ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Once upon a Time กาลครั้งหนึ่ง...จนถึงตอนนี้ (woncin)

    ลำดับตอนที่ #13 : ปีสี่ ปิดเทอมเล็กๆที่สายลมพัดผ่านมาแล้วพัดเลยไป 100%

    • อัปเดตล่าสุด 11 พ.ย. 55


    ปีสี่ ปิดเทอมเล็กๆที่สายลมพัดผ่านมาแล้วพัดเลยไป

                                         

                    ชายหนุ่มร่างสูงนั่งนิ่งอยู่หน้าห้องฉุกเฉินราวกับว่าที่อยู่ตรงนี้มีเพียงแค่ร่างกายที่ไร้จิตวิญญาณ ดวงตาจับจ้องอยู่ที่กล่องไฟสีแดงจ้าที่บ่งบอกว่าภายในห้องนั้นยังคงวุ่นวาย ความแข็งแรงที่เคยมีมันละลายหายไปหมด เรี่ยวแรงเฮือกสุดท้ายหมดลงยามที่วางร่างน้อยๆที่บิดเกร็งลงกับเตียงของโรงพยาบาล ยอมให้ผู้คนมากมายที่ไม่คุ้นเคยเข็นร่างนั้นห่างไปจนลับตาในห้องกว้างนั้น

     

                    ซีวอนไม่ได้สนใจความเป็นไปของสิ่งรอบกาย ไม่สนใจแม้แต่ตัวเอง เลือดที่ซึมเปื้อนเสื้อผ้าคล้ายเป็นสัญญาณที่บ่งบอกว่าฮีชอลเป็นของเขา ยังอยู่กับเขา และจะอยู่เพื่อเขา.......

     

                    ภายในใจที่อ่อนล้าเต็มไปด้วยความหวาดกลัวกำลังร่ำร้องและอ้อนวอนต่อสิ่งที่ไม่เคยเชื่อว่ามีอยู่จริง สิ่งที่งมงาย สิ่งที่ใครต่อใครเรียกว่า.....สิ่งศักดิ์สิทธิ์..... ขอร้องให้คืนคนรักเขากลับมา อย่าพรากจากไปในตอนนี้

     

    ได้โปรดคืนฮีชอลของลูกมาด้วยเถิด.......นี้คือคำอธิฐานแรกในชีวิตที่มีต่อสิ่งงมงายนั้น คือที่พึ่งเดียวของจิตใจ ต่อให้แข็งแกร่งแค่ไหน แต่ยามที่ใจมันอ่อนล้า สิ่งเหล่านี้ก็คือที่ยึดเหนี่ยว

     

                    ที่ห่างออกไปมีชายหญิงคู่หนึ่งนั่งจ้องบานประตูใหญ่ไม่ต่างกาย ชายสูงวัยโอบดอกไหล่ภรรยาที่นั่งร้องไห้อย่างปลอบประโลม แต่ในดวงตาคู่คมนั้นแทบจะไม่บ่งบอกความคิดอะไรเลย มีเพียงความเรียบเฉยและรอคอยอย่างใจเย็น มีบ้างที่สายตาคู่นี้จะเหลียมองไปทางลูกชายตนที่นั่งแยกตัวออกไป

     

                    ในสายตาที่มองลูกชายฉายชัดถึงความผิดหวัง ในความเป็นพ่อ คนที่คู่ควรกับลูกไม่ต้องดีเลิศ ไม่ต้องมากด้วยคุณสมบัติ แต่ก็ต้องไม่ใช่ผู้ชาย! ต่อให้ผู้ชายคนนั้นคือคนที่เอ็นดูไม่ต่างจากลูกอีกคนก็ตาม

     

                    รักครั้งนี้ของลูก พ่อขอโทษที่ต้องขัดขวาง......

     

                    ซูมินมองเห็นน้ำตาของลูกชายไหลลงมา แต่ก็ไม่อาจทำใจอ่อนให้ยอมรับได้ ไม่ใช่เพราะเกลียดพวกร่วมเพศ แต่สายตาที่คนเหล่านี้ได้รับจากคนในสังคมมันเป็นเช่นไร มันมีแต่ดูถูกและเหยียดหยาม เขาไม่อยากให้ลูกชายเพียงคนเดียวต้องได้รับ วันนี้ยังรับได้ แต่ต่อไปข้างหน้า ซีวอนจะทนมันได้หรือ....

     

                    เขาต้องทนมองภาพของฮีชอลที่ไม่ต่างอะไรจากหลานรัก นอนบิดตัวเกร็ง แต่ที่ทำก็เพื่อซีวอน ต่อให้ต้องทำร้ายใครต่อใครก็ตาม

     

                    “คุณไปดูลูกหน่อยไป” ซูมินเอ่ยบอกให้ภรรยาเข้าไปดูลูกชายที่เอาแต่นั่งนิ่งด้วยความเป็นห่วง รักของเด็กหนุ่มมันรุนแรงเกินกว่าที่เขาจะวางใจได้

     

                    “คะ” เธอรับคำอย่างง่ายดาย กรีดเช็ดน้ำตาที่ไหลเอ่อคลอ มองลูกชายที่นั่งนิ่งตั้งแต่มาถึง ไม่มีคำพูด ไม่มีการร้องขอ ไม่มีอะไรเลย จนเธอนึกกลัว....

     

                    ความรักของเด็กทั้งสองเธอรับรู้ตั้งแต่ติดลบ ตั้งแต่ตอนที่ซีวอนยังทำร้ายฮีชอลโดยไม่รู้ใจตัวเอง จนมาถึงวันที่ในใจของลูกชายเธอมีเพียงฮีชอลเท่านั้น....วันที่ทั้งคู่ไม่อาจขาดกันได้ กลายเป็นส่วนหนึ่งของกันและกัน

     

                    จากที่เคยตั้งใจไว้ว่าจะรอเมื่อทั้งสองเรียนจบเธอจะบอกเรื่องนี้ให้สามีรู้ แต่อะไรๆมันก็ไม่ทันเสียแล้ว เท่าที่ทำได้ตอนนี้คือ ประคับประคองความรู้สึกของลูกชายเพื่อรอวันที่สามีเธอจะเข้าใจในความรักครั้งนี้

     

                    “ซีวอน” เธอวางมือบนไหล่หนาของลูกชาย ในดวงตาที่เคยคมเข้มกลับเต็มไปด้วยความหวาดกลัว แค่เธอสัมผัสเพียงเบาๆ ซีวอนก็สะดุ้งจนจนตัวโยนคล้ายถูกกระแทกอย่างสุดแรง

     

                    “แม่..” เพราะสัมผัสแผ่วเบาเหมือนเป็นสวิตซ์ที่พากลับคืนสู่ความจริงที่โหดร้าย ความกลัวที่อยู่ในใจผลักดันให้น้ำตาหลั่งไหลออกมาเป็นทาง ภาพแสงไฟสีแดงเลือนรางด้วยม่านน้ำที่ร้องออกมาแบบไม่อายสายตาใคร

     

    ความเจ็บปวดของฮีชอลที่เขามองเห็นมันยังย้ำชัด ตอกย้ำให้ต้องคิดโทษตัวเอง เป็นเพราะเขาทั้งนั้น ที่ทำให้เรื่องมันเป็นแบบนี้ ความคิดเหล่านี้เหมือนเป็นเหล็กแหลมที่ทิ่มแทงลงมาบนหัวใจ

     

                    วันที่เคยกลัว วันที่บอกตัวเองว่าอีกนานกว่าจะมาถึง แต่มันไม่ใช่เลย เมื่อไม่เท่าไหร่เขายังได้รอยยิ้มหวาน ได้เห็นดวงตากลม แต่ตอนนี้.....ไม่เหลืออะไรเลย

     

                    “ผมกลัว กลัวฮีชอลจะทิ้งผมไป ผมยังไม่ได้ดูแลเขาเลย” ชายหนุ่มไม่เหลือเค้าของความแข็งแรงอีกแล้ว ได้แต่ร้องไห้สะอึกสะอื้นคล้ายย้อนกลับไปในวัยเด็ก

     

                    “ไม่หรอกนะซีวอน” แขนเรียวของแม่โอบกอดลูกชายตัวโตที่ร้องไห้ในอ้อมกอดของเธอ นานเท่าไหร่แล้วที่ซีวอนไม่ได้ร้องไห้แบบนี้ นี้คงถึงที่สุดของกลัวแล้วจริงๆ “ฮีชอลจะทิ้งลูกได้ยังไง ฮีชอลหน่ะรักเรามากนะรู้ไหม”

     

                    “แต่ผมกลัว แม่ครับถ้าฮีชอลไม่กลับมา....”

     

                    “ไม่นะซีวอน เชื่อแม่ยังไงฮีชอลก็ต้องปลอดภัย ต้องกลับมาอยู่กับลูกนะ” มือบางๆลูบแผ่นหลังกว้างของลูกชายที่ยังคงเอาแต่ร้องไห้อยู่ในอ้อมกอด “ไม่ร้องแล้วนะ ต้องเข้มแข็งสิลูก เข้มแข็งเพื่อฮีชอลนะ”

     

                    ซีวอนไม่รู้หรอกว่าคนที่บอกให้เขาไม่ร้องไห้ คนที่บอกให้เขาเข้มแข็งต้องแอบเช็ดน้ำตาตัวเอง ไม่อยากให้ลูกรู้ว่าเธอก็กลัว และที่มากกว่านั้นคือความสงสาร

     

                    เธอสงสารลูกชาย ที่ไม่รู้เลยว่าต่อให้ฮีชอลหายป่วย ก็อาจไม่มีวันได้อยู่ร่วมกัน ไม่มีวันที่จะรักกันได้อีก.....ความรักที่เธอเฝ้ามองด้วยรอยยิ้มกำลังจะจบลงแล้วจริงๆหรือ

     

                    ดวงตาหวานซึ้งที่แอบซ่อนความเศร้ามองเลยไปทางผู้เป็นสามี รับรู้ได้ในความนิ่งนี้เจือปนด้วยความรู้สึกผิด แต่ก็ตัดสินใจอย่างเด็ดขาดไปแล้ว แม้ว่าเธอจะอ้อนวอนสักเท่าไหร่ก็เป็นผล มีแต่จะทำให้ทุกอย่างเลวร้ายลงไป

                    ต่อให้นาทีนี้มีหมอเข้ามาบอกข่าวร้าย เธอก็มั่นใจว่าชายผู้เป็นสามีก็คงไม่มีทางใจอ่อนเป็นแน่ หนทางรักของลูกชายเธอดับมืด...มองไม่เห็นแม้แต่แสงริบหรี่

     

                    ชายหนุ่มมองตามสายตาผู้เป็นแม่ไปสิ้นสุดที่พ่อ....คนที่เขาเคยเชื่อว่า เข้าใจเขาที่สุด แต่เปล่าเลย พ่อก็ไม่ต่างจากคนอื่นทั่วไป ที่สุดท้ายก็ไม่เข้าใจเขา กีดกั้นความรักของเขาเพราะคำว่า สังคม

     

                    สายตาคมกล้าจ้องมองเข้าไปในดวงตาคมกริบของพ่อที่หันมองพอดี สายตาที่เคยอบอุ่นเสมอกลับดูเย็นชาและเรียบสนิทจนไม่เหมือนพ่อคนเก่าที่เขาเคารพบูชา

     

                    สายตาที่เย็นชาจนและนิ่งขรึมไม่บ่งบอกความคิดใดๆ จนเขาหวาดกลัวตลอดเวลาที่ผ่านมา ถึงแม้พ่อจะเป็นผู้ชายที่อบอุ่นสำหรับครอบครัวเสมอ แต่ซีวอนก็รู้ดีว่าคนอย่าง ชเว ซูมิน  เขี้ยวเล็บที่เก็บซ่อนไว้แหลมคมนัก

     

                    เขี้ยวเล็บที่เก็บซ่อนไว้ จะแสดงออกมาพร้อมกับหัวใจที่ไร้ความรู้สึก และตอนนี้พ่อก็เป็นแบบนั้น..?

     

                    “แม่ครับ ถ้าฮีชอลเป็นอะไรไป พ่อ...” ชายหนุ่มสะดุดคำคำพูดตัวเอง ปล่อยให้น้ำตาของความกลัวไหลออกมาไม่ต่างจากเด็กเล็ก “พ่อจะรู้สึกไหม”

     

                    “โธ่ ซีวอน” มือบอบบางของแม่ปาดเช็ดน้ำตาให้ลูกรักที่เหมือนย้อนกลับเป็นเด็กชายตัวน้อยๆของแม่อีกครั้ง แต่มันคงดีกว่าหากน้ำตานี้จะหลั่งมาเพราะความยินดี ไม่ใช่เพราะความทุกข์

     

                    “ถ้าผมจะตามไปอยู่กับฮีชอล พ่อก็จะห้ามเราไม่ได้ใช่ไหม”

     

                    “ซีวอนทำไมพูดแบบนี้หล่ะลูก แล้วแม่หล่ะ”

     

                    “แม่ผมขอโทษครับ แต่ผมอยู่ไม่ได้ ผมกลัว...”

     

                    “ไม่เอานะลูก ไม่เอาแล้ว เรายังมีแม่ มีพ่ออยู่นะซีวอน” เสียงหวานเฝ้าปลอบโยนลูกชายทั้งน้ำตา เธอเป็นห่วงฮีชอล แต่ก็กลัวใจซีวอนเสียเหลือเกิน

     

                    “พ่อหรือครับ แม่?” ดวงตาคมเต็มไปด้วยคำถาม ช้อนมองใบหน้าของแม่ “ถ้าพ่อรักผม พ่อจะฆ่าผมทั้งเป็นทำไม”

     

                    “ซีวอน.....พ่อของลูกนะ”

     

                    “ครับ พ่อ แต่คนที่นอนอยู่ข้างในนั่นก็เมียของผมเหมือนกัน” ชายหนุ่มตอกย้ำสถานะไม่มีการปิดบังใดๆทั้งสิ้น      

     

                    ไม่ทันที่คนเป็นแม่จะได้ว่าห้ามปราม ประตูห้องฉุกเฉินที่ปิดไปนานก็เปิดออกพร้อมด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความกังวลของหมอเจ้าของไข้ จนชายหนุ่มที่ถลาไปหาเริ่มใจไม่ดี ผิดกับผู้เป็นพ่อที่ยังคงความเงียบเฉยคล้ายไม่รู้สึกอะไรกับสิ่งที่อยู่ตรงหน้า

     

                    “หมอครับ ฮีชอลเป็นยังไงบ้าง ปลอดภัยแล้วใช่ไหม” น้ำเสียงทุ้มร้อนรน เร่งเร้าให้หมอตอบ จนคนเป็นแม่ต้องห้ามปรามอีกครั้ง

     

                    “ซีวอนใจเย็นๆก่อนสิ หมอก็กำลังจะบอกแล้วนี้ไงลูก” มือบางลูบหลังลูกชายให้คลายความกังวล

     

                    “หมอ~” เสียงทุ้มสั่นไหว อึดอัดกับการรอคอยคำตอบ หวาดกลับกับการพรากจาก

     

                    “ตอนนี้ร่างกายของคนไข้แอนตี้เลือดที่เราเปลี่ยนถ่ายให้ หัวใจหยุดเต้นไปสองครั้ง และมีอาการไตวายเข้าแทรกซ้อน หมออยากให้ญาติเตรียมใจ หากว่า...”

     

                    “ไม่จริง ไม่จริงใช่ไหมหมอ”  เสียงทุ้มกรีดร้องอย่างเจ็บปวด สองมือกระชากคอเสื้อของหมอเข้ามาใกล้บีบเค้นให้พูดในสิ่งที่เขาอยากฟัง น้ำตาไหลพรากไม่รู้จักหยุด อากาศหายใจค่อยๆหมดลงไปเรื่อยๆ

     

                    “ซีวอน” เสียงใสเย็นสั่นเครือห้ามลูกชายทั้งน้ำตานองไม่ต่างจากกันเลยสักนิด

     

                    “พอได้แล้วซีวอน” เสียงใหญ่ทรงอำนาจ กระชากลูกชายออกจากหมอ แต่ก็ไม่อาจสู้แรงคนหนุ่มกว่าที่ขืนเอาไว้ไม่ยอมต่อการฉุดกระชาก

     

                    “หมอบอกผมสิว่ามันไม่จริง ฮีชอลปลอดภัยแล้ว พูดสิหมอ” ชายหนุ่มสติหลุดไม่รับรู้อะไรทั้งนั้น จดจ่ออยู่แต่คำตอบที่ต้องการฟังจากคนในชุดกราวเท่านั้น

     

                    “คุณครับ” น้ำเสียงอบอุ่นแฝงด้วยความอาทรพร้อมสัมผัสแผ่วๆที่หลังมือช่วยให้ชายหนุ่มคืนสติขึ้นมาอีกครั้ง หมอใหญ่เอ่ยขึ้นอย่างใจเย็น ก่อนเดินกลับไปทำหน้าที่ของตน “หมอก็อยากให้มันไม่จริง แต่ตอนนี้หมอทุกคนกำลังทำอย่างเต็มที่ เต็มความสามารถ ไม่มีหมอคนไหนอยากเห็นคนไข้จากไปต่อหน้าหรอกนะครับ”

     

                    “.......” ชายหนุ่มนิ่งอึ้ง ดวงตาลอยคว้างสติที่เรียกกลับมาแล้ว ถูกกระชากออกไปอีกครั้ง พร้อมเรี่ยวแรงที่ค่อยๆหายไป ทั้งตัวชาวาบ 2 มือทิ้งลงข้างกาย

     

                    รอยยิ้มสดใส.....กลิ่นหอมที่ตรึงใจ

     

                    แก้มแดงยามถูกหยอกล้อ.....ริมฝีปากอิ่มบวมยามถูกขบเม้ม

     

                    ทั้งหมดถูกบดบังด้วยภาพสุดท้ายที่สุดแสนจะทรมาน

     

                    “สะใจพ่อแล้วใช่ไหม” เดินเข้าไปใกล้ ไม่มีที่แม่จะรั้งไว้ได้ทัน เสียงทุ้มแผดลั่นทั้งน้ำตา “นี้ใช่ไหมที่พ่อต้อง ใช่ไหม ใช่ไหม?”

     

                    หนุ่มใหญ่สีหน้าเรียบขรึม ไม่ตอบคำพูดใดๆของลูกชาย แต่สายตาที่จับจ้องกลับทำให้หนาวเหน็บไปถึงขั้วหัวใจ

     

                    “ใช่ไหม ตอบผมมาสิพ่อ” ชายหนุ่มจับไหล่หนาของพ่อ ไม่รับรู้สิ่งใดนอกจากความเจ็บและความหวาดกลัวในใจ

     

                    ถึงจะสู้แรงลูกชายไม่ได้ แต่แรงที่บีบลงบนข้อมือ ก็ทำให้ซีวอนเจ็บได้ “หยุดบ้าได้แล้ว ซีวอนกลับสู่ความจริงได้แล้ว”

     

                    “ไม่ ! พ่อพรากฮีชอลไปจากผมไม่ได้” เสียงสั่นพร่าอย่างคนหมดแรงจับจ้องสีหน้าที่ดูเย็นชาอย่างกล่าวหา มองเหมือนเป็นคนแปลกหน้าที่พรากสิ่งที่รักไป

                   

    “ฉันบอกให้แกหยุดได้แล้ว” ชเว ซูมินตะคอกใส่ลูกชายที่ไม่ยอมฟังอะไรทั้งสิ้น เอาแต่พร่ำเพ้อในสิ่งที่เขาไม่ยอมให้มันเลยเถิดมากกว่าไปนี้อีกแล้ว

     

                    “ไม่ ! ผมรักฮีชอล พ่อได้ไหมยินไหม ผมรักฮีชอล” ซีวอนเองก็ตะคอกจนสุดแรง แต่มันช่างแผ่วเบาเหลือเกิน เมื่อเขาแทบไม่เหลือเรี่ยวแรงอีกแล้ว แม้แต่การรับรู้ความหมายในคำพูดของผู้เป็นพ่อ ข้อมือหนาสะบัดหลุดจากมือของพ่อ เพ้อหาร่างบางไม่สนใจใคร สายตาที่เคยเข้มแข็งเด็ดเดี่ยวมองเหม่อไปไกลพร้อมกลับน้ำตาที่ไหลไม่ยอมหยุด เรียกขานชื่อแผ่วเบา

     

                    “ฮีชอล...ฮีชอล..................ฮีชอลลลลลลลลลล ฮีชอล”

     

                    กาอินมองภาพลูกชายของเธอด้วยความสงสารอาทร ความรักเปลี่ยนแปลงให้ซีวอนของเธอเปลี่ยนไปมากจนน่าตกใจ กลายเป็นคนที่อ่อนแอและอ่อนไหว

     

                    แต่....มันไม่ใช่กับซูมิน เขามองลูกชายด้วยความสมเพชแกมแปลกใจ ยามที่ได้เห็นครั้งแรก เขาคิดว่ามันเป็นเพียงแค่ความหลง และความใคร่ หนุ่มใหญ่พยักหน้าส่งสัญญาณให้คนที่อยู่ห่างออกไปเข้ามาทำหน้าที่ที่สั่งไปไว้ล่วง

     

                    “ฮีชอล นายอย่าทิ้งฉันไปนะคนดี” เสียงเครือของชายหนุ่มยังคงดังอยู่ไม่ขาด นำพาความเศร้าเข้ามาปกคลุมหัวใจคน เสียงร้องขอและอ้อมวอนจากส่วนลึกที่สุดของจิตใจ

     

                    “.......” ซีวอนสะดุ้งสุดตัว เมื่อถูกรุมจับตัวโดยลูกน้องของพ่อที่เขาไม่คุ้นหน้าเลยสักนิด ลูกน้องชุดที่บอกถึงอำนาจอันแท้จริงของ ชเว ซูมิน แต่เขาไม่เคยต้องเจอ “ปล่อยฉัน ปล่อยฉัน”

     

                    ซีวอนใช้แรงเท่าที่เหลืออยู่ขัดขืนไม่ยอมออกไปจากหน้าห้องฉุกเฉินที่ฮีชอลของเขานอนอยู่ภายใน “พ่อ! บอกให้คนของพ่อปล่อยผมเซ่ ปล่อย”

     

                    “แกต้องกลับบ้านซีวอน” เสียงทุ้มทรงอำนาจ และนั่นก็หมายถึงคำสั่งเด็ดขาดที่คนทั้ง 3 ต้องพาคุณซีวอนกลับบ้านให้ได้ ไม่ว่าจะด้วยวิธีใดก็ตาม

     

                    “ไม่! ผมจะอยู่กับฮีชอล ปล่อยสิ” แขนแน่นกล้ามพยายามสะบัดเหล่าคนที่รุมล้อม สองมือเอื้อมไขว้คว้าในอากาศ หวังให้มีปาฏิหาริย์ ฮีชอลจะฉุดรั้งเขาเอาไว้ “ฮีชอล”

     

                    “พ่อไม่มีวันแยกผมกับฮีชอลได้ เรารักกัน พ่อได้ยินไหม เรารักกันนนนนนนนนนนน”

     

                    นั่นคือคำพูดสุดท้ายก่อนที่ร่างสูงใหญ่จะสิ้นสติลงเพราะถูกกดลงบนหลังคออย่างผู้เชี่ยวชาญ มีผลให้ร่างกายหมดสติไปชั่วขณะ

     

                    พร้อมกับที่ชายหนุ่มรับฟังเสียงหวานเศร้าได้จากสายลมที่พัดแผ่ว “ใช่! เรารักกัน ฉันรักนายนะซีวอน 

     

                     

     

    * ~ * ~ * ~ * ~ *~ * ~* ~* ~ * ~ * ~ * ~ * ~ * ~ * ~ *

     

    มืดแล้ว...พระจันทร์ฉายแสงชัดบนฝากฟ้า เปลือกตาคมปรือขึ้นทีละน้อยจากการหมดสติเพราะคนของพ่อ ชายหนุ่มมองไปทั่วให้รู้ว่าตัวเองอยู่ที่ไหน......มันคือห้องของเขาเอง

     

    ห้วงความคิดแรกที่ใจคิดไปถึงคือ ฮีชอล.... ซีวอนไม่รอช้ารีบเดินไปยังประตู สองมือบิดหมุนลูกบิด ผลักออกตมอารมณ์ที่ร้อนรน นานแค่ไหนที่เขาอยู่ตรงนี้ ป่านนี้ฮีชอลจะเป็นอย่างไรบ้าง

     

                    เขาจะไม่มีวันเชื่อตามที่หมอบอกเด็ดขาด หมอหน่ะหลอกลวง ยังไงฮีชอลก็ต้องกลับ

     

     แต่แล้วความจริงที่เจอก็ทำให้นิ่งอึ้ง.....ถูกขัง ประตูถูกล็อคจากข้างนอก

     

                    “ใครอยู่ข้างนอกเปิดประตูเดี๋ยวนี้นะ เปิด!” ซีวอนตะโกนอย่างมั่นใจ พ่อต้องสั่งให้คนมายืนเฝ้าประตูแน่ๆ “เปิดสิวะ” เท้าใหญ่ๆถีบบานประตูอย่างแรงจนสั่นสะเทือน แต่ก็พังมันลงไปไม่ได้

     

                    “คุณอยู่เงียบๆดีกว่าครับ คุณซีวอน” เสียงคนของพ่อลอยเข้ามาในห้องของชายหนุ่ม “ไม่มีใครมาเปิดประตูให้คุณหรอก”

     

                    “เปิดประตูสิวะ” เท้าใหญ่ๆรัวไปที่ประตูไม้ ไม่คำนึงถึงความเจ็บปวดที่ได้รับ แม้แต่เลือดที่ไหลอาบเท้าก็ไม่ทำให้ชายหนุ่มหยุดการกระทำนี้ลงได้ “เปิดดดดดดด ได้ยินไหม ฉันสั่งให้เปิดประตู”

     

                    “........” ไม่มีเสียงตอบรับจากด้านนอก แต่ชายหนุ่มก็รู้ดีว่าอีกด้านของประตูคงมีคนของพ่อ อย่างน้อยก็สองคนยืนเฝ้ามันอยู่

     

    ร่างสูงทิ้งตัวลงนั่งกับพื้นอย่างท้อถอย ดวงตาคมกวาดมองไปทั่วเท่าที่แสงจันทร์จะเอื้ออำนวยให้มองเห็น มันเป็นห้องนอนที่ไร้ชีวิต มีแต่ความเย็นชา ไม่มีกลิ่นอายของความรัก.....ไม่มีความอบอุ่นของฮีชอลหลงเหลือ 

     

                    “ฮีชอล ป่านนี้นายจะเป็นยังไงบ้าง” เสียงทุ้มแหบพร่า เอ่ยถามในความเงียบฝากดวงดาวและสายลมไปถึงร่างบางที่เขาห่วงหาและคำนึงถึง

     

                    ดวงตาคมจับจ้องที่ระเบียงใหญ่ จากตรงนี้มันสูง....แต่หากว่ามันทำให้เขาไปหาฮีชอลได้ มันก็คุ้มที่จะลอง... ร่างสูงใหญ่เหยียดกายตรง กัดฟันเดินลากขาตรงไปที่ประตูระเบียงทิ้งรอยเลือดไปตามพื้นเป็นทางยาว

     

                    ชายหนุ่มทอดมองความสูงของระเบียง ด้วยใบหน้าที่แฝงรอยยิ้มอย่างพอใจ.....มันสูงมาก แต่ไม่สูงไปกว่าที่เขาจะลอง ช่วงขายาวปีนตะกายขึ้นไปเหยียบราวปูนไม่สนใจความเจ็บแปลบที่ได้รับจากฝ่าเท้า

     

                    “ซีวอนอย่า....อย่าโดดนะ ฉันขอร้อง” เสียงเว้าวอนที่คุ้นเคยดังมาจากข้างหลัง เรียกให้เจ้าของชื่อหันหลังกลับไปมองอย่างมีความหวัง แต่กลับพบเพียงความว่างเปล่า หากแต่มีสายลมพัดเอื่อยมาปะทะร่างกาย คล้ายหอบหิ้วความรัก ความคิดถึงจากบางคนมาให้เขา

     

                    “ฮีชอล........” ร่างกายใหญ่ทิ้งตัวลงนั่งอีกครั้ง สายน้ำไหลรินลงมาไม่ขาดสาย สองแขนแกร่งโอบกอดตัวเองอย่างที่ร่างบอบบางเคยทำ คว้ากวาดสายลมรอบกายเข้ามาไว้ในอ้อมอก “ฮีชอลลลล นายอยู่ที่ไหนนนน นายจะกลับมาหาฉันใช่ไหม จะไม่ทิ้งฉันใช่ไหมฮีชอล”

     

                    เสียงทุ้มครางแผ่วเหมือนสัตว์ป่าที่ถูกทำร้าย เฝ้าเพ้อหาแต่ชื่อคนรักที่ถูกกีดกัน เคยกลัวว่าสักวันจะอยู่อย่างไรเมื่อไม่มีดวงใจดวงน้อย เคยกลัวโลกใบใหญ่ที่ไร้คนชื่อ คิม ฮีชอล แต่กลับไม่เคยกลัวว่าคนที่พรากทุกอย่างไป จะเป็นพ่อที่เคารพรัก

     

    พ่อ....ที่คิดว่าจะเข้าใจทุกอย่างและ และยอมรับในความรักของเขา

     

                    พระจันทร์ดวงกลมยังคงอยู่ที่เดิม สีขาวซีดไม่ต่างอะไรจากผิวขาวเนียนยามไร้สีเลือดของฮีชอล ความเหงา ความอ้างว้างเข้ามากัดกินเรื่อยๆ จนใจแทบสลายลงไปแล้ว......

