ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Starfallen Origin Series : กำเนิดเมเธอร์

    ลำดับตอนที่ #3 : Chapter 2

    • อัปเดตล่าสุด 4 ก.ค. 64


    ผ่านไปหลายวัน จนกระทั่งดาบถูกตีเสร็จโดยลูเซียส และถูกเสริมพลังโดยเกลดอส ดาบเล่มนี้ถูกตีด้วยหินพลังธาตุที่ชื่ออดาแมนไทน์หรือแร่ที่มีลักษณะคล้ายกับเพชร มีความแข็งแแกร่งและทนความร้อนได้สูง มีสมบัติเหมือนกับเหล็กกล้าแต่แข็งแกร่งกว่า อดาแมนไทน์ถือเป็นหนึ่งในหินพลังธาตุที่หายากและแข็งแกร่งที่สุด เหมาะกับการใช้ในการทำอุปกรณ์หรืออาวุธต่าง ๆ ที่ต้องการความทนทานสูง ถึงแม้ว่าจะมีลักษณะคล้ายกับเพชรแต่เมื่อโดยความร้อนที่สูงมาก ๆ และถูกแต่ให้เป็นแผ่น สีและลักษณะของอดาแมนไทน์จะถูกเปลี่ยนให้เป็นสีดำ และอดาแมนไทน์ที่พบบนดาวเมลตันจะมีพลังซุกซ่อนอยู่ในอดาแมนไทน์แต่ละก้อน ยิ่งเสริมพลังเข้าไปก็ยิ่งทำให้พลังนั้นรุนแรงและแข็งแกร่งขึ้น

    เกลดอสจึงเสริมพลังให้กับดาบเล่มนั้นเข้าไปด้วยการยึดอัญมณีสีแดงเลือดไว้กับด้ามจับของดาบ และร่ายคาถาบางส่วนลงไปด้วย หลังจากนั้นจึงเป็นช่วงเวลาของการทดสอบดาบ เกลดอสจึงทำหุ่นฟางขึ้นมา 4 ตัวโดยตัวแรกจะทดสอบความแข็งแรงและความทนทาน ตัวที่สองจะใช้ทดสอบพลังของคาถาที่ร่ายไป ตัวที่สามจะใช้ทดสอบพลังของอัญมณี และตัวที่สี่จะใช้ทดสอบทุกอย่างพร้อม ๆ กัน โดยให้ลูเซียสจะเป็นคนทดสอบดาบในครั้งนี้

    “งั้นพ่อจะเริ่มเลยนะ” ลูเซียสจับดาบไว้สองมือและเล็งเป้าไปที่หุ่นฟางตัวแรก “ฮึบ” ลูเซียสฟาดดาบลงบนตัวของหุ่นฟางเป็นแนวเฉียงซ้ายทำให้ฟางที่ถูกมัดรวมกันกระเด็นแตกออกมาและไม้ที่เป็นเสาเพื่อตั้งหุ่นฟางก็ถูกฟันจนขาดออกเป็นสองท่อน และหุ่นฟางนั้นก็พังและกองลงบนพื้น

    “เยี่ยมเลยครับพ่อ งั้นไปที่หุ่นต่อไปกันเลยครับ” เกลดอสพูด ลูเซียสจึงหันมายิ้มให้

    “หุ่นตัวที่สอง พลังเวทสินะ” ลูเซียสเดินเข้าไปยืนต่อหน้าหุ่นตัวที่สองก่อนจะทำการควบคุมเวทของดาบนั้นและฟันลงไปที่หุ่นฟางในแนวเฉียงขึ้น ทำให้หุ่นฟางตัวนั้นขาดเป็นสองท่อนและกระเด็นขึ้นไปตกบนหลังคาบ้าน ในจุดเดียวกันกับที่เกลดอสทำให้ค้อนปลิวขึ้นไปบนหลังคา จากนั้นไฟก็ลุกบนครึ่งล่างของหุ่นฟางที่ขาด “พ่อใช้คาถาไฟน่ะ แล้วนี่ใช้เวทได้กี่ชนิดล่ะ”

    “ประมาณสองร้อยฮะ” เกลดอสตอบ

    “เยอะกว่าเมื่อก่อนนะ ไปเรียนมาจากไหน”

