ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Once upon a Time กาลครั้งหนึ่ง...จนถึงตอนนี้ (woncin)

    ลำดับตอนที่ #2 : Intro

    • อัปเดตล่าสุด 5 ก.ย. 53




                  “ฮีชอล อากาศเย็นแล้ว กลับเข้าบ้านได้แล้ว” เสียงทุ้มจากคนที่ผมคุ้นเคยมาทั้งชีวิต ผู้ชายตัวใหญ่ๆมีเสื้อสูทพาดอยู่ที่บ่ากว้าง เชิ้ตขาวดูยับย่น โน้มใบหน้าที่หล่อคมมากขึ้นกว่าตอนสมัยเป็นเด็กลงมาหอมแก้มซูบๆ เหี่ยวๆของผม

     

                    “พึ่งออกมาเองนะ อยู่อีกนิดเหอะ กลับมาช้าแบบนี้ กินอะไรหรือยังให้คนอุ่นให้กินไหม” ผมเบี่ยงหน้าหนี แต่ก็ไม่เคยทันสักที สุดท้ายก็ได้แต่รอรับสัมผัสหนักๆแต่ก็แสนอบอุ่นนั่นทุกครั้ง วันนี้ดูเหมือนว่าเขาจะเหนื่อยกว่าทุกวันอีกนะ จะกินอะไรมาหรือยังก็ไม่รู้

     

                    “กินมาแล้ว เหนื่อยจัง ขอหอมอีกสักทีได้ไหมเนี่ย จะได้มีแรง” ตัวโตๆแต่มาทำเสียงออดอ้อนแบบนี้ มีใครเคยบอกเขาไหมนะ ว่ามันไม่เข้ากันเลย แล้วจะอะไรกับไอ้แก้มซีดๆของผมหนักหนานะ

     

                    “ไม่เอา คุณพยาบาลก็อยู่ตรงนี้ ไม่หิวแน่ๆนะ” ผมผลักหน้าที่เข้ามาใกล้ให้เบี่ยงออก ก่อนจะดึงให้ลงมานั่งบนเก้าอี้ตัวข้าง นั่งมองท้องฟ้ายามค่ำที่พอจะเห็นแสงดาวได้บ้าง

     

                    “อือ ไม่หิวแล้ว ก่อนออกจากออฟฟิตก็กินอะไรไปบ้างแล้ว เข้าบ้านนะฮีชอล หนาวแล้วสิเนี่ย ดูสิกอดตัวเองกลมเชียว” ยังไม่ทันสามห้าเลย ก็กลายเป็นตาแก่ขี้บ่นไปแล้วนะเนี่ย

     

                    “ขี้บ่นจัง นั่งอีกนิดไม่ได้หรอ นะ” ผมหันไปอ้อนเขาบ้าง แต่มันก็คงไม่ได้ผล เมื่อหน้าเข้มๆ กลายเป็นบึ้งตึง จะโหดอะไรหนักหนาก็ไม่รู้ ผมไม่ใช่ลูกน้องคุณนะคร้าบบบบบบ ท่านประธาน

     

                    “ไม่ได้ ไปกลับเข้าบ้าน เดี๋ยวก็เป็นอะไรอีก มาฉันอุ้มเข้าไปเอง” ไม่แค่พูด แต่คนตัวโตๆของผม ทำท่าจะอุ้มผมให้ได้จริง แล้วใครจะยอมกันหล่ะ...?

     

                    “ไม่เอา จะเดินเอง ฉันไม่ได้เป็นอะไรมากแล้วนะ แข็งแรงขึ้นตั้งเยอะแล้ว ให้ฉันเดินไปเองนะ นายช่วยประคองก็ได้” ผมลองอ้อนอีกครั้ง แต่ก็เหมือนไม่เป็นผล เฮ้อ...ให้มันได้อย่างนี้สิ

     

                    “ไม่ได้ ไม่ต้องอ้อนเลย นายมีความผิดอยู่นะ เมื่อกี้พยาบาลบอกฉันแล้วว่า วันนี้ตอนเย็นนายก็หนีออกไปที่สวนสาธารณะ มีแค่ไม้เท้าอันเดียว ทำไมนายถึงดื้อแบบนี้นะ ถ้าเป็นอะไรไปอีกฉันจะทำยังไงฮีชอล ที่ฉันจ้างพยาบาลมาดูแลก็เพราะฉันรักนายนะ นายอาจจะอึดอัด แต่ทำเพื่อฉันได้ไหม อย่างน้อยก็ให้ฉันได้สบายใจยามไม่ได้อยู่กับนาย”

     

