ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Once upon a Time กาลครั้งหนึ่ง...จนถึงตอนนี้ (woncin)

    ลำดับตอนที่ #12 : ปี4 เทอม 1 .....ความสุขดุจดั่งสายลม.....100%

    • อัปเดตล่าสุด 16 เม.ย. 55


    ปีสี่ เทอม1...ความสุขดุจดั่งสายลม                                     

                    “ฮีชอลนอนได้แล้ว พรุ่งนี้เรียนเช้าไม่ใช่หรือไง” ซีวอนร้องถามคนที่นั่งหน้าเครียดทำท่าจะเปิดคอมตั้งแค่บ่ายจนจะเที่ยงคืนแต่ก็ไม่ยอมเปิด แล้วพรุ่งนี้ก็วันเปิดเทมอวันแรก แถมมีเรียนเช้า แต่ก็ยังไม่เข้านอน

     

                    “เดี๋ยวสิขอทำใจก่อนได้ไหม เฮ้ย” เพราะมัวแต่ทำใจและตื่นเต้นทำให้ไม่รู้ตัวว่ามีคนมายืนซ้อนหลัง กว่าจะรู้ก็เมื่อสัมผัสถึงลมร้อนที่เป่ารดข้างแก้ม

     

                    “ทำใจเรื่องอะไร เห็นนั่งจ้องคอมมาตั้งแต่บ่ายแล้ว ดูสิมือเย็นเฉียบเลยหนาวหรือเปล่า แต่ทำไมเหงื่ออกที่หน้าแบบนี้” นิ้วยาวๆเกลี่ยเช็ดเหงื่อเม็ดเล็กที่ผุดขึ้นบนใบหน้าใส อีกมือลูกไล้ต้นแขนเล็กเพิ่มความอบอุ่นให้แก่ร่างบาง

     

                    “ไม่ได้หนาว แต่ว่าวันนี้เกรดออก” มือเล็กจับมือของชายหนุ่มที่ยังวนเวียนอยู่บนหน้าของตัวเองมาเขย่าไปมา หน้าตาบ่งบอกว่ากำลังเครียดอยู่มากๆ “อื้ออ ไม่กล้าดูอ่ะซีวอน ดูให้หน่อยสิ”

     

                    “จะกลัวทำไม มั่นใจหน่อยสิ” คำพูดให้กำลังใจของซีวอนไม่ช่วยให้อะไรดีขึ้น เมื่อใบหน้าเล็กยังชื้นด้วยเหงื่อ จนชายหนุ่มอ่อนใจ “ดูให้ก็ได้”

     

                    “ขอบใจ” ใบหน้าสวยยิ้มกริ่ม ลุกขึ้นจากเก้าอี้ให้คนตัวโตได้นั่งแทน แต่แล้วกลับถูกฉุดดึงให้ลงไปนั่งบนตักแข็งๆนั่นอย่างไม่ทันตั้งตัว เอวถูกโอบโดยแขนแกร่งในทันที “อื้อ ซีวอน ปล่อยสิ ไม่เล่นแบบนี้นะ”

     

                    “ใครว่าเล่น ดูแบบนี้แหล่ะ เรื่องไรมาใช้แรงงานคนอื่นแล้วจะไม่ตอบแทน” ใบหน้าคมลอยหน้าตาพูด ไม่สนใจสีแดงเรื่อบอกความเขินอายบนแก้มใส ซุกหน้าเข้าหาร่างบาง “อื้อออ หอมชื่นใจจังเลย แฟนใครเนี่ย”

     

                    “ซีวอน!

     

                    “ครับ เข้านะครับ” เสียงหวานห้วนไม่ทำให้ชายหนุ่มปล่อยแขนออกจากเอวบาง แต่ยอมเปิดหน้าเว็บของมหาลัย จัดการล็อคอินเข้าระบบโดยไม่ต้องถามพาสเวิดสักคำ “ยูสเนม คิม ฮีชอล พาสเวิด ชเว ซีวอน อะ มาแล้ว”

     

    “อย่าหันหน้าหนีสิ ฮีชอล มั่นใจหน่อย ฉันติวให้ ไม่เอฟหรอกหน่า” ที่มุมปากบางมีรอยยิ้มขบขันคนที่ไม่มั่นใจผลสอบตัวเอง ฝืนให้คนไม่กล้าดู ต้องหันมองผลสอบตัวเอง

     

                    “เฮ้ย บี!!” เสียงหวานตะโกนดังลั่นที่เห็นตัวอักษรลำดับที่สองของภาษาอังกฤษในช่องเกรด “ซีวอนฉันได้บีแหล่ะ ตั้งบีแหน่ะ ขอบคุณนะ” ร่างบางหันกลับไปหาชายหนุ่มที่อาสาตัวเองเป็นเบาะแข็งๆให้นั่ง แขนเรียวโอบรอบคอหนากอดไว้ด้วยความดีใจ

     

                    “แค่ขอบคุณเองหรอ ไม่มีอะไรเป็นรางวัลหรือไงฮีชอล” เสียงทุ้มน่าฟัง แต่ดวงตากลับเป็นประกายเจ้าเล่ห์เหมือนหมาป่าจ้องตะครุบลูกแกะน้อย โยกตัวคนบนตักไปมาอย่างเพลิดเพลิน

     

                    “อยากได้อะไรเดี๋ยวซื้อให้เลย ตั้งบีแหน่ะ ฮ่าๆ ” ร่างเล็กยังคงดีใจกับอักษรลำดับที่สองไม่เลิกจนไม่ทันมองดวงตาประกายเจ้าเล่ห์ของชายหนุ่ม

     

                    “ไม่ต้องซื้อ แค่ดูหนังที่บ้านกันสักเรื่องก็ได้นะฮีชอลนะ ฉลองก่อนเปิดเทอมไง”

     

                    “ฮึ ไม่ต้องเลย” ร่างบางแกะแขนแข็งแรงออกจากเอวตัวเอง รีบลุกหนีคนเจ้าเล่ห์ทันที รู้ว่าสิ่งที่ชายหนุ่มหมายถึง ไม่ใช่แค่การดูหนังแน่ๆ “ปิดคอมปิดไฟนอนเลยนะซีวอน”

     

                    “อะไรกัน ไหนว่าจะให้ไง เราอุตส่าห์ขออะไรที่ไม่ต้องเสียเงินเลยนะ ฮีชอลไม่ใจอ่อนหน่อยหรือไง”

     

                    “ไม่! นายบอกเองนะว่าพรุ่งนี้วันแรก ให้รีบนอน เพราะงั้นปิดคอม ปิดไฟเลย ฉันจะนอนแล้ว” ฮีชอลส่งเสียงมาจากที่นอนนุ่ม หลับดวงตาลงไม่สนใจคำอ้อนวอนของคนรักเลยสักนิด

     

                    “คร้าบบบบบบ” ซีวอนจัดการปิดคอมแล้วเดินไปปิดไฟ ก่อนล้มตัวลงนอนบนที่นอนฝั่งที่ยังว่าง แล้วกระตุกร่างเล็กเข้ามาในอ้อมกอดที่หน้ามีรอยยิ้มอย่างเป็นสุข

     

                    นับจากวันนั้น เขาก็ไม่เคยล่วงเกินอะไรฮีชอลอีกเลย อยากจะให้เรื่องราวความรักของเขามันค่อยเป็นค่อยไป เพียงแค่ได้มีฮีชอลอยู่ในอ้อมกอดแบบนี้ทุกคืนก็พอใจแล้ว......

     

                     * ~ * ~ * ~ * ~ *~ * ~* ~* ~ * ~ * ~ * ~ * ~ * ~ * ~ *

     

    “โอ้ยย ทำไมจารย์ต้องเป็นแบบนี้เนี้ย ร้ายกาจชะมัด นี้น้องโจว ไม่ต้องยิ้มนะ ปีหน้าน้องโจวก็ต้องเรียนกับป้าแกเหมือนกัน” เสียงร้องโหยหวนของเด็กปีสี่ ไม่ใช่แค่ซองมินคนเดียว แต่คือทั้งหมดของนักศึกษาปีสี่ดังระงมไปทั่วใต้ตึกเรียนทำให้ชายหนุ่มต่างคณะที่พึ่งได้เป็นเขยคณะหมาดๆต้องขมวดคิ้ว มองหาคนรักที่คงอยู่ไม่ไกลจากเสียงที่ได้ยิน

     

                    “ฮีชอลเป็นอะไร ทำไมทำหน้าแบบนั้น” ทันทีที่ได้เห็นใบหน้าหวานๆมุ่ยลงไม่สดใสก็ทำให้ชายหนุ่มที่เป็นห่วงและกังวลไปเสียทุกอย่างต้องถามด้วยความเป็นห่วง

     

                    “ก็จารย์หน่ะสิ ซีวอน ยังไม่ทันสอนไรเลยก็สั่งรายงานแล้ว” ซองมินเอ่ยตอบแทนใบหน้าที่เอาแต่ก้มหน้างุดๆด้วยอารมณ์เซ็งสุดขีด กับงานชิ้นแรกของเทอม

     

                    “อ้าว ทำไมเป็นงั้นหล่ะ” คิ้วคมเข้มขมวดเข้าหากัน มีรอยยิ้มใจดีมอบให้กับคนตัวอวบอ้วน

                   

    “ก็อาจารย์บอกว่าอยากวัดความเข้าใจหน่ะสิ แล้วยังให้ส่งวันศุกร์นี้ด้วย แย่แน่เลย” ปากอิ่มมู่เข้าหากัน สบตาคนรักอย่างหมดแรง สองมือกอดหนังสือไว้แนบตัว

     

                    “ไม่แย่หรอกหน่า” มือใหญ่ยกขึ้นยีหัวทุยๆให้ยุ่งเหยิงเอ็นดูกับท่าทางเหมือนเด็กน้อยถูกขัดใจ “ ใครจะปล่อยให้ทำคนเดียวเล่า เดี๋ยวช่วยนะ”

     

                    “จริงๆนะ”

     

                    ซีวอนจ้องมองใบหน้า ที่กลับประกายด้วยรอยยิ้มอย่างพึงพอใจ เพียงแค่นี้เขาก็มีความสุข  ไม่ต้องการอะไรอีกแล้ว มือหนาจับหนังสือที่ร่างเล็กกอดไว้มาถือเสียเอง “จริงสิ เคยโกหกที่ไหนกัน จะกลับหรือยัง หรือต้องไปหาข้อมูลที่ห้องสมุดก่อน”

     

                    “ไม่ต้องหรอก วันพุธเย็นนัดกันทำที่ใต้ตึก”

     

                    “วันพุธหรอ....”

     

                    “ทำไม ไม่ว่างก็ไม่เป็นนะ ฉันกลับเองก็ได้” เพราะเห็นเค้าร่างความไม่แน่ใจบนใบหน้าคนรัก ทำให้ฮีชอลรีบออกตัว ไม่อยากจะเป็นภาระคนอื่นไปมากกว่าที่เป็นอยู่

     

                    “ว่างสิ ทำไมจะไม่ว่างหล่ะ”

     

                    “ใช่ ก็คุณหนูจะกลับเย็น คนขับรถจะไม่ว่างได้ไง ใช่ไหมซีวอน” ซองมินเอ่ยแทรกการสนทนาของเพื่อนรักตนเองด้วยรอยยิ้ม อารมณ์ดีที่ได้แกล้งเพื่อน

     

                    ร่างสูงได้แต่หัวเราะรับในลำคอ กุมมือบางเอาไว้ไม่ยอมตอบอะไร หันไปเอ่ยลาเพื่อนของคนรัก “กลับแล้วนะ”

     

                    “พรุ่งนี้เจอกันนะ ซองมิน จองวู” มือเล็กข้างที่เป็นอิสระโบกมือไหวๆให้กับเพื่อนสนิททั้งสอง

     

    “อือ พรุ่งนี้เจอกัน ขับรถดีๆนะซีวอน” จองวูอำลาเพื่อนสนิทด้วยหัวใจที่เริ่มยอมรับความเจ็บได้ ไม่ลืมกำชับชายหนุ่มที่ต้องขับรถให้ระมัดระวัง

     

                    “ไม่ต้องห่วง เพื่อนนายปลอดภัยเสมอเมื่ออยู่กับฉัน” ถึงแม้จะเข้าใจกันดีแล้ว แต่ซีวอนก็ยังคงอดไม่ได้ที่จะย้ำเตือนความสัมพันธ์ที่จองวูควรมีให้กับคนรักของเขา

     

                    ดวงตากลมมองใบหน้าคมที่ดูเคร่งขรึมเมื่อคำว่า เพื่อน ถูกเน้นหนักจนเกินไป ก่อนส่งยิ้มหวานให้เพื่อนสนิทตัวสูง แล้วออกแรงนิดๆลากคนตัวสูงข้างกายให้เดินไปขึ้นรถกลับบ้านด้วยกัน

     

                    “นายหน่ะน่ากลัวเกินไปรู้ไหมซีวอน ทั้งตา ทั้งคำพูด” ฮีชอลพูดขึ้นทั้งที่ยังจับจูงมือของคนน่ากลัวเกินไป “แล้วเสียงแบบนั้นอีก มันเหมือนกำลังขู่กันอยู่เลย”

     

                    “กลัวหรือไง หือ?” ดวงตาที่ถูกกล่าวหาว่าดู ทอดมองคนที่เดินเคียงข้างอย่างอ่อนโยน กระชับมือเล็กแนบแน่น รอคอยคำตอบจากปากอิ่มด้วยความอยากรู้

     

                    “กลัวสิ เป็นใครจะไม่กลัวบ้างเล่า” ทั้งที่พยายามลืมภาพเก่าๆ แต่ในบางครั้ง ที่ความทรงจำย้อนกลับคืนมา รูปตาที่เรียวคมแบบก็นี้ทำให้อดหวาดกลัวไม่ได้ ยิ่งน้ำเสียงอย่างที่ซีวอนใช้กับจองวู ก็ยิ่งน่ากลัว ถึงเสียงนั่นจะไม่ใช่ประโยคที่พุดกับเขาก็ตาม “ตายังงี้ ตัวก็โตยังกะอะไรดี”

     

                    “ตาทำไมหรอ” ซีวอนก้าวเดินดักหน้าร่างบาง รั้งใบหน้าหวานให้แหงนเงยสบตา แต่ดวงตาที่ฮีชอลได้พบ ไม่ใช่ดวงตาคู่คมจัดที่ดูน่ากลัว แต่เป็นดวงตารีเรียวทอประกายวิบวับ เต็มไปด้วยแววหยอกล้อและยั่วเย้าของคนเจ้าเล่ห์

     

                    “.ก็....” เมื่อต้องสบดวงตาคู่ที่เคยดุ ใบหน้าหวานกลับแดงเรื่อ พูดอะไรไม่ออก มือข้างที่ว่างออกแรงผลักอกคนที่ยืนขวางทาง “เดินไปสิ ขวางทาง อยากกลับบ้านแล้วนะ”

     

                    “ก็บอกก่อนสิ ว่าตาฉันทำไม” คนขี้แกล้งยังคงแกล้งไม่เลิก ไม่ยอมเดินต่อ ฝืนตัวต้านแรงผลัก

     

                    “ไม่รู้ ไม่แกล้งแล้วได้ไหม อยากกลับบ้าน”  เสียงหวานงอแง ไม่ยอมตอบให้คนขี้แกล้งได้ใจ

     

                    “ไม่ได้แกล้งสักหน่อย” ในที่สุดซีวอนก็ต้องเป็นฝ่ายยอมแพ้ให้กับดวงตากลมที่กำลังอ้อนวอนขอร้อง เดินจับจูงมือเล็กไปตามทาง ไปส่งขึ้นรถที่นั่งข้างคนขับ ก่อนจะพากลับบ้านด้วยใจที่เบิกบานทั้งสองคน  

     

                     * ~ * ~ * ~ * ~ *~ *~* ~* ~ * ~ * ~ * ~ * ~ * ~ * ~ *

     

    “หยุดชะเง้อคอได้แล้ว คอนายยาวกว่ายีราฟแล้ว” ร่างอวบที่เหมือนจะตั้งใจทำรายงานไปด้วยกินลูกชิ้นที่คนรักนำมาให้ไปด้วย หยุดปากที่กำลังเคี้ยวมาแซวเพื่อนสนิทที่คอยแต่ชะเง้อมองหาใครอีกคนที่ยังไม่ยอมมา

     

                    “บ้าหน่าซองมิน ทำไมป่านนี้ซีวอนยังไม่มานะ เลิกเรียนนานแล้วนะ” เสียงหวานใสบ่น นึกหวั่นใจแปลกๆ แอบกลัวอยู่ลึกๆว่าที่ผ่านมาทั้งหมดคือละครหนึ่งฉากที่ซีวอนแกล้งทำดีด้วย เมื่อเบื่อแล้ว ทุกอย่างก็กลับไปสู่ความโหดร้ายเหมือนเดิม

     

                    “ทำไมไม่ลองโทรหาหล่ะฮีชอล” ถ้าเป็นเมื่อก่อน นี้อาจเป็นโอกาสที่จองวูจะใช้เพื่อทำลายความเชื่อใจที่ฮีชอลมีต่อซีวอน แต่ตอนนี้ ตั้งแต่วันนั้นที่ได้คุยกับซีวอน ได้รับรู้ความรู้สึกที่มากล้นของฮีชอล เขาก็อยากจะทำเพื่อให้เพื่อนสนิทที่เขารักมีความสุข

     

                    “โทรไปแล้ว แต่ไม่ยอมรับ” เสียงอ่อยบอกความผิดหวัง ใบหน้าหวานหมอง ไม่มีสมาธิทำงานทั้งที่รอบกายมีแต่เพื่อนที่กำลังเร่งปั่นงานชิ้นแรกของเทอมให้เสร็จ

     

                    “ก็โทรไปใหม่ได้นิ อย่าทำหน้าแบบนั้นสิฮีชอล” จองวูมองประกายความเศร้าที่ห่างหายไปนานจากตาของฮีชอล รับรู้ความหวั่นใจของเพื่อนตัวเล็ก ปากเรียวส่งรอยยิ้มเป็นกำลังใจ ละมือจากงานตรงหน้ามากอบกุมมือเล็ก “เชื่อใจซีวอนเถอะ หมอนั่นไม่มีทางทำให้นายเจ็บหรอกนะฮีชอล”

     

                    “อือก็รู้” เสียงตอบรับอ้อมแอ้ม หลบดวงตาของเพื่อนก้มหน้ามองโน็ตบุคส์ที่งานยังกระเตื้องไปไม่เท่าไหร่  “ แต่โทรไปบ่อยๆฉันกลัวซีวอนเบื่อนิ”

     

                    “ไม่หรอกหน่า กล้าๆหน่อยฮีชอล โทรไปอีกครั้งนะ เชื่อฉันว่าซีวอนไม่มีทางเบื่อนายหรอก” จองวูพยายามตะล่อมกระต่ายน้อยขี้ตื่นกลัวให้กล้าโทรหาคนรัก

     

                    “ฮัลโหล อยู่ไหนเนี้ย รีบมาเลยนะ เด็กนายหน่ะจะเฉาตายอยู่แล้ว” อยู่ๆเสียงของซองมินก็ดังแทรกขึ้น เหมือนเจ้าตัวกำลังคุยโทรศัพท์กับใครสักคนเรียกสายตาจากเพื่อนสนิททั้งสองและอีกหนึ่งรุ่นน้องที่ปีนเกลียวอัพสถานะเป็นแฟนได้เป็นอย่างดี

     

                    “อือ คุยกันเองหล่ะกัน” ซองมินกรอกเสียงลงไปในสายอีกครั้ง ก่อนยื่นส่งมือถือเครื่องจิ๋วให้เพื่อนสนิทตัวเล็ก “อ่ะ ผู้ปกครองจะคุยด้วย แล้วก็ยิ้มได้แล้ว อย่าทำหน้าเป็นหมาหงอยแบบนั้น”

     

                    “.....” ดวงตาโตมองโทรศัพท์ในมือเพื่อนอย่างแปลกใจ ก่อนรับมาโดยที่สายตายังไม่ละจากใบหน้าอิ่ม “สวัสดีครับ”

     

                    /สวัสดีครับ เหงาหรอ/

     

                    “ซีวอน..” เสียงทุ้มจากโทรศัพท์ทำให้ใบหน้าที่หมองเศร้าสดใสขึ้นมาได้ เสียงเรียกชื่อเต็มไปด้วยความดีใจ ไม่เหลือความหวาดหวั่นอยู่อีกเลย “อยู่ที่ไหน ทำไมโทรไปหาแล้วไม่รับหล่ะ”

     

                    /กำลังจอดรถอยู่ คิดถึงฉันหล่ะสิใช่ไหม/

     

                    “ใครจะไปคิดถึงกัน เจออยู่ทุกวัน” ถึงปากจะพูดไปอย่างนั้นแต่ใบหน้าใสกำลังแดงเรื่อ ถูกสายตาจากเพื่อนสนิมและน้องรหัสล้อเลียน

     

                    /หรอออ แล้วเมื่อกี้ซองมินหมายถึงใครกันน้า/       

     

                    “ไม่รู้ ไม่คุยด้วยแล้วเสียเวลาทำรายงาน แค่นี้นะ” มือเล็กยื่นโทรศัพท์ส่งคืนให้เจ้าของพร้อมใบหน้าแดงก่ำ

     

                    “ฮัลโหล อือ แดงก่ำเลย ฮ่าๆๆ อือ แล้วเจอกัน” ซองมินคุยต่ออีกนิดหน่อยก่อนตัดสายมองหน้าเพื่อนที่แดงปลั่งอย่างมีความสุข

     

     

    ซองมินหยอกล้อร่างบางนิดหน่อยให้พอหายเครียด “โธ่บอกว่าเสียเวลาทำงาน ทำยังกะตอนเขาไม่อยู่แล้วได้ทำนี้ฮีชอล  แหน่ะๆๆ ดีใจหล่ะสิ โอ้ยๆๆ น้อยโจวฮีชอลแกล้งพี่”  ปลายประโยคเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะ แม้จะโดนตีไหล่ก็เถอะ

     

                    เพียงไม่นานที่ฮีชอลทุ่มเทสมาธิกับรายงานตรงหน้า แก้มใสก็ถูกสัมผัสด้วยไอเย็นของกระป๋องเครื่องดื่มที่มีคนเอามาแนบ “ซีวอน...”