    “ก็พ่อซื้อหนังสือมาให้เต็มเลยนี่นา ลืมไปแล้วหรอ”

    “พ่อลืมไปแล้วล่ะ ฮ่า ๆ” ลูเซียสหัวเราะ “งั้นมาทดสอบพลังของอัญมณีดีกว่านะ เห็นว่าตั้งแต่เปื้อนเลือดของลูกมันก็เปลี่ยนเป็นสีแดงเลือดไปเลยนะ อาจจะมีพลังมากกว่าเดิมก็ได้นะ” ลูเซียสพูดจบก็จับดาบเข้าไปฟันหุ่นฟางตัวที่สามทันที แต่หุ่นฟางกลับขาดเครื่องเหมือนกับตามที่ผ่านมา แต่คราวนี้ไม่มีผลใด ๆ เกิดขึ้น

    “พ่อใช้ไม่เป็นหรอ” เกลดอสถามก่อนจะเดินไปหาพ่อของเขา “งั้นผมขอลองหน่อยสิ มันเป็นเลือดของผมนะ อาจจะควบคุมพลังได้ง่ายและดีขึ้นก็ได้”

    “ถ้าคิดว่าอย่างนั้นก็ได้นะ” ลูเซียสปักดาบลงบนพื้น แล้วเกลดอสจึงดึงดาบนั้นขึ้นมา อัญมณีที่ถูกยึดไว้ตามดาบก็เริ่มส่องแสงออกมา เกลดอสรู้สึกได้ถึงพลังที่ไหลเวียนอยู่ในดาบเล่มนี้ เขาจึงตั้งสติและควบคุมพลังนั้นก่อนจะฟาดฟันไปที่หุ่นฟางตัวที่สี่ แต่แล้วพลังจากดาบก็ถูกปลดปล่อยออกมา หุ่นฟางทุกตัวที่ถูกฟันไปก็เกิดไฟลุกขึ้นมา และแม้ว่าเกลดอสจะแกว่งดาบไม่ได้แรงมากนัก แต่ด้วยพลังในดาบนั้นทำให้เกิดเป็นลมหมุนจนทำให้หุ่นฟางที่ติดไฟอยู่ถูกลมพัดและปลิวกระจัดกระจายไปทั่วบริเวณนั้น ดาบก็หลุดจากมือของเกลดอสแล้วตกลงบนพื้นจนพื้นนั้นราวเป็นรอยขนาดใหญ่

    “อะไรกันเนี่ย” ลูเซียสรู้สึกตกใจและมองไปรอบ ๆ ด้วยความตกใจ ที่มีทั้งลมและฟางที่ไหม้ไฟกระจัดกระจายไปทั่วจนเกือบจะทำให้ไฟไหม้บ้าน “พลังนี้สุดยอดไปเลยนะ”

    “พ่อครับ ดาบมันปักอยู่บนดิน แล้วดูสิครับ” เกลดอสชี้ไปที่ดาบเล่มนั้น ซึ่งปักจมลงไปในพื้นดินและยังทำให้พื้นดินแตกเป็นรอยร้าวขนาดใหญ่อีกด้วย และไม่นานนักคนอื่น ๆ ในหมู่บ้านก็วิ่งมารวมกันที่บ้านของลูเซียสอย่างตื่นตระหนก

    “ลูเซียส นายทำอะไรน่ะ”

    “จานชามแตกไปหมดเลยเนี่ย”

    “คราวหน้าถ้าจะทำอะไรแบบนั้นอีกก็ไปนอกป่าสิ มีพื้นที่กว้างตั้งเยอะแยะ”

    “…”

    ชาวบ้านหลายคนต่างต่อว่าลูเซียสเพราะทดสอบพลังของดาบจนทำให้บ้านหลังอื่น ๆ ในหมู่บ้านนี้ได้รับผลกระทบไปด้วย บางคนก็บอกว่าอยู่ ๆ ก็มีลมพัดมาแรงมากจนดอกไม้ที่ปลูกไว้ล้มและหลุดออกจากดิน บางคนก็บอกว่าบ้านสั่นอย่างกับแผ่นดินไหวจนข้าวของแตกไปหมด

