คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : Location
Location
ความทรงจำในวัยเด็กของผม เมื่อตอนที่อายุเกือบแปดขวบ วันที่ผมรู้สึกว่าบ้านที่เคยอยู่ได้แปรเปลี่ยนความหมายไปจาก “บ้าน”ธรรมดา กลายเป็น “บ้าน” ที่มีความหมายทางหัวใจ วันที่ผมค่อยๆ เริ่มสร้างบ้านของตัวเอง
“ซีวอน บ่ายๆพ่อจะไปรับฮีชอลมาอยู่ที่บ้านด้วย ลูกจำได้ใช่ไหม ฮีชอลเด็กผู้ชายรุ่นเดียวกับลูก เขาจะมาอยู่บ้านเรานะ ”
“ทำไมเขาต้องมาอยู่กับเราหล่ะครับพ่อ เขาจะมาแย่งของเล่นของผมหรือเปล่า ผมไม่ให้นะ” เด็กน้อยวัยยังไม่ถึงสิบขวบ โลกทั้งโลก สิ่งที่ความสำคัญที่สุดก็คงหนีไม่พ้นของเล่น
“เจ้าซีวอนนิ ทำหวงของเล่นไปได้ อย่าใจร้ายกับฮีชอลเลย รู้ไหม ว่าเราหน่ะโชคดีที่ยังมีพ่อมีแม่ แต่ฮีชอลไม่มีใครแล้ว พ่อถึงพาเขามาอยู่ที่บ้านเรา เราเป็นเจ้าของบ้าน ก็ต้องแบ่งกันเล่นรู้ไหมครับ?”
“แบ่งให้เล่นก็ได้ แต่ว่าพ่อต้องเขานะครับ ว่าอย่ามายุ่งกับหุ่นยนต์ของผม อย่างอื่นจะเล่นก็ได้ แต่ว่าอันนั้นห้าม” เด็กน้อยคิดตามที่พ่อพูด แต่อย่างน้อยของเล่นสุดที่รักก็เป็นข้อยกเว้นห้ามใครมายุ่ง
“ดีมาก อย่างงี้ซิ ถึงจะเป็นลูกพ่อ” ผู้เป็นพ่อลูกศีรษะเล็กๆของเด็กชายซีวอน อย่างภูมิใจที่ลูกชายคนเดียวรู้จักการแบ่งปัน มีน้ำใจเอื้อเฟื่อ
“แล้วฮีชอลที่พ่อพูดถึงจะมาเมื่อไหร่ครับ ผมชวนเขาเล่นฟุตบอลได้ไหมฮะพ่อ”
“ได้ซิ ลูก ฮีชอลก็ผู้ชายเหมือนซีวอนนั่นแหล่ะ ชวนเขาเล่นด้วย ลูกก็จะได้มีเพื่อนเล่น ไม่ต้องเล่นคนเดียว” คนเป็นพ่อหาข้อดีต่างๆให้ลุกชายได้รับรู้ ป้องกันเด็กน้อยจะน้อยใจ หรือกลัวว่าจะมีใครมาแย่งความรัก แต่คุณพ่อจะรู้ไหมนะ ว่ามันไม่จำเป็นเลย....