     

                    “เป็นไงบ้าง ทำไปถึงไหนแล้ว หิวหรือยัง” ชายหนุ่มเดินมาพร้อมกับถุงเสบียงเพื่อชีวิตของเหล่านักปั่นงาน “กินอะไรก่อนนะฮีชอล แล้วค่อยทำงานต่อ ของพวกนายก็มีนะ ซองมิน จองวู”

     

                    “นายนี้เป็นแฟนที่ดีจังเลย ไม่เหมือนบ้างคนหรอก” ดวงตาของซองมินตวัดค้อนคนข้างตัว สองมือรื้อๆคุ้ยๆทั้งนมทั้งขนมปังในถุงใหญ่

     

                    “ก็พี่ไม่บอกผมหนิครับ” คยูฮยอนแก้ตัวเสียงอ่อย ใครจะไปรู้เล่าว่าอยากกิน ก็เห็นก้มหน้าก้มตาพิมพ์งานอย่างเดียว

     

                    “กินขนมปังก่อนนะ ทำเสร็จแล้วจะพาไปกินข้าว” ในมือของซีวอนมีแซนวิสที่ถูกแกะพลาสติคออกครึ่งหนึ่งยื่นส่งให้ร่างเล็กที่เอาแต่สนใจงานในคอม

     

                    “อือ ขอบใจนะ” ปากเล็กอ้ากว้าง สองมือยังง่วนอยู่กับแป้นพิมพ์บอกให้ชายหนุ่มรู้ว่าต้องมีคนป้อนแซนวิสทูน่านี้ถึงปาก

     

                    “แหมทำเป็นตั้งใจทำงานนะฮีชอล ทีเมื่อกี้หล่ะ...” ซองมินมองเพื่อนสนิทด้วยรอยยิ้ม เพียงแค่ซีวอนมาถึงก็ทำให้ฮีชอลดูสดใสขึ้นในทันที

     

                    “เมื่อกี้ก็ไม่เห็นมีอะไรนิ” คนตอบปัดหน้าแดง แสร้งเป็นสนใจแต่หน้าจอโน็ตบุคส์ ไม่เบือนหน้ามองคนที่ถือแซนวิสป้อนให้ถึงปาก

     

                    “หรออ จองวูนายว่าไง” เพราะความคะนองปาก ทำให้ซองมินหันหน้าไปหาอีกคนที่นั่งเงียบก้มหน้าก้มตาอยู่กับรายงานไม่ยอมพูดจาอะไรเลย

     

                    “ว่าอะไร เลิกแกล้งฮีชอลแล้วตั้งใจทำเถอะซองมินจารย์ให้ส่งศุกร์นี้นะ” ใบหน้าเคร่งเครียดของจองวูเงยขึ้นจากหน้าจอเพื่อว่าร่างอวบที่ขยันพูดแซวให้เขาต้องเจ็บลึก

     

                    “อืออออออ” ถึงจะรับคำอย่างไม่เต็มใจ แต่หูก็ได้ยินเสียงหัวเราะเบาๆของเพื่อนตัวบางที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม “หัวเราะอะไร”

     

                    “เปล่าสักหน่อย” ถึงจะปฏิเสธแต่บนใบหน้าสวยหวายก็ยังคงอมยิ้ม เคี้ยวขนมปังที่ชายหนุ่มป้อนให้ ก่อนถามสิ่งที่อยากรู้ “ซีวอนแล้วนายไปไหนมา เลิกเรียนนานแล้วไม่ใช่หรอ”

     

                    “......” ชายหนุ่มนิ่งเงียบ มองใบหน้าสวย ไม่มีคำตอบใดๆให้ “กินดีๆสิฮีชอล เลอะหมดแล้ว” นิ้วมือหยาบเช็ดมุมปากอิ่มให้อย่างเบามือ เลี่ยงที่จะต้องตอบคำถาม

     

                    ดวงตาโตมองคนรักอย่างแปลกใจ ก่อนผ่านเลยไปกลับมาให้ความสนใจกับงานที่อยู่บนหน้าจอคอมอีกครั้ง ปล่อยให้ซีวอนจ้องซีกหน้าอยู่เงียบๆ

     

                    “โอ้ยเสร็จสักที พวกนายเสร็จกันยัง” ร่างอวบที่นิ่งไปปล่อยให้ความเงียบครอบงำอยู่เกือบชั่วโมง ในที่สุดก็ตะโกนออกมา พร้อมเหยียดแขนไปจนสุดไล่ความเหนื่อยล้า

     

                    “ยัง เสร็จแล้วก็กลับเหอะ คยูฮยอนมันจะหลับได้ตรงนี้แล้ว” จองวูเงยหน้าจากงานที่ใกล้เสร็จ ขึ้นมามองเพื่อนที่ทำเสร็จเป็นคนแรก พร้อมไล่ให้กลับห้องเพราะคนนั่งรอสับปงกไปหลายรอบแล้ว

     

                    “อือ กลับก่อนนะ จองวู ฮีชอล  พรุ่งนี้เจอกัน ป่ะน้องโจวกลับหอกัน” มืออวบๆตบไหล่คนรักรุ่นน้องแรงๆปลุกให้คนงัวเงียตื่น

     

                    “นายใกล้เสร็จยังอ่ะ” ฮีชอลชะโงกหน้าไปมองจอโน็ตบุคส์เครื่องข้างๆ แล้วทำหน้ามุ่ยเมื่อเห็นความงานของจองวูไปไกลแค่ไหนแล้ว

     

                    “ใกล้แล้วสรุปอีกนิดหน่อย ฮีชอลหล่ะ” ใบหน้าของจองวูมีรอยยิ้มขึ้นมานิดหน่อยเมื่อร่างเล็กเบียดชิดเข้ามา กลิ่นโชยมาให้ได้ชื่นใจ ลืมคนที่นั่งหน้าบึ้งอยู่อีกด้านของโต๊ะ “ให้เราช่วยไหม”

     

                    “เฮ้ย ไม่เป็นไรหรอก วันนี้ไม่เสร็จพรุ่งนี้ก็ยังมีเวลาอีกตั้งวัน แล้วยังมีซีวอนอีกทั้งคน ใช่ไหมซีวอน นายจะช่วยฉันใช่ไหม”

     

                    “อือ” ซีวอนครางเสียงรับในลำคอ พร้อมกับใบหน้าคมพยักรัก นึกดีใจที่ร่างบางเห็นตนเป็นที่พึ่งอยู่เสมอในทุกเรื่อง

     

                    ใบหน้าหวานของคนถามยิ้มร่า ดีใจกับคำตอบที่คนรักตอบรัก แต่ไม่ได้มองเลยว่าสีหน้าของเพื่อนสนิทข้างกายจืดเจื่อนลงไปแค่ไหน

     

                    “ถ้าอย่างนั้นก็ดีแล้ว งั้นวันนี้นายก็พาฮีชอลกลับไปก่อนเหอะ ฝนทำท่าจะตกเดี๋ยวฮีชอลจะหนาวเปล่าๆ” จองวูมองคนทั้งสองแล้วได้แต่ทำใจ กัดฟันเอ่ยประโยคนี้ออกมา ทั้งที่อยากอยู่ใกล้กับเพื่อนสนิทมากกว่านี้ แต่มันก็คงไม่มีทาง ถ้าไม่ตัดใจเสียแต่ตอนนี้ ต่อไปก็คงมีแต่คำว่าเจ็บ

     

                    “ว่าไงฮีชอลจะกลับเลยไหม” ชายหนุ่มถามคนที่นั่งทำหน้าคิดหนัก คิ้วเรียวขมวดเข้าหากันเสียยิ่งกว่าตอนทำรายงานเสียอีก “ดึกแล้ว ฝนจะตกด้วยมั้ง”

     

                    “กลับเลยก็ได้ แต่พรุ่งนี้นายต้องช่วยทำรายงานให้เสร็จนะ หรือไม่ว่าง” ฮีชอลมองเห็นแววตาเหมือนมีอะไรให้ต้องคิดของชายหนุ่ม ท้ายเสียงจึงแผ่วเบาไม่แน่ใจในคำตอบที่จะได้รับ

     

                    ในหัวใจดวงน้อยหวาดหวั่น ความสุขที่ได้รับจะแสนสั้นเพียงแค่ชั่ววัน

     

                    “ไม่ช่วยนายแล้วจะให้ฉันไปช่วยใครเล่า ป่ะเก็บของนะฮีชอล” รอยยิ้มจางๆปรากฏขึ้นบนใบหน้าคม ลูบหัวเล็กๆของอดีตเพื่อนสนิทที่โตด้วยกันมาจนกลายเป็นความรักที่ลึกซึ้ง

     

                    “ก็นึกว่าไม่ว่างต้องไปจีบสาวที่ไหน เห็นย่นคิ้วจนจะผูกเป็นโบว์ได้อยู่แล้ว” เสียงหวานเชิดใส่ปัดมือหนายีจนผมยุ่งไปหมดแล้ว

     

                    “จีบสาวที่ไหนกัน แค่จีบผู้ชายที่นั่งอยู่ข้างๆก็หมดเวลาแล้ว แถมยังต้องคอยคุมไม่ให้ดื้อไม่ให้ซน แล้วฉันจะเอาเวลาไหนไปจีบสาวได้ หืมม์?”

     

                    “ก็ไม่รู้หรอ...” คนที่ทำให้ชายหนุ่มไม่เหลือเวลา นั่งหน้าแดงก่ำ ก้มหน้าก้มตาตั้งใจเก็บของลงกระเป๋า แต่ก็ยังแอบบ่นงุบงิบเบาๆ “ก็ทำหน้ายุ่งขนาดนั้น ใครจะไปรู้ว่าว่างเล่า”

     

                    “บ่นเป็นคนแก่”

     

                    “ไร ถือของเลย” เสียงหวานกลายเป็นเสียงห้วน ส่งกระเป๋าโน็ตบุคส์ให้คนตัวโต ทั้งที่หน้าใสก็ยังแดงไม่เลิก “ไปก่อนนะจองวู นายอย่าดึกนะ พรุ่งนี้ยังเหลือเวลาอีกตั้งวัน”

     

                    “ไม่ต้องห่วงหรอก ซีวอนนายขับรถดีๆหล่ะกัน”

     

                    “....”

     

                    “บายๆๆๆ” ซีวอนเพียงแค่พยักหน้ารับ ผิดกับอีกคนที่ส่งยิ้มกว้างพร้อมโบกมือลา รอยยิ้มกว้างมีอยู่บนใบหน้าสวยที่เดินตัวปลิวไม่ต้องหิ้วอะไร

     

                    ร่างเล็กที่เดินกุมมือกับชายหนุ่มตัวสูงหยุดชะงักเมื่อสัมผัสได้ถึงหยาดน้ำจากฟ้า แบมือรองรับหยดน้ำให้แน่ใจ ก่อนใบหน้าใสจะยิ้มแก้มแทบปริ “ฝนตก”

     

                    “แล้วยิ้มทำไม รีบเดินสิ เดี๋ยวก็ป่วยหรอก” ข้าวของในมือของซีวอนก็ไม่ใช่น้อยๆ แต่ทั้งหมดอยู่ในมือหนึ่งข้าง เพื่อเหลืออีกหนึ่งข้างไว้จับจูงมือบาง ชายหนุ่มรั้งคนรักให้รีบวิ่งเพื่อหบฝนแต่อีกคนกลับไม่ให้ความร่วมมือ

     

                    “อื้ออ ไม่ป่วยหรอก เราไม่ได้เล่นน้ำฝนกันตั้งนานแล้วนะซีวอน” ดวงตากลมเป็นประกายหวังหว่านล้อมให้ชายหนุ่มข้างตัวใจอ่อน

     

                    “แล้วยังไง ไม่สนว่าโน็ตบุคส์จะเปียกงานจะพังหรอ ถึงชวนเล่นน้ำฝนเนี้ย หืมม์”

     

                    “ไม่กลัว ก็นายบอกเองว่ากระเป๋ากันน้ำ เราก็ค่อยๆเดิน สบายดีออก” คนค่อยๆเดิน เดินช้าลงรั้งให้คนขี้เป็นห่วงต้องเดินช้าลงตามไปด้วย

     

                    ถึงร่างบางจะยืนยันว่าสบายดี แต่เพราะความเป็นห่วงก็ทำให้ซีวอนอดไม่ได้ที่จะคว้าร่างเล็กให้มาแนบชิด ยกมือขึ้นกั้นให้หัวเล็กๆโดนละอองฝนน้อยที่สุด 

     

                    ดวงตากลมมองคนที่รั้งร่างกายให้เข้ามาแนบชิดแล้วยังฝ่ามือใหญ่ๆที่อุตส่าห์กั้นกลางฝนให้อย่างขอบคุณ ก่อนได้ใจเอียงคอพิงต้นแขนใหญ่อมยิ้มน้อยๆที่มุมปาก

     

                    “ฮึ” เสียงหัวเราะทุ้มอยู่ในลำคอ มือหนาๆที่กางกั้นเม็ดฝนยีผมนุ่มให้ยุ่งเหยิง ก้าวช้าๆไปพร้อมกับคนข้างกายที่รับสายน้ำชุ่มช่ำ

     

                    ละอองฝนเล็กๆโต้แสงไฟอยู่รอบกาย จนเหมือนว่าฮีชอลกำลังเปร่งประกายท่ามกลางสายฝน รอยยิ้มแสนหวานอยู่บนใบหน้าแสนสุข ดึงดูดสายตาคมไม่ให้ละหนีหายไป ความสดใสที่เหมือนนางฟ้าแสนซนพาให้เขามองจนเคลิบเคลิ้ม

     

                    “เฮ้ย เล่นอะไรหน่ะฮีชอล” เพราะสายน้ำสาดใส่มาเต็มหน้า จนต้องขมวดคิ้วถามคนข้างๆด้วยเสียงดุ

     

                    “ก็เห็นเหม่ออะไรไม่รู้ เรียกตั้งนานไม่เห็นสนใจกันเลย” คนถูกดุก็ทำหน้ามุ่ยไม่แพ้คนดุเช่นเดียวกัน

     

                    “ขอโทษนะ ไม่ทำหน้าแบบนั้นสิ เหมือนหมูเลย ฮ่าๆๆ” ชายหนุ่มหัวเราะใส่ใบหน้าหวานที่ปากกับจมูกย่นติดกัน  “ฮ่าๆ ฮีชอลหน้าหมู โอ้ย” ไหล่หนาเบี่ยงหนีมือบางไม่ทันจึงถูกฟาดลงมาด้วยแรงที่ไม่น้อยเลย

     

                    “หน้าหมูแล้วไม่รักหรือไง” เสียงหวานห้วนถามขึ้นก่อนหันหน้าหนีไปทางอื่น

     

                    “โธ่รักสิ อยากให้นายเป็นหมูจริงๆด้วย ทุกวันนี้ผอมเกินไปแล้ว”

     

                    “ก็นายแหล่ะชอบให้กินแต่ยาขมๆ ของอร่อยๆไม่เห็นจะให้กินเลย” คนแสนงอนยังเป็นคนแสนงอน แต่ยอมกลับมาเดินใกล้ร่างสูงอีกครั้งพร้อมเบียดตัวเข้าหาความอบอุ่นไล่ความหนาวเย็นที่มากขึ้นเรื่อยๆ

     

                    “ก็ที่นายอยากกิน....”

     

                    ซ่า......................

     

                    ฝนที่ตกแผ่วๆ กลับกลายเป็นตกหนักโปรยปรายลงมาไม่ทันให้คนเดินเล่นได้ทันตั้งตัว มือหนากระชับมือเล็กแล้วพาวิ่งไปขึ้นรถ ใจจริงอยากจะถอดเสื้อมากั้นกางให้ร่างบางก็ติดกระเป๋าโน็ตบุคส์ที่สะพายอยู่ 

     

                    “ฮีชอลเปิดประตูรถก่อนนะ ฉันจะเอาโน็ตบุคส์เก็บเบาะหลัง” ซีวอนกดปลดล็อคตั้งแต่ยังไม่ถึงตัวรถหวังให้คนรักรีบขึ้นรถ ส่วนตัวเองก็เปิดประตูรถด้านหลังฮีชอลวางน็ตบุคส์ไว้กับพื้น เมื่อปิดประตูรถจะรีบวิ่งไปขึ้นรถกลับมีน้ำเย็นๆสาดใส่หน้า “เฮ้ยย”

     

                    เสียงหวานหัวเราะใสที่ได้แกล้งชายหนุ่มได้ ร่างบางยืนยิ้มกับผลงานตัวเอง “ชื่นใจไหมซีวอน”  ในอุ้งมือเล็กๆยังมีน้ำฝนที่รองมาเหลืออีกนิดหน่อย เตรียมสาดใส่ชายหนุ่มอีกครั้ง

     

                    “เล่นอะไรเนี้ยฮีชอล แล้วยืนตากฝนอีกขึ้นรถได้แล้ว เดี๋ยวก็ไม่สบายหรอก” ซีวอนเปิดประตูให้เด็กดื้อที่ไม่ยอมขึ้นรถ

     

                    “เราไม่ได้เล่นน้ำฝนด้วยกันนานมากแล้วนะ” ดวงตากลมใสมองอ้อนชายหนุ่มพยักเพยิดให้เห็นใจ ถึงเวลายาวนานที่ “เรา” ไม่ได้เล่นน้ำฝนด้วยกัน

     

                    “ใช่ แล้วเราก็จะไม่ได้น้ำฝนด้วยกันต่อไป ขึ้นรถเลยฮีชอล นายไม่สงสารฉันหรอ ถ้านายป่วย ฉันก็ต้องเป็นห่วง เป็นกังวล เครียดสารพัด”

     

                    “...” ใบหน้าหวานก้มต่ำ ถึงจะเริ่มหนาวแต่ความอยากเล่นก็มีมาก ไม่น้อยไปกว่าความรู้สึกผิดที่ทำให้ใครๆเป็นห่วง

     

    “ก็ได้...” เสียงหวานแผ่วเบาก่อนยอมก้าวขึ้นรถ แต่เสื้อเสื้อเชิ้ตสีขาวบางก็เปียกโซกแนบผิวเนื้อจนหนาวสะท้านไปแล้ว

     

                    “หนาวไหมฮีชอล” เสียงทุ้มๆจากคนถามที่ตัวก็เปียกไม่ต่างกันเลย

     

                    “....” เพราะยังรู้สึกผิดอยู่นิดๆทำให้ฮีชอลไม่พูดตอบอะไร นอกจากพยักหน้าหงึกหงัก ตั้งใจว่ากลับไปถึงบ้านจะรีบอาบน้ำแล้วกินยากันไว้ก่อน

     

                    ซีวอนจัดการหรี่แอร์ลงพร้อมเบี่ยงช่องแอร์ไม่ให้เป่าร่างบาง “ห่มผ้านะฮีชอล จะได้อุ่นขึ้น”

     

                    ผ้าห่มผืนหนาคลี่ทับเสื้อที่เปียกชื้นจนมองเห็นผิวเนื้อ ดวงตากลมเสมองลงต่ำไม่กล้าสู้สายตาของคนรัก พึมพำเบาๆด้วยความรู้สึกผิด “ขอโทษนะ”

     

                    “ไม่ต้องขอโทษหรอก แค่นายไม่เป็นไรก็ดีแล้ว กลับบ้านกันนะ ถ้าหนาวก็บอกนะ”

     

                    “อือ” ถึงจะรับคำแบบนั้น แต่ร่างกายผอมบางที่ไม่แข็งแรงก็สั่นเทาอยู่ภายใต้ผ้าห่มผืนหนานี้  

     

    เอี๊ยด... เสียงล้อบดถนนดังเบาๆ ก่อนตัวรถจะจอดสนิทหลังจากที่แล่นมาได้ไม่เท่าไหร่ ซีวอนเบนสายตาไปมองคนข้างๆ ตั้งท่าจะเอ่ยปากพูดอะไรบางอย่างแต่ก็ต้องชะงักซะก่อน เมื่อเห็นสภาพของคนรักอย่างเต็มตา

     

    ร่างแบบบางข้างกายสั่นระริกด้วยความหนาวจนฟันกระทบกันดังกึกกัก เส้นผมสีอ่อนเปียกลู่แนบแก้มที่ขึ้นสีแดงเรื่อ สองแขนยกขึ้นกอดตัวเองแม้จะมีผ้าห่มผืนหนากางห่ม แต่ความบอบบางก็ยังดูเย้ายวนโดยไม่ตั้งใจ

     

     

                                                                                   Nc

    โป้ก!!

     

    “โอ๊ย!!” ฮีชอลร้องลั่นเมื่อหัวดันไปกระแทกกับเพดานรถตอนกำลังดึงสะโพกขึ้น ลืมไปเลยว่าต่อให้เพดานมันสูงแค่ไหนก็ไม่สูงพอให้ตนยืนได้หรอก

    ร่างบางคลำหัวป้อยๆ น้ำตาเล็ดนิดนึงด้วยความตกใจผสมความเจ็บ นั่งพิงประตูรถอีกรอบ ชายหนุ่มรีบผวาเข้ามาดูอาการคนรักอย่างเป็นห่วง ลูบตรงที่ไปโขกกับเพดาน “เป็นไงบ้าง? เจ็บมากรึเปล่า?”

     

    “นิดหน่อย ไม่เป็นไรหรอก”

     

    พอเห็นว่าฮีชอลไม่ได้เป็นอะไรมากก็ค่อยวางใจ หันไปแต่งเนื้อแต่งตัวให้เรียบร้อย ก่อนจะหยิบเสื้อฮีชอลที่ยังเปียกชื้นมาเช็ดตรงหน้าขาฮีชอลที่เปื้อนคราบน้ำอะไรต่อมิอะไร เมื่อเช็ดทำความสะอาดเสร็จก็ช่วยหยิบเสื้อผ้ามาให้ใส่ เหลือแต่ของเหลวซึ่งเขาปล่อยไว้ในร่างบางที่ยังไม่ได้ทำความสะอาด

     

    “ทนไปก่อนนะ เดี๋ยวถึงบ้านจะช่วยอาบน้ำให้”

     

    “...ทำเองก็ได้”

     

    “ไม่เป็นไร เดี๋ยวทำให้ แฟนทั้งคนนี่นา”

     

    “ฮึ” ฮีชอลอุบอิบบ่นเบาๆ เบือนหน้าไปอีกทางกลบเกลื่อนอาการเขิน ไม่อยากมองแววตาเป็นประกายกรุ้มกริ่มกับรอยยิ้มทรงเสน่ห์ของคนรัก

     

    ชายหนุ่มอุ้มคนรักลงจากรถ พากลับไปยังที่นั่งข้างคนขับอีกครั้งก่อนที่ตัวเองจะขึ้นที่หลังพวงมาลัย แล้วหันมาถามร่างเล็กที่นั่งหลับตาพิงพนักอย่างอ่อนแรง “ง่วงไหมฮีชอล ไหวหรือเปล่า”

     

    “ไม่ง่วง” เสียงหวานแผ่วเบาลง เพราะคนที่บอกไม่ง่วง แต่ตาเปิดปรือเหลือเกินแล้ว

     

                    “หนุนตักไหม...”

     

                    ไม่มีคำตอบรับ แต่มีน้ำหนักที่ไม่มากนักของคนรักทิ้งตัวลงไปที่หน้าตักของชายหนุ่ม ดวงตากลมปิดสนิท ใบหน้าหวานซุกซบเข้าที่หน้าท้องแน่นด้วยกล้ามเนื้อ

     

                    “ฮึ.. ขนาดไม่ง่วงนะฮีชอล” ซีวอนเอื้อมคว้าผ้าห่มขึ้นห่มคลุมคนหลับ มือหนาลูบไล้ผมอย่างอ่อนโยนใช้เพียงมือเดียวในการบังคับพวงมาลัย ตั้งใจขับรถให้นุ่มนวลที่สุดเพื่อคนที่หลับไปแล้ว จะได้หลับสบาย

     

    * ~ * ~ * ~ * ~ *~ *~* ~* ~ * ~ * ~ * ~ * ~ * ~ * ~ *

     

                    “ฮีชอลค่อยๆเดินนะ” ซีวอนโอบประคองเอวบางพาคนที่ไร้เรี่ยวแรงให้เดินขึ้นบ้าน ทั้งที่ใจจริงอยากจะอุ้ม แต่คนไม่แข็งแรงกลับดื้อดึงไม่ยอม จึงต้องมาประคองเดินแบบนี้

     

                    “ทีงี้หล่ะมาทำเป็นห่วงนะ ในรถตอนนั้นหล่ะไม่เห็นสนใจเลย” เสียงเบาระโหยของคนหมดแรงทิ้งน้ำหนักไปที่ชายหนุ่มร่างสูงที่ดูไม่เป็นอะไรจากสิ่งที่ทำลงไปเลยสักนิด

     

                    “ใครว่าไม่สนใจ ออกจะสนใจไปทั้งตัวขนาดนั้นแล้ว หรือถ้าไม่เชื่อฉันทำให้ดูใหม่ก็ได้นะ” รอยยิ้มเจ้าเล่ห์กับสายตาที่ฮีชอลพึ่งรู้จักว่ามันคือสายตาหื่นๆ ปรากฏอยู่บนใบหน้าคมชัดเจน

     

                    “ทะลึ่ง” ใบหน้าหวานแดงจัด อยากจะเดินหนีก็ทำไม่ได้ แค่ก้าวขาแต่ละครั้งก็อยากลำบากมากพอแล้ว แล้วยังต้องระวังไม่ให้บางอย่างที่ยังไม่ถูกชำละล้างไหลออกมา

     

                    “ก็เพราะนายนั่นแหล่ะฮีชอล  เดินไหวแน่นะ ดูหน้าซีดขึ้นอีกแล้ว หนาวหรือเปล่า ทนอีกนิดก็ได้เปลี่ยนชุดอาบน้ำแล้ว เดี๋ยวฉันทำน้ำอุ่นให้นายแช่ดีกว่า จะได้ไม่ต้องโดนน้ำเย็น เดี๋ยวไม่สบาย”

     

                    “ไหว ไม่เป็นไรหรอก เดี๋ยวกินยา ได้นอนพักก็คงดีขึ้นแหล่ะ อย่ากังวลเป็นตาแก่เลย”

     

                    “ซีวอน ฮีชอลเป็นอะไร ทำไมพยุงกันเข้ามาแบบนี้” เสียงสูงวัยที่ทรงอำนาจชะงักการก้าวของคนทั้งสอง ร่างบางในอ้อมประคองพยายามขืนตัวออก แต่ก็ทำไม่สำเร็จ

     

                    “ฮีชอลไม่สบายครับพ่อ เดินไม่ไหว ไม่มีแรง แล้วก็ทำเก่งอยากเดินเอง” ได้ทีซีวอนรีบฟ้องพ่อตัวเอง สายตาคมๆเหลือบมองร่างบางแสนดื้อในอ้อมกอดที่ยังขืนตัวไม่เลิก

     

                    ลองให้เขาปล่อยดูสิ รับรองว่าขาเล็กๆของฮีชอลไม่มีทางรับน้ำหนักตัวเองได้หรอก ก็เล่นสั่นเสียขนาดนี้ แล้วยังจะดื้ออีก มันน่าตีนักนะ..... เดี๋ยวก็จับตีด้วยปากเสียเลยนิ ฮึฮึ

     

                    “คิดไรอยู่ซีวอน ทำไมยิ้มแบบนั้น”

     

                    “เอ๋...? ครับแม่” ซีวอนหลุดออกมาจากความคิดเพราะเสียงเรียกของแม่

     