     

    ()*$$$#@&*#)@_($&^@&^(_@_(#*   เสียงเพลงที่ฮีชอลชอบฟังจนถูกบังคับให้ตั้งเป็นเสียงเรียกเข้าดังขึ้น ความทรงจำแสนหวานปรากฏในห้วงความคิด จนอดยิ้มออกมาทั้งน้ำตาไม่ได้ แต่เพียงไม่นานเสียงนั้นก็เงียบหายไป เหมือนฮีชอลที่กำลังจะทิ้งเขาไป

     

                    ()*$$$#@&*#)@_($&^@&^(_@_(#*   เสียงเพลงเดิมดังขึ้นอีกครั้ง รอยยิ้มมุมปากปรากฏบนหน้าคมสัน พร้อมกับสายตาที่เลื่อนลอยไปไกล มีความสุขอยู่ในโลกที่สร้างขึ้นด้วยท่วงทำนองที่แสนสั้น เหมือนฟองอากาศที่ไม่นานก็แตกดับ แล้วปล่อยทิ้งให้เคว้งคว้างกับความจริงที่แสนเจ็บปวด

     

                    “ฮีชอลลล นายจะปลอดภัยใช่ไหม จะกลับมาหาฉันใช่ไหม เรายังไมได้ทำอะไรด้วยกันตั้งหลายอย่าง แล้วนาย...จะทิ้งฉันไปไง กลับมานะฮีชอลลล”

     

                    Rrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrr  เสียงโทรศัพท์บ้านดังขึ้น แต่ก็ไม่อาจเรียกความสนใจจากชายหนุ่มได้จนกระทั่งคนที่โทรเข้ามาต้องฝากข้อความทิ้งเอาไว้

     

    /ซีวอน ฉันซองมินนะ ตอนนี้ฮี~/

     

                    เพียงแค่ได้ยินชื่อ ก็ทำให้ซีวอนแทบถลาเข้าหาโทรศัพท์ ในใจหวาดหวั่นกับสิ่งที่จะได้ยิน แต่นี้ก็เหมือนเป็นไม้ท่อนเดียวท่ามกลางมหาสมุทรเวิ้งว้างที่เขาต้องคว้าไว้

     

                    “ฮีชอลทำไมซองมิน ฮีชอลเป็นอะไร” เสียงแหบพร่าละล่ำละลั่กถามด้วยใจร้อนรน

     

                    /ฮีชอลปลอดภัยแล้ว/ สิ้นประโยคนี้ชายหนุ่มก็ไม่รับรู้อะไรอีกแล้ว นอกจากความยินดีในอด ความกลัวมลายหายไป มีแต่ความหวังที่จะได้พบ ได้อยู่ด้วยกันเช่นวันวาน เขาจะดูแลฮีชอลให้ดีที่สุด ไม่ให้เป็นแบบนี้อีกแล้ว

     

                    “นายจะกลับมาอยู่กับฉันแล้วใช่ไหม”  ซีวอนพึมพำกับตัวเอง รอยยิ้มกว้างปรากฏชัดบนใบหน้าคม มือหนาไล่ปาดน้ำตาออกจากหน้าด้วยความดีใจ แต่ก็ยังมีแต่น้ำตาแห่งความยินดีไหลออกมาไม่ขาดสาย

     

                    /ซีวอนนายฟังฉันอยู่หรือเปล่า ซีวอนนนนนนน/ เสียงตะโกนของซองมิน เรียกสติของชายหนุ่มให้กลับสู่โลกความจริง

     

                    “ห๋า มีอะไรหรอซองมิน”

     

                    /ฉันจะบอกนายว่า..../ เสียงของซองมินเริ่มอึกอัก ไม่อยากพูดให้ตัวเองต้องเจ็บอีก และรู้ว่าคนที่รอฟังอยู่ หากได้รู้ก็คงทรมานยิ่งกว่า /ถึงหมอจะบอกว่าปลอดภัยแต่....ฮีชอลก็ยังไม่ฟื้น/

     

                    หัวใจพองโตอัดแน่นด้วยความสุขจนล้น ถูกฉีกกระชากด้วยความจริงจนเหี่ยวฟีบ พร้อมๆกับที่เรี่ยวแรงที่กำลังกลับมาหายไปรวดเร็วจนตั้งตัวไม่ติด

     

                    “ทำไมมันเป็นแบบนั้นหล่ะซองมิน ทำไมหล่ะซองมิน ทำไมฮีชอลยังไม่ตื่น” เพราะไม่อยากใช้คำว่าฟื้น ฮีชอลของเขาแค่เพียงหลับไปเท่านั้น

     

                    /ซีวอน..../ เสียงของปลายสายแทบทำให้คนที่โทรมาบอกข่าวน้ำตาไหลอีกรอบ เพราะมันช่างเป็นเสียงที่เต็มไปด้วยความผิดหวัง ความเว้าวอน และความเจ็บปวด ไม่ควรเลยที่จะพูดออกไป

     

                    .....ฉันขอโทษนะซีวอน....

     

                    /อีกไม่นาน ฮีชอลต้องกลับมาหานายๆเชื่อฉันสิ / ซองมินได้แต่ปลอบใจเท่านั้นทั้งที่ตัวเองก็กลัวไม่ต่างกัน ไม่รู้เลยว่าวันหนึ่งวันนั้นจะมาถึงเมื่อไหร่....และจะมีอยู่จริงหรือเปล่า

     

                    “ฉันจะรอ นานแค่ไหนก็จะรอ ขอแค่ฮีชอลกลับมาอยู่กับฉัน”

     

                    “เผียะ!!

     

                    /ซีวอนเกิดอะ~~/ นั่นคือเสียงสุดท้ายของซองมินก่อนที่จะถูกตัดสายทิ้งแบบงุนงง

     

                    “ฉันทนฟังมานานแล้วซีวอน แกพอได้แล้ว” เสียงทุ้มทรงอำนาจของคนที่เปิดประตูเข้ามาตบหน้าลูกชาย เพราะถ้อยคำที่แสนอาลัยอาวรณ์กับรักที่เขาไม่มีทางยอมให้มีอีกต่อไป ในดวงตาคู่นั้นเต็มไปด้วยประกายไฟของความโกรธเกรี้ยว แต่ก็ไม่อาจปกปิดความเป็นห่วงลูกได้เลย

     

                    “พ่อต้องฟัง ผมรักฮีชอล รักฮีชอล” ดวงตาของชายหนุ่มเองก็ไม่ลดรา ความเจ็บปวด ความเสียใจ และความไม่เข้าใจ หากแต่เสียงที่เอ่ยบอกคำรักกลับหนักแน่นและมั่นคง

     

                    เผียะ!!!

     

                    แม้ฝ่ามือหนาจะฝาดลงมาจนแดงเห่อ แม้จะร้าวไปทั้งซีกหน้า จนหน้าหันแต่ชายหนุ่มก็ยังดื้อรั้นจะยืนยันความรู้สึกของตนเองให้ผู้เป็นพ่อได้รู้  “ผมรักฮีชอล!

     

                    .....หวังเพียงให้คนตรงหน้ายอมรับความรักของเขาทั้งสอง......

     

                    เผียะ!!!

     

                    ถึงมันจะเป็นเพียงแค่ความหวังลมๆแล้งๆเท่านั้น “ผมรักฮีชอล”

     

                    เผียะ!!!!!!! 

     

                    ความเจ็บแสบที่มุมปากทำให้ชายหนุ่มต้องใช้นิ้วปาด ก่อนจะพบหยดเลือดสีแดงกล่ำ ริมฝีปากหยักยกยิ้มเยาะให้กับตนเอง จ้องมองผู้เป็นพ่อไม่ลดละ เขามองเห็นความเสียใจ ความตกใจในดวงตาคู่นั้น.....แต่ไม่มองเห็นความเข้าใจเลยสักนิด

     

                    “ถึงพ่อจะไม่อยากฟัง จะขัดขวางก็ไหน แต่ผมก็รักฮีชอล..”

     

                    มือหนาที่ฟาดลงบนใบหน้าลูกชายทั้งที่ไม่เคยตีให้เจ็บสักครั้ง กำลังเงื้อมือออกอีกครั้ง แม้ทุกครั้งที่ฟาดลงไปคนเป็นพ่อจะเจ็บเองก็ตาม แต่เพื่อลูก เพื่อให้ซีวอนกลับมาเป็นคนธรรมดาปรกติ ต่อให้เขาต้องเจ็บกว่านี้ ต่อให้ลูกเกลียด เขาก็จะยอม......

     

                    “พอได้แล้ว อย่าตบลูกอีกเลย” เสียงเว้าวอนปริ่มจะขาดใจพร้อมน้ำตาที่ไหลออกมา ไม่อาจทนมองลูกชายถูกทำร้ายได้อีก ทำให้กาอินต้องถลันตัวคว้าแขนใหญ่ของผู้เป็นสามีเอาไว้ “พอเถอะนะคะ”

     

                    “แม่..” ซีวอนมองภาพแม่ที่อ้อนวอนแทนเขาแล้วได้แต่หดหู่ เขาทำให้คนที่รักเขามากที่สุดต้องเสียใจพร้อมกันถึงสองคน.....แต่ก็ไม่อาจทำให้เขาเลิกรักฮีชอลได้

     

                    .....ผมขอโทษครับพ่อ ขอโทษครับแม่.......

     

                    ซูมินปรายตามองภรรยาคู่ใจที่เอื้อมจับแขนเขาไว้มั่นไม่ยอมปล่อย น้ำตาที่ไหลรินลงมาพาให้ใจอ่อนยวบ ก่อนระบายลมหายใจหนักเมื่อไม่อาจฝืนใจร้ายกับลูกที่หน้าบวมแดง มีเลือดซึมที่มุมปาก

     

                    “ให้ใครมาทำแผลให้ด้วยหล่ะกัน” นั่นเป็นคำพูดสุดท้ายก่อนที่ร่างสูงใหญ่ไม่ต่างจากลูกชายจะเดินออกจากห้องไป ไม่หันไปมองภาพลูกชายที่ล้าหมดแรง

     

                    “ซีวอนเป็นไงบ้างลูก” กาอินเข้าลูกชาย ประคองใบหน้าคมที่เห่อแดงขึ้นดูอย่างเบามือ น้ำตาไหลไม่ขาดสาย ลูบสัมผัสเพียงแผ่วเบาอย่างอาทรณ์ “เจ็บไหม”

     

                    “แม่ครับ ผมขอโทษ” ชายหนุ่มกอดร่างหอมเย็นของแม่ ร้องไห้ออกมาเหมือนเด็กน้อย “ขอโทษที่ทำให้พ่อกับแม่เสียใจ แต่ผมรักฮีชอล ผมเลิกกับฮีชอลไม่ได้”

     

                    “แม่รู้ลูก ไม่เป็นไรนะ สักวันพ่อเขาต้องเข้าใจ อย่าโกรธพ่อเลยนะ” เสียงหวานที่เคยปลอบประโลมเด็กชายซีวอนในวัยเยาว์ ตอนนี้ก็ยังทำเช่นวันวาน

     

                    “ผมรู้ครับแม่..”

     

                    “ขออนุญาตครับ” เสียงทุ้มของคนที่เฝ้าหน้าประตูดังขึ้น ในมือมีกล่องปฐมพยาบาลมาด้วย เพียงแค่เขามาวางให้แล้วจากไปอย่างเงียบๆ ไม่มีการพูดคุยและสบตา

     

                    “แม่ทำแผลให้นะ” มือเล็กบางซับเลือดที่มุมปากของลูกชายทั้งที่น้ำตาก็ยังคงคลออยู่ไม่หายไปไหน

     

                    ความอบอุ่นที่ถ่ายทอดผ่านมือบางๆของแม่ ทำให้ชายหนุ่มยิ้มได้ท่ามกลางช่วงเวลาที่เจ็บปวด สัมผัสแผ่วเบายามทายาให้เป็นสิ่งที่เขาห่างหายไปนาน จนอดไม่ได้ที่จะเอื้อมคว้ามือของแม่มากุมไว้ “แม่ครับ ผมรักแม่จัง แม่คือผู้หญิงที่ผมรักที่สุด ผมจะไม่รักผู้หญิงคนไหนอีกแล้ว”

     

                    “ก็ลองรักผู้หญิงคนอื่นดูสิ ฮีชอลไม่ว่า แต่แม่นี้แหล่ะจะจัดการแทนฮีชอล” เธอมองสายตาทอประกายของลูกชายด้วยความเบาใจ อย่างน้อยๆตอนนี้ซีวอนก็คลายทุกข์ลงไปบ้าง

     

                    “ผมจะรอวันที่พ่อยอมรับความรักของผมกับฮีชอล” ชายหนุ่มเชื่อมั่นอย่างนั้น ในไม่ช้าพ่อจะเข้าใจเขา จะยอมรับ และยอมให้พวกเขารักกัน

     

                    “ดีแล้วหล่ะลูก.....ที่พ่อเขาทำก็เพราะรักนะ”

     

                    “ครับแม่ ผมเข้าใจ แต่สิ่งที่พ่อต้องการ ก็กำลังฆ่าผมให้ตายทั้งเป็นเหมือนกัน”

     

    * ~ * ~ * ~ * ~ *~ * ~* ~* ~ * ~ * ~ * ~ * ~ * ~ * ~ *

     

    “จองวูทำไมฮีชอลถึงยังไม่ฟื้นหล่ะ...ฉันกลัวอ่ะ” เสียงอ่อยๆของซองมินบอกเพื่อนรักตัวสูงที่กำลังขับรถพากลับบ้าน หลังหมดเวลาเยี่ยม

     

                    “เฮ้ย! จะกลัวอะไร หมอก็บอกแล้วว่าฮีชอลปลอดภัย” จองวูพยายามบอกให้ตัวเองเชื่อมั่นแบบนั้น ยึดมั่นในคำที่หมอบอก ไม่กล้าคิดเกินเลยไปกว่านั้น

     

                    “แล้วถ้าไม่ฟื้นหล่ะ หมอก็บอกเองว่าภายในสามวัน..”

     

                    “ซองมิน!” จองวูรีบขัดขึ้นไม่อยากทนฟังประโยคต่อไป แค่ได้ยินครั้งเดียวจากหมอก็เกินพอแล้ว

     

                    “คนไข้ปลอดภัยแล้วนะครับ แต่ถ้าภายในสามวันยังไม่ได้สติ ก็คงต้องทำการตรวจอีกครั้ง เพราะบางทีคนไข้อาจจะไม่แข็งแรงพอที่จะตื่นขึ้นมาอีก”

     

                    “ก็ฉันกลัวนี้” เสียงของซองมินโอดอ่อน เพราะความกลัวว่าเพื่อนรักจะไม่ฟื้นขึ้นมาอีก

     

                    “กลัวทำไม ยังมีพรุ่ง มะรืนนี้อีกตั้งสองวัน คนอย่างฮีชอลหน่ะ ยังไงก็ต้องฟื้นสิ เชื่อฉันเถอะ” เขาให้ความหวังตัวเองแบบนั้น และอยากจะเชื่อแบบนั้น แม้จะอดกลัว อดหวั่นไหวไม่ได้

     

                    “นายแน่ใจหรอ ...วันนี้ตอนที่ออกมาจากห้อง ICU ฉันเห็นน้ำตาที่หางตาด้วย ทำไมฮีชอลต้องร้องไห้หล่ะ ถ้าแข็งแรงพอ ทำไมไม่ฟื้นเลยหล่ะ แล้วนายไม่ได้ยินที่หมอบอกหรอว่าในห้อง ICU หน่ะเกิดอะไรขึ้น” พูดไปพูดมา ร่างอวบก็กำลังจะร้องไห้อีกครั้ง ยิ่งคิดถึงหยดน้ำตาหยดเล็กของเพื่อนก็ยิ่งหวาดหวั่น

     

                    “แต่หัวใจฮีชอลก็เต้นเป็นปรกติแล้วไง ที่หยุดไปก็แค่แปปเดียวไม่มีอะไรหรอก อย่าวิตกจริตสิ” ทำไมเขาจะไม่กลัว ยิ่งตอนที่หมอบอกว่า หัวใจดวงน้อยๆของฮีชอลหยุดทำงาน หัวใจของเขาก็เหมือนถูกฉีกทึ้ง

     

                    แต่ปาฏิหาริย์ก็มีจริง....เมื่อหัวใจกลับมาทำงานเป็นปรกติ พร้อมกับเอ่ยคำพูดออกมาแผ่วเบา “อย่โดดนะ  ฉันขอร้อง”

     

                     

    * ~ * ~ * ~ * ~ *~ * ~* ~* ~ * ~ * ~ * ~ * ~ * ~ * ~ *

    “ฮีชอล นายนอนไม่เบื่อบ้างหรือไง ตื่นมาสักทีสิ” ซองมินนั่งพูดเบาๆอยู่ข้างร่างของเพื่อนที่นอนแน่นิ่งจนเกือบจะครบสามวันแล้ว “มีคนรอนายเพียบเลยนะ”

     

                    “ซองมินบ่นอะไรหน่ะ” จองวูคิ้วขมวดมองเพื่อนตัวอวบที่เอาแต่พูดเบาๆข้างหูเพื่อนอีกคน ตั้งแต่ที่เริ่มมานั่งเฝ้าตอนกลางคืน....

     

                    เพราะโรงพยาบาลไม่อนุญาตให้คนเฝ้าไข้ต้องเป็นเพศเดียวกับคนไข้เท่านั้น เขากับซองมินจึงมาเฝ้าเพื่อนในยามกลางคืน แทนพ่อของฮีชอลที่จะมานั่งอยู่เป็นเพื่อนลูกชายในตอนกลางวัน

     

                    “โธ่ ก็คุยกับฮีชอลไงเล่า นายหน่ะเงียบๆไปเลย” ดวงตารีปรายมาส่งค้อนให้เพื่อนวงใหญ่ ก่อนเบือนกลับไปสนใจร่างบางที่ขาวซีดอีกครั้ง “นี้! นอนมากๆเดี๋ยวก็อ้วนหรอก”

     

                    “ซองมิน....ปล่อยให้ฮีชอลพักบ้างก็ได้” ร่างสูงเรียกชื่อเพื่อนอย่างเหนื่อยใจ จนร่ำๆจะโทรหารุ่นน้องให้มารับแฟนตัวเองกลับไปซักที แต่ที่ไม่ทำก็เพราะรู้ดี....ซองมินก็ห่วงฮีชอลไม่ต่างจากเขา

     

                    “จิ...” ซองมินทำเสียงขัดใจในลำคอ “นายหน่ะนั่งเงียบๆไปเลย ถ้าฉันไม่ชวนคุย ฮีชอลก็เหงาสิ”

     

                    ....ฮีชอลหน่ะไม่เหงาหรอก แต่ฉันหน่ะ รำคาญญญญญญญ

     

                    “แล้วนี้โทรหาซีวอนยัง” จองวูยังคงหาทางทำให้ซองมินเลิกวุ่นวายกับคนป่วย โดยเอาชื่ออีกคนที่ต้องโทรรายงานตลอดมาอ้าง

     

                    “โทรหาแล้วหน่า...ไม่ต้องห่วงหรอก หรือถ้าฉันไม่โทรป่านนี้ก็มีโทรศัพท์มาจิกรอบที่ร้อยแปดแล้ว” ซองมินนึกไปถึงอีกคนที่น่าสงสารไม่ต่างจากคนที่นอนนิ่งอยู่ตรงหน้า

     

                    “แล้วหมอนั่นเป็นไงมั่ง” จองวูเองก็อดถามถึงไม่ได้ แม้จะไม่ค่อยชอบหน้ากันเท่าไหร่ แต่อย่างน้อยก็เป็นคนที่เคยเห็นกันมา และรับรู้ว่ารักฮีชอลแค่ไหน            

     

                    “แย่...” ซองมินเอ่ยอย่างเหนื่อยใจระคนสงสาร ความจริงแล้วไม่ใช่แค่ แย่...แต่

     

                    แย่มาก! ......

     

    แค่ฮีชอลเข้าโรงพยาบาล ซีวอนก็แย่มากแล้ว แล้วยังถูกพรากจากฮีชอล ไม่มีโอกาสมานั่งดูแล ไม่ได้อยู่ด้วยกันแบบนี้อีก.....

     

                    * ~ * ~ * ~ * ~ *~ * ~* ~* ~ * ~ * ~ * ~ * ~ * ~ * ~ *

    ร่างสูงที่เคยสง่างามแข็งแกร่ง กลายเป็นทรุดโทรมใบหน้ารกเรื้อด้วยหนวดเครารุงรัง รอบตาคล้ำอย่างคนไม่ยอมหลับไม่ยอมนอน ดวงตาลึกโบ๋ ใบหน้าคมสันกลายเป็นแห้งตอบพอๆกับร่างกายที่ผอมซูบเพราะไม่ยอมกินอะไร

     

                    “ซีวอนกินข้าวหน่อยเถอะลูก แม่ทำแต่ของที่ชอบมาให้ทั้งนั้นเลยนะ” กี่มื้อต่อกี่มื้อ ที่เด็กในบ้านยกมาให้ก็ไล่กลับไป จนเธอต้องเป็นคนยกขึ้นมาให้เองกับมือ

     

                    “ขอโทษครับแม่ แต่ผมไม่หิว” ชายหนุ่มแทบจะไม่ปรายตามองสำรับอาหาร มันเหมือนไร้ความรู้สึกไปแล้วในตอนนี้ มีเพียงแค่อย่างเดียวคืออยากเจอ ฮีชอล...