    “เอ๊ะ มันรุนแรงขนาดนั้นเลยหรอครับ ตอนที่เกลดอสลองฟันดาบผมก็เห็นแค่ว่าหุ่นฟางติดไฟกับแค่ลมพัดมาแรง ๆ เองนะครับ” ลูเซียสโต้แย้ง

    “แล้วนั่นล่ะ ดาบที่แทงอยู่บนพื้นนั่นล่ะ” ชาวบ้านคนหนึ่งชี้ไปยังดาบที่ปักอยู่บนพื้น ซึ่งเกลดอสพยายามดึงมันออกมาแต่ก็ไม่ได้ผล

    “ขอโทษด้วยครับ ผมไม่รู้ว่าพลังมันจะรุนแรงขนาดนี้ อ๊ะ--” เกลดอสพูดจนกระทั่งดึงดาบออกมาจากพื้นดินได้ ทำให้เขาหงายหลังล้มลงไปบนพื้น ลูเซียสจึงต้องไปช่วยพยุงเกลดอสให้ลุกขึ้น

    “เอาเป็นว่าตอนนี้ผมไม่ได้จะได้ทดสอบดาบแล้วล่ะครับ และคราวนี้จะไปที่อื่นเองครับ ขอโทษด้วย” ลูเซียสกล่าวขอโทษ ทำให้ชาวบ้านคนอื่นใจเย็นลงและเดินกลับไปยังบ้านของแต่ละคน “เกลดอส พอคิดว่าแค่นี้น่าจะพอแล้วล่ะ ระหว่างทางก็คิดวิเคราะห์ไปพลาง ๆ นะว่าดาบนี้ทำอะไรได้บ้าง จะได้อธิบายให้กับองค์จักรพรรดิได้ง่าย ๆ”

    หลังจากนั้นลูเซียสจึงหยิบดาบที่เกลดอสเพิ่งจะดึงออกมาและเดินเข้าไปในบ้านเพื่อหยิบปลอกดาบที่เขาทำไว้ และตั้งใจทำเพื่อให้เหมาะแก่องค์จักรพรรดิ ลูเซียสจึงหยิบดาบใส่ไปในปลอกดาบแล้ววางไว้บนโต๊ะใกล้กับประตูทางออกหน้าบ้าน เกลดอสจึงมายืนรออยู่จุดนั้น ลูเซียสจึงเอ่ยถาม

    “ไม่ไปเปลี่ยนชุดที่ดีกว่านี้หรอ”

    “เปื้อนดินนิดหน่อย คงไม่เป็นอะไรหรอกครับ”

    “แต่ลูกอาจจะต้องเข้าไปในวังด้วยนะ ที่นั่นทั้งใหญ่โตและหรูหรา มีแต่คนชั้นสูงที่เข้าไป” ลูเซียสพูดถึงวังหลวงขององค์จักรพรรดิ ทั้งใหญ่โตและหรูหรา ประดับประดาไปด้วยเพชรและทอง มีคนชั้นสูงมากมายที่มักจะเข้าไป

    “ไม่เป็นไรหรอกครับ เดี๋ยวผมฝากองครักษ์ให้เอาเข้าไปส่งก็ได้นี่นา แล้วของมีแค่ดาบใช่ไหมครับผมจะได้ไปเลย”

    “เดี๋ยวก่อน นี่เอาเงินไปด้วยสิ ในเมืองน่ะมีของมากมายเลยนะ แล้วก็ไม่ต้องห่วงพ่อหรอกนะ เดี๋ยวจะเก็บกวาดบ้านให้เอง แล้วก็อย่าไปขึ้นรถม้าของใครเขาล่ะ” ลูเซียสยื่นถุงเงินให้กับเกลดอส เขาจึงโค้งคำนับอย่างนอบน้อมก่อนจะหยิบถุงเงินและดาบ แล้วจึงเปิดประตูออกไปจากบ้านพร้อมกับดาบและถุงเงินที่เก็บไว้ในกระเป๋าข้าง เขาหันกลับไปมองพ่อของเขาก่อนจะโบกมือลาและยิ้มให้

