม่คิดแล้วหน่ะ ดูคยูฮยอนปั่นจักรยานดีกว่า”

     

                    “มาเร็วน้อง ปั่นให้พี่ดูหน่อยดิ ว่าเป็นไงมั่งแล้ว แต่ความจริงถ้าไม่ล้มก็ได้แล้วมั้ง ไม่เคยล้มไม่ใช่หรอ” จองวูเลิกสนใจเพื่อนขี้งอนหันมาถามรุ่นน้องที่ยังทำตัวไม่ถูกกับอารมณ์ของพี่เทคที่นั่งหน้าบึ้งไม่เลิก

     

                    “ใครว่าไม่ล้มตอนเปิดเทอมวันแรกอ่ะ น้องโจวปั่นจั่กชนรถของซีวอนล้ม แถมตัวเองก็ล้มลงไปเลยด้วย ดีไม่มีแผล” เสียงของคนหน้าบูดบึ้งแย่งน้องเทคตอบจะเมินหน้าหนีไปทางเดิม ไม่มองเพื่อนรักตัวดี

     

                    “อ้าวหรอ! แล้วทำไมยังรอดชีวิตมาอีกเนี่ยทำรถซีวอนล้มไปเนี่ย” ประโยคหลังชายหนุ่มแอบพึมพำเบาๆ แต่มันก็ดังพอให้คนอื่นได้ยิน จนแม้แต่คยูฮยอนยังทำหน้าซีด

     

                    ...ก็เกือบเอาชีวิตไม่รอดเหมือนกัน.....แหล่ะครับ

     

                    “จองวู ทำไมพูดแบบนั้น ซีวอนไม่ใช่คนน่ากลัวแบบนั้นสักหน่อย” เป็นฮีชอลที่รีบออกตัวแทนเพื่อนสนิทที่ไม่ได้อยู่ตรงนี้ด้วย ใบหน้าหวานเริ่มบูดบึ้งตามไปอีกคนแล้ว

     

                    “เฮอะ มันก็แล้วแต่คนคิดแล้วหล่ะฮีชอล” จองวูเองก็เริ่มหงุดหงิดขึ้นมาหน่อยๆ ไม่เข้าใจเลยว่าทำไมเพื่อนตัวเล็กของเขายังคงเห็นซีวอนเป็นคนดีกว่าใครๆ

     

                    ทำไมฮีชอลไม่เคยยอมรับข้อเสียของซีวอนที่ทุกรู้กันดีอยู่ว่าเป็นเช่นไร

     

                    ทำไมฮีชอลต้องออกรับแทนทุกครั้งที่มีคนพูดถึงอารมณ์ที่รุนแรงของซีวอน

     

                    “มา คยูฮยอนปั่นจักรยานให้พี่ดูดิ”

     

                    “เอ่อ...ผมว่า...ให้พี่ฮีชอลหัดปั่นก่อนดีไหมครับ เดี๋ยวเกิดพี่ซีวอนมารับไว” คยูฮยอนยังคงปรับตัวไม่ทันกับอารมณ์แบบนี้ของพวกพี่ๆ หาทางเลี่ยงที่จะอยู่ใกล้

     

                    “เอางั้นก็ได้ มาเร็วฮีชอล” จองวูหันไปกวัดมือเรียกเพื่อนที่นั่งหน้านิ่งให้เดินลงมา แต่ร่างบางกลับนิ่งเฉย เหมือนไม่สนใจ จนชายหนุ่มต้องถอนหายใจเฮือกใหญ่แล้วเดินเข้าไปหา

     

                    “เราขอโทษนะฮีชอล มาเหอะ ไปหัดปั่นจักรยานกันนะครับคุณเพื่อน ต่อไปนี้เพื่อนจองวูสัญญาเลยว่าจะไม่ว่าแบบนี้กับเพื่อนซีวอนอีก พอใจไหมครับ” ชายหนุ่มฉีกยิ้มกว้าง ง้อเพื่อนรัก

     

                    “สัญญาแล้วนะ” ฮีชอลหันมาถามย้ำเพื่อความแน่ใจอีกครั้ง ก็แค่ไม่อยากให้ใครมองว่าซีวอนเป็นคนไม่ดี ไม่อยากให้เพื่อนสองคนต้องทะเลาะกัน เท่านั้นเอง ที่ฮีชอลอยากได้

     

                    “อือ สัญญา”

     

                    “งั้นจองวูต้องสอนให้ฉันเป็นไวๆนะ” พอได้คำรับรองหนักแน่น ฮีชอลก็กลับมาเป็นฮีชอลคนเดิม ที่ยิ้มง่ายๆ และร่าเริง รีบลากมือหนาของเพื่อนไปหาจักรยานของรุ่นน้องที่จอดนิ่ง “พอปั่นจักรยานได้ ต่อไปฮีชอลก็จะหัดขี่มอไซค์ของซีวอน แล้วก็จะได้ช่วยซีวอนขี่บ้าง”

     

                    “เอางั้นเลยหรอ ปั่นจั่กให้ได้ก่อนดีกว่ามั้ง อย่าพึ่งคิดไปไกลเลยนะ” จองวูไม่อยากพูดเลยว่า ต่อให้ปั่นจั่กได้แล้ว ยังไงฮีชอลก็ไม่มีทางขี่บิ๊กไบรค์คันใหญ่เท่าบ้านของซีวอนได้หรอก ตัวเล็กแค่นี้ คิดไปไกลถึงนู้น

     

                    ชายหนุ่มจัดแจงให้เพื่อนรักขึ้นขี่จักรยาน ตั้งคันให้ตรงจับด้านหลังเอาไว้บอกให้ฮีชอลค่อยๆถีบไปช้าๆ เสียงหัวเราะร่าของฮีชอลเมื่อได้แกล้งจองวูดังลั่นเมื่อปั่นเร็วขึ้น จนเพื่อนต้องคอยวิ่งเร็วขึ้นตามไปด้วย

     

                    “พอแล้วฮีชอลปั่นเร็วเดี๋ยวก็ล้มหรอก ทีนี้พอจะหยุดก็ให้บีบเบรก แล้วค่อยๆเอาขายันที่พื้นไม่ให้รถล้มไปนะ” จองวูบอกกับคนที่ดูเหมือนจะมีความสุขกับการหัดปั่นจักรยาน

     

                    “อือ ไม่ล้มหรอกก็จองวูจับรถเอาไว้ ใช่ไหมหล่ะ” เสียงเบาๆที่โต้ลมกลับมา ทำให้คนฟังนึกถึงเด็กน้อยแสนซนไม่ใช่นักศึกษามหาลัยแบบนี้

     

                    “ครับผม แต่ก็ลองไว้ก่อน ต่อไปจะได้เป็นไง”

     

                    “คร้าบบบบ  โหดจัง ตั้งใจจะให้เป็นวันนี้เลยหรือไง”  ใบหน้าหวานบูดบึ้ง แต่ก็ยันเท้าไว้กับพื้นพอดีกับที่เสียงเรียกเข้าที่จำได้ดีดังขึ้น “ซองมินรับโทรศัพท์ให้หน่อยสิ”

     

                    “อือ” ซองมินนั่งคุยอยู่กับน้องเทครับคำเพื่อนสนิท คุ้ยๆกระเป๋าที่วางอยู่ไม่ห่างนัก ตั้งใจจะกดรับแต่เปลี่ยนใจเดินไปส่งให้เจ้าของเครื่องเพราะชื่อที่ปรากฏอยู่บนหน้าจอ “อ่ะ รับเองเหอะ ให้ฉันรับให้เดี๋ยวได้องค์ลงกันพอดี”

     

                    ดวงตากลมหลุบมองชื่อที่อยู่บนหน้าจออย่างสงสัย ก่อนจะคลี่ยิ้มออกมา แล้วกดรับโทรศัพท์ที่ยังส่งเสียงไม่หยุด “สวัส~

     

                    /ทำไมรับสายช้า ทำไรอยู่ห่ะ/

     