     

                    “ไม่หิวก็กินซักนิดเถอะซีวอน” กาอินขอร้องลูกชายเกือบจะทั้งน้ำตา ทั้งสงสาร ทั้งหวั่นใจ แต่ก็ช่วยอะไรไม่ได้เลย จะพูดกับสามีของเธอ ฝ่ายนั้นก็ไม่ยอมอ่อนลงเลยสักนิด เหมือนกับที่ซีวอนก็ไม่ยอม

     

                    พ่อกับลูกถอดแบบกันมาไม่ผิดเพี้ยน

     

                    “ผม....” มือหนาเช็ดน้ำตาให้แม่ด้วยความรู้สึกผิด แต่เขาก็ฝืนกินอะไรไม่ลงเหมือนที่ฝืนให้ยอมรับความห่างไกลจากฮีชอลไม่ได้

     

                    “นะลูก สักคำ สองคำก็ยังดี” กาอินยังคงไม่ละความพยายาม “กินเพื่อตัวเองไม่ลง ก็ถือว่ากินเพื่อฮีชอล ถ้าฮีชอลฟื้นมาเจอลูกเป็นแบบนี้ ฮีชอลจะไม่เสียใจหรอลูก”

     

                    คำพูดของแม่ ทำให้ชายหนุ่มต้องมองอาหารหลายอย่างที่เรียงรายอยู่ตรงหน้า แต่แค่ได้กลิ่นก็รู้สึกแย่ จนทำใจกินไม่ลง

     

                    คนเป็นแม่มองหน้าลูกก็พอจะเข้าใจความรู้สึกอยู่บ้าง ถึงได้ลูบแผ่นหลังกว้างอย่างปลอบโยน “แม่จะวางอาหารไว้ให้ ถ้ากินไหวก็กินเสียหน่อยนะ”

     

                    “ครับแม่”  ชายหนุ่มรับคำทั้งที่ยังไม่รู้เลยว่าอาหารมื้อนี้เขาจะได้แตะต้องมันหรือไม่

     

                    เพียงแค่ไม่นานที่มารดาลับหลังไป ซีวอนก็จมลงสู่ห้วงเหวที่มืดดำอีกครั้ง มีเพียงความเงียบเหงาที่อยู่ข้างกาย ไร้แสงสว่างส่องทางให้หลุดพ้นจากความรู้สึกนี้

     

                    “ฮีชอล เมื่อไหร่นายจะตื่นสักที อย่าทรมานฉันแบบนี้อีกเลยนะ” กี่พัน กี่ร้อยครั้งแล้วไม่รู้ที่ได้แต่พูดประโยคซ้ำๆ เดิมๆนี้ เหมือนที่ซองมินก็พูดประโยคเดิมๆ เวลาที่เขาโทรไปหา

     

                    /ฮีชอลยังไม่ฟื้นเลย/

     

                    น้ำตาเท่าไหร่แล้วไม่รู้ที่หยดลงมา จนเหมือนจะเป็นน้ำล้างตายามภาพที่ฮีชอลกำลังทุกข์ทรมานปรากฏขึ้นมาในความทรงจำ ตอกย้ำให้รับรู้ช่วงเวลาแห่งการหวาดกลัวนั่น

     

                    ชายหนุ่มนั่งจับเจ่าอยู่ที่เดิมจนกระทั่งเกิดความคิดบางอย่างขึ้น หนทางที่ดับมืดเริ่มมีแสงสว่างให้มองเห็น เขาไม่รู้ว่ามันดีหรือเปล่า รู้แต่เพียงว่า เขาต้องทำ!!

     

                    เป็นกำลังใจให้ฉันหน่อยนะฮีชอล.....

     

                    “อือ...” ไม่รู้ว่าหูฟาดไปเองหรือเปล่า แต่เสียงหวานใสที่ได้ยินหัวใจบอกเขาว่ามันคือเสียงของฮีชอลไม่ผิดแน่....มันทำให้เขามีกำลังใจมากขึ้นไปอีก

     

                    “เปิดประตูให้ผมหน่อย ผมมีเรื่องต้องคุยกับพ่อ” ซีวอนกระแทกประตู ตะโกนบอกคนข้างนอกเสียงดังด้วยแรงใจที่มากล้น

     

                    “ไม่ได้ครับ คุณไม่ได้รับอนุญาตให้ออกมาข้างนอก”

     

                    ซีวอนสะกดอารมณ์ ฟังคำพูดด้วยใจที่พยายามทำให้สงบ รักษาอารมณ์ไม่ให้วู่วามจนทำให้ทุกอย่างพังแบบที่แล้วๆมา

     

                    “ผมไมได้ต้องการออกไปข้างนอก ผมแค่ต้องการพบพ่อ คนที่เป็นเจ้านายของพวกคุณ”

     

                    “ไม่ได้ครับ ถ้านายไม่สั่งผมก็ไม่สามารถทำอะไรได้”  อีกฝ่ายยังคงตอบแบบแข็งทื่อเหมือนเครื่องจักรกลทำงานตามคำสั่งเท่านั้น

     

                    “งั้นไปบอกนายของพวกคุณ ว่าผมอยากพบให้มาหาหน่อย” ในเมื่อเขาออกไปหาพ่อไม่ได้ พ่อก็ต้องเป็นฝ่ายมาหา เขาจะไม่ยอมถูกขังอยู่แบบนี้อีกแล้ว

     

                    ซีวอนรอฟังเสียงการเคลื่อนไหว และแน่ใจว่าหน้าประตูมีคนเฝ้าอยู่ไม่ต่ำกว่ากว่า 3 คน และเพียงไม่นานพ่อก็เปิดประตูเข้ามาในห้อง

     

                    “มีอะไรจะคุยกับฉัน” เสียงของซูมินแข็งกระด้าง จ้องหน้าชายหนุ่มอย่างเฉยชา ความถือดีในตัวของลูกชายทำให้ความหวังที่คิดว่าซีวอนจะยอมเลิกรากับฮีชอลนั้นหายไป

     

                    “ผมขอโทษกับทุกเรื่องที่มันเกิดขึ้น ขอโทษที่ทำให้พ่อผิดหวังครับ” ความรู้สึกผิดฉายล้นออกมาทางแววตาแบบจริงใจ โค้งกายลงขอโทษผู้เป็นพ่อกับเรื่องราวที่เกิดขึ้น

     

                    ซูมินมองเห็นความจริงใจของลูกชายที่ขอโทษด้วยใจ แต่ก็ยังมีประกายของความมุ่งมั่นฉายชัดจนแน่ว่าสิ่งที่ซีวอนต้องการจะบอกไม่ได้มีแค่นี้แน่... “ยอมเลิกกับฮีชอลแล้วใช่ไหม ถึงมาได้มาขอโทษฉันแบบนี้”

     

                    “ไม่ครับ” เพียงแค่นั้น แค่มีคำพูดไปสะกิดใจก็ส่งให้สายตาของชายหนุ่มวาวโรจน์ขึ้นมา น้ำเสียงที่ตั้งใจไว้ กลายเป็นแข็งกระด้าง

     

    “ผมจะยอมทำทุกอย่างที่พ่อต้องการ ถ้าพ่อไม่ชอบใจที่ผมกับฮีชอลรักกัน เราจะย้ายออกไปอยู่ข้างนอก เราจะไม่เปิดเผยความสัมพันธ์ของเราให้ใครรู้ ขอแค่ให้ผมได้รักกับฮีชอล” น้ำเสียงทุ้มเต็มไปด้วยความอ่อนน้อมแต่มันก็หนักแน่นไม่มีสั่นพริ้วเลยสักนิด

     

                    ชเว ซูมินมองหน้าลูกชายพร้อมรอยยิ้มที่มุมปากอย่างในความหลุ่มหลงนี้ “สิ่แกแน่ใจว่าจะยอมทำทุกอย่าง?” เขาเอ่ยย้อนถามลูกชายอีกครั้ง ในดวงตาเต็มไปด้วยความเฉยชา “

     

                    “ครับ ทุกอย่างที่พ่อต้องการ” หนทางที่มืดมิดเริ่มมีแสงสว่างรำไรส่องนำทางให้ความรักเริ่มมีความหวัง

          

    “สิ่งที่ฉันต้องการคือให้แกเลิกกับฮีชอล ทำได้ไหมหล่ะ แล้วต่อจากนั้นใจแกอยากจะลืมใครมันก็เรื่องของแก”

     

                    “พ่อ!!” ชายหนุ่มจ้องมองหน้าของผู้เป็นพ่อด้วยความตกตะลึง จ้องมองเข้าไปในดวงตาที่เคยอบอุ่น แต่ตอนนี้มันกลับว่างเปล่าและไร้ความเมตตา มีแต่เพียงความดุดันเท่านั้น

     

                    “ถ้าแกทำไม่ได้ก็อย่าหวังว่าจะได้เจอกับฮีชอลอีกเลย” น้ำเสียงที่เปล่งออกมาช่างเรียบเรื่อย แต่กลับเต็มไปด้วยความเด็ดขาดที่ทุกสิ่งต้องเป็นไปตามคำสั่ง...

     

                    “พ่อจะทำอะไรฮีชอล อย่าทำอะไรฮีชอลนะพ่อ” ความลนลานเกิดขึ้นทันทีเมื่อชายหนุ่มหวาดกลัวและเป็นห่วงคนรักที่จนป่านนี้ก็ยังไม่ยอมตื่นขึ้นมา

     

                    “ฮีชอลก็เหมือนลูกเหมือนหลานคนนึง ฉันทำอะไรเขาไม่ลงหรอก แกไม่ต้องเป็นห่วงขนาดนี้ แต่สิ่งที่ฉันจะทำลายก็คือ.....ความรักของพวกแก!” ถ้อยคำสุดท้ายเน้นหนัก สบตาของลูกชายตอกย้ำให้รู้ว่าสิ่งที่เขาพูดมันต้องเกิดขึ้น ก่อนที่จะเดินออกจากห้องนี้ไป ทิ้งลูกชายผู้เจ็บช้ำและอ่อนแอไว้เพียงลำพัง

     

                    “ถ้าพ่อทำ มันก็ไม่ต่างจากฆ่าผมทั้งเป็น” ชายหนุ่มได้แต่พึมพำผ่านริมฝีปากที่แห้งแตก ความหนาวเข้ากัดกินจนถึงขั้วหัวใจ สองขาไร้เรี่ยวแรงจนต้องทรุดกายลงกับพื้น หัวใจที่เคยแข็งแกร่งกำลังกลัวสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้น “พ่อกำลังจะฆ่าผมให้ตาย ด้วยมือของพ่อเอง”

     

                    ชายสูงวัยชะงักท่อนขาที่กำลังก้าวจากไป รับฟังถ้อยคำที่ลูกกลั่นกรองออกมาจากความเจ็บปวดด้วยความร้าวรานไม่ต่างกัน ดวงตาที่เต็มไปด้วยความรัก ความเสียใจทอดมองลูกชายคนเดียวที่คงมองไม่เห็นความรักของเขาอีกแล้ว.......ก่อนปิดประตูห้องลงอย่างช้าๆ

     

                    “คุณคะ ลูก...” ซูมินคว้าร่างระหงของภรรยาคู่ชีวิตที่ยืนรอเข้ามาในอ้อมกอด ลูบไล้ต้นแขนขาวอย่างปลอบโยนและอาศัยเป็นที่ยึดเหนี่ยวหัวใจ “ยอมลูกไม่ได้หรือคะ”

     

                    “กาอิน...ใช่ว่าผมอยากทำร้ายลูกตัวเองแบบนี้ ใช่ว่าผมไม่เจ็บแทนลูก แต่ที่ผมก็เพื่อซีวอนทั้งนั้น เข้าใจผมนะ” ยามนี้ ชเว ซูมินไม่เหลือเค้าความเด็ดขาดที่โหดร้ายนั่นอีกแล้ว

     

                    “แต่ซีวอนกับฮีชอลเขารักกันมากนะคะ” น้ำตาของเธอไหลลงมาจนต้องอาศัยแผ่นอกหนาเป็นที่ซับน้ำตา

     

                    “ผมรู้ แต่สักวันเมื่อแกเข้าใจกฎของสังคม วันนั้นแกจะได้ไม่นึกเสียใจมากไปกว่านี้ เราต้องเข็มแข็งเพื่ออนาคตของลูก” เขาได้แต่หวังเมื่อความหลงใหลในกันและกันมันหมดไป ทั้งซีวอนและฮีชอล ก็คงรับไม่ได้กับอดีตที่แปดเปื้อนนี้ เพราะฉะนั้นที่เขาทำลงไปในวันนี้...ก็เพื่ออนาคตของเด็กทั้งสอง

     

    น้ำตาของชายวัยกลางคนที่ผ่านทุกข์ผ่านหนาวมานานไหลลงมาอย่างเอื่อยๆ เมื่อถ้อยคำของลูกยังสะท้อนให้ได้ยินชัดเจน บอกผ่านความเจ็บปวดและทรมานได้ชัดเจน......พ่อกำลังจะฆ่าผมให้ตาย ด้วยมือของพ่อเอง.......

                   

     * ~ * ~ * ~ *~ * ~* ~* ~ * ~ * ~ * ~ * ~ * ~ * ~ *

    “คุณอาครับ ถ้างั้นพวกผมสองคนขอตัวก่อนนะครับ” จองวูกล่าวลาพ่อและแม่ของฮีชอล เมือท่านกลับมาเฝ้าร่างบางที่ยังไม่ยอมฟื้นจนล่วงเข้าวันที่สามแล้ว

     

                    “จ๊ะ อาขอบใจทั้งสองคนมากเลยนะ ต้องมาลำบากเฝ้าฮีชอลตอนมืดแบบนี้” เฮย์ซูยิ้มขอบใจเด็กหนุ่มที่อุตส่าห์มานั่งเฝ้าไข้ให้

     

                    “ไม่เป็นไรหรอกครับ ฮีชอลเป็นเพื่อนของพวกเรา ยังไงก็ต้องมาอยู่แล้วใช่ไหม ซองมิน”  ร่างสูงหันไปหาเสียงสนับสนุนจากคนที่คนควรอยู่ข้างกาย แต่กลับไม่ยอมขยับจากข้างเตียง จนต้องเรียกชื่อย้ำกันอีกรอบ “ซองมิน”

     

                    “อะไรเล่า อย่าพึ่งขัดสิ มาช่วยฉันดูก่อนว่ามือของฮีชอลขยับจริง หรือว่าฉันตาฝาด” ไม่เพียงแค่เรียก แต่มืออวบๆยังกวักเรียกจนเพื่อนสนิทพร้อมด้วยผู้สูงวัยทั้งสองต้องเข้าไปดูอย่างคาดหวัง

     

                    “.......” ความเงียบเกิดขึ้นเมื่อสายตาทั้ง4 จับจ้องอยู่ที่มือบางอันขาวซีด นิ้วเรียวยาวค่อยๆเคลื่อนไหวทีละนิดจนยากจะรู้หากไม่สังเกตให้ดี

     

                    “มือของฮีชอล....” น้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความตื่นเต้นดีใจ สั่นเครือด้วยความตื้นตันของคนเป็นแม่ ก่อนที่จะหันไปหาสามีที่ยืนอยู่ไม่ห่างพร้อมหยาดน้ำใสที่ไหลรินไม่รู้ตัว “คุณคะลูกเรากำลังจะฟื้นแล้ว”

     

                    “ฮีชอล” แตวูเรียกลูกชายด้วยเสียงสั่นเทา สายตาเต็มไปด้วยความหวังจับจ้องบนใบหน้าที่ตอบซูบของลูกชาย จับมือภรรยาคู่ชีวิตเอาไว้แน่นด้วยกลัวความผิดหวัง

     

                    “อ่ะ....ตาจะเปิดแล้ว.” ซองมินที่จ้องอยู่ตาไม่กระพริบร้องบอกด้วยความดีใจเมื่อเปลือกตาของร่างบางเริ่มขยับ ประสานมือตัวเองแน่นด้วยความลุ้นระทึก

     

                    ร่างสูงใหญ่ของจองวูเกร็งเครียดขึ้นโดยไม่รู้ตัว สายตาจับจ้องที่ร่างบางเฝ้าภาวนาไม่ให้ครั้งนี้พวกเขาต้องดีใจเก้ออีกเลย

     

                    เปลือกตาบางขยับไหวทีละน้อยทีละน้อย ค่อยๆเปิดขึ้นทีละนิดก่อนปิดลงเพราะแสงที่ลอดผ่านเข้ามา แล้วเปิดขึ้นทีละนิด

     

                    “อืออออออ” เสียงครางครือในลำคอ แม้จะฟังดูแหบแห้ง แต่ก็ทำให้คนรอบเตียงที่ยืนเรียงรายด้วยความหวังยิ้มออกมาอย่างดีใจ....ในที่สุดการรอคอยอย่างแสนทรมานก็จบลงสักที

     

                    “.....”  กลีบปากแห้งแตกขยับไหว ต้องการพูดแต่กลับไม่มีเสียงออกมา มือบางลูบคอตัวเองเหมือนพยายามเค้นที่จะพูด

     

                    “กินน้ำก่อนนะฮีชอล” ซองมินที่ปาดน้ำตาทิ้งจนหมดรีบรินน้ำใส่แก้วยื่นหลอดเข้าถึงริมฝีปากซีดๆ จ้องมองเพื่อนอย่างดีใจ “ค่อยๆดูดนะฮีชอล”

     

                    “ฮีชอล..”

     

                    เสียงใสเย็นๆของแม่ทำให้ดวงตากลมมีน้ำตาคลอ รู้ดีว่าทำให้ทุกคนร้อนใจและเป็นห่วงเพียงไร ก่อนจะกวาดสายตาไปยังทุกคนที่รายล้อมอยู่รอบเตียง “แม่....พ่อ....ซองมิน....จองวู”

     

                    ดวงตากลมหยุดนิ่งที่ช่องว่างเหมือนรอให้ใครอีกปรากฏตัวขึ้น แต่ก็ไม่มีใครมายืนกลบช่องว่างนั้น แล้ว...... “ซีวอนหล่ะครับ”

     

                    คำถามที่รู้ว่าต้องเจอ แต่ก็ไม่มีใครอยากตอบเลยสักคน ทั้งหมดได้แต่นิ่งเงียบ ไม่กล้าบอกความจริงให้คนป่วยได้รู้ สายตาทั้งสี่คู่ไม่มีใครที่กล้าสบตาคนถามเลยสักคน

     

                    “เอ่อ....ออกไปตามหมอก่อนนะครับ” จองวูรีบหนีออกจากความอึดอัดที่เจ็บจี๊ดอยู่ในใจเหมือนยังมีเสี้ยนเล็กๆทิ่มแทงอยู่ แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ ที่ทำได้ก็มีเพียงแค่หนีออกมา

     

                    “เอ่อ...ซีวอน..มาไม่ได้หน่ะ” ซองมินค่อยๆอ้อมแอ้มบอกเพื่อนสนิท แต่กระนั้นก็ยังไม่กล้าสบตากลมโตที่เต็มไปด้วยความเจ็บปวด

     

                    “หรอ..ไม่เป็นไรหรอก” ร่างขาวซีดค่อยๆเปล่งคำออกมาทั้งทีสวนทางกับความรู้สึกของหัวใจในยามนี้ ต่อจากนี้คงไม่มีห้วงเวลาแห่งความสุขได้อีกแล้ว ถึงเวลาที่ต้องพรากจากกันแล้ว.....มันช่างไวจนไม่ทันได้เก็บเกี่ยวห้วงเวลาแบบนั้น

     

    แต่ไม่เป็นไรหรอก......แค่รู้สึกปวดร้าว จนเหมือนหัวใจแตกแยกออกเป็นส่วนๆเท่านั้นเอง แล้วมันก็จะชาชินไปเอง...หรือไม่ก็คง.....ลมหายใจอาจจะหมดก่อนให้หัวใจได้คุ้นเคยกับความเดียวดาย

     

                    “พ่อครับ แม่ครับ ผมขอโทษที่ทำให้เป็นห่วงนะครับ” เสียงหวานระโหยโรยแรงส่งยิ้มอ่อนแรงให้แก่บุพการี รู้สึกผิดที่ทำให้ทุกคนต้องเป็นห่วง เป็นกังวล

     

                    “ฮีชอลไม่ต้องขอโทษพ่อกับแม่หรอกลูก” เฮย์ซูเอ่ยบอกลูกทั้งน้ำตา มือเล็กบางลูปใบหน้าขาวซีดของลูกชายแล้วได้แต่สงสารแต่ไม่อาจช่วยอะไรให้ความรักครั้งนี้สมหวังได้เลย

     

                    คนเป็นพ่อมองรอยยิ้มที่ฝืนร่าเริงแต่ความจริงมันช่างแห้งแล้งและชวนให้หดหู่ของลูกชายแล้วได้แต่โกรธตนเอง ที่ทำอะไรไมได้ ค่อยๆบรรจงลูกหัวเล็กๆนั่นอย่างช้าๆ เป็นกำลังใจให้ลูกชาย

     

                    “เอ่อ..ฮีชอล ความจริงแล้วซีวอน” ร่างอวบนิ่งเงียบไปนาน มองผู้สูงวัยทั้งสองก่อนสูดหายใจเข้าลึกๆ แล้วบอกกับเพื่อนสนิท “ก็ยังคุยโทรศัพท์ได้ ฉันติดต่อให้นะ”

     

                    ร่างอวบไม่รอคำตอบจากเพื่อนรักรีบกดเบอร์โทรศัพท์ถึงอีกคนที่คงรอคอยข่าวดีนี้ด้วยใจที่ร้อนรน ก่อนยื่นโทรศัพท์ให้ร่างบางรับ

     

                    ดวงตากลมโตเหลือบมองหน้าพ่อและแม่ ไม่กล้าตัดสินใจว่าจะยอมให้อีกฝ่ายรับโทรศัพท์หรือชิงตัดสายไปก่อน แต่เพราะรอยยิ้มและกำลังใจจากทุกคนทำให้ร่างบางยังคงถือสายรอ

     

                    /ซองมิน ฮีชอลเป็นไงมั่ง ตื่น...../

     

                    น้ำเสียงร้อนรนจากปลายสายทำให้คนที่ฟังอยู่ตื้นตันจนน้ำตารื้นขึ้นมา ค่อยๆเอ่ยบอกอย่างช้าๆและชัดเจน  “ฉันสบายดี”

     

                    /ฮีชอลลล!!/ เสียงทุ้มร้องลั่นด้วยความดีใจ /นายจริงๆด้วย นายกลับมาหาฉันแล้วใชไหม/

     

                    “อื้อออ ฮึกกก” สุดท้ายร่างบางก็ไม่อาจกลั้นก้อนสะอื้นเอาไว้ได้ น้ำตาไหลอาบแก้มใสจนคนเป็นแม่ต้องค่อยๆไล่เช็ดให้ “ฉันกลับมาหานายแล้ว ฮึก.... ขอโทษนะ ฮึก.....”

     

                    /ฮีชอลไม่เอาสิ อย่าร้องไห้นะ อย่าร้อง/

     

                    “ซีวอน....” ฮีชอลกำลังจะเอ่ยถามด้วยใจโหยหา แต่คุณหมอก็เดินเข้ามาในห้องเสียก่อน “หมอมาแล้ว แค่นี้ก่อนนะ ฉันรักนายนะ”

     

                    /อื้อ อย่าดื้อกับหมอหล่ะ ฉันก็รักนายเหมือนกัน/ 

     

                    * ~ * ~ * ~ *~ * ~* ~* ~ * ~ * ~ * ~ * ~ * ~ * ~ *

    ชายหนุ่มยังคงถือค้างโทรศัพท์ที่ตัดสายไปแล้ว ด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มและเปรอะเปื้อนคราบน้ำตา ทั้งที่บอกฮีชอลว่าไม่ให้ร้อง แต่เป็นเขาที่มีน้ำตาเสียเอง....เป็นน้ำตาที่ไหลมาด้วยความยินดี แม้จะหวาดหวั่นกับอนาคตที่มองไม่เห็นก็ตาม

     

                    .....ในที่สุดนายก็กลับมาหาฉัน.....

     

                    “ฉันรักนายนะฮีชอล” ชายหนุ่มร้องบอกหวังให้สายลมพัดพาความรักนี้ไปโอบกอดร่างบางแทนอ้อมแขนของเขาที่ยังไม่อาจมอบความอบอุ่นให้แก่คนรักได้

     

                    ที่นอกห้องนั่นชายหนุ่มไม่รู้เลยว่ามีชายสูงวัยกำลังเดินผ่านมา และได้ยินถ้อยคำแสนหวานนี้อย่างชัดเจน “ฮีชอลคงฟื้นแล้ว คงต้องทำอะไรสักอย่าง พ่อขอโทษนะซีวอน แต่ทั้งหมดก็เพื่อซีวอนกับฮีชอลทั้งนั้น”

                   

                    * ~ * ~ * ~ *~ * ~* ~* ~ * ~ * ~ * ~ * ~ * ~ * ~ *

    “ฮีชอลกินอีกหน่อยดิ ฉันอุตส่าห์กางตำราทำมาให้นายเลยนะ” ซองมินนั่งเง้างอดอยู่ข้างเตียงเพื่อนที่ยอมกินซุปของเขาไปได้แค่คำสองคำก็เบือนหน้าหนี

     

                    “ไม่เอาแล้ว ฉันกินมาทั้งนั้นแล้วนะ” ฮีชอลมองหน้าเพื่อนก็รู้ซึ้งถึงความตั้งใจที่อีกฝ่ายมีให้ แต่วันนี้ก็กินครบ 3 มื้อแล้ว จะให้กินมื้อดึกอีกก็ไม่ไหว

    “กินทั้งวันที่นายพูดหน่ะ คุณอาบอกฉันว่าแต่ละมื้อไม่เกิน 5 คำ แล้วมันจะพอได้ยังไง ร่างกายนายต้องการสารอาหารที่มีประโยชน์นะ” ร่างอวบยังไม่ยอมแพ้ปากบ่นไปมือก็ยกช้อนขึ้นจ่อปากซีดของเพื่อนรัก

     

                    กลีบปากของบางของคนป่วยเม้มเข้าหากันแน่น ส่งสายตาขอความช่วยเหลือไปยังเพื่อนอีกคนที่นั่งกอดอกอยู่เงียบๆที่มุมห้อง

     

                    จองวูหัวเราะในลำคอเมื่อได้รับสัญญาณขอความช่วยเหลือจากเพื่อนที่นอนป่วยอยู่ “ซองมินพอเถอะ ดูหน้าฮีชอลดินั่นหน่ะ”

     

                    “แต่ฉันทำกับมือเลยนะ มีแต่ของบำรุงร่างกายทั้งนั้น บำรุงเลือดด้วย” คนที่อุตส่าห์ทำมาให้บรรยายสรรพคุณอาหารในถ้วยอย่างไม่ลดละ

     

                    “ก็เพราะนายทำหรือเปล่า ฮีชอลถึงไม่อยากกิน?”