    เกลดอสเดินไปตามทางที่ถูกปูด้วยแผ่นหินที่ทอดยาวไปนอกหมู่บ้าน ซึ่งเป็นทางตรงไปยังเหมือนหลวง และเกลดอสจะต้องเดินไปส่งดาบเองโดยที่ห้ามนั่งรถม้า ห้ามควบม้าไปเอง หรือถ้าให้ใครไปส่ง แต่จะต้องให้เดินไปส่งเองจนถึงที่หมาย ซึ่งระยะทางก็ไกลพอสมควร อาจจะต้องใช้เวลานานกว่าจะไปถึง แต่นั่นก็เป็นประสงค์ขององค์จักรพรรดิเขาจึงขัดขืนไม่ได้ ในขณะที่เกลดอสเดินไปตามทาง ทางก็เริ่มมืดลงเพราะเริ่มมีต้นไม้หนาขึ้น ๆ แต่แล้วก็มีแสงไฟส่องสว่างขึ้นที่ทางข้างหน้า

    “สวัสดี” ใครบางคนกล่าวทักทายเกลดอส และเสียงนั้นมาจากแสงไฟที่เขาเห็น

    “นั่นใครครับ” เกลดอสเริ่มเป็นกังวล

    “ข้าไม่ทำอะไรใครหรอก ไม่ต้องกลัว” เสียงไฟเริ่มใกล้เข้ามา เกลดอสเริ่มเห็นเป็นร่างคน และในที่สุดร่างคนนั้นก็เข้ามาใกล้เกลดอส ปรากฏเป็นผู้ชายคนหนึ่งที่สูงกว่าเกลดอสเล็กน้อยและดูมีอายุ เขาสร้างลูกบอลไฟขึ้นที่มือเพื่อที่จะเป็นแสงสว่างเพื่อนำทาง ชายคนนั้นจึงถามกับเกลดอส “กำลังจะไปไหนน่ะ ทำไมไม่นั่งรถม้าไป”

    “ผ…ผมมีภารกิจที่ต้องไปส่งดาบให้แก่องค์จักรพรรดิครับ!” เกลดอสรู้สึกว่าชายคนนี้น่าไว้ใจ จึงบอกเป้าหมายของเขาไป

    “อย่างนั้นเองหรอ ถ้าอย่างนั้นก็เดินไปด้วยกันก็ได้นะ จะได้หาอะไรคุยไประหว่างทาง” ผู้ชายคนนั้นพูดจบก็เดินนำหน้าไปทันที เกลดอสไม่พูดอะไรและเดินตามไป ผู้ชายคนนั้นจึงเอ่ยถาม “เจ้าเคยเห็นองค์จักรพรรดิมาก่อนหรือไม่ แล้วรู้นามขององค์จักรพรรดิหรือเปล่า”

    “ผม…ไม่เคยพบหรือเห็นองค์จักรพรรดิมาก่อนเลยครับ และไม่รู้ว่าต้องทำตัวยังไง ส่วนนามของพระองค์นั้น ผมก็ไม่ทราบครับ เพราะทุกคนเรียกว่าองค์จักรพรรดิอย่างเดียวและไม่มีใครเคยเอ่ยนามเลย” เกลดอสตอบชายคนนั้น “แล้วคุณชื่ออะไรหรอครับ”

    “ข้าชื่อ อากัส เดออุส แต่ชื่อข้ายาวกว่านี้ เรียกสั้น ๆ ว่าอากัสดีกว่านะ” ชายคนนั้นตอบก่อนที่ทั้งคู่จะเดินพ้นจากทางเดินที่มีต้นไม้หนา ทำให้เขามองเห็นทางได้ง่ายขึ้น และบรรยากาศโดยรอบก็เริ่มเปลี่ยนไป ต้นไม้เริ่มน้อยลงทำให้พอมีร่มเงาเพียงเล็กน้อย และพื้นที่ด้านข้างก็เป็นทุ่งหญ้ากว้างที่มีดอกไม้สวยงามขึ้นอยู่เต็มไปหมด

    “ส่วนผมชื่อ เดลเซียส เกลดอส เฟอราริอุส” เกลดอสตอบและยิ้มให้ “แล้วคุณกำลังจะไปที่ไหนหรือครับ”

    “ก็จะเข้าไปเมืองหลวงเหมือนกับเจ้านั่นแหละ”