“ผมจะมีเพื่อนหรอครับ เย้ๆๆ งั้นพ่อไปรับฮีชอลเร็วๆนะครับ ผมอยากมีเพื่อน” เด็กชายซีวอน
เด็กชายที่ร้องให้พ่อไปรับฮีชอลมาไว เอาแต่นั่งรอคนที่กำลังจะเข้ามาเป็นสมาชิกใหม่ของบ้านอย่างใจจดใจจ่อ อยู่ที่หน้าบ้าน และทันทีที่รถคันหรูของผู้เป็นพ่อเคลื่อนเข้ามาในตัวบ้าน ซีวอนก็แทบถลาเข้าไปหา
ครั้งแรกที่ได้พบหน้า ครั้งแรกที่ดวงตาสดใสของวัยเด็กได้ประสานกัน มันตราตรึงเข้าไปอยุ่ในใจของเด็กทั้งสองโดยที่ไม่ทันได้รู้ตัว
คนตาโตเกือบครึ่งของหน้าแต่แสนเศร้า มีน้ำตานองอยู่ ตัวเตี้ยๆ ไม่สูงไปกว่าเด็กชายที่วิ่งเข้ามาเลย ทั้งที่อายุมากกว่าแท้ๆ ผมบ็อบสั้นที่ตัดเข้ากับชุดดำที่ใส่อยู่ ในมือมีตุ๊กตาแมวที่กอดไว้แน่น
“ไหนพ่อว่าเป็นผู้ชายเล่นฟุตบอลกับผมได้ไงครับ นี่เด็กผู้หญิงชัดๆเลยอ่ะ” เด็กชายซีวอนที่เห็นใบหน้าหวานตัวเล็กๆ ก็ตัดสินทันทีว่า เพื่อนใหม่ที่พ่อพามา เล่นฟุตบอลกับเขาไม่ได้แน่ จึงออกอาการโวยวายเล็กน้อย
“เราเป็นผู้ชายนะ อย่ามาเราเป็นผู้หญิงซิ” ปากเล็กๆที่มู่อยู่ ยิ่งมู่ลงไปอีกเมื่อคนที่เข้ามาทักกลับบอกว่าเป็นเด็กผู้หญิง
“ฮ่าๆๆ ซีวอนเอ้ย นี่ฮีชอลเป็นพี่ชายของลูกนะ แก่กว่าสักสองปีได้มั้ง ใช่ไหมฮีชอล” ชายวัยกลางคนก้มถามเด็กน้อยที่ตนเองพามา เด็กน้อยที่เอาแต่ก้มหน้าก้มตา ถามอะไรก็ไม่ยอมตอบ แต่พอโดนทักว่าเป็นเด็กผู้หญิงเท่านั้นเองถึงยอมเปิดปากเล็กๆส่งเสียงออกมา
“ครับ” ใบหน้าเล็กพยักหน้าขึ้นลง
“นี่ลูกชายของลุง ชื่อซีวอน ถ้าเจ้านี่แกล้งอะไรเรา ก็บอกลุงเลยนะ”
“ครับ” ใบหน้าเล็กพยักหน้าขึ้นลงอีกครั้ง
“ซีวอนพาพี่ไปเล่นเถอะ แล้วอย่าเล่นอะไรแผลงๆรู้ไหม” คุณพ่อสำทับลูกชายด้วยรู้นิสัยกันดีว่า เด็กน้อยซีวอนซนแสบแค่ไหน
“เป็นผู้ชายจริงหรอ ทำไมตัวเตี้ยแบบนี้ ดูดิ เตี้ยกว่าเราตั้งเยอะ” บทสนทนาแรกที่เด็กน้อยถามสมาชิกใหม่ของบ้าน ไมได้ตั้งใจจะว่าอะไร แต่แค่สงสัยเป็นผู้ชายทำไมตัวเตี้ยจัง ผอมด้วยอย่างงี้จะเล่นกันได้หรอ
“เราเป็นผู้ชาย แล้วก็ไม่ได้เตี้ยด้วย นายนั่นแหล่ะที่สูงไปเอง” แม้จะแก่กว่าสองปีแต่ความสูงก็ไม่ได้สูงเกินคิ้วเจ้าเด็กสูงนี่เลย แล้วเป็นผู้ชายนะ ทำไมชอบถามจัง ใบหน้าใสๆมู่ลงยิ่งขึ้นเมื่อโดนย้ำถามเป็นครั้งที่สอง
“ซีวอน เราชื่อซีวอน ไม่ได้ชื่อนาย” เด็กชายตัวโตที่ถูกเรียกว่านาย แย้งขึ้นบ้างเมื่อรู้สึกไม่ชอบใจกับคำที่ถูกเรียก มีชื่อดีๆให้เรียก ทำไมต้องเรียก...นาย... ด้วย เป็นคนมีชื่อ ชื่อซีวอน
“......”
“.....”
“......”
“บอกว่าชื่อซีวอนไง เรียกซิ เงียบทำไมอ่ะ” เพราะทนความเงียบไม่ไหว หรือเพราะความเอาแต่ใจของลูกชายคนเดียวของบ้านที่ตั้งแต่คุณพ่อ ไปจนถึงคนสวนล้วนแล้วแต่ตามใจ ทำให้เด็กชายโพล่งออกมา บังคับให้คนมาใหม่เรียกชื่อตัวเอง
“ฮึก...ฮึก....แงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงง” เสียงร้องไห้ที่ดังไปลั่นบ้าน ของเด็กชายหน้าหวาน ทำเอาคนที่อยู่ตรงนั้น ตกใจจนทำอะไรไม่ถูก ไม่เคยต้องปลอบใครก่อนนินา...