                    “แม่เราเขาถามว่าคิดอะไรอยู่ ทำไมยิ้มแปลกๆ” ผู้เป็นพ่อช่วยถามย้ำอีกครั้ง เมื่อดูหน้าลูกชายยังงงๆ

     

                    “อ้อ ไม่มีอะไรหรอกครับ เรื่องไร้สาระ” ปากว่าเรื่องไร้สาระ แต่ตากกลับพราวระยิบจนคนที่ถูกโอบประคองอยู่ไม่วางใจ เมื่อสายตาคมๆเต็มไปด้วยความนัยที่ชวนให้เขินอาย

     

                    “อะไรของเรา แล้วฮีชอลหัวไปโดนอะไรมาลูก โนเป็นก้อนเชียว” กาอินเดินเข้ามาใกล้เด็กหนุ่ม คนพิเศษของลูกชาย ลูบก้อนเนื้อที่ปูดขึ้นมาอย่างเบาๆด้วยความเป็นห่วง

     

                    “เอ่อ.. โดน ... เอ่อ..” ร่างบางอึกอัก นึกหาคำตอบไม่ได้ จะให้ตอบตามความจริงก็คงไม่ดีเท่าไหร่ ทำได้แต่ตอบเลี่ยงๆด้วยใบหน้าแดงจัด “เล่นกับซีวอนนิดหน่อยหน่ะครับ แล้วหัวไปโขกกับเพดานรถเข้า”

     

                    ร่างสูงหัวเราะจนตัวสั่นสะท้านกับคำตอบที่คนรักพูดออกมา หากว่าพ่อไม่นั่งอยู่ตรงนี้ เขาคงได้เผลอพูดความจริงออกมาให้แม่ฟังเป็นแน่....ก็เรื่องที่ทำจนหัวโขกกับรถออกจะจริงจัง ไม่ใช่เล่นๆนิดหน่อยที่ไหน

     

                    “หัวเราะอะไรเรา ชอบแกล้งเพื่อนตลอด ฮีชอลก็เลิกยอมได้แล้ว อาเห็นเรายอมมาตั้งแต่เล็กๆ จนเสียซีวอนเสียนิสัยแล้วนั่นหน่ะ” 

     

                    “ได้ไงกันครับพ่อ ฮีชอลหน่ะต้องยอมผมตลอดชีวิตสิ ใช่ไหมฮีชอล” น้ำเสียงตอนท้ายแสนหวาน จ้องมองร่างบางด้วยดวงตาแสนหวานโอบกระชับร่างเล็กไว้แนบแน่น กระซิบเบาๆให้ได้ยินเพียงแค่สองคน “เหมือนที่ฉันจะยอมนายทุกอย่างเหมือนกัน”

     

                    “แล้วนี้หายไปไหนกันมา ทำไมกลับดึกดื่นขนาดนี้ แม่เราเขาเป็นห่วงน่าดูเลย”

     

                    “ผมพาฮีชอลไปหาแฟนมาครับ” คำตอบของซีวอนเรียกสายตาจากทุกคนได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะฮีชอล จากที่หน้าแดงก่ำเพราะความเขินอาย กลายเป็นขาวซีดเพราะความตกใจ

     

                    “ฮึๆๆๆ” เสียงใหญ่ทุ้มหัวเราะอย่างชอบใจ สายตาที่ผ่านร้อนหนาวมานานล้อเลียนเพื่อนสนิทลูกชายด้วยความเอ็นดู “มีแฟนแล้วก็ไม่บอกอาเลยนะฮีชอล ปล่อยให้ผู้ใหญ่เป็นห่วงว่าจะพากันเป็นหนุ่มโสดลอยไปมาทั้งคู่”

     

    “อะไรกันครับพ่อ ใครว่าผมลอยไปลอยมา” ลูกชายคนเดียวของบ้านรีบแก้ตัวทันควัน ในดวงตามีรอยยิ้มของความสุขใจ โอบกอดร่างเล็กให้แน่นขึ้นไม่ให้ผู้ใหญ่ทั้งสองสังเกตเห็น จนใบหน้าใสที่ขาวซีดแดงก่ำ

     

                    “จะไปรู้เราหรอ ไม่เห็นพาสาวที่ไหนมาบ้านสักที เราก็เหมือนกันนะฮีชอล อย่าลืมพาแฟนมาให้อาดูด้วย พ่อกับแม่เราเขาฝากเราไว้กับอานะ” น้ำเสียงทุ้มเต็มไปด้วยความปราณีเหมือนลูกหลานยามเอ่ยกับเด็กหนุ่มเพื่อนสนิทลูกชาย

     

                    “ครับ..” ฮีชอลได้แต่รับคำเสียงอ่อย ไม่กล้าสบตาผู้ใหญ่ทั้งสอง

     

                    “จะว่าไปจะว่าไปผู้หญิงเดี๋ยวนี้ก็ร้ายไม่เบาเลยนะ ดูที่คอฮีชอลสิ แดงชัดเชียว หรือคุณว่าไงกาอิน”

     

                    มือเล็กรีบคว้าคอเสื้อมารวบเข้าเพื่อปกปิดร่องรอยบนคอ ทันทีที่เจ้าของบ้านพูดถึง ดวงตากลมเต็มไปด้วยความหวาดหวั่นไม่กล้าสู้หน้าใคร ร่างกายผอมบางสั่นเทาอยู่ในอ้อมแขนของคนตัวสูงที่ยืนประคองไว้

     

                    “คุณก็ ไปแหย่หลาน ซีวอนพาฮีชอลขึ้นข้างบนก่อนเถอะลูก แล้วอย่าลืมดูให้อาบน้ำอุ่นด้วยนะ ฝนตกอากาศเย็น เดี๋ยวป่วยไข้ไป”

     

                    “ครับแม่” ซีวอนรีบรับคำพยุงร่างเล็กที่ดูหมดแรงกะทันหันจนแทบทรงกายไม่ได้ มองคนในอ้อมแขนด้วยความเป็นห่วงลอบเห็นน้ำตาเม็ดเล็กในดวงตาคู่กลม รับรู้ว่าเพราะอะไรที่ทำให้คนรักเป็นเช่นนี้ ได้แต่กระซิบปลอมใจเมื่อลับหลังผู้เป็นพ่อ “ไม่เป็นไรนะฮีชอล อย่ากลัว ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ฉันจะอยู่กับนายเสมอ ฉันรักนาย และจะไม่ยอมให้ใคร หรืออะไรแยกเราจากกันนะคนดี”

     

                    “พึ่งรู้นะ ว่าเจ้าซีวอน กับฮีชอลก็มีแฟนกันแล้ว” ซูมินเอ่ยขึ้นเมื่อเด็กหนุ่มทั้งสอง เดินจากไปไกล ใบหน้าคมเข็มที่มีริ้วรอยบ่งบอกความสามารถและประสบการณ์ชีวิตปรากฏรอยยิ้มด้วยความพึงใจ

     

                    “แล้วถ้าลูกพาคนรักมาให้คุณรู้จัก คุณจะว่ายังไงคะ” กาอินถามขึ้นด้วยเสียงแผ่วเบา

     

                    “จะว่ายังได้ ก็เด็กมันรักกัน ผมไม่ใช่พวกคนแก่ที่จะขัดขวางความรักของเด็กมันหรอกนะคุณ” ถึงจะไม่เข้าใจเท่าไหร่นัก แต่ซูมินยังคงตอบด้วยรอยยิ้ม แค่ได้รู้ว่าลูกชายและเพื่อนสนิทต่างมีคนรัก แค่นี้ก็พอใจมากแล้ว

     

                    “แล้วถ้าแฟนของซีวอน เป็นคนที่คุณรับไม่ได้หล่ะคะ”

     

                    ซูมินหันมองหน้าภรรยาคู่ชีวิตที่ถามอะไรแปลกๆ ก่อนตอบให้คลายใจ พร้อมด้วยอ้อมแขนที่รั้งร่างบางเข้ามาแนบ “ไม่ว่าเป็นใคร ถ้าเป็นคนที่ลูกเรารัก และรักลูกเราจริง ผมก็รับได้ทั้งนั้นแหล่ะ”

     

                    “คะ” กาอินรับคำด้วยความดีใจแทนลูกชาย คนที่เธอเกรงที่สุดว่าจะทำลายความสุขนี้ของซีวอนและฮีชอลก็คือสามีของเธอเอง แต่เมื่อได้ยินเช่นนี้ คนเป็นแม่มีหรือจะไม่ดีใจกับความรักที่มีหนทางสว่างไสวของลูกชาย

     

                    ขอแค่เชว่ ซูมิน เท่านั้นที่ยอมรับในความรักนี้ อย่างอื่นก็ไม่จำเป็นต้องห่วงอีกแล้ว

     

                     * ~ * ~ * ~ * ~ *~ *~* ~* ~ * ~ * ~ * ~ * ~ * ~ * ~ *

     

    เสียงโทรศัทพ์ที่ดังขึ้นท่ามกลางความเงียบปลุกร่างบางให้ตื่นขึ้น ดวงตากลมโตเหลียมมองโทรศัพท์เครื่องเล็กของตัวเองที่มืดสนิท เป็นเสียงของอีกเครื่องที่วางอยู่เคียงกัน แต่เจ้าของกลับไม่ยอมตื่นขึ้นมา

     

                    “ซีวอน โทรศัพท์ดังแหน่ะ” เสียงหวานเรียกแผ่วเบา สะกิดแผ่นอกหนาที่ตัวเองนอนซุกอยู่ แต่กลับมีเพียงเสียงครางลึกในลำคอดังขึ้นแทนเป็นการตอบรับ

     

                    “ซีวอน ตื่นก่อนนะ” เสียงหวานปลุกเรียกอีกครั้งแต่ก็กลับไปเหมือนเดิมอีกครั้ง แถมแรงกอดจากอ้อมแขนใหญ่ก็ยิ่งเพิ่มขึ้น

     

                    ร่างเล็กต้องพยายามยืดตัวขึ้นเพื่อเอื้อมคว้า ก็อยากจะรับให้คนหลับลึกหากว่าที่น้าจอจะไม่ขึ้นภาษาที่อ่านไม่ออก แต่ก็พอรู้ว่าเป็นภาษาจีน เรียวปากอิ่มยื่นเบะออก “ใครหล่ะนั่น แล้วจะอ่านออกไหม”

     

     “ซีวอนตื่นนนนนนนน มีคนโทรมา” เสียงหวานกรอกใส่ใบหู แล้วมันก็ได้ผล

     

                    “อือ ฮีชอลก็รับให้หน่อยสิ” เสียงงึมงำที่ฟังเกือบไม่ได้ศัทพ์ไม่ทำให้ร่างเล็กใจอ่อนเลยสักนิด เมื่อนิ้วเรียวหยิกลงที่แผ่นอก “โอ้ยๆๆๆ ตื่นแล้ว”

     

                    ดวงตาคมปรือขึ้นเล็กน้อย ยอมรับโทรศัพท์จากมือเล็ก สายตายังจับจ้องอยู่กับใบหน้าหวานที่บู้ดบึ้งและดูง่วงนอนไม่แพ้กัน

     

                    “สวัสดีครับ..” เสียงงัวเงียของชายหนุ่มเงียบหายไป สายตาที่มองคนรักทอดต่ำก่อนที่ร่างสูงจะลุกจากที่นอนเดินออกไปริมระเบียง ปิดประตูกั้นลมหนาวไม่ให้พัดพาเข้ามาในห้อง

     

                    ดวงตากลมโตจับจ้องตามร่างกายสูงสมส่วนจนออกไปยืนอยู่นอกระเบียง ความไม่เข้าใจและสงสัยฉายชัดอยู่บนใบหน้า แค่ชื่อภาษาที่อ่านไม่ออกก็สงสัยจะแย่ แล้วยังออกไปคุยข้างนอก ใบหน้าคมเข้มมีรอยยิ้มเป็นมิตรก็ยิ่งทำให้หวาดระแวง

     

                    เพราะรู้ดีว่าตัวเองอ่อนแอ น่าเบื่อ น่ารำคาญ คงไม่แปลกอะไรถ้าความรักในวันนี้จะมลายหายไป

     

                    ความคิดที่แสนเศร้าขับกล่อมร่างบางให้ล้มตัวลงนอนหลับไปพร้อมกับน้ำตาโดยไม่รู้ตัว ไม่รู้แม้กระทั้งว่ามีคนเข้ามาสวมกอดจากด้านหลังแล้วพล่อยหลับไปคู่กัน    

     

                     * ~ * ~ * ~ * ~ *~ *~* ~* ~ * ~ * ~ * ~ * ~ * ~ * ~ *

     

    “ฮีชอล วันนี้ฉันมารับไม่ได้นะ เพราะมีธุระตอนเย็น ถ้ายังไงเลิกเรียนแล้วบอกให้คนที่บ้านมารับนะ” ประโยคที่ดูทั่วไป แต่มันกำลังทำร้ายหัวใจคนฟังอย่างเงียบๆ

     

                    “อือ ไม่เป็นไร ฉันกลับเองได้ ไม่ก็คงให้จองวูไปส่ง นายไปเรียนเหอะ แล้วเจอกันที่บ้าน” ดวงตากลมเหลือบลงต่ำไม่อยากมองหาความเปลี่ยนแปลงในดวงตาคู่คม แล้วรีบลงจากรถไปก่อนที่จะแสดงความอ่อนแอมาให้ได้เห็น

     

    เพราะสำหรับซีวอนแค่เขาผิดปรกติไปสักเล็กน้อย ก็คงจะจับสังเกตได้

     

                    “อือ ตามใจหล่ะกัน แต่ถ้าเลิกเรียนแล้วก็โทรหาฉันด้วย อ้อบอกที่บ้านนะว่าไม่ต้องรอกินข้าว ส่วนนายก็ไม่ต้องรอนะ นอนก่อนได้เลย”

     

                    “อื้อ” ฮีชอลรีบรับคำ แล้วผลักประตูลงอย่างรวดเร็ว เดินหันหลังให้กับรถยนต์คันหรูที่เคยอบอุ่น แต่วันนี้ เมื้อกี้นี้ กลับมีแต่ความเย็นชา.....

     

                    หรือว่าเวลาแห่งความสุขของคนเรามันสั้นเพียงแค่รู้สึกเหมือนสายลมพัดพา แล้วผ่านไป...

     

                    น้ำตาหยดเล็กไหลกลิ้งจากลูกแก้วสีดำ มือผอมบางปาดมันออกไป ไม่อยากให้ใครเห็นน้ำตาหยดเลย ไม่อยากให้ใครได้เห็นน้ำตาที่จะต้องรินไหลต่อจากนี้

                    * ~ * ~ * ~ * ~ *~ *~* ~* ~ * ~ * ~ * ~ * ~ * ~ * ~ *

     

    “ฮีชอล ฮีชอล หลับแล้วหรอ” เสียงทุ้มแผ่วเบาดังขึ้นท่ามกลางความเงียบและความมืดที่โอบล้อม ชายหนุ่มทรุดกายลงกับพื้นมือหนาลูบไล้กลุ่มผมนุ่มของคนที่นอนหลับสนิทอยู่บนเตียง

     

                    ครืดด~ ......

     

                    โทรศัพท์เครื่องจิ๋วที่อยู่ในกระเป๋าสั่นอย่างรุนแรงจนคนที่หลงเคลิ้มไปกับความนุ่มของกลุ่มผมรู้สึกตัว คว้าเจ้าตัวก่อกวนออกมาดูก่อนกดวางสายเมื่อเห็นว่าหน้าจอเป็นใครที่โทรมา

     

                     “ฝันดีนะฮีชอล” ริมฝีปากหยักประทับที่หน้าผากมนก่อนเดินออกมาที่ระเบียงด้านนอกแล้วกดหาเบอร์ที่พึ่งกดสายทิ้งไป แต่เขาไม่คิดเลยว่าเกิดอะไรขึ้นในห้องที่มืดและเงียบสงบนี้....

     

                    เปลือกตาบางที่แสร้งปิดสนิทเปิดขึ้นอีกครั้ง ดวงตากลมจับจ้องร่างสูงที่ใบหน้ามีรอยยิ้มพราย พูดคุยกับคนในโทรศัพท์อย่างมีความสุข น้ำตาเม็ดเล็กไหลลงมาอีกครั้ง......

     

                    เสียงที่เล็ดลอดเข้ามาให้ได้ยินฮีชอลไม่เข้าใจมันเลยสักนิดเดียว แต่มันก็ทำให้รู้ว่าคงเป็นคนเดียวกับที่โทรมาเมื่อคืนก่อน แล้วคืนนี้ก็ยังโทรมาอีก

     

    ....คืนต่อไปก็คงจะโทรมาอีกเรื่อยๆ....

     

                    ซีวอนเดินกลับเข้ามาอีกครั้ง จัดการอาบน้ำแต่งตัวจนเรียบร้อย แล้วเข้าสวมกอดร่างบางอย่างแผ่วเบาไม่ได้รู้สึกถึงตะกอนที่ขุ่นมัวใจของร่างที่สวมกอดเลยสักนิด

     

                    หยดน้ำตามันซึมหายไปกับหมอนใบนุ่มหมดแล้ว..... ก็คงเหมือนน้ำซึมบ่อทราย

     

                    ที่กว่าจะรู้ ก็คงสายไปจนน้ำเจิ่งนอง.....

     

                    * ~ * ~ * ~ * ~ *~ *~* ~* ~ * ~ * ~ * ~ * ~ * ~ * ~ *

     

    “ฮีชอลวันนี้ฉันเลิกก่อน เดี๋ยวฉันมารอที่ใต้คณะนะ” ชายหนุ่มที่จดจำตารางสอนของคนรักได้แม่นยำ เผลอๆจะแม่นกว่าเจ้าของตารางเสียอีก สั่งร่างเล็กก่อนลงจากรถที่หน้าคณะ

     

                    “วันนี้ฉันเลิกหลังนายหรอ ฉันไม่ได้เลิกบ่ายสองหรอ” ดวงตากลมเหลือบขึ้นข้างบนกัดริมฝีปากตัวเองก่อนรีบปล่อยเพราะมือหนาที่ตีเผลี้ยลงมา “โอ้ย ตีทำไมเล่า”

     

                    “ก็กัดทำเล่า แล้วเดี๋ยวก็เลือดไหลใหญ่โต แล้วนายหน่ะเลิกสี่โมง ไม่ใช่บ่ายสอง”

     

                    “เฮ้ย จริงดิ งั้นฉันก็เอาหนังสือมาผิดเล่มสิ แย่แล้วอ่ะซีวอน” ใบหน้าใส่หมองลงเรียวปากอิ่มยู่เข้าหากันเริ่มไม่อยากเข้าห้องเรียน ถ้าไม่มีผู้ปกครองมาส่งคงได้หนีกลับบ้านแน่ๆ

     

                    “ไม่แย่หรอก ฉันจัดให้ใหม่แล้ว” มือหนาลูบกลุ่มผมนุ่มของคนรักเขย่าไปมา ฮีชอลมักเป็นแบบนี้ประจำ จนเข้าต้องดูแลเรื่องการเรียนมาตั้งแต่ยังเป็นแค่เพื่อนกัน

     

                    “อ้าวหรอ ขอบคุณนะ” ใบหน้าสวยยิ้มสดใส เมื่อรับรู้การใส่ใจของตรงหน้า ความขุ่นเคืองน้อยใจในคืนวันวานที่เก็บไว้ นองก้นเป็นตะกอนในหัวใจอีกครั้ง

     

                    “นายนี้นา กี่ปีกี่ปี ก็เหมือนเดิม แล้วนี้จำได้หรือเปล่าว่าเรียนห้องไหน ให้ฉันไปส่งเอาไหม” ซีวอนถามด้วยรอยยิ้ม ดวงตาคมเจ้าเล่ห์เหมือนมีแผนบางอย่างในใจ

     

                    “ไม่ต้องเลย โธ่ ตอนเช้าก็เรียนที่เดิมทุกวัน แล้วตอนเที่ยง...”

     

                    “ตอนเที่ยงฉันมีธุระนะ”  ซีวอนรีบพูดขึ้นไม่ทันให้ร่างบางได้พูดจนจบ บนโครงหน้าคมมีเค้าของความกังวลและเป็นห่วงความรู้สึกของคนรัก “คงมากินข้าวด้วยไม่ได้ แต่ยังไงตอนเย็นฉันจะมารอรับนายนะ”

     

                    “อืออ” เสียงหวานแผ่วเบาแล้วเดินลงจากรถเพื่อไปหาเพื่อนสนิทที่คงนั่งรออยู่ใต้คณะ....

                   

    รถคันใหญ่จอดนิ่งอยู่ที่เดิมมองร่างเล็กหายลับสายตาจึงเคลื่อนตัวออกไป

     

                    * ~ * ~ * ~ * ~ *~ *~* ~* ~ * ~ * ~ * ~ * ~ * ~ * ~ *

     

    “เป็นอะไรฮีชอล วันนี้ทำหน้าหงอยทั้งวันเลย หรือว่าไม่สบาย เหนื่อยหรือเปล่า” จองวูถามขึ้นด้วยความเป็นห่วงเมื่อเห็นว่าตั้งแต่เช้าจนถึงบ่ายแก่ๆแบบนี้ เพื่อน(แอบ)รักก็ยังไม่มีรอยยิ้มให้เห็นเลยสักนิด มีแต่ทำหน้าเสียจืดเจื่อน จะยิ้มก็ดูฝืดเฝือเต็มที

     

                    “โธ่ จะเป็นอะไร ก็หงอยอ่าดิที่ซีวอนไม่มากินข้าวด้วย” ซองมินมองใบหน้าเศร้าน้อยๆของเพื่อนก่อนตอบแทนอย่างรู้ทัน มืออวบอ้วนโอบรอบไหล่เล็กอย่าปลอบใจ “คิดมากหน่าฮีชอล เดี๋ยววันนี้ซีวอนก็มารับไม่ใช่หรอ”

     

                    “ฉัน...กำลังเป็นภาระให้ซีวอนอยู่หรือเปล่า” เสียงหวานถามออกมาแผ่วเบาดวงตกลมหลบตาต่ำ ยามถามสิ่งที่ค้างคาแต่ไม่กล้าถามกับเจ้าตัว

     

                    “เฮ้ย!! ฮีชอลคิดอะไรอยู่เนี้ย ทำไมถามแบบนี้ เกิดไรขึ้น” เพื่อนตัวอวบโวยวายเสียงดัง ไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นกับเพื่อนรักผู้อ่อนแอคนนี้

     

                    “นั่นสิ ทำไมถึงคิดแบบนั้นหล่ะ ถ้าหมอนั่นได้ยินคงเสียใจมากนะ” จองวูถามด้วยเสียงนุ่มทุ้ม เฉยคางเรียวขึ้นเห็นหยดน้ำในดวงตาจนอดไม่ได้ที่จะใช้ผ้าเช็ดหน้าซับให้อย่างแผ่วเบา

     

                    จนถึงตอนนี้ชายหนุ่มเองก็พึ่งรู้ว่า ความรู้สึกที่คิดว่ามันเจือจาง ความจริงแล้วมันไม่ใช่เลย มันยังคงอยู่ครบถ้วน แต่เขาก็รักคนตรงหน้ามากเกินกว่าจะแย่งชิงมาเพื่อครอบครอง...

     

                    “ฉันมันอ่อนแอ ไม่มีอะไรดีสักอย่าง ทำตัวให้น่ารำคาญ แล้วคนอย่างซีวอนก็น่าจะได้เจอคนที่ดีกว่าฉัน เหมาะสมกว่าฉัน แล้วแบบนี้ยังไม่เรียกว่าภาระได้อีกหรอ” จากน้ำตาเม็ดเล็ก เมื่อได้ระบายสิ่งที่คิดมาหลายวันก็กลายเป็นสายน้ำที่ไหลอาบใบหน้าสวย

     

    “ฮีชอล..” ซองมินเรียกเพื่อนเสียงอ่อย ถึงจะไม่เข้าใจความรู้สึกของเพื่อน แต่ก็รู้ว่าคนเพื่อนกำลังเจ็บปวดแค่ไหน สองแขนได้แต่คว้าเพื่อนเข้ามาปลอบประโลม แต่ก็พูดอะไรไม่ออก

     

                    “ถ้าคิดแบบนี้คนที่น่าสงสารที่สุดก็ไม่ใช่นายหรอกฮีชอล แต่เป็นซีวอนที่ทุ่มให้นายทั้งหมด แต่นายก็ยังไม่เชื่อใจหมอนั่นสักที เป็นใครก็คงเหนื่อย ท้อ แล้วก็คง...”