     

                    สีหน้าและคำพูดของจองวูเรียกอารมณ์ความโมโหของซองมินจนอดไม่ได้ต้องลุกไปจัดการ

     

                    “เฮ้ยจะทำอะไรฉันหน่ะ” แค่เห็นหน้าของซองมินจองวูก็ต้องลุกหนีจนเกือบจะเป็นการวิ่งไล่จับในห้องพักคนไข้

     

                    “ซองมิน จองวู นี้มันโรงบาลนะ ไม่ใช่ที่คณะ เกรงใจห้องข้างๆหน่อยสิ” ฮีชอลปรามเพื่อนรักสองคนอย่างเหนื่อยใจ ทะเลาะกันได้ทุกที่ ทุกเวลาจริงๆ

     

                    ซองมินจำต้องกลับมานั่งที่เดิม หันไปคาดโทษเพื่อตัวสูงที่ยักคิ้วกวนอารมณ์มาให้ “คอยดูนะ กลับบ้านเมื่อไหร่ นายตายแน่”

     

                    “แล้วฉันจะคอยดูนะ ฮ่าๆๆ” จองวูรับคำท้าแบบร่าเริง ส่งผลให้คนป่วยต้องกลั้นขำจนตัวสั่น เลยถูกเพื่อนตัวอวบงอนให้อีกคน

     

                    “โอ๋ ไม่งอนนะ นะซองมิน”

     

                    (!)&$%^^$!^$(!)  ฮีชอลยังไม่ได้ง้อจนเพื่อนหายโกรธเสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้นเสียก่อน แล้วมันก็เป็นเพลงที่ตั้งไว้เพื่อคนคนเดียวเท่านั้น “ซองมินหยิบโทรศัพท์ให้หน่อยสิ ซีวอนโทรมาแล้ว”

     

                    เพราะเข็มน้ำเกลือที่เจาะคาหลังมือขาว และอีกข้างที่หลังมือมีรอยช้ำเป็นจ้ำใหญ่จากการเจาะให้เลือด หมอจึงไม่อยากให้เคลื่อนไหวมือทั้งสองข้างมาก ทำให้ซองมินต้องช่วยหยิบโทรศัพท์พร้อมสมอทอล์คให้เพื่อน “พอซีวอนโทรมาก็เลิกง้อฉันเลยนะ”

     

                    “......”ไม่มีคำพูดจากร่างบาง มีเพียงรอยยิ้มประจบเท่านั้น ในขณะที่คนพูดก็ช่วยเหลือเพื่อนเต็มที่ด้วยการใส่หูฟังให้เสร็จสรรพ

     

                    “หวัดดีซีวอน” เสียงหวานทักทายอย่างสดใสให้คนโทรมาได้ชื่นใจ

     

                    /เสียงใสจังเลยนะ แสดงว่าวันนี้ไม่มีอาการอะไรแล้วใช่ไหม/

     

                    น้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความห่วงใยทำเอาคนป่วยยิ้มกว้าง “อือไม่เป็นไรแล้ว เดี๋ยวก็กลับไปหานายที่บ้านได้แล้ว” ฮีชอลไม่รู้ความจริงที่ทุกคนปกปิด ทำให้พูดออกไปแบบนั้น เพราะทุกคนบอกว่าซีวอนต้องไปทำธุระแทน ชเว ซูมิน ผู้เป็นพ่อ ที่ต่างจังหวังไม่อาจมาเยี่ยมได้

     

                    /....../ ชายหนุ่มนิ่งงันไปในทันที เพราะรู้ว่าวันที่จะได้อยู่ด้วยกันอีกครั้งนั่นช่างเลือนรางและอยู่แสนไกล

     

                    “ซีวอน ซีวอน นายยังอยู่ไหม” เพราะอีกฝ่ายเงียบหายไป ทำให้ร่างบางต้องเรียกชื่อคนรัก

     

                    /อยู่สิ โทษที สัญญาณมันไม่ดีหน่ะ/ ซีวอนบอกไปแบบนั้นก่อนลอบถอนหายใจเบาๆ มือกอบกุมหัวใจที่รู้สึกเจ็บปวดและวูบโหวง

     

                    “อ้อ ไม่เป็นไร ว่าแต่กินข้าวหรือยังเนี่ย”

     

                    /กินแล้วสิ ป่านนี้แล้ว/ ชายหนุ่มบอกกล่าวด้วยเสียงเบา สายตาตวัดมองจานข้าวตัวเองที่พร่องไปไม่ถึงครึ่ง

     

                    “ดีแล้ว กินเยอะๆ รู้ไหมว่าคุณน้าโทรมาบอกด้วยว่านายหน่ะไม่ยอมกินข้าว”

     

                    /หรอ/

     

                    “ซีวอน ฮีชอลไม่ยอมกินข้าว ฉันทำซุปมาให้กินก็กินไปไม่ถึง 5 คำ” ซองมินเห็นได้จังหวะรีบตะโกนฟ้องคนปลายสายทันที

     

                    “แล้วนายทำงานแทนคุณอาเหนื่อยไหม” ร่างบางรีบเปลี่ยนเรื่องกลบเกลื่อนหวังว่าคนปลายสายจะไม่ได้ยิน

     

                    /แล้วทำไมกินน้อยหืมม์/

     

                    “อะไรฉันถามว่านายเหนื่อยไหม”

     

                    /ฉันได้ยินที่ซองมินตะโกนบอกนะ อย่าโมเมเปลี่ยนเรื่อง/

     

                    “อ้าวหรอ ฮ่าๆ ก็มันกินไม่ลงหนิ พอฉันรู้ว่านายไม่ค่อยกิน ก็เลยกินไม่ลงเหมือนกัน”

     

                    /อย่าอ้างนะฮีชอล/

     

                    “นิดเดียวเอง ก็อย่าดุสิซีวอน” ปลายเสียงร่างบางล้อเลียนชายหนุ่ม ใบหน้าหวานมีแต่รอยยิ้มประดับ น้ำเสียงร่าเริงจนดูไม่เหมือนคนป่วยที่พึ่งผ่านพ้นอาการโคม่า

     

                    ส่วนชายหนุ่มที่อีกฝากของสาย ก็ร่าเริงและมีความสุขจนแทบลืมไปแล้วตอนนี้ถูกกักขังอยู่เพียงแค่ในห้องแคบ แม้จะเทียบไม่ได้กับการได้อยู่เคียงข้างคนรัก แต่ในตอนนี้ ที่ยังมองไม่เห็นแม้แต่แสงสว่าง แค่นี้ก็มากพอแล้ว

     

                    เหมือนมันจะเป็นเศษเสี้ยวความใจดีที่พ่อหยิบยื่นมาให้เขา ที่ไม่ต่างจากคนหลงทางกลางทะเลทรายที่เห็นค่าของหยดน้ำเล็กๆ ที่เป็นพลังหล่อเลี้ยงให้ชีวิตได้มีวันพรุ่งนี้

     

      หรือบางที นี้อาจเป็นยาพิษ ที่จะทำให้เขาตายลงช้าๆโดยไม่รู้สึกตัว ถ้าเป็นอย่างนั้น....เขาก็พร้อมรับยาพิษนี้!

     

                    คนทั้งสองพูดคุยกันอย่างไม่รู้เบื่อต่างยิ้มและหัวเราะจนผ่านไปเนิ่นนานเข้าสู่ช่วงดึก ที่ชายหนุ่มคิดว่าคนรักของเขาควรพักผ่อนได้แล้ว /ง่วงหรือยังฮีชอล/

     

                    “นายง่วงแล้วหรอ”

     

                    /ง่วงแล้ว ไปนอนกันดีกว่าเนอะ/ คนปลายสายยอมเป็นฝ่ายง่วงนอนเพื่อให้คนป่วยได้นอนพักผ่อน

     

                    “อือ พรุ่งนี้โทรมาไวๆนะ”

     

                    /ครับผม ไปนอนได้แล้ว ฝันดีนะ/

     

                    “จะฝันถึงนายทั้งคืนเลย ฝันดีเหมือนกันนะซีวอน” 

     

                    /ครับ/ ชายหนุ่มรับคำอีกรอบ รอให้คนรักตัดสายแล้วจึงวางโทรศัพท์ลง ใบหน้าคมสันยิ้มกริ่มคืนนี้คงนอนหลับฝันดีได้อย่างที่มีคนอวยพรเอาไว้

     

                    “เอ้า ยิ้มมาเป็นชั่วโมงแล้วไม่เมื่อยแก้มหรือไงฮีชอล” ซองมินแซวเพื่อนจากมุมห้องที่ย้ายมานั่งตั้งแต่เพื่อนรักคุยโทรศัพท์ได้ไม่ถึง 10 นาที

     

                    “ไม่เมื่อยหรอก” ใบหน้าสวยหวานยังคงยิ้มกว้างคิดไว้ว่าอีกไม่นานก็จะได้เจอคนรักแล้ว อดทนรอแค่อีกไม่กี่วันเท่านั้น

                   

    “ไม่เมื่อยแต่ก็ต้องนอนได้แล้วนะฮีชอล ดึกมากแล้ว” จองวูเห็นตาใสๆของร่างบางเลยต้องจัดการให้เข้านอนได้แล้วก่อนที่จะดึกไปกว่านี้

     

                    “อืออ ฝันดีนะ” ฮีชอลรับคำอย่างว่าง่าย นอนห่มผ้าแล้วหลับใหลไปอย่างรวดเร็วทั้งที่รอยยิ้มยังไม่จางหายไปจากใบหน้า

                   

                    * ~ * ~ * ~ *~ * ~* ~* ~ * ~ * ~ * ~ * ~ * ~ * ~ *

                    “แม่ครับผมกินเองก็ได้ หมอยังบอกเลยว่าผมแข็งแรงขึ้นเยอะแล้ว” ร่างบางบนเตียงเอ่ยประท้วงเมื่อมีช้อนจ่ออยู่ติดปากด้วยฝีมือของคนเป็นแม่

     

                    “กินเองได้?” คนเป็นแม่ขึ้นเสียงสูง จ้องมองตาแป๋วๆของลูกชาย “ดูที่หลังมือเราสิ ยังเขียวเป็นรอยอยู่เลย ไว้รอให้ไม่เขียวก่อนแล้วค่อยมาต่อรอง”

     

                    “โธ่แม่ พ่อดูแม่สิ” เรียวปากอิ่มมู่ร้องหาเสียงสนับสนุนจากผู้เป็นพ่อที่นั่งอ่านหนังสือพิมพ์อยู่ ไม่สงสารลูกตัวเองเลยสักนิด

     

                    “ก็ตามใจแม่เค้าไปเถอะ อยากทำอะไรก็ให้เขาทำ ถือซะว่าสบายมีคนป้อน” คุณพ่อยังดูดีหันมามองลูกชายบนเตียงคนไข้แล้วได้แต่ยิ้มที่ยังเห็นความสดใสในดวงตาคู่นั่น

     

                    แต่ไม่รู้เมื่อไหร่ที่แววตาแบบนี้จะหายไป....คงเมื่อได้รับรู้ความจริงที่โหดร้าย

     

                    “พ่อลองให้แม่ป้อนไหมหล่ะครับ”

     

                    “พ่อกับแม่หน่ะ ต้องแอบป้อน เรื่องไรจะให้แกเห็น”

     

                    “คุณค่ะ” เป็นเฮย์ซูที่ต้องหยุดสองพ่อลูกคู่นี้แล้วมานั่งจ้ำจี้จ้ำไซลูกชายไม่ต่างจากป้อนข่าวเด็กน้อย

     

                    ก๊อกๆๆ เสียงเคาะประตูดังลั่น ทำเอาสามคนพ่อแม่ลูกต้องหันหน้ามามองกัน ก่อนคนเป็นพ่อจะลุกขึ้นไปเปิดประตูห้องคนไข้ เพื่อต้อนรับแขกที่มาเยี่ยมลูกชาย

     

                    “คุณค่ะใคร...” เฮย์ซูตั้งใจจะถามด้วยรอยยิ้ม แต่ทันทีที่เห็นว่าเป็นใครเดินตามหลังสามีมา ใบหน้าที่อิ่มด้วยรอยยิ้มก็พลันซีดเผือด ดวงตาจับจ้องผู้ที่กำลังเดินมาไม่วางสายตา “คุณซูมิน?”

     

                    “คุณอา....” เพราะยังจำเสี้ยวสุดท้ายก่อนหมดสติได้ดี ทำให้ฮีชอลอดหวาดหวั่นชายผู้เคยมีแต่ความเมตตาคนนี้ไม่ได้

     

                    “แข็งแรงขึ้นมากแล้วนิเราหน่ะ” ในวงหน้าเข้มดูมีความเอื้ออาทร ส่งผ่านความอ่อนโยนด้วยมือที่ลูบศีรษะเล็กของคนป่วยอย่างแผ่วเบา ในน้ำเสียงไร้ร่องลอยของความโกรธเกลียด

     

                    “ครับผม”  ดวงตากลมจ้องมองใบหน้านั้นอย่างแปลกใจกึ่งปนดีใจ อดไม่ได้ที่จะเกร็งตัวในวินาทีแรกที่รับสัมผัสจากมือใหญ่ ก่อนผ่อนคลายด้วยความโล่งใจ ที่เรื่องราวไม่ร้ายกาจอย่างที่กลัว

     

                    “อามาเยี่ยม แล้วก็อยากมาคุยกับเรา”

     

                    จากที่เบาใจกลายเป็นเริ่มหวาดหวั่น ค่อยช้อนสายตาขึ้นมองผู้สูงวัยอย่างไม่แน่ใจ แม้แต่เฮย์ซูและแตวูยังอดไม่ได้ที่จะมองหน้ากันและกัน ความเคร่งเครียดเริ่มครอบงำห้องเล็กๆนี้

     

                    “ผมขอคุยกับฮีชอลตามลำพังได้ไหมครับ” ใบหน้าคมเข้มหันกลับมามองผู้อยู่เบื้องหลังทั้งสอง ก่อนตวัดสายตามายังคนรักของลูกชายที่นอนเกร็งตัวอยู่บนเตียง

     

                    “แต่หมอบอกว่าฮีชอลยังไม่”

     

                    “ไม่เป็นหรอกครับแม่” ฮีชอลรีบพูดขัดแม่ขึ้นมา แม้จะกลัวเพราะไม่รู้ว่าเรื่องที่พ่อคนรักต้องการพูดคืออะไร แต่เขาก็อยากรู้ “ผมแข็งแรงพอครับแม่”

     

                    “แต่...” เฮย์ซูอดไม่ได้ที่จะเป็นห่วงลูกชายคนเดียว

     

                    “ไม่เป็นไรหรอกคุณ หมอกับพยาบาลก็อยู่กันเยอะ อีกอย่างคุณซูมินคงไม่ทำร้ายลูกเราหรอก” ชายวัยกลางคนปลอบใจภรรยา ก่อนหันไปหาแขกผู้มาเยือน “คุณจะไม่ทำร้ายฮีชอลไม่ว่าจะเป็นคำพูดหรือการกระทำ ใช่ไหมครับคุณซูมิน”

     

                    “ครับ ผมขอเวลาแค่ไม่นาน พวกคุณมั่นใจได้เลย”

     

                    “เห็นไหม คุณหน่ะกลัวไปเอง ออกไปข้างนอกเถอะ ให้คุณซูมินได้คุยธุระกับลูกเราสักที” ทั้งที่ใจจริงก็ไม่อยากจะออกไป แต่ในเมื่อเป็นความต้องการของลูกชายเขาก็จำต้องออกไปแทนที่จะได้อยู่ปกป้องลูกชายอย่างที่ใจอยาก

     

                    “ถ้าเกิดอะไรขึ้นร้องเสียงดังๆนะฮีชอล” ก่อนออกจากห้อง เฮย์ซูไม่ลืมหันมาบอกลูกชายด้วยความเป็นห่วง

     

                    “ซีวอนไม่ได้มาหาเราเลยสินะ” ชายสูงวัยเริ่มต้นคำถามที่รู้คำตอบดีอยู่แล้ว

     

                    “ครับ ฮีชอลตอบคำถามทั้งที่กำลังไม่เข้าใจ ในเมื่อพ่อของซีวอนก็น่าจะรู้ว่าซีวอนกำลังยุ่งอยู่กับงานมาแค่ไหน

     

                    “แล้วเราน้อยใจหรือเปล่า ทั้งที่ป่วยหนักขนาดนี้แต่แฟนกลับไม่มาเยี่ยมเลย” ผู้สูงวัยยังคงควบคุมอารมณ์ได้เป็นอย่างดี ไม่ยอมให้ความสงสารเข้าครอบงำจนใจอ่อน

                    ร่างบางบนเตียงคนไข้มองหน้าพ่อของคนรัก พยายามทำความเข้าใจ แล้วส่งยิ้มให้ด้วยความเคารพ นี้คงเป็นคำถามลองใจ  ที่แค่ตอบตามความจริงก็เท่านั้น “ไม่หรอกครับ ผมรู้ว่าซีวอนงานยุ่ง แล้วแค่คุณอายอมรับความรักของเราทั้งสองคน แค่นี้พวกเราก็โชคดีมากแล้ว ผมไม่น้อยใจกับเรื่องแบบนี้หรอกครับ”

     

                    “เข้าใจแบบนี้นี่เอง  แล้วถ้าไม่ได้เป็นอย่างที่เราเข้าใจหล่ะ”  สายตาเฉียบคมจับจ้องร่างบางไม่ละสายตา ถึงได้เห็นความเปลี่ยนแปลงบนใบหน้าหวานชัดเจน

     

                    จากสดใส กลายเป็นสงสัย และสิ้นสุดที่ซีดเผือด

     

                    ไม่รู้ว่าเพราะคิดไปเองหรือเปล่า ฮีชอลถึงได้รู้สึกว่าน้ำเสียงของคุณอาค่อยๆเย็นชาขึ้น ทั้งที่ก็ยังเป็นโทนเสียงเดิม ช่างเย็นชาเสียจนเจ็บร้าวอยู่ในอก “มะ...หมายความว่า...”

     

                    ซูมินมองเข้าไปในดวงตาของหลานชายที่เคยสดใส แต่ตอนนี้มันเต็มไปด้วยความกังวล ความเสียใจ ความทุกข์ และหยาดน้ำตา “อาไม่ยอมรับ และซีวอนก็ไม่ได้ยุ่งกับงานอยู่ที่ไหน อาไม่รู้ว่าใครพูดอะไรให้เราฟังบ้าง แต่ความจริงก็คือ อาไม่ให้ซีวอนมาที่นี้ ห้ามไม่ให้ซีวอนติดต่อกับเราอีก ด้วยวิธีของอา แต่ลูกชายอามันก็ดื้อด้านแบบที่เราน่าจะรู้อยู่”

     

                    ฮีชอลรับฟังด้วยความนิ่งอึ้ง สิ่งที่ฟังจากทุกคนกับความจริงมันช่างแตกต่าง ร่างบางนึกไม่ออกเลยว่าตอนนี้ซีวอนจะเป็นเช่นไร จะเจ็บปวดแค่ไหน แล้วทำไมโทรศัพท์ต้องแกล้งร่าเริงและมีความสุขด้วย

     

                    ทำไม......

     

                    “ฮีชอลอาจจะมองว่าอาใจร้ายที่ทำแบบนี้ แต่ที่อาทำก็เพื่อเรากับฮีชอลทั้งนั้น วันนี้อาจจะไม่เข้าใจ แต่เมื่อเราโตกว่านี้ เมื่อเราทั้งคู่เข้าใจโลกมากกว่านี้ วันนั้นเราจะเข้าใจสิ่งที่อาทำ และนึกเสียใจที่เคยปล่อยให้ความรักที่ผิดๆถลำลึกมาถึงขั้นนี้ เลิกกับซีวอนซะ เชื่ออาเถอะ”

     

                    ดวงหน้าหวานส่ายไปมาช้าๆ ไม่เชื่อในคำพูดนั้น พวกเขาจะไม่มีวันเสียใจที่ได้รักกัน ไม่ว่าใครจะมองเช่นไร ขอแค่ยังมีความรักของซีวอนอยู่เท่านั้น คนทั้งโลกก็ไร้ความหมาย

     

                    ซูมินมองหน้าเด็กหนุ่มด้วยความสงสาร ความรู้สึกกับสิ่งกระทำมันขัดแย้งอยู่ภายใน แต่นี้ก็คือสิ่งที่ดีที่สุด เหมาะสมที่สุดแล้ว นัยย์ตาแห้งผากจับจ้องลูกแก้วใสอาบน้ำตา ก่อนตัดใจหยิบรูปถ่าย 3-4 ใบที่พกมาให้คนป่วยดู

     

                    ฮีชอลรับภาพเหล่านั้นขึ้นมาด้วยอย่างเงียบๆ ภาพทุกภาพคือซีวอน แต่ไม่ใช่ซีวอนที่รู้จัก ไม่มีซีวอนที่หล่อเหล่า ร่างกายแข็งแรงสูงใหญ่ มีเพียงซีวอนที่ซูบผอม ใบหน้าคมสันเต็มไปด้วยริ้วของความทุกข์โศก ดวงตาคมที่เคยทอประกายกลับเหม่อลอยเหมือนคนไร้จุดหมาย ห้องที่เคยเป็นระเบียบก็รุงรังด้วยข้าวของที่กระจัดกระจาย ทุกภาพต่างอิริยาบถ แต่ล้วนบอกเหมือนกันว่าคนในภาพไม่หลงเหลือความสุขในชีวิตอีกแล้ว

     

                    “รูปพวกนี้อาตัดมาจากกล้องวงจรปิดที่เข้าไปติดไว้ ฮีชอลลองตัดสินใจดูนะลูกว่าจะทรมานซีวอนอยู่แบบนี้ หรือจะยอมให้ซีวอนได้มีความสุข ถือว่าทำเพื่อซีวอนและตัวเราเอง คิดดูนะลูก อากลับก่อนนะ หายไวๆหล่ะ” มือหนายังคงอ่อนโยนไม่เปลี่ยนแปลงยามลูบลงบนกลุ่มผมนุ่ม ก่อนเดินออกจาห้องไปอย่างสง่างามและเชื่อมั่นในการตัดสินใจของฮีชอลว่าจะเป็นไปอย่างที่ตนต้องการ....

     

                    ร่างบางที่ยังคงนั่งมองรูปภาพในมืออยากจะส่งคำขอโทษไปให้คนในภาพ ความรู้สึกผิดและคิดโทษตัวเองที่ทำให้คนรักเป็นแบบนี้ ทำให้น้ำตาที่คลอในดวงตากลายเป็นไหลอาบแก้ม ไม่อาจทนต่อความเสียใจได้อีก ยอมปล่อยให้ร่างกายร้องไห้อย่างที่ใจดวงน้อยๆต้องการ เพราะคิดว่ามันจะช่วยลดความเจ็บปวดไปได้บ้าง

     

                    ...ฉันขอโทษนะซีวอน.... หากวันนั้นฉันตายไป วันนี้นายก็คงไม่ต้องทนทรมานแบบนี้

     

                    “ฮีชอลร้องทำไมลูก เกิดอะไรขึ้น” เฮย์ซูถลาเข้ากอดลูกชายทันทีที่เห็นว่าบนใบหน้าใสไหลอาบด้วยน้ำตา ร่างกายผอมบางสั่นสะท้านจนน่ากลัว “เขาทำอะไรลูก”

     

                    “แม่ครับ...ผม...ทำร้ายซีวอนอยู่ใช่ไหมครับ ทำไมต้องปิดบังกันด้วย” น้ำเสียงปริ่มขาดใจของลูกชายทำให้คนเป็นพ่อและแม่ต้องหันมองหน้ากัน ก่อนที่แตวูจะก้มหยิบรูปภาพที่ลูกชายทำหล่นขึ้นมาดู แล้วทำความเข้าใจว่าคนที่พึ่งเดินออกไปคงมาพูดเพื่อให้ฮีชอลของเขารู้สึกผิด

     

                    “ลูกไม่ได้ทำร้ายซีวอน นะฮีชอล อย่าคิดแบบนั้น ถ้าซีวอนรู้เขาเข้าคงเสียใจแย่ที่ลูกคิดแบบนั้น” แตวูปลอบลูกชายด้วยความอ่อนโยน นึกโกรธคนที่พึ่งออกไป

     

                    “ไม่....ไม่ ผมทำร้ายซีวอน” ร่างกายที่ร้อนไห้จนสั่นสะท้านพร่ำพูดแต่คำเดิมๆ จนกระทั่งพล่อยหลับไปในอ้อมกอดของมารดา ทั้งที่หลับไปแล้ว แต่ยังวนเวียนเพ้อประโยคเดิม “ฉันทำร้ายนาย ขอโทษนะซีวอน”         

                   

                    * ~ * ~ * ~ *~ * ~* ~* ~ * ~ * ~ * ~ * ~ * ~ * ~ *

     

    (!)&$%^^$!^$(!)  เสียงโทรศัพท์มือถือที่วางไว้ข้างหัวเตียงดังขึ้นด้วยทำนองเพลงรักสุดหวาน ปลุกให้คนที่เหนื่อยอ่อนตื่นขึ้น รับรู้ได้ถึงคราบน้ำตาบนใบหน้า ก่อนที่มือจะเอื้อมคว้ามือถือไว้ ดวงตากลมมองไปยังมุมห้องที่พ่อนั่งอยู่เพียงลำพัง

     

                    /หลับอยู่หรอ หืมม์ รับสายช้านะเรา/ เสียงที่ฟังดูร่าเริงจากคนปลายสายทำให้น้ำตาที่แห้งไปแล้วไหลกลับออกมาอีกครั้ง

     

                    “ซีวอนน ฮึก.... เจ็บอยู่หรือเปล่า ฮึก....ฉันขอโทษ” จากที่เคยตั้งใจว่าจะเข้มแข็ง แต่เพียงแค่ได้พูดก็เหมือนว่าไม่อาจฝืนทนได้ต่อไป

     

                    /ขอโทษอะไร นายเป็นอะไรฮีชอล  เกิดอะไรขึ้น/ เพราะคำถามแปลกๆทำให้ชายหนุ่มเริ่มหวั่นใจว่าสิ่งที่ปกปิดจะไม่เป็นความลับ ได้แต่ภาวนาว่าพ่อจะไม่ทำแบบนั้น

     

                    “นาย.....เจ็บอยู่ใช่ไหม ซีวอน ทำไมไม่บอกฉัน” ร่างกายที่หอบสั่นถูกผู้เป็นพ่อโอบประคองเอาไว้ ใบหน้าที่ประดับด้วยริ้วรอยฉายแววไม่เห็นด้วยกับสิ่งที่ลูกชายพูด

     

                    /ฮีชอลนายกำลังพูดเรื่องอะไร ใครเจ็บหืมม์ อย่าร้องนะคนดี/ ซีวอนแน่ใจแล้วว่าสิ่งที่เขากลัวมันคือความจริง

     

                    “เจ็บไหมซีวอน” ร่างบางไม่เชื่อในสิ่งที่คนรักบอก เพราะรูปมันบอกชัดทุกอย่างแล้ว “นายทรมาน...ฮึก...ตัวเองกะ.... เกินไปแล้ว ทำไมไม่บอกความจริงกับฉัน ฮึก....ปิดบังฉันทำไม” คำถามพรั่งพรูออกมาพร้อมเสียงที่สั่นไหว ภาพของซีวอนยังคงฉายชัด

     

                    /ฮีชอลนายพูดอะไร  ฉันจะเจ็บ จะทรมานได้ไง แค่มีนายอยู่ ฉันก็ไม่มีวัน../

     

                    “ไม่..ฮึก.....ยะ..อย่าหลอกฉัน ยะ...”