                    ใบหน้าคมที่ผมชอบมอง กำลังคิ้วขมวด แววตาที่มองก็ดุ แต่น้ำเสียงแบบนี้ มันทำให้ผมรู้สึกผิด ผู้ชายคนนี้รักผมมากจริงๆ แต่ผมก็ยังทำให้เขาต้องเป็นกังวล 

     

                    “ฉัน...ขอโทษ..”น้ำตาอุ่นร้อนมันไหลลงมา โดยไม่บอกให้รู้ล่วงหน้า...ขายหน้าอีกแล้ว

     

                    “อย่าร้องไห้สิคนเก่ง โอ๋ๆๆ  ฉันไม่ได้ว่า แต่แค่อยากให้นายระวังตัวเองบ้าง เกิดล้มไป หรือเป็นอะไร แล้วไม่มีคนเห็น ไม่มีใครรู้ ฉันจะทำยังไง โอ๋ คนเก่ง ไม่ร้องนะครับ ไม่อายพยาบาลหรอ” นิ้วยาวๆนั่นเช็ดน้ำตาบนใบหน้าของผม จนน้ำตามันหายไปหมด..แล้วยังมีหน้ามาถามว่าไม่อายหรอ

     

                    อายสิ....แต่มันเสียใจที่ทำให้เขาต้องเป็นห่วง “ขอโทษ จะไม่ทำอีกแล้ว” ผมให้สัญญากับเขา แม้มันจะทำให้ผมถูกจำกัดพื้นที่ แต่ว่าเพื่อคนที่รักผม และผมก็รักเขา....ผมทำได้

     

                    “ถ้าอยากไป ก็ให้พยาบาลพาไป ไม่ก็ให้ฉันพาไปนะฮีชอล อย่าไปเองอีก เกิดอะไรขึ้น ไอ้ไม้เท้าอันเดียวมันช่วยที่รักของฉันไม่ได้หรอกนะ” ผมนั่งฟังคำบ่นที่แสนอบอุ่นและออกมาจากใจด้วยความเป็นห่วง จนเพลิน

     

                    แขนใหญ่ๆ ที่เต็มไปด้วยกล้ามเนื้อสวย ยกตัวผมขึ้นจนลอย ผมคงจะเพลินกว่านี้หากไม่มีเสียงขุ่นๆตั้งคำถามมาอีก “ที่ขาขึ้นจ้ำอีกแล้ว ไปโดนอะไรมา”

     

                    ผมเหลือบตาไปมองที่ขาเล็กๆลีบ ใกล้เคียงคนพิการเข้าไปทุกที มันมีจ้ำ แดงๆเขียวๆอยู่สองสามที่ ไม่ได้ใหญ่อะไรเลย มองไปก็พยายามนึกว่าไปโดนอะไรมาตอนไหนกัน “ไม่รู้สิ สงสัยตอนออกไปเดินเล่นที่สวนมั้ง ไม่มีอะไรหรอก ไม่เจ็บด้วย”

     

                    “ไม่มีอะไรได้ยังไงฮีชอล พรุ่งนี้ฉันจะพาไปโรงพยาบาล ไปให้หมอตรวจดูหน่อย ไม่ต้องงอแงด้วย หนนี้ฉันไม่ตามใจนายแล้ว ออกไปเที่ยวจนเป็นแบบนี้ เดินเล่นที่สวนในบ้านเราก็ได้ รู้ไหม”

     

                    “ไม่ไปหาหมอได้ไหม ฉันยังไม่อยากโดนเจาะแขนอีก รอยช้ำคราวที่แล้วก็ยังไม่หายเลย ดูสิ” ผมยื่นข้อพับให้คนที่ก้าวเดินขึ้นบันไดดู เขาก็เหลือบมองดูไอ้รอยช้ำเหลืองๆจางๆ บนข้อพับที่พรุนไปด้วยสารพัดรอยเจาะของเข็ม

     

                    “ไม่ได้ ไปแค่ให้หมอเขาดูนิดหน่อย ไม่ต้องเจาะหรอก ฉันสัญญาว่าจะไม่ให้หมอเจาะอะไรนายแน่ๆ คราวนี้ นะ” ผมเหลือบมองหน้าคนที่อุ้มผมขึ้นบันไดมาที่ชั้นสองของบ้านอย่างชั่งใจ

     

                    “จริงๆนะ คราวที่แล้วก็พูดแบบนี้ แต่พอหมอจะเจาะนายก็ยอมทุกที” ผมย้อนไปถึงครั้งล่าสุด..ก็เมื่อสองอาทิตย์ที่แล้ว เขาก็บอกแบบนี้ แต่ว่าพอหมอบอกว่าอยากเจาะดูเลือดผม

     

    เท่านั้นแหล่ะ...เขารีบกดไหล่ผมไม่ให้ลุกหนีได้เลย แล้วอย่างนี้จะให้เชื่อได้ไงกัน

     