     

                    “จองวู” ซองมินรีบเรียกชื่อเพื่อนในทันที ไม่อยากให้พูดอะไรมากกว่าไปนี้ เพราะแค่นี้คนในอ้อมกอดก็ร้องไห้ตัวสั่นเทามากแล้ว “ฮีชอลไม่เป็นไรนะ บอกฉันได้ไหมว่าเกิดอะไรขึ้น หืมม์”

     

                    “เปล่า...ไม่มีอะไรหรอก ฉันแค่คิดบ้าไปเอง ขอโทษนะจองวู ซองมิน” เสียงใสตอบกลับแผ่วเบาก่อนรั้งตัวออกจากอ้อมกอดของเพื่อนรัก มือเรียวยกขึ้นปาดน้ำตาที่ข้างแก้มพยายามส่งยิ้มให้กับคนทั้งสองที่มองอย่างเป็นกังวล

     

                    “มีอะไรก็บอกได้นะฮีชอล เพื่อนหน่ะ..”

                    “อือ ฉันคงบ้าไปเอง แล้วก็อย่างที่จองวูบอกแหล่ะซองมิน ทั้งที่ซีวอนทุ่มเทให้ฉันแบบนั้น ไม่มีไรหรอก” ริมฝปากอิ่มส่งยิ้มเจือจางมาให้เพื่อนรัก “อ่ะซีวอนมารออยู่นั่นแล้ว ฉันไปก่อนนะ”

     

                    ทั้งจองวูและซองมินได้แต่ส่ายหน้าระบายลมหายใจ มองตากลมๆนั่นก็รู้ว่าที่ฮีชอลพูดมามันไม่ตรงกับใจเลยสักนิด แต่ในเมื่อเพื่อนไม่อยากพูด จะไปคาดคั้นคงไม่ดี.....

     

                    * ~ * ~ * ~ * ~ *~ *~* ~* ~ * ~ * ~ * ~ * ~ * ~ * ~ *

     

    “ซีวอน รอนานไหม” ร่างบางวิ่งถลาเข้ามาหาชายหนุ่มที่นั่งรออยู่พร้อมรอยยิ้ม ใจดวงเล็กๆกลบเกลื่อนและปิดบังเรื่องเศร้าไม่ให้คนรักได้รู้

     

                    “ไม่หรอก ป่ะขึ้นรถกันเดี๋ยววันนี้จะพาไปเที่ยว แล้วก็มีคนจะแนะนำให้รู้จักรออยู่ที่รถด้วย”

     

                    “ใคร” ดวงตากลมมองคนรัก มองหาความรู้สึกบนใบหน้าคมแต่ก็ไม่เห็นอะไรนอกจากรอยยิ้มที่แสนอ่อนโยน เหมือนที่เคยมีอยู่ทุกครั้ง

     

                    “เหอะน่า เดี๋ยวก็รู้” มือหนาคว้าจับมือเล็กมาไว้ในอุ้งมือแล้วพาเดินไปยังรถที่จอดอยู่ไม่ใกล้นัก

     

                    ฮีชอลมองเห็นเงาเพียงลางๆในรถคันโตที่เบาะหน้า ที่ที่เป็นที่ประจำมีหญิงสาวนั่งอยู่ ขาเล็กที่ก้าวเดินการลากจูงหยุดชะงัก ค่อยๆดึงมืออกจากอุ้งมือใหญ่ช้าๆ ที่หัวตาร้อนผ่าวเหมือนมีหยดน้ำอุ่นๆไหลคลอ

     

                    “ฮีชอลเป็นอะไร” ชายหนุ่มที่ก้าวนำ หยุดตามร่างบางหันมองใบหน้าหวานที่ขาวซีด เอื้อมมือแตะหน้าผากมนด้วยความเป็นห่วง “ปวดหัวหรือเปล่า เดินไหวไหม”

     

                    “ไหวๆ ไม่เป็นไรหรอก” ขาเล็กก้าวถอยหลังไปสองสามก้าวหนีผู้ชายตัวใหญ่ที่คุ้นเคยที่ทำท่าเหมือนกำลังจะเข้ามาโอบอุ้มกลางทางเดิน

     

                    “ถ้าเป็นอะไรต้องบอกฉันนะ”

     

                    “อือ” แล้วร่างบางก็ยอมเดินตามแผ่นหลังกว้างไปยังรถคันโตที่มีคนไม่คุ้นหน้านั่งรออยู่

     

                    ซีวอนเปิดประตูที่นั่งด้านหลังให้ร่างบางขึ้นก่อนแนะนำให้รู้จักกับสาวน้อยหน้าตาน่ารักที่มาพร้อมรอยยิ้มจริงใจ “ฮีชอลนี้ ฉู่อิงเป็นนักศึกษาแลกเปลี่ยนจากจีน อาจารย์ฝากมาให้ฉันดูแล เขายังพูดไม่ค่อยได้เท่าไหร่หรอก”

     

                    “หรอ...สวัสดีครับ” ร่างบางรับคำอย่างจืดเจื่อนก้มโค้งให้อย่างสุภาพ ในขณะที่อีกฝ่ายก็ส่งรอยยิ้มหวานหยดมาให้เช่นกัน นี้คงเป็นคนที่ซีวอนคุยโทรศัพท์ด้วยทุกคืนสินะ.....

     

                    ร่างบางนั่งเงียบซึมอยู่เบาะหลังมองคนคู่ข้างหน้าที่พูดคุยหยอกล้อและหัวเราะด้วยภาษาที่เขาฟังไม่ออก จะมีก็เพียงสายตาคู่คมที่ชำเลืองมองผ่านกระจกมองหลังมาเป็นระยะด้วยความเป็นห่วง แต่ก็ไม่มีคำพูดใดๆ จนรู้สึกเหมือนว่าได้กลายเป็นส่วนเกินบนรถคันนี้ไปแล้ว สุดท้ายจึงได้แต่ปิดตาลงแกล้งนอนหลับทั้งที่ในใจกำลังหวาดกลัว....

     

                    ถึงเปลือกตาจะปิดสนิทแต่ก็ยังมีหยดน้ำเล็ดลอดหยดลงมาให้ต้องแอบปาดออก หูได้ยินเสียงรถหยุดวิ่งตามด้วยเสียงประตูรถที่ปิดแล้วเปิด ทำให้ต้องลืมตาขึ้นมองเพื่อพบว่ากำลังอยู่เพียงลำพังกับสาวน้อยชาวต่างชาติ ร่างบางจึงต้องปั้นยิ้มจืดเจื่อนไปให้

     

                    “ฮีชอลเป็นเพื่อนกับซีวอนมาตั้งแต่เด็กหรือคะ” คำถามกระท่อนกระแท่นถูกส่งมา

     

                    “ครับ”

                   

    “ดีจัง แล้วรู้ไหมคะว่าซีวอนมีแฟนหรือยัง”

     

                    ดวงตารีเรียวของหญิงสาวทอประกายความหวังให้ร่างบางต้องนิ่งงัน หากมองจากคนภายนอก ภาพที่เขามีโอกาสได้เห็น หญิงสาวและชายหนุ่มคู่นี้ก็ดูเหมาะสมกันไม่น้อยเลย เขาได้เห็นรอยยิ้มกว้างบนใบหน้าคมที่น้อยนักจะได้เห็น คงเป็นการช่วยบอกได้ว่าซีวอนเองก็คงมีความสุขเมื่ออยู่หญิงสาวต่างชาติคนนี้

     

                    และคงดีกว่าถ้าหากคนที่ควงคู่และเดินเคียงข้างซีวอนไปตลอดชีวิต จะเป็นหญิงสาวคนนี้ ไม่ใช่ผู้ชายอ่อนแอที่ไร้อนาคตอย่างเขา ความรักที่ไม่มีที่ยืนบนสังคมมันจะทำให้คนรักของเขามีความสุขไปได้นานแค่ไหนกัน....

     

                    บนใบหน้าของฮีชอลมีรอยยิ้มอ่อนหวานและเศร้าสร้อย เก็บกลืนก้อนสะอื้นที่ตีขึ้นมาก่อนตอบด้วยเสียงหนักแน่น “ยังไม่มีหรอกครับ”

     

                    “จริงหรอคะ งั้นคุณฮีชอลต้องช่วยฉันะคะ ฉันชอบซีวอนหล่ะคะ”

     

                    “ครับ” ร่างบางตอบรับคำเพียงสั้นๆก่อนเบือนหนีเพื่อซ่อนหยดน้ำตาที่ไหลเอ่ออกมาอีก....

     

                    ครั้งซองมินเขาไม่มีโอกาสได้ทำเพื่อนซีวอน แต่...ครั้งนี้เขาจะทำเพื่อคนที่รัก แม้มันจะเป็นการทำร้ายตัวเองแค่ไหนก็ตาม

     

                    และมันอาจเป็นครั้งสุดท้ายที่ได้ทำเพื่อคนที่รัก.....

                   

    * ~ * ~ * ~ * ~ *~ *~* ~* ~ * ~ * ~ * ~ * ~ * ~ * ~ *

    xie xie ni” เสียงหญิงสาวที่นั่งอยู่หน้ารถเรียกความสนใจจากดวงตากลมที่เหม่อมองออกไปนอกรถให้กลับเข้ามามองความเป็นภายในรถของสองคนข้างหน้า แล้วตวงตาโตก็ยิ่งเบิกกว้างเมื่อปากสีสวยของหญิงสาวสัมผัสลงที่ข้างแก้มใบหน้าคมสัน

     

                    ฮีชอลได้แต่มองด้วยความเจ็บอยู่ภายในใจ ภาพที่เห็นมันดูสวยงามจนไม่อาจปฏิเสธ แต่ใจมันก็ปวดร้าวไปกันความเหมาะสมของคนทั้งคู่  ริมฝีปากอิ่มเปิดรอยยิ้มอย่างฝืดเฝือ ยามเอ่ยคำลาต่อหญิงสาวชาวต่างชาติ ก่อนต้องซ่อนสายตาจากดวงตาคมที่มองผ่านกระจกมองหลัง

                    ซีวอนขับรถไปเงียบๆอย่างนุ่มนวล หลายครั้งที่ดวงตาไม่ได้จับจ้องอยู่บนเส้นทางกลับบ้าน แต่มองผ่านกระจกหลังหาร่างแบบบางที่ซุกตัวกับกองผ้าห่มผืนหนา ดวงตาโตๆที่ปิดอยู่....ทำไมจะมองไม่ออกว่ากำลังแกล้งหลับ

     

                    “เฮ้อ...” ชายหนุ่มถอนหายใจเฮือกใหญ่ สงสัยกับสิ่งที่กำลังเกิดขึ้น

     

                    ฮีชอลเป็นอะไร....?

     

                    หรือโกรธเรื่องฉู่อิง

                   

    * ~ * ~ * ~ * ~ *~ *~* ~* ~ * ~ * ~ * ~ * ~ * ~ * ~ *

     

    “ฮีชอลถึงบ้านแล้ว ลืมตาเถอะ”  เขาไม่อยากใช้คำว่าตื่น เพราะร่างบางตรงหน้า ...แกล้งหลับ... มาตลอดทาง

     

                    “ถึงแล้วหรอ ขอบคุณนะ” เสียงหวานเศร้าไม่สดใจดังจากคนที่พึ่งลืมตาขึ้น ก่อนจะเดินผ่านหน้าเขาเข้าไปโดยไม่สนใจกันเลยสักนิด ...ไม่แม้แต่จะสบตา..

     

    ชายหนุ่มยืนนิ่งอยู่ที่เดิม มองแผ่นหลังบอบบางเดินไกลห่างออกไปทีละน้อย ความสงสัยไม่เข้าใจก่อตัวขึ้นเต็มหัวใจ แต่เขาจะไม่ยอมให้ทิฐิโง่ๆและความไม่เข้าใจกันมาทำลายความสุข เขาเสียเวลาให้กับความทุกข์มามากพอแล้ว

     

    ซีวอนก้าวขายาวๆตามร่างบางขึ้นไปทันที่หน้าประตูห้องก่อนที่มันจะปิดสนิท ชายหนุ่มใช้แรงที่มากกว่าแทรกกายเข้าไปในห้อง แล้วเป็นฝ่ายกดล็อคประตู เปิดไฟจนมองเห็นร่างผอมบางยืนอยู่กลางห้อง ยืนก้มหน้า... ไม่พูด ไม่มองหน้า

     

    “เป็นอะไร” เขาบังคับเสียงให้นุ่มนวลที่สุดเพื่อคนรัก ระงับริ้วของความหงุดหงิด

     

    “เปล่าไม่มีอะไร คืนนี้นายกลับไปนอนที่ห้องเถอะ ฉันอยากอยู่คนเดียว”

     

    เสียงหวานที่คุ้นชินสั่นเทาจนรู้สึกได้ และสิ่งที่ได้ยินก็เป็นสิ่งที่รับไม่ได้ มือหนาเชยคางมนขึ้น และได้เห็นในสิ่งที่สงสัย ดวงตาแดงกล่ำมีหยดน้ำคลอเคลีย ขนตายาวจับกันเป็นแพ “เนี้ยหรอไม่มีอะไร แล้วร้องไห้ทำไม มีอะไรก็บอกฉันสิฮีชอล”

     

    “เปล่า ไม่มีอะไรจริงๆ ใบหน้าเรียวขืนออกจากมือใหญ่ที่ยอมปล่อยอย่างง่ายดาย ยกมือขึ้นเช็ดน้ำตาตัวเองในขณะที่ส่งยิ้มอ่อนแรงให้คนรัก “อย่าสนใจเลย เรื่องบ้าๆหน่ะ คืนนี้นายกลับไปนอนที่ห้องนายเถอะนะ” พูดเสร็จก็ถอยห่าง คว้าเสื้อคลุมเข้าห้องน้ำ ราวกับไม่สนใจหนึ่งคนที่ยืนอยู่กลางห้อง

     

    “อ่ะ” เสียงหวานอุทานพร้อมร่างกายสะดุ้งเฮือก เมื่อรู้สึกถึงแรงโอบรัดจากด้านหลัง ลมหายใจร้อนเป่าแนบชิด “ซีวอน!

     

    “ไม่ให้สนใจได้ไง คนรักทั้งคน แล้วเรื่องบ้าๆที่ทำนายคิดมากจนร้องไห้หน่ะ มันคือเรื่องฉู่อิงใช่ไหม”

     

    เสียงทุ้มข้างหูกับความจริงในใจทำให้ร่างบางได้แต่นิ่งงัน ได้แต่โทษความอ่อนแอและงี่เง่าของตัวเอง ทั้งๆที่ตั้งใจไว้แล้ว “ฉ่ะ... ฉัน ...”

     

    ใบหน้าคมลอบยิ้มอ่อนๆ ผลิกร่างบางให้หันกลับมามองสบตากันเช็ดน้ำตาให้อย่างแสนถนอม “คนดีอย่าร้องไห้นะ  เรื่องเมื่อตอนเย็นฉันขอโทษที่ไม่ระวังตัวเอง แต่ฉันไม่เคยคิดอะไรเกินเลยไปกว่าคำว่าเพื่อนกับฉู่อิง หรือกับใคร”

     

    “แล้วถ้า...” ตาใสๆที่วาวด้วยหยดน้ำเหลือบมองดวงตาคมดูอย่างชั่งใจชั่วแว่บ ก่อนหลบวูบ “ถ้าเขาคิดกับนายหล่ะ”

     

    ความหงุดหงิดในใจหายวับไปทันทีเมื่อรู้ถึงสาเหตุก่อนที่ร่างสูงจะเปิดรอยยิ้มกว้าง “ก็ช่างเขาสิ ฉันรักแค่คนคนเดียว มีแค่นายคนเดียว เชื่อใจฉันไหม”

     

    ฮีชอลจ้องดวงตาคมที่ฉายความจริงใจจนล้นออกมาก่อนพยักหน้ารับ โกรธตัวเองที่คิดอะไรบ้าๆ ทั้งที่ผู้ชายตรงหน้าทำอะไรมากมายเพื่อเขา

     

    ใครกันที่คอยเป็นห่วงดูแล

     

    ใครกันที่ทำให้เขาทุกอย่าง

     

    ใครที่ไม่ทิ้งในวันที่ป่วยหนัก

     

    ใครที่เป็นเดือดเป็นร้อนกับความเจ็บปวดเพียงนิด.....

     

    ไมใช่ซีวอนหรอกหรอ....

    “ฉันขอโทษนะ” เสียงวหวานสั่นสะท้าน ซุกตัวในอ้อมอกหนา

     

    “ไม่ต้องขอโทษหรอก ฉันออกจะดีใจที่นายหึง แต่ไม่ต้องร้องไห้แล้วนะ” มือหนาลูบหัวเล็กที่ซุกซบอยู่อย่างรักและหวงแหน “หยุดร้องไห้ได้แล้ว เดี๋ยวก็ไม่สบายหรอก”

     

    “อือ” ใบหน้าที่ซุกซ่อนอยู่พยักขึ้นลงอย่างยอมรับ พยายามหยุดร้องไห้อย่างที่ชายหนุ่มบอก “ฉันรักนายนะ รักที่สุดเลย”

     

    “ฉันก็รักนายฮีชอล รักนายคนเดียวเท่านั้น” ใบหน้าคมมีรอยยิ้มอบอุ่น ลูบหัวกลมเล็กที่ซุกอยู่อย่างปลอบใจ “ไปอาบน้ำนอนนะ จะได้พักผ่อน”

     

    “อือ” ใบหน้าหวานพยักหน้ารับ ยอมเดินไปตามที่ร่างสูงจับจูงจนเข้าไปในห้องน้ำกว้าง แต่คนที่พามาก็ไม่มีทีท่าว่าจะออก ดวงตากลมจ้องมองอยู่นานแต่สายตาคมก็เพียงแค่จ้องกลับมาเท่านั้น “ออกไปสิ จะให้อาบน้ำไม่ใช่หรอ ยืนอยู่แบบนี้จะอาบยังไง”

     

    “อาบให้ไม่เอาหรอ” เสียงทุ้มต่ำแสนเจ้าเล่ห์มาพร้อมดวงตาที่ดูวิบวับมีประกาย คนถูกถามก็ได้แต่ส่ายหน้าที่แดงกล่ำจนผมสะบัดไปมา   “ตามใจ คนอุตส่าห์หวังดี แล้วคืนนี้อยากนอนคนเดียวอีกหรือเปล่า”

     

    “....”

     

    “ห่ะ ว่าอะไรนะ” ถึงจะยืนห่างกันแค่มือเอื้อม แต่เสียงของคนรักก็แผ่วเบาเกินกว่าจะได้ยินชัดเจน

     

    “หึยยย บอกว่าตามใจ แต่ถ้ายังไม่ยอมออกไปจากห้องน้ำ จะไม่ให้นอนด้วยแล้ว” ปลายประโยคตวัดเสียงสูง ใบหน้าหวานแดงก่ำ ดวงตากลมส่งค้อนอันโตให้กับคนที่ยืนหัวเราะลั่น

     

    “ฮ่าๆๆๆ ขู่กันแบบนี้ ออกไปก็ได้ เรื่องไรจะยอมนอนหนาวคนเดียว นอนกอดแฟนตัวเองอุ่นกว่าเป็นไหนๆ เนอะฮีชอล” ซีวอนยังไม่หยุดเย้าแหย่คนรักให้ต้องอายหน้าแดง ยิ่งเห็นเขาก็ยิ่งมีความสุข

     

    “ไม่รู้” มือเล็กๆ แขนเรียวๆออกแรงผลักร่างสูงใหญ่ที่ยืนขวางประตูออกไปจากห้องน้ำโดยง่ายเพราะเจ้าของร่างไม่ขืนตัวไว้เลยสักนิด

     

    “อาบน้ำเร็วๆนะฮีชอล คิดถึง” เสียงที่ดังลอดเข้ามาให้ร่างเล็กอดไม่ได้ที่จะยืนยิ้มอยู่เพียงลำพัง

     

    “บ้า” ฮีชอลตอบกลับไปเพราะไม่รู้จะพูดอะไรกลบเกลื่อนความอายที่มีอยู่

     

    ความกลัว ความกังวลที่เคยมีสลายไปกับอากาศหมดแล้ว ต่อจากนี้คือความเชื่อใจ เชื่อในความรักที่ได้รับ....

     

    * ~ * ~ * ~ * ~ *~ *~* ~* ~ * ~ * ~ * ~ * ~ * ~ * ~ *

     

    “เดินยิ้มมาแต่ไกลเชียวนะฮีชอล ไม่เห็นเหมือนเมื่อวานเลยยังกับหมาหงอย คุยกันแล้วสิ ใชไหม” เสียงทักทายของซองมินเป็นเสียงแรกที่ได้ยินเมื่อเดินเข้ามาที่คณะพร้อมกับมีผู้ปกครองร่างสูงเดินตามหลัง

     

    “หมาหงอยอะไรเล่า”

     

    “แหน่ะๆ ดูทำกลบเกลื่อนนะ คุยกันท่าไหนหล่ะเนี้ยวันเดียวเปลี่ยนอารมณ์ขนาดนี้ หืมม์” คนตัวอวบเองก็ยังไม่เลิกล้อเพื่อนรักที่ดูสดใส แถมคนตัวสูงที่เดินตามเพื่อนรักมาก็ยังมีรอยยิ้มกระจ่าง

     

    “ท่าไหนอะไรเล่า ไม่มีอะไรสักหน่อย ซองมินก็พูดไป แล้วจองวูยังไม่มาหรอ” ฮีชอลพาเพื่อนเปลี่ยนเรื่องพูดถึงเพื่อนสนิทอีกคนที่ไม่อยู่ตรงนี้

     

    “อือ เห็นว่าตื่นสายเลยจะมาสาย ตกลงว่าไงอ่ะซีวอนเมื่อคืนคุยกันท่าไหน” ถึงจะยอมพูดเรื่องเพื่อนสนิท แตซองมินก็ยังไม่ลืมแกล้งให้คนขี้อายได้หน้าแดงจัด

     

     “ก็หลายท่าอยู่นะ....” ชายหนุ่มหัวเราะก้องเมื่อเห็นคนขี้แกล้งอย่างซองมินหน้าแดงเสียเองกับคำตอบที่ได้รับ

     

    “ซีวอน” ดูเหมือนไม่ใช่แค่ซองมินที่รู้สึกกับคำตอบนี้ เมื่อฮีชอลเรียกชื่อคนรักเสียงต่ำพร้อมใบหน้ายับยู่ เรียกรอยยิ้มเอ็นดูให้เกิดขึ้นบนใบหน้าชายหนุ่ม

     

    “อะไรหล่ะ หรือไม่จริง โอ้ยๆๆ ไม่ตีสิ” มือใหญ่จับข้อมือเล็กที่ยกขึ้นตีไว้ จ้องมองใบหน้าแดงก่ำ กับดวงตากลมโต ก่อนพูดโดยไม่สนใจร่างเล็กที่มองอย่างคาดโทษสักนิด “นี้นะซองมิน เมื่อคืนฉันกับฮีชอลก็เริ่มที่กลางห้อง ไปที่เตียง แล้วต่ออีกนิดที่ห้องน้ำ อ้อหน้าห้องน้ำด้วยอีกนิดนึง”

     

    ถึงจะรู้ว่าไม่มีอะไรเกินเลย แต่คำพูดที่ชวนให้คิดไปได้ไกลก็ทำให้ฮีชอลยิ่งหน้าแดง มองตาของเพื่อนรักตัวอวบก็รู้ว่ากำลังคิดไกลเกินกู่กลับแน่ๆ จะทำอะไรก็ไม่ได้นอกจากมองคนรักอย่างคาดโทษ

     

    “นี้พวกนาย....หักโหม ขนาดนั้นเลยหรอ ฮีชอลไม่แข็งแรงอยู่นะ ทำไมไม่ยั้งๆไว้หน่อยอ่า” ซองมินคิดตามคำพูดของซีวอนแล้วถึงกับช็อคผสมกับเป็นห่วงเพื่อนรักที่ดูจะหักโหมทั้งที่สุขภาพก็ไม่เอื้ออำนวย

     

    “จะบ้าห...อื้ออ” ฮีชอลที่จะอธิบายให้เพื่อนเข้าใจกลับถูกมือใหญ่เอื้อมปิดปากแล้วแก้มใสๆก็ถูกขโมยหอม ไม่มีโอกาสได้ปัดป้องหรือเบี่ยงตัวหนีได้เลย

     

    “ไปก่อนนะ” คนก่อเรื่องอย่างซีวอนได้ทีเผ่นหนี พร้อมรอยยิ้มอารมณ์ดีเกินปรกติ แต่ก่อนไปยังไม่วายทำให้คนอื่นต้องคิดไกล “ฝากดูแลฮีชอลหน่อยนะ เมื่อคืนหนักไปหน่อย แล้วเลิกเรียนจะมารับนะครับ ....ที่รัก”

     

    “เมื่อคืนพวกนาย...จริงๆหรอ” ซองมินถามย้ำอีกครั้งระหว่างเดินขึ้นตึกเรียน “ทำไมที่คอไม่เห็นมีรอยไรเลย” ไม่แค่พูดเปล่า แต่ดวงตายังซอกซอนหารอยแดงตามคอของเพื่อนรัก

     

    “จะบ้าหรอ ไปเชื่อซีวอน พวกฉันแค่คุยกันเท่านั้นแหล่ะ”

     

    “จริงอ่ะ แล้วในห้องน้ำ พวกนายก็แค่คุยกันหรอ” ซองมินยังคงถามต่ออย่างไม่เชื่อ ถ้าเป็นแค่ฮีชอลก็พอเชื่อได้หรอกว่าแค่คุย แต่คนลักษณะแบบซีวอนถ้าลองได้เข้าห้องน้ำพร้อมกันไม่น่าจบที่คุยแน่ๆ

     

    “คิดอะไรอยู่เนี้ยซองมินนนน” เสียงหวานโอดโอยกับความคิดของเพื่อนรัก “ซีวอนพาฉันไปห้องน้ำอย่างเดียวไม่ได้เข้าไปด้วยกัน”

     

    “ก็ว่าสิ ว่าแต่เข้าใจกันแล้วใช่ไหม นายกับซีวอนหน่ะ” น้ำเสียงซุกซนเปลี่ยนเป็นจริงทันที เมื่อกล่าวถึงเรื่องที่เพื่อนรักกังวลใจอยู่

     

    “อือ คุยกันแล้ว ขอบใจนะซองมิน” ฮีชอลขอบคุณเพื่อนรักจากใจจริง

     

    “ไม่เป็นไรหรอก แต่นายต้องไว้ใจซีวอนรู้ไหม หมอนั่นหน่ะรักนายมากนะ คราวหลังอย่าคิดอะไรแบบนี้อีก ซีวอนรู้เข้าน้อยใจตาย”

     

    “อือไม่คิดแล้ว ไม่คิดจะยกให้ใครอีกแล้ว” ประโยคสุดท้ายเสียงแผ่วเบา ต้องการพูดบอกกับตัวเอง ไม่เอาอีกแล้วที่จะคิดว่าซีวอนเหมาะสมกับคนอื่น

     

    จะไม่ทำร้ายความรักของเราด้วยวิธีนี้อีกแล้ว ..... ฉันขอโทษนะซีวอน

     

    ต่อไปนี้ฉันจะเชื่อใจนาย เชื่อมั่นในความรักของนาย

     

    * ~ * ~ * ~ * ~ *~ *~* ~* ~ * ~ * ~ * ~ * ~ * ~ * ~ *

     

    “ขอบคุณซีวอนมากนะคะที่พาฉันมาซื้อของ ไม่งั้นคงได้ของไม่ครบแน่ๆ” สาวจีนดวงตาเรียวรียิ้มสดใสให้กับชายหนุ่มร่างสูงที่พามาซื้อของใช้ส่วนตัว แล้วยังใจดีถือของให้ทั้งหมด จนเธอเดินตัวปลิว

     

                    “ไม่เป็นไรหรอกครับ แค่นี้ แล้วขืนปล่อยให้ฉู่อิงมาคนเดียวมีหวังได้หลงแน่ๆ” ซีวอนหิ้วถุงหลายไซส์ไปวางที่เบาะหลัง ไม่ลืมทำหน้าที่สุภาพบุรุษเปิดประตูหน้าให้หญิงสาวได้ขึ้นไปนั่ง “ขึ้นรถเถอะครับ”

     

                    “ขอบคุณค่ะ” จะมีผู้หญิงที่ไหนบ้าง ที่ไม่หลงใหลไปกับการกระทำที่แสนให้เกียรติและคอยดูแลจากผู้ชายที่เรียกได้ว่าสมบูรณ์แบบ ฉู่อิงก็เป็นหนึ่งในนั้น.....