                    เสียงดังตะคอกบอกอารมณ์คนปลายสายได้ดีว่าคงกำลังไม่พอใจอย่างมาก “ขอโทษ พอดีโทรศัพท์ไม่ได้อยู่กับตัว” ใบหน้าหวานเจื่อนลง

     

                    /ก็แล้วทำไมไม่เก็บไว้กับตัว นี้ทำอะไรอยู่/

     

                    “หัดปั่นจักรยานอยู่ใกล้เป็นแล้วนะ” เสียงหวานที่ตอนแรกอ่อนลงกลับมาร่าเริงอีกครั้ง ที่อวดเพื่อนสนิทได้ว่าใกล้จะปั่นจักรยานได้แล้ว อีกไม่นานก็จะหัดขี่รถของซีวอนได้แล้ว

     

                    /ที่ไหน เดี๋ยวไปหา/

     

                    “หลังคณะวิดยา วันนี้ซีวอนไม่รีบกลับใช่ไหม” ฮีชอลรีบทำเสียงออดอ้อนเพื่อนรักทั้งที่ก็รู้ว่าอารมณ์ตอนนี้ของคนปลายสายไม่ค่อยปรกติเท่าไหร่

     

                    /ตรงนั้นมันเป็นลานหินไม่ใช่หรือไง เลิกหัดได้แล้วฮีชอล เดี๋ยวฉันไปหา/

     

                    ใบหน้าหวานมองโทรศัพท์แบบงง อยู่ดีๆซีวอนก็ตัดสายไป แถมยังบอกให้เลิกหัดอีก แต่ถ้าไม่ทำตามแล้วซีวอนมาเจอก็คงกลายเป็นเรื่องใหญ่ สุดท้ายจึงยอมคืนจักรยานให้รุ่นน้อง แล้วกับมานั่งอยู่ข้างๆซองมิน รอเวลาเพื่อนมารับ

     

                    “เอาหน่า ซีวอนคงเป็นห่วงฮีชอลอ่ะแหล่ะ อย่าทำหน้าแบบนี้สิ เดี๋ยวพอซีวอนมาถึง ก็ให้หัดต่อเองแหล่ะ เชื่อฉันดิ”  ซองมินที่นั่งอยู่ข้างๆได้แต่เอ่ยปลอบใจให้ความหวังเพื่อนที่กำลังทำหน้าเศร้าหมอง

     

                    “ได้แบบนั้นจริงๆก็ดีสิ แต่สงสัยจะไม่แน่เลย เมื่อกี้เสียงซีวอนน่ากลัวมากเลยจริงๆนะ ไม่รู้ว่าโกรธอะไรมาก่อนหน้านี้หรือเปล่า แค่ให้รอสายนานนิดเดียวเอง”

     

                    คนที่นั่งฟังอยู่ข้างๆแบบซองมินนึกคันปากยิบๆ อยากตอบเพื่อนอย่างที่ใจคิด ว่าคนอย่างซีวอนไม่จำเป็นต้องโกรธใครมาก่อนหรอก แค่โทรมาแล้วฮีชอลไม่รีบรับสายก็มากพอให้พ่อนุ่มอารมณ์ร้อนคนนี้โมโหได้แล้ว แต่เพราะความเป็นเพื่อนที่ดีมีหน้าที่ปลอบใจก็ต้องไม่ทำให้เพื่อนคิดมาก “อือ ซีวอนคงโมโหอะไรมาก่อนแหล่ะมั้ง ฮีชอลอย่าคิดมากเลยนะ”

     

                    “อือ ก็คงเป็นแบบนั้นแหละ”

     

                    “นี้ซองมินมาซ้อนให้น้องหัดปั่นจั่กหน่อยดิ” เสียงเรียกขอเพื่อนที่วันนี้มีเป็นอาจารย์มีลูกศิษย์มาเข้าคิวให้ซ้อนปั่นจักรยานสองคน ตะโกนเรียกความสนใจจากเพื่อนทั้งสองที่นั่งคุยกัน

     

                    “ทำไมต้องซ้อนด้วยหล่ะ เกิดน้องโจวล้มฉันก็เจ็บสิ” ซองมินบ่นอิดออดแต่ก็ยอมเดินเข้าไปหาทั้งเพื่อนทั้งน้อง ไม่รู้เลยว่าคำพูดตัวเองบั่นทอนความกล้าหาญของน้องเทคไปแล้ว

     

                    “ก็น้องมันปั่นได้แล้ว แค่ไม่มั่นใจเวลามีคนซ้อนเท่านั้นเอง” จองวูเดินเข้าไปลากตัวเพื่อนที่เดินมาช้าไม่ทันใจ ลากๆจูงๆ มาหารถจักรยาทีได้ชื่อว่าเบนเลย์

     

                    “ก็แล้วทำไมต้องเป็นฉันด้วยเล่า ฮีชอลก็ว่าง นายก็ไม่ได้ทำอะไร นะ” ซองมินมองเพื่อนตาแบ๋วแบบที่ไม่เคยทำมาก่อน ออดอ้อมเต็มที่เพื่อสวัสดิภาพของตัวเอง

     

                    “ให้เลือกว่าจะซ้อนน้อง หรือจะซ้อนฮีชอล”

     

                    “หูย แต่ละตัวเลือก” ซองมินมองตัวเลือกทั้งสองแล้วไม่เห็นจะมีใครที่ปลอดภัย พอดีกับที่สายตาไปสะดุดกับบิ๊กไบรท์คันใหญ่ที่เจ้าของพึ่งจอดนิ่งสนิท “ฉันว่าซ้อนซีวอนดีกว่าอีก”

     

                    “ฮือ?” ชายหนุ่มที่พึ่งมาใหม่ถูกพาดพิงชื่อโดยไม่เข้าใจ ดวงตาที่ปรกติมักคมกล้า และยิ่งน่ากลัวเมื่อเจ้าของโมโห กลายเป็นดวงตาที่เต็มไปด้วยคำถาม ใบหน้าเข้มดูงุนงงในแบบที่ใครๆไม่เคยเห็นแม้แต่ฮีชอลเองก็ตาม

     

                    “ทำไมทำหน้าแบบนั้นหล่ะซีวอนฉันแค่ล้อเล่น” ซองมินอดหัวเราะไม่ได้กับใบหน้าแปลกประหลาดที่ไม่เคยเห็น จนกล้าหัวเราะใส่ชายหนุ่มอารมณ์ร้ายคนนี้

     

                    “เมื่อกี้ซองมินว่าอะไรหน่ะ” เสียงทุ้มที่ยังไม่เข้าอะไรอยู่ดี เอ่ยถามคนที่เอาแต่หัวเราะ

     

                    “เมื่อกี้ซองมินบอกว่าจะไม่ยอมนั่งซ้อนทั้งฉันแล้วก็คยูฮยอน ขอซ้อนซีวอนดีกว่า” ฮีชอลเป็นคนตอบแทนเพื่อนที่ยังเอาแต่หัวเราะไม่เลิก ใบหน้าหวานยิ้มน้อยๆ แอบอิจฉาซองมินที่ได้เห็นหน้าแบบนี้ของซีวอน

     

                    “อ้อ เป็นใครจะกล้าซ้อนหล่ะ ขี่ก็ไม่เป็น แล้วทำไมมาหัดที่ลานหินแบบนี้ รู้ไหมว่าล้มไปมันเจ็บแค่ไหน” เมื่อเข้าใจเรื่องทั้งหมดแล้ว ชายหนุ่มก็หันกลับมาว่าเพื่อนสนิทอีกครั้ง คิ้วเข้มที่พึ่งคลี่ออกขมวดเข้าหากันอีกครั้ง

     

                    “ก็ถ้าไม่หัดที่นี้ แล้วนายจะให้ฮีชอลไปหัดที่ไหน กลางถนนหรือไง” จองวูที่นิ่งฟังคำบ่นมองเห็นเพื่อนตัวบางหน้าเสียจึงต้องออกรับแทนให้ก่อน “แล้วฉันก็บอกแล้วไงว่าฉันไม่ปล่อยให้ฮีชอลล้มไปแน่ เพราะฉันก็ห่วงฮีชอลไม่แพ้นายเหมือนกัน”