                    “จริงๆ ครั้งนี้สัญญาเลย ว่าจะไม่ยอมให้หมอเจาะ นอนนิ่งห้ามลุกไปไหนนะ เดี๋ยวฉันไปบอกพ่อเรื่องไม่เข้าบริษัทพรุ่งนี้ก่อน ถ้ากลับมาแล้วรู้ว่าไปซนที่ไหนนะ พรุ่งนี้จะให้หมอจับเจาะเลือดขนานใหญ่เลย” เขาวางผมลงบนที่นอนนุ่มนิ่ม 

     

    แหน่ะ...ก่อนออกไปหาคุณอามีการคาดโทษ ด้วยหน้าตาโหดๆอีก ถ้าเป็นเมื่อก่อนผมคงกลัวจนลนลาน แต่เดี๋ยวนี้ผมรู้จักเขาดี และรู้จักความรักที่เขามีให้ผมดียิ่งกว่า ผมรู้ว่าเขาจะไม่ทำร้ายผมแบบเมื่อก่อนอีกแล้ว

     

                    คนสุดท้ายในโลกที่จะทำร้ายผม....คนแรกที่จะปกป้องผมจนสุดกำลัง...ก็คือผู้ชายคนนี้....ชเว ซีวอน

     

                    ผม...คิม ฮีชอล ที่มีคนอยากให้เปลี่ยนเป็น ชเว ฮีชอล ผู้ชายธรรมดาคนหนึ่งที่เพื่อนน้อย ยิ่งเพื่อนสนิทก็เรียกว่ามีน้อยยิ่งกว่าน้อย เมื่อก่อนก็มีอยู่สามคน แต่ตอนนี้เหลือแค่สองคน เพราะอีกคน ไม่ยอมเป็นเพื่อนกับผมแล้ว....

     

    ก็เขาเป็นอย่างอื่นของผมไปแล้ว..เฮ้อ!

     

                    ผมกับซีวอนเรารู้จักกันตั้งแต่จำความได้ แต่พ่อแม่เคยบอกว่า ก่อนจำความได้ เราก็รู้จักกันแล้ว เพราะบ้านของเราสองคนอยู่ใกล้กัน...ไม่สิ ต้องบอกว่าอยู่ติดกัน ตอนนั้นเพื่อนของผมก็มีแค่เขาเท่านั้น แต่เขาสิ เพื่อนเยอะแยะมากมาย ทั้งหญิงชาย แต่เขากลับไม่ให้ผมรู้จักใครสักคน....ใจร้ายเนอะ ว่าไหม?

     

                    แต่ก็อย่างว่า ผมกับเขาเอามาเทียบกันจริงๆแล้ว ยังไงๆ ผม นายคิมฮีชอล ที่บ้านเป็นเจ้าของเรือประมงขนาดเล็กไม่กี่ลำ หรือจะสู้คุณชายหนุ่มทายาทบริษัทเรือเดินสมุทรที่กิจการใหญ่โตติดอันดับท็อปของประเทศได้

     

                    เมื่อก่อนผมกับเขาไม่ได้อยู่ด้วยกันแบบนี้ แต่ว่า เมื่อสิบกว่าปีก่อนผมพึ่งสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้ แต่คุณปู่ของผมที่ดูแลเรื่องการประมงเสียชีวิตกะทันหัน ทำให้พ่อกับแม่ ต้องย้ายกลับบ้าน เพื่อไปดูแลธุรกิจ ก็เลยต้องแหม่ะผมไว้ที่บ้านในเมืองกรุงคนเดียว

     

                    แล้วด้วยความที่บ้านเราอยู่ติดกันคุณอาซูมิน และคุณน้ากาอิน พ่อแม่ของซีวอนก็เลยมีคำชวนแกมสั่งนิดๆให้ผมย้ายเข้ามาอยู่บ้านหลังนี้

     

    แล้วมันก็เอ่อ.....เป็นจุดเริ่มต้นเรื่องของผมและซีวอน เรื่องที่มันยืดยาวมาจนถึงวันนี้

     

                    ว่าไปแล้วบางที หากไม่มีเขา ผมก็อาจไม่มีวันนี้...ไม่มีทางมีชีวิตอยู่ได้มาถึงวันนี้ก็ได้ เพราะเขาที่ทำให้ผมอยากมีชีวิตอยู่ต่อไป เพราะเขาที่ทำให้ผมอยากสู้กับโรคร้าย

     