     

    หัวใจดวงน้อยๆเต้นถี่รัวราวกับผีเสื้อนับร้อยพร้อมใจกันกระพือปีกโบยบินดั่งอยู่ในความฝัน แต่มันก็ยิ่งกว่าฝัน เมื่อผู้ชายที่ดีต่อเธอ ดูแลใส่ใจ และห่วงใย มีตัวตนอยู่หน้า อยู่ไม่ไกลเกินเอื้อมถึง

     

                    ยามได้สบดวงตาคมที่น่าจะดุดันแต่กลับอ่อนโยน ก็เหมือนเลือดจะมารวมตัวกันอยู่ที่ใบหน้าร้อนผ่าว และเช่นเดียวกับยามนี้ เมื่อได้ทอดมองเสี้ยวหน้าคมที่ประดับด้วยรอยยิ้ม แม้จะไม่มีใครรับรู้ แต่เธอก็รู้อยู่เพียงลำพังว่า กำลังเขิน.....

     

    ฉู่อิงนิ่งเงียบค้นลึกในหัวใจตัวเอง หาคำตอบของสิ่งที่เป็นอยู่ นึกไตร่ตรองถึงความเหมาะสม เธอไม่แน่ใจว่าคิดไปเองหรือไร.....เธอคือคนที่ซีวอนสนใจและดูแลเป็นพิเศษ .....ไม่มีใครที่ซีวอนดูแลมากเท่าเธออีกแล้ว

     

    ที่คิดแบบนั้น......เพราะเธอไม่เคยเห็นในยามที่ซีวอนอยู่กับใครอีกคน.....

     

                    “ซีวอนคะ มีธุระที่ไหนหรือเปล่าคะวันนี้” หญิงสาวก้มหลบไม่กล้าให้ชายหนุ่มได้เห็นหน้าที่แดงก่ำ

     

                    “ไม่มีแล้วครับ เพราะตอนบ่ายก็ไม่มีเรียนอะไรแล้ว แต่ต้องกลับไปที่ม.ตอนสามโมง ฉู่อิงอยากไปไหนหรือครับ” ใบหน้าคมเข้มโปรยยิ้มให้ ไม่ได้คิดอะไรมากไปกว่า ถ้าไม่เย็นจนทำให้ไปหาฮีชอลได้ช้า เขาก็ว่างพอจะพาหญิงสาวไปไหนก็ได้

     

                    “ฉู่อิงอยากไปสวนสาธารณะอ่ะคะ รบกวนซีวอนหรือเปล่า”

     

                    “ไม่หรอกครับ มันเป็นหน้าที่ของผมอยู่แล้ว” ชายหนุ่มตอบไปโดยไม่ทันคิดอะไร

     

                    “เออ...ถ้าถึงขนาดที่ว่าเป็นหน้าที่.... งั้นฉันไม่รบกวนดีกว่าค่ะ” หัวใจที่เคยพองฟูด้วยความหวังฟีบแฟ่บลงในทันทีเหมือนลูกโป่งที่ถูกเข็มทิ่มแทง

     

                    “ไม่ใช่แบบนั้นครับ ไม่ได้รบกวนอะไรเลย ผมยินดีพาฉู่อิงไปจริงๆ” ซีวอนรีบแก้คำ เมื่อเห็นว่าคำพูดของตนทำให้คนฟังลำบากใจ

     

                    “แต่....”

     

                    “ไม่มีแต่ครับ เอาเป็นว่าผมอยากพาฉู่อิง ตกลงนะครับ” สายตาคมละจากถนนชั่วแวว เห็นหญิงสาวพยักหน้าน้อยๆ จึงค่อยโล่งใจ “อยากไปสวนสาธารณะใช่ไหมครับ เดี๋ยวผมพาไปสวนที่สวยที่สุดเลย”

     

    * ~ * ~ * ~ * ~ *~ *~* ~* ~ * ~ * ~ * ~ * ~ * ~ * ~ *

    “ซีวอนใจดีจัง” เสียงหวานลอยมาเข้าหูในขณะที่กำลังปล่อยใจไปกับสายลมที่พัดน้ำในทะเลสาบกระเพื่อมเบาๆ

     

                    “ผมหน่ะหรอใจดี?” คิ้วเรียวเลิ่กขึ้นสูง ไม่คิดจะมีคนที่สองที่บอกว่าเขาใจดี แต่แค่เขาพูดสั้นๆ ก็เปิดยิ้มของชายหนุ่มได้กว้าง เพราะกำลังคิดไปถึงคนแรก ที่บอกว่าเขาใจดี

     

                    ฮีชอล...คนที่เขาเคยทำร้ายด้วยความไม่รู้ว่ารักหมดใจ แต่ในวันนี้เขาก็ได้หัวใจดวงนั่นมาครอบครอง ที่ทำทุกอย่างให้ฮีชอลไม่ใช่เพราะความใจดี แต่เป็นเพราะความรักมากกว่า และสำหรับคนอื่นก็เหมือนจะยังเป็นคนที่เย็นชาอยู่ดี

     

                    แต่กับฉู่อิง....คงเป็นเพราะความสงสาร และหน้าที่ที่ต้องดูแลผู้หญิงตัวคนเดียวในต่างแดนที่ไม่รู้จักใคร ไม่มีเพื่อนที่ไหน แต่สิ่งที่เค้าทำให้หญิงสาวคนนี้เทียบไม่ได้เลยกับสิ่งที่ทำให้ฮีชอลด้วยใจทั้งใจ

     

                    “ซีวอนหน่ะสิคะ  ไปรับไปส่ง ไหนจะเรื่องเรียน ขอบคุณมากๆนะคะ”

     

                    “ไม่เป็นไรหรอกครับ....” ชายหนุ่มยิ้มเก้อๆ มันเขินอยู่นิดๆ ที่มีคนมาชมทั้งที่ความจริงเขาก็ไม่ได้ใจดีอะไร ยิ่งถ้าอยู่กับฮีชอลที่ทำไปทั้งหมดนั่นก็หวังผลอยู่เหมือนกันถึงเนื้อนิ่มๆ กลิ่มหอมๆ และรอยยิ้มเปิดกว้างที่บ่งบอกว่ากำลังมีความสุขยามอยู่ด้วยกัน

     

                    “ซีวอนคะ..”

     

                    “ครับ?” เสียงทุ้มขึ้นสูงเป็นเชิงถามที่หญิงสาวเรียกเขา แต่กลับไม่พูดต่อ...พอมองหน้าก็เห็นว่าใบหน้าขาวกำลังแดงจัด....

     

                    “ฉันคิดว่า ฉันกำลัง...ชอบคุณ”

     

                    “ชอบผม? หมายถึง...”

     

                    “หมายถึง ชอบ รัก แล้วก็ไม่อยากเป็นแค่เพื่อน ได้ไหมคะซีวอน”

     

                    เสียงและนัยย์ตาของหญิงสาวช่างเว้าวอน มองอย่างรอคอยและมีความหวัง แต่มันเทียบไม่ได้เลย กับดวงตากลมโตที่เขารัก และห่วงหา และมันไม่ยากเลยที่เขาจะปฏิเสธเพื่อรักษาความสดใสในดวงตาคู่นั้น “ขอบคุณนะครับ แต่ไม่ได้หรอกครับ ผมขอโทษจริงๆ” ซีวอนกล่าวด้วยความอ่อนโยน โทษในความเหงา และหว่าเหว่ที่ทำให้อารมณ์คนอ่อนไหว

     

                    “ทำไมหล่ะคะ” เสียงใสสั่นเทา ในดวงตารีเรียวมีหยาดน้ำอาบคลอและไหลลงมาเป็นสายตามแก้มนวล มองคนตรงหน้าอย่างไม่เข้าใจ “ทั้งที่คุณเองก็ยังไม่มีใคร แค่ให้โอกาสฉันสักนิด ก็ไม่ได้หรอคะ”

     

                    “ฉู่อิง คุณเข้าใจผิดแล้ว ผมมีคนรักแล้ว แล้วผมก็ไม่อยากทำให้เขาเสียใจ เราเป็นเพื่อนกันแบบนี้ดีที่สุดแล้วหล่ะครับ” ถ้าเป็นฮีชอลเขาคงไม่รอช้าที่จะเช็ดน้ำตาออกให้ แต่นี้ เพราะไม่ใช่เลยไม่รู้จะทำยังไง...

     

                    “ไม่จริง!” หญิงสาวตะโกนสวนเสียงกร้าว มองด้วยความไม่เข้าใจว่าทำไมผู้ชายตรงหน้าต้องโกหกว่ามีคนรัก ทั้งที่เธอก็พึ่งจะถามคนที่เรียกได้ว่าสนิทที่สุดกับชายหนุ่ม

     

                    ซีวอนมองหญิงสาวด้วยความงุนงง “ผมมีคนรักอยู่แล้วนะครับฉู่อิง แล้วผมก็รักเขามากด้วย”

     

                    “คุณโกหก ฉันถามเพื่อนคุณวันนั้นแล้ว เขาบอกว่าคุณยังไม่มีใคร ทำไมต้องโกหกฉันด้วย ถ้าคุณมีใครอยู่แล้วทำไมไม่ไปอยู่กับเธอ แต่นี้คุณยังอยู่กับเพื่อน” เธอดึงเหตุผลที่พอนึกออกขึ้นมาค้านคำพูดของเขา เพราะแทบไม่มีเวลาไหนเลยที่พอจะบอกได้ว่าชายหนุ่มตรงหน้าอยู่กับคนรัก

     

                    “ฉู่อิง...” ซีวอนแปลกใจเพียงนิด แต่เพียงไม่นานก็รู้ว่าใครที่เป็นคนบอกกับผู้หญิงคนนี้แบบนั้น....จะมีใครถ้าไม่ใช่ฮีชอล ที่ช่วงไม่กี่วันก่อนหน้านี้มีความคิดแปลกๆจนพวกเขาเกือบทะเลาะกัน ชายหนุ่มได้แต่ถอนหายใจ กับเรื่องที่คนรักทำไว้โดยไม่ตั้งใจ แต่กลับมานั่งเสียใจ

     

    “ผมไม่รู้ว่าคุณรู้อะไรมา แต่บอกได้เลยว่า ที่คุณรู้มามันไม่จริง ผมมีคนรักอยู่แล้ว และผมก็อยู่กับเขาเกือบตลอดเวลา เขาก็คือคนที่คุณไปถามแล้วบอกว่าผมยังไม่มีใครนั่นหล่ะครับ ผมขอโทษแทนเขาด้วย ที่ทำให้คุณต้องเสียใจ” เสียงทุ้มกดต่ำสะกดกลั้นความโกรธ แต่ไม่ใช่ที่มีกับตรงหน้า แต่เป็นคนรักหน้าสวย ที่แสนบอบบาง ที่กล้าพูดกล้าตอบแบบนั้นออกไป ทั้งที่ตัวเองก็เสียใจ

     

                    เฮ้อ....จริงๆเลย มันน่าลงโทษบ้างนะเนี่ย ต้องสั่งสอนกันบ้างแล้ว ไม่งั้นคงแอบคิดอะไรแบบนี้อีกแน่ๆ

     

                    “อย่าบอกนะว่า... คุณกับ กับ...”

     

                    “ครับ ผมกับผู้ชาย ผมรักฮีชอล เรารักกัน หวังว่าคุณคงเข้าใจ แล้วถ้าต่อจากนี้คุณจะรังเกียจ ผมก็ไม่ว่าอะไร” ชายหนุ่มประกาศบอกความรักด้วยเสียงมั่นคงไม่มีสั่นไหว ไม่แคร์ว่าใครจะว่าอย่างไร ขอแค่ได้ปกป้องความรักของเขาให้คงอยู่ก็เพียงพอแล้ว   

     

                    “ฉัน....” เธออ้ำอึ้งกับสิ่งที่ได้รู้ ยังคงปรับตัวไม่ถุก ไม่รู้ว่าจะเสียใจเรื่องไหนมากกว่ากัน ระหว่างการไปรักคนที่มีเจ้าของอยู่แล้ว หรือไปหลงชอบผู้ชายที่เป็นเกย์กันแน่  “คุณกลับไปก่อนเถอะ ฉันขออยู่คนเดียว แล้วรับรองว่าพรุ่งนี้ ฉันจะกลับไปเป็นเพื่อนของคุณเหมือนเดิม”

     

                    ซีวอนยิ้มปลอบใจให้หญิงสาว เพราะไม่รู้จะทำอะไรได้ดีกว่านี้ “ผมขอโทษจริงๆ แล้วก็...พรุ่งนี้เจอกันครับ” ชายหนุ่มก้าวถอยห่างออกมา ทำตามอย่างที่หญิงสาวต้องการ แต่ในใจกำลังคิดว่าจะจัดการกับคนสร้างเรื่องนี้อย่างไร....

     

                    ถามโกรธไหม ก็ยอมรับว่าโกรธ แต่คงน้อยกว่าความน้อยใจที่ฮีชอลคิดจะยกเขาให้คนอื่นง่ายๆ เหมือนกับว่าความรักของงเขาไม่มีค่าสำหรับฮีชอลเลย ทั้งที่ก็รู้ดีว่ามันไม่ใช่แบบนั้น แต่มันก็อดคิดไม่ได้จริงๆ

     

    ถึงจะคุยกันเข้าใจไปแล้วเมื่อวาน แต่ฮีชอลก็ควรได้รับบทเรียนจากความโกรธ ความน้อยใจของเขา.....บ้าง

     

    * ~ * ~ * ~ * ~ *~ *~* ~* ~ * ~ * ~ * ~ * ~ * ~ * ~ *

     

    “ซีวอน วันนี้มาเร็วดีจัง อาจารย์ปล่อยไวหรอ แล้วฉู่อิงหล่ะ ไม่ได้มาด้วยหรอ” เสียงหวานๆ ตาใสๆ กับรอยยิ้มบนใบหน้า ช่างแตกต่างจากเมื่อวันก่อนอย่างไม่น่าเชื่อ

     

    ทั้งที่ก็รักเขามาก....แล้วทำไมยังคิดจะยกให้คนอื่นอีก เฮ้ออแล้วก็มาเศร้าเอง มันต้องสั่งสอนให้มั่นใจเสียบ้าง ถึงแม้แค่เจอหน้ากันไม่ถึงวิ ใจของเขาทั้งดวงก็อ่อนยวบแล้ว

     

                    ซีวอนตั้งใจไว้แล้วว่ายังไงก็ต้องคุย แต่ก่อนคุยก็ขอเงียบให้คนรักจอมหวั่นไหวได้รู้สึกบ้าง “อือ เขาอยากกลับบ้านเอง มีเรื่องให้ต้องทำใจ แล้วเราจะกลับกันได้หรือยัง หรือนายต้องทำอะไรอีก”

     

                    “เอ่อ...ไม่มีแล้ว เป็นอะไรหรือเปล่าดูเครียดๆ” ตากลมช้อนมองหน้าคมของคนรักอย่างสงสัย แต่ก็ไร้คำตอบใด ทำได้เพียงเดินตามหลังไปขึ้นรถเงียบๆ ทั้งที่ในใจก็เริ่มหวั่นเกรงว่าเรื่องราวจะย้อนกลับไปที่ความเจ็บปวดอีกครั้ง

     

    “สนใจด้วยหรอ นายสนใจด้วยหรือไงว่าฉันจะคิดยังไง หรือเป็นอะไร”

     

                    “ซีวอน...” ดวงตากลมจ้องมองใบหน้าคมสันที่ดูเครียดขึ้งอย่างตกใจ ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ทำไมถึงเกิดคำถามแบบนี้ขึ้นได้ ทั้งที่ซีวอนแทบจะเป็นเรื่องเดียวในความคิดที่เขากังวลและเป็นห่วง “ทำไมถามแบบนี้ ฉัน”

     

                    “ทำไม นายทำไม จะบอกว่ารักฉันงั้นเหรอฮีชอล” ซีวอนจับจ้องใบหน้าหวานพยักขึ้นลงพร้อมน้ำตาที่ใกล้ปริ่มล้นออกมา “ความรักของนาย คือการยกฉันให้คนอื่นงั้นสิ”

     

                    “ฉัน..ขอโทษ” อย่าว่าแต่คนอื่น เพราะแม้แต่ตัวเองก็แทบไม่ได้ยินคำพูดที่หลุดออกมา มันแผ่วเบาเพราะความกลัว ไม่คิดว่าซีวอนจะโกรธขนาดนี้

     

                    ชายหนุ่มได้ยินคำแผ่วคำนั้น ละสายตาจากถนนเบื้อหน้าหันไปมองใบหน้าหวานที่ก้มหลบต่ำ แต่ก็ยังเห็นหยดน้ำตาบนแก้มใสแล้วใจก็อ่อนยวบ ได้แต่บอกตัวเองว่าห้ามใจอ่อน ห้ามยอมแพ้น้ำตาเป็นเด็ดขาด แค่ครั้งนี้ครั้งเดียว ที่จะทำให้ฮีชอลรู้ว่า......ห้ามยกความรักของเขาให้กับใครเด็ดขาด!!!

     

                    ร่าบางนั่งก้มหน้านิ่งไม่กล้าพูดอะไรออกมาอีก ปล่อยให้ความเงียบเข้าครอบงำรถคันใหญ่ ไม่รู้ว่าอีกกี่นาที กี่ชั่วโมงต่อจากนี้ความสุขในช่วงเวลาสั้นๆจะหายไป

     

                    รถคันโตเลี้ยวเข้าในเขตรั้วบ้าน ถึงจะก้าวลงมาจากรถแล้วแต่ความอึดอัดก็ยังครอบงำไม่จางหายไป ร่างกายสูงใหญ่เดินผ่านหน้าไปอย่างเย็นชา ไม่มีการหันมามองด้วยความอาทรเหมือนเคยอีกแล้ว

     

    หัวใจดวงน้อยสั่นไหว มองตามแผ่นหลังกว้างที่ก้าวห่างไปทุกที ถึงจะมีใครยืนอยู่ห่างกาย แต่กลับรู้สึกเคว้งคว้างไม่เหลือใคร เหมือนเพียงแค่ในโลกนี้หลงเหลือเพียงลำพัง เพราะใครอีกคนกำลังจากไป ยิ่งก้าวห่าง ก็ยิ่งสิ้นไร้แรง “ซีวอน”.....

     

                    เสียงเรียกชื่อที่ฟังอ่อนแรง พาให้ใจอ่อนยวบจนแทบละลายลงไปแล้วเดินกลับไปโอบอุ้มคนเรียกชื่อให้ขึ้นไปบนห้องพร้อมกัน แต่เพราะความสิ่งที่ตั้งใจไว้ทำให้ต้องฝืนเมินแล้วก้าวขึ้นบันไดไปอย่างเชื่องช้า

     

                    เรียวขาเล็กวิ่งขึ้นบันไดหวังตามร่างสูงไป แต่กว่าจะทันก็เมื่อบานประตูห้องปิดลงแล้ว และภาพที่เห็นก็ยิ่งทำให้ใจดวงน้อยแตกร้าว น้ำตาที่กลั้นเอาไว้ก็เกือบจะไหลออกมา แต่เพราะไม่อยากเป็นคนอ่อนแอจึงได้แต่ข่มเอาไว้

     

    “ซีวอน นายเก็บของไปไหน ฉันขอโทษ ฉันทำอะไรผิด ก็บอกฉันมาสิ บอกมาฉันแก้ไขมันได้ อย่าทิ้งฉันแบบนี้นะซีวอน”

     

                    ร่างสูงที่เก็บของใช้ส่วนตัวชะงักงัน เมื่อมีอ้อมแขนเรียวโอบกอดรอบเอวจากเบื้องหลัง มือเล็กบางที่ประสานกันแน่นฝืนแรงของเขาไม่ยอมปล่อยทั้งที่แค่กระชากนิดเดียวก็หลุดแล้ว น้ำเสียงเว้าวอนชวนใจละลายลง แต่เขาจะอ่อนให้ในตอนนี้ไม่ได้ “ปล่อยฉันฮีชอล   

     

                    “ไม่!” ใบหน้าเรียวแทบจะฝั่งลงไปที่แผ่นหลังกว้าง ขืนมือที่โอบรอบเอวแน่นต้านแรงเอาไว้จนสุดกำลัง แม้จะใกล้หลุดเต็มทีแล้ว “ถ้าฉันปล่อย นายก็จะออกไป ฉันรักนายนะซีวอน ไม่รักฉันแล้วหรือไง”

     

                    แรงเพียงครึ่งของชายหนุ่มกระชากร่างบางให้หลุดออก แล้วจับพลิกตัวเพื่อให้ได้เผชิญหน้ากัน “ทำไม กลัวไม่เหลือใครด้วยหรือไง คนใจร้ายอย่างนาย กลัวด้วยหรอว่าจะไม่เหลือใคร ไม่ใช่ว่ามีใครต่อใครรอคิวอยู่หรือไงฮีชอล”

     

                    ซีวอนก้มลงมองมือบอบบางในมือของตัวเอง แล้วยิ้มเยาะออกมา ดวงตาเต็มไปด้วยความเจ็บปวด จนไม่รู้เลยว่า รอยยิ้มเยาะเย้ยนั่นมีให้กับใคร คนที่กำลังคร่ำครวญเพื่อรั้งเขาไว้ หรือเยาะเย้ยให้กับตัวเอง “นายเห็นฉันเป็นอะไร เลิกเล่นละครได้แล้วฮีชอล ถ้าฉันหมดความหมายแล้ว เบื่อกันแล้ว ก็พอเหอะฮีชอล เลิกกันก็ได้ แต่อย่าเที่ยวยกฉันให้ใคร”

     

                    ใบหน้าหวานส่ายซ้ำไปมา ถึงในดวงตาจะไร้หยดน้ำแต่แววตาก็กลับบอกได้ว่าปริ่มขาดใจ ทั้งกลัว และเสียใจ สองมือที่พยายามรั้งออกไม่ใช่เพื่อหนีเหมือนครั้งไหนๆ แต่อยากคว้าร่างสูงตรงเข้ามากอด อยากฝังร่างไว้ที่อกอุ่นเหมือน “ไม่นะซีวอน ฉันไม่เคยมีใคร ไม่เคยเบื่อ ไม่ได้เล่นละคร ฉันรักนาย ซีวอน”

     

                    “รักฉันงั้นหรอ รักฉันแล้วยกฉันให้คนอื่น นี้คือการแสดงความรักของนายหรือไง ฮีชอล!” ชายหนุ่มตะโกนเสียงใสใบหน้าหวานที่จวนเจียนจะมีน้ำตาไหลออกมาแล้ว

     

                    “ฉันขอโทษ ฉัน.... ฉันต้องทำยังไง นายถึงจะเชื่อ”

     

                    “เชื่อหรอ?”