ระหว่างที่เด็กชายหน้าหวานร้องไห้และซีวอนยืนเกาหัวเล็กๆจนทำให้ผมยุ่งเหยิง อีกมุมหนึ่งผู้ใหญ่เกือบทุกคนที่ได้ยินเสียงร้องไห้ วิ่งเข้ามาเตรียมจะปลอบ กลับถูกนายใหญ่ของบ้านรั้งไว้ ให้ยืนดูเฉยๆ
“ร้องไห้ทำไมอ่ะ อย่าร้องดิ โอ๋ๆ คนเก่งอย่าร้องนะ ซีวอนขอโทษ อย่าร้องนะ ถ้าเงียบแล้วจะพาไปกินไอติมนะ” เด็กชายที่ไม่เคยต้องปลอบใคร ปลอบเท่าที่จำได้ว่าเคยมีคนปลอบตนเองอย่างไร ทั้งโอ๋ ทั้งใช้ขนมหลอกล่อ แต่คนร้องไห้ ก็ยังคงร้องไห้ต่อไป
“ง่ะ ไม่อยากกินไอติมหรอ ไม่ร้องดิ เดี๋ยวเขาร้องตามนะ” เมื่อปลอบแล้วไม่ได้ผล สิ่งสุดท้ายที่ทำได้คือ ร้องไห้ตาม ทำให้ตอนนี้เสียงร้องไห้ดังไปทั่วบ้าน น้ำตาเด็กสองคนนองหน้า แต่ผู้ใหญ่ที่ยืนดูอยู่ในมุมเงียบต่างพร้อมใจกันหัวเราะด้วยความเอ็นดูเด็กน้อยทั้งสอง
จากวันแรกที่พบกัน กลายเป็นความผูกพันที่เด็กทั้งสองไม่รู้สึกถึงสายใยเส้นบางที่ทอตัวแน่นหนา หากแต่คนที่ผ่านโลกมานานอย่างผู้ปกครองของเด็กน้อย กลับมองเห็นมันได้อย่างดี เหตุการณ์หลายๆครั้งที่ทำให้รู้ว่าฮีชอลสำคัญกับซีวอนมากแค่ไหนโดยที่เจ้าตัวเองก็ไม่รู้ตัว
“ฮีซอลเดี๋ยวเลิกเรียนแล้ว มารอซีวอนที่โรงอาหารนะ อย่าเดินไปหาซีวอนที่ยิมคนเดียว รู้ไหม” เด็กวัยรุ่นม.ต้นสั่งเด็กชายม.ปลายที่นั่งอยู่ตรงข้าม
“ก็ให้ฮีชอลเดินไปหาที่ยิมเลยก็ได้นะ ไม่ต้องมารับหรอก” คนที่อายุมากกว่าบอกด้วยใบหน้าสงสัย ไม่เห็นว่าต้องมารับกันเลย ดวงตาคู่โตที่ยิ่งมองก็ยิ่งเห็นว่าน่ารักมองกลับไปที่เด็กรุ่นน้อง ปากบางมู่ลงอย่างที่ทำมาแต่เด็ก
“ไม่เอา ฮีชอลมารอซีวอนที่นี้แหล่ะดีแล้ว เอางี้ก็ได้ ถ้าฮีชอลมารอซีวอนที่โรงอาหาร วันนี้ซีวอนจะให้ฮีชอลเล่นบาสด้วย เอาไหม นานๆทีซีวอนจะยอมนะ แล้วจะไม่บอกพ่อด้วย” เด็กหนุ่มยื่นข้อเสนอที่น่าสนใจ เพราะไม่บ่อยนักที่จะให้ฮีชอลที่ไม่ค่อยแข็งแรงเท่าไหร่ได้เล่นอะไรที่ต้องเหนื่อยแบบนี้ แต่ความจริงที่ฮีชอลไม่รู้ก็คือ คนที่ไม่ยอมให้ฮีชอลได้เล่นอะไรแบบที่เด็กผู้ชายเล่นกันไม่ใช่คุณลุงที่เป็นผู้อุปการะ แต่เป็นเด็กหนุ่มตรงหน้าที่ไม่ยอม
“จริงๆนะ ซีวอนสัญญากับฮีชอลนะว่าจะให้เล่น” ใบหน้าที่มู่ปรากฏเป็นรอยยิ้มหวานทันทีที่ได้ฟังข้อเสนอแสนใจดี