     

                    “แน่ใจหรือไง ว่าไงจะไม่ล้ม ไม่มีหรอกนะที่หัดขี่พวกนี้แล้วจะไม่ล้มหน่ะ นายก็เหมือนกันฮีชอลจะหัดไปทำไม โตป่านนี้แล้ว มันเกินวัยจะหัดมาแล้ว” ซีวอนหันไปตะคอกคนที่ออกรับแทน ย้ำให้รู้ว่าความจริงที่ว่าไม่มีหรอกที่จะไม่พลาดเจ็บตัวกับการหัดขี่พวกสองล้อแบบนี้

     

                    “ก็อยากขี่ได้บ้าง อยากขี่มอไซค์พาซีวอนกลับบ้านบ้างเวลาที่นายเหนื่อย ฉันก็อยากทำอะไรแบบนั้นได้บ้าง สัญญาว่าถ้าล้ม หรือได้แผลจะไม่บ่นให้นายได้ยินแน่ๆ ซีวอน” เสียงอ่อยๆของฮีชอลทำให้คนแถวนั้นฟังอย่างสลดใจ ไม่น่าเชื่อว่าสองคนนี้จะคบเป็นเพื่อนกันมาได้นานขนาดนี้

     

                    เล่นกลัวกันขนาดนี้....บอกว่าเป็นพ่อลูกกันก็เชื่อ

     

                    “ก็ขอให้มันจริงเหอะ อย่างนายอย่าคิดจะมาขี่มอไซค์พาฉันกลับบ้านเลยแค่ประคองมันไว้ไม่ให้ล้มก่อนเถอะ แล้วนี้ปั่นได้ยัง” ชายหนุ่มพ่นลมหายใจออกมาอย่างเบื่อหน่าย นั่งลงนั่งบนรถของตนเองที่ตั้งขาตั้งยันพื้นไว้ สองมือกอดอก จ้องมองเพื่อนรักที่เอาแต่ก้มหน้านิ่ง ไม่รู้จะกลัวอะไรหนักหนา

     

                    “ก็...ได้แล้ว...นิดหน่อย” ฮีชอลค่อยๆอ้อมแอ้มออกมาทีละคำพูด ยังไม่กล้ามองสบตาคมวับที่มองมา

     

                    “งั้นไปปั่นให้ดูสิ” เสียงคนสั่งยังคงห้วนด้วยความไม่พอใจ ดวงตาจับจ้องทุกย่างก้าวของเพื่อนขี้กลัวที่ค่อยเดินไปหารถจักรยาน

     

                    คยูฮยอนรีบประคองรถใส่มือพี่รหัส ใบหน้าเด็กหนุ่มเคร่งเครียดตามไปด้วย วันนี้ดูซีวอนจะน่ากลัวว่าวันที่เขาเจอวันแรกเสียอีก ทั้งหน้าตา และท่าทาง ตอกย้ำให้รู้ชัดเจนว่า

     

                    ไม่ต้องอยู่ไปก็รู้เอง แต่ตอนนี้รู้แล้วว่า ซีวอนน่ากลัวแค่ไหน

     

                    “จะเอาจริงหรอ ฮีชอล นายยัง...”

     

                    “นายไม่ต้องยุ่งจองวู ฮีชอลบอกเองว่าได้แล้วนิดหน่อย ฉันก็จะคอยดูว่าไอ้นิดหน่อยเนี้ยมันแค่ไหน” สายตาแสนน่ากลัวตวัดมองคนที่พากันมาหัดปั่นจักรยานอยู่ตรงนี้

     

                    “แต่ฮีชอลพึ่งหัดวันนี้ นายจะเอาอะไรของนายซีวอน ถ้ากลัวฮีชอลล้ม โอเค ฉันจะไม่สอนแล้วก็ได้ แต่ไม่ใช่ให้ฮีชอลมาปั่นจักรยานแบบนี้” จองวูตะคอกกลับไปด้วยความโมโหไม่แพ้กัน สองมือยังยื้อจักรยานคันสวยของรุ่นน้องเอาไว้ไม่ให้เพื่อนตัวเล็กเอาไปขี่ได้

     

                    คยูฮยอนค่อยๆเดินถอยหลังไปยืนอยู่กับซองมินที่ยืนมองเหตุการณ์ตรงหน้านิ่ง แอบกระซิบเบาๆให้ได้ยินแค่สองคน “พี่ไม่ห้ามอะไรพี่ซีวอนกับพี่จองวูหน่อยหรอ ผมว่าเดี๋ยวเรื่องมันจะบานปลายนะ”

     

                    “ไม่ได้หรอกอารมณ์ซีวอนแบบนี้ใครก็เอาไม่อยู่นอกจากให้ฮีชอลทำตามที่บอก พี่เคยลองมาแล้ว โดนตอกกลับซะไปไหนไม่เป็น แล้วก็จองวูไม่กล้าทำอะไรหรอก ฮีชอลก็อยู่ เราสองคนดูไปเงียบๆก็พอ” ซองมินกระซิบริมใบหู สายตาล่อกแล่กกลัวจริงๆว่าใครสักคนที่กำลังโกรธอยู่จะเกิดหูดีขึ้นมา

     

                    คยูฮยอนมองหน้าพี่เทคอย่างอึ้งๆ ก่อนรีบชักสายตากลับไปมองเหตุการณ์ที่กำลังเข้มข้นอยู่ตรงหน้าอย่างไม่วางตา เตรียมตัวเข้าห้าม หากจะทะเลาะกันจริงๆ ตัวใหญ่ทั้งคู่แบบนั้นพี่รหัสเขาคนเดียวคงห้ามใครไม่อยู่

     

                    “ไม่เป็นไรหรอกจองวูมาให้ฉันลองขี่เหอะ ล้มไปคงไม่เป็นอะไรมาก” ฮีชอลก้มมองกางเกงนักศึกษาสีดำสนิทที่ใส่อยู่ ถึงผ้าไม่หนามาก แต่อย่างน้อยก็เป็นกางเกงขายาวคงพอช่วยป้องกันอะไรได้บ้าง

     

                    “แต่....”

     

                    “เถอะจองวู เชื่อใจลูกศิษย์นายนะ” มือบางแย่งจับแฮนด์รถเอาไว้ได้ขึ้นขี่โดยมีเพื่อนสนิทอย่างจองวูคอยช่วยจับรถเอาไว้ให้ ขณะที่ซีวอนยังนั่งเฉยมองอยู่จากรถตัวเอง

     

                    “เร็วๆ อย่าชักช้าถ้าไม่ได้ก็บอกมาจะได้กลับบ้าน แล้วก็ไม่ต้องมาหัดอีก” ไม่ใช่แค่คำพูด แต่ชายหนุ่มยังส่งสายตาเร่งจิกให้เพื่อนยิ่งประหม่าจนมือสั่น

     

                    “นายก็อย่าเร่งได้ไหม ถ้ารีบกลับก็กลับไปก่อน ฉันไปส่งฮีชอลเองได้” จองวูไม่พอใจกับการเร่งของซีวอนจนทำให้ฮีชอลแทบไม่ไม่สมาธิ เอ่ยปากไล่คนขี้บ่นเป็นนัยๆ

     

                    “ไม่ต้อง  เพื่อนฉัน บ้านก็บ้านฉัน ฉันพากลับเองได้”

     

                    “ฉันก็เพื่...”