     

                    ในที่สุดก็ได้โอบกอดร่างสูง ได้ซบหน้าอยู่กับความอบอุ่นที่กลัวเหลือว่าจะจางหายไปเป็นของคนอื่น “อือ ให้ฉันทำอะไรก็ได้   

     

                    “นายพูดเองนะฮีชอล” ไม่ทันขาดคำร่างบางก็ถูกกระชากออกห่าง ก่อนแนบชิดทุกสัดส่วนเพื่อรุกรานอย่างรุนแรงและทารุณ

     

                                                                    ตัดดังชับ........(วางเมล์เลยคร้า)
                 * ~ * ~ * ~ * ~ *~ *~* ~* ~ * ~ * ~ * ~ * ~ * ~ * ~ *

     

    “อ่ะ อ๊ากกกกกกก”

     

                    “เป็นอะไรครับพี่ซองมิน” เสียงกรีดร้องเสียงดังหลังจากวางโทรศัทพ์ ทำให้เด็กหนุ่มต้องเงยหน้าจากหนังสือขึ้นมองพี่เทคควบตำแหน่งคนรัก “แล้วทำไมหน้าแดงแบบนั้นหล่ะครับ”

     

                    เด็กหนุ่มเดินเข้าไปใกล้และใช้หน้าผากชนหน้าผากวัดอุณหภูมิของคนตรงหน้า ก่อนผละออกพร้อมทำหน้าสงสัยกับอาการที่ดูคล้ายช็อคค้าง “ตัวก็ไม่ร้อนนี้นา เป็นอะไรครับ”

     

                    “น้องโจว ฮีชอล....ฮีชอล.... ฮีชอล..” คนเคยมั่นในทุกสถานการณ์เกิดอาการติดขัดพูดอะไรไม่ออก แค่เผลอไปนึกถึงเสียงหวานแผ่วที่เล็ดลอดออกมาก็ยิ่งทำให้เลือดสูบฉีดที่หน้า

     

                    ...ไม่คิดว่าแค่เสียง เพื่อนจะเซ็กซี่ขนาดนี้ มิน่า ซีวอนถึงหวงเสียเหลือเกิน....

     

                    “พี่ฮีชอลทำไมครับ อาการกำเริบหรือเปล่า หรือเป็นอะไร พี่ซองมิน”

     

                    “เปล่าๆๆ แต่ซีวอน.. ซีวอน”

     

                    “พี่ซีวอนทำร้ายพี่ฮีชอลอีกแล้วหรอครับ” ความเป็นห่วงแล่นวูบขึ้นมา ชักอยากเชียร์ให้เพื่อนตัวเองสมหวังขึ้นมาอีกครั้ง

     

                    “เปล่า เปล่า ซีวอนไม่ได้ทำอะไรฮีชอล แต่เขา... เขา นั่นกัน”

     

                    “นั่นกัน?” เด็กหนุ่มทวนคำอย่างไม่เข้าใจ คิ้วเรียวขมวดเข้าหากันอย่างสงสัย

     

                    “อื้อ นั่นกันอ่า...” ใบหน้าอวบมองหน้าคนรักอย่างขัดใจที่ไม่ยอมเข้าใจ แล้วเสียงที่ไม่ควรได้ยินของเพื่อนรักก็ขยันดังอยู่ในหูเสียจริง “โอ้ย อย่าทำไม่เข้าใจแบบนี้สิ ก็ซีวอนกดฮีชอล”

     

                    “อ้อ....”หน้าเด็กหนุ่มฉายแววรับรู้และเข้าใจ ก่อนสังเกตได้ถึงความผิดปรกติขอคนรัก “แล้วทำไมอยู่ๆตัวพี่ก็ร้อนแบบนี้หล่ะครับ อย่าบอกนะว่า?”

     

                    “อือ” คนตัวเล็กกว่าพยักหน้ายอมรับอย่างอายๆ ก่อนใช้ดวงตาของตัวเองมองอย่างอ้อนวอน หวังสื่อความหมายให้คนรักได้รับรู้ “นะ..”

     

                    “ไม่ครับ พรุ่งนี้มีเทสย่อย”

     

                    “น้องโจวใจร้ายยยยยยย” ในที่สุดซองมินก็ต้องทนอึดอัดอยู่อีกพักใหญ่ๆกว่าจะไล่ความรู้สึก และเสียงครางหวานของเพื่อนรักออกไป......ช่างน่าสงสารจริงๆ      

     

    * ~ * ~ * ~ * ~ *~ *~* ~* ~ * ~ * ~ * ~ * ~ * ~ * ~ *

     

    “ดีกันนะฮีชอล” ชายหนุ่มตัวสูงตามติดร่างเล็กไปทั่วห้องนอนในตอนเช้าที่ตื่นมา แล้วกลายเป็นว่าถูกคนรักงอน เพราะถูกแกล้งหนักเกินไปในค่ำคืนที่ผ่าน

     

                    “ไม่” ใบหน้าหวานเชิดรั้งเบือนสายตาไปทางอื่น สองมือเร่งรีบแต่งตัวหนีคนตัวโต

     

                    “แต่มันเช้าแล้วนะ หมดเวลางอนแล้ว” ซีวอนยังพยายามอย่างหนัก แกล้งทำหน้าเหมือนจะสำนึกผิดแต่บนใบหน้าคมกลับมีรอยยิ้มจางๆ

     

                    “ไม่เกี่ยวกันเลย” ดวงตากลมพยายามทำให้ดูดุ ยิ่งนึกถึงเรื่องเมื่อคืนก็ยิ่งโกรธ ที่น้อยใจแล้วแกล้งรุนแรงนั่นเขาเข้าใจ แต่ทั้งที่กำลัง....แล้วยังจะรับโทรศัพท์ แล้วไหนจะคำพูดที่ชวนให้คิดไปถึงไหนต่อไหน

     

                    แล้วจะมองหน้าซองมินได้ยังไง

     

                    “ไม่หายงอน วันนี้ไม่ไปส่งนะ” เพราะมีเรียนช่วงสาย ชายหนุ่มถึงได้กล้ายกเรื่องนี้มาเป็นเงื่อนไข แล้วก็มั่นใจว่าจะได้ผล เท่าที่เห็นจากการเดินของร่างบาง ก็คงยังเจ็บอยู่ ไปเองก็ยิ่งจะทรมาน งานนี้หายงอนแน่ๆ

     

                    “เรื่องของนาย ฉันให้จองวูมารับก็ได้” เสียงหวานรั้นขึ้นจมูก เบี่ยงกายหนีอ้อมแขนอุ่นคว้าเสื้อนักศึกษาสีขาวแขนยาวมาสวมตามปรกติ ไม่สนใจสายตาโกรธขึ้นของอีกฝ่ายที่โชนแว่บขึ้นมา

     

                    “เรื่องอะไรฉันจะยอม” มือหนาเอื้อมคว้าร่างบอบางมาไว้ในอ้อมกอด ก่อนเป็นฝ่ายติดกระดุมเสื้อเชิ้ตตัวบางอย่างอ่อยอิ่ง “นะ ดีกันนะ ฮีชอล อย่าโกรธเลยนะ จะไม่แกล้งแล้วจริงๆ”

     

    “..........” มีเพียงความเงียบตอบกลับมาเท่านั้น เมื่อสายตากลจับจ้องการกระทำของชายหนุ่มไม่วางตา

     

                    “ไม่เอานะ ไม่มองอย่างนี้สิ เหมือนนายไม่ไว้ใจฉันเลย” เสียงทุ้มโอดครวญร้องขอความเห็นใจ

     

                    “ก็แล้วนายไว้ใจได้หรือไงเล่า” เสียงหวานสะบัดขึ้นอีกครั้ง ส่งค้อนวงโตให้คนรัก

     

                    “โธ่! ขอโทษนะ ไม่ทำแบบนั้นอีกแล้ว ดีกันนะครับ” เมื่อติดกระดุมให้จนเสร็จ ก็ส่งนิ้วก้อยยาวตรงไปให้ตรงหน้าหวานๆ สายตาออดอ้อนขอความเห็นใจอย่างสุดฤทธิ์

     

                    “แน่ใจนะ” แม้จะใจอ่อนลงแล้วกับท่าทางเหมือนหมาหงอย แต่ก็ยังหวั่นๆอยู่ดี เห็นหน้ากันตั้งแต่จำความได้ มีหรือจะไม่รู้ว่านิสัยคนรักเป็นยังไง.....ขี้แกล้งเป็นที่สุด!!!

     

                    “คร้าบผม แน่ใจเป็นที่สุด แต่มีอีกเรื่องที่แน่ใจกว่าเรื่องนี้อีก” สายตาคมประกายวิบวับจนคนถูกมองชักไม่แน่ใจ ว่าที่พึ่งรับปากออกมาจะทำได้จริง แล้วไหนจะมือปลาหมึกที่คว้ากันเข้าไปกอดแบบไม่กลัวชุดนักศึกษาที่พึ่งใส่จะยับ “ไม่อยากรู้หรอว่าเรื่องอะไร”

     

                    “ก็บอกมาสิ แล้วปล่อยได้ไหม เดี๋ยวเสื้อยับ” ร่างบางยันตัวออกจากแผงอกเปลือยของคนรักที่จนป่านนี้ก็ยังไม่ยอมหาเสื้อมาใส่

     

                    “เรื่องที่ฉันแน่ใจที่สุด ไม่มีวันเปลี่ยนแปลงก็คือ” เสียงทุ้มหยุดลงพร้อมเป่าลมร้อนเข้าที่แก้มใสที่กำลังแดงเรื่อ ริมฝีปากหยักได้รูปขบเม้มติ่งหูกลม กระชับอ้อมกอดให้แนบชิด “ฉันรักนายอย่างไม่มีวันเปลี่ยนแปลง”

     

                    “ซีวอน...” เพราะไม่คิดว่าจะได้ยิน จึงทำให้ร่างบางหยุดค้างมองลึกในดวงตาคม เห็นแต่แววตาของความจริงจังและความรักที่ลึกซึ้ง น้ำตาหยดน้อยก็พลันไหลออกมาอย่างไม่รู้ตัว ก่อนซบหน้าลงกับแผงอกกว้าง พร่ำบอกความในใจที่มีไม่ต่างกัน “ฉันก็รักนาย รักนายนะ อย่าเบื่อ อย่ารำคาญคนงี่เง่าไม่ได้เรื่องอย่างฉันนะ”

     

                    “ไม่หรอก จะเบื่อ จะรำคาญหัวใจตัวเองได้ไง ไม่ร้องนะฮีชอล เดี๋ยวพ่อกับแม่ก็เข้าใจว่าฉันแกล้งนายอีกหรอก ไม่ร้องแล้วนะครับ คนดี” มือหนาลูบกลุ่มผมนุ่ม มีบางเสี้ยวที่หวาดกลัวว่าสักวัน จะไม่มีคนรักอยู่ในอ้อมกอด

     

                    “อื้อออ”

     

                    “ลงไปกินข้าวกันดีกว่าเนอะ แล้วฉันไปส่งนายที่ม.เอง” มือหนาเช็ดคราบน้ำตาบนใบหน้าใส คว้าเสื้อยืดที่อยู่ใกล้มือมาสวมก่อนโอบร่างเล็กไว้แน่น พาลงไปทานอาหารเช้าที่ป่านนี้ ทั้งพ่อและแม่คงรอกันอยู่

     

                    “ฮีชอลเป็นอะไร ทำไมพยุงกันลงมาแบบนั้น” เสียงเข้มของชายสูงวัยที่นั่งรออยู่ทำให้ร่างบางที่พยายามรั้งตัวออกจากอ้อมแขนอุ่นต้องหน้าซีดลงไปอีก พลางถลึงตาต่อว่าคนที่ดูแลเกินเหตุ

     

                    “ผม...”

     

                    “ฮีชอลไม่ค่อยสบายหน่ะครับพ่อ ยืนไม่ค่อยไหวแถมหน้าก็ซีดด้วย พ่อดูสิ” ชายหนุ่มแย่งตอบทันทีก่อนอีกฝ่ายจะหาคำพูดได้ แล้วยังจะหันไปส่งรอยยิ้มกว้างให้วงหน้าหวานที่พยายามทำตาดุ “ไม่รู้จักดูแลตัวเอง แล้วยังทำตาดุอีก ฉันเป็นห่วงนะเนี้ย”

     

                    “ตอนนี้มาพูดว่าเป็นห่วง ทีเมื่อวานนะ” เสียงหวานลอดไรฟันให้ได้ยินเพียงแค่สองคน แต่คนที่บอกว่าเป็นห่วงกลับทำหูทวนลมแกล้งไม่ได้ยินเสียงอย่างนั้นก่อนจะประคองร่างเล็กให้ลงนั่งที่เก้าอี้ตัวข้างๆ

     

                    “ไหวหรือเปล่าฮีชอล ถ้าไม่ไหว น้าว่าหยุดเรียนดีกว่านะ อย่าฝืนเลย” เสียงหวานเย็นของหญิงเพียงคนเดียวในบ้าน ทำให้ใบหน้าหวานยิ่งซีดแล้วสลับแดง เมื่อคิดไปว่า แม่ของชายหนุ่มรู้ในความสัมพันธ์ของพวกเขา

     

                    “ผมไม่เป็นไรหรอกครับคุณน้า”

     

                    “ดื้อ!!” ไม่ใช่เสียงหวานเย็นของ ชเว กาอิน หรือเสียงทุ้มทรงอำนาจของ ชเว ซูมิน แต่เป็นเสียงห้วนๆของ ชเว ซีวอน

     

                    “ก็มันเพราะใครกันเล่า” อยากจะถามกลับแต่ก็เกรงผู้ใหญ่ทั้งสองจึงได้แต่เงียบไว้ มีเพียงเหล่มองให้รู้ตัวเท่านั้น ว่ามันเพราะใครถึงเป็นแบบนี้

     

                    “มองทำไม นายหน่ะ ทั้งดื้อ ทั้งชอบคิดมาก คิดไปเอง” ยิ่งถูกมอง ก็ยิ่งพูดมาก ยังไงซีอวนก็ต้องให้คนรักรับผิดชอบความรู้สึกน้อยใจที่เกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อคืนวาน

     

                    “ก็มันเรื่องของฉัน..” ฮีชอลรู้สึกว่าชักจะโดนแกล้งมามากพอแล้วตั้งแต่เมื่อคืน เช้ามาก็ยังโดนผู้ชายตัวโตๆที่กลายเป็นคนขี้น้อยใจตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ต่อว่าไม่เลิก ก็เลยเริ่มจะเถียงกลับบ้างแล้ว

     

                    “ก็ใช่สิ เรื่องของนาย ฉันมัน..”

     

                    “พอแล้ว ทะเลาะกันตั้งแต่เด็กจนโตมีลูก มีเมีย ก็ยังทะเลาะกันไม่เลิก” เสียงของ เชว ซูมิน เบรกสงครามน้ำลายกลางโต๊ะอาหารที่รู้สึกว่า พ่อลูกชายตัวดีจะขยันแหย่ฮีชอลเสียเหลือเกิน

     

                    “เมียผมมีแล้ว แต่ท้องลูกไม่ได้” คำพูดของชายหนุ่มเรียกสายตาค้อนคมๆ จากคนนั่งข้างๆได้ในทันที แต่เจ้าตัวก็ยังทำหน้าไม่รู้ร้อน ไม่รู้หนาวเหมือนเดิม

     

                    “เมื่อกี้เราว่าอะไรหน่ะซีวอน”  ซูมินที่ได้ยินเสียงลูกชายไม่ถนัด ถึงขั้นต้องถามซ้ำ

     

                    “เปล่าครับพ่อ ผมแค่ว่ามีเมียดีกว่ามีลูกครับ” ชายหนุ่มเน้นคำว่าเมีย อย่างช้าๆ ชัดๆ ก่อนยักคิ้วให้คนข้างๆให้หมั่นไส้มากกว่าเดิม

     

                    เท้าเล็กๆไล่เหยียบเท้าใหญ่อยู่ใต้โต๊ะไม่ให้ผู้ใหญ่ได้เห็น โทษฐานที่พูดชวนให้พ่อสงสัย แต่แล้วก็ต้องชะงักค้างทั้งเท้าที่ไล่เหยียบอยู่ใต้โต๊ะ และมือที่กำลังตักอาหารเข้าปาก เมื่อได้ยินคำถามของผู้สูงวัย

     

                    “แฟนเรารู้เรื่องที่เราป่วยหรือเปล่า”

     

                    “เอ่อ...คือ เค้าก็..” เหมือนเสียจะหายไป พร้อมๆกับที่นึกคำตอบไม่ออกทั้งที่ก็เป็นคำถามง่ายๆ

     

                    “รู้ครับ”

     

                    “พ่อถามฮีชอล ไม่ได้ถามเรา เป็นแฟนฮีชอลหรือไง ถึงรู้ว่าเขารู้หรือไม่รู้หน่ะ” ใบหน้าสูงวัยมีรอยยิ้มขบขันกับลูกชาย ที่วันนี้ดูจะแย่งฮีชอลตอบไปเสียหมด

     

                    “ก็ผมรู้ ผมก็ตอบไง ขืนรอให้ฮีชอลตอบวันพรุ่งนี้พ่อก็ยังไม่ได้คำตอบหรอก” ซีวอนเผยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ออกมาอย่างอารมณ์ดี ก่อนพูดต่อ “ผมหน่ะคุณสามีของฮีชอลเลยนะพ่อ”

     

                    คำพูดของชายหนุ่มทำเอาทุกคนยิ้มค้างยิ่งฮีชอลด้วยแล้วก็ยิ่งไม่เหลือเรี่ยวแรงจะถือช้อน ได้แต่รอปฏิกิริยาจากประมุขของบ้าน ไม่รู้ว่าคนรักที่นั่งอยู่ข้างๆต้องการอะไรถึงพูดแบบนี้

     

                    “ฮ่าๆๆ” เสียงหัวเราะก้องของซูมินทำให้ทุกคนแปลกใจอีกรอบ รอฟังเหตุผลของเสียงหัวเราะนี้ “ฟังมันพูดนะกาอิน หาเรื่องฮีชอลชัดๆ นี้ถ้าแฟนฮีชอลมาได้ยินขอเลิกกันพอดี อยู่ๆก็มีผู้ชายตัวถึกๆมาประกาศตัวเป็นคุณสามี ไอ้ลูกขี้อิจฉาเอ้ย”

     

                    “ก็ผมรักฮีชอลของผมหนิครับพ่อ”

     

                    ประมุขของบ้านยังคงยิ้มอย่างใจดีไม่คิดไปไกลว่า รัก ที่ลูกชายพูดถึงจะลึกซึ้งแค่ไหน “รักกันไว้ก็ดีแล้ว เป็นเพื่อนกันมาแต่เล็ก จะว่า....แฟนของฮีชอลคงร้อนแรงน่าดูเลยสิเนี่ย คอไปหมดเลย”

     

                    เพราะไม่ทันรู้ตัวมาก่อน สิ้นคำของผู้ใหญ่มือเล็กรีบคว้าหมับเข้าที่ปกเสื้อ ใบหน้าหวานแดงก่ำไม่กล้าพูดอะไร หลบสายตาผู้ใหญ่ทั้งสอง ผิดกับบางคนที่หัวเราะลั่นจนน่าหมั่นไส้

     

                    “ถูกที่สุดเลยครับ แฟนฮีชอลหน่ะ ทั้งร้อน ทั้งแรง ผิดกับแฟนผม” ชายหนุ่มเว้นวรรคไปชั่วขณะ ต้องขยับเท้าหนีเท้าเล็กๆที่ไล่เหยียบอยู่ใต้โต๊ะ แต่บนใบหน้ายังปรากฏรอยยิ้มกว้าง

     

                    “แฟนเราทำไมหืมม์ สวยสู้แฟนฮีชอลหรือไง”

     

                    “ไม่ใช่ครับ แฟนผมหน่ะสวยที่สุด แฟนฮีชอลไม่สวยเลยสักนิด โอ้ย!!” เพราะเอาแต่พูด เอาแต่ยิ้มจนโดนเหยียบเท้าเข้าไปเต็ม แต่ถึงอย่างนั้นใบหน้าคมก็ยังมีรอยยิ้มกว้าง และดวงตาทอประกายเจ้าเล่ห์

     

                    “ไปว่าแฟนเขาไม่สวย โดนเหยียบ สมน้ำหน้าเลย ซีวอนเอ้ย”

     

                    “โธ่พ่อ ก็แฟนฮีชอลหน่ะไม่สวย แฟนผมสวยกว่าเห็นๆ แต่เสียอย่างเดียว เรียบร้อย หงิมๆ ไม่เด็ดเท่าแฟนฮีชอล”

     

                    “ซีวอน!” คราวนี้ไม่ใช่เสียงพ่อหรือเสียงแม่ แต่เป็นเสียงคนรักที่ร้องปรามด้วยใบหน้าแดงจัด ก่อนหันไปขอโทษผู้ใหญ่ทั้งสองแล้วเดินหนีออกจากโต๊ะไป ทำให้ชายหนุ่มยอมปิดปากลงแล้วรีบตามไปง้ออย่างเร่งด่วน

     

    * ~ * ~ * ~ * ~ *~ * ~* ~* ~ * ~ * ~ * ~ * ~ * ~ * ~ *

                   

    “โกรธหรอ” ชายหนุ่มถามเสียงแผ่วเมื่ออยู่กันเพียงลำพังในรถ สายตาจับจ้องอยู่ที่ดวงหน้าเล็ก ไม่สนใจจะสตารท์รถสักนิด

     

                    “ก็แล้วมันควรพูดหรือเปล่า ถ้าพ่อนายรู้....” จากที่นิ่งเงียบมานาน เมื่อได้พูด น้ำตาก็ทำท่าจะไหลออกมา ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไร ขอแค่เกี่ยวข้องกับความรักที่ยากลำบากนี้ มันก็ทำให้อ่อนไหวได้เสมอ

     

                    “ฮีชอล....” ถ้าไม่ติดว่ายังอยู่ในเขตบ้านซีวอนคงคว้าคนอ่อนไหวเข้ามากอดปลอดเช็ดน้ำตา แล้วเอ่ยขอโทษชิดริมใบหูนิ่ม แต่เพราะยังอยู่ในรั้วบ้าน ชายหนุ่มจึงทำได้เพียงออกรดด้วยความเร็วจนคนนั่งข้างๆ หันมองดูด้วยความผวา กลัวว่าจะพูดอะไรให้โกรธหรือเปล่า

     

                    “ซีวอน นาย ทำไม”

     

                    “ไม่มีอะไรหรอก ฮีชอล แต่แค่อยู่ในบ้านฉันทำอะไรอย่างที่ใจอยากทำไม่ได้หน่ะสิ” บนใบหน้าคมมีรอยยิ้ม ปลอบใจคนขี้กลัว ขี้กังวล ให้คลายใจ แต่มันก็น่าให้กลัว ให้กังวลอยู่หรอก เพราะแต่ละอย่างที่เคยทำมันไม่น้อยเลย.....