“อือ สัญญาสิ” ไม่เพียงแต่เสียงที่รับปากอย่างแข็งขัน แต่ใบหน้าคมพยักขึ้นลงเป็นการยืนยัน
“งั้นฮีชอลเลิกเรียนแล้วจะมารอนะ ซีวอนรีบมารับฮีชอลนะ นะๆๆๆ” ใบหน้าใสเริ่มอ้อนคนตรงทันทีโดยไม่รู้เลยว่า ตอนนี้คนทั้งโรงอาหารที่ลงมาทานกลางวันต่างมองทั้งคู่อย่างอิจฉา
“อือ ฮีชอลอิ่มแล้วใช่ไหม งั้น ซีวอนพาไปส่งที่ห้องนะ”
ฮีชอลที่นั่งเรียนแบบตั้งอกตั้งใจรอเวลาเลิกเรียน และเมื่อเสียงออดของคาบสุดท้ายดังขึ้น ฮีชอลก็เก็บของอย่างรวดเร็ว ไม่รอใครทั้งนั้น รีบวิ่งไปที่โรงอาหาร รอซีวอนมารับ วันนี้จะได้เล่นบาสแล้ว
“ฮีชอลอย่าวิ่งซิ” ซีวอนที่วันนี้อาจารย์ปล่อยเร็วกว่าปรกติร้องห้ามทันทีที่เห็นฮีชอลวิ่งมาแต่ไกล แต่ยังไม่ทันขาดคำ คนที่วิ่งมาแต่ไกลก็เผลอลื่นน้ำที่นองอยู่บนพื้น โชคดีที่ซีวอนคาดไว้ว่าต้องลื่นแน่ๆ จึงรีบวิ่งเข้ามารับไว้ได้ทัน
“เห็นไหม บอกแล้วว่าอย่าวิ่ง ฮีชอลไม่เชื่อเลย ถ้าล้มไปทำไง” เด็กหนุ่มบ่นด้วยความเป็นห่วงและเคยชิน ทุกครั้งที่ฮีชอลจะทำให้ตัวเองเจ็บเป็นซีวอนทุกครั้งที่เข้าช่วยและบ่นแบบนี้ แต่คนซุ่มซ่ามก็ยังไม่เคยเข็ด
“แต่ก็ไม่ล้มนิ ก็เห็นว่าซีวอนยืนอยู่ก็เลยรีบวิ่งมาไง ฮีชอลรู้หรอกว่ายังไงซีวอนก็ไม่มีทางให้ฮีชอลล้ม” คนที่เกือบจะล้มส่งยิ้มหวานที่สุดไปให้พยายามอ้อนสุดฤทธิ์
“ไม่ต้องเลยนะ ไม่ระวังแบบนี้ ไม่ให้เล่นดีกว่า ไม่ให้ดูด้วย กลับบ้านไปเลย” เด็กหนุ่มบอกรุ่นพี่ขี้อ้อนอย่างขำๆ ได้แกล้งฮีชอลวันละนิดเป็นความสุขของซีวอน
“ซีวอนใจร้าย จะบอกคุณลุงว่าซีวอนแกล้งเขา เขาไม่รักซีวอนแล้ว” คนโดนแกล้งจนงอน เผลอพูดบางอย่างที่พูดเองแล้วรู้สึกสะดุดใจ เช่นเดียวกับคนฟังที่รู้สึกแปลกๆกับคำพูดของคนที่ผูกพันกันมานาน อยู่ใกล้ชิดกันมาตลอด
“ฮีชอลไม่รักซีวอนแล้วจริงๆหรอ” คำถามแผ่วเบาที่ไม่รู้ว่าทำไมถึงถามออกไป รู้แต่เพียงว่า ไม่อยากได้ยินคำแบบนี้เลย
“ก็ซีวอน ไล่ฮีชอล ฮีชอลก็น้อยใจนะ” คนพูดเองก็ไม่รู้ว่าทำไมถึงหลุดพูดไปแบบนั้น แต่ที่แน่ๆคือ พูดไปแล้วรู้สึกไม่ดีเลย ทำไมกันนะ
“ซีวอนขอโทษ อย่าน้อยใจนะ ป่ะ เดี๋ยวซีวอนพาไปกินไอติมนะ” ซีวอนใช้วิธีเดิมๆที่เคยใช้มาตั้งเล็กเพื่อให้คนตัวเล็กกว่าหายงอน และมันก็เป็นวิธีที่ได้ผลทุกครั้ง
