ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    พ่ายรักคุณชายเสเพล (มี e-book)

    ลำดับตอนที่ #2 : อสรพิษจริงแท้

    • อัปเดตล่าสุด 17 ก.ค. 64


         ในห้องนอนประดับเครื่องเรือนเรียบง่าย มีเพียงของใช้จำเป็น บนโต๊ะเครื่องเขียนมีต้นไม้เล็กวางประดับ

     

         เว่ยซีเหมยวิเคราะห์ได้ทันทีว่าเจ้าของห้องนี้คงไม่ชอบความหรูหราฟุ่มเฟือย แม้เรือนสกุลเว่ยจะดูไม่โอ่อ่าใหญ่โต ทว่าหากเทียบกับบ้านเรือนตามปกติก็นับว่าเป็นตระกูลใหญ่มิใช่น้อย

     

         บนโต๊ะตัวหนึ่งถูกคลุมด้วยผ้าสีขาว นางเปิดผ้าคลุมออกพบว่าแท้จริงคือคันฉ่องทองเหลือง “ข้าตายไม่ทันไร พวกเจ้าก็เตรียมเก็บของเสียแล้วหรือ”

     

         ชีอี้โบกมือปฏิเสธ “เปล่านะเจ้าคะ เป็นคุณหนูต่างหากที่ใช้ผ้าคลุมไว้ พอถามไป คุณหนูก็บอกว่ารูปโฉมเป็นเรื่องของทางโลก อยากจะละทางโลกก็ต้องตัดสินใจอย่างเด็ดขาด”

     

         นางได้รับคำตอบแล้วอดยกย่องวิญญาณของเว่ยอิงเหมยที่ล่วงลับไปไม่ได้ ผินมองไปยังคันฉ่อง ยิ้มย่องในรูปโฉมที่แตกต่างจากภพก่อน

     

         หากภพก่อนงดงามปานนี้คงได้เป็นถึงนางเอกละครเวทีแล้ว คิดแล้วนัยน์ตาก็ซุกซนทอดสังเกตภาพสะท้อน ครู่หนึ่งดวงตาก็เบิกค้างเพราะร่องรอยสีม่วงคล้ำเส้นหนึ่งบนลำคอ นางชี้ปลายนิ้วแล้วถามอย่างตกใจ

     

         “นี่มัน...”

     

         “คุณหนูจำไม่ได้หรือเจ้าคะ”

     

         นางส่ายหน้า ฟังชีอี้ตอบว่า “หากไม่เพราะคุณชายถังจอมเสเพลผู้นั้น ดื้อรั้นจะแต่งคุณหนู คุณหนูก็คงไม่คิดสั้นผูกคอตายเช่นนี้”

     

         ได้รับคำตอบแล้วก็ยิ่งทำให้อยากรู้อดีตของร่างกายนี้มากขึ้น จึงแสร้งถาม “ข้าจำเรื่องก่อนจะสิ้นลมมิได้เลย เจ้าพอจะเล่าให้ข้าฟังได้หรือไม่”

     

         ชีอี้พยักหน้า ยกมือซับน้ำตาก่อนเล่าความหลัง

     

         .

         .

         ย้อนไปเมื่อสัปดาห์ก่อน

     

         เว่ยอิงเหมยตื่นแต่เช้า เดินผ่านตลาด ลัดเลาะเข้าป่าไปทางวัดหลินเปียว

     

         “คุณหนูเอาจริงหรือเจ้าคะ แค่ถือศีลก็เพียงพอแล้ว เหตุใดต้องคิดปลงผม” ชีอี้ค่อนขอด

     

         “ข้าอยากตัดกิเลสและเรื่องทางโลก หากไม่ยอมสละบ้างแล้วจะตัดทุกอย่างทิ้งได้อย่างไร” เว่ยซีเหมยกล่าวไป ฝีเท้าก็ยังคงเดินไม่หยุด สายตาชำเลืองมองสาวใช้คนสนิท เห็นนางทำหน้าหมองเศร้า

     

         “เจ้าไม่ต้องกลัว ข้าไม่พาเจ้ามาปลงผมด้วยหรอก”

     

         ชีอี้เม้มริมฝีปาก “ข้าไม่กลัว เพียงแค่ไม่อยากแยกจากคุณหนู”

     

         ท่ามกลางการสนทนา มีเสียงหนึ่งลอยมาจากที่ไม่ไกลนัก “ช่วยข้าด้วย! มีผู้ใดอยู่แถวนี้หรือไม่”

     

         ทั้งสองรีบตรงเข้าไปตามทิศทางของเสียง ปรากฏบุรุษผู้หนึ่ง ร่างสูงโปร่งงามสง่า ใบหน้าจัดว่าหล่อเหลาคมคาย บนขามีบาดแผลฉกรรจ์ ร่องรอยคล้ายถูกคมเขี้ยวอสรพิษ

     

         “แม่นาง... ช่วยตามหมอให้ข้าที ข้าชื่อถังไป๋ซาน บุตรคนเดียวของสกุลถัง หากเจ้าช่วยข้า ข้าจะไม่ลืมคุณของเจ้าแน่”