     

                    “หยุดได้แล้วทั้งคู่ ฉันจะปั่นให้ดูเดี๋ยวนี้แหล่ะ” ฮีชอลรีบแย่งพูดก่อนที่จะเพื่อนทั้งสองจะมีเองไปมากกว่านี้ ลมหายใจหนักๆถูกพ่นออกมา ตั้งสมาธิก่อนเริ่มปั่นจักรยานคันใหญ่ให้ตรงทาง

     

                    ฮีชอลปั่นจักรยานอย่างช้าๆท่ามกลางสายตาของคนทั้งสี่ที่มองอย่างจับจ้อง และเป็นห่วงช่วยลุ้นให้ปลอดภัย โดยเฉพาะคยูฮยอนที่ลุ้นจนเหงื่อไหลภาวนาให้พี่รหัสไม่ล้มลงไปเสียก่อน

     

                    ฮีชอลค่อยทรงตัว มองตรงบังคับรถให้ไปในทิศทางที่ต้องการ แต่ดวงตากลมกลับไปเจอเข้ากับตาคู่ดุที่จ้องมองมาจนน่ากลัว สมาธิที่ตั้งไว้หายไปในทันที จนเสียการทรงตัว

     

                    “ฮีชอล!!!!” เสียงหลายเสียงที่ตีกันมั่วจนเจ้าของชื่อแยกไม่ออกว่าเป็นเสียงใคร ดวงตาโตปิดแน่นด้วยความตกใจ รู้สึกเจ็บและปวดแถวหัวเข่าจนอยากร้องไห้ แต่ก็ต้องกลั้นเอาไว้

     

                    “พี่ฮีชอลเป็นไงมั่งครับ เจ็บมากหรือเปล่า” คยูฮยอนที่เข้าถึงตัวพี่รหัสเป็นคนแรก รีบยกรถที่ลมทับร่างเล็กออกไป ค่อยๆประคองรุ่นพี่ที่สองมือใช้ยันพื้นหินเอาไว้ให้หน้ากระแทกกับพื้น มือเล็กบางถูกหงายขึ้นดู เห็นน้ำสีแดงจนแทบไม่เห็นรอยแผล

     

                    “ฮีชอลไม่เป็นไรนะ ม่ะเราเช็ดเลือดให้ก่อน” ผ้าเช็ดหน้าผืนใหญ่สีขาวของจองวูถูกบรรจงซับลงบนมือเล็กทีละข้างอย่างเบามือ จะกดแผลให้เลือดหยุดไหลก็กลัวฮีชอลจะเจ็บไปกว่านี้ “ลุกเดินไหวไหม” เสียงทุ้มถามอย่างเป็นห่วง ค่อยพยุงร่างเล็กขึ้น

     

                    ฮีชอลกัดริมฝีปากจนปากแตกไม่กล้าร้องไห้ หรือร้องบอกความเจ็บปวด สายตากลมมองเพื่อนรักอีกคนที่อยูไม่ไกลแต่ยังนิ่งไม่ยอมพูดอะไรออกมา ร่างกายที่ถูกพยุงขึ้นทิ้งน้ำหนักลงบนเข่าก่อนจะรับน้ำหนักไม่ได้ ทรุดตัวลงนั่งกับพื้นอีกครั้ง

     

                    “สงสัยจะเดินไม่ไหวแน่เลยจองวู” ซองมินออกความเห็นมองอาการของเพื่อนแล้วแทบอยากจะล้มแทนจริงๆ เพราะถ้าเป็นคนอื่น คงกระโดดลงจากจักรยานก่อนที่มันจะล้ม แต่เป็นฮีชอลที่ขี่ไม่เป็นจึงล้มลงไปแล้วยังถูกจักรยานทับตาม

     

                    “ฉันอุ้มไปนะ” จองวูมองหน้าซีดเผือดของเพื่อน แผลที่มือเลือดก็ยังไม่หยุดไหล ก่อนจะอุ้มพาไปนั่งในศาลาริมน้ำ

     

                    “ที่หัวเข่ามีแผลด้วยครับ” คยูฮยอนสังเกตช่วงหัวเข่าที่กางเกงขาดเป็นรู มองเห็นเนื้อแดงๆขาวๆ แล้วยังรอยเลือดที่ไหลเยิ้มอีก รอบแผลมีแต่เศษฝุ่นเศษหิน

     

                    “ทนเจ็บแปปนะฮีชอล” จองวูบอกเพื่อนรักอย่างใจเย็น ค่อยฉีกขากางเกงเปิดให้เห็นส่วนแผลได้ชัดเจนทั้งสองข้าง

     

                    ผิวที่เคยขาวใสมีรอยแผลและรอยเลือดจนดูน่ากลัว เวลาไม่นานแผลค่อยๆบวมแดง มีรอยช้ำอยู่หัวเข่าที่เคยปราศจากร่องรอย จองวูค่อยๆใช้ผ้าผืนเดิมซับลงไปจนน้ำตาเม็ดเล็กของฮีชอลไหลลงมา

     

                        “พอได้แล้วฮีชอล กลับบ้าน” ซีวอนที่นิ่งมองอยู่นาน กระชากตัวร่างบางออกมาอย่างไม่สนใจว่าฮีชอลจะเจ็บและเดินไม่ไหว แต่ก็ยังลากมาจนถึงบิ๊กไบรท์ที่จอดนิ่ง จับตัวฮีชอลให้นั่งเบาะหลัง ก่อนที่ตัวเองขึ้นขี่ ใช้มือข้างเดียวบังคับรถ อีกข้างจับมือบางที่เต็มไปด้วยเลือดให้มาเกาะอยู่เอว เร่งเครื่องออกไปแบบนั้น ไม่ยอมปล่อยให้สองมือเล็กหลุดออกจากเอว 

     

                    “เฮ้ยอะไรของเขาวะ ฮีชอลเจ็บขนาดนั้นยังงี่เง่าแบบนี้เลย” ซองมินมองสิ่งที่ซีวอนทำอย่างไม่พอใจ อย่างน้อยให้ห้ามเลือดก่อนก็ยังดี แต่นี้ เลือดยังไหลไม่หยุด ก็ลากเดิน จะอุ้มไปก็ไม่ได้ “ใจร้ายที่สุดเลยวะ เพื่อนฮีชอลคนนี้”

     

                    “เอาหน่า ซีวอนก็ห่วงฮีชอลเหมือนกัน เขารู้แหล่ะว่าทำอะไรอยู่” จองวูตบไหล่เพื่อนเป็นเชิงปลอบ เขาเองก็ไม่พอใจ แต่จะทำอะไรได้ในเมื่อฮีชอลเองก็ยังไม่กล้าขัดซีวอน แม้จะร้องยังไม่กล้า ทั้งที่เจ็บขนาดนี้           

                    “แล้วพี่ฮีชอลจะเป็นอะไรมากไหมครับ” คยูฮยอนมองหน้ารุ่นพี่สองคนไปมา เป็นห่วงพี่รหัสที่ถูกพออกไปทั้งแบบนั้น

     

                    “คงไม่เป็นไรหรอก แต่ต่อจากนี้ก็อย่าหวังเลยว่าจะได้แตะอะไรที่เป็นสองล้อ” จองวูได้แต่บอกรุ่นน้องอย่างปลงตก

     

                    เป็นห่วงแต่ก็ทำอะไรไม่ได้....ก็ฮีชอลยอมซีวอนมาตั้งแต่แรก

                   

    * ~ * ~ * ~ * ~ *~ * ~* ~* ~ * ~ * ~ * ~ * ~ * ~ * ~ *

                    ทันทีที่รถมอไซค์คันใหญ่จอดนิ่งสนิทหน้าประตูบ้าน ซีวอนช้อนร่างบางที่เลือดตามบาดแผลหยุดไหลไปแล้ว ขึ้นแนบอกพาเดินไปยังห้องนอน ไม่ได้ใส่ใจว่าเชิ้ตขาวที่ใส่อยู่เปื้อนเลทอดจากมือเล็กที่เกาะกุมเอวมาตลอดทาง

     

                    “ตายแล้ว! คุณซีวอน คุณฮีชอลเป็นอะไรคะ น้าซีดเชียว” สาวใช้ในบ้านที่เดินมาพบร้องถามอย่างตกใจ เมื่อมองเห็นใบหน้าสวยที่ซุกอยู่กับอกคุณหนูของบ้าน ดูซีดเซียวจนนน่าตกใจ