“แล้วซีวอนไม่ไปเล่นบาสแล้วหรอ”
“ไม่แล้วพาฮีชอลไปกินไอติมดีกว่า แต่เดี๋ยวต้องแวะเข้าไปบอกท็อปก่อน” ซีวอนจับผมคนตรงหน้าให้เข้าที่จากที่ยุ่งเหยิงเพราะวิ่งมาตลอดทาง
“แต่ฮีชอลอยากเล่นอ่ะ” คนตัวเล็กเริ่มออกอาการอ้อนอีกครั้ง ส่งสายตาปุบปิบๆไปให้หลายๆครั้งพร้อมกับรอยยิ้มหวาน
“อย่าเล่นเลยฮีชอลตัวเตี้ย วันนี้มีแต่คนตัวสูงๆทั้งนั้น”
“ง่า ซีวอนว่าฮีชอลแบบนี้อีกแล้ว ทุกทีเลย ก็เห็นคนเล่นก็มีแต่พวกเดิมๆทั้งนั้น แล้วฮีชอลก็ไม่ได้เตี้ยสักหน่อย แค่สูงน้อยกว่าซีวอนเอง” คนที่เริ่มออกอาการงอนอีกครั้ง ตั้งแต่เด็กแล้วที่ซีวอนมักจะพูดเรื่องความสูง แล้วที่เล่นบาสก็เห็นมีแต่เพื่อนๆของซีวอนทั้งนั้น
“นั่นแหล่ะ ไปกินไอติมดีกว่า หรือฮีชอลไม่อยากกิน จะได้กลับเลยนะ” เด็กหนุ่มใช้ไม้ตายอันสุดท้ายขึ้นมาอ้าง ที่ยังไงๆฮีชอลก็คงไม่ยอมพลาด
“อ่ะ” เสียงแหลมสูงที่ฮีชอลใช้เวลารู้สึกว่าโดนแกล้งมากเกินไปแล้ว เรียกเสียงหัวเราะจากคนที่ตัวสูงกว่า “ไปกินไอติมนะ”
ใบหน้าหวานมู่ลงอีกครั้งอย่างขัดใจที่โดนหัวเราะ
“ครับกินไอติม”
เวลาที่ผ่านไปเมื่อฮีชอลเรียนจบมัธยม ต้องเข้าเรียนใยมหาวิทยาลัย ฮีชอลที่อยากลองไปใช้ชีวิตในหอพักดูบ้างแต่เพราะซีวอนที่ไม่ยอมทำให้ฮีชอลต้องเรียนในมหาวิทยาลัยในกรุงโซลเช่นเดิม แต่เมื่อเวลาผ่านไปอีกสองปี ก็เป็นคราวที่ซีวอนต้องเข้าเรียนมหาวิทยาลัยบ้าง และด้วยว่าเป็นทายาทธุรกิจใหญ่ แน่นอนซีวอนถูกส่งตัวไปเรียนที่ต่างประเทศ
“พ่อครับ ให้ฮีชอลไปเรียนกับผมด้วยได้ไหม” จากเด็กหนุ่มวันนี้ได้กลายเป็นชายหนุ่มล้ว นั่งขอร้องพ่อที่กำลังจะส่งเขาไปเรียนต่างประเทศ
“เฮ้ย ได้ไง ฮีชอลเรียนจะขึ้นปีสาม ถ้าไปกับแกก็ต้องเริ่มเรียนใหม่หมด มันจะไม่ดีนะ” ผู้เป็นพ่อไม่เห็นด้วยเลยกับความคิดของลูกชาย
“แต่ผมไม่อยากอยู่ห่างจากฮีชอลเลยนะพ่อ ผมกลัวไปหมดเลย ฮีชอลไม่ค่อยแข็งแรงด้วย ถ้าผมไปอยู่ไกลแล้วใครจะดูแลฮีชอลหล่ะครับ” ซีวอนยกเหตุผลของตนขึ้นมาอ้างโดยลืมบางอย่างไป
“แกลืมหรือไงว่าอยู่นี้ มีทั้งฉัน ทั้งแม่แกที่รักฮีชอลยิ่งกว่าลูกอย่างแก แล้วไหนจะคนในบ้าน ไม่มีใครดูแลฮีชอลเลยเนอะ ไอ้นี่พูดมาได้”