                    ผมและเขาเราใช้ทุกวันร่วมกัน สร้างความสุขให้แก่กันมากที่สุด เพราะเราทั้งคู่ต่างก็ไม่รู้เลยว่า เมื่อไหร่ที่ผมจะหมดแรงสู้กับมัน บางทีพรุ่งนี้อาจไม่มีสำหรับเรา แต่เขาก็สัญญาไว้แล้ว...ว่าจะใช้ชีวิตต่อจากนั้นแทนผม..จะยิ้มให้กับผมทุกวันแม้จะไม่มีผมอยู่ข้างกาย

     

                    น่ารักใช่ไหม...ผู้ชายคนนี้ ผมถึงรักเขามากที่สุด รักซีวอนที่สุดเลย

     

                    “ยิ้มอะไรอยู่”  เสียงทุ้มๆที่ดังมาพร้อมกับเสียงเปิดประตูห้อง ก่อนที่เขาจะเดินลงมานั่งบนเตียง ข้างๆผมหลังพิงหัวเตียง แล้วก็กอดผมไว้แบบนั้น ให้ผมซุกอยู่ที่อกแข็งๆ.....อุ่นจังเลย

     

                    “ยิ้มไม่ได้หรอ ร้องไห้ก็ว่า ยิ้มก็ถาม หน้าเฉยๆก็ไม่พอใจ แล้วจะให้ทำหน้าแบบไหนกัน” ผมถามอู้อี้ๆทั้งที่ก็ยังอยู่ในอ้อมกอดอุ่นของเขาแบบนั้น สองตาเหลือบเห็นสันคางที่มีหนวดครึ้ม

     

                    “ไม่ได้ห้ามยิ้มสักหน่อย แต่สงสัยว่าคิดอะไรอยู่ถึงได้ยิ้มหวานแบบนี้ คงไม่ได้ลุกไปไหนมาใช่ไหม” ตาคมดุเหลือบมองมา จ้องตาผมยังกะจะคาดคั้นความจริงแบบนี้ หรือเจ้านี้จะคิดว่าผมเป็นลูกน้องเขาจริงๆ...

     

    ไม่ได้อยากเสียเพื่อนสนิท เพื่อแลกกับได้เจ้านายมานะ

     

                    “เปล่าสักหน่อย แค่คิดถึงเรื่องเก่าๆ แล้วก็อนาคตข้างหน้าเท่านั้นเอง ไม่ได้ลุกไปไหนเลย” ใครจะกล้าลุกเล่าก็เล่นขู่เอาไว้แบบนั้น แล้วก็รู้อยู่ว่าพูดจริง..ทำจริง

     

                    “ฉันขอโทษ” เสียงโหดๆเมื้อกี้กลายเป็นนิ่งเงียบสลดไปทันที คำขอโทษเป็นร้อยครั้งพันครั้งที่ผมได้ยินอยู่บ่อยๆยามพูดถึงเรื่องเก่าๆ  ดวงตานิ่งคมที่ทำให้หลายคนกลัว เริ่มจะสั่นไหวอีกแล้ว จนผมต้องรั้งตัวเองออกมาเพื่อมองหน้าเขาให้ชัดเจนอีกครั้ง

     

                    “อย่าทำหน้าแบบนั้นสิ ซีวอน ไม่ร้องไห้นะ” มันน่าขำไหม ผมต้องเช็ดน้ำตาให้กับคนที่ดูเข้มแข็ง แถมบางทียังขี้เก๊กจนน่าหมั่นไส้ “ฉันแค่คิดเล่นๆเท่านั้นเอง”

     

                    “อือ อย่าคิดได้ไหม ฉันกลัว กลัวความรู้สึกแบบตอนนั้น กลัวว่าสักวันอาจจะเสียนายไปอีก” เขาคว้าผมไปกอดไว้อีกครั้ง กี่ปีๆผ่านไป เขาก็ไม่เคยหายกลัวเรื่องนี้สักที แต่ก็นะ...กว่าจะผ่านมันไปได้ ทั้งผมและเขาก็เกือบสูญเสียสิ่งสำคัญในชีวิตไป

     

                    “จะไม่คิดแล้ว จะคิดถึงแค่ความสุขในวันนี้ ตอนนี้ก็พอแล้ว” ผมยิ้มให้เขาอีกครั้ง สองแขนเล็กลีบก็โอบรอบคอหนานั้นเอาไว้ปลอบโยนให้เขาคลายใจ....ผมรู้ว่าเขายังคงรู้สึกผิด หวาดกลัว และเจ็บปวดกับเรื่องตอนนั้นอยู่ ไม่ว่ามันจะผ่านมานานแค่ไหน

     

                    เรื่องมันผ่านมานาน ห้าปี...

     

                    สิบปี.....

     

                    สิบกว่าปี.......

     

    ............

    .........

    ......

                    ...

                    .




    Dr.
    Fu

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×