     

         ชีอี้ส่ายหน้า “ตามหมอก็คงไม่ทัน ดูคล้ายจะถูกพิษงู แถวนี้เป็นดงพญางู คุณชายท่านนี้คงจะย่ำเข้าเขตถ้ำงู พวกมันจึงคิดทำร้าย พวกเราอยู่ที่นี่นานก็อาจไม่ปลอดภัยนะเจ้าคะ”

     

         เว่ยอิงเหมยหันมาเอ็ดด้วยสายตา “ห่วงตายจนลืมห่วงใยเพื่อนมนุษย์เชียว” ตำหนิคำโตจนชีอี้หน้าง้อง้ำ จากนั้นก็ถกขากางเกงของเขาถึง กดมือสองสามทีพบว่าพิษงูกำลังเริ่มกระจาย จึงตัดสินใจดูดพิษให้เขาเสียก่อน

     

         “ไม่ได้นะเจ้าคะ คุณหนูจะทำอันใด คุณหนูเป็นสตรี แต่คุณชายถังเป็นบุรุษ ไม่ควร... ไม่ควร...”

     

         “ข้าจะปลงผมอยู่แล้ว เหตุใดต้องถือว่าสตรีหรือบุรุษอีก”

     

         ชีอี้น้ำท่วมปาก ได้แต่มองเจ้านายใช้ริมฝีปากดูดเลือดที่ปนพิษงูออกจากร่างของถังไป๋ซาน แม้บาดแผลจะเจ็บปวดไม่น้อย ทว่าริมฝีปากที่กดลงมาที่ท่อนขาก็ให้สัมผัสอบอุ่นจนเขาหัวใจเต้นแรง

     

         “เท่านี้คงช่วยบรรเทาอาการได้ ประเดี๋ยวข้าจะไปตามท่านหมอมาให้” กล่าวแล้วเตรียมลุกขึ้น หากแต่ถูกฝ่ามือใหญ่รั้งเอาไว้ นางรีบดึงมือกลับ

     

         “คุณหนูอย่าเพิ่งกลัวข้า ข้าเพียงอยากถามชื่อเสียงเรียงนามของผู้มีพระคุณ”

     

         ชีอี้รีบเดินหน้ามาขวางไว้ “คุณหนูของข้ามีนามว่าเว่ยอิงเหมย รู้แล้วก็นั่งสงบๆ รอหมอมารักษาดีกว่านะเจ้าคะ”

     

         “ออ... แท้จริงก็คุณหนูเว่ยนี่เอง ข้าเคยได้ยินเหล่าสหายกล่าวถึงคุณหนูว่าโฉมสะคราญนัก มาได้พบวันนี้ไม่ผิดกับคำเล่าอ้าง มิหนำซ้ำยังจิตใจอ่อนโยน ข้าต้องขอบคุณที่ช่วยชีวิตแล้ว”

     

         นางมองนัยน์ตาพราวระยับของเขาแล้วต้องหลุบสายตาหลบ รู้สึกไม่สบายใจคล้ายมีลางสังหรณ์ว่าอาจมีความวุ่นวายใดตามมา

     

         สามวันให้หลัง เรื่องวุ่นวายก็เกิดขึ้นจริงตามนั้น เมื่อคนสกุลถังยกสินสอดหลายหาบใหญ่มาสู่ขอเว่ยอิงเหมยให้แต่งกับถังไป๋ซาน

     

         เว่ยอิงเหมยปฏิเสธการสู่ขอ เว่ยซานเฉินผู้เป็นบิดายอมรับในการตัดสินใจของธิดา จึงปฏิเสธคำสู่ขอ ทว่าวันถัดมาถังโชวจิ้ง บิดาของถังไป๋ซาน ผู้ครองตำแหน่งอัครมหาเสนบดีกรมคลังก็มาด้วยตัวเองพร้อมอุบาย หากสกุลเว่ยไม่ยกธิดาให้แต่งกับบุตรชายตนแล้ว จะยกคดีเก่า เรื่องภาษีทรัพย์สินที่เคยเป็นคดีความแล้วถูกยกฟ้องไปขึ้นมาใหม่

     

         เว่ยซานเฉินรู้สึกจนตรอก ขอร้องเว่ยอิงเหมยให้ยอมเสียสละเพื่อตระกูล นางมืดแปดด้าน ทางหนึ่งคือเป้าหมายของชีวิตที่เหลือ หันหน้าหาพระธรรม อีกทางคือเป็นเบี้ยตัวหนึ่ง ต้องยอมเสียสละเพื่อวงศ์ตระกูล

     

         เมื่อไร้หนทาง นางจึงตัดสินใจใช้ผ้าขาวพาดขือไม้ ทิ้งชีวิตเพื่อที่อย่างน้อยจิตวิญญาณที่ล่องลอยออกจากร่างก็ยังคงมีอิสระ ได้ปฏิบัติธรรมดั่งตั้งใจ

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×