     

                    “อย่าพึ่งถามอะไรมาก ไปเอากล่องยาแล้วตามไปที่ห้องฮีชอลด้วย” ชายหนุ่มบอกผานอย่างหงุดหงิดก่อนอุ้มร่างในอ้อมแขนเดินหายขึ้นบันได

     

                    ชายหนุ่มวางร่างบางลงกับที่นอนนุ่มยื้อสองมือเล็กที่เจ้าของพยายามหลบซ่อนออกมาดู นิ้วยาวกำรอบข้อมือแน่น คิ้วได้รูปขมวดเข้าหากันอย่างไม่พอใจ รอยแผลแม้จะไม่ใหญ่แต่เลือดก็ออกมามาก ถึงจะหยุดไหลไปแล้วแต่ก็แห้งกรังไม่น่ามอง รอบๆแผลบวมแดง มีรอยบุ๋มลงไปเพราะกรวดเม็ดเล็ก

     

                    “กล่องยามาแล้วคะ ให้ดิฉันทำแผลให้คุณฮีชอลเลยไหมคะ” สาวใช้ในบ้านอาสาทำแผลให้ อย่างน้อยมือเธอก็น่าจะเบากว่ามือของผู้ชายตัวโตๆเจ้าอารมณ์

     

                    “ฉันทำเอง ออกไปได้แล้ว” ซีวอนบอกเสียงเข้ม มองหน้าคนเจ็บที่ดูตื่นตระหนกเมื่อรู้ว่าเขาจะเป็นคนทำแผลให้ หน้าที่ซีดยิ่งซีดหนักดึงรั้งข้อมือตัวเอง ดวงตาโตรื้นน้ำใสจวนเจียนจะไหลออกมา

     

                    “มานี้ จะเอามือไปไหน ไม่ทำหรือไงแผลหน่ะ หรือจะปล่อยให้มันเน่า” นิ้วเรียวเกร็งแน่นไม่ปล่อยให้ข้อมือเล็กหลุดออกไปได้ ตะคอกใส่อย่างหงุดหงิดจนร่างบางต้องยอมอยู่นิ่ง

     

                    “เปล่า” เสียงเล็กสั่นเทา มองน้ำสีฟ้าใสที่ถูกสำลีชุบอย่างแขยง แล้วความแสบก็ทวีความรุนแรงมากขึ้นเมื่อมันสัมผัสกับแผล แม้จะแผ่วเบาแค่ไหนก็ตาม

     

                    ฮีชอลมองใบหน้าคมที่ก้มหน้าง่วนอยู่กับแผลบนฝ่ามือของตนเอง แพขนตาหนาไม่ทำให้ดวงตาที่จับจ้องอยู่กับแผลดูอ่อนโยนลง ริฝีปากเหยียดตรงดูไม่พอใจตลอดเวลา สันคางที่ขึ้นเด่นชัดยิ่งทำให้ใบหน้าดูคมดุ แต่น่าแปลกที่ทำแผลได้อย่างแผ่วเบา

     

                    จากแอกอฮอล์ล้างแผลมาเป็นเบตาดีน ปิดทับด้วยผ้าก๊อชที่ถูกทำให้โปร่งเพื่ออากาศจะได้ระบายบ้าง แล้วทำแบบนี้กับมืออีกข้างอย่างตั้งใจจนคนเจ็บเผลอยิ้มออกมาไม่รู้ตัว

     

                    ...ซีวอนไม่ได้โหดร้ายแบบที่ทุกคนว่าเลยสักนิด....

     

                    “มองอะไร แล้วยิ้มทำไม” คนทำแผลเงยหน้าขึ้นมองเห็นรอยยิ้มหวานจึงถามกลับอย่างสงสัย จ้องใบหน้าหวานที่ซับสีเลือดมากขึ้น

     

                    “เปล่าสักหน่อย” ริมฝีปากอิ่มแบะออกอย่างแสนงอน ท่าทางที่กล้าทำเฉพาะยามชายหนุ่มตรงหน้าอารมณ์ดี

     

                    “เป๊ะ”

     

                    “โอ้ย”  เสียงดีดหน้าผากอย่างไม่แรงมากนัก ตามมาด้วยเสียงร้องของคนที่ถูกจักรยานส้มทับแล้วยังจะต้องมาถูกเพื่อนรักทำร้ายร่างกายอีก

     

                    “สม อยากมองหน้าดีนัก ยื่นขาออกมา” ดวงตาคมของซีวอนไม่ได้จ้องมองอย่างดุร้าย แต่มันกำลังหัวเราะแทบใบหน้าและรอยยิ้ม มือหนายึดข้อเท้าไว้มั่น ถลกขากางเกงขึ้นจนเห็นรอยแผลขนาดใหญ่ที่มีเลือดเกรอะกรัง  ผิวหนังเปิดออกจนเห็นเนื้อแดงๆ เนื้อบางส่วนติดอยู่กับปากแผล มีน้ำใสๆไหลเยิ้ม เศษฝุ่นและเศษดินทำให้แผลดูคล้ำสกปรก รอยช้ำเขียวปรากฏขึ้นเป็นวงใหญ่

     

                    ชายหนุ่มใช้สำลีชุบแอลกอฮอล์ซับลงไปบนแผลอย่างเบามือ คอยไล่เป่าลมเย็นให้มันไม่แสบแผลมากนัก แต่ก็ยังได้ยินเสียงซูดปากดังไม่ห่างหู ข้อเท้าเล็กที่หากไม่ยึดไว้ก็คงชักหนีไปแล้ว น้ำตาเม็ดใสไหลจากดวงตาคนเจ็บหยดลงบนหลังฝ่ามือของคนทำแผล 

     

                    “เจ็บหรือเปล่าฮีชอล” เสียงทุ้มที่ฟังก็รู้ว่าคงเป็นห่วงไม่น้อยทั้งที่ดวงตาก็ยังไม่ละออกจากบาดแผล

     

                    “เจ็บ” เสียงหวานสั่นสะท้าน ตอนแรกก็ชา ต่อมาก็เจ็บ แต่ตอนนี้ ทั้งเจ็บและแสบ

     

                    “แล้วทำไมไม่บอก ทนไว้ทำไม”

     

                    “ก็สัญญากับซีวอนแล้วไง ว่าถ้าล้มจะไม่บ่นให้ได้ยิน”

     

                    มือหนาหยุดชะงักไปชั่วขณะ ละสายตาจากบาดแผลมองใบหน้าที่คุ้นเคยมานาน เกือบเผลใช้สำลีในมือเกลี่ยเช็ดน้ำตาจากแก้มใส แต่กึกได้เสียก่อน “ขอโทษนะ”

     

                    “อือ” ฮีชอลไม่รู้ว่าซีวอนขอโทษเรื่องอะไร แผลที่ล้ม หรือสำลีที่จะเอามาเช็ดหน้า แต่ฮีชอลก็รับเอาคำขอโทษนั้นเอาไว้ด้วยรอยยิ้ม

     

                    ....ไม่ว่าเรื่องอะไร...ฮีชอลก็อภับซีวอนได้เสมอ...