    “เอ๊ะ ผมเพิ่งสังเกตว่าคุณใส่ชุดได้ดูดีมากเลย พ่อผมบอกว่าคนส่วนใหญ่ที่จะเข้าไปในวังหลวงมักจะเป็นคนชนชั้นสูง ผมเลยคิดว่าผมคงเข้าไปไม่ได้ก็เลยว่าจะฝากดาบเล่มนี้ให้องครักษ์นำไปส่งให้แก่องค์จักรพรรดิ” เกลดอสพูดพลางมองไปที่เสื้อผ้าของอากัส

    “ไม่ใช่อย่างนั้นหรอก ทุกคนมีสิทธิ์ที่จะเข้าไปในวังหลวง และผู้คนมักจะใส่ชุดดี ๆ เข้าไปในนั้น ฮ่า ๆ แต่ไม่ใช่ทุกคนหรอกที่แต่ตัวดี ๆ เข้าไปพบกับองค์จักรพรรดิน่ะ”

    “คุณเคยเข้าไปในวังหลวงหรอ คุณเคยเจอองค์จักรพรรดิไหมครับ ผมอยากจะรู้ว่าพระองค์เป็นยังไงผมจะได้ทำตัวได้ถูก ถ้าผมสามารถเข้าไปในวังได้ แต่ผมก็ไม่เคยคุยกับคนใหญ่คนโตมาก่อน โอ๊ะ! ตรงนั้นมีม้านั่งด้วยครับ ไปนั่งพักกันก่อนดีกว่า” เกลดอสจึงชวนให้อากัสไปนั่งพักและนั่งคุยกันที่ม้านั่งสาธารณะที่มีต้นไม้เป็นร่มเงาให้

    “องค์จักรพรรดิน่ะ ทั้งถ่อมตัวและชอบลดตัวเองให้เข้ากับคนชนชั้นสามัญได้ แต่ก็ยังอยู่ในอำนาจการปกครองได้เพราะองค์จักรพรรดิน่ะเป็นเทพเจ้า” อากัสพูด

    “เอ๊ะ เป็นเทพเจ้าจริง ๆ หรอครับ!”

    “ไม่รู้เรื่องนี้จริง ๆ งั้นหรือ อื้ม…แต่ก่อนนี้เทพไม่เคยคิดจะมีปกครองในดาวเมลตันแห่งนี้หรอกนะ มีเพียงแค่เทพแห่งผืนแผ่นดินเท่านั้นที่จะมีดูแลชีวิตทั้งหมดบนดาวเมลตัน แต่การที่เทพองค์นั้นได้ใช้อำนาจสวรรค์ปกครองดาวเมลตันทั้งดวงนี้มีเรื่องราวที่น่าเศร้ามาก่อน” อากัสกุมมือตัวเอง “สงครามและโรคระบาดทำให้เกิดเป็นวิกฤติที่เลวร้ายมากที่สุดในช่วงนึง ในขณะที่สงครามเกิดขึ้นจากความโลภของจักรพรรดิที่มีสายเลือดเป็นชาวเมลตันคนสุดท้ายได้ก่อสงครามเพื่อแย่งดินแดนจากเกาะเมลตันตะวันตก นั่นทำให้มีการสูญเสียชีวิตและทรัพยากรไปมาก แต่พวกเขาก็รบชนะนะ แต่กลับกลายเป็นว่าได้เอาโรคมาระบาดที่เกาะเมลตันกลางในครั้งหนึ่ง แต่กลับกลายเป็นว่ามันระบาดไปทั่วทั้งดาวดวงนี้เลยล่ะ สัตว์น้อยใหญ่ก็ตายหมด ผู้คนต่างล้มตายกันถ้วนหน้า เหลือไว้เพียงแต่อารยธรรมและสิ่งก่อสร้างกับผู้รอดชีวิตบางคน”