     

                    /ฉันรักนาย/ ชายหนุ่มรีบชิงพูดก่อนที่คนรักจะได้พูดจบ ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ต่อให้เจ็บกว่านี้ ทรมานกว่านี้ เขาก็ไม่กลัว สิ่งเดียวที่กลัวคือ....การไม่มีฮีชอลอยู่ข้างๆ

     

                    “.......” ถ้อยคำรักที่หนักแน่นพาให้ร่างบางได้แต่เงียบงัน ใช่ว่าจะไม่โหยหา แต่เพราะคำนี้ไม่ใช่หรือที่ทำให้ซีวอนต้องเป็นแบบนี้  ถ้ามันจะแลกมาด้วยความเจ็บปวดของคนรัก เขาก็พร้อมจะเสียมันไป

     

                    /ได้ยินไหมฮีชอล ว่าฉันรักนาย/ เสียงทุ้มแต่พร่า กลัวเหลือเกินว่ามันจะส่งไปไม่ถึงร่างบางที่อยู่ปลายสาย /ฮีชอล/

     

                    “...พะ พอได้แล้วววซีวอนน  พอได้แล้ว ” หัวใจดวงเล็กกำลังร่ำร้อง แต่ต้องฝืนห้ามลงมือแร่มันออกมาเป็นชิ้นๆ “อย่ารักฉันอีกเลย ลืมฉันไปให้หมด อย่าทรมานตัวเองเพื่อฉัน เกลียดฉันแบบเมื่อก่อนก็ได้ แต่อย่ารักฉันอีกเลยนะซีวอน” มือบางตัดสายโทรศัพท์ลงทันที ไม่อยากจะฟังอะไรต่อจากนั้น หัวใจดวงเล็กแตกสลายไปแล้วด้วยมือของตัวเอง

     

                    /ฮีชอลลลล/ เสียงสุดท้ายที่ลอดออกมามันช่างแสนอบอุ่นอ่อนหวาน แต่ไม่ต่างอะไรกับเปลวไฟร้อนที่เผาไหม้เศษซากหัวใจให้มอดไหม้กลายเป็นเถ้าถ่าน

     

                    ทั้งที่ไม่เหลือน้ำตาจะไหล อ่อนแรงจนเหนื่อยหอบ ผวาเข้าหาอ้อมกอดของพ่อที่คอยให้กำลังใจอยู่เคียงข้างไม่ห่างไปไหน

     

                    มือที่อ่อนโยนลูบหัวเล็กๆของลูกน้อยด้วยความสงสาร แต่ก็ไม่อาจพูดอะไรได้ เพราะมันคือสิ่งที่ฮีชอลตัดสินใจไปแล้วเขาทำได้แค่เพียงประคับประคองชีวิตที่เปราะบางนี้อย่างดีที่สุด

     

                    “พ่อครับ ผมรักซีวอน ผมทำถูกแล้วใช่ไหม” ฮีชอลได้แต่ร้องไห้สะอึกสะอื้นอยู่กับอกของพ่อ

     

                    คนเป็นลูกไม่รู้หรอกว่าน้ำตาที่ซึมออกมาจากลูกมันบาดผิวเนื้อกินลึกถึงหัวใจของคนเป็นพ่อ “มันจะถูกถ้ามีความสุขกับมันนะลูก แต่ตอนนี้ฮีชอลของพ่อกำลังร้องไห้”

     

                    “ผมเจ็บ ผมกำลังเสียซีวอนไป ผม... ผม”

     

                    (!)&$%^^$!^$(!)  เสียงเพลงที่คุ้นเคยดังมาจากโทรศัพท์ มือหนาหยิบมันส่งให้ลูกชาย บังคับให้ดวงตากลมสบตาตนเอง “ฮีชอลไม่มีวันเสียความรักไป ถ้าลูกไม่ใช่คนที่ผลักไสมันเอง ทำตามอย่างที่หัวใจต้องการ ทำในสิ่งที่ลูกมีความสุขเถอะนะ”

     

                    มือบอบบางรับโทรศัพท์จากมือพ่อ จับจ้องชื่อที่อยู่บนหน้าจอ รอยยิ้มแสนเศร้าปรากฏบนใบหน้าอ่อนหวาน นิ้วมือเรียวกดลงไปที่แป้นสิแดง....เลือกที่จะตัดสายโทรศัพท์

     

                    เลือกที่จะตัดสายใยของหัวใจทั้งสองดวง

     

                    “ผมเลือกแล้วครับพ่อ” เสียงแหบแห้งบอกกับคนเป็นพ่อ นิ้วเรียวกดปิดเสียงโทรศัพท์ก่อนวางลงที่โต๊ะข้างเตียงอย่างช้า

     

                    “พ่อจะอยู่กับลูกเสมอนะฮีชอล”

     

                    “ขอบคุณครับพ่อ” ร่างบางยังคงร้องไห้ในอกของพ่อจนผล่อยหลับไปทั้งที่น้ำตาอาบใบหน้าเหมือนตอนที่ตื่นขึ้นมา

    * ~ * ~ * ~ *~ * ~* ~* ~ * ~ * ~ * ~ * ~ * ~ * ~ *

                                                                                                                                  

    ชายหนุ่มนั่งจ้องโทรศัพท์ ที่โทรไปเท่าไหร่ก็ไม่มีคนรับสาย ใบหน้าคมเครียดเกร็งเพราะคำพูดของคนรักยังคงวนเวียนไม่หายไปไหน

     

    ......อย่ารักฉันอีกเลย ลืมฉันไปให้หมด อย่าทรมานตัวเองเพื่อฉัน เกลียดฉันแบบเมื่อก่อนก็ได้ แต่อย่ารักฉันอีกเลยนะซีวอน.....

                                                            

                    กว่าที่ฮีชอลจะหลุดคำพูดเหล่านี้มาได้ก็คงเจ็บไม่น้อยกว่ากัน แต่ทำไมเล่า ทำไมต้องพูดมันออกมา ทำไมต้องฟังคำของคนอื่น ไม่เชื่อในความรักของเขาบ้าง....

     

                    จะให้ลืมได้ไง...ในเมื่อมีแต่ฮีชอลอยู่เต็มหัวใจ

     

                    จะให้เกลียดได้ยังไง..ในเมื่อรักหมดทั้งหัวใจ

     

                    “ทำไมนายต้องเชื่อคนอื่นด้วย ทำไมหล่ะฮีชอล” ร่างกายที่ซูบผอมนั่งลงกับพื้นตัดพ้อคนรักที่ตอนนี้คงร้องไห้แทบขาดใจ เขาไม่รู้เลยว่าระหว่างตัวเขาและฮีชอลใครที่เจ็บกว่ากัน

                   

                    คนที่ทำลายหัวใจตัวเอง....หรือ....คนที่ถูกคนรักทำร้ายหัวใจ

     

    “ข้างในเป็นไงบ้าง” เสียงที่ชายหนุ่มจำได้ดีดังอยู่หน้าประตู มันช่างฟังดูเย็นชา

     

                    “ผมยังไม่ตายหรอกครับพ่อ ยังอยู่ให้พ่อทำร้ายได้อีกเยอะ” เขาตะโกนออกไปกลบทับเสียงของคนที่ยืนเฝ้าห้อง ใบหน้าคมแดงกล่ำ

     

                    “ปากดีนะแก”

     

                    “ใช่ผมมันปากดี มีอะไรก็มาลงที่ผมสิ อย่าไปยุ่งกับฮีชอล อย่าทำร้ายฮีชอลอีกเลย นะพ่ออออ พ่อจะทำอะไรกับผมก็ได้ แต่อย่าทำร้ายฮีชอลอีกเลย” เสียงสุดท้ายเต็มไปด้วยกระแสเสียงของการอ้อนวอน เขายอมหมดแล้วจริงๆ

     

                    “ฉันไม่เคยคิดร้ายกับแก หรือฮีชอลทั้งนั้น สงบสติอารมณ์ได้แล้วซีวอน ยอมรับในส่งที่ฮีชอลบอกแกซะ แล้วฉันจะปล่อยตัวแกออกมา”

     

                    เสียงของพ่อเย็นชาจนเขาหนาวเหน็บ ให้ยอมรับสิ่งที่ฮีชอลบอกหรือ? เขาคงกลายเป็นคนไร้หัวใจในวันที่ทำได้......คงมีแค่เพียงลมหายใจที่ไร้ความรู้สึก

     

                    ฟ้าข้างนอกมืดสนิทลงแล้วเหมือนหัวใจของชายหนุ่มที่มืดดับลงด้วย “ฮีชอล นายจะให้ฉันลืมนายได้จริงหรอ จะยอมเป็นแค่คนแปลกหน้าจริงๆหรอ”

     

                    น้ำตาเม็ดใหญ่ไหลริน ตาคมจับจ้องโทรศัพท์ที่กระหน่ำโทรหาคนที่ไม่คิดจะรับสายกันเลย “ทำไมหล่ะฮีชอลลลล ทำไมมมมมมมมมมมม ฉันต้องเกลียดนายใช่ไหมถึงจะพานายกลับมาอยู่ข้างๆกันได้

    ต้องเกลียดกันใช่ไหม” เสียงทุ้มตะเบงถามคนที่อยู่ห่างไกล คนที่ไม่มีวันได้ยิน

     

                    “แล้วฉันจะเกลียดนาย จะลากนายมาทรมานให้ร้องขอความรักจากฉัน” ทั้งที่รู้ว่าทำได้แค่พูด เพราะเมื่อถึงเวลานั้นสิ่งเดียวที่อยากทำคือคว้าร่างบางเข้ามาไว้ในอ้อมกอด กอดให้แน่นให้อยู่ด้วยกันไม่แยกจาก

     

                    ชายหนุ่มนั่งนิ่งอยู่ที่เดิมเนิ่นนานน้ำตาไหลหยดเท่าไหร่ต่อไหร่ แต่ก็ไม่อาจจางรอยช้ำและความเจ็บปวดออกไปได้ รู้ทั้งรู้ว่าที่ได้ยินทั้งหมด ฮีชอลทำเพื่อเขา แต่เคยถามกันบ้างไหมว่าต้องการหรือเปล่า....ดวงตาคมจับจ้องท้องฟ้าที่มืดมิด มันก็ยังสว่างกว่าความรักของเขาเสียงอีก

     

                    ครืดด ครืดดดดดด โทรศัพท์ที่ถืออยู่ในมือสั่นเรียกร้องความสนใจ และไม่ชายหนุ่มก็ไม่รอให้มันเริ่มต้นเสียงเรียกเขา เมื่อคนที่โทรเขามา คือคนที่พร่ำโทรไปหาตลอดเย็นจนถึงตอนนี้

     

                    “ฮี~

     

                    /ซีวะ..วอน ฉะ...รัก...นา..พลั่กกก ตู๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด/

     

                    “ฮีชอล ฮีชอล ฮีชอล” น้ำเสียงดั่งไม่เหลือเรี่ยวแรง และเสียงแปลกๆก่อนที่สายจะหลุดไป ทำให้หัวใจของชายหนุ่มไหววูบ เป็นห่วงเจียนลั่นตะโกนเรียกหาร่างบางทั้งที่รู้ว่าสายถูกตัดไปแล้ว

     

                    “ฮีชอล ฮีชอล เกิดอะไรขึ้น ฮีชอล” นิ้วเรียวกดซ้ำเบอร์เดิม แต่กลายเป็นเสียงที่บอกว่าอีกฝ่ายสายไม่วาง ความกลัวเข้ากัดกินหัวใจจนรู้สึกชาไปทั่งตัว “ไม่นะฮีชอล รับสิ รับสายฉันสิ ฮีชอล”

     

                    ถึงแม้คำที่ได้ยินจะเป็นสิ่งที่ต้องการ แต่มันก็นำพาให้ชายหนุ่มไหวหวั่น มันเกิดอะไรขึ้น ทำไมเสียงฮีชอลถึงได้ดูอ่อนแอขนาดนั้น “ฮีชอลรับสายฉันสิ อย่าเป็นอะไรนะคนดี”

     

                    มันคือการพูดกับความว่างเปล่าเมื่อเสียงที่ได้ยินยังคงเป็นเช่นเดิม เสียงของหล่นอย่างรุนแรงทำให้เขาเป็นห่วงสุดใจ ความกลัวตอนนี้มันยิ่งกว่าที่เขาถูกกักขังไว้แบบนี้

     

                    ครืด ครืดดดด เพียงแค่เขาตัดสายตั้งใจจะโทรซ้ำก็มีสายเรียกเข้ามาในทันทีเป็น แต่มันไม่ใช่เบอร์ที่เขาพยายามติดต่อมันเป็นเบอร์ของซองมิน

     

    “ซองมิน....เกิดอะไรขึ้น ฮีชอลอยู่ไหน ขอฉันคุยกับฮีชอลหน่อย” ชายหนุ่มร้อนรนอยากเพียงแค่ได้ยินเสียงของคนรักบอกว่าปลอดภัยดีเท่านั้นก็เพียงพอแล้วที่จะหยุดหัวใจที่ร้อนรุ่มตอนนี้

     

                    /ซะซีวอน ฮืออออ ฮีชอล ฮีชอลลลลล ฮือออออ/

     

                    “ฮีชอลทำไม ซองมิน นายบอกฉันสิ ซองมิน เกิดอะไรขึ้น” ยิ่งร้อนรนก็เหมือนมีไฟกำลังแผดเผาเมื่อคนที่โทรมาเอาแต่ร้องไห้ให้เขาต้องหวาดกลัวเรื่องร้าย

     

                    /เมื่อ..กี้.ฮีชอล...ฮือออออออออออ./

     

                    “ฮีชอลทำไม ตั้งสติสิซองมิน ตั้งสติแล้วบอกฉัน/ เพราะไม่อาจไปดูแลคนรักได้ นี้จึงเป็นสิ่งเดียวที่เขาจะรู้ความเป็นไป แล้วมันก็ยิ่งทำให้เขากระวนกระวาย

     

                    /ฉันจองวูนะ ซีวอนนายตั้งใจฟังฉันให้ดีนะ ตอนนี้ฮีชอลอยู่ในห้อง ICU อาการฮีชอลโคม่าหนัก หมอบอกว่า.......ฮีชอลอาจผ่านคืนนี้ไปไม่ได้/ แม้แต่คนที่จิตใจเข้มแข็งอย่างจองวู ยังต้องหยุดค้างกล้ำกลืนก้อนสะอื้นเมื่อพูดถึงอาการของเพื่อนรัก แต่ความเงียบสนิทไร้การตอบกลับทำให้เขาเริ่มเป็นห่วงคนที่ปลายสาย /ซีวอนนายยังฟังอยู่หรือเปล่า/

     

                    “อือ...แค่นี้นะ” ดวงตาคมนิ่งค้างไม่จับจ้องสิ่งใด สิ่งที่เขากลัวมันกลับมาหลอกหลอนอีกแล้ว....เรี่ยวแรงมันหายไปหมดสิ้น จากที่เคยร้อนรนจนแทบลุกเป็นไฟกลายเป็นความว่างเปล่าเมื่อหัวใจทั้งดวงล่องหนไปแล้ว

     

                    ฮีชอลอาจผ่านคืนนี้ไปไม่ได้......คำนี้ยังตราตรึงแน่น น้ำตาที่ไหลมาตลอดวันหายไปเสียดื้อๆ มันไม่เหลือแล้ว ไม่เหลืออะไรอีกแล้ว หากไม่มีฮีชอล....ก็ไม่รู้จะร้องไห้ไปเพื่ออะไร

     

                    “ไม่....ไม่....ไม่....” น้ำเสียงที่แผ่วเบา ค่อยๆดังขึ้นเรื่อยๆจนกลายเป็นตะโกนปลดปล่อยความหวาดกลัวออกมา “ม่ายยยยยยยยยยจริงงงงงงงงงงง!!!

     

                    ชายหนุ่มวิ่งเข้าหาบานประตู จะกระชากมันให้เปิดออก แต่ก็สู้แรงของที่สิ่งที่พันธนาการมันเอาไว้ไม่ได้ “เปิด เปิด เปิดเดี๋ยวนี้” ชายหนุ่มตะโกนสั่งคนข้างนอกทั้งที่รู้ว่ามันไม่มีทางได้ผล

     

                    “ไม่ได้ครับคุณซีวอน นอกจากจะมีคำสั่งจากนายเท่านั้น” เสียงของคนข้างนอกทำให้ชายหนุ่มล้มทรุดลงที่หน้าประตู เพราะ นาย คนนี้ไม่ใช่หรือไงที่ทำให้ฮีชอลกลายเป็นแบบนี้

     

                    “ได้โปรดเปิดประตูให้ผมเถอะ” เสียงทุ้มอ่อนแรงของชายหนุ่ม แต่มันกลับกลายเป็นถ้อยคำขอร้องที่หนักแน่น “หากเป็นคุณรักกำลังจะจากพวกคุณไป พวกคุณจะทำยังไง ตอนนี้คนที่ผมรักที่สุด เขากำลังจะจากผมไปแล้ว ได้โปรดให้ผมได้พบกับเขาด้วยเถอะ ให้โอกาสเราได้อยู่ด้วยกันเป็นครั้งสุดท้ายด้วย”

     

                    โป๊ก  โป๊ก โป๊ก  โป๊ก โป๊ก  โป๊ก หน้าผากกว้างโขกลงกับพื้นห้องอ้อนวอนกลุ่มคนที่เฝ้าอยู่หน้าประตูจนเลือดไหลอาบเสี้ยวหน้าที่ซูบตอบ ตอนนี้เขาไม่เหลืออะไรอีกแล้ว ได้แต่ร้องขอความเมตตาจากคนเหล่านั้น

     

                    ซีวอนยอมหมดสิ้นแล้วรู้ดีว่าไม่มีทางยื้อคนรักออกจากเงื้อมือของความตายได้ แต่อย่างน้องให้เขาได้อยู่ด้วยกันอีกสักครั้งให้เขาได้กอบกุมมือเล็ก ได้โอบกอดร่างบางได้อยู่ด้วยกันในวินาทีสุดท้าย เท่านี้....จะไม่ให้เชียวหรือ

     

                    “คุณซีวอน พอเถอะครับ” บานประตูเปิดออกพร้อมกับที่มีคนเอามือมารองหน้าผากของชายหนุ่มเอาไว้ “คุณอย่าเสียเวลาทำอย่างนี้เลย รีบไปหาคนที่คุณรักเถอะ นี้กุญแจรถของคุณครับ”  

     

                    มือหนารีบคว้าพวงกุญแจมาไว้ในมือ โค้งหัวให้กลุ่มชายที่เฝ้าหน้าประตูก่อนถลาลงไปที่โรงจอดรถ สตาร์ทมอเตอร์ไซค์คู่ใจ ชายหนุ่มรีบร้อนปล่อยให้เลือดยังไหลหยดจากรอยแตกที่หน้าผากเพราะรู้ดีว่าความตายไม่เคยรออะไร มันเป็นสิ่งที่ตรงเวลาเมื่อถึงเวลา

     

                    ......ฮีชอลนายต้องไม่เป็นอะไร อย่าพึ่งทิ้งฉันไปนะ.....

     

                    หัวใจของซีวอนโลดแล่นไปถึงโรงพยาบาลจนไม่อยู่กับตัว เหมือนสติที่โบยบินหายไปนับตั้งแต่ได้รับข่าวร้าย ทุกสิ่งที่กระทำมันมาจากสัญชาตญาณทั้งหมด

     

                    .......นายต้องอยู่กับฉัน ห้ามไปไหน รอฉันก่อน.....

     

                    ป้างงงงงงงงง!!!!   มอเตอร์ไซค์คันใหญ่เสียหลักพุ่งเข้าชนรถที่สวนมาอย่างแรง ชายหนุ่มกระเด็นตกลงมากระแทกพื้นถนนอย่างแรงก่อนถูกปะทะเข้ากับเจ้าสองล้อคู่ชีพที่ไถลมาตามพื้นถนน เลือดสีแดงฉานอาบเต็มพื้นถนน บนร่างกายใหญ่ไม่มีส่วนไหนที่ไม่ถูกย้อมด้วยสีแดง

     

                    .....ฉันรักนาย......

     

                   

    Jelly

    * ~ * ~ * ~ *~ * ~* ~* ~ * ~ * ~ * ~ * ~ * ~ * ~ *

     

                     ดวงตากลมเปิดขึ้นทีละนิดรับแสงแดดยามบ่ายเข้าสู่สายตา ปรับการมองเห็นทีละนิด มองไปรอบๆก็เห็นเพียงเพื่อนสนิทตัวสูงนั่งอ่านหนังสืออยู่เพียงลำพัง “จองวู”

     

                    เสียงระโหยอ่อนแรงแผ่วเบาทำให้ชายหนุ่มละสายตาจากหนังสืออย่างมีความหวังว่ามันจะไม่ใช่เพียงแค่หูแว่วไปเองเหมือนครั้งอื่นๆ แล้วดวงตาคมก็ทอประกายความดีใจ “ฮีชอล นายฟื้นแล้ว คอแห้งไหม ดื่มน้ำก่อนนะ”

     

                    ร่างสูงโปร่งเทน้ำใส่แก้วด้วยความรีบร้อนจนน้ำเกือบหกออกนอกแก้ว แต่ก็เอาหลอดมาจ่อที่ริมฝีปากอิ่มแต่ไร้สีของเพื่อนรักได้สำเร็จ “ค่อยๆกิน เดี๋ยวสำลัก”

     

                    “ขอบใจ แล้วคนอื่นๆหล่ะ หายไปไหนกันหมด” ดวงตากลมไม่อาจปิดบังความน้อยใจที่ไม่เหลือใครอยู่ในห้องนี้เลย

     

                    “อ้อ ทุกคนเอ่อ... เราไปเรียกหมอก่อนนะ หมอบอกไว้ว่านายฟื้นแล้วให้ไปตามหน่ะ”  ขาเรียวยาวตั้งใจจะหาทางเลี่ยงเดินออกจากห้อง เหงื่อเม็ดเล็กผุดขึ้นมาตามหน้าผาก ลอบถอนหายใจทิ้งเมื่อลับหลังร่างบางที่ผ่ายผอม

     

                    “ข้างเตียงก็มีออดไม่ใช่หรอ แล้วนายยังไม่ได้บอกฉันเลยว่าคนอื่นๆหายไปไหนกันหรอ” ก็ไม่อยากคาดคั้นแบบนี้ หากว่าเพื่อนสนิทจะไม่ทำตัวให้น่าสงสัย

     

                    แล้วมันก็แปลกที่ทุกคนจะหายไป....ไม่ว่าจะเป็น พ่อ แม่ หรือซองมิน ส่วนซีวอน....เขารู้ดี ต่อจากนี้คงไม่ได้เจอกันอีกแล้ว แต่ขอเพียงแค่อย่างเดียว

     

                    ที่เขาได้เห็น....หวังว่ามันจะเป็นเพียงแค่ความฝัน

     

                    ความฝันของคนที่เฉียดใกล้กับความตาย....