     

                     ต่อจากนั้นความเงียบจึงเข้าครอบงำคนทั้งคู่ ต่างคนต่างมีสมาธิจดจ่อไปคนละด้าน ซีวอนตั้งใจทำแผลให้เพื่อนอย่างเบามือ ในขณะที่ฮีชอลก็ใช้ความพยายามไม่ให้น้ำตามันไหลลงมาอีก

     

                    “นี้ฮีชอล”

     

                    “หืมม์” ฮีชอลถูกเรียกชื่อกลับมาด้วยเสียงทุ้มห้วนๆที่เจ้าของเสียงยังคงทำความสะอาดแผลไม่ยอมเงยหน้าขึ้นมามองหน้ากันเลย

     

                    “ฉันว่าน้องรหัสนาย ชื่อ คยูฮยอนใช่ไหม”

     

                    “ใช่ ทำไมมีอะไรหรอ” ใบหน้าหวานงุนงง อยากจะมองหน้าคนถามเผื่อจะรู้ว่าควรตอบอะไรต่อไป แต่ใบหน้าคมก็ไม่ยอมเงยขึ้นมาให้มองเห็นเลยสักที

     

                    “เขาชอบนาย ถ้าไม่ชอบน้องก็อย่าไปให้ความหวังเด็กมัน อย่าไปทำตัวสนิทด้วยมาก” ซีวอนตั้งใจทำแผลจนเสร็จโดยไม่พูดอะไรต่อไปอีก ส่วนฮีชอลก็นิ่งอึ้งกับสิ่งที่เพื่อนบอก อยากจะถามว่าอะไรทำให้เพื่อนคิดไปแบบนั้นแต่ก็ไม่กล้า เพราะไม่แน่ใจว่าชายหนุ่มอยู่ในอารมณ์ไหนกันแน่

     

                    “ช่วงนี้ก็อย่าพึ่งให้แผลโดนน้ำ จะอาบน้ำก็ระวังหน่อย ถ้าไม่อยากไปหาหมอ” ซีวอนเก็บอุปกรณ์ทำแผลที่รื้ออกมาใส่กล่องให้เข้าที่ ก่อนลุกออกไปไม่ลืมมองสำรวจบาดแผลที่ถูกทำจนเรียบร้อย

     

                    “แต่ฉันต้องสระผมนะ ไม่ได้สระหลายวันมันจะปวดหัว” ฮีชอลมุ่ยหน้าลงคิดถึงเวลาปวดหัวเพราะไมได้สระหลายวัน มันจะทำให้ชีวิตดูอับเฉามากยิ่งขึ้น

     

                    “ฉันสระให้ก็ได้เรื่องมากจริงๆ เพราะแบบนี้ถึงไม่อยากให้หัด” ชายหนุ่มถอนหายใจ สุดท้ายก็ต้องยอมตามใจเพื่อนรัก เข้าไปสระผมให้

     

                    ฮีชอลเดินนำเข้าไปในห้องน้ำยิ้มมีความสุขแม้ว่าคนที่เดินตามมาจะดูเหมือนไม่เต็มใจก็ตาม แต่ซีวอนก็เข้าทำให้ ร่างบางนอนนิ่งในอ่างรับบริการสระผมจากชายหนุ่มอย่างมีความสุข น้ำหนักมือที่คอบนวดหนังศีรษะให้นั้นมันกำลังดีไม่มากไม่น้อยเกินไป มือหนาที่น่าจะหยาบกระด้างกลับจับผมอย่างแผ่วเบาไม่มีกระชากให้ต้องเจ็บจนเกือบเคลิ้มไป

     

                    “เอ้าเสร็จแล้ว ที่เหลืออาบน้ำเองนะ แล้วระวังอย่าให้แผลโดนน้ำ เดี๋ยวคืนนี้จะมานอนด้วย” ชายหนุ่มเดินออกจาห้องน้ำไปทิ้งอีกคนให้ยิ้มค้างอย่างมีความสุขเพียงลำพัง ถึงคำพูดจะแสนห้วน ไม่มีวี่แววของความเป็นห่วง แต่ในสำเนียงที่ส่งมาก็บอกให้รู้ว่า เพื่อนแสนดุคนนี้ แท้จริงแล้วใจดีแค่ไหน

     

                    ฮีชอลใช้เวลาอยู่ในห้องน้ำนานกว่าปรกติ เพราะทุลักทุเลกับการกันน้ำไม่ให้โดนแผล กว่าจะออกมาได้ก็เห็นว่ามีอีกคนนอนอ่านการ์ตูนอยู่บนที่นอนไปแล้ว

     

                    “แผลไม่โดนน้ำใช่ไหม” ในมือยังถือการ์ตูนสายตาก็ยังไม่ละออกมา ต่ชายหนุ่มก็ถามคนที่ค่อยๆกะเพลกออกมาจากห้องน้ำ

     

                    “อือ ไม่โดน”

     

                    “ดีแล้ว นอนเหอะ ตอนกลางคืนถ้าแผลอักเสบก็ปลุกนะ” ชายหนุ่มทิ้งการ์ตูนลงข้างเตียงเอื้อมปิดหัวนอน ให้ความมืดเข้ามาครอบงำในห้อง ต่างคนต่างนอนหันหน้าไปคนละด้าน ปล่อยตัวเข้าสู่นิทรา โดยไม่รู้ตัวเลยว่า เมื่อหลับสนิท ต่างคนจะพลิกตัวหันหน้าเข้าหาอ้อมกอดของกันและกัน

     

    * ~ * ~ * ~ * ~ *~ * ~* ~* ~ * ~ * ~ * ~ * ~ * ~ * ~ *

                    ความวุ่นวายของบรรยากาศการเปิดเทอมต้อนรับนักศึกษาปีหนึ่งยังไม่ทันจางหาย ความวุ่นวายของการสอบปลายภาคก็เข้ามาโดยไม่ทันรู้ตัว นักศึกษาปีหนึ่งที่ไม่เคยได้สอบในระดับมหาลัยต่างก็เป็นกังวล เพราะไม่มีรู้ว่าการสอบจะเป็นแบบไหน

     

                    ข้อปรนัยร้อยข้อ ตามด้วยจับคู่สิบข้อ เติมคำยี่สิบข้อ แล้วเรียงความอีกหนึ่งหน้า

     

                    หรือข้อเขียนโจทย์สองบรรทัดให้สมุดมาหนึ่งเล่ม ให้เวลาสามชั่วโมง คะแนนเต็มร้อย เรียนมาไม่มีคะแนนเก็บ ตัดสินทั้งเทอมมันด้วย1ข้อ  

     

                    หรือโจทย์เจ็ดโจทย์ เลือกทำห้าข้อ คะแนนยี่สิบคะแนน  

     

                    หรือแม้กระทั่ง สิบโจทย์ แต่แค่คะแนนไม่เท่ากันมีวงเล็บคะแนนไว้ให้ เลือกทำกี่ข้อก็ได้ แต่คะแนนเต็มต้องบวกได้90 (ไม่เข้าใจว่าสอบอะไรกันแน่)

     

                    ทุกคนดูวุ่นวายและเป็นกังวลกับมันมากจริงๆ ทั้งลุ้นว่าข้อสอบจะเป็นแบบไหน ทั้งลุ้นว่าจะเอาตรงไหนมาออก จะเว้นก็แต่นายโจว คยูฮยอนที่มีทั้งพี่รหัส และพี่เทคแสนดี คอยบอก คอยแนะ แล้วยังลากมาติวถึงบ้านของซีวอนอีกด้วย

     

                    “นี้น้องโจว ตรงนี้ไม่ต้องอ่านก็ได้อาจารย์ไม่ออกหรอก” ซองมินชี้ไปยังตรงที่น้องกำลังอ่านอย่างตั้งใจ เพราะเท่าที่จำได้ขอสอบปีที่แล้วอาจารย์ไม่ออกตรงนี้

     

                    “แต่ว่าอาจารย์พึ่งบอกนะครับว่าปีนี้จะออก ออกเยอะด้วย” น้องโจวที่ทำใจชินกับชื่อที่ถูกพี่เทคตั้งให้ หันมาบอกอย่างจริงจัง ก็ในชีทมันเขียนไว้ตัวโตๆว่าอาจารย์เน้นย้ำมาก

     

                    “นี้ แล้ววิชาXXX หน่ะอ่านหรือยัง วิชานี้ต้องตั้งใจอ่านหน่ะ ไม่งั้นทำข้อสอบไม่ได้แน่” คิม ฮีชอลที่นั่งอยู่ไม่ห่าง รีบบอกน้องด้วยความเป็นห่วง เพราะเป็นวิชาที่ขึ้นชื่อว่าแจกเอฟเหมือนของฟรี

     