     

                    “จะทำอะไร” ดวงตากลมหันมองแบบสงสัยระคนไม่ไว้วางใจ ยิ่งมองหน้าคมๆนั่นก็ยิ่งอยากถอยห่าง รู้ว่าไม่ได้น่ากลัวเหมือนเมื่อก่อน แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะไว้วางใจได้กับคนอย่าง...ซีวอน

     

                    “เดี๋ยวก็รู้” เสียงทุ้มอารมณ์ดีตอบกลับมา ก่อนที่รถจะเบนเข้าริมถนน

     

                    “เฮ้ย จะทำอะไร” ร่างเล็กยิ่งไม่วางใจหนักขึ้นเมื่อรถจอดสนิท มองใบหน้าคมนิ่งอย่างระวังภัย รู้สึกว่าชายหนุ่มเริ่มน่ากลัวขึ้นมาจริงๆก็ตอนนี้ ตอนที่ลอบจะเปิดประตูแต่กลับปลดล็อคไม่ได้

     

                    “นายโทษฉันไม่ได้นะฮีชอล ต้องโทษตัวเองที่น่ารักขนาดนี้” ใบหน้าคมโน้มลงมาใกล้ ในเนื้อเสียงเปลี่ยนไปเหมือนมีบางอย่างมาเจือปน สองแขนแข็งแรงคว้าร่างเล็กบางเข้ามาไว้ในอ้อมกอด ไม่สนใจคันเกียร์ที่ขวางอยู่

     

                    ซีวอนกอดรัดร่างบางแน่น กระซิบบอกรักที่ใบหูเล็ก พร่ำพูดอยู่อย่างนั้นซ้ำไปซ้ำมา ตอกย้ำให้ร่างเล็กได้รู้

     

                    “ฉันก็รักนายนะ แต่ขับรถต่อได้แล้ว เดี๋ยวฉันไปเรียนสายนะ” สองแขนเรียวออกแรงผลักดันชายหนุ่ม เตือนให้ดูเวลาที่จวนเจียนจะสายแล้ว

     

                    “ขอจูบก่อน แล้วจะตั้งใจขับรถ” ซีวอนต่อรองอย่างเจ้าเล่ห์ สูดดมความหอมจากแก้มแดง และผมนุ่ม

     

                    “แค่เบาๆนะ” ฮีชอลขอคำยืนยัน ไม่อยากให้เป็นจุมพิตที่เลยเถิด ไม่อยากปากเจ่อบวมไปหาใคร แค่เรื่องเมื่อคืนที่ซองมินโทรมาก็ไม่รู้จะมองหน้ายังไงแล้ว และคนอย่างซีวอนถ้าไม่ได้อย่างที่ขอวันนี้ก็คงไม่ได้ไปจากตรงนี้แน่ๆ

     

                    “อือ เบาๆ สัญญาเลย” ซีวอนยิ้มร่า ก่อนประทับรอยจูบลงที่ริมฝีปากอวบอิ่ม ดูดเม้มจนบวมเจ่อก่อนดึงดันและเรียกร้องที่มากขึ้นจนแทรกซอนเข้าไปไล่เกี่ยวหยอกล้อกับลิ้นเล็กในโพรงปากอุ่น

     

                    “อื้ออออ” กำมือเล็กๆทุกลงบนไหล่หนาเมื่อหายใจไม่ทัน และเมื่อเป็นอิสระสายตากลมก็จ้องมองใบหน้าคมอย่างกล่าวหา “ไหนว่าเบาๆไง”

     

                    “ก็เนี้ยเบา แต่ถ้าไม่เชื่อ ลองอีกรอบไหม แล้วจะจัดแบบหนักให้ดู จะได้รู้ว่าเมื่อกี้เบาจริงๆ” สายตาคมทอแววเจ้าเล่ห์ไม่มีปิดบัง มองริมฝีปากที่บวมแดงวาวน้ำใสก็ยิ่งอยากประทับตราไว้อีกครั้ง

     

                    “ไม่ต้องเลย ขับรถไป” เสียงหวานขึ้นจมูกผลักไหล่หนาให้ออกห่าง แล้วเบือนหน้าหนีไปทางอื่น ซ่อนความเขินอายเอาไว้ให้คนขับรถได้เห็น

     

                    “คร้าบบบบ คุณหนูฮีชอล” ซีวอนก็รับคำอย่างเชื่อฟัง ขับรถอย่างตั้งใจ ก็เล่นได้ของหวานไปแต่เช้าแบบนี้ ต่อให้สั่งอะไรก็ยอมตามทั้งนั้น

     

    * ~ * ~ * ~ * ~ *~ * ~* ~* ~ * ~ * ~ * ~ * ~ * ~ * ~ *

     

                    “เป็นอะไรฮีชอลทำไม ทำหน้ามุ่ยแบบนั้น” ซีวอนถามคนรักที่หน้ามุ่ยลงทุกที แล้วยิ่งจอดสนิทหน้าคณะก็ยิ่งไม่แจ่มใส ย่นจมูกกับปากจนเกือบชิดติดกัน

     

                    “ก็เมื่อคืนใครทำอะไรไว้หล่ะ” ดวงตากลมทิ้งค้อนวงโตให้คนรัก ทำใจก่อนจะเปิดประตูรถลงไปเผชิญกับการแซวของเพื่อนสนิทแน่ๆ

     

                    “ทำอะไร” หน้าคมแกล้งทำเป็นสงสัยก่อนนึกออก เหมือนไม่ใช่เรื่องน่าอายอะไร “อ้อ ที่รับโทรศัพท์หน่ะหรอ อะไรกัน ฉันรับให้เพราะนึกว่ามีเรื่องด่วนหรือเปล่า อีกอย่างจะได้ไม่ต้องโทรกลับ ช่วยประหยัดเงินให้ไม่ดีหรอ”

     

                    “ไม่ต้องเลย คิดจะแกล้งกันหน่ะสิ” ร่างเล็กยังนั่งนิ่ง ไม่อยากลงจากรถ

     

                    “เปล่าเล้ย ไม่เคยคิดแกล้งฮีชอลที่รักเลยสักนิด ป่ะลงไปส่งนะ” ร่างสูงลงจากรถแล้วไปเปิดประตูให้คนรักก่อนพากันไปส่งที่โต๊ะประจำ

     

                    ยิ่งเดินเข้าไปใกล้ ได้ยินเสียงซองมินเท่าไหร่ ใบหน้าหวานก็ยิ่งแดงก่ำเท่านั้น จนคนเดินข้างๆเกือบกลั้นหัวเราะไม่อยู่ “หน้าแดงก่ำเลยฮีชอล”

     

                    “ไม่ต้องพูดนะ”

     

                    “ไม่พูดก็ได้”  ชายหนุ่มไม่พด แต่บนใบหน้าก็มีรอยยิ้มขบขัน จนเดินไปถึงโต๊ะที่มีอีกสองคนนั่งอยู่ก่อนแล้ว แล้วยิ่งมองเห็นหน้าที่เริ่มไต่ระดับความแดงของซองมิน ก็ยิ่งกลั้นรอยยิ้มลำบาก

     

                    “หวัดดีซองมิน” ซีวอนทักร่างอวบด้วยรอยยิ้มล้อเลียน เกือบหลุดขำหากไม่มีคนรักขี้อายยืนอยู่ใกล้ๆ

     

                    “หวะ...หวัดดี ซีวอน ฮีชอล” ซองมินเองก็ลำบากที่จะทักทายฮีชอลและซีวอน สุดท้ายจึงไม่กล้าสบตา ได้แต่เบือนมองไปทางอื่น ปล่อยให้จองวูมองหน้าอย่างสงสัยว่าเพื่อนตัวอวบ กับ คนตัวบางเป็นอะไรกันไปหมด

     

                    “แล้วเมื่อวานได้กิน..ไหม”  ซีวอนถามร่างอวบอย่างนึกขำ จงใจเว้นคำให้คิดเกินเลย

     

                    “ไม่...”  ซองมินแทบกัดลิ้นตัวเองที่เผลอตอบออกไป ไม่รู้ว่าซีวอนกำลังจะสื่อถึงอะไรกันแน่ แต่ดันเผลอตอบไปแล้ว ก่อนต้อรีบเปลี่ยนคำพูด “เอ้ย ได้กินข้าวเย็น”

     

                    จองวูมองเพื่อนสนิททั้งฮีชอลและซองมินที่ต่างไม่มีใครกล้ามองหน้าใคร แล้วก็หน้าแดงกันทั้งคู่ในขณะที่ซีวอนก็เอาแต่ยิ้ม เอาแต่หัวเราะ จนเขางงไปหมดแล้ว “นี้พวกนายเป็นอะไรอ่ะ ฉันพลาดอะไรหรือเปล่า”

     

                    “ไม่มี/ไม่ต้องถาม” ทั้งเสียงของฮีชอล และ ซองมินดังขึ้นพร้อมกัน แล้วต่างก็หน้าแดงแป๊ดด้วยกันทั้งคู่ จนคนอยากรู้ อยากเซ้าซี้ถามเหลือเกิน ถ้าไม่มีเสียงหัวเราะก้องของซีวอน

     

                    “ฮ่าๆๆๆๆ จองวูฉันฝากฮีชอลด้วยนะ ซองมินเมื่อคืนไม่ได้กิน ก็ขอให้ได้กินไวๆนะ อ้อ! ขอให้หายเขินไวๆด้วยเหมือนกัน” ซีวอนอารมณ์ดีแจกคำอวยพรให้ซองมิน ก่อนหันมาหาคนรักที่ยังนั่งนิ่งหน้าแดงกล่ำไม่กล้าสบตากับใคร “ฮีชอล เดี๋ยวตอนเย็นมารับนะครับ ที่รัก....”

     

                    จากที่เขินอายอยู่แล้ว ก็ยิ่งเขินไปใหญ่เมื่อชายหนุ่มโน้มลงมาหอมแก้มกันก่อนเดินจากไป ทิ้งให้นั่งกระอักกระอ่วนไม่กล้าสบตากับซองมินอยู่คนเดียว

     

                    จองวูได้แต่มองเพื่อนสองคนอย่างไม่เข้าใจ จะถามใครก็ไม่มีคำตอบ สุดท้ายได้แต่ปลงตก ไว้รอถามคยูฮยอนเอาก็ได้ นั่นก็เป็นอีกคนที่น่ารู้....มั้ง

     

    * ~ * ~ * ~ * ~ *~ * ~* ~* ~ * ~ * ~ * ~ * ~ * ~ * ~ *

     

    “โฮกกกก แป๊ปเดียวก็จะหมดเทอมแล้วอ่า วิชาสุดท้ายฉันยังไม่ได้อ่านเลยยยย ตกขึ้นมาโดนป๊าฆ่าแน่ๆ ทำไงดี” เสียงโหยหวนของซองมินดังขึ้นหน้าห้องสอบ จนอาจารย์ผู้คุมสอบต้องเปิดประตูออกมาไล่ให้ไปห่างๆห้องสอบ จนกระทั่งเดินลงมารอที่ใต้ตึก

     

                    “ฉันก็เห็นบ่นแบบนี้ทุกครั้ง แต่ก็ไม่เคยจะตั้งใจอ่านหนังสือ นี้ถ้าไอ้คยูฮยอนมันไม่บังคับให้อ่าน นายจะยิ่งกว่าอีก ไอ้อ้วนนนนนนนนนน”  จองวูทนฟังคำบ่นเดิมๆ ตั้งแต่ปีหนึ่งเทอม1 จนมาถึงปีสี่ เทอมหนึ่ง แต่ซองมินก็ไม่เห็นเคยจะตั้งใจอ่านหนังสือสักที ดีหน่อยที่ได้คยูฮยอนคอยไล่บี้ให้อ่านหนังสือ

     

                    นึกดูแล้วก็ผ่านไปไว แป็ปเดียวพวกเขาก็กำลังจะจบปี่สี่เทอม1แล้ว ทั้งที่ก็เหมือนพึ่งก้าวเข้ามาในมหาวิทยาลัยเป็นเด็กปีหนึ่งเมื่อเร็วๆนี้ เวลามันผ่านไปไว หรือพวกเขายังไม่อยากจากที่นี้ไปกัน 

     

                    แต่ก็มีบางช่วงที่กว่าจะผ่านพ้นไปได้แต่ละนาทีช่างอ้อยอิ่งและยาวนาน...ช่วงเวลาที่ต้องเก็บความรู้สึกและอดทนมองคนที่เฝ้ารักข้างเดียวต้องเจ็บปวด

     

                    แต่มันก็ผ่านไปหมดแล้ว เหมือนความรักของเขา.......

     

                    Rrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrr  เสียงเรียกเข้าของซองมินดังสนั่น ดึงสายตาของทุกคนที่อยู่หน้าห้องสอบ และพาความคิดที่ลอยไปไกลของจองวูให้กลับมาด้วย...ส่วนเจ้าของมือถือก็ถึงกับสะดุ้งด้วยความตกใจ

     

                    “เฮ้ย ฉันลืมปิดเสียงมือถือหรอเนี่ย ดีไม่ดังในห้องสอบ ว่าแต่ใครโทรมาเนี่ย” เมื่อก้มมองชื่อที่สายหลุดไปแล้วความแปลกใจก็หายไป

     

                    “ใครโทรมาหล่ะ โทรมาอีกแล้ว คยูฮยอนหรอ” จองวูถามเพื่อที่สะดุ้งอีกรอบเมื่อโทรศัพท์ดังอีกครั้ง แล้วก็ยังไม่ยอมจะกดรับสักที

     

                    “จะมีใคร ถ้าไม่ใช่คุณพ่อของฮีชอล”

     

                    “คุณพ่อ หรือ พ่อคุณ รีบรับเหอะ เกิดหงุดโมโหขึ้นมาเดี๋ยวก็วงแตกกันพอดี” จองวูเตือนอย่างหน่ายใจ ไอ้ที่เห็นว่าซีวอนดีขึ้น ก็ดีขึ้นเฉพาะกับฮีชอลเท่านั้นแหล่ะ ส่วนคนอื่น....เหมือนเดิมเป๊ะ!!!

     

                    “ฮัลโหลว่าไงซีวอน”

     

                    /ฮีชอลหล่ะอยู่ไหน ทำไมฉันโทรไปไม่รับสาย อยู่ตรงนั้นหรือเปล่าขอคุยด้วยหน่อย/ น้ำเสียงทุ้มร้อนรนเป็นเรื่องปรกติที่ซองมินได้ยินหากว่าชายหนุ่มโทรเข้ามาหา

     

                    ก็ซีอนจะโทรหากันก็เพราะเรื่องเดียว....โทรหาฮีชอลแล้วไม่รับ

     

                    พอติดต่อไม่ได้ทีไร คุณพ่อ พ่อคุณ ร้อนเป็นไฟทุกครั้ง “เอ่อ....ฮีชอลไม่ได้อยู่กับฉัน ฮีชอลยัง”

     

                    /อยู่ไหน ไปกับใคร ทำไมไม่บอกฉันก่อน/ เสียงทุ้มห้วนจัด พอจะบอกอารมณ์ที่ปะทุขึ้นในทันที จนคนฟังนึกกลัว

     

                    “เฮ้ย ใจเย็นๆสิ  วะ” เสียงสุดท้ายแผ่วเบาจนคนที่ยืนอยู่ด้วยหลุดขำออกมา “ฮีชอลยังไม่ออกจากห้องสอบ นายก็รู้ฮีชอลหน่ะยังไม่หมดเวลาไม่ออกมาง่ายๆหรอก”

     

                    /แต่นี้มันเหลือแค่ 15 นาที/ ก็เพราะรู้ตารางสอบและนิสัยคนรักดี  ถึงกะเวลาโทรมาหาตอน 15 นาที หมดเวลาแบบนี้ แต่ก็ยังพลาดอีกจนได้

     

                    “ก็นั่นแหล่ะ เหลืออีกตั้ง 15 นาที ว่าแต่นายจะมาเลยหรือเปล่า หรือให้ฮีชอลออกจากห้องสอบแล้วโทรหา”

     

                    /ไม่เป็นไร เดี๋ยวฉันไปหาเลยก็ได้ ขอบใจนะ/

     

                    “อ้อ   อือ ไม่เป็นไร”  ทันทีที่อีกฝ่ายวางสายไป ร่างอวบก็ถึงกับถอนหายใจยาววววววววววววว

     

                    “ขนาดนั้นเชียว แล้วหมอนั่นว่าไง” จองวูยืนขำท่าทางของเพื่อนที่ทำเหนื่อยสุดๆ

     

                    “จะว่าไง ก็เกือบบึ้มอ่าดิ เดี๋ยวคงมาแล้วหล่ะ เฮ้อออ ฮีชอลไม่เหนื่อยหรือไงนาอยู่กับซีวอนตลอดเวลา ฉันคุยด้วยแค่แปปเดียวยังลุ้นว่าระเบิดจะลงหรือเปล่าเลย” ซองมินบ่นน้อยๆ ไม่รู้ว่าฮีชอลจะอึดอัดบ้างไหมที่ถูกคุมอยู่ตลอดแบบนี้......มันจะพอดีบ้างได้ไหมเนี่ย

     

                    ไอ้ตอนนู้นก็ร้ายเกิน พอมาตอนนี้ก็นะ...

     

                    วางสายไปไม่ทันไร รถยนต์คันสวยสำดำสนิทก็มาจอดหน้าคณะที่เดิม ที่ประจำพร้อมกับที่เจ้าของรถร่างสูงใหญ่ หน้าตาคมเข้มเดินลงมา ถึงจะใส่ชุดนักศึกษาเหมือนกัน แต่ก็โดดเด่นกว่าใคร

     

                    “ยังไม่ลงมาอีกหรอ” เพราะไม่เห็นคนรักนั่งอยู่ คิ้วจึงขมวดเข้าหากันอย่างสงสัย ก่อนนั่งลงหันหน้าไปยังบันได คิดไว้ว่าฮีชอลเดินลงมาเมื่อไหร่เขาจะมองเห็นได้ทันที

     

                    เพียงไม่นานหลังจากที่ซีวอนลงนั่งก็มีคนเดินตรงมาที่โต๊ะ แต่ไม่ใช่คนที่ชายหนุ่มมานั่งรอ แต่เป็นสองรุ่นน้องเจ้าของคณะที่เขานั่งอยู่

     

                    “น้องโจว น้องบอม สอบเป็นไงมั่ง ทำได้ป่ะ” ซองมินไม่ปล่อยให้สองหนุ่มได้พัก ถามคำถามทันทีที่ทั้งคู่หย่อนก้นลงนั่งอยู่ข้างๆ

     

                    “ก็ดีแหล่ะครับ ออกตรงกับที่อ่าน” คยูฮยอนบอกเรียบๆ แต่สายตาไม่ละไปจากปากอิ่มที่กำลังดูดน้ำจากหลอดใส จนถูกเพื่อนสนิทที่นั่งอยู่ข้างๆตบหัวอย่างรู้ทัน “โอ้ย ตบหัวไมวะไอ้คิบอม”

     

                    “.......”ไม่มีคำตอบจากหนุ่มพูดน้อย มีเพียงแค่รอยยิ้มรู้ทันเท่านั้นเอง ว่าคยูฮยอนหน่ะเก็บกดมาตั้งแต่ช่วงอ่านหนังสือสอบแล้ว รอสอบเสร็จเมื่อไหร่ พี่ซองมินคงถูกคิดดอกเบี้ยอีกเพียบ!

     

                    “ว่าแต่น้องบอมหล่ะ เป็นไงสอบได้หรือเปล่า” ซองมินยังอุตส่าห์เผื่อแผ่ความห่วงใยไปให้เพื่อนของแฟนอย่างทั่วถึง

     

                    “ก็พอได้ครับ แล้วพี่ฮีชอลยังไม่ลงมาหรอครับ”

     

                    เป็นคำถามที่พาให้เงียบกันทั้งโต๊ะแล้วความสนใจก็พุ่งไปที่ซีวอนเพียงจุดเดียว แม้แต่จองวูที่นั่งอ่านหนังสือไปเรื่อยๆยังต้องเงยหน้าขึ้นมาดูความเคลื่อนไหวของซีวอน ที่เอาแต่นั่งนิ่งไม่ยอมตอบอะไร

     

                    “อือออ ยังไม่ลงมาเลย” ซองมินได้แต่นึกชมเด็กหนุ่มอยู่ในใจที่กล้าถามหาฮีชอลต่อหน้า พ่อคุณจอมหวงก็ขนาดเพื่อนร่วมกลุ่มยังไม่กล้าเข้ามาหาเพราะกลัวกิตติศัพท์ความดุกับตาคมกริบที่มันดังไปทั่ว

     

                    “ฮีชอล” เสียงของซีวอนดังขึ้นเป็นครั้งแรก ก่อนที่จะเดินไปรับคนที่เดินลงมาจากบันไดแบบอ่อนเพลีย พร้อมหน้าที่ซีดเผือดและหัวที่ยุ่งเหยิง

     

                    “เป็นอะไร ปวดหัว ไม่สบายตรงไหน บอกฉันนะ” น้ำเสียงทุ้มที่ไม่ปิดบังความห่วงใยดังขึ้นทันทีที่เข้าถึงร่างบาง สองแขนโอบประคองให้น้ำหนักตัวอันน้อยนิดทิ้งลงมา

     

                    “เปล่า ฉันไม่ได้เป็นอะไรแค่โดนข้อสอบดูดพลังเท่านั้นเอง” ฮีชอลบอกเสียงแผ่วและอ่อนล้า ยอมทิ้งน้ำหนังส่วนหนึ่งไว้ที่คนรักแบบไม่มีขัดขืน จนแทบจะยอมให้อีกฝ่ายอุ้มกลางคณะ

     

                    “แน่ใจนะ” ชายหนุ่มถามย้ำด้วยความห่วงใย ช่วยจับผมเส้นเล็กให้เข้าทรงไม่ยุ่งเหยิง สอบไปคงทั้งเสย ทั้งขยี้ผมตัวเองแน่ๆถึงได้มีสภาพขนาดนี้

     

                    “อือออออ” เสียงตอบรับยาวๆ จากคนที่หน้าเริ่มมีสีเลือด พร้อมพลังกายค่อยๆกลับมาทีละนิด จนเดินได้โดยไม่ต้องมีใครประคอง จึงเบี่ยงกายออกมานิดหน่อย

     

                    “ดื้อ!” ชายหนุ่มไม่ได้ที่จะต่อว่าด้วยเสียงห้วนที่ไม่จริงจังนัก แต่ก็ยอมปล่อยร่างบางออกจากอ้อมแขน โดยประคองไวห่างๆ หากเซเมื่อไหร่หล่ะก็ ได้มีอุ้มกลางคณะแน่ๆ

     

                    “แหมมมมม สวีทกันขนาดนี้ไม่อุ้มกันกลับบ้านเลยหล่ะซีวอน” คนแรกที่แซวขึ้นมาเป็นใครไม่ได้นอกจากซองมินที่นั่งมองอยู่นาน อมยิ้มตั้งแต่จนเกือบเขินแทนเพื่อนให้คนรักต้องเหล่ตามอง

     

                    “ก็อยากอยู่ ป่ะฮีชอลกลับบ้าน ไปสวีทกันสองต่อสองดีกว่า” รอยยิ้มกริ่มปรากฏขึ้นบนหน้าคมๆ มือหนาแทบจะฉุดมือเล็กๆให้เดินปลิวไปขึ้นรถในทันที

     

                    “ไปบ้าจี้ตามซองมิน” ร่างกายเบาหวิวถ่วงน้ำหนักทิ้งใส่เก้าอี้ไม่ยอมลุกเดินตามไปด้วยง่ายๆ

     

                    “ใครว่าบ้าจี้ตาม ฉันวางแผนไว้แล้วว่ายังไงคืนนี้นายไม่ได้หลับแน่แน่” คำพูดของซีวอนไม่ได้ทำให้แค่ฮีชอลที่หน้าแดง แต่ซองมินที่เคยมีประสบการได้ยินเสียงสั่งพร่าสุดวาบหวานของเพื่อนก็ขึ้นสีตามเช่นกัน

     

                    “ซีวอน!

     

                    “ฮ่าๆๆๆ หน้าแดงใหญ่แล้ว คิดเรื่องลามกอยู่แน่เลย ที่บอกว่าไม่ได้นอนหน่ะ เพราะฉันจะติววิชาสุดท้ายให้นาย อะไรนายกลายเป็นคนหมกหมุ่นแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่” ซีวอนหัวเราะลั่นเมื่อแกล้งคนรักได้สำเร็จ ก่อนสังเกตว่า พอหน้าหายแดงก็เริ่มซีดลงเรื่อยๆ จนชักเป็นห่วง

     

                    “ฮีชอลกลับบ้านกันดีกว่า ป่ะ นายจะได้นอนพักด้วย” ไม่ใช่แค่หน้าซีดแต่ตอนนี้คนรักของเขาเริ่มรงตัวไม่ได้อีกแล้ว จนต้องทิ้งน้ำหนักลงมาที่ไหล่หนา

     

                    “อืออ” ฮีชอลเองก็รู้ตัวว่ากำลังอึน จึงยอมกลับอย่างง่ายดาย ยอมให้ร่างสูงโอบประคองไปขึ้นรถแบบไม่มีอิดออดอีกด้วย “ไปก่อนนะ พรุ่งนี้เจอกัน”

     

                    “หลับไปเลยก็ได้นะฮีชอล แล้วถ้ารู้สึกไม่ดีต้องรีบบอกฉันทันทีเลยนะ” ซีวอนบอกกับฮีชอลที่เข้าไปในนั่งในรถคันใหญ่แล้ว ชายหนุ่มจัดการปรับเบาะนอนและห่มผ้าให้เสร็จสรรพก่อนเดินอ้อมหน้ารถเพื่อเข้าประจำที่คนขับ

     

                    ซีวอนเหลียวมองคนรักที่จวนเจียนจะหลับ มือหนาลูบผมเล่นให้อีกคนได้เคลิ้มหลับ สายตาคมทอดมองร่างบางด้วยความรักความห่วงหา กลัวว่าสักวันที่ตื่นมาแล้วไม่มีคนนี้ให้เห็น ให้รักแล้วจะอยู่ได้อย่างๆไร

     

                    วันนั้นคงเป็นวันที่เขาต้องตายตามไปด้วยแน่ๆ........ขออย่าให้มันมาถึงในเร็ววันนี้เลย

     

                    “ซีวอน..”