                    “พ่อแม่นาย แล้วก็ซองมินกลับไปเปลี่ยนเสื้อผ้าที่บ้านหน่ะ”

     

                    “งั้นก็เหลือนายที่เน่าอยู่คนเดียวสิเนี่ย” ใบหน้าหวานปรากฏรอยยิ้มจางๆขึ้นมาเมื่อล้อเลียนเพื่อนรักทั้งที่ก็ยังเหนื่อยล้า แต่ก็อยากคลายให้บรรยากาศไม่น่าอึดอัดแบบนี้ แต่แล้วรอยยิ้มก็หายไป เมื่อถึงใครอีกคน“แล้วซีวอนเป็นไงมั้ง พวกนายได้คุยกับซีวอนไหม”

     

    เฮ้อ.....ชายหนุ่มถอนหายใจเฮือกใหญ่ ในที่สุดก็ต้องเป็นคนพูด ก็ต้องเป็นคนบอกข่าวร้ายนี้ให้คนป่วยฟัง.... “ซีวอนรถชน ตอนนี้อยู่ที่ห้องพิเศษ แต่หมอยังให้คำตอบไม่ได้”

     

                    ดวงตาโตที่เคยมีประกายแม้จะอ่อนล้าเบิกกว้าง ใบหน้าหวานส่ายไปมาไม่ยอมรับความจริงที่ได้ยิน สองมือไขว้คว้าหาเพื่อน “ไม่จริงใช่ไหม บอกฉันสิว่าไม่จริง นายล้อฉันเล่นใช่ไหม”

     

                    ทั้งที่เห็นเองกับตา คนรักในที่แบบนั้น ที่ที่เต็มไปด้วยความเวิ้งว้างและแสงจ้า แต่ก็ภาวนาให้เป็นเพียงภาพฝัน....แล้วทำไมยังเป็นแบบนี้

     

                    เขายอมถอยแล้ว.....แล้วทำไมเบื้องบนยังไม่พอใจ ต้องพาซีวอนไปทำไม

     

                    “ฮีชอลใจเย็นๆ หายใจเข้าลึกๆ อย่าพึ่งคิดมาก” เมื่อเห็นท่าทางของเพื่อนสนิทหายใจลำบาก ความร้อนรนก็พุ่งขึ้นสูง กระวนกระวายทำไมหมอที่กดออดเรียกไปถึงไม่มาสักที

     

                    “ฉันอยากไปหาซีวอน..จอง...วูพา ฉะ  ฉันไปที” แค่พูดก็เหนื่อยหอบ แต่ร่างบางก็ยังอ้อนวอนให้เพื่อนหอบหิ้วสังขารที่อ่อนล้านี้ไปพบคนรัก “นะ...จองวู”

     

                    “อื้อออ” ชายหนุ่มยอมตามใจเพื่อนรักที่ร้องขอด้วยหยดน้ำตา “แต่ต้องให้หมอตรวจนายก่อนนะฮีชอล แล้วเราจะพาไปหาซีวอนนะ”

     

                    “แล้วเมื่อไหร่หมอจะมา” เสียงหวานที่ยังแหบแห้งเต็มไปด้วยสำเนียงความเศร้า ถามอย่างคนที่รอคอยทั้งที่ก็รู้ว่าเพื่อนคงไม่มีคำตอบให้

     

                    “ม่ะ...อ่ะนี้ไงหมอมาแล้ว ให้หมอตรวจนะฮีชอล แล้วเดี๋ยวเราไปหาซีวอนกัน” จองวูเอ่ยด้วยความอ่อนโยน หลีกทางให้คุณหมอได้ตรวจอาการเพื่อนรักอีกครั้ง

     

                    “จากการตรวจตอนนี้ ไม่พบอะไรที่น่าเป็นห่วงนะครับ แต่หมอก็จะให้คุณอยู่ที่นี้ไปก่อนนะครับ”

     

                    “ครับหมอ ขอบคุณนะครับ” เมื่อจองวูส่งหมอที่หน้าประตู หน้าที่ต่อมาคือ ประคองคนป่วยนั่งรถเข็น แล้วเข็นไปยังหน้าห้องของคนไข้อีกคนที่จนป่านนี้ก็ยังไม่รู้ตัว

     

                    “ซีวอน” เพียงแค่ได้เข้าไปในห้องที่ระโยงรยางค์ด้วยอุปกรณ์การแพทย์ สายเลือดและสายน้ำเกลือ ก็ทำให้ใจดวงน้อยหวาดหวั่น ร่างกายที่เคยแข็งแกร่งและใหญ่โต เหลือเพียงแค่ร่างกายที่นอนนิ่ง เหมือนไม่ใช่ซีวอนคนเดิม

     

                    ดวงตาโตไม่ละไปจากใบหน้าคมที่นิ่งสนิม ไร้การเคลื่อนไหวจนแทบเหมือนหุ่นไร้ชีวิตหากว่าไม่มีสัญญาณเล็กๆของการหายใจบ่งบอก ร่างบางมองไม่เห็นแม้แต่ผู้สองวัยสองท่านที่นั่งมองอยู่

     

                    มือบางเอื้อมจะจับมือใหญ่ที่ถูกเจาะด้วยเข็มน้ำเกลือ โหยหาสัมผัสแสนอบอุ่นที่ทำให้รู้สึกปลอดภัย แม้จะไม่เคยลืม แต่ความทรงจำก็ไม่มีทางเทียบได้กับการได้จับต้องจริงๆ

     

                    “มาทำไมอีก อาเคยบอกแล้วไม่ใช่หรอ ว่าให้ทำเพื่อซีวอน แค่นี้ยังทำไมได้แล้วจะมาทำไมอีกฮีชอล” ชายสูงวัยที่ลูกชายกำลังอยู่ในภาวะอันตรายไม่สนใจอะไรอีกแล้ว นอกจากโทษความผิดทั้งหมดให้กับคนที่พึ่งเข้ามา

     

                    “คุณค่ะ...”  หญิงสาวเพียงหนึ่งเดียวในห้องนี้ และเป็นคนแรกที่รับรู้ความรัก ความสัมพันธ์ของลูกชายและเพื่อนสนิท พยายามรั้งอารมณ์ของสามีให้เบาลง แต่กลับถูกห้ามด้วยสายตาคมกริบ

     

    “ไม่ต้องพูดอะไรทั้งนั้น มันเป็นเรื่องที่ผมตกลงกับฮีชอลเอาไว้ แต่เพราะเขาไม่ทำ ลูกเราถึงเป็นแบบนี้” สายตาที่เต็มไปด้วยความโกรธเกรี้ยวและกล่าวโทษพุ่งตรงไปหาร่างบางที่อยู่บนรถเข็น

     

    “คุณอา ผมขอโทษ แต่ผม...”  ร่างบางไม่อาจกล่าวคำใดได้อีก ก้อนหนักๆจุกอยู่ที่ลำคอ แม้แต่จะหายใจยังลำบาก น้ำตาหยดเล็กไหลหยดออกมาจากสองตากลายเป็นนองหน้าอยู่บนแก้มซูบ

     

                    จองวูอยากจะพูด อยากจะว่าอะไรสักอย่าง แต่ก็ถูกมือบางรั้งไว้ จนได้แต่เบือนหน้าหนีไปทางอื่น ไม่อยากมองสายน้ำบนใบหน้าคนที่ยังตัดใจไม่ได้

     

                    “ถ้าจะมาพูดแค่คำขอโทษเราก็พูดไปแล้วฮีชอล และถ้ามากกว่านั้นอาหวังว่าเราจะจำสิ่งที่สัญญาไว้กับอาได้ ทำเพื่อซีวอน....” ดวงตาคมที่เฉียบขาดและน่ากลัวกว่าผู้เป็นลูกไม่อ่อนไหวเพราะน้ำตาหยดแล้วหยดเล่า มีก็เพียงความโกรธอยู่เท่านั้น

     

                    “ผม...ขอโทษที่มาระ....รบกวนครับ จากนี้ผมจะทำเพื่อซีวอน จองวู.....เรากลับกันเถอะ” ร่างเล็กบางพยายามแล้วที่จะห้ามน้ำตา แต่มันก็ยังไหล สุดท้ายจึงได้แต่ยอมรับความจริง แม้เพื่อนสนิทจะเข็นหันหลังให้เตียงคนไข้ แต่สายตากลมก็ยังเหลียวมองชายหนุ่มที่นอนนิ่ง

     

                    จดจำทุกภาพ.....เก็บไว้ทุกความทรงจำ

     

                    จนกว่าจะไม่ได้อยู่บนโลกใบนี้แล้ว.......ซีวอนจะอยู่กับเขาในความทรงจำจนถึงวันนั้น

     

                    .....ขอให้นายหายดี ขอให้นายปลอดภัย....ขอให้นายลืมเลือนฉัน.....

     

                    ร่างบางได้แต่ภาวนาทั้งน้ำตาว่า หวังว่าคำขอของเขาจะไม่มากไป ทั้งหมดก็เพือซีวอน....ไม่ต้องจมอยู่กับเจ็บปวดแบบที่แล้วมา

     

    ไม่ต้องจำว่าครั้งหนึ่งเคยมีรักที่ไม่อาจสมหวัง ไม่ต้องจำว่าครั้งหนึ่งเคยรู้จักกับคนแบบเขา....แค่.=hชีวิตอย่างมีความสุข เท่านั้นก็เพียงพอแล้ว....สำหรับคนอย่างเขาที่จะทำ

     

    เพื่อซีวอน....

     

                   

    * ~ * ~ * ~ *~ *  ~* ~* ~ * ~ * ~ * ~ * ~ * ~ * ~ *

    “ฮีชอล” เสียงตื่นเต้นที่เพื่อนฟื้นขึ้นมานั่งพิงหมอนได้แล้วของซองมิน ไม่ทำให้ห้องที่ดูหม่นเศร้า มีชีวิตชีวาขึ้นมาเลย ทุกอย่างยังคงเงียบงันมีเพียงลมหายใจ....ของคนที่ไร้หัวใจ

     

                    ซองมินมองเพื่อนที่นั่งอยู่บนเตียงดวงตาคู่กลมมองเหม่อไปไกลแสนไกล บนใบหน้ายังคงมีคราบอาบน้ำตาให้เห็นอย่างชัดเจน ในขณะที่คนเฝ้าไข้ก็ได้แต่ถอนหายใจมองคนป่วยที่นั่งเงียบเป็นรูปปั้นเช่นกันj

     

                    “ฮีชอลเป็นอะไรอ่ะ จองวู” เลือกเดินไปกระซิบถามเพื่อนที่นั่งนิ่งอยู่ในมุมหนึ่ง สายตาจับจ้องที่คนป่วยอย่างเป็นห่วง

     

                    “เฮ้ออออออออออ.......” ชายหนุ่มถอนหายใจยาว กระซิบเสียงเบาไม่ต่างจากคนถาม “ฮีชอลรู้เรื่องซีวอนแล้ว”  

                    ร่างอวบมองไปที่คนบนเตียงด้วยความสงสาร คำตอบของจองวูอธิบายทุกอย่างที่เห็นตรงหน้าได้ชัดเจน ทั้งที่พึ่งฟื้นขึ้นมา แต่กลับต้องมารู้ว่าคนที่รักกำลังอยู่ในภาวะแห่งความตาย “เศร้าเนอะ!

     

                    “ไม่เท่านั่นอ่าดิ”  จองวูมองเห็นสายตาแสดงความสงสัยของเพื่อนตัวอวบจนต้องหัวเราะในลำคอทั้งที่ไม่หลงเหลืออารมณ์ขันอยู่เลย “ฮีชอลไปหาซีวอน  แต่โดนพ่อซีวอนด่าเปิง แถมฮีชอลก็ดูเหมือน

    ยอมเลิกกับซีวอน แต่ก็มานั่งเป็นแบบนี้”

     

                    “เฮ้อ.....”  แค่ได้ฟังก็ปวดใจแทนแล้ว ซองมินนึกไม่ออกเลยว่าหากเป็นตัวเองบ้างจะเป็นเช่นไร “ทำไมมันต้องเศร้าแบบนี้”

     

                    ซองมินเดินเข้าหาร่างที่นั่งนิ่งไร้การเคลื่อนไหวไม่ต่างจากรูปปั้น โอบร่างเล็กเข้ามาในอ้อมกอด ลูบไล้แผ่นหลังบางอย่างปลอบประโลม ดึงรั้งให้ฮีชอลออกจากโลกส่วนตัวที่มีแต่ความเศร้า

     

                    ในฉับพลันที่รู้สึกถึงความอบอุ่น น้ำตาที่หยุดไหลก็เหมือนดั่งเปิดก๊อกให้ไหลออกมาไม่หยุดยั้ง ทั้งที่คิดว่าทำใจได้แล้ว แต่ความจริงมันไม่ใช่แบบนั้น ยังทำใจไม่ได้

                    ไม่พร้อมที่จะรับรู้ว่า...ต่อจากนี้จะไม่ได้เจอกันอีก

     

                    ไม่อยากยอมรับความจริง...หากว่าซีวอนจะจำกันไม่ได้

     

                    “ฉันรักซีวอน” เสียงร้องไห้สะอึกสะอื้น และถ้อยคำที่พูดซ้ำไปมา ทำให้ห้องหมดความเงียบ แต่ยิ่งทุกข์เศร้า และหม่นหมอง

     

    จองวูไม่อาจทนกับความบรรยากาศที่แสนหดหู่ในห้องนี้ได้อีกแล้ว ต้องเลี่ยงเดินออกจากห้อง รับอากาศที่สดชื่นจากภายนอก

     

    ฉันขอโทษ...แต่ฉันก็ทนเห็นน้ำตาของนายที่ไหลลงมาเพราะซีวอน

     

                    หันมามองฉันคนนี้บ้างจะได้ไหม..?

                   

                    * ~ * ~ * ~ *~ *  ~* ~* ~ * ~ * ~ * ~ * ~ * ~ * ~ *

     

    แตวูมองลูกชายที่เอาแต่นั่งนิ่งไม่พูดจาด้วยความเจ็บปวด ไม่เคยคิดว่าสักวันความรักจะทำร้ายลูกชายของเขาได้ขนาดนี้.....คำตอบที่ฮีชอลเคยถาม

     

                    “พ่อครับ ผมรักซีวอน ผมทำถูกแล้วใช่ไหม”

     

                    วันนี้เขามีคำตอบแล้ว.....มันผิด ผิดอย่างมหันตร์

     

                    เพราะถ้าถูก...ฮีชอลจะไม่เป็นแบบนี้

     

                    แล้วเขาก็พร้อมจะทำให้มันถูกเพื่อลูกชายเพียงคนเดียว

     

                    เขาจะตามความสุขกลับคืนมา

     

                    “คุณจะไปไหนคะ?” เฮย์ซูเบือนหน้าจากลูกชายมาหาคู่ชีวิตที่ทำท่าหุนหันจะออกจากห้องพักของฮีชอล ใบหน้าที่ลูกชายถอดแบบไปยังเต็มไปด้วยน้ำตา

     

                    “ผมจะไป...เยี่ยมคุณซูมินสักหน่อย คุณอยู่กับลูกที่นี้นะ” หนุ่มใหญ่ยิ้มกว้างก่อนก้าวเดินออกไปช้าๆ ทิ้งความงุนงงให้ภรรยาคนสวยและเพื่อนลูกชาย

     

                    “จองวู ซูมินที่คุณอาพูดถึงเมื่อกี้ คือพ่อซีวอนป่ะ” ซองมินหันมาถามเพื่อนสนิทที่ยืนอยู่ข้างกายอย่างสงสัย ไม่แน่ใจว่าตัวเองฟังผิดหรือเปล่า

     

                    “ก็ถ้าคุณอาไปหาซูมินที่ฉันรู้จัก ก็คือ ชเว ซูมิน และเขาก็เป็นพ่อของซีวอนแน่ๆ” แม้ในใจจะหวั่นๆ ไม่รู้ว่าการไปหา ชเว ซูมิน จะทำให้เรื่องดีขึ้น หรือทำให้ทั้งหมดจบลงแบบหมดเยื่อใยกันแน่

     

                    “เฮ้อ...จะเป็นยังไงน้า...” ซองมินถอนหายใจยาวอย่างกังวล มองเพื่อนด้วยความเป็นห่วง

     

                    “ไม่มีอะไรจะแย่ไปกว่านี้แล้วหล่ะจ๊ะ” เฮย์ซูหันไปคุยกับเพื่อนของลูกชาย “แล้วอาก็เชื่อว่า สิ่งที่พ่อฮีชอลทำหน่ะ ดีที่สุดแล้ว อีกไม่นานฮีชอลและซีวอนจะกลับมามีความสุขเหมือนเดิม อาเชื่อแบบนั้น”

     

                    ขอให้เป็นแบบนั้น

                    * ~ * ~ * ~ *~ *  ~* ~* ~ * ~ * ~ * ~ * ~ * ~ * ~ *

     

    ชายสูงวัยผู้รวบรวมเศษเสี้ยวหัวใจที่แตกสลายของลูกชายเดินตรงมาที่ห้องพักฟื้นของอีกหนึ่งคนไข้ สูดลมหายใจเข้าลึกๆ ก่อนเคาะประตูเข้าไปในห้อง

     

                    “คุณแตวู” มารดาของชายหนุ่มที่กำลังนอนไม่ได้สติหันมามองผู้ที่มาใหม่อย่างแปลกใจ “ซีวอนเขายัง...”

     

                    “ผมไม่ได้มาเยี่ยมซีวอนหรอกครับ แต่ผมมาหาคุณซูมิน เขาอยู่หรือเปล่าครับ” คำถามพร้อมรอยยิ้มอย่างใจเย็นที่สุดทำให้คนพบเห็นต้องแปลกใจ

     

                    “อยู่ค่ะ เขานั่งเฝ้าซีวอนอยู่ เดี๋ยวฉันเข้าไปเรียกให้นะค่ะ” แม้จะไม่รู้ว่าสาเหตุการมาพบในครั้งนี้ แต่ร่างโปร่งระหงก็ยินดีที่จะเข้าไปตามสามีในอีกห้องที่ปิดกั้นไว้สำหรับให้คนไข้ได้พักผ่อนอย่างเต็มที่

     

                    ชเว ซูมินยอมเดินออกมาหาด้วยใบหน้าบึ้งตึง ไม่พอใจที่จะต้องพูดคุยกับคนบ้านนี้อีก และเขาจะดีใจมากหากว่าลูกชายเพียงคนเดียวที่มีตื่นขึ้นพร้อมความทรงจำที่ว่างเปล่า

     

                    “กาอินบอกว่าคุณมีเรื่องจะพูดกับผม” ชายเจ้าของห้องเริ่มเปิดประเด็นอย่างไม่รอช้า

     

                    “ครับ ผมอยากมาคุยกับคุณ ในฐานะที่เราต่างก็เป็นพ่อที่รักและห่วงลูกชาย” ดวงตาคมที่สื่อถึงความจริงใจมองลึกในดวงตาคู่ดุ พร้อมส่งรอยยิ้มเป็นมิตรให้ “ลูกชายของผมโคม่ามาสองครั้ง ส่วนลูกชายของคุณก็ยังไม่ฟื้น หมอก็รับรองไม่ได้ว่าจะฟื้นหรือเปล่า...~

     

                    “คุณพูดแบบนี้ต้องการอะไร” ซูมินไม่รออีกฝ่ายถามจบ เพราะไม่อาจทนฟังคำตอกย้ำที่บอกให้รู้ว่า เองคือคนที่ทำให้ลูกต้องกลายมาเป็นแบบนี้

     

                    “ผมแค่อยากถามคุณว่านี้ใช่ไหมคือสิ่งที่คุณต้องการ คุณอยากให้ลูกตัวเองต้องเป็นแบบนี้ใช่ไหม ไม่ต้องนึกถึงฮีชอล เอาแค่ซีวอนที่นอนนิ่งอยู่ในห้อง นั่นใช่ไหมที่คุณต้องการ” เสียงที่เริ่มดังขึ้นทีละนิดโดยไม่รู้ตัว เพราะความร้าวรานที่เห็นลูกตัวเองนั่งนิ่งไร้ความรู้สึก

     

                    “.....” ไม่มีคำตอบจากคำถาม แต่นั่นก็เป็นสิ่งที่ที่แตวูคิดไว้แล้ว

     

                    “คุณก็ตอบไม่ได้ เพราะมันไม่ใช่สิ่งที่คุณต้อง ที่ต้องการก็แค่ให้ลูกชายคุณได้มีชีวิตที่ดี มีความสุข แต่คุณกลับไม่ยอมรับความสุขของลูกตัวเอง” คำพูดหยุดลงก่อนเริ่มต้นด้วยเสียงสั่นพร่าเมื่อนึกถึงความจริง

     

    “และที่ผมมาในวันนี้.....ก็เพราะความสุขของลูก ชีวิตของลูกชายผมอาจเหลืออีกไม่มาก แต่ผมจะทำให้แกมีความสุขมากที่สุด ต่อให้คุณกีดกันมากแค่ไหน แต่ผมจะทำให้พวกเขารักกัน ได้อยู่ด้วยกัน” ดวงตาปริ่มน้ำกระพริบถี่ไล่มันออกไป พยายามนึกถึงแต่รอยยิ้มกว้างของลูกชาย “ต่อให้ต้องเป็นศัตรูกับคุณก็ตาม.....”

     

                    “.......” ชเว ซูมินที่หลายคนบอกว่าน่ากลัว ได้แต่นิ่งอึ้งปล่อยให้คนที่มาเดินกลับออกไปอย่างง่าย ส่วนตัวเขาก็ได้แต่คิด

     

                    อะไรกันแน่ที่เขาต้องการ....ความสุขของลูก  หรือ มันเป็นเพียงแค่   ข้ออ้าง

     

                    * ~ * ~ * ~ *~ *  ~* ~* ~ * ~ * ~ * ~ * ~ * ~ * ~ *

     

    “คุณไปคุยอะไรกับบ้านนู้นหรือคะ?” เฮยซูไม่ปล่อยความสงสัยเอาไว้ เมื่อเห็นสามีเดินกลับมา

     

                    “ไม่มีอะไรหรอก แล้วลูกเป็นไงมั่ง” ตอนนี้ฮีชอลคือสิ่งเดียวที่เขาห่วง เขาจะไม่ยอมปล่อยให้ลูกเป็นแบบนี้อีกต่อไปแล้ว ฮีชอลจะต้องมีความสุข มีรอยยิ้มเหมือนเช่นเดิม

     

                    “ก็ยังเหมือนเดิม นี้พวกซองมินกับจองวูก็พยายามชวนคุยกันอยู่ แต่ฉํนทนเห็นลูกเป็นแบบนี้ไม่ได้เลยออกมานั่งที่ข้างนอกนี้” แค่คิดภาพลูกที่สายตาเหม่อลอยไปไกล นั่งเงียบซึม หัวใจของคนเป็นแม่ก็เจ็บปวดเสียยิ่งกว่าอะไรจนไม่อาจกลั้นน้ำตาไว้ได้

     

                    “ไม่เป็นไรนะ” อ้อมแขนที่อบอุ่นโอบกอดภรรยาคู่ชีวิต มือหนาลูบไล้แผ่นหลังปลอบให้คลายกังวล “ผมสัญญาว่าลูกจะกลับมาเป็นเหมือนเดิม แกต้องยิ้มอย่างมีความสุข เชื่อผมนะ”

     

                    “ค่ะ” เธอเชื่อมั่นในคำพูดจากคนคนนี้ ไม่ว่าเรื่องอะไรที่สัญญาไว้ มันจะเป็นตามนั้น และเธอก็หวังว่าเรื่องนี้ก็จะเป็นตามนั้นเช่นกัน”

     

     

                    * ~ * ~ * ~ *~ *  ~* ~* ~ * ~ * ~ * ~ * ~ * ~ * ~ *

     

    “คิดถึงซีวอนหรอลูก” แตวูมองลูกชายด้วยความอาทร ลูบผมนุ่มอย่างปลอบใจ หากทางดึงรั้งลูกชายกลับสู่โลกปัจจุบัน

     

                    “ผม.” ร่างบางที่ใจไม่อยู่กับตัวไม่กล้าบอกความจริง ก้มหลบสายตาของพ่อ รู้สึกผิดที่ทำให้ทุกคนต้องเป็นห่วง ทั้งที่เรื่องสุขภาพก็ทำให้เป็นกังวลกันมากพอแล้ว แล้วยังจะทำตัวแบบนี้

     

                    “ไม่เป็นไรหรอกลูก คนรักเข้าโรงพยาบาล เราก็ต้องเป็นห่วงจริงไหม?” ชายสูงวัยอดไม่ได้ที่จะยิ้มให้ลูกชาย นิ้วโป้งเหี่ยวย่นเช็ดหยดน้ำตาบนใบหน้านวล

     

                    “ผม...ฮึก....ขอโทษครับพ่อ...” แขนเรียวโอบกอดพ่อ ซุกหน้าเข้าหาอ้อมกอดที่อบอุ่น แม้ไม่ใช่วงแขนที่โหยหา  ปล่อยให้น้ำตาไหลลงมาอย่างไม่คิดจะปิดบัง

     

                    “คุณอาครับอย่าเข้า.....เข้าไปแล้ว” เสียงโหวกเหวกโวยวายของซองมินเรียกสายตาจาก 2 พ่อลูก ก่อนเห็นร่างสูงของ ชเว ซูมิน ยืนอยู่หน้าประตูที่เชื่อมกับห้องพักญาติ มีร่างอวบของซองมินรั้งไว้

     

                    “ไม่เป็นไรซองมิน ให้คุณแตวูเข้ามาเถอะลูก” แตวูยิ้มกว้างเมื่อเห็นผู้มาเยือน แทบไม่ต้องเดาก็รู้ว่าอีกไม่นานลูกชายของเขาจะมีความสุขเหมือนเก่า

     

                    ฮีชอลมองคนที่เดินเข้ามาอย่างหวาดผวา กลัวจะได้รับฟังข่าวร้ายของคนรัก.....กลัวจนไม่กล้าสบสายตา

     

                    “ฮีชอล” เสียงของซูมินสั่นพร่า กระดากอายที่ต้องมาขอร้อง แต่เพื่อความสุขของลูกชายเขาจึงต้องยอมกลืนน้ำลายของตัวเอง

     

                    “ครับ” สายกลมเลิ่กขึ้นมองชั่วแว่บก่อนหลุบตาลงต่ำ ลุ้นด้วยหัวใจที่อ่อนล้า ขอเพียงแค่ไม่ใช่ข่าวร้าย ต่อให้ต้องแลกด้วยการจากพรากกันตลอดชีวิตเขาก็ยอม

     

                    “เรื่องของซีวอน คืออา...” ร่างสูงเว้นวรรคกวาดสายตามองใบหน้าหวานที่ลุ้นจนเหงื่อเม็ดเล็กผุดพราย “อาอยากให้เราไปเยี่ยมซีวอนที่ห้อง...”