                    “อ้อ วิชานั่นผมกะไม่อ่านครับ ก็อาจารย์บอกว่าเอาชีทเข้าห้องสอบได้” ชายหนุ่มเงยหน้าบอกพี่รหัสแล้วยิ้ม ขอบคุณที่เป็นห่วง

     

                    “เฮอะ เอาเข้าไปได้ แต่มันก็ไม่ได้ความหมายว่าจะมีเวลาอ่านในห้องสอบนะน้องโจว แค่ทำความเข้าใจโจทย์ก็หมดเวลาแล้ว จะเอาเวลาที่ไหนไปอ่าน ข้อสอบจารย์แกอย่างกับจะให้ร่างรัฐธรรมนูญงั้นแหล่ะ ”

     

                    “โอ้ยยย นี้ ทั้งสองคน ปล่อยน้องให้มันอ่านเองไหม เอาแต่พูดอยู่นั่ง ของตัวเองได้อ่านหรือยัง” จองวูเห็นสองพี่ที่ทำตัวดีเกินไปแล้วได้แต่รำคาญแทนรุ่นน้องที่เผลอตกปากรับคำมาอ่านหนังสือด้วย แต่กลับแทบจะไม่มีสมาธิ

     

                    “ก็แนะให้น้องก่อนไง นายเป็นอะไรเนี้ย เห็นซีวอนไม่อยู่เลยเชิญองค์มาประทับหรือไง” ซองมินมุ่ยหน้าเถียงเพื่อน ลืมตัวไปเลยว่าที่นี้เป็นบ้านของซีวอน

     

                    “ซองมิน” ฮีชอลปรามเพื่อนเสียงอ่อน ตั้งแต่วันที่รถจักรยานล้มทุกคนก็ยิ่งมองซีวอนในแง่ร้ายเข้าไปทุกที บอกว่าซีวอนเป็นคนทำแผลให้ ก็มีใครเชื่อ...เฮ้อ...

     

                    “อย่าพึ่งเถียงกันเลยครับ เรามาดูอิงค์กันดีกว่าครับพี่ฮีชอล” คยูฮยอนรีบหยุด ก่อนที่พี่ทั้งสามคนจะเถียงกันไปมากกว่านี้ เด็กหนุ่มใช้เวลาอยู่กับรุ่นพี่มากพอๆกับอยู่กับเพื่อนร่วมรุ่น พอจะรู้ได้ว่าทั้งสามเป็นแบบนั้น ยิ่งถ้าจองวูและพี่เทคเขาเถียงกัน ศึกน้ำลายครั้งนี้ก็คงยืดยาว

     

                    “อือ ปล่อยสองคนนี้ไปเหอะ” แม้เพื่อนสนิทจะเตือนให้อยู่ห่างจากน้องรหัส แต่ฮีชอลก็ไม่เห็นจะมีอะไรอย่างที่ซีวอนบอก คยูฮยอนไม่มีท่าทางอะไรแบบนั้นเลยสักนิด จึงได้แต่ปล่อยผ่านคำเตือนนั้น

     

                    ทั้งสี่คนกลับสู่โหมดการอ่านหนังสืออย่างเงียบสงบอีกครั้ง ผลัดกันอ่าน ผลัดกันติว ทั้งรุ่นน้องช่วยรุ่นพี่ รุ่นพี่ช่วยรุ่นน้อง ต่างคนต่างอ่าน จนกระทั่งขนมที่แม่บ้านเอาให้รอบที่เท่าไหร่ก็ไม่รู้หมดลง

     

                    “อ่ะ ชิ้นสุดท้าย ฮีชอลเอาคืนมานะ” คุกกี้โฮมเมดชิ้นสุดท้ายที่ซองมินตั้งใจจะกิน ถูกมือบางที่นึกสนุกอยากแกล้งเพื่อนฉกไปต่อหน้าต่อตา

     

                    “ก็ฉันหยิบได้ก่อนนี้นา ซองมินหยิบช้าเองนะ” ร่างบางยิมร่า ถือคุกกี้ได้มืออย่างมีควาสุขที่ได้แกล้งเพื่อนตัวอวบ ที่ดูจะเหมาคุกกี้ในจานไปคนเดียวเกือบหมด

     

                    “ก็ฉันจะกินนิ เอามาเลย ฮีชอล ในบ้านยังมีอีกเยอะไม่ใช่หรอ เอาชิ้นนี้ให้ฉันเหอะนะ” แก้มยุ้ยๆผองลมอย่างน่ารัก หว่านล้อมให้เพื่อนยอมยกชิ้นสุดท้ายให้ แต่สองมือก็พยายามเอื้อคว้า จนร่างบางต้องวิ่งหนีไปหลบหลังเก้าอี้ของเพื่อนอีกคน แล้วเลยวิ่งไปรอบสนามอย่างสนุกสนาม

     

                    “เรื่องอะไรจะยอมให้เนอะ จองวู”  ฮีชอลแหย่เพื่อนเสียงดังประสานกับเสียงหัวเราะของคนสามคนที่เห็นซองมินวิ่งไล่ตาม กลบเกลือนบรรยากาศของการอ่านหนังสือไปจนหมด

     

                    “ฮีชอลเอามานะ อย่าวิ่งหนีสิ” ซองมินวิ่งไล่ตามเพื่อนตัวบาง ความอยากกินมันหมดไปแล้ว เหลือแต่ความสนุกที่ได้วิ่งเล่นผ่อนคลายความเครียด

     

                    “ปั่ก” ร่างอวบวิ่งไล่ตามเพื่อนรัก จนลืมมองทาง วิ่งเข้าชนกับอีกหนึ่งที่พึ่งเดินเข้ามาใหม่อย่างไม่ได้ตั้งใจ จนกระเด็นลงไปนั่งจุมปุ๊กอยู่ที่พื้น

     

                    “ซองมิน ฉันขอโทษ เจ็บหรือเปล่า” ซีวอนถามคนที่ถูกชนลมอย่างอ่อนโยน ประคอง่างอวบให้ลุกขึ้นยืน มองสำรวจไปทั่วว่ามีได้แผลบ้างหรือเปล่า

     

                    “โอ้ย ไม่เจ็บเท่าไหร่หรอก” ร่างอวบที่ถูกประคองขึ้นสองมือปัดตามเนื้อตัวที่มีเศษดินติดอยู่ ตวัดตามองค้อนไปยังเพื่อนตัวบางที่ทำท่าจะเดินเข้ามาแต่ก็หยุดอยู่กับที่ด้วยสายตาคมจากชายหนุ่มร่างสูง

     

                    “ฮีชอลเล่นอะไรกันเป็นเด็กๆ เสียงดังไปถึงข้างนอก” คนที่พึ่งกลับมาถึงบ้านดุเพื่อนที่วิ่งเล่นอะไรเป็นเด็กๆ จนต้อมีคนล้มไปแบบนี้

     

                    “ก็อ่านหนังสือมันเบื่อๆก็เลยหาอะไรทำแก้เบือนิดหน่อยเอง เสียงดังหรอ ขอโทษนะ” เสียงหวานที่เมื่อกี้ยังหัวเราะมีความสุข กลายเป็นหม่นเศร้า ใบหน้าก้มต่ำอย่างเสียใจ

     

                    “แล้วแย่งอะไรกันอยู่” น้ำเสียงของซีวอนที่ใช้ถามเพื่อน กดดันไม่ต่างจากผู้ปกครองถามเด็กว่าไปทำความผิดอะไรมา

     

                    “ก็ฮีชอลแย่งขนมชิ้นสุดท้ายของฉันไป” ซองมินเห็นโอกาสได้แกล้งเพื่อนคืน รีบทำการฟ้องในทันที ลืมนึกไปว่า คนอย่างซีวอนคงไม่เข้าใจอารมณ์แกล้งเล่นของเพื่อนฝูง

     