     

                    “เป็นอะไรฮีชอล เจ็บตรงไหน ปวดตรงไหน” เสียงหวานแผ่วๆ ดังขัดทุกภวังค์ของชายหนุ่มตาคมรีบละจากถนนมามองร่างกายบอบบางเตรียมหมุนพวงมาลัยกลับรถไปโรงพยาบาลเต็มที่

     

                    “ฉันรักนายนะ” เสียงหวานกับถ้อยคำที่ไม่คิดจะได้ยินไม่ ทำให้ใจที่เป็นทุกข์สงบลงและพองฟูขึ้นเรื่อย จนแทบหุบยิ้มไม่ลง

     

                    “ฉันก็รักนายนะฮีชอล รักมากด้วย”ซีวอนอดไม่ได้ที่จะตอกย้ำความรู้สึกให้อีกฝ่ายรู้ และบอกรักกลับไปให้คนที่นอนหลับตาพริ้มพร้อมรอยยิ้มหวาน

     

                    “ขอบคุณ” เสียงหวานจากคนที่นอนหลับตา ก่อนจะปล่อยให้ทั้งรถเงียบงันแต่อิ่มและอบอวลไปด้วยความรัก ความห่วงใย และความอบอุ่นที่แทรกซึมเข้าไปอยู่ในหัวใจ

     

    * ~ * ~ * ~ * ~ *~ * ~* ~* ~ * ~ * ~ * ~ * ~ * ~ * ~ *

     

    “ซีวอน ตกลงนายจะติวให้ฉันจริงหรือเปล่าเนี่ย” เสียงหวานอ่อนใจกับชายหนุ่มร่างสูงที่เอาแต่นอนยิ้มอยู่บนเตียง ไม่เห็นจะมีชีสหรือหนังสือสักเล่ม

     

                    “ติวสิ แต่ว่ามันต้องมีข้อแลกเปลี่ยน” รอยยิ้มกริ่มปรากฏขึ้นมา ตาคมจ้องมองร่างบางอย่างอารมณ์ดีก่อนลุกขึ้นไปดึงร่างเพรียวให้ลงมานอนอยู่ในอ้อมกอด

     

                    “จะเอาอะไร” ก็เพราะรู้นิสัยคนรักดีถึงต้องถามอย่างไม่ไว้วางใจแบบนี้ แล้วยิ่งมือสากๆที่ลูบไล้อยู่ตามแขนยิ่งทำให้ร่างบางไม่แน่ใจว่าคืนนี้จะได้ติวจริงหรือเปล่า...

     

    ถ้าไม่เห็นว่าลงเรียนตัวบังคับเลือกที่เลี่ยงมาตลอดตั้งแต่ปีสอง ป่านนี้ก็ไม่ง้อหรอก ให้ช่วยทีไรเข้าตัวทุกที....

     

                    “แหม มาขอให้เขาช่วยก็พูดดีๆหน่อยสิ” ใบหน้าคมยังปรากฏรอยยิ้ม คิ้วเข้มยักให้เป็นการท้าทายและยั่วยวน (ให้โดนทำร้าย) “แบบว่า....พี่ซีวอนครับ อยากได้อะไรเป็นการตอบแทนที่ติวให้ผมครับ...เอาแบบนี้อะ พูดสิ ไม่งั้นไม่ติวนะ”

     

                    “อ้อออ นี้นายช่วยฉันหวังผลหรอ..” คนปากแข็งไม่ยอมพูด แต่ย้อนถามกลับไปแบบมั่นใจว่าตัวเองเป็นต่อแน่ๆ

     

                    “กับนาย ก็ยอมรับหล่ะว่าหวังผล” พูดจบปุ๊บริมฝีปากเรียวที่ครึ้มด้วยไรหนวดบางๆก็ก้มซุกนัวเนียเข้าที่คอขาวจนเกิดเป็นรอยแดง “ก็เล่นน่าหาผลประโยชน์ขนาดนี้”

     

                    “อื้อออ ซีวอน” เสียงหวานสะบัดสูง ขัดใจนิดๆที่ถูก....หาผลประโยชน์...

     

                    “ทำไมหล่ะครับ ก็พูดเพราะก่อนสิ แล้วจะบอกว่าอยากได้อะไร” ชายหนุ่มก็ยังคงยืนยันตามความคิดเดิม ใช้นิ้วเขี่ยจมูกสวยเล่นไปมายั่วให้ร่างบางขัดใจมากขึ้น

     

                    “ซีวอนครับ....บอกมาเหอะว่าอยากได้อะไร” ถึงจะเริ่มทำเสียงอ้อนได้ แต่สุดท้ายเพราะความหมั่นไส้ก็ต้องหลุดออกมาอยู่ดี

     

    “อ้อนหน่อยสิ เอาแบบหวานๆ เมื้อกี้อย่างกับจะขู่กรรโชก” คนถูกขู่ทำหน้าเหมือนตกใจกลัว แต่มือก็ยังไม่หยุดระรานร่างกายบอบบาง

     

                    “งั้นก็ไม่ต้องติวมันแล้ว ฉันอ่านเองได้” ฮีชอลจับมือใหญ่ที่เริ่มซุกซนเกินควรออกห่างจากตัว ดวงตากลมปรายตามองเจ้าของมือใหญ่ก่อนลุกหนีอ้อมแขนที่กอดไว้

     

                    “เฮ้ยยยๆ” เมื่อคนผิวเนียนๆเย็นๆที่กำลังลูบเพลินมือจะหนีไปชายหนุ่มจึงต้องรั้งไว้สุดอ้อมแขน ไม่ยอมปล่อยให้ห่างออกไปได้ “บอกแล้ว ไม่งอนนะ นะฮีชอล”

     

                    “แล้วอะไรหล่ะ” เสียงหวานห้วนแข็ง  ถามกลับไปสั้นๆตากลมยังจ้องเขม็ง หากเป็นเมื่อก่อนคงไม่มีทางทำแบบนี้ได้แน่

     

                    “จูบฉัน”

     

                    “ไม่!” ร่างบางปฏิเสธทันทีโดยไม่ต้องเสียเวลาคิด ดันแขนแกร่งออกจากตัวแต่ก็ไม่สำเร็จ

     

                    “ทีเดียวเองนะ รับรองผล ข้อสอบออกตรงเป๊ะ” ซีวอนยังพยายามต่อรองให้คนรักยอมใจอ่อน นิ้วเรียวลูบไล้ที่ริมฝีปากอิ่มตั้งใจปลุกความรู้สึกที่แสนวาบวาม ก็ตั้งแต่ก่อนสอบคราวนั้นที่ซองมินโทรมา ก็เกือบสองเดือนแล้วที่ได้แค่กอดเอง

     

    ปากไม่ได้ชนปากมาตั้งนาน แล้วไอ้อะไรที่มากกว่าปากชนปากยิ่งไม่ต้องพูดถึง แค่เริ่มก็โดนไล่กลับไปนอนห้องเดิมแล้ว.....

     

                    “แล้วถ้ามันไม่ตรงหล่ะ” ขบกัดริมฝีปากอิ่มของตัวเอง หรี่ตากลมมองนักต่อรองที่อยู่ตรงหน้า

     

                    “เอางี้! ติวก่อน จูบทีหลัง ถ้าตรงนายต้องจูบฉัน แล้วก็ต้องยอมฉันทุกอย่าง แต่ถ้าไม่ตรง ฉันยอมกลับไปนอนที่ห้องหนึ่งอาทิตย์ ตกลงไหม” ตาคมเป็นประกายเจ้าเล่ห์มองคนรักที่กำลังตัดสิใจ

     

                    ฮีชอลมองใบหน้าเจ้าเล่ห์อย่างใช้ความคิด ตั้งแต่เด็กมาแล้วที่ซีวอนจะติวให้ ถึงจะอยู่คนละคณะก็ตาม แล้วส่วนใหญ่ก็แม่นเสียด้วย แล้วครั้งนี้จะเสี่ยงดีไหม แต่ถ้าไม่ให้ติวสงสัยแย่แน่ๆ “ก็ได้ งั้นก็ต้องติวฉันก่อน”

     

                    “ได้เลยครับที่รัก” หน้าคมสันยิ้มกริ่มที่มุมปากอย่างมาดหมาย ดวงตาแวววาวเป็นประกายไม่ต่างจากหมาป่าจับจ้องเหยื่อ “พรุ่งนี้เตรียมตัวอดนอนไว้ได้เลย รับรองนายเหนื่อยถึงเช้าแน่ฮีชอล..”

     

                    “ระวังอาจารย์เขาเปลี่ยนแนวข้อสอบ แล้วที่ตั้งใจไว้มันจะแป๊กเก็บของกลับห้องไม่ทันนะครับ ชเว ซีวอน” ฮีชอลหมั่นไส้ในความมั่นใจของคนรักเดินไปหยิบชีทเกือบ 10 ชุดยื่นส่งให้คนรัก

     

                    “อย่าว่าแต่เปลี่ยนแนวข้อสอบเลย ถามใหม่ดีกว่าว่าวิชานี้ไม่ได้เปลี่ยนข้อสอบมากี่ปีแล้ว เผลอๆเปลี่ยนแต่หัวข้อสอบเท่านั้นแหล่ะ” คิ้วเข็มยกขึ้นคล้ายๆจะกวนคนรัก ก่อนวางชีทที่ได้รับลงบนเตียงแล้วไปรื้อชีทชุดเก่าของตัวเองที่จดแนวข้อสอบไว้แน่น

     

                    “มั่นใจนักนะ” ฮีชอลเริ่มเห็นเค้าของความหื่นที่แฝงในดวงตาคมได้ชัดเจนมากขึ้นเรื่อยๆ จนเริ่มรู้สึกว่าตัวเองพลาดที่ตกปากรับคำท้านี้ไป

     

                    “แน่นอน เพื่อฮีชอลสุดที่รัก ฉันต้องมั่นใจสิ เสร็จแน่ฮีชอลเอ้ย” ซีวอนแกล้งแหย่ด้วยการเลียริมฝีปากตัวเองแบบหื่นกระหายจนถูกมือบางตีลงมาที่ตนแขนถึงกับหัวเราะชอบใจ แล้วการติวที่เต็มไปด้วยเสียงหัวเราะ รอยยิ้ม และการลวนลามก็เกิดขึ้น        

     

    * ~ * ~ * ~ * ~ *~ * ~* ~* ~ * ~ * ~ * ~ * ~ * ~ * ~ *

     

    ซีวอนนั่งอมยิ้มเมื่อเห็นร่างบางเดินร่าเริงลงมาจากห้องสอบพร้อมเพื่อนตัวอวบไร้เงาจองวู ก่อนใบหน้าหวานที่ชอบมองจะแปรเปลี่ยนเป็นสีแดงจัดเมื่อหันมาสบตา จนพาลให้นึกสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้น

     

                    “มาส่งแล้วยังรอรับกลับแบบนี้ ตั้งใจจะเอาตำแหน่งผู้ปกครองดีเด่นหรือไงซีวอน” ซองมินเดินทักมาก่อนที่จะลงนั่งกับเก้าอี้เสียอีก ส่วนคนที่หน้าแดงก็เอาแต่ก้มหน้าไม่พูดไม่จา

     

                    “ฮ่าๆๆๆ ไม่ขนาดนั้นหรอกหน่า” ชายหนุ่มได้แต่ยิ้มรับก่อนก้มมองคนรักที่ยังไม่ยอมพูดจา จนต้องร้องถาม “ว่าไงฮีชอล ข้อสอบอ่ะ ตรงไหม”

     

                    ตากลมๆเงยขึ้นมองคนถามที่อมยิ้ม ตาเป็นประกายวาววับอย่างไม่น่าไว้ใจ แล้วยิ่งอมยิ้มแบบนี้ด้วยแล้ว สิ่งที่ควรทำก็คือ ส่ายหน้าไปมาอย่างหนักแน่น

     

    “ส่ายหน้าทำไมอ่ะออกจะตรงนายยังบอกเลยฮีชอล แถมเรียงข้อเลยด้วยนะซีวอน สุดยอดอ่ะ” ซองมินมองเพื่อนอย่างแปลกใจ ก่อนหันไปบอกคนที่อุตส่าห์มานั่งติวให้อีกรอบที่ม.ตอนเช้าไม่ได้รู้เรื่องคำสัญญาอะไรกับใครเลย “ขอบใจนะ”

     

                    “อื้ออ ไม่เป็นไรหรอก..”  ชายหนุ่มกลั้นขำคนรักหน้าหวานที่ค้อนส่งให้เพื่อนรัก แล้วก็เอาแต่ก้มหน้างุดปากอิ่มขมุบขมิบอะไรก็ไม่รู้เบาๆ “ฮีชอลครับกลับบ้านกันดีไหม หืมม์”

     

                    ฮีชอลเงยหน้าสบตาคู่คม รู้ทันทีว่าคำชวนกลับบ้านมีความหมายแอบแฝงมากกว่านี้อยู่แน่ๆ ยิ่งรอยยิ้มมุมปากแบบนี้ อันตรายสุดๆ “กินข้าวที่ม.ก่อนไม่ได้หรอ ฉันหิวอ่า..”

     

                    “หิวแล้วหรอ..” เสียงทุ้มใจดีผิดปรกติ ก่อนเปิดรอยยิ้มกว้างที่ดูยังไงก็ไม่น่าไว้ใจเลยสักนิด “กลับไปกินที่บ้านนะ ฉันจะปรุงอาหารสุดพิเศษไว้ให้ รับรองอร่อยไม่เหมือนใครแน่ๆ”

     

                    “แต่ว่า...” ปากอิ่มเชิดรั้นขึ้น ตากลมพยายามอ้อนชายหนุ่มสุดชีวิตหวังหาทางเอาตัวรอด แต่เท่าที่ดูแล้ว .....สงสัยจะไม่รอด

     

                    “ฮีชอล” จากเสียงทุ้มใจดีแปรเปลี่ยนเป็นเสียงเข้มลากยาวที่ชวนให้เสียวสันหลังวาบแบบแปลกๆ

     

                    “อือออ” ร่างบางเพียงแค่ตอบรับในลำก่อนลาเพื่อนสนิท แล้วเดินตรงไปที่รถไม่รออีกคนที่เร่งให้กลับบ้านเลยสักนิด

     

                    “นี้โกรธหรอ..” เสียงที่บอกชัดเจนว่ากำลังอารมณ์ดีถามคนหน้าบึ้งที่นั่งหน้าเดียวมาตลอดทางไม่ยอมพูดยอมจาอะไรทั้งนั้น

     

                    “........” เงียบ! ไม่มีเสียงตอบรับ หน้าสวยหวานเอาแต่มองวิวข้างทางไม่สนใจคนขับเลยสักนิด

     

                    “โกรธจริงๆด้วยแฮะ สงสัยต้องแวะลงข้างทางสักหน่อยแล้ว” ชายหนุ่มยังคงอารมณ์ดีที่ได้แกล้งคนรัก สายตาละจากถนนเบื้องหน้ามามองปฏิกิริยาที่ดูสะดุ้งน้อยๆด้วยความเอ็นดู

     

                    “เฮ้ยย ไม่เอานะ กลับบ้านเหอะ ไม่ได้โกรธหรอก”

     

                    “แน่ใจนะ” หน้าคมสันที่มีแว่นตาดำปิดบังดวงตาพราวระยับถามซ้ำอีกรอบ

     

                    “อืออ” แล้วเสียงพูดคุยก็กลับมาในรถอีกครั้งเมื่อคนโกรธถูกทำให้ต้องจำยอมหายโกรธก่อนที่จะเสียเปรียบไปมากกว่านี้ แค่ที่มีข้อตกลงกันไว้ก็ทำเอาเครียดแล้ว....

     

    * ~ * ~ * ~ * ~ *~ * ~* ~* ~ * ~ * ~ * ~ * ~ * ~ * ~ *

     

    ร่างบางสาวเท้าเดินเข้าห้องตั้งใจจะปิดประตูล็อคห้องอย่างแน่นหนา แต่ก็เหมือนว่าจะช้ากว่าบางคน ร่างสูงใหญ่ผลักประตูที่มีแรงน้อยนิดดันอยู่ก่อนแทรกกายเข้ามาอย่างรวดเร็วพร้อมรอยยิ้มร้ายกาจ

     

                    “จะไม่รักษาสัญญาเลยหรือไงฮีชอล” เสียงทุ้มถามกระซิบแผ่วข้างใบหูเล็ก โอบกอดเอวบางเข้าแนบชิด ลูบไล้แผ่นหลังผ่านเนื้อผ้าบาง

     

                    “ก็..ปละ...เปล่า อื้อ ปล่อยก่อนสิซีวอน” เพราะเบี่ยงหลังหนีมือสากที่ลูบไล้ปลุกอารมณ์จนเกือบจะกลายเป็นฝังอกเข้าหาอกใหญ่ รู้สึกหน้าไม่ร้อนผ่าวไม่กล้าสบตาคู่คมที่ทอดมองมาด้วยความคุกรุ่นทางอารมณ์ ก่อนเอ่ยเว้าวอนอย่างร้องขอ “ยังพึ่งบ่ายเองนะ คืนนี้ก่อนไม่ได้หรอ

     

                    “คืนนี้หรอ.....” ชายหนุ่มทำท่าคิดหนัก มองตาแป๋วๆคู่สวยแล้วก็ต้องใจอ่อน “ก็ได้ แต่ต้องมีมัดจำ”

     

                    “ยังไง”

     

                    ชายหนุ่มไม่ตอบแต่เอานิ้วแตะที่ริมฝีปากบางเฉียบของตัวเอง เป็นสัญญาณว่าต้องเอาปากชนปากเท่านั้นจึงจะพอใจ ยืดเวลาเป็นตอนกลางคืนให้

     

                    ดวงหน้าสวยแดงจัด ช้อนตามองใบหน้าคมแล้วก้มหลก่อนยืดตัวนิดๆเข้าหาริมฝีปากที่อยู่สูงขึ้นไป ตั้งใจเพียงแค่แตะกัน แต่อีกฝ่ายกลับไม่ยอมเพียงแค่นั้น เมื่อมือหนาที่ยังลูบไล้สอดมือเข้าใต้เสื้อแนบชิดผิวเนียน รั้งให้แนบชิดจนแทบกลายเป็นหลอมละลายกลายเป็นหนึ่งเดียว

     

    ลิ้นอุ่นร้อนไล้ละก่อนแทรกซอนเข้าไปในโพรงปาก แลกเปลี่ยนความหวานล้ำ เมื่อลิ้นเล็กหนี ลิ้นร้อนจัดก็ไล่ตามพันเกี่ยวกอดรัดอย่างไม่มีทางปล่อย สองแขนเรียวที่แรกต่อต้านค่อยๆยกขึ้นโอบรอบคอหนา อย่างยินยอม เคลิ้มอยู่ในห้วงภวังค์แสนหวาน

     

                    “ซีวอน ฮีชอล” เสียงทุ้มจัดดังขึ้นเหมือนเป็นแรงกระชากให้สองร่างที่แนบชิดผละกายออกจากกัน แต่ก็แค่เพียงหายใจรดเมื่อมือยังคงโอบเอวบางไม่ยอมปล่อย

     

    “พ่อ!” ซีวอนมองสีหน้าผู้มาใหม่อย่างตกตะลึง แต่สัมผัสจากผิวเนียนเรียบทำให้หวาดกลัวยิ่งกว่าเมื่อมันเย็นจัดขึ้นอย่างรวดเร็ว

     

                    “พวกแก...พวกแก ทำอะไรกัน” ดวงตากร้าวแข็งจับจ้องลูกหลานอย่างโกรธเกรี้ยว ใบหน้าคมสันตามวัยขึ้นเส้นเลือดบ่งบอกอารมณ์ที่พุ่งขึ้นสูง

     

                    ใบหน้าหวานขาวซีด ในดวงตามีน้ำไหลเอ่อออกมา ไม่คิดว่าวันที่หวาดกลัวจะมาถึงไวขนาดนี้ ความหนาวเข้าจับขั้วหัวใจแม้แต่ความอบอุ่นที่ซีวอนมอบให้ก็ไม่อาจขับไล่ความหนาวนี้ไปได้ เพราะรู้สึกผิดจึงตั้งใจเดินเข้าไปไกลเพื่อคุกเข่าขอโทษ ไม่สนใจแรงรั้งจากคนรัก “คุณลุงครับ ผมขอ~

     

                    เพลี้ยะ!

     

                    ไม่ทันที่ร่างบางจะพูดจบ มือใหญ่หนาก็ฟาดลงมาบนเสี้ยวหน้าอย่างแรงจนร่างบางเสียหลักล้มลงที่พื้นไม่ทันที่ซีวอนจะคว้ารับไว้ได้ ความรู้สึกชาหนึบค่อยๆกินเสี้ยวหน้าจนลามไปเกือบทั้งตัว แม้แต่หายใจยังยากลำบาก

     

                    “ฮีชอล!” ชายหนุ่มถลาตัวเข้าหาคนรักไม่คาดคิดว่าพ่อจะทำแบบนี้ได้  มือหนาปาดเลือดที่ซึมจากมุมปาก ดวงตากร้าวจ้องมองผู้เป็นพ่ออย่างไม่มีหลบตา ค้นหาความจริงจากดวงตาคู่ที่ดุร้ายและโกรธเกรี้ยว ไม่หลงเหลือความปราณีแม้สักน้อยนิด

     

                    จากความดุร้ายโกรธเกรี้ยวและแห้งแล้งความเมตตา ค่อยๆแปรเปลี่ยนเป็นความตื่นตระหนกจนชายหนุ่มผู้สบตาสู้ต้องแปลกใจ ก่อนก้มหน้ามองคนรักในอ้อมกอด แล้วความกลัวที่มากกว่าที่มีอยู่ ความหวาดผวาก็เข้าครอบงำในจิตใจ

     

                    เลือดสีเข้มไหลจากจมูกทั้งสองข้างเป็นธารน้ำสีแดงฉาน ใบหน้าหวานบูดเบี้ยวเกร็งแน่น ดวงตากลมโตเบิกกว้าง สองมือหงิกงอบิดรัดเข้าหากัน ร่างกายเย็นจัดและเกร็งตัว.......มันเหมือนวันนั้นไม่มีผิด

     

                    วันที่ซีวอนทำร้ายร่างบางจนถึงขีดสุดของร่างกายและจิตใจ ความกลัวที่มากกว่าครั้งไหน เหมือนดวงใจกำลังจะแตกสลายลงตรงหน้า สติที่มีอยู่ตลอดโบยบินจากไป

     

                    “ฮีชอลไม่นะ ไม่นะ ฮีชอลลลลลลลลลลลลลลล”

    * ~ * ~ * ~ * ~ *~ * ~* ~* ~ * ~ * ~ * ~ * ~ * ~ * ~ *

     

    Talk

              บันไซ ครบร้อยเปอร์เซ็นต์แล้วคร้า..... (อย่าพึ่งเอาระเบิด หรืออะไรว่าโยนใส่นะคะ) งืดดดดด ไอซ์สปอยล่วงหน้าให้เลยคะว่า ดราม่าแบบสุดๆกำลังมา แต่....ไอซ์กำลังกลัวอยู่คะว่าตัวเองจะมีฝีมือไม่ “ถึง” กับพล็อตที่ตั้งใจไว้ หวั่นๆถ้าตอนนี้และต่อนี้มันจะป่วง ไอซ์ต้องขอโทษล่วงหน้านะคะ ส่วนตอนนี้ก็ค้างกันนิดก่อนนะคะ แล้วถ้าใครกลัวว่าตอนจบคุณฮีจะไม่รอด ก็ขอให้ไปอ่านตอนพิเศษและตอน Intro เพื่อความสบายใจนะคะ                               

                   

                    ขอบคุณทุกคอมเม้มท์คะ

     

    ปล. สุขสันต์วันสงกรานต์ ขอให้มีความสุข ร่ำรวยเงินทอง สุขภาพแข็งแรงกันทั่วหน้านะคะ ใครเดินทางไกลขอให้ปลอดภัยนะคะ

    ปลล. สปอยอีกนิด ตอนหน้าชื่อว่า.....ปิดเทอมเล็กๆที่สายลมพัดผ่านมาแล้วพัดเลยไป


                   

     

    Jellyfish






    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×