     

                    ถ้อยคำต่อจากนั้นเป็นอะไรฮีชอลก็ไม่ได้ยินอีกแล้ว เพราะแค่เท่านั้นน้ำตาที่ไหลลงมาเพราะความกลัวกลายเป็นความดีใจ ใจดวงน้อยพองฟูแทบจะถลากายไปยังห้องคนไข้ที่ซีวอนนอนอยู่

     

                    .....รีบตื่นมานะซีวอน....คุณอายอมให้เราเจอกันแล้วนะ....

     

                    เรารักกันได้แล้ว.......

     

                    * ~ * ~ * ~ *~ *  ~* ~* ~ * ~ * ~ * ~ * ~ * ~ * ~ *

     

    นับจากวันนั้นภาพที่ทุกคนคุ้นชินคือ หนึ่งคนไข้มานั่งเฝ้า นั่งดู อีกหนึ่งคนไข้ที่ยังไม่ได้สติ เสียงหวานเจื้อยแจ้วพูดคุยกับคนที่ยังนอนนิ่ง บอกเล่าเรื่องราวต่างๆ ให้ฟังอย่างมีกำลังใจ ส่วนห้องพักของฮีชอลที่เคยห่างไกลก็ถูกย้ายมาอยู่ข้างๆห้องพักของซีวอนเพื่อความสะดวกเวลาไปมา

     

                    “ซีวอน หมอบอกว่าอีกไม่กี่วันฉันก็จะออกจากโรงบาลได้แล้วนะ จะไม่ยอมฟื้นมาส่งฉันหรอ” เสียงหวานใส ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้ม ลูบหลังมือใหญ่เล่นไปมา

     

                    “ช่วงเนี้ย ซองมินหน่ะขยันทำซุปมาให้กิน” ร่างบางลดเสียงลงก่อนกระซิบที่ข้างหูคนนอน “อย่าไปบอกใครนะ....มันไม่อร่อยเลย  เพราะงั้นนายต้องรีบตื่นมาช่วยฉันกินนะ”

     

                    “นินทา...” ซองมินที่เปิดประตูเข้ามาพอดีกับที่ได้ยินชื่อตัวเอง

     

                    “นิดหน่อยเอง แล้วเอาอะไรมาอ่ะ....” ร่างบางยอมรับหน้าตาย ถามถึงสิ่งที่เพื่อนตัวอวบถือมาด้วยอย่างหวาดๆ สงสัยจะทำอะไรมาให้กินอีกแน่เลย

     

                    “ซุปไก่ ฉันทั้งต้ม ทั้งเคี่ยวเองกับมือมาให้นายเลยนะ กินเลยป่ะ เดี๋ยวพยาบาลก็เอายามาให้แล้ว” ซองมินอวดสิ่งที่อยู่ในมืออย่างภูมิใจ

     

                    “อือออออ ขอบใจนะ” ร่างบางอาศัยช่วงที่เพื่อนไปเตรียมอาหารเหวี่ยงค้อนใส่คนรักที่นอนไม่รู้เรื่อง แก้มเนียนผ่องลมป่อง ก้มลงกระซิบข้างหูเบาๆ “รีบตื่นมาช่วยฉันเลยนะ ซีวอน”

     

                    “มาแล้ว ซุปไก่หอมมมมๆๆๆ” ร่างบางยกถ้วยที่ควันยังฉุยมาจัดแจงที่กินให้เพื่อนสนิม นั่งมองเพื่อนกินอย่างยิ้มน้อยยิ้มใหญ่เพราะทุ่มทำสุดฝีมือ จนกระทั่งฮีชอลกินหมด “อย่าลืมกินยาด้วย”

     

                    “คร้าบบบบบ” ร่างบางรับยาที่พยาบาลเอาเข้ามาให้ กลืนลงคออย่างยากลำบาก “ถ้าซีวอนฟื้นเมื่อไหร่ นายอย่าลืมทำอาหารมาให้ซีวอนบางนะ”

     

                    “แน่นอน...ฉันไม่พลาดหรอก ว่าแต่หมอให้นายออกเมื่อไหร่”

     

                    “อาทิตย์หน้า....” 

     

                    สองเพื่อนสนิทพูดคุยสนุกสนานจนเวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว ร่างบางเปิดปากหาวกว้างง่วงเพราะยาที่กินเข้าไป “ง่วงแล้วหรอฮีชอล”

     

                    “อือ...”ตากลมปรือปรอยฉ่ำน้ำตา หาวไม่หยุดปาก

     

                    “กลับไปนอนที่ห้องไหม” ซองมินเตรียมเข้าประคองเพื่อนรักให้กลับไปนอนที่ห้อง

     

                    “ไม่เอาอ่า....นอนข้างๆซีวอนนี้แหล่ะ”  นอนข้างๆที่ฮีชอลหมายถึงก็คือ นั่งซบลงบนเตียงข้างๆร่างสูงใหญ่ที่นอนนิ่งเงียบ

     

                    “นอนแบบนั้นจะสบายหรอ” ซองมินอดถามไม่ได้ มองดูแล้วตื่นมายังไงก็ปวดตัวแน่ๆ

     

                    “สบายสิหน่า ไม่ต้องห่วงหรอก”

     

                    “ตามใจ งั้นฉันไปนั่งดูทีวีที่ห้องนายนะ มีอะไรก็เรียกได้” เมื่อเห็นเพื่อนรั้น ซองมินก็ไม่อยากขัดใจ ยอมไปนั่งรออยู่ที่อีกห้อง

     

                    “ฉันจะนอนแล้วนะ ไม่ตื่นมาบอกให้นอนฝันดีหรอซีวอน.... แย่นะเนี่ยเป็นแฟนกันยังไง” ฮีชอลแกล้งงอนคนป่วยแม้จะรู้ว่าอีกฝ่ายไม่รับรู้ก็ตาม

     

                    หัวเล็กๆซบลงกับมือกว้าง...ที่หัวตาที่หยดน้ำเม็ดเล็กขังอยู่ก่อนปัดทิ้งไป “ฉันตื่นมา นายจะตื่นหรือยังซีวอน นอนนายไปแล้วนะ ตื่นมาปลุกฉันได้แล้ว”       

     

                     

    * ~ * ~ * ~ *~ *  ~* ~* ~ * ~ * ~ * ~ * ~ * ~ * ~ *

     

    “อือออ  ฮ้าววววว” ปากอิ่มอ้ากว้างงับอากาศเข้าไปเต็มๆ ดวงตาโตๆค่อยเบิกกว้าง บิดตัวไปมาเบาๆขับไล่ความเมื่อยขบที่เกิดขึ้นเพราะซบหลับลงไปกับเตียงนอน

     

                    “ตื่นแล้วหรอ เมื่อยหรือเปล่า” เสียงทุ้มอบอุ่นเจือปนด้วยความอ่อนโยนเอ่ยทักคนพึ่งตื่นนอน

     

                    “อื้อ เมื่อยนิดหน่อย นายอ่ะตื่นนานยังซีวอน” ร่างบางตอบรับด้วยความเคยชิน มันต้องเป็นแบบนี้ในทุกครั้งที่ตื่นนอน คนแรกที่เจอก็คือ ซีวอน

     

                    ซีวอน!

     

                    “ซีวอน......ซีวอน นาย....นายฟื้นแล้ว” เสียงหวานสั่นสะท้าน น้ำใสเม็ดใหญ่คลออยู่ในดวงแก้ว อยากจะโถมตัวเข้ากอดแต่ติดที่ร่างกายของคนรักเต็มไปด้วยบาดแผล “นาย...”

     

                    “อะไรกัน เจอหน้าฉันจะเอาแต่ร้องไห้หรอ หืมมม์” นิ้วเรียวยาวยื่นออกไปเช็ดน้ำตาที่ล้นออกมาจากดวงแก้วหวานใส ยิ้มอ่อนโยนให้ร่างบางทั้งที่อยากทำมากกว่านี้ใจจะขาด

     

                    “ก็...ก็นาย นายนอนนานเกินไปแล้ว ไม่รุ้หรอ” หลังมือขาวปาดไล่น้ำตาออกมา ดวงตาคู่โตไม่ละไปจากใบหน้าคมที่ดูซูบตอบ

     

                    “ก็ฉัน แค่ก...” เสียงทุ้มที่ยังแหบแห้งหายไปกลายเป็นเสียงไอติดๆกัน จนคนป่วยหน้าแดงกล่ำ

     

                    “ซีวอน น้ำๆๆ ดื่มน้ำก่อนนะ” ฮีชอลรีบสาละวนเทน้ำใส่แก้วใสหลอดยื่นจ่อให้ถึงปากคนรัก “ดื่มน้ำก่อนนะ แล้วค่อยพูด ค่อยๆดูดนะ”

     

                    “อือ พอแล้ว” ชายหนุ่มเบือนหน้าออกจากหลอดขาว แต่ก็ยังไม่วายสัมผัสเปลือกปากที่แห้งแตกลงบนหลังมือขาวๆ “ที่ฉันนอนนานนะ เพราะว่าฉันหน่ะดูแลนายไง เลยพักบ้าง ”

     

                    “คนเขาเป็นห่วงยังหัวเราะอีก” เสียงหัวเราะของชายหนุ่มทำให้คนเป็นห่วงแทบอยากหาอะไรมาอุดปาก ให้เสียงหัวเราะนี้หายไป ดวงตากลมค้อนชายหนุ่มคนรัก

     

                    “โอ๋ ไม่หัวเราะแล้ว มากอดทีสิ คิดถึงนายจังเลย”  สองแขนใหญ่อ้าออกรอรับร่างบางที่แสนจะคิดถึงเข้ามากอดแนบแน่นลืมความเจ็บตามร่างกาย สูดดมความหอมเฉพาะตัว “คิดถึงนายมากเลยรู้ไหมฮีชอล อย่าทิ้งฉันไปอีกนะ ต้องอยู่กับฉันนะรู้ไหม”

     

                    “อืออออ นายก็เหมือนกันนะ อย่าทำแบบนี้อีก” ร่างบางเกร็งตัวในอ้อมกอด ไม่ทิ้งน้ำหนักทั้งหมด แต่ก็ยอมให้ชายหนุ่มซุกไซ้หาความอบอุ่น จนริมฝีปากมาพบกันแลกเปลี่ยนความหวานที่ต่างก็โหยหา

     

                    “อื้อ..ซีวอน แผลนาย...”

     

                    “อืออออออ ...ช่างมันเหอะ”

     

                    “อ่ะ....นาย อ่า...ไม่เจ็บหรือไง”

     

                    “เจ็บ...อ่า...แต่นายกำลังรักษาอยู่นี้ไง”

     

                    “ฮีชอล นายจะกิน.......”  ร่างอวบที่ตื่นขึ้นมากำลังจะตามให้เพื่อนรักกลับไปกินข้าว กินยา แต่กลับต้องมาเจอฉากหวานของสองคนที่กำลังไล่กวาดต้อนกันอยู่ในโพรงปากทำให้คนมาเรียกหน้าแดงกล่ำ

     

                    ซีวอนยอมปล่อยริมฝีปากอิ่มอย่างแสนอ้อยอิ่ง ถูกเม้มจนกลีบปากแดงเจ่อบวมกดจูบหนักๆซ้ำลงไปแบบแสนเสียดาย   แต่ก็เป็นนานกว่าที่ฮีชอลจะหาเสี...ฉยงตัวเองเจอ “ซองมิน...”

     

                    “เอ่อ ฉันไม่รู้ว่านายฟื้นแล้ว ขอโทษนะซีวอนที่เข้ามาขัดจังหวะ” คนเข้ามาขัดรู้ตัวดี หน้าอิ่มแดงปลั่ง ขอโทษคนพึ่งฟื้นที่ดูไม่อยากปล่อยเพื่อนเขาสักเท่าไหร่

     

                    “ไม่เป็นไร เดี๋ยวคืนนี้ค่อยต่อก็ได้ ฉันมีเวลาอีกเยอะ” ชายหนุ่มหัวเราะตอบไม่จริงจัง ล้อเลียนคนรักที่กำลังแข่งหน้าแดงกับซองมิน

     

                    “ต่ออะไร” ดวงตาโตค้อนวงใหญ่ถามคนที่นอนป่วยแต่ไม่วายปากเก่ง

     

                    “ก็ต่อจากเมื่อกี้ไง” ซีวอนเองก็เก่งพอจะพูดตามที่ใจคิดเพราะรู้ดีว่าไม่มีทางที่คนรักจะทำร้ายร่างกายกันแน่ ในเวลาปรกติหน่ะคงไม่รอด แต่เวลานี้ แค่โดนตัวฮีชอลยังคิดแล้วคิดอีก

     

                    “แล้วนี่หมอมาตรวจนายหรือยังอ่ะซีวอน” ซองมินเอ่ยถามดูท่าแล้ว เพื่อนของเขาคงดีใจเพลินจนลืมตามหมอแน่ๆ ส่วนคนป่วยไม่ต้องถามเพราะคงไม่เรียกหาคนมาเป็นก้างขวางคอแน่ๆ

     

                    “เออใช่ ฉันลืมเลย ขอบใจนะซองมิน”

     

                    “ฉันไปตามหมอมาให้ดีกว่า นายอยู่กับซีวอนที่ห้องนี้แหล่ะ” แค่เพื่อนเขาจะเดินออกมา ตาคมๆของคนป่วยก็ดูเศร้าสร้อยจนน่าสงสาร เขาเลยอาสาเป็นคนออกมาเรียกหมอ ปล่อยให้สองคนได้สวีทกันต่อ

     

                    “ขอบใจนะซอนมิน” มีคนป่วยพึ่งฟื้นที่ไหนเสียงใส ตาเป็นประกายวิบวับขนาดนี้ไหมเนี้ย นอกจากซีวอนเนี่ย มือก็ไม่ยอมปล่อยจากมือฮีชอลเลย........ซองมินได้แต่คิดอยู่ในใจ ก่อนเดินออกไปตามหมอมาดูอาการที่คงไม่น่าเป็นห่วงแล้ว

                     

    * ~ * ~ * ~ *~ *  ~* ~* ~ * ~ * ~ * ~ * ~ * ~ * ~ *

     

    “ฮีชอลไม่มานอนกับฉันจริงๆหรอ” เสียงทุ้มที่ยังติดแหบอยู่นิดหน่อยออดอ้อนเจ้าของมือบางที่กุมไว้ไม่อายใคร ทั้งพ่อแม่ตัว และพ่อแม่ของร่างบาง

     

                    “จะให้ฉันนอนที่ไหน ข้างเตียงนายหรือไง ปวดหลังนะ ไม่สงสารกันหรอ” ใบหน้าหวานสวยแดงก่ำเขินอายผู้ใหญ่ทั้ง 4 ที่อยู่ในห้อง แต่ดูเหมือนว่าคนขี้อ้อนอีกคนจะไม่สะทกสะท้านเลยสักนิด

     

                    “ก็ใครว่าจะให้นอนตรงนั้นหล่ะ ให้มานอนด้วยกันบนเตียงต่างหาก นะมานอนด้วยกันนะ” ซีวอนรั้งมือเล็กไว้ไม่ยอมปล่อยฝืนยกมืออีกข้างมาตบลงที่ข้างเตียงคนไข้ บอกว่ายังเหลือที่อีกเยอะให้นอนด้วยกันได้

     

                    “ไม่เอา ฉันก็มีห้อง มีเตียงเหมือนกัน อยู่ห่างกันแค่นี้เอง นายหน่ะนอนพักเถอะ นอนให้หลับ พักผ่อนเยอะๆ จะได้หายไวๆไง เผื่อได้ออกจากโรงพยาบาลพร้อมกันไม่ดีหรอ” ฮีชอลหลอกล่อคนรักเหมือนล่อหลอกเด็กน้อยไม่มีผิด

     

                    “มันก็ดี แต่นายใจร้ายปล่อยให้ฉันนอนคนเดียวในโรงบาลได้ลงคอหรอ” ดวงตาเข้มทอประกายจนน่าสงสาร “ฉันป่วยอยู่นะ แล้วที่โรงบาลผีก็เยอะ ฉันกลัวนะฮีชอล”

     

                    “ฉันจำได้ว่านายไม่เคยกลัวผีนะซีวอน” เสียงหวานเริ่มห้วนขึ้น จับทางคนรักได้

     

                    “ก็....นี้มันโรงบาลเลยนะฮีชอลลลลล”

     

                    “แล้วไง ฉันนอนมาตั้งนาน ไม่เห็นมีอะไรเลย ให้ฉันไปนอนห้องเหอะนะ ง่วงแล้ว” เป็นคราวทีฮีชอลออดอ้อนบ้าง ด้วยใบหน้าหวาน และดวงตาที่ปรือปรอยอย่างคนง่วงนอนด้วยฤทธิ์ยา

     

                    “ไปเล้ยย นอนคนเดียวก็ได้” เสียงเข้มตวัดขึ้น ก่อนจะพลิกกายหนีหน้าอย่างยากลำบาก ไม่ยอมมองใบหน้าสวยหวานอีก เรียกเสียงหัวเราะให้ดังก้องทั้งห้องกับอาการงอนที่ไม่เข้ากับหน้าตา

     

                    “ฮีชอลไปนอนเถอะลูก เดี๋ยวอาเฝ้าซีวอนเอง” ซูมินมองอาการของลูกชายด้วยความหมั่นไส้ ไม่คิดว่าจะคนอย่างซีวอนจะมีมุมแบบนี้กับเขาด้วย หากเขาไม่ยอมรับก็คงไม่ได้เห็นใชไหม...?

     

                    “ครับคุณอา ซีวอนฉันไปก่อนนะ เดี๋ยวพรุ่งนี้มาหานะ” ร่างบางเอ่ยลากับคนรักที่ยังไม่ยอมหันหน้ามาหากัน ใบหน้าสวยแต้มด้วยรอยยิ้มอ่อนใจ ที่ต่อหน้าผู้ใหญ่คนรักก็ยังเป็นแบบนี้

     

                    “ฮึ!” เสียงทุ้มขึ้นจมูกจากร่างสูงที่ยังคงหันหลังให้ ไม่ยอมมามองกันแม้กระทั่งตอนนี้ที่ร่างบางเดินอ้อมไปหา คนที่กำลังอยู่ในอาการงอนก็ยังอุตส่าห์พลิกตัวหนีไม่ยอมมองหน้า “คนเราะอ่าหน่ะ บอกว่าเป็นห่วงแต่ก็ทิ้งเขาไป”

     

                    “.......” ฮีชอลหยุดนิ่งอยู่หน้าประตูเริ่มใจเสียกลัวว่าชายหนุ่มจะไม่ใช่แค่งอนเล่นๆ แต่กำลังโกรธและน้อยใจอยู่จริง ใบหน้าหวานซีดเผือดมองแผ่นหลังกว้างอย่างไม่แน่ใจ อยากจะเดินเข้าไปหาแต่ก็กลัวการเฉยเมย

     

                    “ซีวอน...”  กาอินเรียกชื่อลูกชายเสียงหลงบรรยากาศสดใสชื่นมื่นหายไปในทันที มองหน้าหวานของหลานชายที่จวนเจียนจะร้องไห้ก็ได้แต่สงสาร อยากจะดุว่าเจ้าลูกชายตัวโตเสียเหลือเกิน

     

                    “กลับไปพักเถอะฮีชอล ไม่ต้องห่วงเจ้านี่หรอก” ชเว ซูมินบอกคนที่หยุดชะงักอยู่หน้าห้องให้คลายความทุกข์ใจ ไหนไอ้ตัวดีของเขาบอกหนักหนาว่าเป็นห่วงสารพัด รักมากแค่ไหน แล้วทำไมแค่นี้? อยากให้มันหันหน้าไปมองหน้าของฮีชอลที่ทำท่าจะร้องไห้ดูบ้าง

     

                    “ซีวอนพรุ่งนี้ฉันจะรีบมาหานะ” ร่างบางบอกเสียงสั่นมองแผ่นหลังกว้างก่อนออกจากห้องไปเก็บกั้นน้ำตาไว้ไม่ให้ไหลออกมา ระหว่างทางก็มีมืออุ่นๆของแม่สอดเข้ามาจับจูงเดินไปด้วยกัน

     

                    “คืนนี้นอนคนเดียวได้ไหมฮีชอล หรือจะให้พ่อนอนเป็นเพื่อนหรือเปล่า”  แตวูเอ่ยถามลูกชายที่ดูนิ่งๆไปอย่างเป็นห่วง ถึงแม้ช่วงหลังๆที่อาการดีขึ้นจนไม่ต้องมีคนมาเฝ้า

     

                    “ไม่เป็นไรครับพ่อ ผมนอนคนเดียวได้” ร่างบางยิ้มอ่อนๆให้พ่อเชื่อว่าเขาสามารถอยู่คนเดียวได้จริงๆ “พ่อกลับไปนอนที่บ้านเถอะครับ”

     

                    “ไม่กลัวผีหรือไงเราหน่ะ” แตวูเอ่ยเย้าลูกชายไม่ได้

     

                    “ไม่หรอกครับ ผมนอนที่นี้มาตั้งเป็นเดือนแล้ว ถ้าจะมาคงหลอกไปนานแล้ว” ฮีชอลเผลอหัวเราะเมื่อนึกถึงข้ออ้างของคนรัก

     

                    “ตามใจ งั้นพ่อกับแม่กลับบ้านก่อนนะลูก”

     

                    “ครับ” ร่างบางล้มตัวลงนอนมีมือของแม่ห่มผ้าห่มให้ถึงคอ ก่อนออกจากห้องก็ไม่ลืมปิดไฟ

     ปล่อยร่างเล็กให้หลับสบายเพียงลำพัง   

     

                       * ~ * ~ * ~ *~ *  ~* ~* ~ * ~ * ~ * ~ * ~ * ~ * ~ *

     

     

    "โกรธฮีชอลหรือไง" ซูมินถามลูกชายที่เอาแต่หันหลัง ไม่รู้จะโกรธจะงอนอะไรนัก ทั้งที่ก่อนหน้านี้ทำท่าจะเป็นจะตาย

     

    "......." ชายหนุ่มนิ่งเงียบไม่ตอบคำถาม ความน้อยใจมันบดบังจนลืมบางเรื่อง บางช่วงเวลาที่ก่อนหน้ามีแต่น้ำตา

     

    "เลิกกันไปเลยดีไหม" ชายสูงวัยยิ้มกระหยิ่ม น้ำเสียงเรียบๆจนใกล้เย็นชา

     

    "พ่อ!" ชายหนุ่มหันหลังกลับมาหาคนพูดในทันที ลืมความเจ็บปวด ดวงตาวาวจ้องมองพ่อ ความดื้อรั้นแสดงชัดในสีหน้า

     

    "ก็แกดูไม่รัก ไม่อยากเห็นหน้าฮีชอล ฉันก็ว่าเลิกกันไปเหอะ" ท่าทีนิ่งดูคล้ายไม่ใส่ใจ แต่ความจริงกำลังจดจ้องท่าทางของลูกชาย

     

    "ผมรักฮีชอล และไม่ว่าพ่อจะห้ามยังไงเราก็จะรักกัน" เสียงทุ้มหนักแน่นความทรมานจากคืนวันที่ห่างกัน วันที่ไม่รู้จะมีกันถึงเมื่อไหร่มันทำให้เจ็บเสียยิ่งกว่าบาดแผลจากอุบัติเหตุ

     

    "รักกันมานานแค่ไหนแล้ว"ซูมินถามลูกชายเหมือนเป็นเรื่องไม่สำคัญ

     

    "ไม่ทราบครับ แต่รู้อีกทีก็เหมือนตอนนี้ ตอนที่ฮีชอลจะไปจากผม แต่ผมกลับขาดเขาไม่ได้ ผมอยู่ไม่ได้ถ้าไม่มีฮีชอล พ่ออย่าห้ามเราได้ไหม ยอมให้เรารักกันเถอะนะครับ" เสียงของซีวอนสั่นสะท้านอ้อนวอนขอร้องพ่อ

     

    "เฮ้อออ ทำไมต้องเป็นฮีชอลหล่ะ ทำไมไม่รักคนอื่นที่ดีกว่านี้ ผู้หญิงสวยๆมีตั้งเป็นร้อย เป็นพัน ทำไมไม่รัก  ทำไมมารักผู้ชายที่จะตายเมื่อไหร่ก็ไม่รู้ จะทำให้แกเสียใจตอนไหนก็ได้" ซูมินถามลูกชายอย่างไม่เข้าใจ  อยากจะบอกให้ได้รู้ หากเกิดอะไรขึ้น ไม่ใช่แค่ลูกชายจะสูญเสียตัวตน แต่เขาก็จะเสียลลูกชายด้วย

     

    ใบหน้าคมมีรอยยิ้มปรากฏขึ้นแบบบางเบายามนึกถึงคนรัก คิมฮีชอล......ผู้ชายหน้าสวยผู้บอบบาง "ผมรักฮีชอลไม่ใช่เพราะความดีหรือหน้าตา แต่ผมรักฮีชอล เพราะสิ่งที่ฮีชอลเป็น เพราะสิ่งที่ฮีชอลทำ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นฮีชอลก็จะอยู่กับผม และเป็นของผมตลอดไป เหมือนที่ผมก็เป็นของเขาไม่มีวันเปลี่ยน"

     

    "รักกันมากสินะ" ซูมินถอนหายใจเฮือก รับฟังและทำความเข้าใจความรักของลูกชาย หากเขาจะใจร้ายต่อไป คนที่ทำร้ายลูกก็ไม่ใช่ใครนอกจากตัวเขาเอง

     

    เขาจะทนเห็นซีวอนต้องทุกข์ทรมานแบบนั้นได้อีกไหม.....ซูมินกำลังถามตัวเองอยู่ในใจเงียบๆ

     

    "ผมรักฮีชอล" ซีวอนตอบคำถามอย่างหนักแน่น เขายอมทำทุกอย่างเพื่อรักษาความรักนี้ให้คงอยู่กับเขาไปตลอดชีวิต.....แม้ชั่วชีวิตที่เหลือนั้นจะไม่มีคนรักเคียงข้าง

     

    "ถ้าฮีชอลไม่อยู่แล้ว แกจะยอมแต่งงานกับผู้หญิงที่ฉันหาให้ไหม"

     

    "พ่อ!" ชายหนุ่มมองหน้าพ่อด้วยหลากหลายความรู้สึกที่ปนกัน แต่หนึ่งสิ่งที่เขาไม่ชอบคือ......คำพูดของพ่อ กำลังตอกย้ำถึงเวลาที่เหลืออยู่น้อยนิดของเขาและฮีชอล

     

    "ถ้าแกไม่ยอม" ชายชราหยุดเสียงลงพรั่งพรูลมหายใจออกมา "แกกับฮีชอลก็จะไม่มีวันได้เจอกันอีก"

     

    "ผมยอมพ่อทุกอย่าง ขอแค่พ่อยอมให้เรารักกัน" เสียงทุ้มสั่นเครือ ทั้งดีใจที่ได้ความรักกลับคืนมา แต่ก็หวาดหวั่นกับเวลาที่ไม่รู้จะยาวนานจนแก่ไปด้วยกัน หรือสั้นแค่ชั่วลมหายใจในคืนนี้

     

    "พ่อก็ยอมแกทุกอย่างแล้วซีวอน ยอมให้ความรักครั้งนี้" ซูมินมองลูกชายด้วยความอ่อนโยนมือหยาบกระด้างลูบหัวที่ยังพันด้วยผ้าพันแผลมีรอยเลือดซึมอย่างอ่อนโยน

     

                    เกือบไปแล้ว.....เกือบเสียลูกชายคนเดียวไปแล้ว

     

                    ......พ่อขอโทษ.....