    “แล้วมันคือโรคอะไรหรอครับ” เกลดอสถามด้วยความสงสัย

    “เป็นโรคระบาดชนิดนึงที่เกิดจากคำสาป โดยผู้ที่ติดก็จะถูกทำลายอวัยวะต่าง ๆ ภายในเวลา 1 สัปดาห์ ซึ่งไม่มีใครรักษาโรคนี้ได้ยกเว้นเหล่าเทพเจ้า แต่ไม่มีเทพเจ้าองค์ใดที่คิดจะช่วยเหลือสิ่งมีชีวิตเหล่านั้น หลังจากที่การล่มสลายนั้นจบลง ยุคสมัยใหม่ก็เริ่มต้นขึ้น เทพเจ้าแห่งผืนแผ่นดินจึงเลือกที่สร้างอาณาจักรใหม่ขึ้นมาและปกครองอาณาจักรนั้นเพื่อดูแลดาวเมลตัน นั่นทำให้ไม่มีจักรพรรดิที่เป็นชาวเมลตันมาตั้งแต่ปีนั้นเป็นต้นมา แต่ก็มีบางช่วงที่เทพองค์นั้นจะต้องกลับไปยังสวรรค์ ก็ต้องหาผู้มีดูแลเมือง จึงปรับเปลี่ยนการปกครองให้มี จักรพรรดิองค์เล็กและกษัตริย์ จักรพรรดิองค์เล็กจะถูกสถาปนาถ้าหากองค์จักรพรรดิต้องการกลับไปยังสวรรค์หรือไปที่ใดที่หนึ่งเป็นเวลานาน ส่วนกษัตริย์นั้นจะถูกสถาปนาให้ปกครองหัวเมืองต่าง ๆ ในแต่ละดินแดน” อากัสเล่ารายละเอียดทั้งหมดที่เขารู้เกี่ยวกับยุคสมัยใหม่ที่มีองค์จักรพรรดิเป็นเทพเจ้า

    “โอ้โห คุณรู้เรื่องราวพวกนี้จากไหนหรือครับ ห้องสมุด? หนังสือ?” เกลดอสจึงถามถึงที่มาของเรื่องราว แต่เขาก็เปลี่ยนใจและต้องเดินทางต่อ “เอ่อ เราไปกันต่อดีกว่านะครับ”

    “นั่นสินะ ลืมไปเลยว่าต้องรีบไป ถ้าอย่างนั้นข้าขอไปก่อนละนะ” อากัสจึงลุกขึ้น แต่เขาไม่รู้ตัวว่าตะปูเกาะผ้าของเขาจนมันหลุดออกจากกระเป๋า ด้วยความรีบร้อนเขาจึงไม่ได้ดูว่ามีอะไรตกหล่น

    “เอ๊ะ จะวิ่งไปหรอครับ”

    “เปล่า ข้าไม่ได้จะวิ่งหรอกนะ” อากัสวาดมือไปข้างหน้าเล็กน้อยเพื่อสร้างเป็นแท่นน้ำแข็งและเขาก็ขึ้นไปยืนบนแท่นน้ำแข็งนั้น “ข้าจะใช้เจ้านี่ต่างหาก” จากนั้นอากัสก็ใช้พลังของเขาควบคุมแท่นน้ำแข็งให้ลอยขึ้นและลอยตรงไปยังเมืองหลวงทันที เกลดอสเห็นเช่นนั้นจึงจะรีบไปที่เมืองหลวงด้วย แต่เหลือบไปเห็นผ้าคลุมที่หล่นอยู่บนพื้น เขาจึงเก็บมันขึ้นมาซึ่งผ้านั้นมีสีทองและมีลวดลายประดับสวยงาม

    “ผ้าผืนนี้ของคุณอากัสอย่างนั้นหรอ ลวดลายนี่เหมือนกับที่เห็นในป่าที่เราเจออัญมณีเลยนี่นา หรือว่าจะเป็นผ้าคลุมของคนชนชั้นสูง เอ๊ะ! แล้วคนแบบนั้นจะเข้าไปในป่าทำไมนะ ถ้าเข้าไปเห็นอัญมณีก็ต้องเก็บสิ” เกลดอสพูดพึมพำเกี่ยวกับผ้าที่อากัสทำตกไว้ เกลดอสจึงตัดสินใจที่จะรีบไปที่เมืองหลวงเพื่อพบกับอากัสและนำผ้าผืนนี้ไปคืน เกลดอสจึงถือดาบไว้ในมือข้างซ้ายและถือผ้าไว้ในมือข้างขวาแล้วจึงวิ่งตามทางเดินไปเรื่อย ๆ เพื่อไปยังเมืองหลวงและนำผ้าคลุมกลับไปคืนให้กับอากัส

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×