                    จองวูและคยูฮยอนที่นั่งฟังนิ่งๆ ทำหน้าเครียดขึ้นมาทันทีที่ได้ยินสิ่งที่ซองมินพูด รู้ว่าคงไม่ตั้งใจจะทำร้ายฮีชอลด้วยคำพูดแบบนี้ แต่คงไม่รับรู้ซีวอนว่ามันเป็นแค่การแกล้งเล่นของซองมินกับฮีชอลแน่ๆ

     

                    “ตัวเองเป็นเจ้าบ้านแล้วไปแย่งของแขกกินมันใช้ได้หรือไงฮีชอล” น้ำเสียงของซีวอนที่ใช้ มันบอกชัดว่าชายหนุ่มไม่พอใจอีกแล้ว และคงมองฮีชอลเป็นเด็กไร้สาระอยู่แน่ๆ

     

                    “ฉันก็แค่อยากแกล้งเท่านั้นเอง”

     

                    “อยากแกล้งงั้นหรอ จนเพื่อนล้มไปแบบนี้เนี้ยนะ โตๆกันแล้วนะฮีชอล” เสียงทุ้มตะคอกดังลั่น จนน้ำตาของฮีชอลเกือบไหลออกมา

     

                    “เอ่อ...ซีวอน เราก็แค่เล่นกันเท่านั้นเอง แล้วที่ฉันล้มก็เพราะไม่ได้มองไม่เกี่ยวกับฮีชอลเลยนะ” ซองมินรีบพูดอธิบายก่อนที่ซีวอนจะโมโหไปมากกว่านี้ แต่มันก็ไม่ช่วยอะไรให้ดีขึ้นมาเลย

     

                    “ช่างมันเหอะซองมิน ฉันเองก็ผิดที่แกล้งนาย ขอโทษหล่ะกัน” ร่างบางเดินเข้ามาใกล้ยื่นคุ๊กกี้เจ้าปัญหาคืนให้เพื่อน เดินกลับไปยังเก้าอี้ตัวเดิม ไม่ได้สนใจมองที่ชายหนุ่มร่างสูงเจ้าของบ้านตัวจริงเลย

     

                    “ไม่เป็นไรนะฮีชอล” ชายหนุ่มอีกคนที่นั่งนิ่งมานาน ยิ้มปลอบใจให้เพื่อน

     

                    “อือ” รอยยิ้มที่มักมีเสมอบนใบหน้าจางหายไป เหลือเพียงความหม่นเศร้า ที่จองวูเองก็ไม่รู้ว่าเศร้าเองอะไร ขนม หรือซีวอนกันแน่

     

                    “อ่ะ นี้ครับพี่ผมมีขนมปังติดกระเป๋ามา” คยูฮยอนยื่นพายทูน่าที่รู้มาบ้างว่าพี่รหัสชอบให้ เป็นการปลอบใจ

     

                    “ฮือๆๆ ขอบคุณนะ น้องพี่ใจดีจัง”  ใบหน้าที่หม่นเศร้าปรากฏรอยยิ้มขึ้นมาอีกนิด มือบางเอื้อมไปขยี้ผมเด็กหนุ่มรุ่นน้องอย่างสนิมสนม ลืมไปเลยว่าเจ้าของคำเตือนอยู่ไม่ห่าง

     

                    “ฮีชอล” เสียงห้ามปรามนิ่งๆเย็นๆจากคนที่เดินตามมา น่ากลัวว่าเสียงที่ฮีชอลทำเวลาปรามเพื่อนมากมาย จนร่างบางเกือบสะดุ้ง

     

                    มือหนาของจองวู กดไหล่ที่เกือบไหววูบของฮีชอลให้ยังนิ่งอยู่ได้ พร้อมรอยยิ้มที่เปี่ยมล้นด้วยกำลังใจ ถ่ายทอดความอบอุ่นให้เพื่อนได้รู้ว่า ยังมีอีกหนึ่งคนคอยปกป้องอยู่

     

                    “อ่ะ ฉันก็มีขนมให้นะ” มือหนารื้อค้นขนมพันปีที่ดองเน่าอยู่ในกระเป๋ายื่นให้ส่งร่างบาง พร้อมรอยยิ้มจริงใจ ที่มีให้ตลอดมา

     

                    ขนมถุงนี้ บอกให้รู้ว่า....เขาพร้อมจะหยิบยื่นทุกสิ่งทุกอย่างให้แก่เพื่อนคนนี้...

     

                    “เย็นมากแล้ว ฉันกลับบ้านก่อนนะฮีชอล” คนที่พึ่งยื่นขนมดองข้ามปีให้ เก็บหนังสือทั้งหมดลงกระเป๋า ตั้งท่าจะกลับบ้านแล้ว “ไม่ต้องไปส่งหรอกนะ”  

     

                    “เดี๋ยวครับพี่ ผมกลับด้วย” คยูฮยอนเห็นเงาทะมึนของรุ่นพี่เจ้าของบ้านที่แผ่ออกมาเห็นท่าไม่ดีที่จะอยู่ต่อ อาศัยจังหวะที่จองวูจะกลับ ขออาศัยกลับด้วยคน สองมือรีบเก็บของใส่กระเป๋าอย่างรวกๆ

     

                    “เฮ้ย ฉันกลับด้วยดิ” ซองมินเองก็อาศัยจังหวะนี้ ขอตัวกลับด้วยไปอีกคน ขืนอยู่ต่อคงต้องทนกับแรงกดดันที่ซีวอนสร้างขึ้น แล้วใครจะอยากอยู่ต่อ

     

                    ฮีชอลนั่งยิ้มให้เพื่อนและน้องที่รีบเก็บของให้ทันที่จองวูเร่งอยู่ยิกๆ ก่อนจะส่งเพื่อนที่สนามหลังบ้านเพราะเพื่อนสนิทก็บอกไว้เองว่าไม่ต้องเดินไปส่ง ผิดกับอีกคนที่เดินไปส่งคนทั้งสามถึงหน้าบ้าน

     

                    ร่างบางเดินหอบหนังสือกลับขึ้นมาอ่านต่อบนห้อง ถึงวันนี้จะแค่นั่งอ่านหนังสืออยู่กับบ้านไมได้ไปไหน แต่พลังงานก็ถูกดูดไปมากจนง่วงนอน จะพักสายตาก็มีคนเปิดประตูเข้ามา ไม่ใช่ใครที่ไหน แต่เป็นคนที่ลงไปส่งเพื่อนๆ

     

                    ชายหนุ่มร่างสูงเดินเข้ามาพ้อมใบหน้าที่ดูสดชื่นกว่าเก่า พร้อมคำพูดไม่กี่คำก่อนเดินออกจากห้องไป แต่จะรู้บ้างไหมว่าเป็นคำพูดที่ทำให้คนฟังเกิดความสับสนและเป็นคำพูดที่ทำให้พลังงานอันน้อยนิดหดหาย และไม่อาจหลับตาลงเพื่อผ่อนคลายได้อีก

     

                    “ฉันว่า ฉันคงกำลังชอบซองมินอยู่แน่เลย ฝากดูแลซองมินให้ฉันด้วยนะ”

     

    ติดตามต่อใน ปี2 เทอม2

     

    * ~ * ~ * ~ * ~ *~ * ~* ~* ~ * ~ * ~ * ~ * ~ * ~ * ~ *

     

    Talk

     

          

                         อ่า กว่าจะจบ ใช้เวลายาวนานเหลือเกินคะ  เนื้อเรื่องแต่ละตอนก็ออกจะยาว มิน่าถึงไม่ค่อยมีคนอ่าน  555 รู้ว่ามันยาวก็ยังทะลึ่งใส่มา

                    วอนดูเป็นคนดีขึ้นมาบ้างไหมคะ สำหรับตอนนี้ ถ้ายัง แนะนำคำเดิมคะ อินโทรแสนอบอุ่นรอคุณอยู่ อิอิ เจอกันครั้งหน้าที่เอฟแอลนะคะ             


    ขอบคุณทุกคอมเม้มท์นะคะ



    Jelly fish

    2 Nov. 53

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×