     

                    ขอบคุณครับพ่อ  น้ำตาที่กักเก็บไว้ล้นออกมาด้วยความยินดี เขารู้ว่ามันโง่ สิ้นคิด แต่การเสี่ยงครั้งนี้ของเขาก็ให้ผลที่คุ้มค่า .........ได้ความรักกลับคืนมา.....ที่สำคัญ

     

    เขาได้พ่อที่เข้าใจเขาในทุกเรื่องคืนมาด้วย...

     

                    แล้วฮีชอลหน่ะ ที่งอนเขาไว้ พรุ่งนี้อย่าลืมขอโทษหล่ะ เวลามีไม่มาก อย่าทำให้มันต้องผ่านไป แล้วมานั่งเสียใจตอนหลังรู้ไหม

     

                    พรุ่งนี้ผมไม่ง้อหรอกครับเสียงที่ยังติดสั่นเอ่ยขึ้น บนใบหน้าคมมีรอยยิ้มดวงตาเป็นประกายไม่เหมือนคนที่กำลังเจ็บหนัก แตกต่างจากซีวอนคนที่คลุ้มคลั่งอาละวาดเมื่ออาทิตย์ก่อนเหมือนเป็นคนละคน

     

                    แล้วคิดว่าฮีชอลจะมาง้อเราหรือไง เฮ้ยเป็นผู้ชายง้อก่อนไม่แปลกหรอกนะซีวอนคุณพ่อเย้าลูกชาย สอนเทคนิคชั้นเชิงเอาใจคนรักแบบที่ใช้อยู่บ่อยๆ ง้อไว้ก่อนไม่เห็นเสียหายอะไร....กับความรัก เอาคำว่า...อีโก้...โยนทิ้งไปได้เลย แล้วรักจะยืนยาว

     

                    ฮีชอลก็ผู้ชายนะพ่อซีวอนเอ่ยท้วงในทันที นึกถึงภาพใบหน้าหวานยามยิ้ม หรือภาพที่ดูแสนเปราะบางยามมีน้ำตา แต่ฮีชอลของเขาก็เป็นผู้ชายจริงๆ.... เป็นผู้ชายที่เขารัก!

     

                    เออ พ่อก็ลืม สงสัยจะยังไม่ชินกับตำแหน่งแฟนลูกของหลานชายซูมินยอมรับตรงๆ เขายังไม่ชินเลยสักนิด แต่อีกไม่นานเขาจะคุ้นเคย และยินดีกับความรักของลูก แล้วแน่ใจนะที่จะไม่ง้อฮีชอลหน่ะ

     

                    พรุ่งนี้หน่ะไม่ง้อครับ แค่จะง้อคืนนี้ใบหน้าคมเข้มเผยแววเจ้าเล่ห์ขึ้นมาในทันที

     

                    เออ ขอให้โชคดีไอ้ลูกชาย 

                     

                    * ~ * ~ * ~ *~ *  ~* ~* ~ * ~ * ~ * ~ * ~ * ~ * ~ *

     

     

    เสียงกุกกักที่หน้าประตู ทำให้ร่างบางที่นอนอยู่บนเตียงท่ามกลางความมืดต้องหันไปมองอย่างแปลกใจ จะว่าเป็นพยาบาลก็ไม่น่าใช่ เพราะเร็วเกินไป แต่ใครจะมาป่านนี้เวลาเยี่ยมก็หมดไปแล้ว "พยาบาลหรือครับ"

     

    "บุรุษพยาบาลสุดหล่อต่างหากครับ" เสียงทุ้มตอบกลับมาอย่างสดใส แต่ก็ยังไม่ยอมเปิดไฟที่อยู่ใกล้ๆ

     

    "ซีวอน" ร่างบางรีบลงจากเตียงเข้าประคองคนที่อ้างตัวเป็นบุรุษพยาบาลแต่กลับเดินกะเผลกยักแย่ยักยัน "มาได้ยังไง ทำไมไม่นอน"

     

    "ก็คิดถึงนิ แกล้งงอนก็ไม่ง้อ ใจร้ายที่สุด" ชายหนุ่มบ่นออดๆ ใช้แขนใหญ่โอบเอวบางแนบชิดอ้างความป่วยมาฉวยโอกาสกับร่างบางด้วยใบหน้าเปื้อนรอยยิ้ม

     

    "ไม่ต้องเลย ขึ้นไปนอนบนเตียงฉันก่อน" ฮีชอลประคองคนที่ตัวใหญ่กว่าให้ขึ้นไปนอนบนเตียง แต่อีกคนกลับขืนตัวไม่ยอมไปตามแรงของคนรัก  

     

    "ไม่เอา ถ้าฉันนอนนี่ แล้วนายจะอยู่ไหน" เพราะความตึงแผล ทำให้เหงื่อเม็ดเล็กผุดพรายที่หน้าผาก จนมือบางต้องเช็ดออกให้ แต่คนเจ็บแผลก็ยังดื้อรันไม่ยอมนอนลงไป

     

    "ฉันก็จะไปเรียกบุรุษพยาบาลมารับบุรุษพยาบาลเดี้ยงคนนี้กลับห้องไง" มือเล็กๆกดไหล่หนาให้ยอมนอนลง แล้วก็ต้องยิ้มแปลกใจเมื่อคนรักยอมว่าง่ายทิ้งตัวลงกับที่นอน

     

    "ใจร้าย ไม่ต้องไปไหนเลยมานอนด้วยกันนี่" มือใหญ่ออกแรงรั้งร่างบางมให้นอนตามลงด้วยกัน ความจริงแรงคนป่วย ก็ไม่เยอะเท่าไหร่ แต่เพราะคนป่วยน้อยกว่าไม่อยากขัดใจจึงยอมนอนเบียดกันบนเตียงคนไข้

     

    "อย่างนี้แหล่ะ นอนกอดกันไว้จะได้ไม่หนาวเนอะ" เสียงทุ้มกระซิบข้างหูเล็ก บ่งบอกความพอใจเป็นอย่างยิ่ง แขนใหญ่โอบรอบเอวบางซุกหน้ากับต้นคอขาวผ่องสูดดมกลิ่นความหอม แม้จะจดจำกลิ่นนี้ได้จนขึ้นใจ แต่ความทรงจำก็ไม่มีทางหอมกรุ่นและอ่อนหวานไปกว่ากลิ่นที่ได้สูดดมอยู่ตอนนี้ “คิดถึงมากรู้ไหม” เสียงทุ่มสั่นพร่าบอกเบาๆ ถ่ายทอดความรู้สึกในใจออกมา

     

    "ไม่เบียดหรอ" ฮีชอลถามเอ่ยถามเบาๆ นอนเกร็งตัวนิ่ง กลัวจะขยับไปโดนแผลคนรัก แต่ก็เป็นสุขใจที่ได้กลับมาอยู่ในอ้อมแขนที่อบอุ่นนี้อีกครั้ง ได้สัมผัสถึงตัวตนของคนรัก ได้มองเห็นรอยยิ้มอบอุ่นนี้

     

    "ไม่หรอก อย่างนี้แหล่ะสบายที่สุด ไม่ได้นอนกอดกันนานเท่าไหร่แล้วเนี่ย คิดถึงนายจังฮีชอล" ซีวอนตอกย้ำความรู้สึกลงไปในทุกคำพูด ตอกย้ำว่าคิดถึงเหลือเกิน คิดถึงจนโหยหา

     

    "นี่ จะนอนกอดกันมือก็อย่าซนสิ" เสียงหวานดัดให้ดุ มือเล็กไล่จับมือใหญ่ที่เลื้อยลึกเข้าไปในเสื้อลูบไล้ผิวเนื้อ สัมผัสร้อนผ่าวค่อยๆปลุกเร้าความรู้สึกขึ้นทีละนิดเหมือนกำลังโดนกลั่นแกล้ง

     

    "ก็คิดถึงนายนิ คิดถึงนายไปทั้งตัว" นัยตาคมวาวระยิบสื่อความนัย มือใหญ่ล้วงลึกอย่างได้ใจ ความเนียนนุ่มที่ร้างราหายไปทำให้ชายหนุ่มหลงลืมความเจ็บปวดของร่างกาย สุขล้นกับการได้หยอกล้อกับร่างกายของคนรัก

     

    "ไม่ต้องเลย ซี.....อ่ะ....มือนายจับอ่ะ...ไรอยู่ ป่ะ...ปล่อยนะซีวอน" เสียงหวานขาดห้วง เมื่อมือหนาอยู่ไม่สุข

     

    "อยากให้ฉันตอบจริงหรอ" น้ำเสียงเจ้าเล่ห์เย้าแหย่คนรักที่หายใจขาดห่วง หน้าสวยหวานกำลังแดงกล่ำเพียงแค่นี้ก็ทำให้ชายหนุ่มสุขล้นจนเพิ่มแรงบีบที่หยอกล้อกับติ่งไตเล็กที่เริ่มแข็งตัว “อยากให้บอกจริงหรือเปล่าฮีชอล”

     

                    เสียงทุ้มแตกพร่าที่ข้างหูพร้อมลมร้อนทำให้ร่างเล็กจวนเจียนคลั่ง รู้สึกร้อนผ่าวทั่วใบหน้า นึกโกรธเคืองตัวเองที่เคลิ้มไหวไปกับแกล้งกันของคนรัก “ซีวอน....ที่...อ่ะ โรงบาลนะ” กว่าจะพูดได้ออกมาแต่ละคำ ร่างบางต้องตั้งสติเปล่งคำพูดบังคับเสียงไม่ให้สั่นพร่า

     

                    “โรงบาลแล้วยังไง ฉันรักนาย คิดถึงนาย นายก็คิดถึงฉันใช่ไหมฮีชอล” ดวงตาคมจ้องมองในลูกแก้วหวานที่มีหยาดน้ำคลอ เรียวปากอิ่มกำลังจะเปล่งเสียงก็ถูกขบเม้มดูดกลืนคำพูด ชักชวนให้ละทิ้งสติการรับรู้และเตลิดไปด้วยกันท่ามกลางเปลวไฟของความรักที่ถูกชายหนุ่มปลุกเร้า

     

                    ในที่สุดฮีชอลก็ยอมโอ่นอ่อนต่อสัมผัสที่เรียกร้องของคนรัก ช่วงเวลาที่ห่างหายเหมือนเป็นเชื้อเพลิงโหมกระพือให้ไฟรักเร่าร้อน แรงดูดดึงที่ริมฝีปากทำให้ต้องตอบสนองคนรักกลับด้วยความร้อนแรงไม่ต่างกัน ใบหน้าหวานถูกคนเจ็บประคองให้เอียงมุมควานหาความหวานที่แสนคิดถึง

                   

    “โอ้ย!” เสียงที่บ่งบอกความเจ็บดังลั่นมากจากคนที่พยายามฉุดรั้งคนรักให้แนบชิด ลูบไล้ผิวเนียนจนลืมว่าตัวเองยังบาดเจ็บอยู่

     

                    “ซีวอน!  ใบหน้าหวานแดงก่ำเพราะอารมณ์ที่ถูกปลุกเร้ามองคนรักอย่างไม่รู้จะหัวเราะ หรือสงสารดี กับการหื่นแบบไม่เจียมตัวเอง แล้วสุดท้ายฮีชอลก็เลือกที่จะหัวเราะแต่ก็ยังเจือปนด้วยความเป็นห่วง “สมน้ำหน้า ไม่ดูตัวเองเลย เจ็บมากไหมซีวอวน”

     

                    “เจ็บสิ เจ็บมากด้วย โอ้ยยย ต้องผ่าตัดใหม่หรือเปล่าฮีชอล” ซีวอนก้มมองดูแผลของตัวเองอย่างเป็นกังวล ในความมืดมองไม่เห็นอะไรพาให้คิดไปได้ว่าแผลจะปริแตกหรือเปล่า

     

                    เสียงที่เต็มไปด้วยความเจ็บปวดของคนรักทำให้ร่างบางต้องพาตัวออกห่างเพื่อดูแผลที่ช่วงลำตัว  นิ้วเรียวลูบไล้แผ่วเบาน้ำตาจวนเจียนจะไหลออกมา ถ้าไม่รู้สึกว่ากำลังมีคนฉวยโอกาสตรงแถวๆท้ายทอย “ซีวอนนนนน”

     

                    “หืมม อะไรเจ็บตรงนั้นแหล่ะฮีชอล เลื่อนขึ้นมาอีกหน่อย ตรงนั้นแหล่ะ”  มือหนากุมมือบางอย่างแผ่วเบาเลื่อนขึ้นมาวางไว้เหนือตำแหน่งหัวใจ พร้อมรอยยิ้ม “ตรงนี้แหล่ะ เจ็บมากเลยรู้ไหม ตอนที่นายนอนอยู่ในห้องนี้แล้วฉันมาหาไม่ได้”

     

                    “ซีวอนนนน” ร่างบางได้แต่พึมพำเบา จากที่คิดจะว่ากลายเป็นนิ่งเงียบถ่ายทอดความรัก ความห่วงหา ผ่านมือที่เกาะกุมไว้เหนือหัวใจ  “ไม่เจ็บแล้วนะ ไม่เป็นไรอะไรแล้ว”

     

                    “ฮีชอลคืนนี้ฉันขอนอนกับนายได้ไหม” น้ำเสียงทุ้มที่ไม่อะไรเจือปนอยู่ในกระแสเสียงเลยนอกจากความรัก ความคิดถึง และความกลัว..... “นะ สัญญาว่าแค่นอนกอดเท่านั้น ให้ฉันได้ดูแลนายเถอะนะฮีชอล” 

     

                    “อื้อออ” ฮีชอลไร้คำจะปฏิเสธเมื่อหัวใจก็เรียกร้องจะได้อยู่ใกล้คนรัก อ้อมกอดอุ่นโอบกระชับรับร่างบางเข้ามาแนบชิด เหมือนที่แขนเรียวโอบรอบร่างกายแข็งแรงซุกซบหาไออุ่นเช่นเดียวกัน      

     

    * ~ * ~ * ~ *~ *  ~* ~* ~ * ~ * ~ * ~ * ~ * ~ * ~ *

     

    ฮีชอลนายย้ายมานอนห้องเดียวกับฉันเถอะนะ” ซีวอนที่ถูกประคองกลับห้องตั้งแต่ยามเช้ากำลังนอนอ้อนคนรักอยู่บนเตียง ดวงตาที่ใครต่อใครว่ามันแข็งกร้าวและดุดันกำลังละห้อยน่าสงสาร

     

                    “นอนได้ยังไง เตียงคนป่วยแคบแค่นี้” คนที่เมื่อคืนถูกเบียดเบียนที่นอนเอ่ยท้วง ตัวเขาเองหน่ะไม่เท่าไหร่ แต่คนที่กำลังอ้อนอยู่นี่ไม่ได้ดูตัวเองเลยว่ากำลังเจ็บแค่ไหน หากนอนเบียดกันคงได้ระบมไปทั้งตัวแน่ๆ

     

                    “ไม่เป็นไร เมื่อคืนยังนอนได้เลย นะฮีชอล มานอนกับฉัน”มือหนาที่ยังมีผ้าพันแผลพันอยู่เอื้อมจับมือบางที่หลงเหลือรอยช้ำของเข็มน้ำเกลือ

     

                    “ไม่เป็นไรอ่ะไรเล่า นายหน่ะต้องพักมากๆนะซีวอน”  เสียงอ่อนหวานของฮีชอลทำให้คนกำลังโดนขัดใจยิ้มออกมาได้บ้าง แม้จะไม่เต็มที่ “เดี๋ยวกินซุปที่ซองมินทำมาให้นะ เห็นว่าช่วยบำรุงให้แผลสมานไวขึ้นด้วย”

     

                    ทันทีที่ได้ยินว่าเป็นซุปของซองมินซีวอนก็แทบเบือนหน้าหนี “ไม่กินได้ไหม เดี๋ยวรออาหารของโรงบาลก็ได้”

     

                    “ไม่อยากหายไวๆ แล้วกลับไปอยู่กับฉันหรอ” เสียงหวานแสร้งทำน้อยใจก้มหน้าหลบสายตาของคนเจ็บ แอบกลั้นยิ้มอยู่ในใจ หาทางหว่านล้อมให้คนรักยอมกินซุปของซองมินให้ได้

     

                    “ฮีชอล...” เสียงทุ้มยังโรยแรง เสียใจที่ทำให้คนรักต้องน้อยใจ “ไม่ใช่อย่างนั้นนะ ฉันขอโทษ อย่าร้องไห้นะ อยากหายสิ”

     

                    “ไม่ต้องหรอก บางทีนายอาจจะรำคาญ ฉันเองก็ลืมไป ขอโทษนะ” ฮีชอลยังคงก้มหน้าก้มตา ไม่ยอมเงยหน้าขึ้นมองคนรัก พยายามทำเสียงให้ดูน่าสงสารที่สุด

     

                    “ไม่นะฮีชอล ฉันไม่เคยรำคาญนายนะ อย่าคิดแบบนี้สิเอาเป็นว่าถ้าซองมินทำซุปมาให้ฉันจะกินให้หมดเลยนะ ตกลงไหม” น้ำเสียงของคนป่วยร้อนรนมากขึ้น กลัวคนรักต้องเสียใจ

     

                    “ถ้านายไม่อยากก็ไม่เป็นไร ไม่ต้องฝืนหรอก” ร่างบางจะพูดแต่ถูกขัดด้วยเสียงเปิดประตู

     

                    “มาอยู่นี้กันหมดจริงๆด้วย” คนที่เปิดประตูเข้ามาใหม่ก็คือซองมินที่มาพร้อมซุปร้อนรสชาติแย่สำหรับบำรุงคนป่วยทั้งสอง

     

                    “ซองมินนายทำซุปมาใช่ไหม” ซีวอนถามอย่างกระตือรือร้นหวังเอาใจคนรัก ด้วยการยอมกินทุกอย่างที่คนนำมาให้เพื่อบำรุง จะได้ออกจากโรงพยาบาลให้เร็วที่สุดและเป็นฝ่ายดูแลคนรักเหมือนเดิม

     

                    “อื้อ ทำมา นายจะกินหรอ แปปนะเดี๋ยวฉันจัดใส่จานให้ รับรองว่านายต้องหายเร็วแน่ซีวอน” คนทำซุปมาดีใจแทบแย่ที่ชายหนุ่มเรียกร้องอยากกินขนาดนี้ รีบจัดแจงเทใส่ชามอย่างเรียบร้อย แล้วเอามาวางบนโต๊ะอาหารของคนไข้ “ให้ฮีชอลป้อนด้วยไหม”

     

                    “ได้ไหมหล่ะ” ดวงตาคมวาววับอย่างน่าสงสาร น้ำเสียงเว้าวอนคนที่นั่งอยู่ข้างเตียง

     

                    คนถูกอ้อนไม่ตอบ แต่รับซุปร้อนมาป้อนให้ชายหนุ่ม คำแรกที่ช้อนตักขึ้นมาควันฉุยจนปากอิ่มต้องเป่าไล่ความร้อนให้ก่อนป้อนเข้าปากคนรัก

     

                    “เห็นพวกนายมีความสุขแบบนี้แล้วดีจังเลย เฮ้ออออ แข็งแรงไวๆนะซีวอน” ซองมินมองภาพของเพื่อนทั้งสองคนอย่างมีความสุข กว่าจะเรื่องราวแบบวันนี้ได้ต้องผ่านอะไรมามากมายนึกไม่ออกเลยว่าทั้งสองคนต้องทนเจ็บมากแค่ไหนกัน

     

                    ซีวอนกินซุปของซองมินจนหมดอย่างแทบไม่รู้รสชาติ เพราะความสุขที่ล้นออกมา รอนับวันเพื่อออกจากโรงพยาบาลอย่างเดียวเท่านั้น

     

                    “คุณฮีชอลค่ะ อีกสักครู่คุณหมอจะเข้าไปตรวจคุณฮีชอลที่ห้องนะค่ะ” พยาบาลเปิดประตูเข้ามาตามคนไข้ที่ถูกกักตัวไว้ที่ห้องคนไข้อีกห้อง

     

                    “ครับ ขอบคุณครับ” ฮีชอลหันไปขอบคุณก่อนหันกลับมาหาคนรักอีกครั้ง “ฉันกลับห้องก่อนนะ แล้วนายก็หลับพักผ่อนรู้ไหม นอนเยอะๆนะ”  ไม่เพียงแค่บอกด้วยความเป็นห่วง แต่กลีบปากเล็กยังประทับลงที่หน้าผากกว้างของคนรักก่อนกลับห้องตัวเองพร้อมซองมินที่อยากฟังคำหมอด้วย

     

                    ฮีชอลกลับมานอนรอที่ห้องเพียงไม่นานคุณหมอเจ้าของไข้ก็เข้ามาทำการตรวจคนไข้ที่ดีวันดีคืน แถมยังดูแข็งแรงกว่าเก่าอีกด้วย “ผลการตรวจต่างๆแล้ว หมอมีข่าวดีมาบอกเราด้วยนะ”

     

                    “อะไรครับหมอ” ดวงตาโตมองด้วยความหวัง รอลุ้นอยู่ในใจ

     

                    “พรุ่งนี้ก็กลับบ้านได้แล้ว”

     

                    แค่คำพูดของหมอก็เหมือนว่าจะทำให้โลกนี้สดใสขึ้นอีกเยอะ ฮีชอลดีใจจนแทบจะเก็บของกลับบ้านล่วงหน้า ดีแต่ว่าซองมินห้ามไว้บอกว่าพรุ่งนี้ค่อยเก็บก็ยังทัน ส่วนวันนี้ให้โทรไปบอกทุกคนก่อนจะดีกว่า โดยเฉพาะคนที่นอนอยู่ที่อีกห้องของโรงพยาบาล

     

                    “ซีวอนฉันมีเรื่องมาบอก....”ร่างบางในชุดคนไข้วิ่งถลามาหาคนรักที่นอนรออยู่อย่างยินดี ใบหน้าสวยหวานมีแต่รอยยิ้มดีใจ ไม่รอให้คนรักได้ถามก็รีบบอกทันที “พรุ่งนี้ฉันได้กลับบ้านแล้วววว”

     

                    ชายหนุ่มไม่มีถ้อยคำแสดงความยินดีใดๆ แต่สองแขนที่ยังเจ็บอยู่อ้าออก ขอให้คนรักเข้ามาอยู่ในอ้อมแขน คนที่หายดีแล้วก็ว่าง่ายยอมเข้าไปอยู่ในอ้อมกอดนั่นลืมไปเลยว่าในห้องยังมีเพื่อนอีกคนที่วิ่งตามกันมา

     

                    ซองมินวิ่งตามเข้ามาดูแต่ก็ต้องปิดประตูห้องลงแล้วกลับไปรอเพื่อนรักที่ห้องของฮีชอล ปล่อยให้คู่รักเขาได้สวีทหวานกันสองคนไปก่อน ส่วนตัวเขาก็ไล่เก็บของเล็กๆน้อยๆรอให้ฮีชอลกลับมา              

     

    ขอให้มีความสุขจริงๆสักทีนะฮีชอล.....

     

                    * ~ * ~ * ~ *~ *  ~* ~* ~ * ~ * ~ * ~ * ~ * ~ * ~ *

    Talkg

              สวัสดีคร้า ยังจำกันได้ก่? 555 หายไปนานเลยค่ะ กลับมาอีกที ปิดตอนนี้ดีกว่า เจอกัน ปีสี่เทมอ2 ซึ่งเป็นตอนก่อนสุดท้ายของเรื่องนะค่ะ

                    ปล. เรื่องยุ่งๆ + ปัญหาในใจไอซ์ใกล้หมดแล้วค่ะ จวนได้ปั่นบ่อยๆแบบเมื่อก่อน(นู้นแล้ว) ถ้าไอซ์จะลงวันละนิดจิตแจ่มใสแต่ทุกวัน ดีไหมค่ะ หรือว่า อาทิตย์หนึ่งลงที แต่ลงยาวๆ อยากได้แบบไหนมากกว่ากันค่ะ ?

     

     

                    ขอบคุณทุกคอมเม้มท์คะ

     

     

     

                     

    fish

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×