“ก็นั่นแหล่ะพ่อ ผมไม่ไว้ใจใครนะ ผมดูแลมาตั้งแต่เล็ก เลี้ยงเองกับมือ เวลาร้องไห้ เวลาป่วยผมก็ดูแล มันโหวงๆนะพ่อ”
“ซีวอน! ฮีชอลเขาแก่กว่าแกอีก หน้อย ดูแลตั้งแต่เล็ก เลี้ยงเองกะมือ” คนเป็นพ่ออดขำไม่ได้กับสิ่งที่ลูกชายพูดมาทั้งหมด แต่ก็รับรู้มาตลอดว่าความรู้สึกแบบนี้คงต้องเกิดขึ้น
“ก็นั่นแหล่ะ งั้นพ่อสัญญานะว่าผมเรียนจบกลับมา พ่อจะให้ฮีชอลไปอยู่กับผม ผมจะดูแลฮีชอลให้คุ้มกับที่ไม่ได้ดูแลตั้งนาน ได้ป่ะพ่อ”
“แกแน่ใจว่าถึงตอนนั้น แกจะไม่เปลี่ยนใจ” ประมุขของบ้านถามลูกชายเพื่อความแน่ใจ
“ครับ” คำตอบที่หนักแน่น แววตาที่เป็นประกายทำให้ผู้เป็นพ่อมั่นใจในสิ่งที่รู้สึก เพียงแต่ว่าเจ้าตัวนั่นคงยังไม่รู้
“งั้นบอกฉันซิว่าทำไมถึงอยากดูแลฮีชอลขนาดนั้นฮ่ะ รักฮีชอลใช่ไหม” คำถามตรงๆจากผู้เป็นพ่อทำให้ซีวอนนั่งค้างอยู่อย่างนั้นก่อนจะนึกหาคำตอบ และสำรวจความรู้สึก
“ไม่รู้ซิพ่อ แต่ผมไม่อยากให้ฮีชอลอยู่กับคนอื่น เวลาเขายิ้มหัวเราะให้คนอื่นผมไม่ชอบเลย แล้วก็เวลาที่อยู่กับฮีชอลเป็นเวลาที่ผมมีความสุข ต่อให้อยู่กับผู้หญิงคนอื่น ผมก็นึกถึงหน้าฮีชอล นึกถึงน้ำตาของเขา พ่อว่ามันใช่รักไหมอ่ะครับ”
“แกใช้เวลาที่ไปเรียนต่อ ได้อยู่ห่างจากฮีชอล เห็นโลกที่กว้างขึ้นหาคำตอบเอาหล่ะกัน”
~End of Location~
Talk
อย่าตกใจกับคำว่า End นะคะ เป็นแค่จบของแต่ละตอน เรื่องโฮม เป็นคล้ายซีรี่ย์ยาว ที่จะมีเรื่องสั้น ที่ต่อเนื้องกันอ่ะคะ ตอนหน้าชื่อว่า Build รอนะคะว่าชายชเว่จะสร้างบ้านยังไง
ฝากเรื่องใหม่ด้วยนะคะ เป็นตอนย้อนอดีต ชื่อตอนที่ใช้ว่า โลเคชั่น ก็เพราะว่า เป็นช่วงเวลาที่วอนตัดสินใจว่า คนคนนี้คือคนที่จะเป็นบ้านที่พักใจ และอีกอย่างคือ โลเคชั่น สำคัญที่สุด ในการจะลงหลักปักฐานคะ ตามหลักการเลือกทำเลประกอบกิจการ
ครั้งแรกที่จะแต่งเรื่องยาวหวานๆ แต่ไม่รู้ว่าจะทำได้แค่ไหน ถ้ารู้สึกแปลกๆ ขัดๆ ก็ติกันได้นะคะ เพราะว่าไม่เคยชินกับเรื่องแนวนี้เลย ไม่แน่ใจว่าจะออกมาดีหรือเปล่า ยังไงก็ฝากด้วยนะคะ
ขอบคุณคะ
ปล. อีกสองสามวันเจอกันใน BL นะคะ
Dr. Fu
ความคิดเห็น